26. ถูกประกาศจับแต่ไร้ความผิด

โดย หลิวหยุ่นหยิง, ประเทศจีน

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 พรรคคอมมิวนิสต์จีนกุคดีจ้าวหยวนในชานตงเพื่อใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการ “กวาดล้างหนึ่งร้อยวัน” ทั่วประเทศในทันทีเพื่อจับคุมสมาชิกคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกจับกุม  ในแค่สองเดือนจากเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน พี่น้องชายหญิงมากกว่า 30 คนในเขตเทศมณฑลของฉันถูกจับกุมคนแล้วคนเล่า  ในตอนนั้นฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรหลายแห่ง และทุกวันภายใต้การเฝ้าจับตาของตำรวจ ฉันจัดการเตรียมการให้พี่น้องชายหญิงที่ตกอยู่ในอันตรายย้ายที่อยู่และขนย้ายหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า ฉันตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกจับกุมเมื่อใดก็ได้  คืนหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่งที่ถูกจับและได้รับการปล่อยตัวบอกฉันว่า ตอนที่ตำรวจสอบสวนเขา พวกนั้นพูดถึงข้อมูลส่วนตัวของฉัน และถึงกับให้เขาดูรูปถ่ายของฉันและถามว่ารู้จักฉันไหม  พี่ชายคนนั้นพูดว่าฉันเป็นเป้าหมายหลักของการจับกุมและแนะนำให้ฉันไปเสียทันที  ฉันคิดว่า “พี่น้องชายหญิงถูกจับกุมไปหลายคนมาก และยังมีงานที่เป็นผลสืบเนื่องมากมายที่จำเป็นต้องจัดการ  อีกอย่าง พี่น้องชายหญิงบางคนรู้สึกอ่อนแอเนื่องจากการจับกุมและข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกเขาต้องการการสนับสนุนและช่วยเหลือ  ฉันจะไปในอีกสองสามวัน”  แต่พี่ชายคนนี้ก็ยืนกรานเร่งเร้าฉันว่า “คุณควรจะไปคืนนี้เลย อย่าอยู่ที่นี่ บนถนนมีกล้องอยู่ทุกที่ และทันทีที่ตำรวจตรวจสอบบันทึกกล้องวงจรปิดก็จะเจอคุณ”  ทันทีที่ฉันได้ยินแบบนั้น ความประหวั่นพรั่นพรึงก็เกาะกุมใจฉัน และฉันเริ่มตื่นตระหนก  ดังนั้น ฉันจึงรีบทำการจัดการเตรียมการสำหรับงานคริสตจักรที่เหลือและหนีไปยังเขตใกล้เคียง

พี่น้องชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งเสี่ยงรับฉันเอาไว้  เนื่องจากมีกล้องหลายตัวอยู่ข้างนอก ฉันจึงออกไปไม่ได้และจำต้องอยู่แต่ในบ้านของพวกเขา  ลูกชายของพวกเขาทำงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง และรัฐบาลได้ออกหนังสือเวียนว่า ครูผู้สอนและสมาชิกครอบครัวทุกคนไม่สามารถมีความเชื่อทางศาสนาได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกไล่ออกจากตำแหน่ง  ด้วยเหตุนี้ลูกชายของพวกเขาจึงกลัวว่าอนาคตของเขาจะได้รับผลกระทบและต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าของพ่อแม่ของเขา  พี่สาวกลัวว่าลูกชายของเธอจะเห็นฉันอยู่ที่บ้านและแจ้งตำรวจ เธอจึงต้องจัดแจงให้ฉันอยู่ในห้องใต้หลังคา  ทุกครั้งที่ลูกชายของพี่สาวคนนี้กลับมา ฉันวิตกกังวลมาก  ครั้งหนึ่ง ลูกชายของเธอขึ้นบันไดมาเอาบางอย่าง  ฉันกลัวจะถูกเขาพบเข้า จึงซ่อนอยู่หลังประตู ไม่กล้าขยับเขยื้อน  แล้วบังเอิญว่าในตอนนั้น ควันน้ำมันจากครัวลอยขึ้นมาตามปล่องควันจนฉันไอแบบกลั้นไม่อยู่  ฉันรีบเอาผ้านวมคลุมหัวและปิดปากตัวเองไว้จนฉันแทบหายใจไม่ออก  พี่สาวคนนี้มีลูกชายอีกคนอาศัยอยู่ข้างบ้าน และฉันได้ยินเสียงโทรทัศน์ของเขาได้เวลาที่เปิดเสียงดัง ดังนั้นเพื่อซ่อนตัวอยู่ ฉันจึงไม่กล้าเปิดไฟในห้องใต้หลังคา และปกติฉันจะพยายามไม่ให้เกิดเสียง  ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว และห้องนั้นเย็นมาก แต่ฉันก็ไม่กล้าออกไปเจอแสงตะวัน  หลังจากผ่านไปนาน ฉันก็เริ่มรู้สึกซึมเศร้าอย่างมากและนึกสงสัยว่า “ฉันจะต้องอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไร?  เมื่อไรฉันจะได้กลับไปพบครอบครัวและออกไปกับพี่น้องชายหญิงเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง?”  ตอนนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง ขอให้พระองค์ทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ฉัน เพื่อให้ฉันสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และรู้ว่าจะผ่านสภาพแวดล้อมนี้ไปได้อย่างไร

