24. ช่วงเวลาที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐอยู่แนวหน้า
เดือนมกราคมปี 2021 เพื่อนทหารสองคนมาแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับผม จากนั้น ผ่านการชุมนุมและอ่านพระวจนะ ผมก็ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้รอด ผมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับนัยสำคัญของการที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์อีกด้วย ผมไม่เคยคิดฝันว่า พระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงปรากฏและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษยชาติด้วยพระองค์เอง นี่คือความล้ำลึกอันสุดซึ้ง อีกทั้งเป็นความรักแท้จริง และเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ ผมตื้นตันใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะได้ยินเสียงของพระเจ้า ได้เห็นการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างเหลือเชื่อ และนั่นทำให้ผมอยากเข้าชุมนุมมากยิ่งขึ้น การอ่านพระวจนะและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงทำให้ผมเห็นว่า การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบของทุกคน และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเรา การประกาศข่าวประเสริฐคือการเป็นพยานให้พระเจ้า นำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับความจริงและความรอดของพระเจ้า ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มรายการความประพฤติดีของคนเราด้วย หากไม่ทำเช่นนั้น ผมก็จะละเลยหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่เหมาะที่จะได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พอเข้าใจทั้งหมดนั้น ผมก็กระตือรือร้นที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐจริงๆ ผมยังต้องการทำงานกับพระเจ้า และแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรแก่คนมากยิ่งขึ้นด้วย หลังจากนั้น ผมก็จะแบ่งปันข่าวประเสริฐเมื่อมีเวลาว่าง แล้วในเดือนตุลาคม ผมก็ถูกย้ายไปยังกองพันหนึ่ง ซึ่งบังเอิญมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อนีญง ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เหมือนกัน เราสองคนร่วมกันแบ่งปันข่าวประเสริฐให้เพื่อนทหาร ครั้งหนึ่ง ผมชวนทหารมาฟังคำเทศนาของเราได้ราว 20 นาย และผมกับพี่นีญงก็เป็นพยานให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพวกเขา ผ่านการแสวงหาและการสืบคน สุดท้ายทหารยี่สิบกว่านายนี้ก็ยอมรับข่าวประเสริฐ ผมตื่นเต้นมาก และเกิดความมั่นใจในการแบ่งปันข่าวประเสริฐมากขึ้น
ในช่วงสงครามกลางเมืองของพม่า ผมถูกย้ายไปอยู่แนวหน้า ผมได้เห็นรูปถ่ายที่พลเรือนถูกทุบตีและบาดเจ็บ บางคนที่ถูกช่วยมาจากค่ายของฝ่ายศัตรูยังบอกเราด้วยว่า หลังถูกจับตัวไป พวกเขาต้องหุงหาอาหารให้ทหารฝั่งศัตรู แถมทหารพวกนั้นยังให้พวกเขาต่อสู้ด้วย พวกนั้นจะยิงคนที่ปฏิเสธจนตาย บ้านเรือนบางหลังก็ถูกเผาวอดจากการต่อสู้ และพวกเขาต้องแอบใช้ชีวิตอยู่ในป่า ทุกครั้งที่ทหารต่อสู้หรือโจมตีชุมชน ก็ย่อมมีคนบาดเจ็บถูกพาตัวกลับไปรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อเห็นทั้งหมดนั้นผมก็เห็นใจพวกเขามาก ผมคิดว่า พวกเขาอาจจะไม่ได้เชื่อในพระเจ้า พอไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมของผู้คนอยู่ในมือใคร หรือพวกเขาสามารถพึ่งพาใครให้ช่วยคุ้มครองได้ ถ้าผมสามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐและนำพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์ได้ พวกเขาก็จะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระองค์เพื่อให้เข้าใจความจริง จะได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้า ความคิดเหล่านี้ทำให้ผมหนักใจทีเดียว ผมอยากไปประกาศข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านและพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์ แต่ผมไม่คุ้นกับภูมิประเทศแถวแนวหน้า และไม่รู้ว่าพวกทหารฝั่งศัตรูซ่อนตัวอยู่ตรงไหน การออกไปประกาศข่าวประเสริฐภายใต้สถานการณ์นั้น หากเจอกองกำลังของศัตรูเข้าก็อาจถูกจับหรือถูกฆ่าเอาได้ ผมรู้สึกกลัวจริงๆ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแสวงหาว่าควรทำอย่างไร แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) ผมตระหนักว่าการผมกลัวที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและกลัวที่จะถูกจับหรือถูกฆ่าจากกองกำลังฝ่ายศัตรู เป็นเพราะผมไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงต่อมหิทธานุภาพของพระเจ้าและการที่พระองค์ทรงปกครองสรรพสิ่ง และผมก็ขาดความเชื่อ ผมยังได้เรียนรู้ด้วยว่า สถานการณ์ทั้งหมดนี้ที่ผมเจออยู่ทุกวัน ทั้งใหญ่และเล็ก