25. หลังจากที่ฉันถูกรายงาน

โดย จูดี, ประเทศเกาหลีใต้

วันหนึ่งใน ค.ศ. 2016 จู่ๆ ฉันก็ได้รับจดหมายรายงานเรื่องฉัน  มันถูกเขียนโดยพี่น้องหญิงสองคนที่ฉันได้ปลดออกไปก่อนหน้านี้  พวกเธอรายงานว่าฉันกระทำการตามอำเภอใจและเผด็จการในหน้าที่ของฉันที่คริสตจักรของพวกเขา ได้เลื่อนขั้นให้คนสองคนซึ่งลงเอยด้วยการเป็นผู้นำเทียมเท็จ และหนึ่งในนั้นซึ่งแซ่จางเป็นคนทำชั่วที่หลังจากกลายเป็นผู้นำก็ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก จนเกือบทำให้งานของทั้งคริสตจักรเป็นอัมพาต  ในจดหมายยังพูดด้วยว่า หากตอนนั้นฉันรับฟังคำแนะนำของพวกเธอ หรือใช้เวลามากขึ้นในการสอบถามไปรอบๆ ในหมู่พี่น้องชายหญิง ฉันก็จะไม่เลือกผู้นำเทียมเท็จสองคนนั้น หรือเป็นเหตุให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักร  เมื่อได้อ่านจดหมายนี้ ฉันก็อึ้งไปและกลัวนิดหน่อย  ฉันคิดว่า “เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?  ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่”  ฉันไม่อาจยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้จริงๆ  ฉันมีความคิดเห็นที่ไม่ดีต่อพี่น้องหญิงสองคนที่เขียนจดหมายนี้ และคิดว่าพวกเธอกำลังพยายามแก้แค้นฉัน  เดิมทีแล้ว พวกเธอเป็นผู้นำของคริสตจักรนั้น แต่พวกเธอมีขีดความสามารถที่แย่และไม่ได้ทำงานจริง  พวกเธอปกป้องและเป็นโล่กำบังให้กับพวกผู้นำเทียมเท็จ และพวกเธอกล่าวโทษและโจมตีบรรดาผู้ที่รายงานพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจึงถูกแทนที่ในท้ายที่สุด  ฉันจำได้ว่า ฉันได้ขอความคิดเห็นของพวกเธอไปเมื่อตอนที่ฉันกำลังเลื่อนขั้นให้คุณจาง—ทั้งหมดที่พวกเธอพูดก็คือ คุณจางมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่และไม่สามารถให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้  พวกเธอไม่เคยพูดอย่างเฉพาะเจาะจงลงไปว่าคุณจางเป็นคนทำชั่ว  แต่ตอนนี้เมื่อคุณจางถูกเปิดเผย พวกเธอกลับรายงานเรื่องฉัน  พวกเธอไม่ใช่แค่เคืองแค้นที่ฉันถอดพวกเธอออกหรอกหรือ?  นอกจากนี้แล้ว ในเวลานั้น การจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รุนแรงมาก และสถานการณ์ก็หนักหนาเสียจนพวกเราไม่อาจจัดการเลือกตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมได้ และเวลานั้นก็หาผู้สมัครรับเลือกที่เหมาะสมไม่ได้เลย  คุณจางครองขีดความสามารถที่ดีกว่าและมีวิจารณญาณมากกว่าผู้อื่นพอประมาณ ดังนั้นในสถานการณ์นั้น ฉันจะเลือกใครอื่นได้เล่า?  ใครบางคนจำเป็นต้องได้รับการเลือกให้เป็นผู้นำ  ตอนที่เลื่อนขั้นให้คุณจาง ฉันก็ได้ไต่ถามพี่น้องชายหญิงไปอีกหลายคนด้วยเช่นกัน และไม่มีใครบอกฉันเลยว่าเธอเป็นคนทำชั่ว  ทุกคนทำผิดพลาดในหน้าที่ของตนเอง  ใครเล่าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้ของใครบางคนได้นับแต่แวบแรกที่ตวัดตามอง?  การที่คัดเลือกได้ผู้นำซึ่งไม่เหมาะสมนั้นเป็นเรื่องปกติ  ใครเล่าที่สามารถรับประกันได้ว่าคนที่ใช่นั้นได้รับเลือกเสมอ?  พวกเธอไม่ได้แค่กำลังจู้จี้จับผิดอยู่หรอกหรือ?  ในสมองของฉันเฝ้าพยายามหาเหตุผลให้ตนเอง  ฉันขัดขืนต่อจดหมายรายงานฉบับนั้นอย่างมาก  แต่สองคนที่ถูกเอ่ยถึงในรายงานก็ถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จจริงๆ และคุณจางก็ถูกเปิดเผยว่าเป็นคนทำชั่ว  ในฐานะผู้นำ พวกเขาได้ทำความเสียหายร้ายแรงต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ไม่มีหนทางหลบหลีกข้อเท็จจริงที่ฉันเผชิญอยู่ได้  ฉันยอมรับไปอย่างอิดออดว่า ฉันไม่สามารถรู้เท่าทันผู้คน ว่าฉันโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และใช้ผู้คนอย่างมืดบอด  แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงหรือทบทวนปัญหาของตนเอง และในท้ายที่สุด เรื่องนั้นก็เลยผ่านไป

ฉันต้องประหลาดใจเมื่อผู้นำของฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังเปิดโปงฉันที่ใช้คนทำชั่วเป็นผู้นำโดยไม่ฟังคำเตือน รวมทั้งโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  ตอนนั้นเองที่ฉันมีความตระหนักขึ้นบ้าง  ฉันได้ทำความผิดพลาดไปจริงๆ หรือ?  ฉันคิดว่าตนชอบธรรมเสมอและโอหังเกินไปจริงๆ หรือ?  แต่ในสถานการณ์นั้น ฉันจะทำให้เป็นแบบอื่นไปได้อย่างไร?  ฉันไม่เข้าใจว่าฉันทำผิดพลาดตรงไหน  ในการแสวงหา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ยิ่งเจ้ารู้สึกมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าทำได้ดี หรือทำในสิ่งที่ถูกในหลายด้านเฉพาะ และยิ่งเจ้าคิดมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือมีความสามารถที่จะอวดตัวในบางด้าน เช่นนั้นแล้วการรู้จักตัวเจ้าเองในด้านเหล่านั้นก็จะคุ้มค่ามากขึ้น และการขุดลึกลงไปในด้านเหล่านั้นเพื่อดูว่าเจ้ามีความมีราคีใดอยู่ในตัวก็ย่อมจะคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงดูว่าอะไรคือสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าที่ไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้… นี่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีคือสิ่งที่เจ้าจะกำหนดว่าถูกต้อง และเจ้าจะไม่กังขา คิดทบทวน หรือชำแหละว่าสิ่งนั้นมีอะไรที่ต้านทานพระเจ้าหรือไม่(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกฉันให้ตื่น และให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน  เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลา ฉันก็จะใคร่ครวญเรื่องนี้ และด้วยการแสวงหา ฉันจึงได้ตระหนักว่า ฉันคิดว่าตนชอบธรรมเสมอและโอหังเกินไปจริงๆ  นับตั้งแต่ฉันได้รับจดหมาย ฉันก็เสนอเหตุผลให้กับตนเองตลอดมา—สถานการณ์ในตอนนั้นหนักหนามาก เราไม่สามารถจัดการเลือกตั้งแบบปกติขึ้นได้ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกที่เหมาะสมเลย  คุณจางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ และในบริบทนั้น การคัดเลือกเธอก็ไม่ใช่ความผิดพลาด  ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่า ต่อมาเธอจะถูกเปิดเผยว่าเป็นคนทำชั่ว  แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันไม่ได้ตั้งใจแต่งตั้งคนทำชั่วให้ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้ทบทวนหรือพยายามรู้จักตนเอง และฉันต่อต้านและไม่ชอบพี่น้องหญิงที่เขียนจดหมายรายงานนั้นอย่างมาก และถึงกับตัดสินอยู่ในใจว่า พวกเธอจงใจพยายามจับผิดฉัน  เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ตอนที่ฉันเลือกคุณจาง พี่น้องหญิงสองคนนี้ได้ชี้ให้เห็นจริงๆ ว่าคุณจางมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่  ฉันยังรู้ด้วยว่าพวกเธอเป็นกังวลว่าการเลือกคนทำชั่วเป็นผู้นำจะทำให้งานของคริสตจักรเสียหาย แต่ ณ เวลานั้น พวกเธอไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของคุณจางได้อย่างชัดเจน พวกเธอจึงไม่กล้าพอที่จะกล่าวโทษคุณจางตรงๆ ว่าเป็นคนทำชั่ว  แต่ฉันคิดว่าตนชอบธรรมเสมอและโอหังเกินไป รวมทั้งดูแคลนพวกเธอ  ฉันรู้สึกว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่พวกเธอได้เลือกระหว่างช่วงเวลาที่พวกเธอเป็นผู้นำนั้นแย่—หากพวกเธอไม่อาจประเมินตัดสินผู้คนได้ คำแนะนำของพวกเธอจะมีประโยชน์อะไรเล่า?  หลังความมุมานะอย่างหนัก พอในที่สุดฉันก็ได้พบใครบางคนที่จะรับช่วงงานของพวกเธอต่อ พวกเธอกลับไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้  ฉันคิดไปว่าพวกเธอจงใจจู้จี้จับผิด ฉันจึงไม่ฟังพวกเธอเลยสักนิด  ตอนนี้ เมื่อฉันละวางตนเองลง ทบทวน และแสวงหาความจริง ฉันก็ตระหนักว่า ในวิธีที่ฉันเลือกผู้นำนั้นมีปัญหาอยู่จริงๆ  ถึงแม้ว่า ไม่ต้องไปถามหาการเลือกตั้งตามปกติ แต่ทว่าก่อนการคัดเลือกผู้นำ ฉันก็ควรได้แสวงหาการยินยอมจากบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริง  ฉันเพียงแค่หารือเรื่องนี้กับพี่น้องหญิงคู่ทำงานของฉันเท่านั้น และถามผู้คนอีกไม่กี่คนว่าพวกเขารู้สึกเกี่ยวกับคุณจางอย่างไร  พี่น้องหญิงสองคนที่เขียนจดหมายรายงานฉันไม่เห็นด้วยกับทางเลือกของฉันในเรื่องเหล่านี้ แต่เนื่องจากอคติที่ฉันมีต่อพวกเธอ ฉันจึงไม่แสวงหาเพิ่มเติม  ฉันแค่พึ่งพาการทึกทักแบบเอาตัวเองเป็นที่ตั้งในการคิดว่าคุณจางเป็นผู้นำที่เหมาะสม  ในเรื่องนี้ ชัดเจนเลยว่าฉันได้ล่วงละเมิดหลักธรรมของการเลื่อนขั้นผู้คนไปสู่ตำแหน่งผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันไม่ได้มองหาบรรดาผู้รู้ให้มากขึ้นกว่านั้น เพื่อให้ได้รับความเข้าใจและมีความชัดเจนในผลการการปฏิบัติงานตามปกติของคุณจาง ทั้งยังไม่ได้แสวงหาจากบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริง  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อถูกเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป ฉันก็โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  ฉันปฏิเสธและเพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะของผู้อื่น และแต่งตั้งคุณจางเป็นผู้นำโดยเผด็จการตามการตัดสินใจเลือกของฉันเอง  ฉันกระทำการไปโดยขาดสติอย่างแท้จริง  พระนิเวศของพระเจ้าได้ย้ำแล้วย้ำอีกเสมอมาว่า สิ่งต้องห้ามใหญ่หลวงที่สุดในการคัดเลือกผู้นำก็คือ การเลือกพวกคนทำชั่วและคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ตอนที่พี่น้องหญิงทั้งสองพูดว่าคุณจางมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่นั้น หากฉันมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจริงๆ ก่อนการคัดเลือกคุณจาง ฉันก็คงจะถามผู้คนที่รู้ดีทั้งหมดให้มากคนขึ้นไปอีก ทำให้ภาวะของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณจางเป็นที่ชัดเจน และลงความเห็นว่าเธอเป็นคนทำชั่วหรือไม่  หากว่าหลังจากที่ได้สืบค้นดูแล้วฉันยังไม่แน่ใจ และไม่มีใครอื่นที่เหมาะสม ฉันก็สามารถใช้เธอได้โดยเฝ้าสังเกตเธอไปพลาง จากนั้นก็ปลดเธอเมื่อฉันค้นพบว่าเธอไม่ใช่คนดีและไม่ได้อยู่บนหนทางที่ถูกต้อง  นี่ย่อมจะไม่เป็นเหตุให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก  ถ้าฉันได้มีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจสักนิด ย่อมไม่มีทางที่ฉันจะได้คัดเลือกใครบางคนอย่างเรียบง่ายให้เป็นผู้นำ แล้วก็คิดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อยและล้างมือไปจากเรื่องนั้น  ตอนนี้ฉันได้เห็นว่า สิ่งที่ฉันเคยคิดว่าถูกต้อง สิ่งที่ฉันยึดถือว่าถูกต้อง ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดของตัวฉันเอง มันคือมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของฉัน  ฉันคิดมาตลอดว่าตนชอบธรรมเสมอและยึดถือแนวคิดของตนเองอย่างดื้อดึง และผลลัพธ์ก็คือ ฉันปล่อยให้คนทำชั่วรับใช้ในฐานะผู้นำนานกว่าหนึ่งปี ซึ่งเกือบทำให้งานทั้งหมดของคริสตจักรเป็นอัมพาต  ตอนนี้เองที่ฉันได้ตระหนักในที่สุดว่า ฉันไม่ได้แค่ทำข้อผิดพลาดเล็กๆในการคัดเลือกผู้นำ แต่ฉันได้ทำความชั่ว ทำบางสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างร้ายแรง  เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรติดตามพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และบรรลุความรอด พวกเขาต้องมีผู้นำที่ดี แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อการเลือกผู้นำเหมือนเป็นเรื่องจริงจังเลย  ฉันไม่ได้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ฉันไม่เพียงล้มเหลวในการเลือกผู้นำที่ดีสำหรับเหล่าพี่น้องชายหญิงของฉันเท่านั้น ฉันยังให้คนทำชั่วไปทำตำแหน่งสำคัญ และปล่อยให้เธอทำอันตรายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ฉันไม่ได้ใส่ใจหรือรับผิดชอบต่อชีวิตของพี่น้องชายหญิงของฉันเลย  การที่ฉันมีท่าทีต่อหน้าที่เช่นนี้ ฉันเหมาะต่อการเป็นผู้นำได้อย่างไร?  ในการเลือกผู้นำ ฉันมุทะลุ บุ่มบ่าม และสะเพร่า รวมทั้งคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอและโอหังมากเสียจนเมื่อผู้อื่นพยายามเตือนใจฉัน ฉันกลับไม่สนใจเลย  ฉันเผด็จการและทำตามอำเภอใจ และผลลัพธ์ก็คือ งานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง  ไม่มีหนทางที่ฉันจะสามารถชดเชยความเสียหายนั้นได้เลย  ฉันได้เลือกผู้นำชั่วให้แก่เหล่าพี่น้องชายหญิงของฉันและได้ทำความชั่วไปมากมาย และเมื่อพี่น้องหญิงของฉันสองคนรายงานและเปิดโปงฉัน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดแต่อย่างใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับทัดทานและปกป้องตนเอง  ฉันช่างดื้อรั้นและน่ารังเกียจเหลือเกิน!