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีสง่าราศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’  พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย  วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว  คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่  พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา  ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์  พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า เมื่อบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้าในประเทศที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน การข่มเหงนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมเช่นนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของผู้คนเพียบพร้อม  ฉันคิดย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่ฉันไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้  ฉันเคยนึกว่าฉันสามารถทนความทุกข์ยากและมีความเชื่อในพระเจ้าได้ แต่ทันทีที่ฉันถูกตามล่าตัวจนถึงขั้นไร้บ้าน ซ่อนตัว และสูญเสียอิสรภาพอย่างสิ้นเชิง และฉันจำเป็นต้องทนทุกข์อย่างแท้จริง ฉันเก็บงำความคับข้องใจไว้ในหัวใจ และฉันต้องการแต่จะหลบหนี  เป็นเพราะสิ่งที่ข้อเท็จจริงเปิดเผยให้เห็นเท่านั้น ฉันถึงตระหนักว่าตัวเองไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลย ไม่เชื่อฟัง และวุฒิภาวะของฉันก็มีน้อยนิดมาก  ฉันครุ่นคิดด้วยว่าในช่วงสองสามเดือนนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนค้นบ้านต่างๆ ทุกซอกทุกมุมและจับกุมผู้คนอย่างบ้าคลั่ง ยึดเงินของคริสตจักร และทำให้พี่น้องชายหญิงหลายคนต้องหนีจากบ้านของตัวเอง ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาโดยสิ้นเชิงจนพวกเขาไม่มีแม้แต่สถานที่จะอยู่  พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำชั่วอย่างมาก จับกุมและข่มเหงผู้คน  จุดประสงค์ของมันไม่ใช่แค่เพื่อทำให้ผู้คนทรยศพระเจ้าและหันหนีจากพระองค์หรอกหรือ?  ถ้าฉันอ่อนแอ ถอนตัว หรือแม้แต่พร่ำบ่นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ฉันก็คงหลงเล่ห์กลของซาตานและสูญเสียคำพยานของตัวเอง  ทันทีที่ฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดและทรมานในหัวใจน้อยลง  ฉันคิดว่า “ไม่ว่าฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหนหรือจำต้องทนทุกข์มากเท่าไร ฉันก็ต้องการที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า”