ล้วนถูกควบคุมและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ไม่ว่าผมจะถูกศัตรูจับหรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าสถานการณ์อันตรายเพียงไร หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต พวกเขาก็ไม่สามารถจับผมไปได้ และต่อให้วันหนึ่งผมถูกศัตรูจับตัวไปจริงๆ ไม่ว่าผมจะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น ผมควรนบนอบต่อสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเอาไว้ การถูกย้ายไปอยู่แนวหน้าก็มีน้ำพระทัยอันดีอยู่เช่นกัน พลเรือนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนั้นโดยไม่มีใครแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขาเลย พวกเขายังไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า บางทีที่นั่นอาจมีคนที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอด ผมควรคำนึงถึงน้ำพระทัย ประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า พวกเขาจะได้ถูกพามาเฉพาะพระพักตร์ได้ พอตระหนักได้เช่นนี้ผมก็ไม่รู้สึกกลัวมากนัก ผมรู้สึกพร้อมที่จะพึ่งพิงพระเจ้า และไปประกาศข่าวประเสริฐในสภาพแวดล้อมนั้น
ต่อมาผมเริ่มประกาศข่าวประเสริฐให้คนในพื้นที่ แต่กลับเจอความยากลำบากใหม่ คนที่นั่นพูดภาษาไท ผมรู้เพียงภาษาง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเพียงเล็กน้อย อย่างเช่น “กินข้าวหรือยัง?” และ “คุณจะไปไหน?” ผมไม่สามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขาได้ ผมร้อนใจจริงๆ ผมอยากประกาศแต่กลับไม่รู้ภาษาและรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยากเหลือเกิน ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการแบ่งปันข่าวประเสริฐแต่ไม่รู้ภาษานี้ โปรดทรงนำและเปิดเส้นทางแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” ครั้งหนึ่งในการชุมนุมทางออนไลน์ พี่สาวคนหนึ่งได้แบ่งปันพระวจนะบทตอนหนึ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผมมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนที่รักพระองค์อย่างแท้จริงและทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเพียบพร้อม พระองค์ทรงทำให้ผู้คนมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ผ่านทางสภาพแวดล้อมหรือบททดสอบที่แตกต่างกัน อันเป็นการทำให้พวกเขาเข้าใจความจริง ได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ และได้รับความจริงในที่สุด… ผู้ที่ไม่เดินไปบนเส้นทางอันสว่างไสวของการไล่ตามเสาะหาความจริงจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานตลอดไป อยู่ในบาปและความมืดมนตลอดกาล และไร้ซึ่งความหวัง พวกเจ้าสามารถเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้หรือไม่? (ข้าพระองค์ต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจทั้งดวงและสุดจิตสุดใจของตน) เมื่อหน้าที่มาถึงตัว และเจ้าได้รับความไว้วางใจมอบหมายหน้าที่ให้ทำ จงอย่าคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าความลำบากยากเย็น หากมีบางสิ่งที่รับมือยาก จงอย่าวางมือจากสิ่งนั้นและเพิกเฉย เจ้าต้องเผชิญสิ่งนั้นซึ่งหน้า เจ้าต้องจำไว้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้คน และถ้ามีความลำบากยากเย็นอันใด พวกเขาก็เพียงต้องอธิษฐานและแสวงหาจากพระองค์เท่านั้น และจำไว้ว่าเมื่อมีพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยากลำบาก เจ้าต้องมีความเชื่อนี้ ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปัตย์เหนือสรรพสิ่ง ทำไมเจ้าถึงยังคงรู้สึกกลัวเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และกลัวว่าจะไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพา? นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า หากเจ้าไม่ถือว่าพระองค์คือผู้เกื้อหนุนเจ้า และเป็นพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า ในชีวิตจริง ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสถานการณ์แบบใด เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ เพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงและได้รับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเพียงเรื่องเดียวทุกวัน ก็ย่อมจะไม่เสียเวลาแล้ว!