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มทบทวนว่าเหตุใดฉันจึงโอหังและเผด็จการเสียจนไม่สามารถรับคำแนะนำหรือแสวงหาหลักธรรมความจริงได้  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใด?  พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเรื่องนี้อย่างไร?  มีอยู่วันหนึ่ง ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “การทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกเป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เด่นชัดที่สุดของมนุษย์ และหากผู้คนไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจะไม่มีทางชำระอุปนิสัยนี้ให้สะอาดได้  ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก และพวกเขาก็ทะนงตนอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาคิดอะไรหรือพูดสิ่งใด หรือพวกเขามองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างไร พวกเขาก็คิดอยู่เสมอว่ามุมมองและท่าทีของพวกเขาเองถูกต้อง และคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นไม่ดีเท่าหรือไม่ถูกต้องเท่าสิ่งที่พวกเขาพูด  พวกเขายึดติดกับความคิดเห็นของตนเองอยู่ตลอดเวลา และไม่ว่าใครพูด พวกเขาก็จะไม่ฟังคนเหล่านั้น  ต่อให้สิ่งที่คนอื่นพูดนั้นถูกต้อง หรือเป็นไปแนวเดียวกับความจริง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับสิ่งนั้น พวกเขาเพียงดูเหมือนจะรับฟัง แต่พวกเขาจะไม่นำแนวคิดนั้นมาใช้จริง และเมื่อถึงเวลากระทำ  พวกเขาจะยังคงทำสิ่งทั้งหลาย ตามหนทางของตนเอง พลางคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้องและสมเหตุสมผล  อันที่จริงเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องและสมเหตุสมผล หรือสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้องและไร้ที่ติ ทว่าเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยประเภทใดออกมา?  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแห่งความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่สลัดอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอนี้ทิ้งไป สิ่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรอกหรือ?  สิ่งนี้จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่แก้ไขอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนเองถูกของเจ้า สิ่งนี้จะไม่ทำให้เกิดความพลาดพลั้งอันร้ายแรงในอนาคตหรอกหรือ?  แน่นอนว่าเจ้าจะประสบกับความพลาดพลั้ง นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้  จงบอกเราเถิดว่า พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นของมนุษย์ได้หรือไม่?  พระเจ้ายิ่งกว่าสามารถทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นได้!  ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คนเท่านั้น พระองค์ยังทรงสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขาตลอดทุกสถานที่และทุกเวลาอีกด้วย  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมนี้ของเจ้า พระองค์จะตรัสเช่นไร?  พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าช่างไม่ยอมอ่อนข้อ!  การที่เจ้าอาจยึดติดกับแนวคิดของตนเองในยามที่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เมื่อเจ้ารู้แน่ชัดว่าเจ้าทำผิดพลาด แต่ยังคงยึดติดกับแนวคิดของตนและจะตายไปโดยไม่ทันกลับใจ เจ้าก็เป็นเพียงคนโง่จอมดื้อรั้น และเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก  ไม่ว่าผู้ใดเสนอแนะ หากเจ้ามีท่าทีที่ขัดขืนและคิดลบต่อข้อเสนอแนะนั้นอยู่เสมอและไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และหากหัวใจของเจ้าขัดขืน ปิดตาย และไม่ไยดีอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นเจ้าก็ช่างน่าขัน เจ้าคือคนไร้สาระ!  เจ้าเป็นพวกที่จัดการได้ยากเกินไป!’  เจ้าจัดการได้ยากเกินไปในหนทางใด?  เจ้าเป็นคนที่จัดการได้ยากเพราะสิ่งที่เจ้าแสดงออกไม่ใช่การเข้าหาที่ผิด หรือพฤติกรรมที่ผิด ทว่าเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยของเจ้า  นี่เป็นการเผยอุปนิสัยอะไรออกมา?  อุปนิสัยที่รังเกียจและชิงชังความจริงนั่นเอง  เมื่อเจ้าถูกระบุว่าเป็นคนที่ชิงชังความจริง ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก และพระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และเมินเจ้า  จากมุมมองของผู้คน อย่างมากที่สุดที่พวกเขาจะกล่าวก็คือ ‘อุปนิสัยของบุคคลนี้แย่ พวกเขาดันทุรัง ไม่ยอมอ่อนข้อ และโอหังอย่างเหลือเชื่อ!  บุคคลนี้เข้ากับคนอื่นได้ยากลำบากและไม่รักความจริง  พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงและไม่นำความจริงมาปฏิบัติ’  อย่างมากที่สุดทุกคนก็จะให้การประเมินนี้แก่เจ้า แต่การประเมินนี้สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้หรือไม่?  การประเมินที่ผู้คนมอบให้เจ้าไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องไม่ลืม นั่นคือพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของผู้คน และขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงเฝ้าสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา  หากพระเจ้าทรงนิยามเจ้าในหนทางนี้และตรัสว่าเจ้าชิงชังความจริง หากพระองค์ไม่ได้เพียงตรัสว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเล็กน้อย หรือตรัสว่าเจ้าไม่เชื่อฟังเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  (นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง)  เรื่องนี้หมายถึงความเดือดร้อน และความเดือดร้อนนี้ก็ไม่อยู่ในหนทางที่ผู้คนมองเห็นเจ้า หรือในหนทางที่พวกเขาประเมินเจ้าอย่างไร ความเดือดร้อนนี้อยู่ที่พระเจ้าทรงมีทรรศนะอย่างไรต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าที่ชิงชังความจริง  แล้วพระเจ้าทรงมีทรรศนะต่ออุปนิสัยนี้อย่างไร?  พระเจ้าทรงกำหนดแล้วหรือว่าเจ้าชิงชังและไม่รักความจริง และนั่นคือทั้งหมดหรือ?  ง่ายดายเช่นนั้นหรือ?  ความจริงมาจากที่ใด?  ความจริงเป็นตัวแทนของใคร?  (ความจริงเป็นตัวแทนของพระเจ้า)  จงไตร่ตรองในเรื่องนี้ว่า หากบุคคลหนึ่งชิงชังความจริง เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของพระเจ้า พระองค์จะทรงมีทรรศนะต่อพวกเขาอย่างไร?  (ในฐานะศัตรูของพระองค์)  นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  เมื่อบุคคลหนึ่งชิงชังความจริง พวกเขาย่อมชิงชังพระเจ้า!  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาชิงชังพระเจ้า?  พวกเขาสาปแช่งพระเจ้าหรือ?  พวกเขาต่อต้านพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือ?  พวกเขาตัดสินหรือกล่าวโทษพระองค์ลับหลังพระองค์หรือ?  ไม่จำเป็นเลย  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวว่าการเผยอุปนิสัยที่ชิงชังความจริงคือการชิงชังพระเจ้า?  นี่ไม่ใช่การทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทว่าคือความเป็นจริงของสถานการณ์นี้  เรื่องนี้เหมือนกับฟาริสีหน้าซื่อใจคดที่ตรึงองค์พระเยซูเจ้าบนกางเขนเพราะพวกเขาชิงชังความจริง—ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายนัก  เรื่องนี้หมายความว่าหากบุคคลหนึ่งมีอุปนิสัยที่รังเกียจและชิงชังความจริง พวกเขาอาจเผยอุปนิสัยนั้นออกมาได้ทุกที่และทุกเวลา และหากพวกเขาใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยนี้ พวกเขาจะไม่ต่อต้านพระเจ้าหรือ?  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือการตัดสินใจเลือก หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ อีกทั้งพวกเขาใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็ย่อมจะต่อต้านและทรยศพระเจ้าตามธรรมชาติ เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นอุปนิสัยที่ชิงชังพระเจ้าและชิงชังความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์)  พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้เห็นแก่นแท้และปมของปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะเหล่านี้ที่ว่า “เจ้าจัดการได้ยากเกินไปในหนทางใด?  เจ้าเป็นคนที่จัดการได้ยากเพราะสิ่งที่เจ้าแสดงออกไม่ใช่การเข้าหาที่ผิด หรือพฤติกรรมที่ผิด ทว่าเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยของเจ้า  นี่เป็นการเผยอุปนิสัยอะไรออกมา?  อุปนิสัยที่รังเกียจและชิงชังความจริงนั่นเอง”  พระวจนะส่วนนี้เสียดแทงหัวใจฉัน และกระทบใจฉันอย่างหนักจริงๆ  ฉันไม่ได้คาดคิดว่า สำหรับพระเจ้าแล้ว อุปนิสัยโอหังที่ฉันได้เปิดเผยนั้นน่าเกลียดชัง น่ารังเกียจ และเป็นการไม่ยอมรับความจริง  นี่คืออุปนิสัยของคนทำชั่วและศัตรูของพระคริสต์!  ถ้าพระเจ้าทรงนิยามฉันว่าเป็นคนที่เกลียดชังและรังเกียจความจริง เช่นนั้นนี่ก็จะทำให้ฉันเป็นมาร เป็นซาตาน และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  ฉันรู้สึกกลัวมาก  แม้ฉันจะรู้ว่าฉันมีอุปนิสัยโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ไม่รับคำแนะนำจากผู้อื่นโดยง่าย และกระทำการฝ่าฝืนบางอย่างเนื่องจากเรื่องนี้ แต่ฉันก็แค่ยอมรับรู้เรื่องนี้ไปเฉยๆ เท่านั้น  บางครั้ง ฉันถึงกับคิดว่า ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอนั้น เป็นลักษณะนิสัยทั่วไปของมนุษย์ที่เสื่อมทรามและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ ดังนั้นฉันจึงทำตามใจตนเองและไม่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหาร้ายแรงที่ฉันจำเป็นต้องแก้ไข  เพราะเหตุนี้ บ่อยครั้งที่ฉันเปิดเผยอุปนิสัยโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอในหน้าที่ของตนเอง แต่ก็มองผ่านมันไป  ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจและสำนึกผิดก็ต่อเมื่อได้รับการตัดแต่ง แล้วจากนั้นก็จะหักห้ามใจตนเองอย่างมีสติ แต่หลังจากนั้น ฉันก็ยังเปิดเผยอุปนิสัยเหล่านี้โดยไม่ตั้งใจอีกบ่อยครั้งอยู่ดี  บรรดาผู้ที่รู้จักฉันประเมินว่าฉันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และในงานที่ผู้นำมอบให้ฉัน เขามักจะย้ำเตือนและอบรมฉันไม่ให้โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ รวมทั้งให้รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้น เพื่อไม่ให้ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอของฉันทำอันตรายงานของคริสตจักร  ตอนนี้ โดยผ่านทางสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผย ฉันจึงได้เห็นว่าฉันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และไม่ยอมรับความจริง และดังนั้น ไม่สำคัญว่าความคิดเห็นของผู้อื่นจะถูกต้องหรือเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรอย่างไร ฉันก็เกาะเกี่ยวอยู่กับแนวคิดของตนเองอย่างดื้อรั้น  