ผ่านไปสองสามเดือน ดูเหมือนว่าการสืบสวนสอบสวนไม่ค่อยเข้มข้นเท่าเก่าแล้ว ฉันจึงไปปฏิบัติหน้าที่ในอีกเมืองหนึ่ง  เพื่อความปลอดภัย ฉันตัดผมที่ยาวออก สวมหมวก หน้ากาก และแว่นตาเวลาออกไปยังที่ชุมนุมต่างๆ  ฉันใช้ถนนที่แคบและเส้นทางที่วกวน พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็น  ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันระมัดระวัง ฉันก็ยังสามารถทำหน้าที่ได้  ฉันประหลาดใจเมื่อค่ำวันหนึ่งในสองสามเดือนต่อมา ผู้นำรีบมาหาฉันและพูดว่า “ตำรวจโพสต์ข้อมูลของคุณบนอินเทอร์เน็ต  พวกนั้นมองหาคุณอยู่  ประกาศจับถูกส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเราและเขตใกล้เคียงหลายแห่ง เพื่อบอกให้พวกเขารายงานถ้าเห็นคุณ  ตำรวจค้นหาจนพบว่าลุงของคุณประกาศข่าวประเสริฐกับคุณ และพวกนั้นจับกุมลุงกับป้าของคุณไปแล้ว  เพื่อความปลอดภัย คุณไม่สามารถออกไปปฏิบัติหน้าที่ได้อีกแล้ว”  ต่อมา ฉันได้รับข่าวว่าตำรวจเจอปู่วัย 80 ปีของฉันและถามเขาว่าฉันอยู่ที่ไหน  พวกนั้นยังปิดศูนย์กายภาพบำบัดของลุงฉันอีกด้วย  ยิ่งกว่านั้น ตำรวจกำลังมองหาแม่และพี่สาวของฉัน ทั้งสองจึงกลับบ้านไม่ได้เช่นกัน  เมื่อฉันได้ยินข่าวนี้ ฉันโกรธมาก  ความเชื่อในพระเจ้าของฉันนั้นถูกต้องและเหมาะสม  ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์จึงกดขี่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างโหดร้ายนัก?  ทำไมถึงไม่มีความเป็นธรรมและเสรีภาพทางความเชื่อในประเทศจีน?  ตอนแรกฉันวางแผนว่าจะแอบกลับไปพบครอบครัว แต่ฉันไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในรายชื่อผู้ที่ถูกประกาศจับ หรือคาดคิดว่าพวกนั้นจะข่มขู่คุกคามครอบครัวของฉัน  ถึงแม้ฉันจะมีบ้าน ฉันก็กลับไปไม่ได้ และครอบครัวของฉันก็พลอยติดร่างแหและถูกจับ  ฉันตระหนักว่าตอนนี้ฉันเป็นอาชญากรซึ่งเป็นที่ต้องการตัว และฉันนึกสงสัยว่าเพื่อนและครอบครัวของฉันจะพูดถึงฉันว่าอย่างไรบ้าง  พวกเขาจะคิดว่าฉันไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า?  ในอนาคตฉันจะสู้หน้าพวกเขาได้อย่างไร?  เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น  ฉันรู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าในประเทศจีนเป็นเรื่องยากเกินไป  ในความเจ็บปวดของฉันนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปอย่างไร  โปรดประทานความเชื่อและพละกำลังให้ข้าพระองค์ และทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็นึกถึงเพลงสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้า “ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” ซึ่งกล่าวว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง!  เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร  พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น  พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม  นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2))  เมื่อฟังเพลงสรรเสริญนี้ ฉันก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล  การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเชื่อและนมัสการพระเจ้านั้นถูกต้องและเหมาะสมแล้ว และพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบในเรื่องนี้  ฉันคิดถึงโยบ ซึ่งยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่ว  แม้ว่าเขาสูญเสียลูกๆ ทรัพย์สมบัติ มีฝีหนองแตกลามทั่วตัว และถูกภรรยาและเพื่อนๆ ตัดสินและเข้าใจผิด แต่เขาก็ยังคงรักษาความเชื่อในพระเจ้าเอาไว้ สรรเสริญพระเจ้าในความทุกข์ของเขา ตั้งมั่นในคำพยานที่เขามีให้พระเจ้า และทำให้ซาตานอับอาย  แล้วยังมีเปโตร ซึ่งเสาะแสวงที่จะรู้จักและรักพระเจ้ามาตลอดชีวิตของเขา  เขาผ่านประสบการณ์กับบททดสอบและกระบวนการถลุงหลายร้อยครั้ง ทนความเจ็บปวดอันใหญ่หลวง และสุดท้ายก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า สร้างคำพยานที่งดงามและดังกึกก้องโดยทางนั้น  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การสามารถตั้งมั่นในคำพยานให้แก่พระเจ้าและสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้างได้นั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก!  ในเวลานั้นฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องการตัวและไล่ล่าเนื่องจากความเชื่อในพระเจ้า  ต่อให้ญาติมิตรของฉันจะเข้าใจฉันผิดและละทิ้งฉัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายเลย เพราะฉันกำลังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตและกำลังทำสิ่งที่ชอบธรรมที่สุด  เมื่อฉันพิจารณาเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง และกลับรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถทนทุกข์แบบนี้ได้

วันหนึ่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016 พี่น้องหญิงคนหนึ่งยื่นไพ่ให้สำรับหนึ่ง  ฉันรับมาแล้วเห็นว่ามันมีรูปถ่ายและข้อมูลระบุตัวตนของฉันพิมพ์อยู่บนนั้น  ชื่อ เลขประจำตัว และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของฉันมีอยู่ครบถ้วน ทั้งยังระบุด้วยว่าฉันถูกสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะขึ้นบัญชีออนไลน์เป็นผู้ร้ายหลบหนีในฐานะ “อาชญากรผู้ต้องสงสัยว่าจัดตั้งและใช้องค์กรด้านลัทธิเพื่อบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมาย”  อีกทั้งยังมีหมายเลขสายด่วนรายงานพิมพ์อยู่บนไพ่ชุดนั้น และข้อความว่ามีรางวัลให้ผู้แจ้งเบาะแสด้วย  พี่น้องหญิงคนเดียวกันนี้พูดว่าตำรวจกำลังแจกจ่ายไพ่ที่มีรูปถ่ายและข้อมูลเกี่ยวกับตัวฉันและพี่น้องหญิงอีกสามคนที่รับผิดชอบงานของคริสตจักรควบคู่ไปกับพวกคนที่เป็นฆาตกรและโจร  ต่อมา ฉันได้ยินจากบรรดาพี่น้องชายหญิงว่าพวกเขาเห็นประกาศจับฉันบนจอขนาดใหญ่ด้านนอกสถานีรถไฟ และบนกระดานข่าวที่ทางเข้าสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะ  การได้ยินทั้งหมดนี้ทำให้ฉันประหลาดใจเท่านั้นเอง  ฉันอยากถามพวกนั้นว่า “ฉันทำผิดกฎหมายอะไร?  ฉันทำอะไรที่ละเมิดกฎหมายหรือ?  ทำไมพวกคุณจึงใช้วิธีการที่ไม่มีหลักศีลธรรมแบบนี้มาตามล่าและจับฉัน?”  ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินแห่งความโสมมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว  มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา  ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้?  มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาไว้แน่น  กษัตริย์แห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนถึงทุกวันนี้ที่มันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข  ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาเคยชื่นชมความน่ารักและความดีงามของพระเจ้าหรือ?  พวกเขาซึ้งคุณค่าอันใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์?  พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ที่กระตือรือร้นของพระเจ้า?  เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างมิดชิด กล่าวคือ  ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงของพญานาคใหญ่สีแดง  พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นศัตรูของพระเจ้า มารที่ต้านทานและเกลียดชังพระเจ้า และที่ที่มันปกครองคือถ้ำของมารซาตาน  มันเพียงแค่ไม่ยอมให้พระเจ้าทรงดำรงอยู่ และนับประสาอะไรที่มันจะยอมให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และติดตามเส้นทางที่ถูกต้อง  นี่คือสาเหตุที่มันนิยามศาสนาคริสต์ว่าเป็น “ลัทธิ” และพระคัมภีร์ว่าเป็น “วรรณกรรมลัทธิ” และจับกุมคริสตชนอย่างหมกมุ่นมัวเมามาก  เพื่อที่จะกำจัดพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า มันกุข่าวลือทุกประเภทและสร้างคดีอาชญากรรมเท็จเพื่อใส่ร้ายและทำลายชื่อเสียงของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  มันไล่ล่าและสั่งให้จับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพวกเขาเป็นอาชญากรที่เลวร้ายที่สุด และมันหลอกลวงปลุกปั่นคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงให้เกลียดผู้เปี่ยมศรัทธาและให้ต้านทานพระเจ้าไปพร้อมกับมัน  พรรคคอมมิวนิสต์บอกคำโกหกที่เป็นไปได้ทุกอย่างและทำสิ่งชั่วร้ายเท่าที่จะจินตนาการได้จริงๆ!  ทันทีที่ฉันมองเห็นเรื่องนี้ มันก็ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดงและติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางของฉันแข็งแกร่งขึ้น!  ต่อมา ฉันได้ยินจากผู้นำของฉันว่าพี่น้องหญิงสองคนที่ถูกขึ้นบัญชีประกาศจับพร้อมกับฉันบนไพ่เหล่านั้นถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกสี่ปี