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) เมื่อผมอ่านบทตอนนั้น มันก็ฝังแน่นอยู่ในใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผม เมื่อเผชิญความยากลำบาก ผมเพียงต้องอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้าอย่างแท้จริง แล้วพระองค์จะทรงนำผม สำหรับพระเจ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผมจึงควรมีความเชื่อ การประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของผม ผมไม่อาจถอยหนีแค่เพราะไม่รู้ภาษา ผมยังคงต้องทำให้ดีที่สุด ในเมื่อผมถูกเลือกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหนผมก็ต้องพึ่งพิงพระองค์และทำหน้าที่ให้ลุล่วง เมื่อไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ ผมก็พร้อมที่จะพยายามทุ่มเท และทุกครั้งก่อนออกไปประกาศ ผมจะอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำ ผมเริ่มพยายามสื่อสารกับคนในหมู่บ้าน เปิดบันทึกเสียงคำพยานและการประกาศข่าวประเสริฐภาษาไทให้พวกเขาฟัง ขณะเปิดให้พวกเขาฟังนั้นผมก็ตั้งใจฟังไปด้วย และพอเสียงจบลง ผมก็สามัคคีธรรมกับพวกเขา และเพิ่มภาษาไทที่ผมเรียนมาเล็กน้อยลงไป หลังจากทำแบบนั้นอยู่สองสามวัน ก็มีคนยอมรับข่าวประเสริฐถึงเก้าคน ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างเหลือเชื่อ และผมก็มีความเชื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น
วันหนึ่ง กองกำลังของศัตรูเผยแพร่วิดีโอลงในวีแชท ผมเห็นว่าหลังจับทหารของเราไป ฝ่ายนั้นก็ทรมานพวกเขา บ้างถูกตัดมือ บ้างถูกตัดเท้า และพวกนั้นก็เชือดคอพวกเขาราวกับเชือดหมู ถึงกับใช้มีดตัดหัวใจของพวกเขาออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็รู้สึกกลัวจริงๆ ผมคิดว่า “ฉันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านทุกเย็น—ฉันจะถูกศัตรูจับตัวไปไหม? ถ้าพวกเขาจับตัวฉันไปแล้วทารุณฉันเหมือนทหารพวกนั้น หรือถึงกับทรมานฉันจนตายล่ะ?” เมื่อคิดเรื่องนี้ ผมก็กลัวการจะออกไปประกาศอีก ตอนนั้นผมตระหนักว่า ผมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ผมจึงอธิษฐานและมอบหัวใจให้พระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำผม ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่มอบความมั่นใจและความแข็งแกร่งให้ผมขึ้นมาบ้าง พระวจนะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้ พระเจ้าจะทรงมอบสิ่งใดก็ตามที่เจ้าหวังจะได้รับให้แก่เจ้า หากเจ้าไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและเจ้าจะไร้ความสามารถมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์ เมื่อเจ้ามีความเชื่อว่าเจ้าจะมองเห็นการกระทำของพระองค์ในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าจากภายใน หากปราศจากความเชื่อนั้น พระเจ้าจะทรงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ หากเจ้าได้สูญเสียความหวังในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะสามารถผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไรเล่า? เพราะฉะนั้น เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อและเจ้าไม่ได้เก็บงำความคลางแคลงใจต่อพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์โดยไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด พระองค์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่เจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถมองเห็นการกระทำของพระองค์ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางความเชื่อ ความเชื่อมาโดยผ่านทางการถลุงเท่านั้น และในกรณีที่ไม่มีการถลุง ความเชื่อก็ไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ คำว่า ‘ความเชื่อ’ นี้อ้างอิงถึงอะไรเล่า? ความเชื่อคือการเชื่อที่จริงแท้และหัวใจที่จริงใจซึ่งมนุษย์ควรครองเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมของมนุษย์ นี่คือความเชื่อที่เราพูดถึง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) ผมได้รู้ว่า เมื่อเราเผชิญกับบททดสอบและความทุกข์ลำบาก หากเราขาดความเชื่อและไม่ร่วมมืออย่างแข็งขัน พระเจ้าก็ไม่มีทางทรงพระราชกิจในตัวเรา และเราก็ไม่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระองค์ได้ ยิ่งเราไม่สามารถมองเห็นบางอย่างได้ เรายิ่งต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และทางเดียวที่จะเกิดความเชื่อคือก้าวผ่านบททดสอบ การแบ่งปันข่าวประเสริฐขณะต่อสู้อยู่แนวหน้า เผชิญอันตรายจากการถูกกองกำลังของศัตรูจับตัวไปนั้นเป็นบททดสอบ เป็นการทดสอบสำหรับผม ผมขาดความจริง และไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงในมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้า ผมไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง ผมจึงไม่มีความเชื่อ เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่อันตรายขณะประกาศข่าวประเสริฐ ผมก็กลัวถูกจับและถูกทรมานจนตายจึงไม่กล้าออกไปประกาศ ผมไม่สามารถมอบหัวใจให้พระเจ้าได้อย่างแท้จริง อันที่จริงพระเจ้าทรงจัดวางสถานการณ์รูปแบบนี้เพื่อให้พระองค์สามารถประทานความจริงแก่ผมได้มากขึ้น ผมจะได้แสวงหาความจริง นำความจริงไปปฏิบัติ และยอมรับมหิทธานุภาพของพระเจ้า ยอมรับการที่พระองค์ทรงควบคุมชะตากรรมของมวลมนุษย์ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าชีวิตและความตายของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ขณะนี้ที่ผมกำลังเผชิญสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนั้น ผมต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้อย่างแท้จริงและดำเนินชีวิตผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ นั่นเป็นหนทางเดียวที่ผมจะได้เห็นกิจการของพระเจ้าและเกิดความเชื่อที่แท้จริง เมื่อผมเข้าใจน้ำพระทัยแล้ว หัวใจของผมก็สว่างขึ้นมาก และผมก็ไม่รู้สึกกลัวมากนัก
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งซึ่งให้แรงจูงใจยิ่งกว่าเดิม พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับผู้ติดตามของพระองค์ทุกคน แต่ละคนในบรรดาพวกเขาต่างมีสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแต่งไว้สำหรับมนุษย์ เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในสภาพแวดล้อมนั้น และพวกเขาก็มีพระคุณและความโปรดปรานของพระเจ้าซึ่งเป็นของมนุษย์เอาไว้ชื่นชม พวกเขายังมีสถานการณ์พิเศษที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้มนุษย์ และมีความทุกข์มากมายที่พวกเขาต้องก้าวผ่าน—นี่ไม่ได้เป็นเหมือนการล่องเรืออย่างราบรื่นดังที่มนุษย์จินตนาการ นอกจากนี้ หากเจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เจ้าต้องตระเตรียมตนเองเพื่อที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ลุล่วงและเพื่อเห็นแก่การทำหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม ราคานั้นอาจเป็นการทนทุกข์กับความเจ็บป่วยหรือความยากลำบากทางกาย หรือทนทุกข์กับการข่มเหงจากพญานาคใหญ่สีแดง หรือความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคมโลก รวมถึงความทุกข์ยากที่คนเราประสบขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ กล่าวคือ การถูกขาย ถูกทุบตีและแผดเสียงดุว่า ถูกกล่าวโทษ—แม้กระทั่งถูกรุมทำร้ายจนเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นไปได้ว่า ในระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจะตายก่อนที่พระราชกิจของพระเจ้าจะแล้วเสร็จ และว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า เจ้าต้องตระเตรียมเพื่อการนี้ นี่ไม่ได้หมายที่จะทำให้พวกเจ้าขวัญผวา นี่คือข้อเท็จจริง… แล้วสาวกเหล่านั้นขององค์พระเยซูเจ้าตายอย่างไร? ในบรรดาเหล่าสาวก มีบรรดาผู้ที่ถูกเอาก้อนหินขว้าง ถูกลากข้างหลังม้า ถูกตรึงกางเขนกลับหัว ถูกแยกร่างโดยม้าห้าตัว—ความตายทุกแบบบังเกิดขึ้นกับพวกเขา อะไรคือเหตุผลสำหรับความตายของพวกเขา? พวกเขาถูกสำเร็จโทษโดยถูกต้องตามกฎหมายสำหรับอาชญากรรมของพวกเขาหรือไม่? ไม่ พวกเขาถูกกล่าวโทษ ถูกทุบตี ถูกด่าทอ และถูกทำให้ถึงแก่ความตายเพราะพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกผู้คนของโลกปฏิเสธ—นั่นคือวิธีที่พวกเขาได้พลีชีพเพื่อศาสนา… แท้จริงแล้ว นี่คือหนทางที่ร่างกายของพวกเขาตายและจากไป นี่คือวิถีทางของพวกเขาในการจากโลกมนุษย์ไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่าวิถีทางแห่งความตายและการจากไปของพวกเขาเป็นเช่นไรหรือมันจะเกิดขึ้นอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบสุดท้ายของชีวิตเหล่านั้น ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเห็นอย่างชัดแจ้ง ในทางตรงกันข้าม พวกเขาใช้วิถีทางเหล่านั้นเพื่อกล่าวโทษโลกนี้และเพื่อให้คำพยานต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้าอย่างแน่นอน สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอันมีค่าที่สุดของพวกเขา—พวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงกิจการทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อให้คำพยานถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเพื่อประกาศต่อซาตานและโลกว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นถูกต้อง ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรงเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แม้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธพระนามขององค์พระเยซูเจ้า นี่คือรูปแบบหนึ่งของการพิพากษาโลกนี้มิใช่หรือ? พวกเขาได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อประกาศต่อโลก เพื่อยืนยันต่อมนุษย์ทั้งหลายว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ พระองค์คือเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และพระราชกิจแห่งการไถ่ที่พระองค์ทรงทำไปเพื่อมวลมนุษยชาติก็เปิดโอกาสให้มนุษยชาติมีชีวิตอยู่ต่อไป—ข้อเท็จจริงนี้ไม่ผันแปรตลอดกาล บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาถึงขอบเขตใดกัน? ถึงที่สุดหรือไม่? ความถึงที่สุดได้รับการสำแดงออกมาอย่างไร? (พวกเขามอบชีวิตของตน) ถูกต้อง พวกเขาได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขาเอง ครอบครัว ความมั่งคั่ง และสิ่งของทางวัตถุทั้งหลายแห่งชีวิตนี้ล้วนเป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับตัวตนคือชีวิต สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนนั้น ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การหวงแหนมากที่สุด เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด และดังเช่นที่มันเกิดขึ้นนั้น ผู้คนเหล่านั้นสามารถถวายสิ่งครอบครองที่มีค่ามากที่สุดของพวกเขา—ซึ่งก็คือชีวิต—ให้เป็นเครื่องยืนยันและเป็นคำพยานแด่ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ จนกระทั่งวันที่พวกเขาตาย พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริงนี้—นี่ไม่ใช่การให้คำพยานในรูปแบบที่สูงส่งที่สุดหรอกหรือ? นี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วง เมื่อซาตานข่มขู่และข่มขวัญพวกเขา และในท้ายที่สุด แม้กระทั่งเมื่อมันทำให้พวกเขาจ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรับผิดชอบของพวกเขา นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจนถึงที่สุด ที่ว่ามานี้เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายจะให้พวกเจ้าใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้คำพยานถึงพระเจ้าและเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์กระนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเข้าใจว่านี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ต้องเข้าใจว่าหากพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้ายอมรับ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งนี้ในฐานะสิ่งอันทรงเกียรติที่เจ้าพึงต้องทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) ผมตระหนักว่า การที่เราทุกคนสามารถติดตามพระเจ้าได้เป็นกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ยังทรงสร้างภาวะที่แต่ละคนสามารถทำหน้าที่ได้ ระหว่างการประกาศข่าวประเสริฐ แน่นอนว่าเราต้องเผชิญสถานการณ์และความอันตรายทุกรูปแบบ บางคนถูกทำให้อับอาย บางคนถูกทุบตีและตะคอกใส่ บางคนถูกส่งตัวให้ผู้มีอำนาจของซาตานและถูกทารุณ และบางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ไม่ว่าสถานการณ์เป็นยังไงผมก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และควรทำหน้าที่ให้ลุล่วงอยู่เสมอ การประกาศข่าวประเสริฐเป็นภารกิจชีวิตของผม เป็นความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าจะขมขื่นหรือยากเย็นเพียงใด ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ต้องทำหน้าที่และทำความรับผิดชอบให้ลุล่วง ผมนึกถึงเหล่าสาวกผู้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ พวกเขาก็เผชิญอันตรายมากมายในการประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน บางคนถูกทุบตีและตะคอก บางคนถูกจำคุก และบางคนก็ถูกตรึงกางเขน ถูกทรมานจนถึงจุดที่ตายทั้งเป็น แต่พวกเขาก็ไม่พร่ำบ่นหรือทอดทิ้งความรับผิดชอบและหน้าที่ของตัวเอง ท้ายที่สุด พวกเขาก็เชื่อฟังจนตาย เป็นพยานให้กิจการของพระเจ้าและฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยชีวิต ทำให้มารซาตานอับอาย พวกเขาไม่ได้ตายเพราะทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ตายเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระนามของพระเจ้าและยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้าง พวกเขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์ นั่นเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุด พวกเขาทำความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วง พระเจ้าทรงเห็นชอบกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างประเภทนั้น และแม้ว่าเนื้อหนังของพวกเขาตายจากไป ดวงจิตของพวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ และอยู่ภายใต้การจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผมก็ได้ทบทวนตัวเองเช่นกัน เมื่อมีความตายมาข้องเกี่ยว ผมก็ตาขาวและไม่อยากออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมยังคิดถึงความปลอดภัยของผมเอง สิ่งที่ผมรักจริงๆ คือชีวิตของผมเอง ผมคิดว่าผมสามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้ ตราบใดที่ไม่ออกไปประกาศ ผมก็จะไม่เจอกับอันตรายหรือความตาย แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า การไม่ออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐก็ไม่ใช่ว่าผมจะปลอดภัย ผมถูกมอบหมายให้ไปยืนยาม ซึ่งอันตรายอยู่แล้ว และผมอาจโดนซุ่มโจมตีได้ นอกจากนี้เวลาไปตักน้ำหรือไปซื้อของในพื้นที่ นั่นก็อันตรายเช่นกัน เราสามารถถูกทหารฝั่งศัตรูโจมตีได้ทุกเมื่อ ชีวิตของผมไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถควบคุมได้เอง ไม่ว่าเราจะถูกศัตรูจับหรือไม่ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ต่อให้ออกไปประกาศผมก็จะไม่ถูกจับ หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้มีบางอย่างเกิดขึ้น ต่อให้ไม่ไปประกาศ ผมก็ยังถูกศัตรูซุ่มโจมตีหรือจับตัวไปได้อยู่ดี ผมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ควรประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป หากผมหาข้ออ้างที่จะไม่แบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานแด่พระเจ้า ไม่ทำหน้าที่ ผมจะยังมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง แต่สำหรับพระเจ้า ผมจะสูญเสียหน้าที่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และชีวิตของผมย่อมจะไร้ความหมาย ท้ายที่สุดพระเจ้าจะทรงกำจัดผมออกไปและผมจะไม่ถูกช่วยให้รอด การไปประกาศที่หมู่บ้านในบริเวณแนวหน้านั้นอันตราย แต่เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้กว้างไกลออกไป ผมก็ไม่สามารถยึดติดอยู่กับชีวิต แต่ควรเผชิญหน้าอย่างเหมาะสมกับโอกาสที่จะตาย หากจำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประกาศต่อไป ผมก็จะทำ นั่นถึงเป็นการที่ผมทำความรับผิดชอบให้ลุล่วง นั่นคือคำพยาน และเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ ผมยังเข้าใจด้วยว่า ผมคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นผู้ติดตามของพระเจ้า ไม่ว่าผมเผชิญสถานการณ์ที่อันตรายแค่ไหน การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็เป็นภารกิจชีวิต และเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ลุล่วง ผมไม่สามารถหยุดแบ่งปันข่าวประเสริฐ ณ เวลาใดได้เลย หลังจากนั้นผมก็ได้พี่น้องชายอีกสองคนไปประกาศด้วยกัน ชื่อนิโคลัสกับอาเธอร์
วันหนึ่ง พวกเราไปที่หมู่บ้านและมีคนมาฟังเราประกาศถึงสิบคน พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องวิธีที่จะได้รับการคุ้มครองผ่านความวิบัติกับพวกเขาว่า “ตอนนี้ความวิบัติกำลังหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับที่แห่งนี้ที่เจอสงครามอยู่ตลอด และน้ำก็ปนไปด้วยเลือด แถมยังมีโรคระบาดอีก… ใครจะช่วยเราให้รอดผ่านความวิบัติทั้งหมดนี้ไปได้กันแน่? ผู้ที่ช่วยเราให้รอดได้มีเพียงพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งนั่นเอง” แล้วพวกเราก็เปิดบันทึกเสียงเทศนาให้พวกเขาฟัง ซึ่งพูดถึงเหตุผลที่มนุษย์เกิด แก่ เจ็บ และตาย วิธีได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าในความวิบัติ วิธีที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม และวิธีที่พระเจ้าทรงงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นอกจากนี้ยังมีพระวจนะบางบทตอนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “เหล่านี้คือข้อเท็จจริง นั่นคือ ก่อนที่แผ่นดินโลกจะได้มาดำรงอยู่ หัวหน้าทูตสวรรค์เป็นทูตสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟ้าสวรรค์ มันมีอำนาจปกครองเหนือทูตสวรรค์ทั้งปวงในฟ้าสวรรค์ นี่เป็นสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้มัน นอกจากพระเจ้าแล้ว มันยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทูตสวรรค์ ต่อมา หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมา เบื้องล่างบนแผ่นดินโลก หัวหน้าทูตสวรรค์ก็ได้ทรยศพระเจ้าอย่างร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก เราพูดว่ามันทรยศพระเจ้าก็เพราะมันต้องการที่จะบริหารจัดการมนุษยชาติและมีสิทธิอำนาจเกินพระเจ้า หัวหน้าทูตสวรรค์นี่เองที่ได้ทดลองเอวาให้ทำบาป และที่มันทำเช่นนั้นก็เพราะมันปรารถนาที่จะสถาปนาอาณาจักรของมันบนแผ่นดินโลกและทำให้มนุษย์ทรยศพระเจ้าและเชื่อฟังหัวหน้าทูตสวรรค์แทน หัวหน้าทูตสวรรค์เห็นว่า หลายสิ่งเหลือเกินที่จะสามารถเชื่อฟังมันได้—พวกทูตสวรรค์สามารถ เช่นเดียวกับที่ผู้คนบนแผ่นดินโลกก็สามารถ นกและสัตว์ร้าย ต้นไม้ ป่า ภูเขา แม่น้ำ และทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกนั้นอยู่ใต้การดูแลของพวกมนุษย์—นั่นก็คือ อาดัมกับเอวา—ในขณะที่อาดัมกับเอวาเชื่อฟังหัวหน้าทูตสวรรค์ เพราะฉะนั้นหัวหน้าทูตสวรรค์จึงอยากมีสิทธิอำนาจมากกว่าพระเจ้าและทรยศพระเจ้า หลังจากนั้น มันก็นำทูตสวรรค์มากมายทรยศพระเจ้า ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวิญญาณที่ไม่สะอาดสารพัดชนิด พัฒนาการของมนุษยชาติจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้มีเหตุมาจากการทำให้เสื่อมทรามของหัวหน้าทูตสวรรค์หรอกหรือ? พวกมนุษย์เป็นอย่างที่พวกเขาเป็นในวันนี้ก็เพราะหัวหน้าทูตสวรรค์ได้ทรยศพระเจ้าและทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรรู้ว่ามนุษยชาติทั้งปวงได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันอย่างไร) “ก่อนอื่น ผู้คนต้องเข้าใจว่าความเจ็บปวดจากการเกิด แก่ เจ็บ และตายตลอดชีวิตของตนนั้นมาจากไหน และเหตุใดมนุษย์จึงทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ เมื่อแรกสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่หรอกหรือ? ความเจ็บปวดเหล่านี้มาจากไหน? ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ถูกซาตานทดลองและทำให้เสื่อมทราม แล้วจากนั้นมนุษย์ก็เสื่อมลง ความเจ็บปวด ความเดือดร้อน และความว่างเปล่าของเนื้อหนังมนุษย์ รวมทั้งสิ่งเลวร้ายทั้งปวงในโลกของมนุษย์—ล้วนมีขึ้นหลังจากที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามทั้งสิ้น หลังจากที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว ซาตานก็เริ่มทรมานมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงตกต่ำลงไปอีก ความเจ็บไข้ได้ป่วยของเขายิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเคย ความเจ็บปวดของเขาก็เพิ่มขึ้น เขาจึงยิ่งสำนึกมากขึ้นว่าโลกว่างเปล่าและทุกข์ตรม และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชีวิตรอดในโลกนี้ และการดำรงชีวิตในโลกนี้ก็สิ้นหวังลงทุกที ดังนั้นความเจ็บปวดทั้งมวลที่เกิดกับมนุษย์นี้จึงเป็นฝีมือของซาตาน และเกิดขึ้นหลังจากที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและมนุษย์ก็มีสภาวะที่เสื่อมลง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, นัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงรับรสชาติของความทุกข์ทางโลก) “ความวิบัติทุกลักษณะจะบังเกิดขึ้นตามติดกันมา ประชาชาติและสถานที่ทั้งหมดจะประสบหายนะ นั่นคือ ภัยพิบัติ การกันดารอาหาร น้ำท่วม ภัยแล้ง และแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ความวิบัติเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งหรือสองที่เท่านั้น อีกทั้งความวิบัติเหล่านี้จะไม่จบลงภายในหนึ่งหรือสองวัน ในทางกลับกัน ความวิบัติเหล่านี้จะขยายไปทั่วเป็นบริเวณที่กว้างขึ้นทุกที และกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นทุกที ในช่วงระหว่างเวลานี้ ทุกรูปแบบของภัยพิบัติจากแมลงจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และปรากฏการณ์คนกินเนื้อคนจะบังเกิดขึ้นทุกที่ นี่คือการพิพากษาของเราต่อประชาชาติและกลุ่มประชาชนทั้งหมด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 65) เมื่อได้ฟังพระวจนะเหล่านี้ พวกเขาก็คิดว่ายอดเยี่ยมมาก บางคนกล่าวว่า “เราไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนั้นมาก่อน ช่างอัศจรรย์และน่าตื้นตันใจเหลือเกิน” บ้างก็กล่าวว่า “ขอบคุณมากที่มาแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้และทำให้พวกเราได้ยินเสียงของพระเจ้า” และคนอื่นๆ ก็กล่าวว่า “หวังว่าคุณจะกลับมาอีกนะ” หลังจากได้ฟังวันนั้น ทั้งสิบคนก็ยอมรับข่าวประเสริฐ ผมบอกว่าพวกเขาว่าเราจะกลับมาอีกในช่วงเย็น และหนุนใจให้พวกเขาพาเพื่อนฝูงและญาติๆ มาด้วย เย็นวันนั้นพวกเขาพาคนมาเพิ่มอีกสิบกว่าคน พอได้ฟังบันทึกเสียงเทศนาและพระวจนะ ทุกคนก็ยอมรับข่าวประเสริฐ และสัญญาว่าหากมีเวลาว่างในช่วงเย็นพวกเขาจะมาฟัง ผมรู้สึกมีความสุขมาก นับจากนั้นมา ตอนกลางวันเราก็หมั่นประกาศข่าวประเสริฐเมื่อมีเวลา และจะให้น้ำพวกเขาตอนกลางคืน พอให้น้ำเสร็จ เราก็จะแอบกลับมาประจำตำแหน่ง หลังจากทำแบบนั้นอยู่เกือบเดือน ทุกคนก็แน่วแน่กับการชุมนุมมาก และมีส่วนร่วมจริงๆ พวกเขาจะพาคนอื่นมาฟังคำเทศนาด้วย มีผู้คนยอมรับข่าวประเสริฐมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ผมก็มีความสุขและตื้นตันใจจริงๆ การที่ผมสามารถประกาศข่าวประเสริฐบริเวณแนวหน้าและพาพลเรือนมาเฉพาะพระพักตร์ได้ล้วนเป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้า และผมก็รู้สึกถึงสันติสุขจริงๆ
เย็นวันหนึ่งผมไปให้น้ำผู้เชื่อใหม่บางคนที่หมู่บ้าน ตอนเดินทางกลับ ผมเจอผู้บังคับกองร้อยกำลังลาดตระเวนพร้อมอุปกรณ์ที่ช่วยให้มองเห็นตอนกลางคืน เขาเห็นผมและคิดว่าผมเป็นศัตรูที่มาซุ่มโจมตี จึงรวบรวมทหารหลายนายเพื่อมาจับตัวผม ขณะที่พวกเขากำลังจะยิง ผมก็รีบร้องออกมา พี่ชอว์นจำผมได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะยิงผมไปแล้ว วันรุ่งขึ้นพี่ชอว์นมาบอกผมว่า “เมื่อคืนนายเกือบโดนยิงไปแล้ว ดีที่ฉันจำเสียงนายได้” พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตื้นตันใจจริงๆ และกล่าวคำอธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครอง ผมนึกถึงบางอย่างในพระวจนะ “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) ผมได้เห็นว่าพระเจ้าทรงปกครองและควบคุมทุกสิ่ง หัวใจและวิญญาณของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไร้ชีวิต ทุกสิ่งก็หมุนเวียนและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะอยู่หรือตายก็เป็นสิ่งที่ถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าเมื่อคืนก่อนเพื่อนทหารจะยิงผมหรือไม่ เรื่องนี้ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การเจอพี่ชอว์นก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าเช่นกัน เขาบังเอิญจำเสียงผมได้เลยทำให้ผมไม่โดนยิง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ และตื้นตันใจมาก ผมสัมผัสได้ถึงความรักและความคุ้มครองที่พระเจ้าทรงมีต่อผม และยังเห็นด้วยว่ากิจการของพระองค์แสนอัศจรรย์เพียงใด หลังจากนั้นผมกับพี่น้องชายสองคนก็เทียวไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่หมู่บ้าน เราได้แบ่งปันข่าวประเสริฐให้กับคนจำนวน 57 คน ซึ่งทั้งหมดได้เข้าร่วมกับคริสตจักร ผมรู้สึกขอบคุณการทรงนำของพระเจ้าจริงๆ
ผ่านไปสักพัก การประกาศข่าวประเสริฐในบริเวณนั้นก็เสร็จสิ้นค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงจุดนี้ผมก็คิดว่าจะไปที่ไหนต่อ กลายเป็นว่าในวันนั้น หน่วยของเราถูกย้ายไปอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งมีสองหมู่บ้านอยู่ในนั้น ผมมีความสุขจริงๆ ที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐต่อได้ในพื้นที่ใหม่ แต่ชุมชนนั้นอันตรายมาก—กองกำลังของศัตรูสามารถมาโจมตีเราได้ทุกเมื่อ ทันทีที่ไปถึงเราก็เจอกับระเบิด ผมรู้สึกกลัวเล็กน้อย กลัวว่ากองกำลังของศัตรูจะปลอมตัวเป็นพลเรือนแล้วโผล่มาจากไหนไม่รู้ ถ้าเรามีกำลังพลไม่มาก หรือออกไปลำพังโดยไร้อาวุธแล้วเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาจะฉวยโอกาสนี้ฆ่าหรือจับตัวเราไป แต่จากประสบการณ์ของผมในสถานที่ก่อนหน้า ผมได้เห็นกิจการที่แสนอัศจรรย์ของพระเจ้า และรู้ว่าการประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องยอมรับมัน เมื่อคิดแบบนั้น ผมก็ไม่รู้สึกว่าถูกบีบคั้นมากอีกต่อไป และหมั่นออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐเสมอเมื่อมีเวลา เวลาไปที่ชุมชนเราก็พกปืนไปด้วย ไม่กล้าที่จะประมาท เราเริ่มต้นแบ่งปันข่าวประเสริฐกับรองผู้ใหญ่บ้านกับภรรยา และแม่ของเขา เปิดบันทึกเสียงเทศนาให้พวกเขาฟัง คำเทศนาเหล่านั้นพูดถึงว่า ในตอนเริ่มต้นพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งยังไง มนุษย์เริ่มเลวทรามได้ยังไง รวมถึงความวิบัติและสงครามแห่งยุคสุดท้าย และสิ่งเหล่านี้คือหมายสำคัญแห่งการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ายังไง องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในรูปมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระองค์ทรงกำลังแสดงความจริงและทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด พวกเราจะได้หลีกหนีความชั่ว และรอดพ้นจากความวิบัติ เราจะได้รับความรอดของพระเจ้าและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ก็ต่อเมื่อเรามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น พวกเขาฟังคำพยานนี้และต่างบอกว่าวิเศษมาก รองผู้ใหญ่บ้านบอกว่า “ผมขอหยิบสมุดมาจดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดก่อน จะได้มาอ่านเพิ่มเติมทีหลัง” ผมบอกว่า “ไม่ต้องห่วงครับ พรุ่งนี้เราจะกลับมาอีก คุณชวนคนอื่นมาฟังด้วยได้ไหมครับ?” เขาตอบกลับมาว่า “สิ่งที่คุณพูดนั้นยอดเยี่ยมและถูกต้องเลย ผมเป็นรองผู้ใหญ่บ้าน ผมจึงควรเรียกคนในหมู่บ้านมาฟังสิ่งนี้ด้วยกัน” วันถัดมา เขาพาคนอื่นมาฟังคำเทศนาของเราด้วย ในที่สุดคนจากสองหมู่บ้านเป็นจำนวน 94 คน ก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ทรงจัดเตรียมให้ผมไปที่นั่น ทำให้ผมสามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้ ซึ่งนี่เป็นการยกชูของพระเจ้า ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก!
การก้าวผ่านทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้มีประสบการณ์ส่วนตัวที่ว่า พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของผู้คน และชีวิตกับความตายของเราอยู่ในพระหัตถ์ สิ่งนี้ยังมอบความเข้าใจอันสัมพันธ์กับชีวิตเรื่องความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้าให้ผมมากขึ้นด้วย เมื่อก่อน ตอนที่ผมยังไม่ได้ไปอยู่แนวหน้า ผมรู้ว่าการเป็นทหารนั้นอันตราย และผมก็อธิษฐานและวางชีวิตกับความตายเอาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่ถ้าผมไม่ได้ไปที่นั่นจริงๆ ผมคงไม่เห็นว่าตัวเองมีความเชื่อในพระเจ้าน้อยแค่ไหน แล้วทุกครั้งที่ผมเผชิญสถานการณ์อันตราย เกิดหวาดกลัวและขาดความเชื่อ สิ่งที่ค้ำชูและนำผม อีกทั้งมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ผมก็คือพระวจนะ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมไม่ถอยหนี และไม่ละทิ้งหน้าที่ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ทรงให้ผมมีประสบการณ์แบบนั้น ไม่ว่าวันหน้าผมจะไปลงเอยที่ไหน ไม่ว่าที่แห่งนั้นอันตรายเพียงใด การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าก็เป็นภารกิจของชีวิต ผมต้องมีความเชื่อในพระเจ้า มอบหัวใจให้แก่พระองค์ และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!