หากใครก็ตามสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงหรือให้ข้อเสนอแนะ ฉันก็จะไม่ชอบและต่อต้านพวกเขา  ฉันเกลียดและไม่ยอมที่จะทนให้กับใครก็ตามที่เปิดโปงฉัน  นี่แสดงให้เห็นว่าฉันมีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ในเรื่องของการเกลียดชังและการรังเกียจความจริง  ตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียวนั้น พี่น้องหญิงสองคนของฉันได้เตือนใจฉันไปแล้วเกี่ยวกับผู้นำที่ไม่มีความเหมาะสมซึ่งฉันได้เลือกไป ด้วยความที่กลัวว่าฉันจะปล่อยให้คนทำชั่วทำอันตรายต่อคริสตจักร แต่ฉันกลับไม่ฟังคำแนะนำของพวกเธอเลย และยืนกรานอย่างดื้อรั้นในทรรศนะของตัวเอง  ตอนนี้เมื่อพี่น้องหญิงสองคนนี้ไม่รู้สึกว่าถูกตำแหน่งของฉันจำกัดบังคับอยู่อีกต่อไป พวกเธอจึงเขียนจดหมายเพื่อเปิดโปงฉันและรายงานปัญหาทั้งหลายของฉัน  พวกเธอทำสิ่งนี้ก็เพื่อปกป้องงานของคริสตจักร แต่มันยังทำหน้าที่เป็นคำเตือนหนึ่งให้กับฉันด้วย  ฉันไม่เพียงไม่ยอมที่จะยอมรับหรือทบทวน หรือพยายามที่จะรู้จักตนเองเท่านั้น แต่ในหัวใจฉันกลับรังเกียจพวกเธอ ปฏิเสธพวกเธอ และถึงขั้นตัดสินและกล่าวโทษพวกเธอว่า พยายามที่จะได้บางสิ่งที่สามารถใช้ต่อต้านฉันไปอีกด้วย  ท่าทีนี้ไม่ใช่อะไรนอกจากการเกลียดและชิงชังความจริงไม่ใช่หรือ?  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ผู้คนประเภทไหนเป็นพวกที่รังเกียจความจริง?  พวกเขาใช่พวกที่ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาอาจจะไม่ได้ขัดขืนพระเจ้าอย่างเปิดเผย แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า ซึ่งเทียบได้กับการบอกพระเจ้าอย่างเปิดเผยว่า ‘ข้าพระองค์ไม่ชอบฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส ข้าพระองค์ไม่ยอมรับสิ่งนั้น และเนื่องจากข้าพระองค์ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง ข้าพระองค์จึงไม่เชื่อในพระองค์  ข้าพระองค์เชื่อในผู้ใดก็ตามที่ให้ผลกำไรและให้ประโยชน์แก่ข้าพระองค์’  นี่คือท่าทีของผู้ไม่มีความเชื่อใช่หรือไม่?  หากนี่เป็นท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริง ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผยหรอกหรือ?  และหากเจ้าเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผย พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  นั่นเป็นเหตุผลของพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อทุกคนที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะลุล่วงหน้าที่ของคนเราให้ดี การเข้าใจความจริงย่อมจะสำคัญอย่างยิ่งยวด)  พระเจ้าตรัสว่าท่าทีของเราที่มีต่อความจริงคือท่าทีของเราที่มีต่อพระองค์ ดังนั้นด้วยการเกลียดและรังเกียจความจริง ฉันไม่ได้กำลังรังเกียจพระเจ้าและมองพระองค์เป็นศัตรูหรอกหรือ?  นั่นเป็นการสำแดงถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอย่างถ้วนทั่วเลยทีเดียว!  พวกที่เกลียดความจริงคือคนทำชั่ว มาร และซาตาน!  หากคำแนะนำของพี่น้องชายหญิงมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอดคล้องกับความจริง และเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร แต่ฉันกลับโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ มากเสียจนฉันไม่แสวงหา ยอมรับ หรือนบนอบ เช่นนั้นฉันก็กำลังสวนทางกับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกำลังต่อต้านพระเจ้า  เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น เพราะฉันรู้ว่าปัญหาของฉันร้ายแรงมาก  มันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนการแค่ค่อนข้างโอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และไม่ยอมรับคำแนะนำของคนอื่นอย่างที่ฉันคิด  ปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับท่าทีของฉันที่มีต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และต่อพระเจ้า รวมไปถึงการต้านทานของฉันที่มีต่อพระเจ้าอีกด้วย

ต่อมา ผู้นำของฉันก็ชำแหละฉันในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และพูดว่า “ตอนที่คุณเลื่อนขั้นให้คนทำชั่วนั่น คนอื่นๆ ได้ย้ำเตือนกับคุณแล้วว่าบุคคลนี้มีปัญหาร้ายแรง แต่คุณกลับไม่ฟัง และเชื่อใจในทรรศนะของตนเองเท่านั้น  หากทรรศนะของคุณมีพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นคุณจึงสามารถเชื่อใจในตนเองได้  แต่หากไม่ใช่ หากเป็นมโนคติอันหลงผิดที่ไร้สาระของคุณเอง เช่นนั้นการที่คุณเชื่อใจในตนเองก็เป็นปัญหากับสภาวะความเป็นมนุษย์ของคุณ  คุณไม่ได้กำลังปฏิบัติตนไปตามหลักธรรม และคุณขาดสำนึกแห่งความเป็นธรรม  คุณไม่มีความสมเหตุสมผลและไร้เหตุผล”  หลังจากที่ฉันได้ยินสามัคคีธรรมของผู้นำ มันก็เสียดแทงหัวใจของฉันจริงๆ  นั่นช่างแท้จริงนัก ไม่เพียงฉันมีอุปนิสัยโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเท่านั้น แต่ฉันยังมีปัญหาในสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนเอง และไม่อาจปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมได้  เมื่อฉันได้เลือกใครบางคนและวางแผนที่จะใช้พวกเขา ฉันก็ไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นที่มีต่อพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบรรดาคนที่ให้ข้อเสนอแนะคือบรรดาผู้ที่ฉันดูแคลนหรือเป็นผู้ที่ได้ถูกปลดไป  ฉันก็เชิดหน้าชูคอ ไม่สนใจคำแนะนำของพวกเขา  ฉันคิดไปว่าพวกที่ถูกปลดออกเพราะการทำหน้าที่ได้ไม่ดีนั้นไม่อาจเสนอคำแนะนำใดที่ดีๆ ได้  ในหัวใจของฉัน ฉันได้ปฏิเสธพี่น้องหญิงสองคนนั้นอย่างสิ้นเชิง  ฉันคัดเลือกและปฏิบัติต่อผู้คนโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของภาวะอารมณ์และแนวคิดของฉันเอง  ฉันไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมไปตามหลักธรรมความจริงได้  นี่แสดงให้เห็นว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคลิกลักษณะ และอุปนิสัยของฉันล้วนมีปัญหา  ยิ่งฉันทบทวนมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าปัญหาของฉันร้ายแรงขึ้นเท่านั้น  เนื่องจากความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอของฉัน ฉันจึงไม่รับฟังคำแนะนำของบรรดาพี่น้องหญิงของฉันเกี่ยวกับงานสำคัญในคริสตจักร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อคริสตจักร  ในครรลองของการเชื่อในพระเจ้าของฉัน นี่เป็นความประพฤติชั่วอีกประการ รอยมลทินอีกรอย  ฉันรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดจริงๆ และเริ่มนึกฉงนว่าเหตุใดฉันจึงทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ?  