สี่เดือนต่อมา ตำรวจเสนอเงินจับกุมตัวฉันเพิ่มอีก 10,000 หยวน  พี่สาวคนหนึ่งในบ้านเกิดของฉันส่งจดหมายมาบอกฉันว่าเลขานุการพรรคของหมู่บ้านกำลังแพร่ข่าวลือว่า เพราะฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันจึงไม่อยากพบครอบครัวหรือญาติๆ ของฉันอีกต่อไป และว่าฉันกำลังทำตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล  ยิ่งเวลาผ่านไป ข่าวลือก็ยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ  และบางคนก็เริ่มพูดว่าฉันฟั่นเฟือนไปแล้ว หรือพูดว่าฉันกำลังค้ายา  เมื่อผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงได้ยินข่าวลือเหล่านี้ พวกเขาทุกคนก็ว่าร้ายและกล่าวโทษฉัน  น้องชายของฉันทนข่าวลือเหล่านี้ไม่ได้และเป็นห่วงฉันจนร้องไห้คร่ำครวญและอยากมาหาฉัน  เมื่อฉันได้ยินข่าวนี้ ฉันก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจหรือกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย  ฉันอยากไปยืนอยู่เบื้องหน้าญาติมิตรและอธิบายว่าฉันเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ ติดตามเส้นทางที่ถูกต้อง และไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย  ฉันอยากบินตรงไปหาน้องชาย ปลอบเขา และบอกให้เขารู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน  แต่ถ้าฉันกลับไปแบบนี้ ฉันก็คงถูกตำรวจจับกุมแน่นอน และฉันคงจะทำให้พี่น้องชายหญิงที่ฉันเคยติดต่อด้วยตกอยู่ในอันตราย  ฉันเดินงุ่นง่านไปทั่วห้อง  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งนั่งเฉยไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น  สุดท้าย ฉันจึงตัดสินใจเสี่ยงโทรไปหาน้องชายของฉัน

ฉันรู้ว่าโทรศัพท์มือถือของน้องชายอาจกำลังถูกตำรวจดักฟังอยู่ แต่ทั้งหมดที่ฉันอยากทำคือคุยกับเขาเท่านั้น ฉันจึงไม่ห่วงตัวเองในรายละเอียดขนาดนั้น  ฉันปลอมตัวและขี่จักรยานไปยังที่ที่ห่างออกไปเป็นหลายสิบกิโลเมตรเพื่อโทรหาเขา แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่โทรไม่ติด  ฉันไม่พร้อมจะล้มเลิก จึงลองอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิม  จู่ๆ ฉันก็ตระหนักรู้ขึ้นมาเลาๆ ว่านี่อาจจะเป็นการแทรกแซงของพระเจ้า  ถ้าโทรศัพท์มือถือของน้องชายฉันกำลังถูกดักฟัง เช่นนั้นฉันกับเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายทั้งคู่  เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! วันนี้ข้าพระองค์เกือบหลงเล่ห์กลของซาตานแล้ว ถ้าพระองค์ไม่ทรงหยุดข้าพระองค์ไว้ทันเวลา ข้าพระองค์ก็น่าจะตกอยู่ในอันตราย  พระเจ้า พระองค์ทรงรู้จุดอ่อนของข้าพระองค์  โปรดทรงนำและชี้ทางให้ข้าพระองค์ ประทานความเชื่อและพละกำลังให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด…”  เมื่อฉันกลับถึงบ้านของเจ้าบ้านเพื่อเฝ้าเดี่ยวทางจิตวิญญาณ ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น ‘ผู้ชนะ’ คือผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกซาตานล้อมไว้ นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกองกำลังแห่งความมืด  หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักอันจริงแท้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงการเป็น ‘ผู้ชนะ’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะในยุคสุดท้าย  ไม่ว่าพวกเขาสู้ทนความเจ็บปวดหรือกระบวนการถลุงมากแค่ไหน หรือกำลังบังคับของซาตานก่อกวนและโจมตีพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็สามารถรักษาความเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางได้  จากนั้นฉันก็คิดถึงตอนที่ฉันถูกว่าร้ายและทำลายชื่อเสียง ฉันกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอเพราะกลัวว่าชื่อเสียงของฉันจะพังพินาศอย่างไร  ฉันยังกลัวด้วยว่าน้องชายของฉันจะไม่เข้าใจ ดังนั้นเพื่อให้เขาสบายใจ ฉันจึงมองข้ามความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง  ฉันเห็นว่าฉันไม่มีความเชื่อหรือความภักดีต่อพระเจ้าเลย  ฉันไม่ได้กำลังสูญเสียคำพยานของตัวเองด้วยการทำเช่นนี้หรอกหรือ?  พญานาคใหญ่สีแดงกำลังไล่ล่าฉันราวกับว่าฉันเป็นอาชญากร ปลุกปั่นให้ทุกคนโจมตีและว่าร้ายฉัน และทำให้ญาติๆ ของฉันเข้าใจฉันผิด  มันกำลังทำสิ่งเหล่านี้เพราะต้องการทำให้ฉันคิดลบและอ่อนแอและบังคับให้ฉันทรยศพระเจ้าอย่างแน่แท้  ฉันไม่อาจปล่อยให้กลอุบายอันชั่วร้ายของพญานาคใหญ่สีแดงประสบผลสำเร็จได้  ทันทีที่ฉันตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็ตัดสินใจว่า ฉันจะยืนหยัดในคำพยานภายใต้การปิดล้อมของซาตานเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย และฉันจะเหยียดหยามพญานาคใหญ่สีแดง!

ความเจ็บป่วยก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่รบกวนฉันในช่วงที่ฉันหลบหนี  ฉันถูกตัดปอดข้างซ้ายออกตอนอายุ 15 ปี และปอดข้างขวาของฉันก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน  ในตอนนั้น หมอบอกฉันให้สูดอากาศบริสุทธิ์มากขึ้นและออกกำลังกายให้พอเหมาะเพื่อเพิ่มความจุปอด  แต่เพราะฉันถูกตำรวจต้องการตัว ฉันจึงถูกบังคับให้หลบซ่อนอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน  ฉันไม่สามารถออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ได้  ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสจะยืนออกกำลังกายที่ระเบียง  เวลาที่ฉันเปิดหน้าต่างเป็นครั้งคราวเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์บ้าง ฉันก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะถ้าฉันถูกเพื่อนบ้านเจอเข้า คงไม่ใช่แค่ฉันจะตกอยู่ในอันตราย แต่ฉันจะทำให้พี่น้องชายหญิงที่ให้ที่พักพิงแก่ฉันเสี่ยงไปด้วย  หลังจากอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นเวลานาน สภาพร่างกายของฉันก็เริ่มทรุดโทรมลง  อากาศภายในบ้านถ่ายเทไม่ได้ การหายใจของฉันจึงติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก และผ่านไปสักพักฉันก็เริ่มเจ็บปอด และไอบ่อยๆ  เวลาฉันคุกเข่าลงอธิษฐานก็รู้สึกเหมือนว่ามีของเหลวจะไหลออกทางปาก  เวลานอนตะแคง ฉันก็รู้สึกได้ว่าในปอดมีของเหลวไหลไปมา  ต่อมา เมื่ออาการแย่ลงอีก ฉันก็เริ่มไอเป็นเลือด  บรรดาพี่น้องชายหญิงแนะนำให้ฉันไปโรงพยาบาล แต่การจะไปพบหมอที่โรงพยาบาล ฉันต้องลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน  ฉันเป็นผู้ร้ายหลบหนี ดังนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ไม่เพียงฉันเท่านั้นที่จะถูกจับกุม พี่น้องชายหญิงที่คอยดูแลฉันจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าไปโรงพยาบาล  พี่น้องชายหญิงบางคนนำยาจีนแผนโบราณมาให้ฉัน แต่หลังจากกินยาพวกนั้น อาการของฉันก็ไม่ดีขึ้น  ฉันยังคงไอเป็นเลือด กินอะไรไม่ลง และร่างกายของฉันก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ  ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย เพราะถ้าฉันปล่อยให้อาการเป็นอย่างนี้ต่อไปโดยไม่รักษาจนมันแย่ลง ในที่สุดฉันจะไม่หยุดหายใจและขาดอากาศหรอกหรือ?  นั่นจะไม่ได้หมายความว่าความหวังของฉันที่จะได้รับความรอดและมีบั้นปลายอันงดงามจะมลายไปหรอกหรือ?  การละทิ้ง สละตน และทำงานหนักที่ฉันได้ทำมาตลอดเวลาหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้านั้นจะไม่สูญเปล่าทั้งหมดหรอกหรือ?  ฉันไม่อยากตายจริงๆ  เมื่อฉันเห็นว่าอาการของฉันกำลังแย่ลงทุกวันและฉันไอเป็นเลือด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ และรู้สึกทุกข์ใจอย่างที่สุด

ต่อมา ฉันค้นหาพระวจนะของพระเจ้าส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของฉัน แล้วฉันก็พบบทตอนนี้ที่ว่า “โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า  การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่  เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ  นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา  ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ  พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้  หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม  โยบไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า  สิ่งที่เขาเรียกร้องจากตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้านิดหน่อย  ข้อเท็จจริงที่ความเจ็บป่วยของฉันกำลังแย่ลงเป็นการทรงอนุญาตของพระเจ้า  เป็นบททดสอบที่พระเจ้าทรงมีให้ฉันเพื่อทอดพระเนตรว่าฉันมีความเชื่อและการเชื่อฟังที่แท้จริงหรือไม่  แต่ตอนที่ฉันเจ็บปวด ฉันคิดถึงแต่ชีวิต ความตาย และบั้นปลายสุดท้ายของตัวเอง  ฉันกลัวว่าถ้าฉันตาย ฉันจะสูญเสียความรอด  ฉันเห็นว่าฉันเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น เห็นว่าฉันพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า เห็นว่าฉันขาดมโนธรรมและเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรครอบครอง และเห็นว่าฉันไม่มีการเชื่อฟังใดๆ ต่อพระเจ้าเลย  ฉันนึกถึงโยบ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงมอบความมั่งคั่งให้เขาหรือทรงอนุญาตให้ซาตานเอาทุกอย่างไปจากเขา เขาก็สรรเสริญพระนามของพระเจ้า และเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้หรือเอาไป พระเจ้าก็ทรงชอบธรรม  ความเชื่อในพระเจ้าของโยบไม่มีแรงจูงใจส่วนตัวเจือปน เขาไม่พิจารณาผลประโยชน์ ผลกำไร ความสูญเสียของตัวเอง และไม่ว่าพระเจ้าทรงทำอะไร เขาก็สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเชื่อฟังพระเจ้าโดยไร้ข้อกังขาได้  เขามองว่าการเชื่อฟังพระเจ้าสำคัญกว่าชีวิตของตัวเอง  สภาวะความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลของโยบทำให้ฉันรู้สึกละอายใจเป็นพิเศษ  ในความเชื่อในพระเจ้าทั้งหมดของฉันมาจนถึงจุดนี้ ฉันพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้ามาตลอด และฉันก็ยังกบฏและเสื่อมทรามมาก  ต่อให้ฉันจะต้องตายเพราะความป่วยไข้ของฉันจริงๆ นั่นก็จะเป็นไปตามความชอบธรรมของพระเจ้า  เมื่อฉันยอมรับเรื่องนี้ ฉันก็รู้ว่าตัวเองควรจะเผชิญความเจ็บป่วยและความตายอย่างไร ฉันจึงคิดกับตัวเองว่า “ไม่ว่าอาการป่วยของฉันจะแย่ลงอย่างไร ฉันจะวางใจฝากตัวไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า”

เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ตอนที่ฉันต้องการลุกจากเตียงนั่นเอง ฉันก็เริ่มเจ็บปอด  ต้องใช้เวลาประมาณสิบนาทีและพละกำลังทั้งหมดเพื่อลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง  ในจังหวะนั้น ลมหนาวจับใจพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ฉันรู้สึกสิ้นหวังจริงๆ  ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มหายใจไม่ออก หัวใจเต้นรัว ร่างกายเริ่มเกร็งไปหมดทั้งตัว หายใจเข้าออกได้ลำบาก และฉันรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก  ฉันรู้สึกเหมือนอาจจะขาดอากาศหายใจได้ทุกเมื่อ และฉันคิดว่าครั้งนี้ฉันอาจจะไม่รอด  เมื่อพวกพี่น้องหญิงที่อยู่กับฉันเห็นฉันเป็นแบบนี้ พวกเธอก็วิตกกังวลมากเสียจนทำอะไรไม่ถูก พวกเธอจึงโทรหาพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เปิดคลีนิคอยู่ให้มาดู  เธอรีบให้น้ำเกลือฉัน แต่ถึงแม้หลังจากที่เธอแทงเข็มลงไป น้ำเกลือก็ไม่ไหลเข้าไปเพราะเลือดของฉันแทบหยุดไหลเวียนอย่างสิ้นเชิง  เธอเดินไปที่ประตูห้องอย่างสิ้นหวัง ส่ายหน้าพลางพูดว่า “พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้ว”  พี่น้องหญิงบางคนเบือนหน้าหนีพลางปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ  ฉันรู้ว่าฉันกำลังจะตาย และฉันกลัวเล็กน้อย  ฉันกลัวว่าถ้าฉันตาย ฉันคงจะไม่ได้เห็นราชอาณาจักรเป็นจริงขึ้นมา  ณ เวลานี้ ถ้อยคำของโยบก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดของฉัน “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  ฉันยังนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่ฉันเพิ่งอ่านไปก่อนหน้านั้นที่ว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง  สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พระวจนะของพระเจ้าให้แรงบันดาลใจใหญ่หลวงแก่ฉัน  เมื่อก่อนฉันกลัวความตาย ฉันจึงไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย แต่คราวนี้ฉันไม่อาจกบฏต่อพระเจ้าได้อีกต่อไป  ต่อให้ฉันตายจริงๆ ฉันก็ไม่มีคำพร่ำบ่นคร่ำครวญใดๆ  ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นฉันจึงควรเชื่อฟังพระเจ้า  ยิ่งกว่านั้น ฉันโชคดีที่ได้ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และได้ยินความจริงที่ธรรมิกชนทั้งหลายในยุคก่อนๆ ไม่เคยได้ยิน  นี่คือพระคุณและความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงมีให้ฉันแล้ว  ต่อให้ฉันจะกำลังเผชิญความตาย ฉันก็ยังต้องขอบคุณพระเจ้า!  ดังนั้น ฉันจึงดิ้นรนพูดสองคำ กระดาษ ปากกา  พวกพี่น้องหญิงรีบเอามาให้ ฉันพิงพี่น้องหญิงเหล่านั้นและใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อเขียนในสมุดจดว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรมตลอดไป! พระองค์ทรงคู่ควรกับการสรรเสริญของพวกเราตลอดกาล!”  จังหวะที่ฉันเขียนเสร็จแล้วปล่อยมือจากปากกา สายตาของฉันก็ค่อยๆ พร่าเลือน

พวกพี่น้องหญิงร้องไห้และจับมือฉัน ให้กำลังใจฉันให้พึ่งพาพระเจ้าและยืนหยัด แต่เมื่อเผชิญกับข้อเท็จจริงตรงหน้าฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันไม่อาจอดทนต่อไปได้จริงๆ รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตอยู่  ฉันรู้สึกราวกับว่าหัวใจของฉันกำลังค่อยๆ จมลงสู่พื้นมหาสมุทร และเสียงรอบๆ ตัวฉันก็จางลงไป  แต่ตอนที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีความหวังนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นชัดเจนมากในใจฉันว่า “ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า  เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา  นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  การให้ความรู้แจ้งแห่งพระวจนะของพระเจ้าปลอบประโลมและหนุนใจฉันอย่างมาก  ชีวิตของฉันมาจากพระเจ้า และไม่ว่าวันนั้นฉันจะอยู่หรือตายก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ไม่ว่ากำลังบังคับชั่วร้ายของซาตานหรือโรคภัยก็เอาชีวิตของฉันไปไม่ได้  ตราบใดที่ฉันยังเหลือลมหายใจอยู่ ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกได้ และฉันไม่ควรสูญสิ้นความหวังในพระเจ้า  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! แม้ว่าข้าพระองค์จะเผชิญความตายวันนี้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างข้าพระองค์เสมอ  พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะไว้วางใจมอบหมายตนเองไว้กับพระองค์โดยสมบูรณ์ และข้าพระองค์ขอฝากชีวิตและความตายให้ขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งหมด!  ข้าพระองค์เชื่อว่าไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอะไร พระองค์ก็ทรงชอบธรรม  ข้าพระองค์ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในชีวิตนี้และได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์บ้างแล้ว ดังนั้นต่อให้ข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะไม่พร่ำบ่นหรือเสียใจ  ถ้าข้าพระองค์ไม่ตายวันนี้ ถ้าข้าพระองค์ยังมีชีวิตต่อไปได้ นับแต่วันนี้ไปข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”  ในตอนนั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งเล่นเพลงสรรเสริญ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน” ซึ่งร้องว่า “‘ความรัก’ อ้างอิงถึงความเสน่หาซึ่งไร้ราคีและปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา…(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว)  หลังจากที่ได้ฟังเนื้อเพลงเหล่านี้ ฉันรู้สึกตำหนิตัวเองอย่างมาก  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามานานมาก ฉันกลับไม่ได้นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติแต่อย่างใด และยิ่งไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในเวลานั้น ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันเพียงต้องการไล่ตามเสาะหาการเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น  ขณะที่ฉันกำลังใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น  ฉันค่อยๆ หายใจสะดวกขึ้นโดยที่ตัวเองไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ อาการหอบถี่เริ่มลดลง และหัวใจก็สงบขึ้นมาก  เมื่อบรรดาพี่น้องหญิงเห็นว่าฉันฟื้นขึ้นแล้ว พวกเธอก็ขอบคุณพระเจ้าด้วยความตื่นเต้น และฉันได้เห็นกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  แม้ว่าฉันสามารถหายใจเป็นปกติได้อีกครั้ง ร่างกายของฉันก็ถดถอยไปมากแล้ว ดังนั้นบรรดาพี่น้องหญิงจึงยังคงแนะนำให้ฉันไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล  หนึ่งในนั้นให้บัตรประชาชนของเธอแก่ฉัน แต่ฉันกลัวจะทำให้เธอติดร่างแหไปด้วย  เธอกุมมือฉันและพูดว่า “พวกเรามาอธิษฐานต่อพระเจ้ากันเถิด สิ่งสำคัญตอนนี้คือไปโรงพยาบาล แค่อธิษฐานขอความอุตสาหะจากพระเจ้าและทุกอย่างจะเรียบร้อย”  ฉันตื้นตันใจมากจนพูดไม่ออก เรี่ยวแรงจะพูดก็ไม่มี ดังนั้นฉันจึงทำได้แค่ผงกศีรษะ รู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยความรักของพระเจ้า  หลังจากไปถึงโรงพยาบาล แม้ว่าหมอจะสงสัยบัตรประชาชนของฉันอยู่บ้าง พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของฉันโดยละเอียด และกระบวนการรักษาก็ค่อนข้างราบรื่น  อาการของฉันค่อยๆ ดีขึ้น และประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันก็ได้ออกจากโรงพยาบาล

หลังจากที่ฉันออกจากโรงพยาบาล ฉันก็กลับไปใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ต่อ  เพราะพี่น้องชายหญิงรอบตัวฉันถูกจับกุมกันบ่อยครั้ง ฉันจึงต้องรีบเร่งย้ายไปสถานที่ใหม่เป็นประจำ ซึ่งกลายเป็นงานที่น่าเบื่ออย่างร้ายกาจสำหรับฉัน  ฉันต้องสวมหน้ากากเวลาย้ายบ้านไปเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล้องจับภาพได้ แต่นั่นทำให้ฉันหายใจลำบาก  ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันรีบเดินไปตามถนนโดยสวมหน้ากากเอาไว้ ฉันหายใจไม่ออก  ฉันขึ้นรถประจำทางได้ยากลำบากมาก แล้วเมื่อขึ้นได้ ในนั้นก็มีคนเยอะมาก แล้วอากาศก็อุดอู้จนฉันสูดอากาศหายใจลึกๆ  ฉันเจ็บปวดแน่นหน้าอก ดวงตาก็เปิดกว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ  ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ลงจากรถ ฉันอาจจะตายอยู่ในนั้น  ฉันอธิษฐานและร้องหาพระเจ้าในหัวใจไม่หยุด และหลังจากผ่านไปสักพักฉันก็หายใจได้สะดวกขึ้นนิดหนึ่ง  หลังจากย้ายที่อยู่หลายครั้งมาก ฉันก็รู้สึกอ่อนแอ และกลัวว่าร่างกายของฉันจะรับไม่ไหว กลัวว่าถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความทรมานนี้จะฆ่าฉันเสีย  ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ  พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ  พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  จริงทีเดียว เส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้านั้นโดยเนื้อแท้แล้วขรุขระและยากลำบาก  การข่มเหงคริสตชนของพรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยน้อยลง  ถ้าพวกเราเชื่อในพระเจ้า พวกเราย่อมเผชิญอันตรายจากการถูกจับกุม ถูกทรมาน หรือแม้แต่ถูกฆ่าตายกันอยู่ทุกขณะ แต่พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมเช่นนี้มาทำให้ความเชื่อของพวกเราเพียบพร้อม  ฉันรู้ว่าในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ ฉันควรสู้ทนการข่มเหงและความทุกข์ลำบากเหล่านี้  เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกว่าความเชื่อของฉันฟื้นกลับมา

มองย้อนไปหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้มาตรการหลากหลายเพื่อผลักไสฉันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เข้าสู่ทางตัน แต่พระวจนะของพระเจ้าได้นำและให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมาตลอด  ตอนนี้ ฉันมีวิจารณญาณที่จะแยกแยะแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนบ้างแล้ว และฉันมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการที่ความเชื่อของฉันมีการแสวงหาพรเจือปนอยู่ และฉันได้เรียนรู้วิธีที่จะมีเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ฉันยังได้เห็นกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าอีกด้วย  ตอนที่ฉันอยู่บนปากเหวแห่งความตาย พระเจ้าทรงนำฉันให้ยึดการอยู่รอดไว้อย่างเหนียวแน่น และความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็เติบโตเข้มแข็งขึ้น  ทั้งหมดนี้คือความก้าวหน้าที่ฉันไม่มีวันทำได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย  ฉันตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะข่มเหงฉันอย่างไร หรือสิ่งต่างๆ จะหนักหนาหรือยากลำบากขึ้นแค่ไหน ฉันก็จะติดตามพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างเหมาะสม และตอบแทนความรักของพระเจ้า

ก่อนหน้า: 25. หลังจากที่ฉันถูกรายงาน

ถัดไป: 27. ดอกผลแห่งการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger