87. การทรมานอันโหดเหี้ยมทำให้ความเชื่อของฉันมีความแข็งแกร่งขึ้น
ในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 2009 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินการรณรงค์เป็นวงกว้างในการจับกุมซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่สมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บรรดาผู้นำจากคริสตจักรทั้งหลายทั่วประเทศถูกจับกุมและถูกโยนเจ้าคุกติดๆ กัน เวลาประมาณสามทุ่มในวันที่ 4 เดือนเมษายน ตอนนั้นฉันกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังร่วมมือกับฉันในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา เพิ่งจะออกมาจากบ้านของพี่หวางกันและเดินไปที่ถนน แล้วจู่ๆ ชายสามคนในชุดเสื้อผ้าธรรมดาก็กระโจนมาข้างหลังพวกเราและฉุดลากแขนพวกเราอย่างแรงพลางตะโกนว่า “ไปกับเรา! พวกแกต้องมากับพวกเรา!” พวกเราถูกเหวี่ยงเข้าไปในตอนหลังของรถเก๋งสีดำซึ่งจอดอยู่ข้างทาง ก่อนที่พวกเราจะมีเวลาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยซ้ำ นั่นเหมือนกันไม่มีผิดกับในภาพยนตร์ตอนที่เหล่าร้ายมาลักพาตัวใครคนหนึ่งตอนกลางวันแสกๆ เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้เรื่องนั้นกำลังเกิดขึ้นกับพวกเราในชีวิตจริง และเรื่องนั้นน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด ฉันรู้สึกประดังประเดท่วมท้นไปหมด และทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้ก็คือร้องเรียกพระเจ้าอย่างเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด! โอ พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด…” ก่อนที่ฉันจะสงบสติอารมณ์ลงได้ รถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในลานของกองความมั่นคงสาธารณะเทศบาลแล้ว เพิ่งจะตอนนั้นเองที่ฉันได้ตระหนักว่า พวกเราได้ตกไปอยู่ในมือของตำรวจแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น พี่หวางก็ถูกพาตัวเข้ามาด้วยเช่นกัน พวกเราสามคนถูกนำตัวไปยังสำนักงานที่อยู่บนชั้นสอง และเจ้าหน้าที่นายหนึ่งก็ยึดถุงของพวกเราไป และให้พวกเรายืนหันหน้าเข้าหาผนังห้อง โดยไม่มีคำอธิบายเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเธอก็บังคับให้พวกเราถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า และทำการตรวจค้นร่างกาย โดยในระหว่างนั้นก็บังคับยึดเอาวัสดุเอกสารบางอย่างเกี่ยวกับงานของพวกเราในคริสตจักร พวกใบเสร็จรับเงินสำหรับเงินของคริสตจักรซึ่งถูกเก็บไว้ โทรศัพท์ของพวกเรา เงินสดมากกว่า 5,000 หยวน บัตรธนาคารและนาฬิกา ท่ามกลางของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ซึ่งพวกเรามีอยู่ที่ตัวพวกเราและในกระเป๋าของพวกเรา ในขณะที่ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ็ดหรือแปดนายก็เข้าออกห้องนั้นอยู่ตลอดเวลา และเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายซึ่งกำลังจับตามองพวกเราอยู่นั้น ถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและชี้มาที่ฉันพลางพูดว่า “คนนี้เป็นบุคคลสำคัญในคริสตจักร ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราจับตัวใหญ่ได้เองเลยนะนี่” ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบก็ใส่กุญแจมือฉัน สวมหมวกปิดตาฉัน และคุ้มกันฉันไปยังสาขาของกองความมั่นคงสาธารณะซึ่งอยู่ไกลออกไปนอกเมือง
เมื่อฉันเข้าไปในห้องสอบสวนและได้เห็นหน้าต่างติดลูกกรงเหล็กในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป กับเก้าอี้เสื้อซึ่งดูเย็นชาและน่ากลัวตัวนั้น เรื่องราวอันน่าสยดสยองของบรรดาพี่น้องชายหญิงซึ่งได้ถูกทรมานในอดีตก็ลอยเข้ามาในหัวฉัน เมื่อคิดถึงการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วจะให้ฉันไปอยู่ภายใต้การทรมานอะไรก็ไม่รู้ถัดไปจากนี้ ฉันก็เกิดขวัญผวาเยือกขึ้นมาสุดขีด และมือของฉันก็เริ่มที่จะสั่นขึ้นมาเองอย่างควบคุมไม่ได้ ในสถานการณ์อันท้อแท้สิ้นหวังนี้ ฉันคิดไปถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้ายังคงพกพาความเกรงกลัวไว้ในหัวใจของเจ้า แล้วนั่นไม่ใช่กรณีที่หัวใจของเจ้ายังคงเต็มไปด้วยแนวคิดของซาตานหรอกหรือ?” “ผู้ชนะคืออะไร? ทหารที่ดีของพระคริสต์ต้องกล้าหาญและพึ่งพาเราเพื่อให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อที่จะกลายเป็นนักรบและสู้รบกับซาตานจนถึงแก่ความตาย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 12) ความรู้แจ้งแห่งพระวจนะของพระเจ้าค่อยๆ ทำให้หัวใจที่ตื่นตระหนกของฉันสงบลง และเปิดโอกาสให้ฉันตระหนักว่า ความเกรงกลัวของฉันมีแหล่งกำเนิดของมันอยู่ในซาตาน ฉันคิดกับตัวเองว่า “ซาตานต้องการที่จะทรมานเนื้อหนังของฉัน เพื่อที่ฉันจะยอมจำนนต่อระบบทรราชย์ของมัน ฉันไม่อาจหลงกลไปกับแผนร้ายแบบสมรู้ร่วมคิดของมันได้ ตลอดเวลานั้น พระเจ้าจะทรงเป็นผู้หนุนหลังที่แข็งขันของฉันและแรงหนุนอันนิรันดร์ของฉันอยู่เสมอ นี่คือการสู้รบฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ฉันต้องยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้า ฉันต้องยืนอยู่ข้างพระเจ้า และฉันไม่สามารถยอมให้ซาตานได้” เมื่อได้ตระหนักถึงการนี้แล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! เป็นด้วยเจตนารมณ์อันดีงามของพระองค์นั่นเอง วันนี้ข้าพระองค์จึงได้ตกมาอยู่ในมือของตำรวจเลวๆ พวกนี้ อย่างไรก็ตาม วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นน้อยเกินไป และข้าพระองค์ก็ตื่นตระหนกและขวัญผวา ข้าพระองค์ขออธิษฐานให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและความกล้าให้แก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจหลุดพ้นจากการกักขังของอิทธิพลของซาตาน ไม่นบนอบต่อมัน และยืนหยัดเป็นพยานต่อพระองค์อย่างเด็ดเดี่ยว!” หลังจากเสร็จสิ้นการอธิษฐานของฉัน หัวใจของฉันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้า และฉันไม่ได้รู้สึกขวัญผวาโดยตำรวจชั่วที่ดูมุ่งร้ายเหล่านั้นมากนัก
ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่สองนายก็ผลักฉันเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เสือ และใส่กุญแจมือที่มือและเท้าของฉัน เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองนาย คนที่ตัวสูงใหญ่เทอะทะชี้ไปที่คำบางคำบนผนังห้องซึ่งอ่านได้ว่า “การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีอารยะ” แล้วก็ทุบโต๊ะและตะโกนว่า “แกรู้ไหมว่าแกอยู่ที่ไหน? กองความมั่นคงสาธารณะเป็นสาขาของรัฐบาลจีนที่เชี่ยวชาญในความรุนแรงไง! ถ้าแกไม่คายออกมาให้หมด แกก็สมควรเจอสิ่งต่อไปนี้ที่เตรียมไว้ให้แก! พูดมา! แกชื่ออะไร? แกอายุเท่าไหร่? แกมาจากไหน? แกมีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร?” การมองเห็นพฤติกรรมก้าวร้าวของเขาทำให้ฉันเต็มไปด้วยความบันดาลโทสะ ฉันคิดกับตัวเองว่า “พวกเขาอ้างอยู่เสมอว่าเป็น ‘ตำรวจของประชาชน’ และอ้างว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือ การ ‘ถอนรากถอนโคนคนเลวและปล่อยให้ผู้ที่ยึดปฏิบัติตามกฎหมายดำรงชีวิตอยู่ในสันติสุข’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเป็นแค่นักเลง โจรผู้ร้าย และนักฆ่าใต้ดินกระจุกหนึ่ง พวกเขาคือพวกปีศาจซึ่งก่อการจู่โจมทำร้ายโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ความยุติธรรม และลงโทษพลเมืองที่ดีและซื่อตรง! ตำรวจเหล่านี้แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพวกที่ฝ่าฝืนกฎหมายและก่ออาชญากรรม โดยเปิดโอกาสให้พวกนั้นดำรงชีวิตอยู่พ้นเงื้อมมือของกฎหมาย ทว่าทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงว่า ทั้งหมดที่พวกเราทำคือเชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระเจ้า และเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต แต่พวกเรากลับได้กลายเป็นเป้าหมายหลักของความรุนแรงของพวกอำมหิตฝูงนี้ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือผู้กลับด้านความยุติธรรมที่วิปริตอย่างแท้จริง” แม้ว่าฉันเกลียดชังตำรวจชั่วเหล่านั้นสุดใจของฉัน แต่ฉันก็รู้ว่า วุฒิภาวะของฉันน้อยเกินไป และฉันคงจะไร้ความสามารถที่จะทานทนการทรมานอันโหดร้ายของพวกเขาได้ ดังนั้น ฉันจึงเรียกหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยวอนขอพระองค์ให้ประทานความแข็งแกร่งให้กับฉัน ในชั่วขณะนั้นนั่นเอง พระวจนะของพระเจ้าก็ได้ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงท่อนเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างน่าสังเวชใจจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะสละตัวพวกเขาเองจะสามารถผ่านไปได้ ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) การปลอบโยนและการหนุนใจจากพระวจนะของพระเจ้า ได้ช่วยทำให้ฉันหนักแน่น และฉันก็คิดกับตัวเองว่า “วันนี้ฉันควรพร้อมที่จะเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง—หากเกิดผีซ้ำด้ำพลอยและฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้ว ก็ให้มันเป็นไปตามนั้น หากพวกปีศาจคณะนี้คิดว่าพวกมันกำลังจะค้นหาจนพบเกี่ยวกับเรื่องเงินทองของคริสตจักร งาน หรือผู้นำของพวกเราจากฉัน พวกมันสามารถคิดใหม่ได้เลย!” ต่อมา ไม่สำคัญว่าพวกเขาสอบสวนฉันหรือพยายามที่จะขู่เข็ญเอาข้อมูลจากฉันอย่างไร ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมพูด เจ้าหน้าที่อีกคนจึงเกิดเดือดดาลขึ้นมา และหลังจากทุบโต๊ะเปรี้ยงก็โผนเข้าใส่ฉัน เตะเก้าอี้เสือที่ฉันกำลังนั่งอยู่ แล้วก็ผลักศีรษะฉันพร้อมตะโกนว่า “บอกพวกเรามาว่าแกรู้อะไร! อย่าคิดนะว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าพวกเราไม่รู้อะไรเลย แล้วแกคิดอย่างไรที่พวกเราสามารถจับกุมพวกแกสามคนได้อย่างไม่พลาดขนาดนั้น?” เจ้าหน้าที่ตำรวจตัวสูงนายนั้นคำรามว่า “อย่าทดสอบความอดทนของฉัน! ถ้าพวกเราไม่มอบรสชาติของความเจ็บปวดให้แกสักหน่อย แกก็จะคิดว่าพวกเราแค่กำลังขู่หลอกไปอย่างนั้น ยืนขึ้น!” พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็ฉุดกระชากฉันจากเก้าอี้เสือไปที่ใต้หน้าต่างซึ่งอยู่สูงมากบนผนังและมีลูกกรงเหล็กติดอยู่ พวกเขาใช้กุญแจมือแบบมีหนามหนึ่งคู่สำหรับมือแต่ละข้าง โดยที่ปลายข้างหนึ่งตรึงอยู่รอบๆ มือของฉัน และอีกข้างติดอยู่กับลูกกรงเหล็ก เพื่อให้ฉันถูกแขวนมือไว้กับหน้าต่าง และสามารถแตะพื้นได้ด้วยเนินที่ปลายหน้าเท้าของฉันเท่านั้น หนึ่งในพวกเขาเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อลดอุณหภูมิในห้อง จากนั้นก็เอาม้วนหนังสือมาแพ่นเข้าที่ศีรษะฉันอย่างสารเลว เมื่อเขาเห็นว่าฉันยังคงเงียบอยู่ เขาก็ตะโกนด้วยความเดือดดาลรุนแรงว่า “แกจะพูดไหม? ถ้าแกไม่พูด พวกเราจะให้แก ‘ได้สนุกกัน’!” ว่าแล้วเขาก็ใช้เข็มขัดรัดของที่ใช้ในวงการทหารมามัดขาฉัน แล้วก็เอาเข็มขัดนั่นไปรัดติดกับเก้าอี้เสือ จากนั้นพวกเขาก็ดึงเก้าอี้เสือออกไปให้พ้นจากผนังห้อง เพื่อให้ตัวฉันห้อยคว้างอยู่กลางอากาศ พอร่างถูกขยับไปข้างหน้า กุญแจมือก็เลื่อนลงไปอยู่ที่ฐานข้อมือของฉัน และหนามด้านในกุญแจมือก็แทงเข้าไปในหลังมือของฉัน ฉันเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ฉันก็กัดริมฝีปากของฉันอย่างแรงเพื่อกันมิให้ตัวเองกรีดร้องออกมา เพราะฉันไม่ต้องการที่จะยอมให้ตำรวจเลวพวกนั้นได้หัวเราะสมน้ำหน้าฉัน หนึ่งในพวกเขาพูดพร้อมแสยะยิ้มส่อแววร้ายว่า “ดูเหมือนมันไม่ค่อยเจ็บปวดสักเท่าไรเลยนะ! ให้ฉันเพิ่มความรุนแรงให้แกอีกสักหน่อยเถอะ” ว่าแล้วเขาก็ยกขาของเขาขึ้นและเหยียบลงมาที่น่องของฉันอย่างแรง จากนั้นโยกตัวฉันไปมาซ้ายทีขวาที นี่เป็นเหตุให้กุญแจมือรัดรอบข้อมือและหลังมือของฉันแน่นเข้าทุกที จนในที่สุดมันก็เจ็บปวดมากเสียจนฉันต้องกรีดร้องออกมาอย่างรวดร้าว ซึ่งส่งให้พวกเขาฮาครืน เพิ่งจะตอนนั้นเองที่เขาหยุดกดลงที่ขาของฉัน ทิ้งฉันให้แขวนลอยอยู่กลางอากาศตรงนั้น หลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที จู่ๆ เขาก็เตะเก้าอี้เสือกลับมาหาฉัน ทำให้เกิดเสียงครูดกรีดแหลมโหยหวน และฉันก็หวีดร้องในขณะที่ร่างกายของฉันหล่นกลับเข้าตำแหน่งเดิม คือห้อยจากผนังห้องโดยมีเนินที่ปลายหน้าเท้าของฉันเท่านั้นที่แตะพื้น ในเวลาเดียวกัน กุญแจมือก็ได้เลื่อนกลับไปอยู่ที่ข้อมือของฉัน ด้วยความที่กุญแจมือคลายออกอย่างฉับพลัน เลือดจึงไหลเวียนออกจากมือของฉันอย่างรวดเร็ว และพุ่งกลับเข้าไปในแขนของฉัน เป็นเหตุให้เกิดอาการปวดตุบจากแรงดันเลือดที่ไหลกลับ พวกนั้นระเบิดเสียงฮาอย่างส่อแววร้ายเมื่อเห็นความทุกข์ของฉัน แล้วจากนั้นจึงดำเนินการสอบสวนฉันต่อ โดยถามว่า “คริสตจักรแกมีคนกี่คน? แกเก็บเงินไว้ที่ไหน?” ไม่สำคัญว่าพวกเขาตั้งคำถามกับฉันอย่างไร ฉันก็ไม่ยอมพูด จนพวกเขาเกิดโมโหมากถึงขั้นที่เริ่มพ่นคำสบถหยาบคายออกมาว่า “บ้าเอ๊ย! แกนี่มันหนังหนาดื้อด้านเหลือเกิน! พวกเราจะดูว่าแกจะทนทานได้นานสักแค่ไหน!” ว่าแล้ว พวกเขาก็ดึงเก้าอี้เสือออกห่างจากผนังห้องอีก ทำให้ฉันกลับไปแขวนลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง ครั้งนี้ กุญแจมือรัดแน่นบนแผลซึ่งเปิดอยู่แล้วบนหลังมือของฉัน และมือของฉันจึงบวมและมีเลือดคั่งอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกราวกับว่ามือของฉันกำลังจะระเบิด ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงมากกว่าครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ พวกเขาพรรณนาภาพให้กันและกันฟังอย่างถึงพริกถึงขิงเกี่ยวกับ “วีรกรรมอันรุ่งโรจน์ในอดีต” ของพวกเขาในการทรมานและลงโทษบรรดานักโทษ การนี้ดำเนินต่อเนื่องไปจนตลอดสิบห้านาที ก่อนที่พวกเขาจะเตะเก้าอี้คืนไปที่ผนังห้อง และฉันก็กลับเข้าตำแหน่งเดิมของฉันที่ห้อยตรงลงมาจากผนังห้องโดยมีเนินปลายหน้าเท้าของฉันแตะอยู่ที่พื้นเท่านั้นในที่สุด ในระหว่างกระบวนการนั้น ความเจ็บปวดราวกับร่างจะฉีกออกจากกันก็กวาดวูบผ่านตัวฉันอีกครั้ง พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ชายอ้วนเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วถามว่า “ยายนั่นพูดหรือยัง?” เจ้าหน้าที่สองนายนั้นตอบกลับ โดยพูดว่า “ยายนี่มันคือหลิวหูหลานตัวจริงเลยละ!” ตำรวจชั่วร่างอ้วนนายนั้นเดินเข้ามาที่ฉันและตบหน้าฉันฉาดใหญ่ พลางพูดอย่างสารเลวว่า “เรามาดูกันว่าแกอึดแค่ไหน! มาให้ฉันคลายมือพวกนี้ของแกออกเถอะนะ” ฉันมองลงไปที่มือซ้ายของฉันและเห็นว่ามันบวมอย่างรุนแรง และได้กลายเป็นสีดำอมม่วง ตอนนั้นเองเขาก็คว้านิ้วมือข้างซ้ายของฉัน และเริ่มเขย่านิ้วเหล่านั้นกลับไปกลับมา และหยิกถูนิ้วเหล่านั้นจนกระทั่งอาการชาหลีกทางให้ความเจ็บปวดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ปรับกุญแจให้มาอยู่ตรงจุดที่รัดแน่นที่สุด และส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่สองนายนั่นดึงฉันขึ้นไปไว้กลางอากาศอีก ฉันจึงถูกแขวนลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง และถูกทิ้งไว้ในตำแหน่งนั้นนานยี่สิบนาทีก่อนจะถูกปล่อยลงมา พวกเขาดึงฉันขึ้นไปอยู่กลางอากาศแล้วก็ปล่อยฉันกลับลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทรมานฉันจนถึงจุดที่ฉันปรารถนาว่า ฉันน่าจะตายเสียให้พ้นๆ ความเจ็บปวด แต่ละครั้งที่กุญแจมือเลื่อนขึ้นเลื่อนลงบนมือของฉัน มันเจ็บปวดกว่าครั้งก่อนหน้า สุดท้ายแล้ว กุญแจมือที่มีเดือยหนามก็แทงลึกเข้าไปในข้อมือของฉัน และเจาะทะลุผิวหนังบนหลังมือของฉัน จนเลือดทะลักไหลพรู การไหลเวียนโลหิตในมือของฉันได้ถูกตัดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และมือของฉันก็บวมเป่งเหมือนลูกโป่ง ศีรษะของฉันปวดตุบๆ เนื่องจากการขาดออกซิเจน และรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังจะระเบิด ฉันคิดจริงๆ ว่าฉันกำลังจะตาย
ตอนที่ฉันคิดว่า ฉันไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้วนั่นเอง ฉันก็นึกได้ถึงบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรับใช้โดยกลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบระลอกความแข็งแกร่งแบบฉับพลันให้กับฉัน และฉันคิดถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทนทุกข์อยู่บนกางเขน กล่าวคือ พระองค์ทรงถูกเฆี่ยน ถูกเย้ยหยัน และถูกเหยียดหยามโดยทหารโรมัน และทรงถูกทุบตีจนหลั่งพระโลหิต แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังคงต้องทรงแบกกางเขนอันหนักอึ้งนั้น ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่ในที่สุดพวกเขาได้ใช้ตอกตรึงพระองค์ทั้งที่ยังทรงพระชนม์อยู่ จนกระทั่งทุกหยาดหยดสุดท้ายของพระโลหิตในพระวรกายพระองค์ได้หลั่งรินจนหมดสิ้นแล้ว ช่างเป็นการทรมานอันโหดร้ายอะไรเช่นนี้! ช่างเป็นความทุกข์ที่ไม่อาจจินตนาการได้เลย! กระนั้น องค์พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงสู้ทนทั้งหมดนั้นอย่างเงียบกริบ แม้จะแน่นอนว่า ความเจ็บปวดนั้นแผ่กว้างเกินกว่าจะกล่าวเป็นคำพูด แต่องค์พระเยซูเจ้าก็เต็มพระทัยที่จะวางพระองค์เองไว้ในมือของซาตาน เพื่อการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวง ฉันคิดกับตัวเองว่า “วันนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นครั้งที่สองและเสด็จมายังประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศอเทวนิยม ที่นี่ พระองค์ได้ทรงพบกับภยันตรายทั้งหลายซึ่งอันตรายมหาศาลกว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเผชิญหน้าในยุคพระคุณ นับตั้งแต่ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงปรากฏและทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ในการใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท ไล่ล่าและจับพระคริสต์เป็นเชลยอย่างป่าเถื่อนครื้นเครง โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะฉีกทึ้งทำลายพระราชกิจของพระเจ้า ความทุกข์ที่พระเจ้าได้ทรงก้าวผ่านในการทรงปรากฏในรูปมนุษย์สองครั้งของพระองค์นั้นเกินกว่าสิ่งที่ใครก็ตามจะสามารถจินตนาการได้ นับประสาอะไรที่จะสู้ทนได้ ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงสู้ทนความทุกข์มากมายยิ่งนักเพื่อพวกเรา ฉันก็ควรมีมโนธรรมมากกว่านี้ ฉันต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และนำพาสิ่งชูใจมาสู่พระองค์ ต่อให้นั่นหมายถึงความตายของฉันก็ตาม” ในชั่วขณะนั้นเอง ความทุกข์ลำเค็ญของเหล่าธรรมิกชนและผู้เผยวจนะทั้งปวงตลอดยุคทั้งหลายก็พลันผ่านวาบเข้ามาในห้วงความนึกคิดจิตใจของฉัน นั่นคือ ดาเนียลในถ้ำสิงโต เปโตรซึ่งถูกแขวนกลับหัวบนกางเขน ยากอบซึ่งถูกตัดหัว…โดยไม่มีข้อยกเว้นสักกรณีเดียว ธรรมิกชนและผู้เผยวจนะเหล่านี้ทั้งหมดยืนหยัดเป็นพยานอันดังกึกก้องต่อพระเจ้าเมื่อใกล้จะตาย และฉันได้ตระหนักว่า ฉันควรมีจุดมุ่งหมายที่จะเอาอย่างความเชื่อ การอุทิศ และการนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเขา ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า! พระองค์ทรงไร้ความผิดจากบาป แต่ทรงถูกตอกตรึงกางเขนเพื่อความรอดของพวกเรา แล้วพระองค์ก็ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในประเทศจีนเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ โดยทรงเสี่ยงพระชนม์ชีพของพระองค์ ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่มากเสียจนกระทั่งข้าพระองค์จะไม่อาจมีวันชดใช้คืนพระองค์ได้เลย เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงที่สุดของข้าพระองค์ในการทนทุกข์เคียงข้างพระองค์ในวันนี้ และข้าพระองค์เต็มใจที่จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อชูพระหทัยของพระองค์ ต่อให้ซาตานเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันเปล่งถ้อยคำอันเป็นการร้องทุกข์คร่ำครวญแม้สักคำเดียว!” ด้วยความคิดจิตใจของฉันซึ่งจดจ่ออยู่ที่ความรักของพระเจ้า ความเจ็บปวดในร่างกายของฉันก็ดูเหมือนลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ในครึ่งหลังของคืนนั้น พวกตำรวจเลวยังคงทรมานฉันต่อไปเป็นกะ จนประมาณเก้าโมงเช้าในวันถัดมาเท่านั้นเอง พวกเขาก็แก้มัดขาของฉันออกในที่สุดและทิ้งฉันไว้ให้ห้อยจากหน้าต่าง แขนทั้งสองข้างของฉันชาไปทั้งหมดแล้วและไม่มีความรู้สึกเลย และร่างกายของฉันก็บวมเป่งไปทั้งร่าง ในเวลานั้น พี่น้องหญิงซึ่งได้ลุล่วงหน้าที่ด้วยกันกับฉันเรื่อยมาก็ได้ถูกนำตัวเข้าไปในห้องสอบสวนที่อยู่ติดกัน แล้วจู่ๆ เจ้าหน้าที่แปดหรือเก้านายก็เรียงหน้ากันเข้ามาในห้องสอบสวนของฉัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจตัวเตี้ยม่อต้อนายหนึ่งก็เข้ามาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง และถามพวกตำรวจชั่วที่กำลังรับมือกับฉันว่า “ยายนี่พูดหรือยัง?” “ยังครับ” พวกเขาตอบ ทันทีที่เขาได้ยินคำตอบของตำรวจพวกนั้น เขาก็โดดผลุงเข้ามาหาฉัน ฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าของฉันสองครั้ง และตะโกนใส่ฉันอย่างโกรธแค้นว่า “แกยังไม่ร่วมมืออีก! พวกเรารู้ชื่อของแก และพวกเราก็รู้ว่าแกเป็นผู้นำคนสำคัญในคริสตจักร อย่าได้เข้าใจผิดไปว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลย! แกเก็บเงินไว้ที่ไหน?” เมื่อได้เห็นฉันยืนคงเงียบอยู่ เขาก็ข่มขู่ฉัน โดยพูดว่า “ถ้าแกไม่ยอมสารภาพ แกจะยิ่งแย่กว่านี้ตอนที่พวกเราค้นหาจนเจอด้วยตัวพวกเราเอง ดูจากตำแหน่งของแกในคริสตจักรแล้ว แกจะถูกตัดสินลงโทษจำคุกยี่สิบปี!” ต่อมา พวกเขาก็ถือบัตรธนาคารของฉันไว้ และถามหาชื่อบนบัตรใบนั้นและหมายเลขรหัสลับส่วนตัว ฉันคิดกับตัวเองว่า “ปล่อยให้พวกมันดูไป ฉันไม่สน ถึงอย่างไร ครอบครัวของฉันก็ไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีนั้นมากมายนัก บางทีหากพวกเขาเห็น พวกเขาก็จะได้เลิกเซ้าซี้ฉันเกี่ยวกับเงินทุนของคริสตจักร” เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ฉันจึงบอกชื่อและหมายเลขรหัสลับส่วนตัวให้พวกเขารู้
ต่อมา ฉันได้ขอไปห้องน้ำ และเพิ่งเป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาปล่อยฉันลงมาในที่สุด ณ จุดนั้น ฉันได้สูญเสียการควบคุมการใช้ขาของฉันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น พวกเขาจึงหิ้วฉันไปยังห้องน้ำและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดในมือของฉันไปแล้ว และคำสั่งจากสมองของฉันก็ไปไม่ถึงมือของฉันเอาเสียเลย ดังนั้น ฉันจึงแค่ยืนนิ่งพิงผนังห้องอยู่ตรงนั้น ไร้ความสามารถอย่างถึงที่สุดที่จะถอดกางเกงของฉันออก พอฉันยังไม่ได้ออกมาหลังเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง หนึ่งในพวกตำรวจก็เตะประตูเปิดออก และตะโกนใส่ฉันด้วยรอยยิ้มแสยะแบบหื่นตัณหาว่า “แกยังคงไม่เสร็จอีกหรือ?” เมื่อเห็นว่าฉันไม่สามารถขยับมือของฉันได้ เขาจึงเดินเข้ามาหาฉันและถอดกางเกงของฉันออก แล้วจากนั้นจึงใส่คืนเข้าที่เมื่อฉันเสร็จธุระแล้ว เจ้าหน้าที่ชายกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันอยู่ตรงด้านนอกห้องน้ำ แสดงความคิดเห็นถากถางทุกประเภท และเหยียดหยามฉันด้วยภาษาอันโสมมของพวกเขา ความอยุติธรรมของพวกนักเลงและพวกปีศาจเหล่านี้ที่กำลังเหยียดหยามสาวน้อยที่ไร้ความผิดอายุยี่สิบกว่าปีเช่นฉัน ทำให้ฉันรู้สึกประเดประดังขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใด และฉันก็เริ่มร้องไห้ออกมา ฉันยังคิดอีกด้วยว่า หากมือของฉันเป็นอัมพาตไปจริงๆ และฉันไร้ความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ในอนาคต สู้ให้ฉันตายไปเลยคงจะดีเสียกว่า หากฉันได้มีความสามารถที่จะเดินได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ณ ชั่วขณะนั้น ฉันก็คงจะกระโดดออกจากตึกนั่นและจบลงตรงนั้นไปแล้ว พอดีกับที่ฉันกำลังอยู่ในชั่วขณะที่อ่อนแอที่สุดนั่นเอง บทเพลงสรรเสริญเพลงหนึ่งที่ชื่อ “ฉันปรารถนาที่จะเห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า” ก็เข้ามาในความคิดว่า “ฉันจะมอบถวายความรักและความจงรักภักดีของฉันต่อพระเจ้า และทำภารกิจของฉันจนครบบริบูรณ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันมุ่งมั่นที่จะตั้งมั่นในคำพยานของฉันที่มีต่อพระเจ้า และไม่มีวันยอมให้ซาตาน โอ้ แม้ว่าศีรษะของพวกเราอาจแตกและเลือดของพวกเราอาจไหลหลั่ง แต่กระดูกสันหลังของประชากรของพระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้งอได้ ด้วยคำเตือนสติของพระเจ้าซึ่งรัดตรึงหัวใจของฉัน ฉันมุ่งมั่นที่จะเหยียดหยามซาตานมารร้าย ความเจ็บปวดและความยากลำบากได้ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า ฉันจะสัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระองค์จนตาย ฉันจะไม่มีวันเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงร่ำไห้อีก และไม่มีวันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงกังวลอีกเลย” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) บทเพลงสรรเสริญนี้มอบพลังให้กับความเชื่อของฉันอีกครั้ง และจิตวิญญาณของฉันก็มีความเข้มแข็งขึ้น ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันไม่สามารถถูกเล่ห์กลของซาตานหลอกได้ และฉันไม่ควรจบชีวิตของฉันให้กับบางสิ่งเยี่ยงนี้ พวกเขากำลังเหยียดหยามและเหน็บแนมฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ทำบางสิ่งซึ่งจะทำร้ายและทรยศพระเจ้า หากฉันกำลังจะตาย ฉันก็คงจะกำลังหลงกลไปกับแผนร้ายสมรู้ร่วมคิดของพวกเขาเป็นแน่ ฉันไม่อาจยอมให้การรวมหัวของซาตานประสบความสำเร็จได้ ต่อให้ฉันได้พิการไปแล้วจริงๆ ตราบเท่าที่ฉันยังคงมีลมหายใจเฮือกหนึ่งเหลืออยู่ภายในตัวฉัน ฉันก็ต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อเป็นพยานแด่พระเจ้า”
เมื่อฉันกลับไปยังห้องสอบสวน ฉันทรุดลงกับพื้นจากความอ่อนล้าอิดโรย พวกตำรวจตีวงล้อมรอบฉันและตะโกนใส่ฉัน ออกคำสั่งให้ฉันยืนกลับขึ้นมา เจ้าหน้าที่เตี้ยอ้วนคนนั้นซึ่งได้ตบหน้าฉันโผนเข้ามาหาฉัน เตะใส่ฉันอย่างสารเลว และกล่าวหาว่าฉันแกล้งล้ม ณ ชั่วขณะนั้น ร่างกายของฉันเริ่มที่จะสั่นเทิ้ม และฉันเกิดหายใจไม่ออกและเริ่มที่จะหายใจหอบ ขาซ้ายของฉันและซีกซ้ายของหน้าอกฉันเริ่มกระตุกและหดตัวเข้าหากัน ร่างกายของฉันทั้งร่างเริ่มเย็นและแข็งทื่อ และไม่สำคัญว่าเจ้าหน้าที่สองนายจะดึงรั้งและงัดง้างอย่างไร พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะเหยียดตัวฉันออกไปได้ ในจิตใจของฉันนั้น ฉันรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้ความเจ็บปวดและความทุกข์ร้อนนี้เพื่อเปิดกว้างหนทางออกให้ฉัน มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็คงจะได้ทรมานฉันอย่างโหดร้ายต่อไป เพียงหลังจากที่เห็นว่าฉันอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงแล้วเท่านั้น เจ้าหน้าที่ชั่วเหล่านั้นจึงหยุดทุบตีฉันในที่สุด จากนั้นพวกเขาก็คล้องกุญแจมือฉันติดกับเก้าอี้เสือ และไปยังประตูถัดไปเพื่อทรมานพี่น้องหญิงจากคริสตจักรของฉัน โดยทิ้งเจ้าหน้าที่สองนายไว้ให้เฝ้าดูฉัน เมื่อได้ยินพี่น้องหญิงของฉันร้องออกมาด้วยเสียงกรีดร้องสยองขวัญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันต้องการอย่างรุนแรงเหลือเกินที่จะพุ่งเข้าหาพวกมารเหล่านั้น และสู้กับพวกเขาจนตาย แต่ที่เป็นก็คือ ฉันทรุดกองอยู่กับพื้น และอ่อนล้าอิดโรยอย่างถึงที่สุด ดังนั้นทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้ก็คือ อธิษฐานต่อพระเจ้า และขอร้องให้พระเจ้าประทานความเข้มแข็งให้พี่น้องหญิงของฉันและทรงคุ้มภัยเธอ เพื่อให้เธอสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉันเคียดแค้นสาปแช่งพรรคที่ชั่วและเลวพรรคนั้นที่ได้ผลักประชาชนของมันลงสู่ห้วงลึกของความทุกข์ และขอให้พระเจ้าทรงลงโทษสัตว์ร้ายเหล่านี้ที่อยู่ในรูปมนุษย์ ต่อมา ด้วยความที่เห็นว่าฉันทรุดลงตรงนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะอยู่บนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของฉัน และด้วยความที่ไม่ต้องการที่จะต้องมาจัดการกับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตา ในที่สุดแล้วพวกเขาจึงพาฉันไปยังโรงพยาบาล หลังจากที่ฉันมาถึงโรงพยาบาล ขาและหน้าอกของฉันเริ่มกระตุกและหดเข้าหากันอีก และต้องใช้ผู้คนหลายคนดึงรั้งและงัดแงะร่างกายของฉันให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งที่เหยียดออก มือทั้งสองข้างของฉันบวมเป่งเหมือนลูกโป่ง และปกคลุมไปด้วยลิ่มเลือด มือของฉันพุพองไปด้วยน้ำหนอง และพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเริ่มให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพราะทันทีที่พวกเขาแทงเข็มฉีดยา เลือดก็จะไหลออกมาจากเส้นเลือดดำ ซ่านซึมไปตามเนื้อเยื่อโดยรอบ และมีเลือดออกจากบริเวณที่เจาะเข็มฉีดยา เมื่อคุณหมอเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาพูดว่า “พวกเราต้องเอากุญแจมือพวกนี้ออก!” เขายังแนะนำตำรวจอีกด้วยว่า ให้ส่งฉันไปยังโรงพยาบาลเทศบาลเพื่อทำการทดสอบเพิ่มเติม เพราะเขากังวลว่าฉันมีภาวะเกี่ยวกับหัวใจ ตำรวจเลวเหล่านั้นไม่ได้ต้องการที่จะทำอะไรเลยเพื่อช่วยเหลือฉัน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ใส่กุญแจมือฉันอีกต่อไป วันถัดมา เจ้าหน้าที่คนที่กำลังสอบสวนฉันอยู่ เขียนถ้อยแถลงอันเต็มเปี่ยมไปด้วยการหมิ่นประมาทและการใส่ร้ายเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อที่จะใช้เป็นคำให้การของฉัน และสั่งให้ฉันลงนามในถ้อยแถลงนั้น เมื่อฉันไม่ยอมที่จะลงนามในถ้อยแถลงนั้น เขาก็เกิดฉุนเฉียวขึ้นมา คว้ามือของฉัน และบังคับให้ฉันพิมพ์ลายนิ้วมือของฉันบนถ้อยแถลงนั้น
ตอนเย็นของวันที่ 9 เมษายน ผู้อำนวยการแผนกและเจ้าหน้าที่ตำรวจชายอีกสองนายคุ้มกันฉันไปยังสถานกักกัน เมื่อคุณหมอที่สถานกักกันเห็นว่าทั่วร่างฉันบวมเป่งไปหมด และเห็นว่าฉันไร้ความสามารถที่จะเดินได้ หมดความรู้สึกที่มือของฉัน และดูเหมือนว่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะรับตัวฉันไว้ ด้วยกลัวว่าฉันอาจตายที่นั่น หลังจากนั้น ผู้อำนวยการแผนกก็ได้เจรจากับผู้ควบคุมสถานกักกันเป็นเวลาเกือบชั่วโมง และได้สัญญาว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน สถานกักกันจะไม่ต้องรับผิดชอบ ถึงตอนนั้นเท่านั้นเองที่ผู้กำกับดูแลตกลงที่จะคุมตัวฉันไว้ในที่สุด
กว่าสิบวันถัดมา ตำรวจชั่วสิบกว่าคนถูกย้ายมาจากเขตควบคุมอื่น และถูกสั่งให้ประจำการที่สถานกักกันเป็นการชั่วคราว เพื่อสอบสวนฉันเป็นกะทั้งวันทั้งคืน นักโทษหนึ่งคนมีขีดจำกัดที่ถูกกำหนดไว้เกี่ยวกับเวลาที่จะสามารถถูกสอบสวนได้ แต่ตำรวจพูดว่า นี่เป็นคดีใหญ่และสำคัญซึ่งมีลักษณะที่ร้ายแรงมาก ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพังแน่ๆ เพราะพวกเขากลัวว่า หากพวกเขาตั้งคำถามฉันอยู่เป็นเวลานานเกินไป เมื่อพิจารณาถึงสภาวะอันบอบบางของฉัน ฉันอาจจะมีภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพบางอย่าง พวกเขาจึงจะจบการสอบสวนของพวกเขาเวลาประมาณตีหนึ่ง และส่งฉันกลับเข้าห้องขังของฉัน โดยเรียกตัวฉันในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสาง พวกเขาสอบสวนฉันเป็นเวลาประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวัน สามวันติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพวกเขาสอบเค้นฉันเพียงใด ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลเม็ดไม้แข็งของพวกเขาใช้ไม่ได้ผล พวกเขาจึงสลับไปหากลเม็ดที่เป็นไม้นวม พวกเขาเริ่มที่จะแสดงความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของฉัน และจะซื้อยาให้ฉันและทายาที่แผลของฉัน เมื่อเผชิญหน้ากับการแสดง “ความใจดีมีเมตตา” แบบฉับพลันนี้ ฉันก็การ์ดตก โดยคิดว่า “หากฉันแค่บอกพวกเขาบางสิ่งซึ่งไม่สำคัญเกี่ยวกับคริสตจักร มันก็น่าจะเป็นไปได้ด้วยดี…” ทันใดนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของฉันว่า “จงอย่าใช้วิธีเข้าหาที่สะเพร่า แต่เข้าใกล้เราให้มากขึ้นและบ่อยขึ้นเมื่อสิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่เจ้า จงพิถีพิถันและระมัดระวังให้มากขึ้นในทุกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดการตีสอนของเรา และเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของแผนการอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 95) พลันฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้หลงกลแผนร้ายอันฉลาดแกมโกงของซาตานเข้าแล้ว พวกนี้ไม่ใช่ผู้คนเดียวกันกับที่ได้ทรมานฉันเรื่อยมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรอกหรือ? พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอากัปกิริยาของพวกเขาได้ แต่ธรรมชาติที่ชั่วของพวกเขานั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้—เมื่อเป็นปีศาจครั้งหนึ่ง ก็ย่อมเป็นปีศาจตลอดไป พระวจนะของพระเจ้าได้ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาเป็นแค่หมาป่าในคราบแกะ และว่าพวกเขาเก็บงำเหตุจูงใจแอบแฝงเสมอ ต่อไปข้างหน้า ไม่สำคัญว่าพวกเขาทดลองฉันหรือสอบเค้นฉันสักเพียงใด ฉันจะไม่พูดอะไรอีกเลยสักคำ ไม่นานหลังจากนั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมา นั่นคือ เจ้าหน้าที่นายหนึ่งซึ่งพวกเขาเรียกว่าผู้กองหวู่ ได้สอบถามฉันอย่างดุเดือดว่า “แกเป็นผู้นำในคริสตจักร แต่แกกลับไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน? ถ้าแกไม่บอกพวกเรา พวกเราก็มีวิธีของพวกเราที่จะค้นหาจนเจออยู่ดี!” เจ้าหน้าที่ตำรวจแก่ผอมแห้งนายหนึ่งระเบิดคำด่ากระหน่ำออกมา โดยตะโกนว่า “บ้าจริง พวกเราให้คืบแต่แกจะเอาศอก! ถ้าแกไม่พูด พวกเราจะส่งแกออกไปแล้วแขวนแกอีก พวกเราจะดูทีว่า แกยังอยากเป็นหลิวหูหลานคนหนึ่งและปกปิดข้อมูลจากพวกเราอยู่ไหม! ฉันมีหนทางเยอะแยะที่จะจัดการกับแก!” ยิ่งเขาพูดในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นเท่านั้นที่จะนิ่งเงียบเข้าไว้ ในที่สุดแล้วเขาก็เกิดฉุนเฉียวขึ้นมา และเดินมาหาและผลักฉัน โดยพูดว่า “ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ ยี่สิบปีน่าจะเป็นการตัดสินลงโทษสถานเบาแล้ว!” ว่าแล้ว เขาจึงปึงปังออกจากห้องไปด้วยความไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่นายหนึ่งจากกรมความมั่นคงสาธารณะระดับมณฑล ซึ่งดูแลรับผิดชอบกิจการความมั่นคงแห่งชาติ ได้เข้ามาสอบถามฉัน เขาทำถ้อยแถลงมากมายซึ่งโจมตีและต้านทานพระเจ้า และคุยโตไม่หยุดเกี่ยวกับว่าเขามีประสบการณ์และมีความรู้เพียงใด ซึ่งนำให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ มาสรรเสริญเขา เมื่อสังเกตเห็นความอัปลักษณ์ในแบบกระหยิ่มใจและหลงตัวเองของเขา และเมื่อได้ยินคำโกหกแบบบิดเบือนความจริงและสร้างข่าวลือกับการปรักปรำอันเป็นเท็จทั้งหมดของเขา ฉันรู้สึกถึงทั้งความเกลียดชังและความขยะแขยงที่มีต่อเจ้าหน้าที่นายนี้ ฉันไม่สามารถแม้กระทั่งทนมองเขาได้เสียด้วยซ้ำ และดังนั้น ฉันจึงแค่จ้องตรงไปยังผนังห้องตรงหน้าฉัน และหักล้างคำโต้เถียงแต่ละคำของเขาอยู่ในหัวของฉัน คำพูดที่เขาเขียนโจมตีดำเนินต่อไปจนตลอดช่วงเช้า และในที่สุดเมื่อเป็นที่พอใจของเขาแล้ว เขาก็ถามว่าฉันคิดอย่างไร ฉันพูดไปอย่างเหลืออดว่า “ฉันไม่มีการศึกษา ดังนั้น ฉันก็เลยไม่รู้ว่าคุณพล่ามเกี่ยวกับอะไร” เขาเดือดดาลและพูดกับผู้สอบสวนคนอื่นๆ ว่า “ไม่มีหวังสำหรับยายนี่เลย ผมคิดว่ายายนี่ถูกทำให้เป็นพระเจ้าไปแล้ว ยายนี่จบเห่แล้วละ!” ว่าแล้วเขาก็ผลุนผลันกลับออกไปอย่างห่อเหี่ยว
เมื่อตำรวจชั่วฉุดลากฉันเข้าไปในห้องขังของฉันในสถานกักกัน และฉันเห็นว่าพี่หวางอยู่ที่นั่นในห้องขังเดียวกัน ภาพของผู้ที่เป็นที่รักคนนี้ส่งความอบอุ่นถาโถมเข้าสู่หัวใจของฉัน ฉันรู้ว่า นี่คือการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และรู้ว่าความรักของพระเจ้ากำลังดูแลฉัน และฉันรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ก็เพราะ ในเวลานั้น โดยสัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้ว ฉันคือคนพิการ—แขนและมือของฉันบวมอย่างรุนแรงและพุพองไปด้วยน้ำหนอง ฉันไม่มีความรู้สึกในนิ้วของฉันซึ่งหนาเหมือนไส้กรอกและมีผิวสัมผัสที่หยาบกร้าน ฉันแทบจะไม่สามารถขยับขาของฉันได้เลย และร่างกายของฉันทั้งร่างก็อ่อนแอและแตกสลายไม่มีชิ้นดีไปด้วยความเจ็บปวด ในระหว่างเวลานั้น พี่สาวของฉันดูแลฉันทุกวัน—เธอแปรงฟันให้ฉัน ล้างหน้าให้ฉัน อาบน้ำให้ฉัน หวีผมให้ฉัน และป้อนอาหารให้ฉัน…หนึ่งเดือนต่อมา พี่สาวของฉันก็ถูกปล่อยตัว และฉันได้รับแจ้งว่าฉันได้ถูกจับกุมอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว หลังจากพี่สาวของฉันถูกปล่อยตัว เมื่อคิดถึงว่าฉันยังคงไร้ความสามารถที่จะดูแลตัวฉันเองอย่างไร และไม่รู้เลยว่าฉันจะถูกขังนานแค่ไหน ฉันก็รู้สึกอับจนหนทางและอ้างว้างอย่างเหลือเชื่อ ฉันอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกหาพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกดังเช่นคนพิการ—ข้าพระองค์ควรที่จะต้องดำเนินต่อไปแบบนี้อย่างไรหรือ? ข้าพระองค์ขอร้องพระองค์ให้ทรงคุ้มภัยให้กับหัวใจของข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจเอาชนะสถานการณ์นี้ได้” เป็นตอนที่ฉันกำลังจนปัญญาและรู้สึกหลงทางอย่างที่สุดนั่นเอง ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พวกเจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่าวันหนึ่งพระเจ้าของพวกเจ้าจะพาพวกเจ้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยที่สุด? พวกเจ้าจินตนาการได้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดกับเจ้าในวันหนึ่งที่เราอาจคว้าทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเจ้า? กำลังวังชาของพวกเจ้าในวันนั้นจะเป็นเหมือนกับที่เป็นในตอนนี้หรือไม่? ความเชื่อของพวกเจ้าจะปรากฏอีกครั้งหรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าต้องเข้าใจพระราชกิจ—อย่าติดตามอย่างงุนงงสับสน!) พระวจนะของพระเจ้าเป็นดังเช่นดวงประทีปฉายแสงที่ให้ความกระจ่างแก่หัวใจของฉัน และเปิดโอกาสให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันคิดกับตัวเองว่า “สภาพแวดล้อมซึ่งฉันเผชิญหน้าตอนนี้ คือสภาพแวดล้อมซึ่งฉันคุ้นเคยด้วยน้อยที่สุด พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ฉันได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ภายในสภาพแวดล้อมประเภทนี้ เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม แม้ว่าพี่สาวของฉันได้จากฉันไปแล้ว แต่แน่นอนว่าพระเจ้ายังไม่ได้ทรงจากไป! เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเส้นทางซึ่งฉันได้เดิน พระเจ้าได้ทรงนำฉันทุกๆ ย่างก้าวของหนทาง! หากฉันพึ่งพาพระเจ้า ก็ไม่มีความลำบากยากเย็นซึ่งไม่สามารถเอาชนะได้” ฉันเห็นว่าความเชื่อของฉันน้อยเกินไป ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะวางตัวข้าพระองค์เองในพระหัตถ์ของพระองค์โดยครบบริบูรณ์ และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่สำคัญว่าข้าพระองค์อาจเผชิญหน้าสถานการณ์ใดในอนาคต ข้าพระองค์จะนบนอบต่อพระองค์และไม่ร้องทุกข์คร่ำครวญ” หลังจากสรุปการอธิษฐานของฉันแล้ว ฉันรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสงบเยือกเย็นและความใจเย็น ในบ่ายของวันถัดไป เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พานักโทษคนใหม่เข้ามา เมื่อเธอเห็นสถานการณ์ของฉัน เธอก็เริ่มดูแลฉันโดยที่ฉันไม่ได้ขอเสียด้วยซ้ำ ในการนี้ ฉันเห็นความน่าอัศจรรย์และความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉัน—ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า รวมถึงความคิดของมนุษย์ หากไม่ได้เป็นเพราะการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เหตุใดเล่าผู้หญิงคนนี้ซึ่งฉันไม่เคยได้พบเจอเลยจึงดีกับฉันยิ่งนัก? หลังจากนั้น ฉันได้เป็นพยานความรักของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อผู้หญิงคนนั้นถูกปล่อยตัวจากสถานกักกัน พระเจ้าได้ทรงอุ้มชูผู้หญิงคนแล้วคนเล่าซึ่งฉันไม่เคยได้พบเจอให้มาดูแลฉัน และพวกเธอก็ส่งต่อการดูแลฉันไปยังอีกคน ราวกับว่าพวกเธอกำลังส่งต่อไม้วิ่งผลัด มีแม้กระทั่งนักโทษบางคนซึ่งโอนเงินเข้าบัญชีของฉันหลังจากที่พวกเธอถูกปล่อยตัวแล้ว ในระหว่างเวลานี้ แม้ว่าร่างกายของฉันจะทุกข์ทนอยู่บ้าง แต่ฉันก็มีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงใจแห่งความรักของพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์โดยตรง ไม่สำคัญว่ามนุษย์ถูกโยนเข้าไปสู่สถานการณ์ประเภทใด พระเจ้าไม่เคยทรงทอดทิ้งเขา แต่ทรงทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเขา ตราบเท่าที่มนุษย์ไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า แน่นอนว่าเขาจะมีความสามารถที่จะเป็นพยานต่อกิจการของพระเจ้า
ฉันถูกกักกันเป็นเวลาหนึ่งปีกับสามเดือน และแล้วก็ถูกรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งข้อหา “ทำงานโดยผ่านทางองค์กรเซี่ยเจียวในการเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมาย” และถูกตัดสินลงโทษจำคุกสามปีหกเดือน หลังการพิพากษาลงโทษของฉัน ฉันถูกย้ายไปยังเรือนจำหญิงระดับมณฑลเพื่อรับโทษที่เหลือของฉัน ในคุก พวกเราตกอยู่ภายใต้การปฏิบัติซึ่งไร้ความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นไปอีก พวกเราถูกบังคับให้ทำงานที่ใช้แรงงานทุกวัน และข้อพึงประสงค์ด้านปริมาณงานประจำวันของพวกเราก็มากเกินไปจากสิ่งซึ่งใครก็ตามจะสามารถทำจนครบบริบูรณ์ได้อย่างสมเหตุสมผล หากพวกเราไร้ความสามารถที่จะทำงานของพวกเราจนเสร็จสิ้น พวกเราก็จะตกอยู่ภายใต้การลงโทษทางกาย เงินเกือบจะทั้งหมดที่หามาได้โดยผ่านทางแรงงานของพวกเราไปอยู่ในกระเป๋าของผู้คุมห้องขัง พวกเราได้รับเพียงไม่กี่หยวนเท่านั้นในแต่ละเดือนสำหรับค่าเลี้ยงชีพที่ควรได้ แนวทางที่เป็นทางการซึ่งเรือนจำใช้ก็คือ เรือนจำให้การเรียนรู้ใหม่แก่นักโทษโดยผ่านทางแรงงาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็เป็นแค่เครื่องจักรทำเงินของพวกเขา เป็นผู้รับใช้ซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง จากที่ปรากฏทั้งหมด ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์ของเรือนจำสำหรับการลดหย่อนโทษของนักโทษนั้นมีมนุษยธรรมมาก—นักโทษสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการลดหย่อนโทษซึ่งเหมาะสมสำหรับพวกเขาได้หากเข้าเกณฑ์เงื่อนไขเฉพาะบางอย่าง แต่ในความจริงแล้ว นี่ก็เป็นแค่ฉากหน้า และก็แค่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งภาพลักษณ์ อันที่จริงทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ที่เรียกกันว่าระบบซึ่งมีมนุษยธรรมนั้น ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าคำพูดว่างเปล่าบนกระดาษ กล่าวคือ คำสั่งทั้งหลายซึ่งออกโดยตัวผู้คุมเองโดยเฉพาะนั้น เป็นเพียงกฎหมายจริงอย่างเดียวเท่านั้นของแผ่นดิน เรือนจำควบคุมยอดรวมของการลดหย่อนโทษประจำปีอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจในสมรรถนะทางด้าน “แรงงาน” ที่พอเพียง และเพื่อรับประกันว่ารายได้ของผู้คุมเรือนจำจะไม่ลดลง “การลดหย่อนโทษ” เป็นเทคนิคที่เรือนจำได้นำมาใช้เพื่อเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน ในบรรดานักโทษหลายร้อยคนในเรือนจำ มีเพียงร้อยละสิบหรือประมาณนั้นเท่านั้นที่จะได้รับ “การลดหย่อนโทษ” และดังนั้น ผู้คนจะทำงานหนักสายตัวแทบขาด เล่นเล่ห์เพทุบายใส่กันเพื่อให้ได้มันมา อย่างไรก็ตาม นักโทษส่วนใหญ่ซึ่งจะลงเอยด้วยการได้รับ การลดหย่อนโทษนั้น ก็คือพวกที่มีสายสัมพันธ์กับตำรวจ ซึ่งไม่ได้จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติงานที่ใช้แรงกายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บรรดานักโทษไม่มีตัวเลือก นอกจากจะเก็บความคับข้องใจของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้กับตัวพวกเขาเอง บางคนฆ่าตัวตายเป็นการประท้วง แต่หลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นแล้ว เรือนจำก็แค่จะสร้างเรื่องราวขึ้นมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อระงับความไม่พอใจของครอบครัวของเหยื่อ ดังนั้น ความตายของพวกเขาจึงล้วนแต่สูญเปล่า ในเรือนจำนั้น ผู้คุมไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเราดังเช่นมนุษย์ หากพวกเราต้องการที่จะพูดคุยกับพวกเขา พวกเราจำเป็นต้องนั่งย่อลงกับพื้นและแหงนขึ้นไปมองพวกเขา และหากมีอะไรสักอย่างที่พวกเขาไม่ชอบ พวกเขาจะด่าทอและดูถูกพวกเราด้วยคำพูดสกปรกหยาบคาย เมื่อสามปีครึ่งอันยาวนานแห่งการลงโทษของฉันได้มาถึงปลายทางแล้วในที่สุด และฉันก็ได้กลับมาบ้าน ครอบครัวของฉันไม่สามารถสวมหน้ากากปิดบังความเจ็บปวดรวดร้าวที่พวกเขารู้สึกเมื่อได้เห็นฉันดูเหมือนโครงกระดูกมนุษย์ บอบบางและหมดสภาพมากจนกระทั่งแทบจะไม่มีใครจำได้ และน้ำตามากมายก็หลั่งรินออกมา อย่างไรก็ตาม หัวใจของพวกเราก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสำนึกบุญคุณแด่พระเจ้า พวกเราขอบคุณพระเจ้าที่ฉันยังคงมีชีวิตอยู่ และสำหรับการที่ได้ทรงอารักขาฉัน จนกระทั่งฉันมีความสามารถที่จะโผล่ขึ้นจากนรกบนดินขุมนั้นได้แบบไม่ยุบบุบสลาย
เพียงภายหลังจากที่ฉันได้กลับบ้านแล้วเท่านั้น ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ในขณะที่ฉันถูกกักกันตัวอยู่นั้น ตำรวจเลวได้มารื้อค้นและตรวจค้นทั่วบ้านอย่างเมามันถึงสองครั้ง พ่อแม่ของฉันซึ่งเชื่อในพระเจ้าทั้งคู่ ได้หนีไปจากบ้านของพวกท่าน และใช้เวลาเกือบสองปีในการหลบหนีเพื่อเลี่ยงหนีการจับกุมโดยรัฐบาล จนในที่สุดเมื่อพวกท่านได้กลับบ้าน วัชพืชในลานบ้านก็โตขึ้นจนสูงเท่าตัวบ้าน หลายส่วนของหลังคาได้ยุบตัวร่วงลงมา และบ้านทั้งหลังคือความระเกะระกะรุงรังที่น่าสะพรึงกลัว ตำรวจยังเที่ยวได้ไปทั่วหมู่บ้านของพวกเรา และแพร่กระจายคำโกหกเกี่ยวกับพวกเราอีกด้วย กล่าวคือ พวกเขาพูดว่า ฉันได้โกงเงินใครบางคนเป็นจำนวนมากถึงหนึ่งล้านไปจนถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน และพูดว่า พ่อแม่ของฉันได้โกงเงินใครบางคนเป็นจำนวนเงินหลายแสนหยวนเพื่อส่งน้องชายคนเล็กของฉันเรียนวิทยาลัย พวกปีศาจแก๊งนี้คือพวกนักโกหกมืออาชีพที่ผ่านการรับรอง ไม่มีใครเก่งเกินพวกมันแล้วในเกมนี้! ในข้อเท็จจริงนั้น เนื่องจากพ่อแม่ของฉันได้หนีไปจากบ้าน น้องชายคนเล็กของฉันจึงจำเป็นต้องใช้เงินทุนการศึกษาและเงินกู้มาชำระค่าเล่าเรียนของเขาและเรียนจนจบวิทยาลัย ที่มากกว่านั้นก็คือ เมื่อเขาจากบ้านไปทำงาน ก่อนอื่นเขาจำเป็นที่จะต้องเก็บเล็กผสมน้อยเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยการขายผลิตผลธัญพืชที่ครอบครัวของพวกเราปลูกไว้และการเก็บลูกซานจาเอาไปขาย กระนั้นพวกมารเหล่านั้นก็กระทำการอย่างไร้มโนธรรม โดยการใส่ความครอบครัวของฉันด้วยการปรักปรำอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นข่าวลือที่ยังคงแพร่กระจายจวบจนวันนี้ แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันยังคงถูกหมู่บ้านของฉันเดียดฉันท์ เพราะภาพพจน์ของฉันในฐานะนักโทษการเมืองและนักต้มตุ๋น ฉันเกลียดชังพรรคคอมมิวนิสต์จีนจริงๆ—แก๊งพวกมาร!
เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงหลายปีของฉันซึ่งใช้ไปในการติดตามพระเจ้า ฉันเพียงแต่ได้ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนในระดับทฤษฎี แต่ยังไม่ได้เคยเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นอย่างแท้จริงเลย เพราะตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันถูกปลูกฝังไปด้วยหลักความเชื่อเกี่ยวกับ “การเรียนรู้การรักชาติ” ซึ่งเป็นตัวกำหนดเงื่อนไขและหลอกลวงฉันอย่างเป็นระบบให้ไปสู่การคิดในรูปแบบเฉพาะบางอย่าง ฉันถึงขึ้นคิดว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นการพูดเกินจริงเสียด้วยซ้ำ—ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทิ้งความปลาบปลื้มชื่นชูของฉันที่มีต่อประเทศของตัวเองได้เลย โดยคิดว่าพรรคคอมมิวนิสต์ถูกต้องเสมอ ว่ากองทัพปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเรา และว่าตำรวจลงโทษและถอนรากถอนโคนองค์ประกอบชั่วจากสังคม และคุ้มภัยผลประโยชน์ของสาธารณะ มีเพียงโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์จากการข่มเหงด้วยน้ำมือของพวกปีศาจเหล่านั้นเท่านั้น ฉันจึงได้มาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคนี้มันหลอกลวงและหน้าซื่อใจคดขั้นสูงสุด และได้ตบตาประชาชนจีนและทั้งโลกด้วยคำโกหกของมันเป็นเวลาหลายปี พรรคนี้ทำเป็นเอ่ยอ้างซ้ำๆ ว่าจะค้ำจุน “อิสรภาพแห่งการเชื่อและสิทธิตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย” แต่ในความเป็นจริงแล้ว พรรคนี้ข่มเหงการเชื่อทางศาสนาอย่างวิปริตป่าเถื่อน ทั้งหมดที่พรรคนี้ค้ำจุนจริงๆ ก็คือ ระบบทรราชย์ การควบคุมแบบบังคับ และอำนาจเผด็จการของพรรคเอง แม้ว่าเนื้อหนังของฉันได้ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงในครรลองของการข่มเหงอันโหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และฉันถูกทำให้เจ็บปวดและอ่อนแอ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันและได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ฉันมีความสามารถที่จะมองทะลุปรุโปร่งถึงกลอุบายของซาตาน และยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้าได้ ในเวลาเดียวกัน ฉันก็มีสำนึกอันลุ่มลึกเกี่ยวกับความรักและความพระทัยดีมีเมตตาของพระเจ้า และความเชื่อของฉันที่จะติดตามพระเจ้าก็มีความแข็งแกร่งขึ้น ไม่ผิดจากที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกโฉมหน้าที่น่าขยะแยงของปีศาจตนนี้ออก และเปิดโอกาสให้ผู้คน ผู้ซึ่งถูกทำให้มืดบอด และผู้ซึ่งได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและหันหลังของพวกเขาให้แก่มารชั่วที่แก่ชราตนนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ตอนนี้ฉันได้หวนคืนสู่คริสตจักรแล้ว และฉันก็กำลังลุล่วงหน้าที่ของฉันโดยการประกาศข่าวประเสริฐ คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!