ต้นเหตุรากเหง้าคืออะไร?  พระวจนะของพระเจ้าได้ให้คำตอบแก่ฉัน  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง  ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  นั่นแท้จริงนัก  ธรรมชาติของฉันโอหังมากและไร้เหตุผลอย่างเตลิดเปิดเปิง  ฉันคิดว่าฉันเป็นฝ่ายถูกเสมอ ราวกับทรรศนะและความคิดเห็นของฉันเป็นความจริง และฉันไม่อนุญาตให้ผู้อื่นตั้งคำถามกับฉัน ไม่ต้องพูดถึงการเสนอข้อเสนอแนะที่ต่างออกไป  ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการเลือกผู้นำ พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดเงื่อนไขอย่างชัดเจนว่าผู้คนที่เลวและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่อาจได้รับการคัดเลือกได้  นี่เป็นข้อห้าม และเป็นประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก  เมื่อพี่น้องหญิงของฉันสองคนนั้นเตือนใจฉันถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ของคุณจาง ฉันก็แค่ถามผู้คนไม่กี่คนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างขอไปที และเสริมทับด้วยการทึกทักแบบเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของฉัน ฉันก็หลับหูหลับตาปฏิเสธคำแนะนำของพวกเธอ  ฉันไม่ได้แสวงหาคำแนะนำจากพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริง อีกทั้งไม่แยกแยะความแตกต่างระหว่างใครบางคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่กับใครบางคนที่มีแก่นแท้ของคนทำชั่วให้ชัดเจน อีกทั้งฉันยังไม่พยายามหาเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ทำให้คุณจางไม่อาจให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้—ไม่ว่าปัญหาจะเป็นเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือเรื่องสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สารเลว  หากเป็นแค่เรื่องอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเธอสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นเธอก็คงจะเปลี่ยนแปลงได้และไม่อาจถูกนิยามว่าชั่ว  หากเธอเป็นใครบางคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สารเลวซึ่งเกลียดและรังเกียจความจริง เธอก็เป็นคนทำชั่วคนหนึ่ง  ไม่สำคัญว่าเธอได้ถูกตัดแต่งอย่างไรเพราะสิ่งชั่วทั้งหลายที่เธอทำ เธอก็คงจะไม่ยอมรับ อีกทั้งจะไม่มีวันกลับใจอย่างจริงใจ  หากในตอนนั้นฉันแสวงหาความจริง และประเมินพฤติกรรมตามแบบฉบับเฉพาะของคุณจางโดยแก่นแท้และลักษณะเฉพาะของพวกคนทำชั่ว ฉันก็คงจะมีวิจารณญาณบางอย่างในตัวเธอ จะไม่ยืนกรานที่จะใช้เธอ และคงสามารถเลี่ยงการก่ออันตรายแบบนั้นแก่งานของคริสตจักรได้  ผลสืบเนื่องที่เป็นผลลัพธ์ตามมาล้วนเกิดจากการที่ฉันโอหังเกินไปและไม่แสวงหาความจริง  ถ้าฉันมีความยำเกรงพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์แม้แต่นิดเดียว ฉันก็คงจะไม่ทำความผิดพลาดใหญ่โตขนาดนั้นหรือทำความชั่วแบบนั้น  แต่ฉันโอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และในการคัดเลือกผู้นำซึ่งเป็นเรื่องจริงจังนี้ ฉันก็ไม่ได้แสวงหาความจริง อีกทั้งฉันยังไม่รับฟังข้อเสนอแนะของบรรดาพี่น้องหญิงของฉัน  ฉันได้คัดเลือกบุคคลที่ชั่วเป็นผู้นำ และทำให้งานของคริสตจักรทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ในภาวะอัมพาต  พี่น้องชายหญิงมากมายเหลือเกินที่ได้ทนทุกข์และชีวิตของพวกเขาได้รับอันตราย และฉันได้ทำการฝ่าฝืนที่ไม่อาจแก้ไขได้  ฉันแข็งขืนและดื้อรั้นเกินไป!  ฉันรังเกียจและสาปแช่งตนเองจากหัวใจของฉัน  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ปรารถนาที่จะกลับใจโดยถ่องแท้

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งและได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  พระเจ้าตรัสว่า “เวลาเจ้าทำบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า เจ้าควรทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองอย่างไร? ตอนที่เจ้ากำลังจะทำสิ่งนั้น เจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่?  เจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่า ‘การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไรหากมันถูกนำพาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์?  พระองค์จะทรงเป็นสุขหรือจะทรงฉุนเฉียว หากพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับการนี้?  พระองค์จะทรงเกลียดชังหรือดูหมิ่นสิ่งนั้นหรือไม่?’  เจ้าไม่ได้เสาะแสวงสิ่งนั้น ใช่หรือไม่?  ต่อให้ผู้อื่นได้เตือนความจำเจ้า เจ้าก็จะยังคงคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และว่าสิ่งนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักธรรมใดและไม่ได้เป็นบาป  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยั่วยุให้พระองค์กริ้ว กระทั่งถึงจุดที่ทำให้พระองค์ทรงเกลียดเจ้า  นี่เกิดขึ้นจากความเป็นกบฏของผู้คน  เพราะเหตุนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม  หากเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจเพื่ออธิษฐานเสียก่อน แล้วจึงแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดพลาด  เจ้าอาจมีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง แต่การนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง และเจ้าจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์มาบ้าง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารู้วิธีกระทำการตามความจริง แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริง ปัญหาย่อมเป็นว่าเจ้าไม่ชอบความจริง  ผู้ที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันแสวงหาความจริงไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  เฉพาะผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง  หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้วิธีปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้คนบางคนที่เข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงได้ เจ้าก็ควรหาผู้คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้สักสองสามคนมาร่วมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยจิตใจและหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาจากพระเจ้า รอเวลาของพระเจ้า และคอยให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เจ้า  ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนโหยหาความจริง แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงด้วยกัน เวลาที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งคิดหาหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาออกก็อาจมาถึง  หากเจ้าทุกคนพบทางออกที่เหมาะสมและหนทางที่ดี เช่นนั้นแล้ว นี่อาจเป็นเพราะความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์  จากนั้นหากเจ้ายังคงสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไปเพื่อคิดหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น นี่ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน  ในการปฏิบัติของเจ้า หากเจ้าพบว่าหนทางปฏิบัติของเจ้ายังคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว  หากเจ้าทำผิดพลาดเล็กน้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะเจตนาของเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง และเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง  เจ้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักธรรมและทำผิดพลาดในการปฏิบัติของตน ซึ่งให้อภัยได้  แต่เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาทำไปตามวิธีที่พวกเขาคิดว่าควรทำ  พวกเขาไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการใคร่ครวญว่าควรปฏิบัติตามความจริงอย่างไรหรือทำเช่นไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดแต่เพียงว่าจะทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างไร จะทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตนอย่างไร และจะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสตนอย่างไร  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเองทั้งสิ้นและเพื่อทำให้ตนเองพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งก่อความเดือดร้อน  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง และพระเจ้าจะทรงเกลียดชังพวกเขาเสมอ  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา สามารถตรวจสอบเหตุจูงใจและการปลอมปนในการกระทำของเจ้าอย่างจริงจังได้ สามารถกำหนดได้ว่าตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งใดเหมาะสมที่จะทำ และชั่งน้ำหนักและใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าการกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงยินดี การกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงขัดเคือง และการกระทำใดได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เจ้าต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้ในใจของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน  หากเจ้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุจูงใจของตนเองในการทำบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคิดทบทวนว่าเหตุจูงใจของเจ้าคืออะไร เป็นการทำให้ตนเองพึงพอใจหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเองหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร… หากเจ้าแสวงหาและใคร่ครวญเช่นนี้มากขึ้นในการอธิษฐานของเจ้า และตั้งคำถามกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วความเบี่ยงเบนในการกระทำของเจ้าก็จะน้อยลงเรื่อยๆ  เฉพาะผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นผู้คนที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้ากำลังแสวงหาตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและด้วยหัวใจที่นบนอบ และบทสรุปปิดตัวที่เจ้าบรรลุจากการแสวงหาในหนทางนี้ย่อมจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าให้หลักธรรมแห่งการปฏิบัติแก่ฉัน กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าฉันทำอะไร ฉันก็ต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และแสวงหาความจริงและหลักธรรมสำหรับทำสิ่งทั้งหลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับงานและผลประโยชน์ของคริสตจักร ฉันไม่อาจหลับหูหลับตากระทำไปตามแนวคิดของตนเองได้  ไม่เช่นนั้น ทันทีที่ฉันทำอันตรายร้ายแรงแก่คริสตจักรหรือทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ฉันย่อมจะได้ทำความชั่วและทำบาปต่อพระเจ้าไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ ฉันไม่อาจตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้โดยลำพัง อีกทั้งไม่อาจทำสิ่งต่างๆ ในหนทางของตนเองและเป็นเผด็จการได้  ฉันต้องหารือสิ่งต่างๆ กับพี่น้องชายหญิงที่เป็นคู่ทำงานของฉัน แสวงหาให้มากขึ้น และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริง อีกทั้งรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากของฉัน  ไม่ว่าใครบางคนจะมีสถานะ พรสวรรค์พิเศษหรือความสามารถพิเศษหรือไม่ ฉันก็ควรน้อมใจรับฟังคำแนะนำของพวกเขา  ในเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ควรขอการแนะแนวจากผู้นำของฉันทันที ทำความเข้าใจหลักธรรมที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และเรียนรู้วิธีก่อนการลงมือกระทำ เพื่อที่จะกระทำโดยสอดคล้องกับความจริงและโดยปราศจากการล่วงเกินพระเจ้า  ฉันต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธตนเองด้วยเช่นกัน  ยิ่งฉันพิจารณาว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งสามารถเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งนั้นได้น้อยลงเท่านั้น และฉันต้องแสวงหาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่  นี่สามารถแก้ไขปัญหาของความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และสามารถปกป้องฉันจากการทำความชั่วและการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  ก่อนหน้านั้น ฉันไม่ได้รู้จักตนเอง ฉันไม่มีความตระหนักรู้ในตนเองเลย และแน่ใจในตนเองเกินไปมาก  หลังจากความล้มเหลวอันเจ็บปวดนี้เท่านั้น ฉันจึงได้เห็นว่าเมื่อฉันแน่ใจในตนเอง เมื่อฉันไม่คิดว่าตนเองจะทำผิดไปได้ และแม้แต่เมื่อฉันมีพื้นฐานหนักแน่นที่จะคิดว่าฉันเป็นฝ่ายถูกแล้ว ข้อเท็จจริงก็ได้แสดงให้เห็นว่าฉันไม่เพียงทำผิดพลาดเท่านั้น แต่ฉันยังผิดพลาดอย่างเลวร้าย น่าขัน และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จนผลสืบเนื่องที่ตามมานั้นเป็นความวิบัติ  ในอดีต ฉันก่อการฝ่าฝืนมากมายเนื่องจากความโอหังของตนเอง  ในตอนนั้น ฉันคิดจริงๆ ว่าฉันเป็นฝ่ายถูก และบางครั้งฉันก็ถึงกับใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน  อย่างไรก็ตาม ต่อมาข้อเท็จจริงก็เปิดเผยว่าฉันคิดผิดมาโดยตลอด เพราะฉันไม่ได้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง  ตรงกันข้าม ฉันได้ใช้พระวจนะของพระเจ้านำกฎเกณฑ์ทั้งหลายมาใช้อย่างเลือกปฏิบัติและมืดบอด  ทันทีที่ฉันตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็ยอมรับจากหัวใจว่าฉันขาดความเป็นจริงความจริง ไม่สามารถมองเห็นผู้คนหรือเรื่องทั้งหลายได้อย่างชัดเจน และยอมรับว่าทรรศนะบางอย่างของฉันไร้สาระและน่าขัน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ฉันมีขีดความสามารถต่ำ ฉันด้อยปัญญา และไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนหรือเข้าใจความจริง  ฉันรู้คำสอนบางอย่างและทำตามกฎเกณฑ์บางประการไปอย่างแข็งทื่อเท่านั้น  ณ ตอนนั้น ฉันเชื่อมั่นว่าฉันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง เชื่อว่าฉันต่ำต้อยและน่าสมเพช และฉันไม่ต้องการที่จะยืนกรานในทรรศนะของตนเองอีกต่อไป

หลังจากนั้น เมื่อผู้อื่นให้ข้อเสนอแนะที่แตกต่างจากฉัน เมื่อไรก็ตามที่ฉันต้องการที่จะยืนกรานตามหนทางของตนเอง ฉันก็จะคิดย้อนถึงบทเรียนอันเจ็บปวดเหล่านี้  ฉันจำได้ว่ามีทรรศนะมากมายแค่ไหนที่ฉันเชื่อว่าถูกต้องอย่างแน่นอนแต่กลับผิดทั้งหมดเมื่อวัดเทียบกับความจริง และถูกพระเจ้ากล่าวโทษ  ฉันไม่กล้าพอที่จะยืนกรานตามทรรศนะของตนเองอีกต่อไป และแสวงหาทรรศนะและคำแนะนำของคนอื่นอย่างทันท่วงที  บางครั้งเมื่อหารือกันในสิ่งต่างๆ ฉันก็ปฏิเสธข้อเสนอแนะของผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว แต่พอฉันตระหนักว่าตัวเองทำอะไรลงไป ฉันก็รีบถามว่าคนส่วนใหญ่คิดอะไร ด้วยเกรงว่าฉันจะไม่ได้ทำตามคำแนะนำที่ถูกต้องและทำอันตรายต่องานของคริสตจักร  ในเรื่องที่ฉันคิดว่าฉันถูก ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจตามลำพังอีกต่อไป และฉันสามารถขอคำแนะนำจากพี่น้องชายหญิงที่เป็นคู่ทำงานของฉัน หรือแสวงหาการแนะแนวจากผู้นำของฉันได้อย่างมีสติ  ด้วยการทำแบบนี้ ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้น และยังหลีกเลี่ยงการทำอันตรายต่องานของคริสตจักรด้วยการปฏิบัติตนอย่างเผด็จการอีกด้วย  วันนี้ แม้ว่าฉันยังสามารถเปิดโปงอุปนิสัยอันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอได้อยู่ แต่มันก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

ฉันเป็นคนโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมออย่างสุดขั้ว  เมื่อฉันคิดว่าฉันถูก ฉันก็พบว่ามันลำบากยากเย็นที่จะปฏิเสธตนเองหรือรับฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น  หากไม่ใช่เพราะการพิพากษาและการเปิดเผยจากพระวจนะของพระเจ้า เพราะการรายงานและการเปิดโปงของพี่น้องชายหญิงของฉัน และเพราะการที่พระเจ้าทรงเปิดโปงฉันและตัดแต่งฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันก็คงไม่มีทางสามารถรู้จักตนเองและปฏิเสธตนเองได้  ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ฉันสัมฤทธิ์แล้วในตอนนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าฉันมีเหตุผลและสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง ล้วนเนื่องมาจากพระราชกิจอันอุตสาหะของพระเจ้า และเป็นดอกผลของการให้ความรู้แจ้งและการนำแห่งพระวจนะของพระองค์  ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจที่ทรงช่วยฉันให้รอด

ก่อนหน้า: 24. ช่วงเวลาที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐอยู่แนวหน้า

ถัดไป: 26. ถูกประกาศจับแต่ไร้ความผิด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger