การที่จะลุล่วงหน้าที่ของคนเราให้ดี การเข้าใจความจริงย่อมจะสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างน่าพึงพอใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามอย่างใหญ่หลวงเพื่อความจริง ผู้คนสามารถปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมเหล่านี้ได้ด้วยการจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงเท่านั้น นอกจากนี้ผู้คนยังจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญสารพัดสาขาและทักษะเฉพาะทางทั้งหลายที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของพวกเขา และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้กลวิธีบางอย่างที่เรียบง่ายและสัมพันธ์กับชีวิตจริง คนบางคนมีความเชี่ยวชาญเชิงกลวิธีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะประยุกต์สิ่งนี้เข้ากับหน้าที่ของพวกเขา ยามที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย หัวใจของพวกเขาไม่เคยเข้าใจชัดเจนในเรื่องนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าในการทำสิ่งทั้งหลาย หนทางใดถูกต้อง หนทางใดที่เป็นไปตามหลักธรรมความจริง และสามารถเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น หรือหนทางใดที่ไม่ถูกต้องและละเมิดหลักธรรม จิตใจของพวกเขาอยู่ในสภาวะที่สับสน สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนหนทางนี้ถูกต้อง แต่หนทางอื่นก็ดูเหมือนทำได้เช่นกัน พวกเขาไม่เคยแน่ใจว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้พอเหมาะพอควร และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงเป็นการติดตามเส้นทางที่ถูกต้อง นี่พิสูจน์อะไร? (พวกเขาไม่เข้าใจความจริง) ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาอยู่ในสภาวะที่เคลือบคลุมเกี่ยวกับสภาวะภายในของตัวเองและความเข้าใจของตัวเอง รวมทั้งมาตรฐานการประเมินสำหรับหลายสิ่ง เมื่อพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในการทำบางสิ่ง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง และรู้สึกว่าทุกสิ่งง่ายดายสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตาม พอพวกเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ชีวิตจริงเข้าจริงๆ พวกเขากลับไม่รู้จะคิดเห็นประการใด ไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับสิ่งนั้น หรือหนทางที่ถูกต้องที่จะเดินหน้าต่อ ถึงตอนนั้นเองที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีอะไรและไม่เข้าใจอะไรที่เป็นความจริงเลย คำสอนทั้งหลายที่พวกเขาสนทนาไปกันก่อนหน้านั้นช่างไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากแสวงหาจากผู้อื่นและหารือกับคนเหล่านั้นเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยามที่ผู้คนซึ่งไม่เข้าใจความจริงเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง—พวกเขามึนงงสับสน เต็มไปด้วยความวิตกกังวล รู้สึกว่าทำนี่ก็ผิดและทำนั่นก็ไม่ถูก รวมทั้งไม่สามารถพบเจอเส้นทางที่ถูกต้อง ถึงตอนนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นว่า เมื่อปราศจากความจริง การก้าวย่างสักก้าวก็ช่างลำบากยากเย็นนัก! อะไรคือสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นจำเป็นต้องมีที่สุด ณ เวลานี้? ความรู้และปรัชญาเยี่ยงซาตานหรือความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง? สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือการเข้าใจความจริง หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง ต่อให้เจ้าทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ เจ้าก็จะรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับงานนั้น เจ้าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำงานนั้นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าผลลัพธ์จะเป็นอะไรหลังจากที่งานเสร็จสิ้นลง เจ้าไม่สามารถประเมินวัดสิ่งเหล่านี้ได้ เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่สามารถประเมินวัดสิ่งเหล่านั้นได้? เหตุใดเล่าหัวใจของเจ้าจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเสมอ? นั่นเป็นเพราะ ยามที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าไม่แน่ใจว่าเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นในหนทางที่สอดคล้องจริงและอย่างแท้จริงกับหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่ ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่คือหลักธรรมหรือไม่ และว่าการปฏิบัติของเจ้าสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ เจ้าไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันการนี้ได้ หากเจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างเล็กน้อย เจ้าก็จะรู้สึกว่าตัวเจ้ามีความสามารถอย่างมาก และได้รับต้นทุนบางอย่าง จนกลายเป็นชะล่าใจ กระนั้นก็ตาม หากไม่มีผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดหรือการนั้นไม่บรรจบกับมาตรฐานของหลักธรรมทั้งหลาย เจ้าก็จะกลายเป็นคิดลบทันที และคิดว่า “เมื่อไหร่นะพระเจ้าจึงจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน? ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแก่คนอื่นตลอดเวลา ในขณะที่ตัวฉันไม่ได้รับแรงบันดาลใจ ความรู้แจ้ง และความกระจ่างใดเลย?” บางครั้งเจ้าอาจรู้สึกว่าเจ้าทำสิ่งทั้งหลายไปด้วยความตั้งใจที่ถูกต้องและทุ่มเทความพยายามอย่างใหญ่หลวง เจ้าจึงหวังว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับ เห็นชอบ และยืนยันรับรองความพยายามของเจ้าอย่างมีความสุข อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็เกรงพระเจ้าจะตรัสว่าที่เจ้าปฏิบัติตนไปนั้นไม่ถูกต้องและไม่ทรงเห็นชอบด้วย นี่ไม่แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจในเรื่องส่วนได้ส่วนเสียหรอกหรือ? เมื่อเจ้าเห็นว่าเจ้ามีวุฒิภาวะต่ำ เป็นกบฏและโอหังเกินไป และเห็นว่าเจ้ากลายเป็นชะล่าใจเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งที่เล็กน้อยที่สุด เจ้าก็จะรู้สึกว่าเจ้าเสื่อมทรามเกินไป เจ้าคือซาตานมารร้ายตนหนึ่ง และไม่คู่ควรกับความรอดของพระเจ้า จากนั้น หลังจากที่สร้างความสัมฤทธิ์ผลเล็กน้อยบางอย่างเพิ่มเติม เจ้าก็จะคิดว่า จะว่าไปแล้วเจ้าไม่แย่นัก ว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง และสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรได้รับการปูนบำเหน็จ นี่แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจที่มีต่อส่วนได้ส่วนเสียใช่หรือไม่? สภาวะของความกังวลเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียนี้เกิดขึ้นจากสิ่งใด? นี่สัมพันธ์โดยตรงกับการขาดความเข้าใจความจริง เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมทำให้เกิดสภาวะและการสำแดงมากมาย หลักๆ ก็คือการที่ผู้คนมักจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะกังวลใจเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสีย นี่เป็นสภาวะปกติของพวกเขา เพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าไม่สามารถประเมินวัดความสามารถของตัวเจ้าเองได้ เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเจ้าสามารถทำได้และไม่สามารถทำได้ เพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจึงไม่รู้ว่าอะไรคือหลักธรรมและมาตรฐานให้ติดตามยามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรืออะไรคือผลลัพธ์ที่ต้องมุ่งหมาย เจ้าไม่รู้ด้วยว่าเป้าหมายและทิศทางของชีวิตคืออะไร เจ้าไม่รู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกริ้วเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงทรงชมเชยเจ้า หรือเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรานีเจ้า—เจ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้เลยสักอย่างเดียว เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าควรยืนอยู่ตรงไหน และเจ้าไม่สามารถประเมินวัดว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่ และเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างน่าพึงพอใจหรือไม่ บางครั้งเจ้าก็ทำสิ่งทั้งหลายอย่างขลาดกลัว และครั้งอื่นๆ เจ้าก็กล้าและบ้าระห่ำ สภาวะของเจ้าไม่มั่นคงอยู่เสมอ สภาวะของบุคคลหนึ่งจึงกลายเป็นไม่มั่นคงได้อย่างไร? สุดท้ายแล้ว นี่ก็สัมพันธ์กับการขาดความเข้าใจความจริง เมื่อผู้คนไม่ความเข้าใจความจริง พวกเขาก็รับมือกับสิ่งทั้งหลายโดยปราศจากหลักธรรม พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นอย่างสูงในยามที่ทำสิ่งต่างๆ และเบี่ยงเบนอย่างไม่สร่างซาไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง ยามที่ไม่ได้ทำสิ่งใดก็ดูเหมือนพวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง และพวกเขาก็พูดถึงคำสอนได้ดี—แต่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น และพวกเขาถูกขอให้หาทางแก้ไข ให้ประยุกต์ใช้ความจริงทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจกับชีวิตจริง พวกเขาไร้เส้นทาง พวกเขาไม่รู้ว่าจะใช้หลักธรรมใด และพวกเขาพูดกับตัวเองว่า “ฉันเข้าใจว่าฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างสัตย์ซื่อ ฉันต้องซื่อสัตย์ ฉันต้องไม่มีมโนคติที่หลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ฉันต้องเชื่อฟังพระเจ้า—แต่ฉันควรรับมือกับการนี้จริงๆ อย่างไรเล่า?” พวกเขาเอาแต่คิดทบทวนการนั้นและพยายามนำกฎเกณฑ์มาใช้ และจบลงตรงที่ไม่มีแนวคิดเลยว่าจะใช้กฎเกณฑ์ใด พวกเจ้าคิดว่าใครบางคนที่จำเป็นต้องค้นคว้าผ่านหนังสือแห่งพระวจนะของพระเจ้าเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขานั้น คือใครคนหนึ่งซึ่งเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ผู้คนดังกล่าวแค่เข้าใจคำสอนไม่กี่ประการ แต่ยังไม่ได้จับความเข้าใจความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้ นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวตามปกติ และสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าตนเองเข้าใจนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคำสอน หากเจ้าเข้าใจความจริง หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะรู้วิธีกระทำการให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีกระทำการภายในขอบเขตของหลักธรรม หากทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจคือคำสอน—และไม่ใช่ความจริง—เช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้าจริงๆ หากเจ้าพึ่งพาคำสอนหรือติดตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย เจ้าจะไม่มีทางผ่านพ้นไปได้ เจ้าจะไม่สามารถพบหลักธรรมและจะไม่สามารถพบเส้นทางสู่การปฏิบัติ ซึ่งกล่าวได้ว่า นี่อาจดูราวกับว่าเจ้าเข้าใจแง่มุมหนึ่งของความจริง ราวกับเจ้าเข้าใจความหมายของคำพูดที่เป็นความจริงเหล่านั้น และราวกับเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอเล็กน้อย—ราวกับเจ้ารู้ทั้งหมดนี้—แต่เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าไม่สามารถนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ เจ้าประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ทั้งหลายอย่างมืดบอดและทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิงไปหมด นี่ไม่น่าละอายหรอกหรือ? เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับผู้คนซึ่งเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถค้นพบหลักธรรมที่จะปฏิบัติ พวกเขามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติ และสามารถนำหลักธรรมความจริงไปสู่การปฏิบัติได้ สำหรับบรรดาผู้คนที่สามารถเพียงกล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนนั้น ดูราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่เมื่อถึงเวลาลงมือกระทำ พวกเขากลับทำให้ทุกอย่างสับสนปนเปไปหมด นี่พิสูจน์ว่า ผู้คนที่กล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนออกมานั้นไม่เข้าใจความจริงอย่างแน่นอน ผู้คนที่กล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนนั้นกำลังพยายามลวงผู้อื่นให้หลงผิด พวกเขาเป็นคนหลอกลวง พวกเขากำลังหลอกลวงทั้งตัวเองและผู้อื่น—ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังทำร้ายตัวเองและทำร้ายผู้อื่นด้วย
ตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจเป็นความจริงหรือเป็นคำสอนมากกว่ากัน? (เป็นคำสอนมากกว่า) อะไรคือสาเหตุของการนี้? (นี่เป็นผลลัพธ์ของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง) (การขาดความพยายามที่จะไปและไตร่ตรองความจริง) มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แต่เหตุผลที่พวกเจ้าให้มาล้วนเอาตนเองเป็นที่ตั้ง มีเหตุผลหนึ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ซึ่งสัมพันธ์กับขีดความสามารถของผู้คน ผู้คนบางคนได้ฟังคำเทศนามานานกว่าทศวรรษ แต่ไม่สามารถแยกแยะความจริงออกจากคำสอนได้ และพวกเขาก็ไม่แยกแยะความแตกต่างระหว่างการเชื่อฟังกฎเกณฑ์กับการปฏิบัติความจริง พวกเขาฟังคำเทศนาอย่างตั้งใจและทำงานอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดวิจารณญาณ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบอกความแตกต่างได้อยู่ดี พวกเขารู้สึกว่า การสามัคคีธรรมทั้งหลายที่ทุกคนทำอยู่นั้นแทบจะเหมือนกันทั้งสิ้น นั่นก็คือ ทั้งหมดเป็นเรื่องดีมาก และทั้งหมดนั้นล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงทีเดียว หลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมเหล่านั้น พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรคือคำสอนและอะไรคือความจริง นี่เป็นปัญหาของขีดความสามารถใช่หรือไม่? (ใช่) ขีดความสามารถของพวกเจ้าสามารถขึ้นไปถึงระดับของความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่? ทุกครั้งที่ที่พวกผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมหรือการสมาคมกัน และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเจ้าในเวลาอื่น พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความเป็นจริงความจริงมากเท่าไร และเป็นคำสอนมากเท่าไร? (ได้) ถ้าพวกเจ้าสามารถบอกได้ นั่นพิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีวิจารณญาณอยู่บ้าง และพวกเจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถในเรื่องของวิจารณญาณโดยสิ้นเชิง หากพวกเจ้าสามารถบอกความแตกต่างได้ นั่นก็พิสูจน์ว่าขีดความสามารถของพวกเจ้าไม่แย่ ขีดความสามารถของผู้คนถูกแบ่งเป็นหลายระดับคือ ต่ำ ปานกลาง ดี และดีเป็นพิเศษ เหล่านี้คือสี่ระดับโดยพื้นฐาน ผู้ที่มีขีดความสามารถแย่กว่าขีดความสามารถขั้นต่ำย่อมไม่สามารถจับความเข้าใจความจริงได้ พวกเขาไม่มีขีดความสามารถเลยสักนิด พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดที่ได้ยินและไม่กระทำการด้วยความคิด ตรรกะ หรือหลักธรรมในสิ่งใดที่พวกเขาทำ ในหัวของพวกเขาล้วนมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย พวกเขาเป็นคนสับสนเลอะเลือน เป็นสิ่งที่พวกเราอาจจะเรียกขานว่าพวกเดรัจฉาน หากขีดความสามารถของพวกเขาต่ำสุดขั้ว พวกเขาก็พิการทางเชาว์ปัญญา พวกเขาขาดสำนึกของผู้คนปกติ ผู้คนเหล่านี้คือคนที่พวกเราอาจเรียกว่าโง่ ครึ่งบ้า หรือโง่เขลาเบาปัญญา
ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสุดขั้วนั้นเป็นผู้พิการทางเชาว์ปัญญา—พวกเราไม่จำเป็นต้องเสวนาเกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไป พวกเรามาพูดคุยกันถึงวิธีทำให้ขีดความสามารถต่ำแสดงตนออกมากันเถิด คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พื้นฐานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง และพวกเขาไม่สามารถให้คำพยานได้ เหล่านี้คือการสำแดงทั้งหลายของขีดความสามารถต่ำ อะไรคือการสำแดงอื่นๆ ของขีดความสามารถต่ำ? หลังจากฟังคำเทศนามาหลายปี ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถต่ำย่อมรู้สึกว่าคำเทศนาทั้งหมดนั้นเหมือนกัน—ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ชัดเจนระหว่างรายละเอียดของความจริงนานัปการ นับประสาอะไรกับการบอกความแตกต่างระหว่างความจริงกับคำสอน พวกเขาไม่สามารถกล่าวคำพูดและคำสอนที่เรียบง่ายที่สุดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเข้าใจความจริง ผู้คนเช่นนั้นมีขีดความสามารถที่แย่ที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดใช่หรือไม่? สำหรับผู้คนเช่นนั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาฟังคำเทศนาอย่างไรหรือพวกเขาฟังคำเทศนามานานกี่ปี พวกเขาไม่สามารถเข้าใจคำเทศนาเหล่านั้น และพวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง หรือการรู้จักตัวเองหมายถึงอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าไร หรือพวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายขนาดไหน สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริง พวกเขาทำได้เพียงเชื่อฟังกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อและจดจำสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพิจารณาว่าสำคัญได้ไม่กี่อย่าง—ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และพวกเขาก็จำเรื่องนี้ไม่ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ก็เพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำ พวกเขาไม่สามารถขึ้นไปสู่ความจริง และไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากมายเกินไปนัก อย่างมากที่สุด พวกเขาก็สามารถเข้าใจบางคำสอนอย่างผิวเผิน พวกเขาไปได้ไกลที่สุดแค่นี้ บ่อยครั้งที่ผู้คนเช่นนั้นค่อนข้างโอหังและพูดจายกตน คนบางคนจะพูดว่า “ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนที่ฉันยังอยู่ในท้องแม่ฉัน ฉันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว และได้รับบัพติศมาล้างบาปและการชำระให้สะอาดมานานแล้วด้วย” พวกเขาบางคนยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้ามานานสามปี ห้าปี หรือกระทั่งสิบปีด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเดิมซ้ำๆ กัน นี่ไม่ใช่สัญญาณของขีดความสามารถต่ำหรอกหรือ? คนบางคนกล่าวว่า “คุณพูดว่า ฉันไม่รู้จักตัวเอง—พวกคุณคือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ฉันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว” ผู้คนที่พูดเช่นนี้คือพวกที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากที่สุด เป็นพวกที่มีขีดความสามารถด้อยที่สุด เจ้ายังคงสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงกับผู้คนเช่นนั้นได้หรือไม่? ไม่สามารถ ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดคุยไปมากเท่าไร พวกเขาก็จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง อะไรกันแน่คือการปฏิบัติความจริง อะไรกันแน่คือการเชื่อฟังพระเจ้า อะไรคือการเข้าสู่ชีวิต และอะไรคือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือเอื้อมถึงระดับนี้ ในการเชื่อพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเอาใจใส่การติดตามกฎเกณฑ์บางอย่าง อาทิ การถอนตัวจากกิจธุระทางโลก การประกาศตัดโลก การไม่ข้องแวะกับพวกมาร การไม่ทำความชั่ว การก่อบาปน้อยลง การยึดมั่นต่อพระนามของพระเจ้า การไม่ทรยศพระเจ้า รวมทั้งการอธิษฐานและการพึ่งพาพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง—แค่เรื่องเหล่านี้เอง โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็ยังถูกจำกัดเขตอยู่พิธีการทั้งหลายของการเชื่อทางศาสนา หลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและบทเทศน์เกี่ยวกับความจริงไปมากมายเหลือเกิน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน ยิ่งพวกเขาฟังมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกสับสน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รับอะไรในนั้นเข้าไปเลย หากเจ้าถามพวกเขาถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พวกเขาก็ตอบเจ้าไม่ได้ พวกเขาสามารถพูดได้เพียงสิ่งเรียบง่ายไม่กี่อย่างเกี่ยวกับคำสอน นี่หมายความว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำสุดขั้วและพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้
อะไรหรือคือการสำแดงของผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง? การสำแดงหลักก็คือการที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ หลังจากที่รับฟังคำเทศนา พวกเขาเข้าใจเพียงบางคำพูดและคำสอนเท่านั้น แต่พวกเขาไม่สามารถค้นพบความสว่างใหม่ใดเลย เมื่อเกิดสิ่งตกมาถึงพวกเขา พวกเขายังไม่สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาทำได้เพียงกล่าวคำสอนอันว่างเปล่าและติดตามกฎเกณฑ์เท่านั้น ยามที่ฟังคำเทศนา พวกเขาดูเหมือนเข้าใจ แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงพวกเขา พวกเขาก็จะยังคงติดตามกฎเกณฑ์และกระทำไปตามเจตจำนงของตัวเอง และพวกเขาดุด่าว่ากล่าวผู้อื่นเสมอด้วยการกล่าวคำพูดและคำสอนต่างๆ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย และยามที่สามัคคีธรรมกับผู้อื่น พวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองได้มากขึ้นเล็กน้อย พวกเขาสามารถแสดงความหมายของตนเองในหนทางที่ครบบริบูรณ์และเป็นรูปธรรม รวมทั้งสามารถมีการสนทนาที่เป็นปกติกับผู้คน อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริงหรืออะไรคือความเป็นจริง พวกเขาคิดว่าคำสอนที่พวกเขาพูดคุยถึงนั้นคือความเป็นจริงความจริง และไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงความจริง ความเข้าใจของพวกเขาเอง หรือเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้ ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเหล่านี้รู้สึกว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างความจริงกับคำสอน ไม่สำคัญว่าพวกเขาฟังคำเทศนาไปมากมายเท่าใด พวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะความจริงที่พวกเขาควรปฏิบัติและความจริงที่พวกเขาต้องมีเพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาไม่รู้จักการเข้าใจตนเองเช่นกัน และไม่รู้ว่าพวกเขาควรปฏิบัติความจริงใดเพื่อปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง ในชีวิตจริงของพวกเขา พวกเขาได้เพียงติดตามกฎเกณฑ์ ติดตามพิธีกรรมทางศาสนา เข้าร่วมการชุมนุมอย่างไม่ลดละ ประกาศคำสอนแก่ผู้อื่นอย่างไม่ลดละ และทุ่มเทความพยายามบางอย่างอย่างไม่ลดละในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง อย่างไรก็ดี สำหรับความจริงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวพวกเขาเอง หรือการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาไม่เข้าไปสู่หรือลงลึกในสิ่งเหล่านี้เลย นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถโดยเฉลี่ย ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางสามารถไปถึงระดับนี้ได้เท่านั้น มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีและยังคงพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายเท่านั้น พวกเจ้าเคยติดต่อกับผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้ามามากกว่าทศวรรษ ทว่าทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการพ่นคำสอนทั้งหลายหรือไม่? (เคย) ผู้คนจำพวกนี้มีขีดความสามารถปานกลาง
อะไรหรือคือการสำแดงของผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดี? ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าไร หลังจากได้ยินคำเทศนาหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถบอกได้ว่าคำเทศนานั้นแตกต่างจากสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว และว่าคำเทศนานั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ถูกสอนในศาสนา พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคำเทศนานั้นลงลึกกว่า มีรายละเอียดมากกว่า และสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น หลังจากที่พวกเขายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า พวกเขาก็เริ่มมุ่งเน้นการปฏิบัติความจริง และการเข้าไปสู่ความเป็นจริง ในชีวิตจริงของพวกเขา พวกเขาฝึกฝนตัวเองในวิธีการปฏิบัติและการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าต้องเป็นคนซื่อสัตย์” ในตอนแรกเริ่มเลยนั้น ผู้คนเหล่านี้เพียงถือปฏิบัติเสมือนกฎเกณฑ์ และกล่าวสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในจิตใจ ในกระบวนการฟังคำเทศนาและในประสบการณ์จริงของพวกเขา พวกเขาค่อยๆ สรุปย่ออย่างต่อเนื่องสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มา และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ได้รับประสบการณ์และเข้าใจว่า ที่จริงแล้ว อะไรคือความจริงของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และที่จริงแล้ว ชีวิตคืออะไร พวกเขามีความสามารถที่จะประยุกต์พระวจนะที่พระเจ้าตรัส และความจริงที่พวกเขาเข้าใจจากการฟังคำเทศนามาใช้ในชีวิตจริงของพวกเขา และทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นความเป็นจริงของพวกเขาเอง ด้วยประสบการณ์จริง ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาก็ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น เมื่อผู้คนเหล่านี้รับฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถจับใจความความจริงที่บรรจุอยู่ในคำเทศนาหรือพระวจนะเหล่านั้น ในที่นี้ ความจริงหมายถึงอะไร? ความจริงไม่ใช่คำสอนที่ว่างเปล่า ไม่ใช่วิธีการพูด ไม่ใช่ทฤษฎีเกี่ยวกับบางสิ่ง ในทางกลับกัน ความจริงเกี่ยวข้องกับความลำบากยากเย็นที่เผชิญในชีวิตจริง และสภาวะเสื่อมทรามสารพันที่คนคนหนึ่งเผยออกมา ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีสามารถระบุชี้ชัดถึงภาวะเหล่านี้ และมาเปรียบเทียบกับพระวจนะและวิวรณ์ต่างๆ ของพระเจ้า จากนั้นพวกเขาก็จะรู้วิธีที่ปฏิบัติไปตามพระวจนะของพระเจ้า โดยหลักแล้ว ขีดความสามารถที่ดีสะท้อนอยู่ตรงไหนหรือ? ความสามารถที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่กำลังถูกกล่าวในคำเทศนา จับใจความความสัมพันธ์ระหว่างคำพูดเหล่านี้กับสภาวะจริงของคนคนหนึ่ง จับใจความว่าคำพูดเหล่านี้จะส่งผลใดต่อตัวของคนคนนั้น—นี่คือขีดความสามารถที่ดี นอกเหนือจากการสามารถจับใจความคำพูดเหล่านี้และเชื่อมโยงคำพูดเหล่านี้เข้ากับตัวเอง ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีก็ยังสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติในชีวิตจริง และประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้กับทุกความลำบากยากเย็นหรือสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริงของตน นี่เองคือสิ่งที่หมายถึงการมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก บรรดาผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเช่นนั้นเท่านั้นที่มีขีดความสามารถที่ดีอย่างแท้จริง
เมื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามบางอย่างของพวกเขาออกมา พวกเขาไม่สามารถหยั่งรู้สภาวะของตนเองหรือแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างชัดเจนนัก พวกเขาเพียงตัดสินสิ่งเหล่านั้นโดยการจับคู่สิ่งเหล่านั้นเข้ากับคำสอนทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจ พวกเขาไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ของปัญหา หรือระลึกรู้ถึงรากเหง้าของแก่นแท้นี้ และแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับความจริง เมื่อเผชิญหน้ากับบางสถานการณ์ หลังการถูกจัดการและตัดแต่ง หลังการชำแหละสถานการณ์นั้นและการวิเคราะห์สถานการณ์นั้น พวกเขาก็ได้รับความประทับใจลึกซึ้งและความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวสถานการณ์นั้นเอง อย่างไรก็ดี เมื่อเผชิญหน้ากับสภาวะหรือรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างออกไป พวกเขาก็จะไม่เข้าใจอีก จะไม่รู้ว่าต้องทำอะไร และจะไม่ค้นหาหลักธรรมเพื่อติดตาม นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถปานกลาง สำหรับบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดี เหตุใดเล่าพวกเราจึงพูดว่าพวกเขามีขีดความสามารถดี? เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีอาจไม่มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติในทันที แต่พวกเขาสามารถค้นหาเส้นทางได้โดยการฟังคำเทศนาหรือแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า จากนั้นพวกเขาก็จะรู้ว่าจะเข้าหาสถานการณ์นั้นอย่างไร พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า คราวหน้าต้องทำอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน? (รู้) เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? (พวกเขาไม่เพียงติดตามกฎเกณฑ์ พวกเขาสามารถไตร่ตรองสถานการณ์เพื่อค้นหาเส้นทาง และจากนั้นก็ประยุกต์ใช้สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน) ถูกต้อง พวกเขาได้ค้นพบหลักธรรมและพวกเขาเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง ครั้นพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมรู้จักสภาวะต่างๆ การเปิดเผยต่างๆ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนซึ่งแง่มุมนี้ของความจริงอ้างอิงถึง รวมไปถึงเรื่องต่างๆ รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตของพวกเขา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงหลักธรรมทั้งหลายของการทำสิ่งต่างๆ ดังกล่าว และเมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งที่คล้ายคลึงกันในภายหน้า พวกเขาก็รู้วิธีที่จะปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริง นี่คือสิ่งที่เป็นการเข้าใจความจริงโดยถ่องแท้ เพราะฉะนั้น เนื่องจากคนบางคนสามารถเข้าใจความจริงได้ เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นหัวหน้าทีมหรือผู้นำคริสตจักรได้ อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ บางคนเพียงสามารถเข้าใจได้ที่ระดับของคำสอนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเป็นหัวหน้าทีมได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลาย หรือรับมือกับการกำกับดูแลได้ การขอให้เจ้ารับใช้ในฐานะหัวหน้าทีมก็คือการขอให้เจ้ารับเอาภาวะผู้นำและรับมือกับการกำกับดูแล ในการรับมือกับการกำกับดูแลนั้น เจ้าต้องใช้สิ่งใดหรือ? ไม่ใช่คำสอน คำขวัญ ความรู้ หรือมโนคติอันหลงผิด นี่เป็นการขอให้เจ้าใช้หลักธรรมความจริงเพื่อรับมือกับการกำกับดูแล นี่เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่สุดและสูงที่สุดในการทำสิ่งใดๆ ก็ตามในพระนิเวศของพระเจ้า หากขีดความสามารถของเจ้านั้นปานกลางหรือต่ำ และเจ้าไม่สามารถเข้าใจความจริง เจ้าจะสามารถรับมือกับการกำกับดูแลได้อย่างไรเล่า? เจ้าจะสามารถแบกความรับผิดชอบนี้ได้อย่างไรเล่า? เจ้าไม่ดีพอสำหรับงานการนี้ หน้าที่นี้ คนบางคนได้รับการคัดสรรให้เป็นหัวหน้าทีม แต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงได้เลย พวกเขาไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าหัวหน้าทีมและควรถูกแทนที่ คนบางคนได้รับการคัดสรรเป็นหัวหน้าทีม และพวกเขาสามารถควบคุมดูแลงานนั้นและแก้ไขบางปัญหาที่สัมพันธ์กับความจริงได้ เพราะพวกเขาเข้าใจบางสิ่งที่เป็นหลักธรรมความจริง นี่คือสิ่งที่ทำให้ใครบางคนมีคุณวุฒิสำหรับงานนั้นและเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าทีม คนบางคนไม่สามารถแบกรับงานนั้นหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ เหตุผลหลักสำหรับการนี้คืออะไร? สำหรับส่วนน้อยของผู้คนดังกล่าว เหตุผลเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำ อย่างไรก็ดี สำหรับส่วนใหญ่ เหตุผลก็คือขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา นี่เป็นสาเหตุของการที่พวกเขาไม่สามารถทำการงานหรือหน้าที่ของพวกเขาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจความจริงหรือการเรียนรู้วิชาชีพหรือทักษะเฉะพาะทาง ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีย่อมสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในการเหล่านั้น เพื่อที่จะเข้าถึงรากเหง้าของสิ่งทั้งหลาย และเพื่อที่จะระบุชี้ชัดถึงความเป็นจริงและแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมมีการตัดสินที่ถูกต้องและกำหนดมาตรฐานและหลักธรรมที่ถูกต้องในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทุกการงานที่พวกเขามีส่วนร่วม นี่เองคือขีดความสามารถที่ดี ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีนั้นสามารถที่จะรับมือกับการกำกับดูแลงานสารพัดหลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าได้ พวกที่มีขีดความสามารถปานกลางหรือต่ำนั้นไร้ความสามารถในงานดังกล่าว ไม่ว่าในวิถีทางใด นี่ก็ไม่ใช่กรณีของการที่พระนิเวศแห่งพระเจ้าโปรดปรานหรือดูแคลนบางคน หรือปฏิบัติต่อผู้คนต่างกัน—นี่ก็แค่การที่ผู้คนมากมายไม่สามารถรับมือกับการกำกับดูแลเพราะขีดความสามารถของพวกเขา เหตุใดเล่าพวกเขาจึงไม่สามารถรับมือกับการกำกับดูแล? อะไรคือสาเหตุรากเหง้า? นั่นก็คือการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริง นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขานั้นปานกลางหรือถึงขั้นต่ำมาก นี่เป็นเหตุผลที่ความจริงนั้นอยู่เลยพ้นพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เมื่อพวกเขาได้ยินความจริง คนบางคนอาจไม่เข้าใจความจริงเพราะพวกเขาไม่ตั้งใจฟัง หรือก็อาจเป็นได้ว่าพวกเขาเยาว์วัยและถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมโนคติเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า และนั่นก็ไม่น่าสนใจอะไรเลยสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือการที่ขีดความสามารถของพวกเขานั้นไม่เพียงพอ สำหรับผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่า ไม่สำคัญว่าหน้าที่ของพวกเขาคืออะไร หรือพวกเขาทำงานนั้นมานานเท่าไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามามากเพียงใด หรือเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้ พวกเขายืดเยื้อการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ทำให้สิ่งทั้งหลายเป็นปัญหายุ่งเหยิงไปหมด และไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดเลย สำหรับคนบางคนที่รับใช้ในฐานะหัวหน้าทีมและรับมือกับการกำกับดูแลงานบางอย่าง ในตอนแรกที่พวกเขาเข้ารับความรับผิดชอบของงาน พวกเขาไม่จับความเข้าใจในหลักธรรมทั้งหลาย ภายหลังความล้มเหลวหลายครั้ง พวกเขาจึงมาเข้าใจความจริงและจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายโดยการแสวงหาและการตั้งคำถาม จากนั้นพวกเขาจึงสามารถรับมือกับการกำกับดูแลและแบกรับงานนั้นได้ด้วยตนเองบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้ นี่เองที่หมายถึงการมีขีดความสามารถ สำหรับผู้คนอื่นๆ เจ้าสามารถบอกหลักธรรมทั้งหมดให้พวกเขาได้ และสามารถถึงขั้นบรรยาย ถึงรายละเอียดของวิธีที่จะนำหลักธรรมเหล่านั้นมาทำให้เป็นผล และพวกเขาก็จะดูเหมือนเข้าใจสิ่งที่เจ้าบอกพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายได้ยามที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพึ่งพาแนวคิดและจินตนาการของตนเอง ถึงขั้นเชื่อว่าการนี้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพูดอย่างชัดเจนได้ และไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมหรือเปล่า หากเบื้องบนตรัสถามคำถามกับพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นวุ่นวายใจและไม่รู้จะพูดอะไร พวกเขารู้สึกแน่ใจก็ต่อเมื่อเบื้องบนทรงรับมือกับการกำกับดูแลและจัดเตรียมการนำให้เท่านั้น นี่บ่งชี้ว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำมาก ด้วยขีดความสามารถที่ต่ำเช่นนั้น พวกเขาไม่สามารถสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือดำรงชีวิตตามหลักธรรมความจริงได้ นับประสาอะไรกับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในลักษณะที่น่าพึงพอใจ
เมื่อสักครู่นี้ เราเพิ่งเอ่ยไปว่า มีอีกระดับหนึ่งอยู่เหนือขีดความสามารถที่ดี ซึ่งก็คือขีดความสามารถที่ดีมาก หลังจากที่ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีมากมาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าและในประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาก็ค่อยๆ ก้าวผ่าน รู้สึกและเข้าใจว่าสภาวะอันหลากหลายที่ถูกเอ่ยถึงในพระวจนะของพระเจ้านั้นหมายถึงอะไร แม้แต่ตอนที่พวกเขาได้รับการจัดเตรียมหรือความช่วยเหลือที่เล็กน้อยมาก พวกเขาก็สามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ตั้งข้อพึงประสงค์สำหรับตนเองไปตามหลักธรรม ทิศทาง และมาตรฐานทั้งหลายตามที่พระวจนะของพระเจ้าบอกไว้ และหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนและตรรกะวิบัติทั้งหลาย พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและมารู้จักตัวเองและรู้จักพระเจ้าได้โดยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเอง นี่คือขีดความสามารถสูงสุด และผู้คนเช่นนั้นมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกสูงสุด จงบอกเราที มีผู้คนแบบนี้ท่ามกลางเหล่ามนุษย์หรือไม่? บางทีพวกเจ้าไม่อาจพบผู้คนแบบนี้ได้ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ทุกวันนี้ แต่พวกเจ้าพอจะนึกถึงใครบางคนในพระคัมภีร์ที่เป็นแบบนี้หรือไม่? (นึกได้ โยบกับเปโตร) โยบและเปโตรเป็นคนจำพวกนี้ทั้งคู่ พวกเขาอยู่ในหมู่มนุษย์ที่มีขีดความสามารถสูงสุด ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ บุคลิกลักษณะ และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ในด้านของขีดความสามารถแล้ว พวกเขาเป็นคนสองคนที่มีขีดความสามารถสูงสุด อะไรเป็นเกณฑ์สำหรับการกล่าวเช่นนี้? (โยบไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่เขาได้มารู้จักพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว) พระเจ้าไม่เคยตรัสกับโยบ แล้วประสบการณ์และความรู้ของเขามาจากไหน? โยบได้ทำการสังเกตและการค้นพบในชีวิตของเขา จากนั้นก็ลิ้มรสสิ่งเหล่านั้นอย่างใส่ใจ ซึ่งนั่นได้สร้างความประทับใจบางอย่างขึ้นในหัวใจของเขา และนำพาความรู้แจ้งและความกระจ่างบางประการมาสู่เขา เขาจับใจความความจริงทั้งหลายได้ทีละน้อย และหลังจากที่จับใจความสิ่งเหล่านั้นได้ เขาก็ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับการจับใจความของตนและความเข้าใจของตนที่มีต่อความจริง ค่อยๆ มายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว” เป็นสิ่งที่ผู้คนควรถือปฏิบัติและฝึกฝน นี่เป็นหนทางสูงสุดที่ผู้คนควรติดตาม ในสายตาของชนรุ่นหลัง ดูเหมือนโยบนำคำประกาศนี้มาสู่การปฏิบัติได้อย่างง่ายดายทีเดียว เจ้าคิดว่านั่นเรียบง่ายและง่ายดายก็เพราะเจ้าไม่รู้หรือไม่ได้รับประสบการณ์ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำพูดเหล่านี้ โยบได้คำประกาศนี้มาอย่างไรเล่า? เขาได้มาซึ่งคำประกาศนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของตนเอง ในสายตาของผู้คนนั้น คำพูดที่ว่า “ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” ควรทำหน้าที่เป็นคติประจำใจ พวกเขาควรติดตามและปฏิบัติเป็นหลักธรรมความจริง—นี่จึงถูกต้อง แต่โยบไม่ได้มุ่งเน้นว่าจะกล่าวคำพูดนั้นอย่างไร เขามุ่งเน้นเพียงว่าจะลงมือกระทำอย่างไร แล้วเขามาถึงหลักธรรมที่เขานำมาสู่การกระทำได้อย่างไรเล่า? (โดยผ่านทางประสบการณ์แห่งชีวิตประจำวันของเขา) เขาสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ในการกระทำทั้งหลายของเขาได้อย่างไร? (เขามามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของเขา) เขามองเห็นกิจการของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำต่อผู้คนในชีวิตปกติของเขา เขาได้พัฒนาความยำเกรงต่อพระเจ้า ความเชื่อที่ถ่องแท้ในพระเจ้า ความเลื่อมใสที่แท้จริง และความเชื่อฟังกับความไว้วางใจที่แท้จริงโดยผ่านทางประสบการณ์เหล่านี้ นี่คือวิธีที่ความยำเกรงของเขาที่มีต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นมา เขาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการรู้จักยำเกรงพระเจ้า ความยำเกรงที่มีต่อพระเจ้าเป็นบทสรุปของการปฏิบัติทั้งหลายและพฤติกรรมของเขาหลังจากที่เขาได้เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้ามานานหลายปี พวกเราอาจกล่าวได้ว่า ความยำเกรงที่มีต่อพระเจ้าคือแก่นแท้ของพฤติกรรม ความรู้ และหลักธรรมแห่งการกระทำของเขา อากัปกิริยาของเขา สิ่งที่เขาเผยออกมา และวิธีที่เขาประพฤติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ตลอดจนความตั้งใจและหลักธรรมแห่งการกระทำที่ลึกที่สุดของเขา—แก่นแท้ของการสำแดงเหล่านี้ก็คือการที่เขายำเกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงให้คำนิยามแก่เขาเช่นนี้ โยบสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่นั่นไม่ใช่เพราะพระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายกับเขา หรือทรงจัดหาความจริงให้เขาอย่างมหาศาล หลังจากนั้น เขาจึงค่อยๆ สัมฤทธิ์ความยำเกรงต่อพระเจ้าโดยผ่านการจับใจความของตัวเขาเอง ในยุคนั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสพระวจนะที่ชัดเจนอันใดกับเขา อย่างมากที่สุด สิ่งที่โยบสามารถมองเห็นได้ก็คือทูตทั้งหลายของพระเจ้า และสิ่งที่เขาสามารถได้ยินอย่างมากที่สุดก็คือตำนานหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าที่ถูกส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษของเขา นี่คือทั้งหมดที่เขาสามารถรู้ได้ อย่างไรก็ดี ด้วยการพึ่งพาเพียงข้อมูลเหล่านี้ โยบค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากการดำรงชีวิตของเขามากขึ้น ความเชื่อในพระเจ้าของเขาค่อยๆ เติบโตแข็งแกร่งขึ้นทุกที และความยำเกรงแท้จริงต่อพระเจ้าก็ก่อกำเนิดขึ้นในตัวเขาด้วยเช่นกัน หลังจากที่สองสิ่งนี้ก่อกำเนิดขึ้นในตัวเขาแล้ว วุฒิภาวะที่แท้จริงของโยบและขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาก็เกิดปรากฎชัดขึ้นมา อะไรเล่าที่พวกเราสามารถมองเห็นได้จากโยบ? พวกเราสามารถมองเห็นว่ามีความจริงอยู่มากมาย—ความจริงที่สัมพันธ์กับน้ำพระทัยของพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ และความรอดของมวลมนุษย์—ซึ่งอันที่จริงแล้ว ผู้คนสามารถมาจับใจความได้ทีละน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเขา ตราบที่พวกเขามีขีดความสามารถและการคิดแบบมนุษย์ปกติ โยบเป็นตัวอย่างของการนี้ เขาสามารถจับใจความบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ เขาได้จับใจความสิ่งใดหรือ? คติประจำใจสูงสุดของเขาซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อเขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบทั้งหลายของเขา นี่เป็นความเข้าใจสูงสุดของเขาด้วยเช่นกัน อะไรคือคติประจำใจที่เป็นความเข้าใจสูงสุดนี้ด้วย? “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ปัจจุบัน ในแง่ของประเด็นปัญหานี้ มีใครไหมที่มีความเข้าใจที่แท้จริงดังเช่นโยบ? มีใครไหมที่สามารถบรรลุความเข้าใจของโยบ? (ไม่มี) สิ่งที่ผู้คนเข้าใจในตอนนี้คือคำสอนเท่านั้น คำพูดเหล่านั้นเกิดขึ้นจากประสบการณ์ของโยบ ชนรุ่นหลังสามารถกล่าวคำเหล่านี้ได้ แต่พวกเขาไม่มีความเข้าใจคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา ในตอนแรก โยบก็ไม่ได้มีความเข้าใจนี้เหมือนกัน แต่คำพูดเหล่านี้มาจากเขาและเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเขา โยบมีความเป็นจริงนี้ ไม่สำคัญว่าชนรุ่นหลังได้พูดตามและเลียนแบบโยบไปมากมายเพียงใด พวกเขาก็แค่เข้าใจคำสอนเท่านั้น เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นเป็นเพียงคำสอน? อันดับแรก นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่สามารถนำมาสู่การปฏิบัติได้ อันดับสอง ผู้คนก็แค่ไม่มีประสบการณ์ทั้งหลายที่โยบมี และไม่มีความรู้ที่ได้รับมาจากประสบการณ์เหล่านี้ ดังนั้นความรู้ของพวกเขาจึงว่างเปล่า ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดคำพูดนั้นมากมายเพียงใดหรือเจ้าโห่ร้องดังเพียงใด—“พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า”—เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับเจ้าในชีวิต เจ้าสามารถรับรู้ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ว่านั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า? หากพระเจ้าทรงลิดรอนและทำลาย เจ้ายังคงสามารถถวายพระพรพระนามของพระเจ้าในหัวใจเจ้าหรือไม่? การนี้ลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า เหตุใดจึงยากลำบากสำหรับเจ้าที่จะทำการนี้? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าในการทำการนี้ และเจ้าก็ไม่ระลึกรู้อำนาจอธิปไตยของพระองค์ด้วยเช่นกัน เจ้าไม่สามารถเข้าใจสองสิ่งนี้ได้ เจ้าไม่สามารถจับความน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจตำแหน่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดไว้ ความนบนอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี หรือการกระทำทั้งหลายที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรลงมือทำ เจ้าไม่สามารถทำการใดที่กล่าวมาได้เลย ด้วยเหตุนั้นยามที่เจ้าท่องคำพูดของโยบ คำพูดเหล่านั้นจึงกลายเป็นว่างเปล่าโดยมิอาจรับรู้ได้เลย ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าคำพูดที่แค่สวยงามและทันสมัย เพราะฉะนั้น แม้ว่าทั้งเจ้าและโยบได้กล่าวคำพูดเดียวกัน แต่ความเข้าใจและการจับใจความของโยบที่มีต่อคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของเขานั้นแตกต่างจากของเจ้า และเขากล่าวคำพูดเหล่านี้ภายในบริบททางอารมณ์ที่แตกต่างจากเจ้า เหล่านี้คือสองสภาวะของจิตใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โยบไม่ได้กล่าวคำเหล่านี้เป็นปรกติ แต่เมื่อพระเจ้าทรงลิดรอนทุกสิ่งไปจากเขา เขากลับหมอบกราบลงบนพื้นและสรรเสริญกิจการของพระเจ้า อย่างไรก็ตามที เจ้าประกาศคำพูดเหล่านี้บ่อยครั้ง แต่เจ้าจะประพฤติอย่างไรเมื่อเผชิญกับการลิดรอนของพระเจ้า? เจ้าจะสามารถคุกเข่าลงและอธิษฐานหรือไม่? เจ้าคงไม่สามารถที่จะนบนอบได้ ต่อให้โดยภายนอกเจ้าพูดว่า “ฉันควรนบนอบ พระเจ้าทรงทำการนี้ และพวกเราเหล่ามนุษย์ไม่มีความสามารถและไม่อาจขัดขืน ดังนั้นฉันจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ แสดงบทบาทไป” นี่เป็นการเชื่อฟังที่แท้จริงหรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงธรรมชาติของภาวะอารมณ์ของเจ้าที่ขัดขืน เป็นกบฏและคิดลบ มีความแตกต่างอันใดหรือไม่ระหว่างท่าทีของเจ้ากับท่าทีของโยบ? (มี) มีความแตกต่างอันไพศาลอยู่ประการหนึ่ง นี่เป็นความแตกต่างระหว่างการมีกับการไม่มีความเป็นจริงความจริง นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างสิ่งที่คนคนหนึ่งได้รับประสบการณ์และจับใจความกลายมาเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติของชีวิตคนคนนั้น กับแค่เพียงความเข้าใจคำสอนโดยปราศจากการมีความเป็นจริง ยามที่ไม่ได้เผชิญกับสิ่งใด ผู้คนจะประกาศคำพูดของโยบ แต่เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนมากมายไม่สามารถกล่าวคำพูดของโยบได้ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเพียงเข้าใจคำสอนเท่านั้น คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของพวกเขา และไม่ได้ชี้นำความคิดและท่าทีของพวกเขาเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา ไม่ว่าอย่างไร ยามที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับผู้คนซึ่งมีคำพูดเหล่านี้เป็นชีวิตของตน ย่อมเห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นคติประจำใจที่พวกเขาประกาศในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นท่าทีแท้จริงของพวกเขาที่มีต่อผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลาย ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นท่าทีแท้จริงของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า คำพูดเหล่านี้เป็นรูปจำแลงของชีวิตพวกเขา ไม่ใช่แค่บางคำขวัญที่พวกเขาโห่ร้อง นี่เน้นให้เห็นเด่นชัดถึงความแตกต่างระหว่างการเข้าใจความจริงกับการไม่เข้าใจความจริง
ทีนี้พวกเรามาพิจารณาเปโตรกัน เหตุใดพวกเราจึงพูดว่าเปโตรมีขีดความสามารถที่ดี? นั่นเป็นเพราะเปโตรสามารถจับใจความความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าแสดง และเข้าใจพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ยุคสมัยที่เปรโตรดำรงชีวิตอยู่นั้นคือยุคพระคุณ ทางแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนในยุคพระคุณนั้นสูงส่งกว่าทางในยุคพระบัญญัติ ทางแห่งการไถ่นั้นเกี่ยวข้องกับความจริงพื้นฐานบางประการเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์และความจริงเบื้องต้นบางประการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังพระเจ้า การนบนอบต่ออำนาจอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ตลอดจนวิธีที่ผู้คนควรตอบสนองเมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างของตนออกมา แม้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาหารือกันในลักษณะที่เป็นวงกว้างและเป็นระบบ แต่ก็ได้ถูกเอ่ยถึง แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ถูกนำมาหารือกันมากมายกว่าในช่วงเวลาของโยบ แต่น้อยกว่าทุกวันนี้อย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ไม่มีคำพูดบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับแง่มุมดังกล่าวของความจริงเหมือนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยมนุษย์ ท่าทีของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า แก่นแท้ของความเสื่อมทรามที่อยู่ลึกในหัวใจผู้คน หรือการเปิดเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ไว้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน นี่ก็แค่ว่าผู้คนไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับนี้ และดังนั้นคำพูดเหล่านี้จึงไม่ถูกบันทึกไว้ ตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเปโตรดังนี้ “เราบอกความจริงกับท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (มัทธิว 26:34) เปโตรได้ตอบสนองพระดำรัสนี้ว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:35) คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดประเภทใด? (เหล่านี้คือคำพูดแห่งความโอหังที่บ่งชี้ถึงการขาดความรู้จักตนเอง) คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดอันโอหังที่กล่าวโดยใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักตัวเอง ดังนั้น นี่จึงเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง อะไรคือสิ่งที่เปโตรได้ตระหนักหลังจากที่ไก่ขัน? (ว่าเขากล่าวถึงตัวเขาเองอย่างอวดตน) เมื่อเขาตระหนักถึงการนี้ เขารู้สึกบางอย่างในหัวใจเขาหรือไม่? (รู้สึก) หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออะไร? (สำนึกผิด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด) ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรู้สึกผิดและสำนึกผิด เขากล่าวว่า “สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้นถูกแล้ว สิ่งที่ข้าพระองค์กล่าวเกี่ยวกับการรักองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นแค่ความปรารถนา เป็นอุดมคติ และเป็นคำขวัญจำพวกหนึ่ง ข้าพระองค์ไม่มีวุฒิภาวะสูงเพียงนั้น” เมื่อเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมที่องค์พระเยซูเจ้าถูกจับกุม เปโตรก็ขี้ขลาดและหวาดกลัว บางคนถามเขาว่า “นั่นใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านหรือไม่? พวกท่านรู้จักพระองค์หรือไม่” แล้วเปโตรกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตอนนั้นเล่า? “ใช่ ข้ารู้จักพระองค์ แต่หากข้ายอมรับ พวกเขาก็จะจับกุมข้าไปด้วย” เพราะความขี้ขลาดและความเกรงกลัวต่อความทุกข์ของเขา และพราะเขากลัวที่จะถูกจับกุมไปกับองค์พระเยซูเจ้าด้วย เขาจึงไม่ยอมรับว่ารู้จักพระองค์ ความใจเสาะของเขาเอาชนะความเชื่อ แล้วเช่นนั้นความเชื่อของเขาจริงแท้หรือเทียมเท็จเล่า? (เทียมเท็จ) ณ เวลานี้ เขาตระหนักว่าตอนที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะไปกับพระองค์ ทั้งไปสู่คุกและไปสู่ความตาย” คำพูดเหล่านี้เป็นการคิดเพ้อฝันไปเอง คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้ของเขา แต่เป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า เป็นคำขวัญ และคำสอน เขาไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง เมื่อใดหรือที่เขาตระหนักว่าเขาไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง? (เมื่อข้อเท็จจริงทั้งหลายถูกเปิดเผย) เพียงตอนที่เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทั้งหลายและตอนที่เขารู้สึกผิดและสำนึกผิดเท่านั้นเขาจึงตระหนักว่า “ผลปรากฏว่า ความเชื่อและวุฒิภาวะของข้านั้นน้อยมากดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไม่มีผิด สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้นถูกต้องแล้ว สิ่งที่ข้าพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเพียงความอวดตนเท่านั้นเอง นั่นไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้ แต่เป็นแรงผลักดันเพียงชั่ววูบ เมื่อเผชิญหน้ากับบางสิ่ง ข้าขี้ขลาดและไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์ มีแนวคิดที่เห็นแก่ตนเอง ตัดสินใจเลือกเอง ไม่เชื่อฟัง และไม่มีหัวใจที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง นั่นคือความขาดแคลนความเชื่อของข้า เช่นนั้นก็คือขนาดของวุฒิภาวะของข้า” ความสำนึกผิดของเขาทำให้เกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นในตัวเขาอย่างนั้นหรือ? ความสำนึกผิดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับตัวเองและการประเมินวัดที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับวุฒิภาวะ สภาวะ และความเชื่อของเขาแล้ว พันธสัญญาใหม่เพียงแต่บันทึกว่า เปโตรปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหน แต่ไม่บันทึกคำพยานเชิงประสบการณ์ของเปโตรว่าเขาสำนึกผิด กลับตัว และเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในข้อเท็จจริงนั้น เปโตรเขียนจดหมายเกี่ยวกับการนี้ แต่บรรดาผู้แก้ไขพระคัมภีร์เลือกที่จะไม่รวมจดหมายเหล่านั้นไว้ด้วย นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดซึ่งแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้นำของคริสตจักรในเวลานั้นล้วนให้ความสนใจต่อวิธีประกาศและเป็นพยานยืนยัน แต่ไม่มีใครเลยในหมู่พวกเขาที่เข้าใจประสบการณ์ชีวิต พวกเขาล้วนแต่มุ่งเน้นไปที่วิธีที่อัครสาวกเหล่านั้นประกาศและทำงาน และวิธีที่อัครสาวกเหล่านั้นทนทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน ตลอดจนความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความจริงและความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คนเหล่านั้นที่แก้ไขพระคัมภีร์ได้บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปโตรในแง่ธรรมดาและเรียบง่ายเกินจริงมากเกินไป แต่พวกเขาบันทึกเหตุการณ์ของชีวิตเปาโลอย่างละเอียดและมากเป็นพิเศษ นี่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีอคติ พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร ทั้งยังไม่เข้าใจว่าการเป็นพยานแด่พระเจ้าหมายถึงอะไร พวกเขาเคารพบูชาเปาโล พวกเขาจึงเลือกจดหมายของเปาโลมากกว่า ในขณะที่คัดสรรของเปโตรมาเพียงไม่กี่ฉบับ โดยการแก้ไขพระคัมภีร์ในหนทางนี้ พวกเขาก่อให้เกิดข้อผิดพลาดของหลักธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเคารพบูชาและเลียนแบบเปาโลมาเป็นเวลาสองพันปี การนี้นำทางให้โลกศาสนาทั้งโลกเดินไปตามเส้นทางแห่งการขัดขืนพระเจ้า กลายเป็นอาณาจักรทางศาสนาภายใต้การควบคุมของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเพิกเฉยต่อคำพยานชั้นเลิศของเปโตร โดยเพียงทำการบันทึกจดหมายของเปโตรสองฉบับเท่านั้น—จดหมายฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สองของเปโตร แต่สำหรับวิธีที่เปโตรได้รับประสบการณ์ตามจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา วิธีที่พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่เขา สิ่งที่พระเยซูตรัสเมื่อพระองค์ทรงปรากฏแก่เขา วิธีที่เปโตรยอมรับการพิพากษาและการตีสอน การจัดการและการตัดแต่ง บททดสอบและการถลุงของพระเจ้า วิธีที่เขาเต็มใจถูกตรึงกางเขนกลับหัวในท้ายที่สุด วิธีที่เปโตรมาถึงจุดนี้ วิธีที่เขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขา และวิธีที่เขาบรรลุความเชื่อและความเชื่อฟังเช่นนั้น—ไม่มีบันทึกของกระบวนการแห่งประสบการณ์นี้เลย นี่ไม่ใช่วิธีที่ควรเป็นเลย ช่างน่าเวทนาที่สิ่งซึ่งมีค่าที่สุดเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้
นับจากการปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหนของเปโตรซึ่งถูกบันทึกไว้ในประกาศกิตติคุณทั้งสี่ มาจนถึงการตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในท้ายที่สุดของเปโตร ผู้คนมองเห็นอะไรเมื่อพวกเขานำสองเหตุการณ์นี้มาวางไว้ด้วยกัน? เปโตรขยับจากการปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหนไปสู่การถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในที่สุด ตรงนี้มีกระบวนการอันลำบากยากเย็น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ควรค่าแก่การสำรวจค้นอยู่ไม่ใช่หรือ? กระบวนการนี้คืออะไร? (กระบวนการแห่งการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย) นั่นถูกต้องแล้ว การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยมนุษย์คือการเดินทางของชีวิตแห่งการสามารถละทิ้งและสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ และเต็มใจนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าทั้งมวล ประสบการณ์ชีวิตก็คือกระบวนการนี้นั่นเอง นี่ไม่ใช่การแสดงละครอย่างสิ้นเชิง จากการจุดเริ่มต้นตอนที่เปโตรไม่กล้ายอมรับว่าเขาเป็นผู้ติดตามขององค์พระเยซูเจ้า จนถึงตอนจบเมื่อเขามีความกล้าหาญและความเชื่อ โดยเต็มใจที่จะถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า และขึ้นมาถึงระดับนี้ ช่างเป็นกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เขาได้ประสบในความเชื่อของเขา อุปนิสัยของเขา และความเชื่อฟังของเขา! มีกระบวนการแห่งการเติบโตอยู่อย่างแน่นอน ผู้คนสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่านี่เป็นกระบวนการการเติบโตจำพวกใดกันแน่ เพราะคำพูดที่ถูกกล่าวถึงในวันนี้คือความจริงทั้งหลายซึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าต้องเข้าใจ ทุกวันนี้พระเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ให้กระจ่างต่อผู้คนแล้ว และได้ทรงจัดหาความจริงเหล่านี้ให้กับพวกเขา ดังนั้นประสบการณ์ของเปโตรเป็นอย่างไร? หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงจากไปแล้ว ไม่มีใครบอกเขาในแง่ที่ชัดเจนถึงสิ่งที่เขาควรได้รับประสบการณ์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า ในยุคนั้น เมื่อไม่มีพระวจนะที่ชัดเจนจากพระเจ้ามาสู่เขา เขาก็สัมฤทธิ์วุฒิภาวะและความเชื่อแห่งความเชื่อฟังแบบเต็มใจโดยปราศจากคำพร่ำบ่นหรือตัวเลือกส่วนบุคคลใดๆ ในท้ายที่สุด จงบอกเราทีว่าเขาได้รับความจริงอะไรในที่สุด? และเขาได้รับความจริงเหล่านั้นมาอย่างไร? นั่นเป็นไปโดยผ่านทางการอธิษฐาน การแสวงหา และค่อยๆ รับประสบการณ์และควานหา แน่นอนว่าในช่วงระหว่างเวลานี้ เปโตรได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้า รวมทั้งการทรงนำและพระคุณอันพิเศษของพระเจ้า นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ดังกล่าว เขาเพียงสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกโดยผ่านทางความพยายามของตัวเขาเอง ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ความรู้ของเปโตรเกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และเกี่ยวกับทุกแง่มุมของความจริงที่ผู้คนควรเข้าไปสู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากความมืดมนไปสู่ความชัดเจน จากนั้นก็ไปสู่ความถูกต้องแม่นยำ และแล้วก็ไปสู่เส้นทางแห่งการปฏิบัติที่แน่ชัดและสัมพันธ์กับชีวิตจริง กระบวนการนี้จะแผ่ขยายไปจนถึงปลายทางเมื่อเขาสามารถที่จะเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากความเบี่ยงเบนใดๆ เขากล้าที่จะปฏิบัติหนทางนี้หลังจากที่เขาได้มาซึ่งการยืนยันในหัวใจของเขาแล้วเท่านั้น การยืนยันนี้มาจากที่ใด? โดยผ่านทางการควานหาตลอดจนผ่านทางการอธิษฐานและการแสวงหา เขาเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำการและเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงกระทำการ ไม่มีอุปสรรคหรือการบ่มวินัย เขามีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สันติสุข และความชื่นบานยินดี และในเวลาเดียวกันก็มีการเกื้อหนุน การอวยพร และการทรงนำของพระเจ้า นี่คือวิธีที่เขาได้รับการยืนยัน หลังจากที่ได้รับการยืนยันแล้ว เขาก็เดินหน้าต่อไปอย่างกล้าแกร่งเพื่อแสวงหา ควานหาและปฏิบัติ หลังจากผ่านกระบวนการอันซับซ้อนเช่นนั้น เปโตรก็ค่อยๆ มาถึงความเข้าใจที่แม่นยำเกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของธรรมชาติมนุษย์ การรู้จักตนเอง และอุปนิสัย ตลอดจนสภาวะอันหลากหลายที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์สร้างขึ้นมาในหลากหลายสภาพแวดล้อม หลังจากจับความเข้าใจนี้แล้ว เขาก็เริ่มลงมือทำงานกับสิ่งเหล่านี้เพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่สอดรับกัน ในท้ายที่สุด เขาก็แก้ไขแต่ละสภาวะที่เป็นผลลัพธ์มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสารพัดในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เขาแก้ไขสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? เขาแก้ไขสิ่งเหล่านั้นไปทีละน้อยโดยการใช้ความจริงและหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเปิดเผย แน่นอนว่า เขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้ พระเจ้าทรงทดสอบและถลุงเขามากน้อยเพียงใด? ในท้ายที่สุด เขาก็จับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้และเข้าใจว่า พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนเรียนรู้บทเรียนแห่งความเชื่อฟัง ดังนั้นแล้ว พระเจ้าทรงพระราชกิจกับเปโตรเพียงใดเพื่อทำให้เขาตระหนักว่าผู้คนควรปฏิบัติความเชื่อฟัง? ก่อนหน้านี้พวกเราได้เอ่ยถึงบางสิ่งที่เปโตรกล่าวไว้ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าคืออะไร? (“หากพระเจ้าทรงปฏิบัติกับฉันราวของเล่น ฉันจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร?”) ถูกต้อง นั่นแหละ ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์และก้าวผ่านการทรงนำและพระราชกิจของพระเจ้า เปโตรพัฒนาความรู้สึกนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนราวของเล่นมิใช่หรือ?” แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแรงจูงใจต่อการกระทำทั้งหลายของพระเจ้า ผู้คนพึ่งพามุมมอง การคิด และความรู้แบบมนุษย์ของพวกเขาเพื่อประเมินเรื่องนี้และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเล่นกับผู้คนตามสบายราวกับพวกเขาเป็นของเล่น วันหนึ่งพระองค์ตรัสว่าจะทำเรื่องนี้และวันรุ่งขึ้นพระองค์ก็ทรงบอกพวกเขาให้ทำเรื่องนั้น เจ้าเริ่มรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่า “โอ้ พระเจ้าตรัสมากมายหลายสิ่งเหลือเกิน พระองค์กำลังทรงพยายามทำอะไร?” ผู้คนรู้สึกสับสนและถูกถาโถมใส่เล็กน้อย พวกเขาไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใด พระเจ้าทรงใช้วิธีการนี้เพื่อทดสอบเปโตร ผลลัพธ์สุดท้ายของการทดสอบนี้คืออะไร? (เปโตรสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังไปจนตาย) เขาสัมฤทธิ์ความเชื่อฟัง นี่เป็นผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และพระเจ้าทรงมองเห็น เปโตรกล่าวคำพูดใดที่แสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาได้เริ่มเชื่อฟังและเติบโตทางวุฒิภาวะแล้ว? เปโตรพูดว่าอะไรหรือ? เปโตรยอมรับและมีทัศนะอย่างไรต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไปทั้งหมดและท่าทีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ราวของเล่น? ท่าทีของเปโตรเป็นอย่างไร? (เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร?”) ใช่แล้ว นั่นคือท่าทีของเปโตร เป็นคำพูดของเขาแน่นอน ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์แห่งการทดสอบและการถลุงของพระเจ้าคงไม่มีวันกล่าวคำพูดเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจการเล่าเรื่องในที่นี้ และไม่เคยได้รับประสบการณ์นั้นมาก่อน เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์นี้ พวกเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาจะสามารถพูดเรื่องนี้ตามสบายเหลือเกินได้อย่างไร? คำพูดเหล่านี้เป็นบางสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งคงไม่มีทางคิดขึ้นมาได้? เปโตรสามารถพูดเรื่องนี้ได้เพราะเขามีประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงมากมายเหลือเกิน พระเจ้าทรงลิดรอนสิ่งต่างๆ มากมายไปจากเขา แต่ในเวลาเดียวกันก็ทรงมอบให้เขามากมาย หลังการให้ พระองค์ก็ทรงพรากไปอีก หลังจากที่ทรงเอาสิ่งต่างๆ ไปจากเขา พระเจ้าก็ทรงทำให้เปโตรได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง แล้วจากนั้นก็ทรงมอบให้เขาอีกครั้ง จากมุมมองของมนุษย์ หลายสิ่งที่พระเจ้าทรงทำดูเป็นไปตามแต่พระหทัย ซึ่งทำให้เกิดภาพลวงตาแก่ผู้คนว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติกับผู้คนราวของเล่น ไม่ให้เกียรติผู้คน และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนในฐานะที่เป็นมนุษย์ ผู้คนคิดว่าพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี เหมือนของเล่น พวกเขาคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงมอบสิทธิให้พวกเขาตัดสินใจเลือกอย่างอิสระ และคิดว่าพระเจ้าสามารถตรัสสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงมอบบางสิ่งแก่เจ้า พระองค์ตรัสว่า “เจ้าสมควรแก่บำเหน็จนี้สำหรับสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป นี่คือการอวยพรของพระเจ้า” เมื่อพระองค์ทรงพรากสิ่งทั้งหลายไป พระองค์แค่ทรงมีสิ่งอื่นที่จะตรัสเท่านั้น ผู้คนควรทำสิ่งใดในกระบวนการนี้? เจ้าไม่มีสิทธิที่จะตัดสินพระเจ้าว่าทรงถูกหรือผิด เจ้าไม่มีสิทธิที่จะระบุธรรมชาติแห่งการกระทำของพระเจ้า และแน่นอนว่า ในกระบวนการนี้เจ้าไม่มีสิทธิที่จะมอบศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ขึ้นให้กับชีวิตของตน นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เจ้าควรตัดสินใจ บทบาทนี้ไม่ใช่ของเจ้า แล้วอะไรคือบทบาทของเจ้า? เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านทางประสบการณ์ หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่สามารถทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ทางเลือกเดียวของเจ้าก็คือการเชื่อฟัง เป็นการง่ายสำหรับเจ้าหรือไม่ที่จะเชื่อฟังภายใต้รูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว? (ไม่) ไม่ง่ายเลยที่จะเชื่อฟัง นี่คือบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้ หากเป็นการง่ายสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟัง เจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียน เจ้าคงไม่จำเป็นต้องถูกจัดการหรือตัดแต่ง และก้าวผ่านบททดสอบและการถลุง เพราะเป็นการลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พระองค์จึงทรงทดสอบเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ทรงจงใจเล่นกับเจ้าราวกับเจ้าเป็นของเล่น ในวันที่เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อความเชื่อฟังของเจ้าที่มีต่อพระเจ้ามาโดยปราศจากความลำบากยากเย็นหรือความขัดข้อง เมื่อเจ้าสามารถเชื่อฟังอย่างเต็มใจและอย่างชื่นบาน โดยปราศจากตัวเลือก ความตั้งใจ หรือความชอบส่วนตนของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเป็นของเล่น และเจ้าจะได้ทำอย่างที่เจ้าควรทำ หากวันหนึ่งเจ้าพูดว่า “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันราวกับเป็นของเล่น และฉันดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากศักดิ์ศรี ฉันไม่เห็นด้วยกับการนี้และฉันจะไม่เชื่อฟัง” นั่นอาจเป็นวันที่พระเจ้าทอดทิ้งเจ้า จะเป็นอย่างไรหากวุฒิภาวะของเจ้าได้ไปถึงระดับที่เจ้าพูดว่า “แม้น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ง่ายเลยที่จะจับความเข้าใจ และพระเจ้าทรงหลบซ่อนจากฉันเสมอ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำอะไร ฉันจะเต็มใจเชื่อฟัง ต่อให้ฉันไม่สามารถเชื่อฟังได้ ฉันก็ยังคงต้องรับเอาท่าทีนี้มาใช้ และไม่มีคำพร่ำบ่นหรือตัวเลือกของตัวเอง นี่เป็นเพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หน้าที่ของฉันคือเชื่อฟัง และนี่เป็นภาระผูกพันที่ชัดเจนซึ่งฉันไม่อาจหนีพ้นได้ พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ถูกต้อง ฉันไม่ควรเพลิดเพลินไปกับมโนคติอันหลงผิดหรือจินตนาการใดเกี่ยวกับสิ่งพระเจ้าทรงทำ นี่ไม่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สำหรับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้ฉัน ฉันขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบให้ฉัน หรือทรงมอบให้แล้วจากนั้นก็ทรงพรากไป ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าล้วนเป็นประโยชน์ต่อฉัน ต่อให้ฉันไม่สามารถมองเห็นประโยชน์นั้นเลยก็ตาม สิ่งที่ฉันควรทำก็ยังคงเป็นเชื่อฟัง”? คำพูดเหล่านี้ไม่ส่งผลเดียวกันกับคำพูดของเปโตรตอนที่เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร”? บรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะเช่นนั้นเท่านั้นจึงเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง
ต่อไป พวกเรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้คน ยามประเมินวัดว่าบุคคลหนึ่งมีขีดความสามารถหรือไม่ จงดูตรงที่ว่าพวกเขาสามารถจับความเข้าใจน้ำพระทัยและท่าทีของพระเจ้าเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาในชีวิตประจำวัน ตลอดจนตำแหน่งที่พวกเขาควรอยู่ และหลักธรรมที่พวกเขาควรติดตาม และท่าทีที่พวกเขาควรมีหรือไม่ หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีขีดความสามารถ หากสิ่งที่เจ้าจับความเข้าใจไม่เกี่ยวข้องอันใดกับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้เจ้าในชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีขีดความสามารถหรือไม่ก็มีขีดความสามารถไม่ดี วุฒิภาวะที่แท้จริงของเปโตรกับโยบเกิดขึ้นอย่างไรหรือ และพวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาได้รับและเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวจากความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาอย่างไรในท้ายที่สุด? พวกเขาไม่มีทางเลยที่จะชื่นชมสิ่งที่พวกเจ้าชื่นชมในวันนี้ พวกเจ้ามีใครบางคนที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง จัดเตรียมให้พวกเจ้า เกื้อสนุนพวกเจ้า และช่วยเหลือพวกเจ้าอยู่เสมอ มีใครบางคนที่จะช่วยพวกเจ้าตรวจสอบสิ่งทั้งหลาย พวกเขาไม่มีสิ่งนี้เลย ความจริงส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้เข้าใจนั้นได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ตระหนักมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้มีประสบการณ์มาแล้ว สิ่งที่พวกเขาค่อยๆ ขบคิดออกและก้าวผ่านในชีวิตประจำวันของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถสูง เมื่อผู้คนไม่มีขีดความสามารถดังกล่าว และไม่มีท่าทีจำพวกนี้ต่อความจริงและความรอด พวกเขาจะไม่แสวงหาความจริงและไม่ใส่ใจต่อการปฏิบัติความจริงในทุกสิ่ง ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่สามารถที่จะได้มาซึ่งความจริง หลังจากได้ยินเรื่องราวของโยบและเปโตร ผู้คนส่วนใหญ่อิจฉาพวกเขา อย่างไรก็ดี หลังจากอิจฉาโยบและเปโตรมาช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็ไม่จริงจังกับเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกว่าตนเองก็สามารถกล่าวคำพูดอมตะของโยบและเปโตรยามที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาได้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย ตามที่พวกเราพิจารณากันตอนนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ง่ายเลย
ในพันธสัญญาใหม่ นอกเหนือจากประกาศกิตติคุณทั้งสี่ จดหมายฝากของเปาโลกินพื้นที่มากสุด ในช่วงระหว่างคาบเวลาเดียวกัน เป็นไปได้ว่า เปาโลกับเปโตรแทบจะทำงานที่เหมือนกัน แต่ความมีหน้ามีตาของเปาโลนั้นมากกว่าของเปโตรมากมาย พวกเราสามารถมองเห็นอะไรได้จากสองสถานการณ์นี้? พวกเราสามารถมองเห็นเส้นทางที่ชายทั้งสองคนนี้เดิน หลายบรรทัดในจดหมายฝากของเปาโลถูกรับมาใช้เป็นคติประจำใจโดยชนรุ่นหลัง และทุกคนใช้คำกล่าวที่เลื่องชื่อของเปาโลเป็นแรงจูงใจให้กับตนเอง ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาล้วนลงเอยบนเส้นทางที่ผิด และหลายคนถึงขั้นลงไปตามเส้นทางของพวกศัตรูของพระคริสต์ ในทางตรงข้าม เปโตรแทบไม่ได้มีการแสดงตนต่อสาธารณะเลย โดยพื้นฐานแล้ว เขาไม่เขียนหนังสือ ไม่นำเสนอคำสอนที่ลุ่มลึกและลี้ลับ และไม่ได้ให้คำขวัญ หรือทฤษฎีที่ฟังดูสูงส่งเพื่อสอนและช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในกาลสมัยนั้น และเขาก็ไม่ได้ให้ทฤษฎีที่เลิศลอยที่จะส่งอิทธิพลต่อชนรุ่นหลัง เขาเพียงแค่เสาะแสวงที่จะรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในลักษณะที่มีเหตุผลและสัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่คือความแตกต่างระหว่างเส้นทางที่พวกเขาทั้งสองใช้เดิน ในตอนท้าย เปาโลใช้เส้นทางของศัตรูพระคริสต์และได้รับความพินาศ ขณะที่เปโตรใช้เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรักพระเจ้า และได้รับการทำให้เพียบพร้อม โดยการพิจารณาเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน เจ้าสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ผู้คนประเภทใด ผู้คนประเภทใดที่พระเจ้าทรงไม่ชอบ การสำแดงและการพรั่งพรูออกมาจากผู้คนที่พระเจ้าทรงไม่ชอบ เส้นทางประเภทใดที่ผู้คนเหล่านี้ใช้เดิน สัมพันธภาพแบบไหนที่พวกเขามีต่อพระเจ้า และอะไรคือสิ่งที่พวกเขาใส่ใจ พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่าเปาโลมีขีดความสามารถ? ขีดความสามารถของเปาโลอยู่ในชั้นไหนหรือ? (ชั้นดีมาก) พวกเจ้าได้ยินคำเทศนามามากเหลือเกินแต่ยังคงไม่เข้าใจ ขีดความสามารถของเปาโลสามารถถูกพิจารณาว่าดีมากได้หรือไม่? (ไม่ มันต่ำ) เหตุใดขีดความสามารถของเปาโลจึงต่ำ? (เขาไม่รู้จักตัวเองและไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า) นั่นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความจริง เขาก็ได้ยินคำเทศนาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้ไว้มากมายด้วยเช่นกัน และในช่วงระหว่างคาบเวลาที่เขาทำงาน แน่นอนว่ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ในเมื่อเขาทำงานทั้งหมดนั้น เขียนจดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมด และเดินทางไปตามคริสตจักรเหล่านั้นทั้งหมด แล้วเป็นไปได้อย่างไรว่าเขายังคงไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความจริง และไม่ได้ประกาศอะไรเลยนอกจากคำสอน? นั่นเป็นขีดความสามารถแบบไหนกัน? ขีดความสามารถต่ำ ที่มากกว่านั้นคือ เปาโลข่มเหงองค์พระเยซูเจ้าและจับกุมบรรดาสาวกของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นองค์พระเยซูเจ้าก็ได้ซัดโทษใส่ด้วยแสงสว่างจ้าจากฟ้า เปาโลเข้าหาและเข้าใจเหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้ที่บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างไร? แบบวิธีของความเข้าใจของเขาต่างจากของเปโตร เขาคิดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงซัดโทษใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำบาปลงไป ดังนั้นข้าพเจ้าต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะชดเชยให้กับการนี้ และทันทีที่คุณความดีของข้าพเจ้าสมดุลกันกับโทษบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะได้รับบำเหน็จ” เขารู้จักตัวเองหรือไม่? เขาไม่รู้จักตัวเอง เขาไม่ได้พูดว่า “ข้าพเจ้าต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าเพราะธรรมชาติที่มุ่งร้ายของข้าพเจ้า ธรรมชาติที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า—ไม่มีอะไรดีเลยเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า!” เขามีความรู้จักตัวเองเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) และเขาบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในจดหมายฝากของเขาอย่างไร? เขามีทัศนะอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้? (เขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำงาน) เขาเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเขาโดยการสาดแสงสว่างจ้าลงบนตัวเขา และว่าพระเจ้าจะเริ่มใช้เขาให้เกิดประโยชน์ใหญ่หลวง ด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเชื่อว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ทรงพลังที่สุดว่า เขาจะได้รับการปูนบำเหน็จและได้รับการสวมมงกุฎ รวมไปถึงต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถใช้เพื่อให้ได้รับมงกุฎและบำเหน็จทั้งหลาย ที่เพิ่มเติมไปกว่านั้นคือ ลึกลงไปในหัวใจของเขา เขารู้สึกมีหนามแหลมชิ้นหนึ่งคอยทิ่มแทง หนามชิ้นนี้คืออะไร? หนามชิ้นนี้คือโรคหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้เขาเป็นการลงโทษสำหรับการขัดขืนอย่างบ้าคลั่งของเขาที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? เขามีอาการป่วยอย่างหนึ่งในหัวใจและความคิดของเขาเสมอ “นี่เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าจะสามารถยกโทษให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่ โชคดีที่องค์พระเยซูเจ้าช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้รอด และทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะไถ่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดของข้าพเจ้า และอาจจะไม่ใช่แค่บาปของข้าพเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับการยกโทษ แต่ข้าพเจ้ายังสามารถได้รับมงกุฎกับบำเหน็จด้วย นั่นคงวิเศษไปเลย!” อย่างไรก็ดี เขาไม่เคยสามารถกำจัดหนามชิ้นนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความอกสั่นขวัญหายในหัวใจของเขาได้เลย เขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับมันเสมอ “ข้าพเจ้าจะชดเชยให้กับความผิดพลาดอย่างมหันต์นี้ได้อย่างไร? ข้าพเจ้าจะยกเลิกมันให้หมดได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ส่งผลกับโอกาสประสบความสำเร็จของข้าพเจ้าหรือมงกุฎที่ข้าพเจ้าหวังจะได้รับ? ข้าพเจ้าต้องทำงานมากขึ้นเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จ่ายราคาให้มากขึ้น เขียนจดหมายฝากมากขึ้น และใช้เวลาวิ่งวุ่นให้มากขึ้น สู้รบกับซาตานและเป็นคำพยานที่งดงาม” นี่คือวิธีที่เขาเข้าหาการนี้ เขามีความเสียใจบ้างหรือไม่? (ไม่) เขาไม่มีความเสียใจเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับความรู้จักตัวเอง เขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของเปาโลมีปัญหา และว่าเขาไม่มีสมรรถภาพที่จะเข้าใจความจริง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของเขาและสิ่งที่เขาไล่ตามเสาะหา และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะขีดความสามารถของเขา เขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ และเขาก็ไม่ตะหนักรู้ “มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเลวเกินไป ชั่วเกินไป ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือธรรมชาติของซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์ การนี้อยู่ที่รากเหง้าของการไถ่มวลมนุษย์ของพระเจ้า มนุษย์จำเป็นต้องได้รับการไถ่ของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์ควรมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อยอมรับการไถ่ของพระองค์ได้อย่างไร?” เขาไม่เคยพูดสิ่งดังกล่าวเลย เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงได้ขัดขืนและกล่าวโทษพระเยซู ถึงแม้เขายอมรับว่าเขาเป็นตัวการใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้ทบทวนเรื่องนี้เลย เขาแค่ครุ่นคิดหาวิธีที่เขาจะสามารถหักล้างบาปร้ายแรงทั้งหลายดังกล่าวได้ วิธีที่เขาจะสามารถชดใช้ให้กับบาปของเขา ชดเชยให้กับบาปของเขาโดยความประพฤติที่เป็นความดีความชอบ และสุดท้ายก็ยังคงบรรลุถึงมงกุฎและบำเหน็จที่เขามุ่งหวัง ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาก็ไม่อาจเข้าใจความจริงหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าได้จากสิ่งทั้งหลายที่อุบัติขึ้นกับเขา เขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย สำหรับการรับความจริง เปาโลเป็นบุคคลที่แย่ที่สุด ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้ว่าขีดความสามารถของเปาโลแย่ที่สุด
ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? (ไม่) ผู้คนที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? (ไม่) ผู้คนที่ต้องการได้รับการช่วยให้รอดต้องมีขีดความสามารถที่น่าพึงพอใจ อย่างน้อยพวกเขาต้องมีขีดความสามารถปานกลาง และไม่มีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไป พวกเขาต้องบรรลุความเข้าใจความจริง ไม่ว่าพวกเขาสามารถจับใจความความจริงได้มากเพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมารู้จักตัวเองบนพื้นฐานแห่งการเข้าใจความจริงของพวกเขา และต้องรู้วิธีที่จะปฏิบัติความจริง พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ในหนทางนี้ เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ในหนทางนี้? เมื่อเจ้าสามารถเชื่อมโยงสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตประจำวันของเจ้าเข้ากับความจริง และสามารถมีทัศนะและปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถนำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของเจ้า และเจ้าก็จะสามารถยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า การถูกตัดแต่งและจัดการโดยพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งบททดสอบและการถลุงทั้งหลายในพระวจนะของพระองค์บนรากฐานนี้ มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะยอมรับการพิพากษา บททดสอบ และการถลุงของพระวจนะของพระองค์เสียด้วยซ้ำ ก่อนการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเข้าใจความจริงบางอย่าง มีท่าทีแห่งความเชื่อฟังต่อพระเจ้า และได้เปลี่ยนแปลงไปในบางหนทาง เจ้าต้องรู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าควรจัดการกับเหตุสุดวิสัยทั้งหลายด้วยท่าที วิธีคิด และมุมมองใด สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความจริง นี่ไม่ใช่กรณีที่ผู้คนสามารถใช้คำขวัญทางศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา และกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายเพื่อที่จะรับมือกับการนี้และสัมพันธ์กับความจริงอย่างไม่ใส่ใจ และนี่ก็ไม่ใช่กรณีที่เพียงแค่การทำความประพฤติดีบางอย่างก็เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริงแล้ว การนี้ไม่เรียบง่ายเช่นนั้น เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เจ้ารู้ สิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า เจ้าต้องรู้แน่แก่ใจถึงหลักธรรมที่เจ้าควรยึดปฏิบัติตาม เจ้าเกี่ยวข้องกับความจริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น นอกจากนี้ หนทางที่เจ้าปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงให้เจ้าทำ หนทางที่เจ้าปฏิบัติต่อลักษณะและท่าทีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้า รวมไปถึงท่าทีและมุมมองที่เจ้ารับมาใช้ต้องเกี่ยวข้องกับความจริง ในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าสามารถมีการเข้าสู่ชีวิต มิฉะนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่สามารถทรงพระราชกิจใดในตัวเจ้าได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่? (พวกเราเข้าใจ) จงมองดูผู้คนในศาสนาที่ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ พูดคุยเกี่ยวกับคำสอนและแสร้งทำเป็นคนดีพวกนั้นสิ การกระทำของพวกเขาดูดีจากภายนอก แต่เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่เคยทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาเลย? นั่นเป็นเพราะสิ่งทั้งหลายที่เขาทำและความประพฤติดีทั้งหมดของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขาได้เพียงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเท่านั้น แต่นี่ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ดีพอที่จะไปถึงข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระเจ้า เสมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนประถมศึกษาต้องการตรงไปเข้ามหาวิทยาลัย นั่นเป็นไปได้หรือไม่? นั่นเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงเพราะพวกเขาไม่มีคุณวุฒิ เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางที่ผู้คนเดินหรือความเป็นมนุษย์หรือขีดความสามารถของพวกเขา อย่างน้อยผู้คนก็ควรเป็นไปตามเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับความรอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องเข้าใจความจริง ปลดเปลื้องอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน และสามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง
พวกเราประเมินวัดขีดความสามารถของผู้คนอย่างไร? หนทางอันเหมาะสมที่จะทำการนี้ก็คือโดยการดูท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงและดูว่าพวกเขาสามารถจับใจความความจริงได้หรือไม่ คนบางคนสามารถเรียนรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อพวกเขาได้ยินความจริง พวกเขาก็เกิดสับสนและเผลอหลับไปเลย พวกเขากลายเป็นสับสนเลอะเลือนในหัวใจ สิ่งที่พวกเขาได้ยิน ไม่มีสิ่งใดเข้าหู และพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังได้ยิน—นั่นคือสิ่งที่เป็นขีดความสามารถต่ำ เมื่อเจ้าบอกกับผู้คนบางคนว่าพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่าการมีการศึกษาสูงและรอบรู้หมายถึงพวกเขามีขีดความสามารถดี การศึกษาที่ดีแสดงถึงขีดความสามารถสูงหรือไม่? ไม่ ขีดความสามารถของผู้คนควรถูกประเมินวัดอย่างไร? ขีดความสามารถควรถูกประเมินวัดบนพื้นฐานของระดับที่พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริง นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในการประเมินวัด ผู้คนบางคนเจ้าสำนวน หัวไว และมีทักษะเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับผู้อื่น—แต่เมื่อพวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาไม่เคยสามารถที่จะเข้าใจสิ่งใดเลย และเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่จับใจความพระวจนะเหล่านั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขามักกล่าวคำพูดและคำสอนเสมอ เผยให้เห็นว่าตัวพวกเขาเป็นแค่มือสมัครเล่น และทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผู้คนเหล่านี้มีขีดความสามารถต่ำ แล้วผู้คนเช่นนั้นมีสมรรถภาพที่จะทำงานเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือ? (ไม่มี) ทำไมเล่า? (พวกเขาขาดหลักธรรมความจริง) ถูกต้อง นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจในตอนนี้ การทำงานในพระนิเวศของพระเจ้านั้นพูดได้อีกอย่างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา เมื่อเป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา การนี้เกี่ยวข้องกับความจริง พระราชกิจของพระเจ้า หลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติ และหนทางและวิธีการสำหรับปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภท ประเด็นปัญหาเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการที่ผู้คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในลักษณะที่มีประสิทธิผลและน่าพึงพอใจหรือไม่ ประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานั้น เกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่? หากประเด็นปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความจริง ทว่าเจ้ายังไม่เข้าใจความจริงและพึ่งพาเฉพาะความฉลาดเล็กน้อยของเจ้า เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่? (ไม่) ไม่ ต่อให้ไม่มีอะไรบิดเบี้ยวไปในบางเรื่อง ก็อาจเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง และเป็นสิ่งภายนอกล้วนๆ อย่างไรก็ดี เจ้ายังต้องมีหลักธรรมยามที่ทำสิ่งภายนอก และรับมือกับสิ่งเหล่านั้นในหนทางที่ทุกคนถือว่าเหมาะสม สมมุติว่าเจ้าถูกขอให้รับมือบางสิ่งโดยสอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหมดตามลำพัง และขณะที่เจ้ากำลังทำสิ่งนี้ ก็เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น และเจ้าไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้น เจ้าคิดว่าเจ้าควรเดินหน้าไปตามประสบการณ์ของเจ้า แต่การกระทำตามที่ประสบการณ์สอนเจ้าอย่างไม่มีผิดนั้น ได้แค่รบกวนและทำให้สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่หยุดชะงัก ทำให้ยุ่งเหยิงไปหมด นี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดหรอกหรือ? อะไรคือสาเหตุของการนั้น? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่มีการจับใจความที่ผ่องแผ้ว เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าไม่มีการจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลาย เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงและหลักธรรม เจ้าก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้ และเจตจำนงของตัวเจ้าเองก็ระเบิดออกมา ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าทำให้งานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย และเจ้าทำให้ตัวเองขายหน้า การจัดการกับปัญหาตามวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์นั้นมีประสิทธิผลหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่มีประสิทธิผล? นั่นเป็นเพราะวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่ยอมรับวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์ หากเจ้ารับมือกับปัญหาโดยใช้วิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์เสมอ นั่นไม่ใช่แค่หมายความว่า เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมกว่าที่เจ้าเป็นจริงๆ หรอกหรือ? นั่นไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอหรอกหรือ? คนบางคนถึงกับโต้เถียงว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องนี้—ในใจฉันเข้าใจเรื่องนั้น ก็แค่ว่าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ให้มากพอเท่านั้นเอง หากฉันทุ่มความพยายามและพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบมากขึ้น ฉันย่อมสามารถรับมือได้ดี ที่ผ่านมา ตอนที่มีปฏิสัมพันธ์และรับมือสิ่งต่างๆ กับบรรดาผู้เชื่อ ฉันต้องใช้วิถีทางและวิธีการเฉพาะบางอย่าง ถึงอย่างไร พระนิเวศของพระเจ้าไม่อนุญาตให้ใช้แนวทางเหล่านี้ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันแค่จัดการกับเรื่องนั้นไปตามหนทางของฉันเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ฉันทำผิดพลาดไปนิดหน่อย” ผู้คนเหล่านี้รู้จักตัวเองหรือไม่? (ไม่) เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้จักตนเอง? การนี้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่แสวงหาความจริงในเรื่องนี้ แต่คิดหาหนทางที่จะปกปิดความผิดพลาดของตน พวกเขาคิดว่าพวกเขาเพียงทำผิดพลาดและละเลยในแง่พฤติกรรมของตน พวกเขาไม่คิดว่าข้อผิดพลาดของพวกเขาเกี่ยวข้องกับความจริง หรือคิดว่าข้อผิดพลาดนั้นเกิดเนื่องมาจากการขาดความเข้าใจความจริงและข้อเท็จจริงที่พวกเขากระทำบนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ผู้คนเหล่านี้ก็มองหาเหตุผลและข้อแก้ตัวอยู่ตลอดเวลา พวกเขาคิดว่าพวกเขาแค่ทำผิดพลาดไป ในปฏิกิริยาอันดับแรกของพวกเขานั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาต้องแสวงหาความจริง ในปฏิกิริยาอันดับที่สองของพวกเขา พวกเขายังคงไม่รู้ว่าพวกเขาต้องแสวงหาความจริง และในปฏิกิริยาอันดับที่สามของพวกเขา พวกเขายังคงไม่รู้ว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาความจริงและทำความรู้จักกับตนเอง นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำมาก ไม่สำคัญว่าเจ้าแนะนำพวกเขา เปิดโปงพวกเขา และสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังจะไม่ตระหนักว่าหลักธรรมความจริงใดที่พวกเขาละเมิดลงไป และความจริงใดที่พวกเขาควรนำไปสู่การปฏิบัติ ไม่สำคัญว่าเจ้าแนะนำพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่มีวันตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ พวกเขาขาดพร่องแม้กระทั่งความสามารถเพียงน้อยนิดของการจับใจความความจริง นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงชัดเจนอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ตระหนักว่านี่คือความจริง พวกเขาจะใช้เหตุผลและข้อแก้ตัวของตัวเอง หรือพูดว่านั่นเป็นแค่ความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาดเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อปิดปังข้อเท็จจริง พวกเขาจะไม่ยอมรับแม้แต่น้อยว่า พวกเขาได้ละเมิดความจริงและเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำความผิดพลาดใดลงไป ได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมา หรือพวกเขาได้ก่อให้เกิดสภาวะอันเสื่อมทรามไปมากเท่าใด พวกเขาก็จะไม่มีวันตระหนักว่า อันที่จริงแล้วอะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอะไรคือแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาความจริงหรือวิธีที่จะรู้จักตัวเองในเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาด้านชาทางจิตวิญญาณและไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นการสำแดงของขีดความสามารถที่ต่ำ
พวกเรายกบางตัวอย่างมาสามัคคีธรรมกันสักเล็กน้อยถึงวิธีที่จะประเมินวัดขีดความสามารถของบุคคลหนึ่งกันเถิด ตัวอย่างเช่น เราพูดว่า คนบางคนผัดวันประกันพรุ่งและขอไปทีในการทำสิ่งทั้งหลาย หลังจากได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีจะตระหนักในทันทีว่า สภาวะนี้เป็นบางสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ด้วยเช่นกัน และตระหนักว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับสภาวะและท่าทีดังกล่าวบ่อยครั้งในยามที่พวกเขารู้สึกไม่ดีทางกายหรือยามที่พวกเขาคิดลบหรือขี้เกียจ นอกจากนั้น ภาพบางภาพจะลอยผ่านจิตใจของพวกเขาในเวลาที่พวกเขาผัดวันประกันพรุ่งปรือปฏิบัติตนในหนทางที่ขอไปทีในบางชิ้นงาน พวกเขาจะเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็คือความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของมนุษย์ และยอมรับว่า ความจริงนี้สัมพันธ์กับอุปนิสัยเสื่อมทรามทั้งหลายของมนุษย์ พวกเขาจะยอมรับด้วยเช่นกันว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และจับใจความพระวจนะเหล่านั้นในลักษณะที่ผ่องแผ้วโดยปราศจากความเข้าใจผิดหรือมโนคติอันหลงผิดของตัวพวกเขาเอง นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถดี ทันทีที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นการประเมินวัดตัวเองเทียบกับพระวจนะเหล่านั้น พวกเขาจะตระหนักว่านี่คือสภาวะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ด้วยเช่นกัน และพวกเขาจะเชื่อมโยงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเข้ากับสภาวะและชีวิตประจำวันของตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็จะทำการทบทวนตัวเอง มองสภาวะนี้ของตนให้ชัดเจน และยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง นี่คือวิธีที่ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีแสดงปฏิกิริยาเมื่อพวกเขาได้ยินพระวจนะของของพระเจ้า สำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง เจ้าไม่สามารถพูดแค่ “ผัดวันประกันพรุ่ง” และ “ขอไปที” เจ้าต้องชี้ชัดถึงประเด็นปัญหาของพวกเขาตรงๆ โดยการเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของพวกเขา และผสานการนี้เข้ากับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ โดยพูดว่า “คุณมักสับสนเลอะเลือนและไม่จริงจังกับสิ่งต่างๆ คุณแค่ทำหน้าที่แบบนี้อย่างขอไปที คุณจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? ฉันพูดเรื่องนี้กับคุณกี่ครั้งแล้ว? นี่เรียกว่าการขอไปทีและการผัดวันประกันพรุ่ง” จงชี้ชัดถึงปัญหาของพวกเขาเช่นนี้ หลังจากได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาจะทบทวนว่าพวกเขาผัดวันประกันพรุ่งและปฏิบัติตนในหนทางแบบขอไปทีอย่างไร หลังจากที่พวกเขาทบทวนเรื่องนี้อย่างแท้จริงและได้เรียนรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็จะยอมรับความผิดพลาดของตนและสามารถแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาระลึกได้นั้นเป็นสิ่งที่ตายตัว เป็นสภาวะที่ตายตัว พวกเขาสามารถเห็นพ้องและยอมรับสิ่งที่เจ้าพูดหากนั่นอยู่ในแนวเดียวกับความคิดฝันของของพวกเขาเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าขีดความสามารถปานกลาง การทำงานกับผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางพึงต้องใช้ความพยายาม และเจ้าสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้อย่างเต็มที่โดยการกล่าวจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงเท่านั้น อะไรคือสภาวะของผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ? พวกเขาควรถูกเข้าหาอย่างไร? ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำนั้นโง่ทึ่มและไม่เต็มบาท พวกเขาไม่สามารถรู้เท่าทันสถานการณ์ใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ และพวกเขาไม่แสวงหาความจริง หากผู้คนไม่บอกสิ่งต่างๆ กับพวกเขาในลักษณะที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา พวกเขาก็ไม่สามารถคิดออกได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นในเวลาที่พูดคุยกับผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถต่ำ เจ้าต้องพูดให้ชัดเจนและตรงไปตรงมามากขึ้น และเจ้าก็ต้องยกตัวอย่างด้วย เจ้าต้องพูดบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เป็นหนทางเดียวที่คำพูดของเจ้าสามารถส่งผลได้บ้าง เจ้าจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ “การที่คุณปฏิบัติหน้าที่แบบนี้เป็นการที่คุณผัดวันประกันพรุ่งและขอไปที!” ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นอย่างไร? “ฉันทำหรือ? ฉันผัดวันประกันพรุ่งหรือ? ทันทีที่ฉันตื่นนอนในตอนเช้า ฉันก็เริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของฉัน และฉันก็จะทำสิ่งเหล่านั้นให้เสร็จเป็นอันดับแรก ตอนที่ฉันออกไปข้างนอก ฉันก็คิดถึงวิธีที่จะทำสิ่งเหล่านั้นให้ดีด้วยเช่นกัน ฉันไม่ผัดวันประกันพรุ่งหรือกระทำการในหนทางที่ขอไปที ฉันทุ่มความพยายามมากมายลงไปสิ่งเหล่านี้!” ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นการไม่ยอมรับสิ่งที่เจ้าพูดออกมา พวกเขาไม่มีการตื่นรู้เลย และโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ขอไปทีและผัดวันประกันพรุ่ง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องอธิบายกับพวกเขาว่าอะไรคือการสำแดงของการผัดวันประกันพรุ่งและการขอไปที และพูดในหนทางที่โน้มน้าวพวกเขาจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะยอมรับคำพูดของเจ้า ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลยที่จะยอมรับว่าพวกเขาทำได้ไม่ดี หรือว่าพวกเขาได้ทำความผิดพลาดในเรื่องภายนอกทั้งหลาย หากบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริง หลักธรรมแห่งการปฏิบัติ หรือพระอุปนิสัยของพระเจ้า นั่นยิ่งลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาจะไม่เข้าใจสิ่งใดที่เจ้ากล่าว และยิ่งเจ้าพูดคุย พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกสับสนและอยู่ในความมืดมน และพวกเขาจะไม่ต้องการฟังอีกต่อไป ผู้คนเหล่านี้มีขีดความสามารถต่ำอย่างสุดขีด นี่เป็นการสำแดงของการไร้ความสามารถของพวกเขาที่จะเอื้อมถึงความจริง สำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร นั่นก็ไร้ประโยชน์ ไม่สำคัญว่าเจ้าพยายามที่จะพูดคุยกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็สามารถเข้าใจบางคำสอนและบางกฎเกณฑ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างมากมายใหญ่โตกับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ แค่บอกพวกเขาในลักษณะเรียบง่ายว่าต้องทำอะไร และหากพวกเขาสามารถยึดมั่นในการทำแบบนั้นต่อไปได้ นั่นก็ดีเลยทีเดียว ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสุดขีดนั้นขาดความสามารถในการจับใจความใดๆ จนถึงขนาดที่พวกเขาจะไม่มีวันสามารถเข้าใจความจริง และพวกเขาไม่สามารถถูกกำหนดให้ไปถึงระดับของการปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้อย่างแน่นอน หากบางสิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าผู้คนเหล่านี้ และเจ้าก็อธิบายกับพวกเขาอย่างชัดเจนทั้งหมด พวกเขาจะยังคงไม่สามารถเชื่อมโยงการนั้นเข้ากับตัวเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าขีดความสามารถต่ำ ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงการโกหก จงดูว่าผู้คนที่มีขีดความสามารถดีแสดงปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถดีได้ยินผู้อื่นพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจัดการและแก้ไขสภาวะของการโกหกและการหลอกลวง พูดถึงสภาวะของการโกหกของพวกเขาพร้อมยกตัวอย่าง พวกเขาจะทบทวนตัวเองและเปรียบเทียบสิ่งที่พวกเขาได้ยินมากับสภาวะของตัวเอง หลังจากนี้ พวกเขาก็จะสามารถระลึกได้ถึงสถานการณ์ที่พวกเขาพูดโกหกและความตั้งใจที่พวกเขามีในขณะที่กระทำการในหนทางนั้น บนพื้นฐานของการเปิดเผยในชีวิตประจำวันของพวกเขา ผ่านทางการตรวจสอบความตั้งใจ สิ่งจูงใจ และความคิดของพวกเขา ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถดีจะสามารถค้นพบว่าคำพูดใดของพวกเขาที่เป็นคำโกหกและคำพูดใดมีความหลอกลวง เมื่อพวกเขาฟังคำพยานเชิงประสบการณ์ของผู้อื่น พวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์และได้รับบางสิ่ง ต่อให้เจ้าเพียงพูดคุยเกี่ยวกับหลักธรรมไม่กี่ประการ พวกเขาจะเข้าใจและเรียนรู้ที่จะนำหลักธรรมเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ จากนั้นพวกเขาก็จะถือคำพูดเหล่านี้เป็นหลักธรรมความจริง ทำให้คำพูดเหล่านี้เป็นความเป็นจริงของตัวเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละน้อย หลังจากที่บุคคลหนึ่งซึ่งมีขีดความสามารถปานกลางได้ยินคำพยานเชิงประสบการณ์ของผู้อื่น พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าคำพยานเหล่านี้สัมพันธ์กับการสำแดงที่เห็นชัดเจนของตัวเองอย่างไร แต่พวกเขาจะสามารถเชื่อมโยงคำพยานทั้งหลายเข้ากับการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจนน้อยกว่าของตน หรือการสำแดงทั้งหลายในส่วนลึกของหัวใจพวกเขาที่ไม่ได้ถูกแสดงออกมา นอกจากนี้ การจับใจความหลักธรรมความจริงของพวกเขาก็ยังตื้นเขินกว่าเล็กน้อย เช่นเดียวกับคำสอน ระดับการจับใจความของพวกเขานั้นแย่กว่าของผู้คนที่มีขีดความสามารถดีเป็นอย่างมาก สำหรับผู้คนที่มีคุณสมบัติต่ำ เมื่อฟังคำพยานของผู้อื่น ไม่สำคัญว่าคนอื่นๆ เหล่านั้นชำแหละว่าสิ่งใดเป็นคำโกหกและคำพูดลอยๆ และสิ่งใดเป็นสภาวะที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง พวกเขาก็จะไม่สามารถเชื่อมโยงการนี้เข้ากับตนเอง และพวกเขาจะไม่สามารถทบทวนตนเองหรือมารู้จักตนเองได้ ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงล้มเหลวที่จะระลึกได้ถึงการโกหกและสภาวะที่เต็มไปด้วยความลวงของตัวเอง แต่พวกเขาถึงกับคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์อย่างมากผู้ซึ่งไม่สามารถพูดโกหกได้ ต่อให้ผู้อื่นโกหกและหลอกลวงพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถหยั่งรู้การนี้ได้และพวกเขาก็สามารถถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย พวกเขายิ่งสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงที่ผู้อื่นสามัคคีธรรมกันได้น้อยลงเสียด้วยซ้ำ พวกเขาขาดความสามารถในการจับใจความแม้เพียงน้อยนิด นี่คือการสำแดงหนึ่งของขีดความสามารถต่ำ
ในบรรดาผู้คนสามประเภทที่พวกเราเพิ่งเอ่ยถึง คนแบบไหนที่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้? บุคคลประเภทใดที่สามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้? (ผู้คนที่มีขีดความสามารถดี) ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีสามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วกว่าและลึกกว่าเล็กน้อย ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ช้ากว่าและผิวเผินกว่า ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เลย นี่คือความแตกต่าง เจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าผู้คนแตกต่างจากกันและกันอย่างไร? (เห็น) ความแตกต่างของพวกเขาอยู่ตรงไหน? ความแตกต่างของพวกเขาอยู่ในขีดความสามารถของพวกเขาและท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง ผู้คนที่รักความจริงและมีขีดความสามารถดีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างรวดเร็วและสามารถได้รับชีวิต ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางนั้นด้านชาและดื้อรั้น การเข้าไปสู่ความจริงของพวกเขานั้นเชื่องช้า และความก้าวหน้าของชีวิตพวกเขาก็เชื่องช้าเช่นกัน ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำไม่เพียงแค่โง่เขลาและโอหัง แต่พวกเขายังเบาปัญญา มีสีหน้าว่างเปล่าและหม่นหมอง พวกเขาด้านชาในจิตวิญญาณของพวกเขา มีปฏิกิริยาเชื่องช้า และเข้าใจความจริงช้า ผู้คนดังกล่าวปราศจากชีวิต เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และไม่ทำสิ่งใดนอกจากพูดคุยเกี่ยวกับคำสอน โห่ร้องคำขวัญ และติดตามกฎเกณฑ์ เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ภายในคนที่ไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเหล่านั้น มีชีวิตอยู่หรือไม่? พวกเขาปราศจากชีวิต เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับผู้คนที่ปราศจากชีวิต พวกเขาทำตามเจตจำนงของตนเองและปฏิบัติตนแบบมืดบอด บางคราวก็หลุดอ้อมไปทิศทางหนึ่ง และบางคราวก็อ้อมไปอีกทิศทางหนึ่ง ขาดเส้นทางปฏิบัติที่แม่นยำ รวมทั้งรู้สึกลังเลและอับจนหนทางเสมอ พวกเขาดูน่าสังเวช หลายปีที่ผ่านมา เราได้ยินคนบางคนพูดอย่างไม่ขาดสายว่า พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา ยังเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรหลังจากที่พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกินแล้ว? การแสดงออกของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจนหนทางจริงๆ ใบหน้าของพวกเขาว่างเปล่าและหม่นหมอง บางคนพูดว่า “ฉันถูกเรียกว่าด้านชาได้อย่างไร? ฉันมีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่เป็นความนิยมทางโลกมาก ฉันรู้วิธีที่จะใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ควบคุมเกมทุกประเภท พวกคุณโง่เง่าและไม่รู้วิธีใช้ของเหล่านั้น ขีดความสามารถของพวกคุณต่ำขนาดนั้นได้อย่างไร?” แต่ความฉลาดอันน้อยนิดของพวกเขาก็แค่ทักษะและความหลักแหลมนิดหน่อย—นี่ไม่นับเป็นขีดความสามารถ หากเจ้าขอให้พวกเขาฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมถึงความจริง ผู้คนเหล่านี้ก็ถูกเปิดโปงว่า ในจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาด้านชาอย่างเหลือร้าย พวกเขาด้านชาอย่างไรหรือ? พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่พวกเขายังคงไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดและไม่สามารถประมาณค่าการนี้ได้ ทั้งพวกเขาก็ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นบุคคลประเภทใด หากเจ้าถามว่าพวกเขาคิดอะไรเกี่ยวกับขีดความสามารถของพวกเขา พวกเขาจะพูดว่า “ขีดความสามารถของฉันแย่กว่าขีดความสามารถที่ดีนิดหน่อย แต่ดีกว่าขีดความสามารถปานกลางมากมาย” นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำเพียงใด นั่นไม่เบาปัญญาไปหน่อยหรือ? เมื่อผู้คนมีขีดความสามารถต่ำจริงๆ พวกเขาก็เปิดเผยความโง่เขลาประเภทนี้ออกมา ไม่สำคัญว่านั่นคืออะไร หากบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริงหรือหลักธรรมทั้งหลาย พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นเลย และไม่สามารถที่จะขึ้นไปถึงระดับของสิ่งนั้นได้ นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ
บัดนี้ที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าจะสามารถประเมินวัดได้หรือไม่ว่า อะไรคือขีดความสามารถดีและอะไรคือขีดความสามารถต่ำ? หากเจ้าสามารถเข้าใจว่า อะไรคือขีดความสามารถดีและอะไรคือขีดความสามารถต่ำ รวมทั้งมองเห็นขีดความสามารถของตัวเองและแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าได้อย่างชัดเจน การนี้จะช่วยให้เจ้ารู้จักตัวเอง ทันทีที่เจ้ามีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่ทางของตัวเอง เจ้าก็จะมีสำนึกเล็กน้อยและรู้จักการประมาณค่าตัวเอง เจ้าจะไม่หมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นโอหัง และเจ้าจะหนักแน่นมั่นคงขึ้นและสบายใจยามที่ทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป และเจ้าจะไม่สามารถใส่ใจดูแลงานของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อผู้คนไม่รู้จักตนเอง นั่นย่อมเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนมากมาย ความเดือดร้อนจำพวกใดหรือ? แม้ว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นปานกลางอย่างชัดเจน พวกเขาก็คิดเสมอว่าพวกเขามีขีดความสามารถดี ดีกว่าผู้อื่น พวกเขามีแรงผลักดันในหัวใจของพวกเขาเสมอ และต้องการเสมอที่จะทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำและนำทางผู้อื่น พวกเขามีสิ่งต่างๆ ดังกล่าวอยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ แล้วการนี้จะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่? พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้รบกวนเสมอมา หัวใจของพวกเขาไม่สบาย และพวกเขาไม่สามารถสงบใจลงได้ พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี แต่พวกเขายังทำบางสิ่งที่โง่เขลาและน่าขายหน้า และบางสิ่งที่ไร้สำนึกซึ่งทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงอีกด้วย พวกเขามีปัญหาร้ายแรงขนาดนั้น—ยอมรับได้หรือไม่หากพวกเขายังคงไม่ได้รับการแก้ไข? ไม่ได้อย่างแน่นอน ผู้คนเหล่านี้ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ก่อนอื่นเลยก็คือ พวกเขาต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและทบทวนว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีความคิดเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงมักใหญ่ใฝ่สูงนัก และสิ่งเหล่านี้มาจากไหน หากพวกเขาเพียงคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้แบบเรียบง่าย พวกเขาจะแทรกซึมเข้าสู่แก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายได้หรือไม่? ไม่ได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหา—เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการง่ายสำหรับพวกเขาที่จะแก้ไข ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกเขาสามารถถูกถอนรากถอนโคนได้เมื่อพวกเขาได้แก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนแล้วเท่านั้น ในหนทางนี้พวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ในแบบตามความเป็นจริง และรู้หน้าที่มากยิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่อวดเบ่งไปทั่วอย่างมากมาย จะไม่เชื่อว่าพวกเขาดีกว่าคนอื่นทุกคน หรือทำตัวอยู่เหนือผู้อื่นเหลือเกินอีกต่อไป และพวกเขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากผู้อื่น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะมีความถูกต้องเหมาะควรแบบมีศักดิ์ศรีและแบบเที่ยงธรรมเยี่ยงธรรมมิกชน ในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงสามารถแน่ใจว่าจะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้าและมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า อย่างน้อยพวกเขาก็ควรมีมโนธรรมและสำนึกเพื่อให้พวกเขายอมรับความจริง หากพวกเขาเป็นเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ เหมือนสัตว์ป่าที่ไม่เชื่อง พวกเขาจะไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ คนบางคนพูดว่า “การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นลำบากยากเย็นอะไรหนักหนาหรือ? ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง” การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องมีท่าทีที่ถูกต้องและหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับการยอมรับโดยพระเจ้าอย่างชื่นบาน หากผู้คนที่เหมือนสัตว์ร้ายมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงเกลียดพวกเขาและขยะแขยงพวกเขา เพราะฉะนั้นการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการคิดปรารถนาของผู้คน ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับรู้ว่าเจ้าได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแค่เพราะเจ้าปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น สิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น เมื่อเจ้ามีความตั้งใจที่ถูกต้อง แสวงหาความจริง และอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์เท่านั้น เจ้าจึงสามารถรับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงตอนนั้นเท่านั้นเจ้าจึงได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง หากพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นคนธรรมดาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่เชื่อง พระเจ้าจะสนพระทัยเจ้าบ้างไหม? (ไม่) พระเจ้าจะไม่สนพระทัยเจ้าแต่อย่างใด พระองค์เพียงแต่จะทรงมอบสิ่งต่างๆ ที่ระดับผิวเผินเท่านั้น เช่น พระคุณนิดหน่อยและพระพรไม่กี่ประการ ตามหลักความจริง เจ้าจะไม่สามารถไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้เลย ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงระลึกถึงเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ เจ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อไปถึงจุดที่พระเจ้าทรงระลึกถึงเจ้าในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า ถึงตอนนั้นเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงเริ่มทดสอบหน้าที่ของเจ้าและทดสอบทุกคำพูดและความประพฤติของเจ้า ทดสอบความคิดและแนวคิดของเจ้า ถึงตอนนั้นเท่านั้น พระเจ้าจึงจะเริ่มทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูพระนิเวศของพระเจ้า การสำแดงและพฤติกรรมบางอย่างของผู้คน การเปิดเผยความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การปฏิบัติของพวกเขา ความคิดและแนวคิดของพวกเขา รวมทั้งท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้านั้นน่าขยะแขยงและน่าคลื่นเหียนต่อพระเจ้า พระเจ้าจะทรงจูงมือผู้คนที่พระองค์ทรงพบว่าน่าขยะแขยงและน่าคลื่นเหียน และทรงนำพวกเขาผ่านประตูพระนิเวศของพระองค์หรือไม่? (พระองค์จะไม่ทรงทำ) เช่นนั้นแล้วเหตุใดคนบางคนที่เป็นเช่นนี้จึงรู้สึกยินดีและมีความสุขเหลือเกิน? ความรู้สึกนี้มาจากไหน? จากการเสแสร้ง การนี้ไม่ขาดสำนึกไปหน่อยหรือ? (ใช่) พระเจ้า—พระผู้สร้าง—ทรงมีมาตรฐานในการเลือกสรรผู้ติดตามของพระองค์อย่างแน่นอน นั่นไม่เพียงพอที่ผู้คนจะแค่เชื่อ พระเจ้าทรงโปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์ และพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนที่สละตนเองเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่สามารถยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระองค์ มาตรฐานของพระเจ้าสำหรับผู้คนนั้นต่างจากมาตรฐานทั้งหลายของมนุษย์ ตอนที่เจ้าเลือกเพื่อนคนหนึ่งเพื่อคบหา เจ้าจำเป็นต้องพิจารณาบุคลิกลักษณะของพวกเขา พิจารณาว่าพวกเขาเข้ากับรสนิยมของเจ้า ว่าพวกเขามีบุคลิกภาพแบบไหน ว่าพวกเขามีงานอดิเรกเหมือนกันกับเจ้าหรือไม่ และพิจารณารูปลักษณ์ของพวกเขา แม้แต่เจ้าก็ยังมีมาตรฐานในยามที่เจ้าเลือกผู้คน แล้วพระเจ้าล่ะ? คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าทรงใช้มาตรฐานอะไรในการคัดสรรผู้คน? การเข้าหาพระเจ้าลำบากยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ? ลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนมากเลยหรือที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าประตูพระนิเวศของพระเจ้า?” ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ลำบากยากเย็น ค่ามาตรฐานไม่สูง แต่มีมาตรฐาน ก่อนอื่น อย่างน้อยผู้คนต้องมีท่าทีเคร่งศรัทธาและรู้ที่ทางของตน นอกจากนั้น พวกเขาต้องเข้าหาพระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และผ่องแผ้ว พวกเขาต้องวางตัวด้วยความดีพร้อมแบบธรรมิกชนในทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำด้วยเช่นกัน และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องมีคำพูดและความประพฤติ กิริยามารยาท และการอบรมเลี้ยงดูที่ดีมาบ้าง หากเจ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขพื้นฐานเหล่านี้ พูดตรงๆ เลยว่า พระเจ้าจะไม่สนพระทัยเจ้าเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้? เมื่อพูดถึงเรื่องผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้า จงมองตรงสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขาสำแดง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย เหตุใดพวกเขาจึงทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและคลื่นเหียนมากยิ่งนัก? นั่นเป็นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและสำนึก และพวกเขาไม่มีกระทั่งความถูกต้องเหมาะควรแบบธรรมิกชนที่เป็นรากฐานและพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ ผู้คนเช่นนี้ต้องการให้พระเจ้าทรงจูงมือนำทางพวกเขาผ่านประตูพระนิเวศของพระองค์ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ พวกคนโง่เท่านั้นที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับผู้คนอย่างคนที่ขาดความเป็นมนุษย์เหล่านี้ คนบางคนแต่งหน้าหนาและนุ่งน้อยห่มน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเขา พวกเขาแต่งกายยั่วยวนยิ่งกว่านางระบำในหมู่ผู้ไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ ในชีวิตส่วนตัวและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา เจ้าไม่อาจมองเห็นว่า พวกเขาแตกต่างจากผู้ไม่เชื่ออย่างไรบ้าง ยามที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง พวกเขาดูเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อและผู้ปราศจากความเชื่ออย่างชัดเจน ผู้คนเช่นนั้นอาจปรากฏให้เห็นภายนอกเสมือนผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาอาจประกาศตัดสิ่งต่างๆ ได้ พวกเขาอาจสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และพวกเขาบางคนอาจไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการข่มเหงและความทุกข์เข็ญ ว่าแต่ผู้คนเช่นนั้นสามารถยอมรับความจริงได้หรือ? พวกเขาสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้หรือ? บนพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาใช้ชีวิต พวกเขาเป็นผู้คนที่เที่ยงธรรมและมีศักดิ์ศรีหรือไม่? พวกเขาเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์หรือไม่? พวกเขาเป็นผู้คนที่รักความจริงหรือไม่? พวกเขาเป็นผู้คนที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่? พระเจ้าทรงต้องการผู้คนเช่นคนเหล่านี้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ทรงต้องการ เหล่านี้คือพวกผู้ไม่เชื่อที่แอบลักลอบเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าและยังไม่ได้ผ่านเข้าไป สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าคือการช่วยเหลือและแรงงาน—คนเหล่านี้เป็นเพื่อนของคริสตจักร แต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงต้องการผู้ไม่เชื่อหรือสัตว์ป่า ยังมีคนบางคนด้วยเช่นกันที่วางอำนาจไปทั่วพระนิเวศของพระเจ้า โดยต้องการควบคุมคริสตจักรและมีสิทธิอำนาจทั้งหมด บนพื้นฐานของการเชื่อในพระเจ้านานหลายปีของพวกเขา ต้นทุนเล็กน้อยที่พวกเขามี และหน้าที่สำคัญที่พวกเขาได้ลุล่วงในอดีต ท่าทีของผู้คนเหล่านี้ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงนั้นน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาและสิ่งทั้งหลายที่บรรจุอยู่ในห้วงลึกของหัวใจพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ผู้คนดังกล่าวในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ผู้คนดังกล่าวในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระองค์ เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พวกเขาทำงานในพระนิเวศของพระองค์? พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาช่วยเหลือและทำงานชั่วคราวได้ ในกระบวนการของการช่วยเหลือและการทำงานชั่วคราวนั้น หากพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกจริงๆ หากพวกเขาสามารถฟัง เชื่อฟัง และยอมรับความจริง และหากพวกเขามีความถูกต้องเหมาะควรแบบธรรมิกชน และมีบางสิ่งที่เป็นหัวใจซึ่งยำเกรงพระเจ้า และทำสิ่งทั้งหลายด้วยหัวใจที่จริงใจ หากพวกเขาผ่านข้อทดสอบเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงนำทางพวกเขาเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์ และพวกเขาจะกลายเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ณ เวลานี้ งานที่พวกเขาทำและสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับพวกเขาก็จะกลายเป็นหน้าที่ของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนทำนอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่การทำหน้าที่ให้ลุล่วง นั่นเป็นการช่วยเหลือและการทำงานเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า และผู้คนเหล่านี้เป็นพวกคนปรนนิบัติ
ตอนนี้พวกเจ้าสามารถประเมินวัดได้ไหม ว่าพวกเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? หากเจ้าตัดสินตามความยาวนานของเวลาที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรเป็นสมาชิกคนหนึ่ง ว่าแต่นี่เป็นวิธีการที่ถูกต้องแม่นยำของการประเมินวัดหรือ? (ไม่ใช่) อะไรคือพื้นฐานที่เจ้าควรใช้เพื่อการประเมินวัด? นั่นอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเจ้ามีปฏิกิริยาภายในอันใดหรือไม่เมื่อเจ้าได้ยินความจริง เจ้ารู้สึกผิด รู้สึกถูกติติง และรู้สึกถูกบ่มวินัยอยู่ลึกๆ ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ในตอนที่เจ้าละเมิดความจริงหรือขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้า คนบางคนถูกบ่มวินัยในรูปแบบของการเกิดแผลในปากหลังกล่าวคำพูดที่เป็นการด่วนตัดสิน ส่วนคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติตนในลักษณะที่สะเพร่าและสุกเอาเผากิน ไม่จริงจังกับสิ่งต่างๆ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทำให้พวกเขาเจ็บป่วย เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกเอ่ยถึง หากผู้คนเหล่านี้รู้สึกสำนึกผิดอยู่ลึกๆ ภายในและสามารถกลับใจได้—หากพวกเขาแสดงการสำแดงเหล่านี้ออกมา—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า และของครอบครัวพระองค์เอง พระองค์ทรงสั่งสอน บ่มวินัย ติติง ตัดแต่งและจัดการกับพวกเขา—นี่เองคือการเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเปลี่ยนไป และเจ้าสามารถกลับใจได้ พระเจ้าก็จะทรงเปลี่ยนท่าทีของพระองค์ที่มีต่อเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้าได้เข้าสู่ชีวิต และทัศนะของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายและทิศทางของชีวิตเจ้าได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง รวมทั้งความเชื่อและความยำเกรงต่อพระเจ้าที่เจ้ายึดถืออยู่ในห้วงลึกของหัวใจได้เติบโตและแปลงสภาพไปทีละน้อย เจ้าก็จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับพระนิเวศของพระเจ้ามากนัก ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาได้ทำสิ่งไม่ดีไปมากพอสมควรเลยทีเดียว พวกเขาได้โกหกและคดโกง ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สะเพร่าและสุกเอาเผากิน ปฏิบัติตนตามอำเภอใจและเป็นไปเพื่อตนเองแต่ฝ่ายเดียว ขโมยของถวาย สร้างความร้าวฉาน ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน และทำให้งานของคริสตจักรอับปางลง พวกเขาได้กระทำผิดมากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกถึงการถูกตำหนิ หัวใจของพวกเขาไม่รู้สึกสำนึกผิด และพวกเขาไม่มีสำนึกของความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนจำพวกนี้ดำรงชีวิตอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่ติดตามหลักธรรมใดเลยในสิ่งที่พวกเขาทำและไม่สนใจพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง พวกเขามุ่งเน้นแต่เพียงการปฏิบัติกิจทั้งหลาย การวิ่งวุ่นไปทั่ว การทุ่มเทแรงกายแรงใจ การอวดแสดงตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ และการสะสมต้นทุนส่วนตัว เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักรและการทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็กระทำอย่างสะเพร่าและสุกเอาเผากิน พวกเขาโกหกและหลอกลวงพระเจ้า และถึงขั้นควบคุมและทำให้พี่น้องชายหญิงสับสน พวกเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิหรือการสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาไม่รู้สึกถึงการบ่มวินัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ไม่ใช่สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า โดยภายนอกนั้น บุคคลประเภทนี้แสดงให้เห็นความมีใจกระตือรือร้นอย่างมากกับการวิ่งวุ่นและการสละตนเอง แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเชื่ออย่างมากและเต็มใจสละตนเอง นั่นดูเหมือนพวกเขารักความจริง รักพระเจ้า และเต็มใจปฏิบัติความจริง อย่างไรก็ดีทันทีที่พวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาก็สัปหงกไป ไม่อาจนั่งนิ่งได้ และรู้สึกถูกผลักไส พวกเขาคิดในใจว่า “การสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การชี้ชัดให้เห็นถึงสภาวะของผู้คน บอกให้ผู้คนรู้จักตนเอง แล้วจากนั้นก็ทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงเล็กน้อย และสัมฤทธิ์การเชื่อฟังในที่สุดหรอกหรือ? ฉันเข้าใจทั้งหมดนี้ แล้วทำไมถึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมอีก?” คนเหล่านี้ไม่รักความจริงเลย และแม้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิและไม่ได้รับการบ่มวินัย ราวกับพวกเขาปราศจากหัวใจ คนเหล่านี้ล้วนอยู่นอกพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ นับตั้งแต่พวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในตอนแรกจนถึงวันนี้ พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับรู้เลยว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระเจ้าคือพระผู้สร้างของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน อย่างไรก็ตาม เพราะพวกเขามีเชาว์ปัญญาฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยและมีใจกระตือรือร้นอยู่บ้าง ผนวกด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา พวกเขามุ่งเน้นการวิ่งวุ่นสาละวนและทำงานเพื่อให้ได้รับการเลื่อมใสของผู้คน ทั้งหมดก็เพื่อให้พวกเขาสามารถสรรค์สร้างตำแหน่งเพื่อตัวเองได้ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคิดว่า “ฉันได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศและได้รับความน่าเชื่อถือในหลากหลายสถานที่โดยการทำกิจเหล่านี้และการวิ่งวุ่นไปทั่วแบบนี้ ฉันได้ทำให้ตำแหน่งในคริสตจักรของฉันมั่นคงปลอดภัย และไม่ว่าฉันไปที่ไหน พี่น้องชายหญิงก็เคารพยกย่องฉัน การมีหน้ามีตาท่ามกลางพี่น้องชายหญิงแบบนั้นก็เพียงพอแล้ว นี่หมายความว่าฉันมีชีวิต ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงนิยาม” ผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด? พูดให้ถูกต้องก็คือพวกเขาคือบรรดาผู้ปราศจากความเชื่อ อะไรคือพื้นฐานของการกล่าวเช่นนี้? พื้นฐานก็คือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงและมีต่อพระเจ้า พวกเขาไม่มีวันกลับใจ ไม่มีวันมารู้จักตนเอง และไม่มีวันรู้ว่าอะไรกันแน่คือการเชื่อฟังพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ ทำการบริหารจัดการส่วนตัวในนามของการลุล่วงหน้าที่ของตน และการสนองความอยากได้อยากมีและการเลือกชอบของตนเอง พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน และได้ฟังคำเทศนามามากมายยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดของความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าพึงประสงค์ให้คนเราปฏิบัติความจริง หลังจากที่ฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกิน พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าอันที่จริงแล้วหนทางนั้นเกี่ยวกับอะไร จากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่รู้สึกว่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามสุดขั้วและจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้า พวกเขาไม่มีความพึงปรารถนาที่ถ่องแท้รวมทั้งการโหยหาความจริงและพระเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา นี่ไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ? (เป็น) นี่เป็นปัญหาอย่างมาก สำหรับพวกเขาแล้ว พระเจ้า ความจริงและความรอดเป็นแค่วาทศิลป์ เป็นแค่การโต้เถียงหรือคำขวัญประเภทหนึ่ง นั่นเป็นปัญหาอย่างมาก
อะไรคือสิ่งที่พวกเจ้ามองเห็นว่าเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างเปาโลกับเปโตร? เปาโลทำงานอยู่หลายปี โดยการเดินทาง การสละตัวเอง การร่วมทำคุณงามความดี และการสู้ทนความทุกข์มากมาย แต่เส้นทางที่เขาเดินนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และแน่นอนว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการได้รับการช่วยให้รอด เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าความมีหน้ามีตาของเปาโลนั้นสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่างานเขียนของเขามีอิทธิพลต่อชนรุ่นหลัง เขาไม่ใช่ใครบางคนที่รักองค์พระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง เขาไม่มีความเข้าใจถ่องแท้เกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้า เขาไม่ยอมรับรู้องค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว แต่ระลึกถึงองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระบุตรของพระเจ้า ในฐานะบุคคลธรรมดาสามัญเท่านั้น ผลลัพธ์ก็คือเขาไม่มีการเชื่อฟังที่แท้จริงต่อองค์พระเยซูเจ้า เขาแค่ทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและชนะใจผู้คน ก่อตั้งคริสตจักร และเป็นผู้เลี้ยงส่วนตัวให้กับคนเหล่านั้นด้วยความหวังที่จะได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงค้นคว้าลึกลงไปในหัวใจของเปาโลและไม่ทรงเห็นชอบในตัวเขา ในทางตรงกันข้าม เปโตรทำสิ่งต่างๆ อย่างเงียบๆ และหัวใจของเขามักเต็มไปด้วยสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้กับเขาเสมอ เขาไล่ตามเสาะหาความเปี่ยมรักและความเข้าใจพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้า ในช่วงระหว่างเวลานี้ เขาได้ยอมรับการถูกพระเจ้าตำหนิ จัดการ ตัดแต่ง และแม้แต่ว่ากล่าว พระวจนะใดที่พระเจ้าทรงใช้ว่ากล่าวเปโตร? (“จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” (มัทธิว 16:23)) ถูกต้อง “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” พระเจ้าตรัสพระวจนะดังกล่าว แต่พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้กำหนดปลายทางของเปโตร พระวจนะเหล่านี้เป็นแค่คำว่ากล่าว พระเจ้าทรงว่ากล่าวเปาโลในช่วงระหว่างงานของเขาหรือไม่? (ไม่) ในแง่หนึ่ง เมื่อมองที่ปัจจัยส่วนบุคคล พระเจ้าไม่ได้ว่ากล่าวเขา ในอีกแง่หนึ่งจากมุมมองของปัจจัยทางข้อเท็จจริง เปาโลไม่ได้ยอมรับความจริง ไม่ได้แสวงหาความจริง และไม่ได้แสวงหาหนทางของการรับความรอดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรับหรือมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ได้ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเขาเป็นการใช้การปรนนิบัติของเขาให้เป็นประโยชน์—หากเขาสามารถให้การปรนนิบัติจนถึงปลายทางโดยไม่ก่อความชั่วอันใหญ่หลวงใดๆ เขาก็ยังคงสามารถเป็นคนปรนนิบัติได้ อย่างไรก็ตาม หากเขาก่อความชั่วอันใหญ่หลวงใด จุดจบย่อมจะต่างไป นั่นคือความแตกต่าง ในทางกลับกัน เปโตรรับการบ่มวินัย การสั่งสอน และการตำหนิจากพระเจ้าไปมากมาย จากภายนอกย่อมจะดูเหมือนว่า เปโตรไม่คล้อยตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้พระเจ้าไม่ทรงยินดี แต่จากมุมมองของน้ำพระทัยพระเจ้า บุคคลเช่นนี้เป็นคนที่พระเจ้าทรงต้องการและเป็นคนที่ทำให้พระเจ้าทรงยินดีไม่มีผิด นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงสั่งสอนและตัดแต่งเขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เขาเติบโตไปทีละน้อย เข้าสู่ความจริง และมาเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า สัมฤทธิ์การเชื่อที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในท้ายที่สุด นี่คือความรักของพระเจ้าและความรอดของพระเจ้า
ตอนนี้ชัดเจนในหัวใจของพวกเจ้าไหมว่าพวกเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าได้เข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือยัง? โดยพื้นฐานของสิ่งที่เราเพิ่งสามัคคีธรรมไป พวกเจ้าสามารถประเมินวัดการนี้หรือไม่? พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้หรือไม่ว่า พวกเจ้าได้เข้าประตูพระนิเวศของพระเจ้าแล้วและเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? (พวกเราแน่ใจ) เป็นสิ่งดีที่พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้ นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้ามีรากฐานแล้ว และว่าพวกเจ้าได้หยั่งรากในพระนิเวศของพระเจ้า พวกที่ขาดรากฐานนั้นอยู่ข้างนอกพระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าไม่ยอมรับรู้เกี่ยวกับพวกเขา จะเป็นอย่างไรหากเจ้าเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และบอกผู้อื่นว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามของพระเจ้า และเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงรู้จักเจ้า? นั่นย่อมจะเป็นปัญหา ถูกต้องหรือไม่? นี่จะเป็นพระพรหรือคำสาปแช่งสำหรับผู้คน? นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี เพราะฉะนั้นหากเจ้าต้องการได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าและพูดว่าเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง เจ้าต้องทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ตระเตรียมความประพฤติดีบางอย่าง พุ่งหัวใจของเจ้าตรงไปที่พระเจ้า และมีหัวใจที่ยกชูพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้า อันดับแรก เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดทั้งหลายในทัศนะ ท่าที และการปฏิบัติทั้งหลายของเจ้าด้วยความเคารพต่อพระเจ้าและความจริง ตลอดจนเส้นทางผิดๆ ที่เจ้าได้ใช้เดิน สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง นี่คือรากฐาน จากนั้นเจ้าจำเป็นต้องยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงและลุล่วงหน้าที่ตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกทำให้สัมฤทธิ์ พระเจ้าจะพึงพอพระทัยและพระองค์จะทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ อันดับที่สอง เจ้าต้องค่อยๆ ปล่อยให้พระเจ้าทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เป็นคนที่ได้มาตรฐาน หากเจ้ายังคงอยู่ข้างนอกพระนิเวศของพระเจ้าและพระเจ้ายังไม่ทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์ แต่เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการได้รับการช่วยให้รอด นั่นไม่ใช่แค่ความฝันของคนโง่หรอกหรือ? บัดนี้พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการสั่งสอนและการบ่มวินัยบางอย่าง มีพระคุณและพระพรของพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามีรากฐาน นี่เป็นสิ่งที่ดี ขั้นตอนถัดไปคือการสามารถสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตบนพื้นฐานของการเข้าใจความจริง การเปลี่ยนความจริงเหล่านี้ให้เป็นชีวิตของเจ้าเองและใช้ชีวิตตามความจริงเหล่านี้ การประยุกต์ใช้ความจริงเหล่านี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและในทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า จากนั้นเจ้าก็จะมีความหวังสำหรับความรอด พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ใช่เป็นพวกที่มีขีดสามารถต่ำ พวกเจ้าล้วนสามารถถือได้ว่าอยู่ในขีดความสามารถปานกลาง มีความหวังสำหรับความรอด แต่พวกเจ้าล้วนมีข้อบกพร่องและข้อตำหนิในความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้า พวกเจ้าบางคนขี้เกียจ บางคนคุยโต บางคนโอหัง และบางคนก็หัวทึบ ด้านชา และดันทุรังไปหน่อย เหล่านี้เป็นเรื่องของอุปนิสัย สำหรับปัญหาบางปัญหาในเรื่องความเป็นมนุษย์และอุปนิสัย เจ้าต้องแสวงหาความจริงผ่านประสบการณ์ ต้องทบทวนตนเอง และต้องยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการ เพื่อที่จะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงก้าวหน้า และสัมฤทธิ์ประสบการณ์และความลึกซึ้งที่เกี่ยวกับการยอมรับและการเข้าใจความจริงของเจ้า ในหนทางนี้เจ้าจะเติบโตในชีวิตทีละน้อย เมื่อมีชีวิต คนเราก็มีความหวัง เมื่อปราศจากชีวิต ก็ไม่มีความหวัง ตอนนี้พวกเจ้ามีชีวิตหรือไม่? พวกเจ้ามีความเข้าใจและมีประสบการณ์แห่งความจริงในหัวใจของเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเชื่อฟังพระเจ้ามากแค่ไหนและเชื่อฟังในระดับใด? ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ หากพวกเจ้าไม่ชัดเจน ได้แต่สับสนมึนงง การเติบโตของชีวิตก็จะลำบากยากเย็น
ในคริสตจักร มีพวกที่คิดว่าการใช้ความพยายามอย่างหนักหรือการทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายไม่กี่อย่างหมายความว่าพวกเขาได้เพิ่มพูนคุณงามความดีแล้ว ในข้อเท็จจริงตามการกระทำของพวกเขา พวกเขาย่อมควรค่าแก่การชมเชยโดยแท้ แต่อุปนิสัยกับท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงนั้นน่าเกลียดชังและน่ารังเกียจสุดขั้ว พวกเขาไม่มีความรักให้กับความจริงแต่เบื่อหน่ายความจริง ลำพังการนี้ก็ทำให้พวกเขาน่าชิงชังแล้ว ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่า เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าผู้คนมีขีดความสามารถไม่ดี ว่าพวกเขามีข้อด้อยบางอย่าง และมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามหรือเนื้อแท้ที่ต่อต้านพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงรังเกียจพวกเขา และไม่ทรงให้พวกเขาอยู่ห่างจากพระองค์ นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ใช่ท่าทีต่อมนุษย์ของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงเกลียดผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ พระองค์ไม่ทรงเกลียดความโง่เขลาของพวกเขา และพระองค์ไม่ทรงเกลียดที่พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม สิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดที่สุดในตัวผู้คนคืออะไร? นั่นก็คือเมื่อพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง เช่นนั้นแล้ว เพียงลำพังเพราะการนั้น พระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงพบความปีติยินดีในตัวเจ้า การนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง หากเจ้าไม่รักความจริง หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือไม่ใส่ใจ ดูหมิ่นเหยียดหยาม และโอหัง หรือถึงกับผลักไส ขัดขืน และปฏิเสธ—หากนี่เป็นวิธีที่เจ้าประพฤติตน—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมดูหมิ่นเจ้าอย่างถึงที่สุด และเจ้าย่อมหมดโอกาสประสบความสำเร็จ เกินกว่าจะได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้ารักความจริงจริงๆ ในหัวใจของเจ้า ทว่าค่อนข้างมีขีดความสามารถต่ำ ทั้งขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และโง่เขลาไปบ้าง หากเจ้าทำผิดพลาดบ่อยๆ แต่ไม่ตั้งใจทำชั่ว และได้เพียงทำสิ่งที่โง่เขลาไปไม่กี่อย่าง หากหัวใจเจ้าเต็มใจที่จะได้ยินการสามัคคีธรรมถึงความจริงของพระเจ้า และหัวใจเจ้าถวิลหาความจริง หากท่าทีที่เจ้าใช้ในการปฏิบัติของเจ้าต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นท่าทีที่ของความจริงใจและความถวิลหา และเจ้าสามารถมองเห็นความล้ำค่าและทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า—นี่ก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าโปรดผู้คนเช่นนั้น แม้ว่าบางครั้งเจ้าอาจโง่เขลาไปหน่อย พระเจ้ายังคงโปรดเจ้า พระเจ้าทรงรักหัวใจที่ถวิลหาความจริงของเจ้า และพระองค์ทรงรักท่าทีที่จริงใจต่อความจริงของเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระกรุณาต่อเจ้าและประทานพระคุณให้เจ้าอยู่เสมอ พระองค์ไม่ทรงพิจารณาขีดความสามารถต่ำของเจ้าหรือความโง่เขลาของเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทรงพิจารณาการฝ่าฝืนของเจ้า เพราะท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือความจริงใจและความกระตือรือร้น อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็เที่ยงแท้ เช่นนั้นแล้ว—เมื่อพิจารณาจากความเที่ยงแท้ของหัวใจเจ้าและท่าทีนี้ของเจ้า—พระองค์จะทรงเปี่ยมกรุณาต่อเจ้าตลอดกาล และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และเจ้าก็จะมีความหวังแห่งความรอด ในอีกแง่หนึ่ง หากหัวใจของเจ้ากระด้างและตามแต่ใจตนเอง หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง ไม่เคยใส่ใจในพระวจนะของพระเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับความจริง รวมทั้งเป็นปรปักษ์และดูถูกดูหมิ่นจากก้นบึ้งของหัวใจเจ้า เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีที่พระเจ้ามีต่อเจ้า? ความรังเกียจ ความขยะแขยง และพระพิโรธที่ไม่สิ้นสุด อะไรคือลักษณะเฉพาะสองประการที่ประจักษ์ชัดในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า? พระกรุณาอันอุดมและพระพิโรธอันล้ำลึก คำว่า “อุดม” ใน “พระกรุณาอันอุดม” หมายความว่าพระกรุณาของพระเจ้านั้น ยอมผ่อนปรน อดทน อดกลั้น และเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด—นั่นคือความหมายของ “อุดม” เพราะผู้คนโง่เขลาและมีขีดความสามารถต่ำ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องทรงทำในหนทางนี้ หากเจ้ารักความจริงแต่โง่เขลาและมีขีดความสามารถต่ำ ท่าทีของพระเจ้าก็มีพระกรุณาอันอุดมต่อเจ้า พระกรุณาประกอบด้วยสิ่งใด? ความอดทนและการยอมผ่อนปรน กล่าวคือ พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและอดทนต่อความไม่รู้เท่าทันของเจ้า พระองค์ประทานความเชื่อและความยอมผ่อนปรนต่อเจ้าอย่างเพียงพอที่จะเกื้อหนุนเจ้า จัดเตรียมให้เจ้าและช่วยเหลือเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถที่จะเข้าใจความจริงไปทีละน้อยและค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น การนี้สร้างขึ้นบนรากฐานใด? การนี้สร้างขึ้นบนรากฐานของความรักและความถวิลหาความจริงของคนเรา และท่าทีที่จริงใจของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า พระวจนะของพระองค์และความจริง สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมพื้นฐานที่ควรถูกสำแดงในผู้คน แต่หากใครบางคนเบื่อหน่ายความจริงในหัวใจของพวกเขา ชิงชังความจริง หรือถึงกับเกลียดความจริง หากพวกเขาไม่เคยจริงจังกับความจริง และพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขาเสมอ ว่าพวกเขาเคยทำงานอย่างไร พวกเขามีประสบการณ์มากแค่ไหน พวกเขาได้ก้าวผ่านสิ่งใดมาบ้าง พระเจ้าทรงยอมรับนับถือพวกเขาและทรงไว้วางใจมอบหมายกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายให้พวกเขาอย่างไร—หากพวกเขาเพียงพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เกี่ยวกับคุณวุฒิของพวกเขา ความสัมฤทธิ์ผลและความสามารถพิเศษของพวกเขา โอ้อวดตัวเองเสมอ และไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริง เป็นคำพยานต่อพระเจ้า หรือสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ได้รับจากประสบการณ์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า หรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ? นี่คือวิธีที่การเบื่อหน่ายความจริงและการไม่รักความจริงถูกสำแดงออกมา คนบางคนกล่าวว่า “พวกเขาสามารถฟังคำเทศนาได้อย่างไรหากพวกเขาไม่รักความจริง?” ทุกคนที่ฟังคำเทศนารักความจริงหรือ? ผู้คนบางคนแค่ทำท่าพอเป็นพิธี พวกเขาถูกบังคับให้แสดงละครต่อหน้าผู้อื่น โดยเกรงกลัวว่าหากพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ยอมรับความเชื่อของพวกเขา พระเจ้าทรงนิยามท่าทีที่มีต่อความจริงนี้อย่างไร? พระเจ้าตรัสว่าพวกเขาไม่รักความจริง ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง ภายในอุปนิสัยของพวกเขามีสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งชีพที่สุดสำคัญยิ่งชีพกว่าความโอหังและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วยซ้ำ และนั่นคือการเบื่อหน่ายความจริง พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการนี้ เมื่อคำนึงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร? พระองค์พิโรธพวกเขา หากพระเจ้าพิโรธใครบางคน บางคราวพระองค์ทรงติติงพวกเขา หรือทรงบ่มวินัยและลงโทษพวกเขา หากพวกเขาไม่จงใจต่อต้านพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงยอมผ่อนปรนรอคอย และทรงสังเกตดู พระองค์อาจทรงใช้ผู้ปราศจากความเชื่อคนนี้เพื่อทำการปรนนิบัติพระองค์เพราะสถานการณ์หรือเหตุผลเชิงวัตถุวิสัยอื่นๆ แต่ทันทีที่สภาพแวดล้อมเปิดโอกาส และได้เวลาที่เหมาะสม ผู้คนดังกล่าวจะถูกเขี่ยทิ้งจากพระนิเวศของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เหมาะที่จะทำการปรนนิบัติเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นคือพระพิโรธของพระเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงพิโรธอย่างลึกล้นเหลือเกินเล่า? นี่แสดงให้เห็นความเกลียดชังถึงขีดสุดของพระเจ้าต่อพวกที่เบื่อหน่ายความจริง พระพิโรธอันลึกล้ำของพระเจ้าบ่งชี้ว่าพระองค์ได้ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของผู้คนที่เบื่อหน่ายความจริงดังกล่าวไว้แล้ว พระเจ้าทรงจำแนกชั้นผู้คนเหล่านี้ไว้ตรงไหน? พระเจ้าทรงจำแนกพวกเขาไว้ในกลุ่มของซาตาน เป็นเพราะพระองค์ทรงเปี่ยมพระพิโรธต่อพวกเขาและทรงรังเกียจพวกเขา พระเจ้าทรงปิดประตูใส่หน้าพวกเขา พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาย่างเท้าเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ทรงมอบโอกาสให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด นี่คือการสำแดงพระพิโรธของพระเจ้าอย่างหนึ่ง พระเจ้าทรงวางพวกเขาในระดับเดียวกับซาตาน ระดับเดียวกับปีศาจโสมมและวิญญาณชั่ว ระดับเดียวกับพวกที่ปราศจากความเชื่อด้วยเช่นกัน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์จะทรงขับพวกเขาออกไป นี่ไม่ใช่หนทางหนึ่งที่จะรับมือกับพวกเขาหรอกหรือ? (ใช่) นั่นก็คือพระพิโรธของพระเจ้า และอะไรที่รอพวกเขาอยู่เมื่อพวกเขาได้ถูกขับออกไปแล้ว พวกเขาจะสามารถชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้า รวมทั้งความรอดของพระเจ้าได้อีกสักครั้งหรือไม่? (ไม่) ผู้คนในยุคพระคุณมักพูดบางอย่างเช่นนี้ “พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุคคลทุกคนได้รับความรอดและไม่ทรงประสงค์ให้ใครทนทุกข์กับความพินาศ” ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้ นั่นเป็นภาวะอารมณ์และท่าทีของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด ว่าแต่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร? พระองค์ทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งหมดให้รอดหรือเพียงบางส่วน? ส่วนใดหรือที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด และผู้คนใดที่พระองค์ทรงทอดทิ้ง? ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจถึงหัวใจของเรื่องนี้ได้ พวกเขาสามารถพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายเท่านั้น “พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุคคลทุกคนได้รับความรอดและไม่ทรงประสงค์ให้ใครทนทุกข์กับความพินาศ” มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่พูดแบบนี้ แต่พวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแต่อย่างใด ในข้อเท็จจริงนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการช่วยให้รอดเฉพาะบรรดาผู้ที่รักความจริงและผู้ที่สามารถยอมรับความรอดของพระองค์ได้เท่านั้น พวกที่เบื่อหน่ายความจริงและไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้าคือพวกที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า พระเจ้าไม่เพียงจะไม่ช่วยพวกเขาให้รอดเท่านั้น แต่พระองค์จะทำลายผู้คนเหล่านี้ในท้ายที่สุด ถึงแม้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ารู้ว่าความรักของพระองค์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาลเกินจะเปรียบปาน และทรงอิทธิฤทธิ์ พระเจ้าไม่ทรงเต็มใจที่จะมอบพระคุณและความรักนี้ให้กับพวกที่เบื่อหน่ายความจริง พระเจ้าจะไม่ทรงมอบความรักและความรอดของพระองค์ให้กับผู้คนเหล่านี้โดยเปล่าประโยชน์ นี่คือท่าทีของพระเจ้า พวกที่เบื่อหน่ายความจริงและไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้านั้นเป็นเหมือนขอทานที่มองหาอาหาร—ไม่สำคัญว่าพวกเขาขออาหารกับใคร ในหัวใจพวกเขา พวกเขาไม่เพียงขาดความเคารพต่อผู้ที่ให้คุณ แต่ยังเย้ยหยันและเกลียดชังผู้มีอุปการะคุณด้วย พวกเขาจะถึงกับอยากฉกฉวยสิ่งของที่เป็นของผู้มีอุปการะคุณมาเป็นของตัวเองเสียด้วยซ้ำ ผู้มีอุปการะคุณจะเต็มใจให้อาหารกับขอทานเช่นนั้นหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ เพราะพวกเขาไม่น่าสงสารอย่างแท้จริง แต่น่ารังเกียจเกินไปเสียมากกว่า อะไรคือท่าทีที่ผู้มีอุปการะคุณมีต่อบุคคลเช่นนั้น? พวกเขาอยากให้อาหารแก่สุนัขมากกว่าที่จะให้กับขอทานแบบนี้ นี่คือสิ่งที่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริง พวกเจ้าคิดว่า ผู้คนประเภทไหนเป็นพวกที่เบื่อหน่ายความจริง? พวกเขาใช่พวกที่ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาอาจจะไม่ได้ขัดขืนพระเจ้าอย่างเปิดเผย แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า ซึ่งเทียบได้กับการบอกพระเจ้าอย่างเปิดเผยว่า “ข้าพระองค์ไม่ชอบฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส ข้าพระองค์ไม่ยอมรับสิ่งนั้น และเนื่องจากข้าพระองค์ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง ข้าพระองค์จึงไม่เชื่อในพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อในผู้ใดก็ตามที่ให้ผลกำไรและให้ประโยชน์แก่ข้าพระองค์” นี่คือท่าทีของผู้ไม่เชื่อใช่หรือไม่? หากนี่เป็นท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริง ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผยหรอกหรือ? และหากเจ้าเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผย พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดหรือ? พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น นั่นเป็นเหตุผลของพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อทุกคนที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า แก่นแท้ของผู้คนเช่นนี้ แก่นแท้ของผู้คนซึ่งรังเกียจความจริง คือแก่นแท้ของการเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่มีแก่นแท้ดังกล่าวในฐานะของผู้คน พวกเขาคือศัตรูและปีศาจในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ย่อมจะไม่มีวันช่วยพวกเขาให้รอด สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะถูกผลักลงสู่ความวิบัติและถูกทำลาย พวกเจ้าว่าอย่างไร—หากขอทานกินอาหารของผู้มีอุปการะคุณ และก่นด่า เยาะเย้ย หยามหยัน และถึงกับโจมตีผู้มีอุปการะคุณ ผู้มีอุปการะคุณจะเกลียดพวกเขาหรือไม่? แน่นอนที่สุด อะไรคือเหตุผลของความเกลียดชังนี้เล่า? (ขอทานไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณต่อผู้มีอุปการะคุณของพวกเขาสำหรับการให้อาหารพวกเขา แต่พวกเขากลับก่นด่า เยาะเย้ย หยามหยันและโจมตีผู้มีอุปการะคุณ บุคคลเช่นนั้นไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลโดยสิ้นเชิง และไม่มีความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน) ท่าทีใดที่ผู้มีอุปการะคุณควรมีต่อขอทานคนนี้? ผู้มีอุปการะคุณควรเอาสิ่งของทั้งหลายที่พวกเขาให้แก่ขอทานตั้งแต่แรกคืนมา แล้วจากนั้นก็ไล่พวกนั้นไป พวกเขาควรให้สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารกับสุนัขหรือสัตว์ป่าดีกว่าให้สิ่งเหล่านี้กับขอทานผู้นี้ นี่คือผลสืบเนื่องที่ขอทานนั่นได้นำมาสู่ตัวพวกเขาเอง มีเหตุผลอยู่ประการหนึ่งที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึกยิ่งนักต่อบุคคลหนึ่งหรือบุคคลประเภทหนึ่ง เหตุผลนี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยความชอบของพระเจ้า แต่โดยท่าทีต่อความจริงของบุคคลนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งเบื่อหน่ายความจริง ย่อมส่งผลเสียร้ายแรงต่อการบรรลุความรอดของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถหรือไม่สามารถยกโทษได้ นี่ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของพฤติกรรม หรือบางสิ่งที่ถูกเปิดเผยในตัวพวกเขาเพียงชั่ววูบ นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และพระเจ้าก็ทรงหัวเสียที่สุดกับผู้คนเช่นนี้ หากบางครั้งคราว เจ้าเปิดเผยการสำแดงความเสื่อมทรามของการเบื่อหน่ายความจริงออกมา เจ้าก็ต้องทบทวนบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ว่าการเปิดเผยเหล่านี้เป็นเพราะความชิงชังรังเกียจความจริง หรือจากการขาดความเข้าใจความจริง การนี้พึงต้องมีการค้นคว้า และการนี้พึงต้องมีความช่วยเหลือและความรู้แจ้งของพระเจ้า หากธรรมชาติแก่นแท้ของเจ้าไปถึงขอบข่ายที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริง และเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง รวมทั้งชิงชังและเป็นปรปักษ์ต่อความจริง เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา แน่ใจได้เลยว่าเจ้าเป็นคนชั่ว และพระเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด
อะไรคือความแตกต่างระหว่างผู้ไม่เชื่อกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า? ใช่แค่ความแตกต่างในความเชื่อมั่นทางศาสนาหรือไม่? ไม่ใช่ พวกผู้ไม่เชื่อไม่ยอมรับรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง นี่พิสูจน์ว่าพวกผู้ไม่เชื่อล้วนเบื่อหน่ายความจริงและพวกเขาเกลียดความจริง ตัวอย่างเช่น ใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่ว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า? (ใช่) ใช่ความจริงหรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้? พวกเขายอมรับรู้และเชื่อเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาโอบรับข้อเท็จจริงนี้ โอบรับความจริงนี้เป็นรากฐานของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา—นี่คือการยอมรับความจริง นี่หมายถึงการยอมรับจากห้วงลึกของหัวใจพวกเขาถึงข้อเท็จจริงของการทรงสร้างมนุษย์โดยพระเจ้า ความเปรมปรีดิ์กับการเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า การเต็มใจยอมรับการทรงนำและอธิปไตยของพระเจ้า และการยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา และอะไรคือท่าทีของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า”? (พวกเขาไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้คำพูดนี้) นอกเหนือจากการไม่ยอมรับคำพูดนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาคืออะไร? พวกเขาจะถึงกับเย้ยหยันเจ้า ทำทุกสิ่งที่พวกเขาทำได้เพื่อพยายามใช้สิ่งนี้ต่อต้านเจ้า เยาะเย้ย และล้อเลียนเจ้า มองเจ้าอย่างเหยียดหยามและดูถูกดูหมิ่นคำพูดเหล่านี้และข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาอาจถึงขั้นรับเอาท่าทีของการเย้ยหยัน การประชดประชัน การดูหมิ่นเหยียดหยาม และการเป็นปรปักษ์มาใช้กับทุกคนที่ยอมรับรู้คำพูดเหล่านี้ นี่ไม่ใช่การเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ? (ใช่) เมื่อเจ้าเห็นผู้คนแบบนี้ เจ้าเกลียดชังพวกเขาหรือไม่? เจ้าคิดอย่างไร? เจ้าพิจารณาว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า นั่นคือข้อเท็จจริง นั่นเที่ยงแท้อย่างมิอาจโต้แย้งได้ เจ้าไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ เจ้าไม่ตระหนักรู้ต้นกำเนิดของเจ้า เจ้าไม่สำนึกบุญคุณอย่างแท้จริง เจ้าไม่มีมโนธรรมและคิดคดทรยศ เจ้าเป็นพวกของซาตานโดยแท้จริง!” นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดใช่หรือไม่? (ใช่) แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้? เจ้าคิดแบบนี้แค่เพราะพวกเขาไม่ชอบถ้อยแถลงนี้อย่างนั้นหรือ? (ไม่ใช่) แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดวิธีคิดอย่างชิงชังเช่นนั้นขึ้นในตัวเจ้า? (นั่นเป็นเพราะท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง) ความโกรธของเจ้าจะไม่ใหญ่หลวงนักหากพวกเขาถือว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดธรรมดา เป็นทฤษฎีหรือความเชื่อมั่นทางศาสนา แต่เมื่อเจ้าเห็นความรังเกียจเดียดฉันท์ ความเป็นปรปักษ์ และการดูถูกดูหมิ่นที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขา เมื่อเจ้าเห็นพวกเขาเผยคำพูด ท่าที และอุปนิสัยที่ลบหลู่ถ้อยแถลงแห่งความจริงนี้ เจ้าก็โมโหขึ้นมา เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่? แม้บางคนไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็เคารพความเชื่อของผู้อื่น และไม่พยายามที่จะทำลายเรื่องของความเชื่อที่ผู้อื่นพูด เจ้าไม่มีความชิงชังรังเกียจหรือความเกลียดชังใดๆ ต่อพวกเขา เจ้าก็ยังคงเป็นเพื่อนกับพวกเขาและดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติสุขกับพวกเขาได้ เจ้าจะไม่กลายเป็นศัตรูกัน ในข้อเท็จจริงนั้น มีผู้ไม่เชื่อจำนวนไม่มากที่สามารถเข้ากันได้กับเจ้า แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับหนทางที่เที่ยงแท้และกลายเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ยังสามารถข้องแวะและเข้ากันได้กับพวกเขา อย่างน้อยพวกเขาก็มีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาไม่วางอุบายต่อต้านเจ้าและจะไม่แทงเจ้าข้างหลัง ดังนั้นเจ้าจึงสามารถคบค้าสมาคมกับพวกเขาได้ เจ้ารู้สึกโมโหอยู่ในหัวใจเจ้า—ต่อพวกที่พยายามทำลายความจริง—ผู้ซึ่งเบื่อหน่ายความจริง เจ้าสามารถเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้หรือไม่? (ไม่ได้) นอกจากการไม่เป็นเพื่อนกับพวกเขาแล้ว เจ้าคิดอะไรอื่นเกี่ยวกับพวกเขาอีก? หากเจ้าถูกขอให้เลือกวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขา เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? เจ้าจะพูดว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า นั่นคือข้อเท็จจริง นั่นคือความจริง และช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์อะไรเช่นนั้น! คุณไม่เพียงไม่ยอมรับคำพูดนี้ คุณยังพยายามทำลายคำพูดนี้ด้วย—คุณไม่มีมโนธรรมอย่างแท้จริง! หากพระเจ้าประทานอำนาจแก่ฉัน ฉันจะแช่งคุณ ฉันจะเฆี่ยนดีคุณ ฉันจะเปลี่ยนคุณเป็นขี้เถ้า!” นั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือสำนึกของความยุติธรรม แต่เมื่อเจ้าเห็นว่าพวกเขาเป็นปีศาจ สิ่งที่สมเหตุผลย่อมจะเป็นการเพิกเฉยต่อพวกเขา และอยู่ห่างจากพวกเขา เมื่อพวกเขาพูดกับเจ้า แค่เออออตามน้ำไปก็ไม่เป็นไร นี่คือการทำที่ชาญฉลาด แม้ว่าลึกลงไปนั้น เจ้ารู้ว่าเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากผู้คนเช่นนั้น พวกเขาไม่อาจมีวันที่มีความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริงก็ตาม พระองค์ก็จะไม่ต้องประสงค์พวกเขา พวกเขาปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า พวกเขาเป็นสัตว์ร้าย พวกเขาเป็นปีศาจ พวกเขาไม่เดินตามเส้นทางเดียวกับพวกเรา บรรดาผู้ที่มีความเชื่ออันถ่องแท้ในพระเจ้าไม่เต็มใจที่จะเข้ามาติดต่อกับพวกปีศาจ พวกเขาสบายดีเมื่อพวกเขาไม่เห็นปีศาจตนใด แต่เมื่อพวกเขาเห็น พวกเขาก็ขัดขืนพวกปีศาจทันที หัวใจพวกเขาจะรู้สึกสันติสุขก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นปีศาจตนใดเลย ผู้คนบางคนพูดคุยเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้ากับพวกปีศาจที่ไม่เชื่อ คนเหล่านี้เป็นคนที่โง่เง่าที่สุด พวกเขาไม่แยกแยะระหว่างคนในกับคนนอก พวกเขาเป็นพวกคนโง่งุ่มง่ามที่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่มีความสามารถในเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนั้นให้รอดได้หรือไม่? ไม่ได้โดยสิ้นเชิง ผู้คนที่มีการข้องแวะกับพวกปีศาจเสมอเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ พวกเขาไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอน และไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะจำเป็นต้องหวนคืนสู่ซาตาน คนบางคนไม่สามารถหยั่งรู้ว่าใครคือพี่น้องชายหญิงและใครคือผู้ปราศจากความเชื่อ พวกเขาเป็นผู้คนที่สับสนเลอะเลือนที่สุด พวกเขาบอกพวกผู้ปราศจากความเชื่อและพวกปีศาจเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้า การนี้ก็เหมือนกับการโยนไข่มุกให้พวกสุกร และให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับพวกสุนัข ผู้ปราศจากความเชื่อและปิศาจเหล่านั้นก็เหมือนพวกสุกรกับสุนัข พวกเขาถูกจำแนกให้อยู่ในหมู่สัตว์เดรัจฉาน หากเจ้าหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะดูโง่เขลา หลังจากพวกเขาได้ยิน พวกเขาจะใส่ร้ายพระนิเวศของพระเจ้าและความจริงโดยไม่ใส่ใจ หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะทำให้พระเจ้าผิดหวังและเป็นหนี้พระเจ้า กิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องไม่ถูกหารือกับพวกปราศจากความเชื่อและพวกปีศาจ ผู้คนรู้สึกรำคาญ ขัดขืน และไม่เต็มใจที่จะสัมผัสกับพวกที่ไม่ชอบความจริงและเบื่อหน่ายความจริง หรือใส่ร้ายความจริง แล้วเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไร? พระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระชนม์ชีพของพระเจ้า รวมทั้งแก่นแท้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดเผยล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนคนหนึ่งซึ่งเบื่อหน่ายความจริงเป็นบุคคลที่ต่อต้านพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า นี่เป็นยิ่งกว่าเรื่องของความเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า สำหรับผู้คนแบบนี้ พระโทสะของพระเจ้ามหันต์นัก
บัดนี้พวกเจ้าล้วนมีรากฐานบางประการ และพวกเจ้าก็สามารถนับเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ พวกเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างขยันขันแข็ง และในกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า จงตรวจสอบวาจาและความประพฤติของตนเอง ตรวจสอบสภาวะอันหลากหลายของพวกเจ้า และพากเพียรที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุปนิสัยของพวกเจ้าอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นสิ่งมีค่า จากนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ต้องทำให้พระเจ้าทรงยอมรับพวกเจ้า หากเจ้าไม่สามารถไปถึงระดับของโยบ และขาดคุณสมบัติที่จะนำทางพระเจ้าไปสู่การเดิมพันกับซาตานเพื่อทดสอบเจ้าเป็นการส่วนตัว อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าโดยการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของเจ้า แล้วพระเจ้าจะเอาพระทัยใส่และคุ้มครองเจ้า รวมทั้งยอมรับรู้ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์ และเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์คนหนึ่ง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะนับตั้งแต่เจ้ายอมรับรู้และเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็แสวงหาวิธีที่จะเดินตามหนทางของพระเจ้าอยู่เป็นนิจ เพราะพระเจ้าพึงพอพระทัยพฤติกรรมของเจ้าและความจริงใจของเจ้า พระองค์ได้ทรงนำทางเจ้าเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์เพื่อรับการฝึกฝน ได้รับการตัดแต่งและจัดการ และเพื่อยอมรับความรอดของพระองค์ ช่างเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! เริ่มจากบุคคลนอกพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้าหรือความจริง เจ้ายอมรับการทดสอบแรกของพระเจ้า และหลังจากผ่านการทดสอบ พระเจ้าทรงนำทางเจ้าเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์เป็นการส่วนพระองค์ ทรงนำเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ทรงไว้วางใจมอบหมายพระบัญชาให้เจ้า จัดการเตรียมหน้าที่ให้เจ้าปฏิบัติ และปล่อยให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่มนุษย์ภายในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ถึงแม้เป็นงานที่ไม่โดดเด่น แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ได้รับการเอาใจใส่และการคุ้มครองของพระเจ้า และเจ้าก็ได้รับพระสัญญาจากพระเจ้า พระพรนี้ยิ่งใหญ่เพียงพอ พวกเราจะพักวางการได้รับมงกุฎและได้รับบำเหน็จในชีวิตหน้า และพูดถึงแค่สิ่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมได้ในชีวิตนี้—ความจริงที่เจ้าได้ยิน พระคุณ พระกรุณา การเอาพระทัยใส่ และการคุ้มครองของพระเจ้าที่เจ้าชื่นชม แม้แต่การบ่มวินัยและการสั่งสอนหลากหลายชนิดที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า และการจัดเตรียมความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์—จงบอกเราว่า เจ้าได้รับมามากเท่าใด? สุดท้ายแล้ว นอกเหนือจากการเข้าใจความจริงเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดจากฝ่ายของซาตานอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อให้เจ้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นบุคคลที่รู้จักพระเจ้า มีความจริงเป็นชีวิตของเจ้า และมีประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า พระพรนี้ไม่ใช่พระพรใหญ่หรอกหรือ? (เป็นพระพรใหญ่) นี่เป็นพระสัญญาของพระเจ้า หลังจากที่พระเจ้าทรงนำพาเจ้าเข้ามาในพระนิเวศของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเจ้าว่า “เจ้าได้รับการอวยพร โดยการเข้าสู่คริสตจักร เจ้ามีความหวังของการได้รับการช่วยให้รอด” บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ในความเป็นจริง พระสัญญาของพระเจ้าได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าก็กำลังทรงทำทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะทรงทำให้พระสัญญานี้ลุล่วง—โดยการจัดหาความจริง การตัดแต่งและการจัดการกับเจ้า การมอบหน้าที่ให้เจ้า และการไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชาให้เจ้า—เพื่อที่ชีวิตเจ้าจะเติบโตขึ้นทีละน้อย และเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า ตอนนี้ผู้คนได้รับพระสัญญานี้หรือยัง? ยังคงมีหนทางที่ต้องไปก่อนถึงวันแห่งความลุล่วงและความสัมฤทธิ์ผลของพระสัญญานี้ อันที่จริงพวกเจ้าบางคนได้รับพระสัญญานี้ไปแล้ว และพวกเจ้าบางคนก็มีความมุ่งมั่นแต่ยังไม่ได้รับพระสัญญานี้ นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้ามีความมุ่งมั่นที่จะจับความเข้าใจพระสัญญานี้และสามารถที่จะทำพระสัญญานี้ให้ลุล่วงหรือไม่ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำถูกมอบให้กับผู้คนทีละขั้นตอน ณ เวลาที่เหมาะสม และในเกณฑ์ประเมินวัดที่เหมาะสม ไม่เคยมีความผิดพลาด ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการเป็นคนโง่ มีขีดความสามารถต่ำ อายุน้อย หรือการเชื่อในพระเจ้าเพียงระยะเวลาสั้นๆ อย่าปล่อยให้เหตุผลทางข้อเท็จจริงแวดล้อมมีผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสอะไร ประการแรก พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักและประเมินวัดวุฒิภาวะและขีดความสามารถจริงของพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งมารู้จักเกณฑ์ประเมินวัดของตัวเอง ประการที่สอง ในแง่มุมที่เป็นบวก พระวจนะของพระเจ้าให้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นแก่ผู้คน รวมทั้งเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี เพื่อที่จะสนองน้ำพระทัยพระเจ้า เหล่านี้คือจุดประสงค์ของพระวจนะของพระเจ้า อันที่จริงแล้ว การสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้นั้นเรียบง่ายมาก ตราบที่เจ้ามีหัวใจที่รักความจริงย่อมไม่มีความลำบากยากเย็น อะไรหรือคือความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดสำหรับพวกมนุษย์? นั่นก็คือการที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริงและไม่รักความจริงเอาเสียเลย นี่คือความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุด นี่เกี่ยวข้องปัญหาของธรรมชาติ หากเจ้าไม่กลับใจอย่างแท้จริง ก็อาจส่อเค้าความเดือดร้อน หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง รวมทั้งใส่ร้ายความจริงและคอยดูถูกเหยียดหยามความจริงอยู่เสมอ หากเจ้ามีธรรมชาติแบบนี้ เจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้โดยง่าย ต่อให้เจ้าเปลี่ยนแปลง ก็ยังคงต้องดูว่าท่าทีของพระเจ้าได้เปลี่ยนไปหรือไม่ หากสิ่งที่เจ้าทำสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ยังมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระเจ้าได้ และลึกลงไปในพระหทัยของพระเจ้า พระองค์ทรงเอือมระอาแก่นแท้ของเจ้ามานานแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความหวังแห่งความรอด เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจำเป็นต้องตรวจสอบตัวเอง หากเจ้าอยู่ในสภาวะที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริงและขัดขืนความจริง นี่อันตรายมาก หากเจ้าเกิดสภาวะแบบนั้นบ่อยครั้ง ตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นบ่อยครั้ง หรือหากเจ้าเป็นบุคคลจำพวกนี้โดยพื้นฐาน นี่ยิ่งเป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ หากเจ้าอยู่ในสภาวะของการเบื่อหน่ายความจริงเป็นบางโอกาส ประการแรกคือนั่นอาจเนื่องมาจากวุฒิภาวะของเจ้าน้อย ประการที่สอง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์เองนั้นบรรจุไปด้วยแก่นแท้จำพวกนี้ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะนี้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี สภาวะนี้ไม่แสดงถึงแก่นแท้ของเจ้า บางครั้งภาวะอารมณ์ชั่วแล่นอาจก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นเหตุให้เจ้าเบื่อหน่ายความจริง นี่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแก่นแท้แห่งอุปนิสัยของเจ้าซึ่งเบื่อหน่ายความจริง หากนั่นเป็นสภาวะชั่วคราว ก็ย่อมสามารถย้อนกลับได้ ว่าแต่เจ้าจะย้อนกลับไปได้อย่างไร? เจ้าจำเป็นต้องมาเฉพาะพระเจ้าในทันทีเพื่อแสวงหาความจริงในแง่มุมนี้ และเริ่มที่จะสามารถยอมรับรู้ความจริง นบนอบต่อความจริง และเชื่อฟังพระเจ้า เช่นนั้นสภาวะนี้ก็ได้รับการแก้ไข หากเจ้าไม่แก้ไขและปล่อยให้สภาวะนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย ตัวอย่างเช่น คนบางคนพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรฉันก็มีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ดังนั้นฉันจะหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้าด้วย พระเจ้าทรงมอบขีดความสามารถนี้ให้ฉันได้อย่างไร? พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม!” เจ้าปฏิเสธความชอบธรรมของพระเจ้า นี่ไม่ใช่การเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ? นี่เป็นท่าทีของการเบื่อหน่ายความจริงและเป็นการสำแดงหนึ่งของการเบื่อหน่ายความจริง มีบริบทหนึ่งของการเกิดการสำแดงนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางแก้บริบทนั้นและสาเหตุรากเหง้าของสภาวะนี้ ครั้นสาเหตุรากเหง้าได้รับการแก้ไข สภาวะของเจ้าก็จะหายตามไปด้วย บางสภาวะเป็นเหมือนอาการอย่างหนึ่ง เช่น อาการไอ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากไข้หวัดหรือโรคปอดอักเสบ หากเจ้ารักษาอาการไข้หวัดและโรคปอดอักเสบ อาการไอก็จะดีขึ้นไปด้วย เมื่อสาเหตุรากเหง้าได้รับการแก้ไข อาการทั้งหลายก็หายไป แต่บางสภาวะของการเบื่อหน่ายความจริงไม่ใช่อาการของโรค แต่เป็นเนื้องอก สาเหตุรากเหง้าของโรคนั้นอยู่ภายใน เจ้าอาจไม่สามารถพบอาการใดโดยการมองจากภายนอก แต่ทันทีที่โรคถูกค้นพบ นั่นย่อมถึงแก่ชีวิต นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก ผู้คนดังกล่าวไม่มีวันยอมรับหรือยอมรับรู้ความจริง หรือถึงขั้นใส่ร้ายความจริงอยู่เป็นนิจเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ ต่อให้คำพูดทั้งหลายไม่เคยผ่านริมฝีปากพวกเขาออกมา พวกเขาก็ยังคอยใส่ร้าย ปฏิเสธ และหักล้างความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเขา ไม่สำคัญว่าเป็นความจริงใด—ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักตัวเอง การยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา การยอมรับความจริง การเชื่อฟังพระเจ้า การไม่ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะสะเพร่าและสุกเอาเผากิน หรือการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์—พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับสภาพ หรือใส่ใจในแง่มุมใดของความจริง หรือถึงขั้นหักล้างและใส่ร้ายทุกแง่มุมของความจริงเสียด้วยซ้ำ นี่คืออุปนิสัยของการเบื่อหน่ายความจริง นี่เป็นแก่นแท้จำพวกหนึ่ง แก่นแท้นี้นำทางไปสู่บทอวสานประเภทใด? การถูกปฏิเสธและขับออกโดยพระเจ้า แล้วจากนั้นก็การทำให้พินาศ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก
สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ช่วยพวกเจ้าได้หรือไม่? (ได้ ข้าพระองค์ทราบว่าอะไรคือขีดความสามารถที่ดีและขีดความสามารถที่ไม่ดี ข้าพระองค์มีความเข้าใจจริงเกี่ยวกับขีดความสามารถของข้าพระองค์เอง และข้าพระองค์สามารถประเมินวัดตัวเองได้อย่างถูกต้องแม่นยำเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอ แต่จะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง) ไม่สำคัญว่าพวกเราสามัคคีธรรมถึงแง่มุมใดของความจริง นั่นจะเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้า หากพวกเจ้าสามารถรับคำพูดเหล่านี้และรวมคำพูดเหล่านี้เข้ากับชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เช่นนั้นสิ่งที่เราได้พูดไปก็ไม่สูญเปล่า ทุกครั้งที่พวกเจ้ามาเข้าใจความจริงทีละน้อย พวกเจ้าก็จะทำสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และเส้นทางของพวกเจ้าก็จะเปิดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย หากพวกเจ้ารู้ความจริงเพียงน้อยนิดและไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับวุฒิภาวะและขีดความสามารถตามจริงของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่มีความถูกต้องแม่นยำในการทำสิ่งต่างๆ เสมอ ประมาณตนเกินจริงและประเมินค่าตนเองสูงเกินไปเสมอ และทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายแต่ปราศจากความรู้ โดยกลับคิดไปว่า พวกเจ้ากำลังปฏิบัติตนบนพื้นฐานของความจริง พวกเจ้าจะคำนึงถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ว่าเป็นหลักธรรมความจริง การเบี่ยงเบนในสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าทำจะใหญ่หลวงถึงขีดสุด หากมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความรู้ และการเรียนรู้แบบมนุษย์เหล่านี้โดดเด่นอยู่ในหัวใจของผู้คน พวกเขาก็จะไม่แสวงหาความจริง หากความจริงกลายเป็นอันดับสอง อันดับสาม หรือแม้กระทั่งสุดท้ายในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่กุมอำนาจเหนือเจ้า? นั่นก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าและมโนคติอันหลงผิด ปรัชญา ความรู้และการเรียนรู้แบบมนุษย์ สิ่งเหล่านี้มีอธิปไตยเหนือเจ้า ดังนั้นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเจ้าจะไม่ส่งประสิทธิผล หากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้าภายในตัวเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงห่างไกลจากการได้รับการช่วยให้รอด เจ้าไม่ได้ก้าวเข้ามาบนเส้นทางของความรอด เจ้าคิดว่าพระหทัยของพระเจ้าไม่วิตกกังวลหรือ? เพื่อที่จะวางเจ้าบนเส้นทางแห่งความรอด พระเจ้าจำเป็นต้องแสดงพระกรุณาให้เจ้าเห็นมากแค่ไหน? หากพวกเจ้าสามารถหนีพ้นจากความรู้และวัฒนธรรมดั้งเดิม และปรัชญาเยี่ยงซาตาน เรียนรู้ที่จะประเมินวัดทุกสรรพสิ่งด้วยความจริงบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ใช้หลักธรรมความจริงทั้งหลายเป็นมาตรฐานสำหรับการตรวจตราดูแลสิ่งทั้งหลาย และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีความเป็นจริงความจริง บุคคลที่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง ในปัจจุบัน พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่ระดับนี้ พวกเจ้ายังมีหนทางไป พวกเจ้ามีแค่ชีวิตเล็กๆ และพวกเจ้ายังคงจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่โดยพระกรุณา ความรักและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า นี่หมายความว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป หากเจ้าได้รับมอบกิจชิ้นหนึ่ง เจ้าจะสามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยไม่พึ่งพาผู้ใดได้หรือไม่? เจ้าสามารถทำงานนั้นให้ดีได้หรือไม่? หากเจ้าสร้างปัญหายุ่งเหยิงต่อสิ่งทั้งหลาย นี่เป็นการขัดขืนพระเจ้าและการไม่ให้เกียรติพระเจ้า หากเจ้าทำงานไปได้ครึ่งทาง แต่แล้วก็กลับออกไปหาความสนุกสนาน นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ค่อยมั่นคงหรอกหรือ? นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนทำงานที่พึ่งพาได้ และว่าเจ้าไม่ทำงานของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าจะจำเป็นต้องให้ผู้คนเฝ้าดูและกำกับดูแลเจ้าเสมอว่าเจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ คนบางคนในวัยสามสิบกว่าและสี่สิบกว่าของพวกเขายังคงมีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมเช่นนี้ นั่นจบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขา พวกเขาจะไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดในชีวิตพวกเขา หากเจ้าอยู่ในวัยยี่สิบกว่าของเจ้าและเพียงเชื่อในพระเจ้ามาสองหรือสามปี เจ้าสามารถได้รับการยกโทษสำหรับการเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะน้อย ความไม่มั่นคง ความพึ่งพาไม่ได้ การจำเป็นต้องได้รับการดูแล ปกป้อง เตือนความจำ เตือนสติ และทรงนำโดยพระเจ้าอยู่เสมอ จำเป็นต้องชื่นชมพระคุณเหล่านี้ของพระเจ้าเสมอ ดำรงชีวิตอยู่โดยการพึ่งพาพระคุณเหล่านี้ และไม่สามารถที่จะทำโดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ นี่คือการมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในภาวะนี้ หากสิ่งทั้งหลายไม่ถูกอธิบายต่อพวกเจ้าโดยละเอียดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเจ้าก็จะทำผิดพลาดและสร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับงานของเจ้าเป็นบางครั้ง หากสิ่งเล็กน้อยใดไม่ถูกอธิบายแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จะหลงออกนอกทาง ซึ่งเป็นความกังวลเสมอสำหรับผู้อื่น จากภายนอก พวกเจ้าล้วนเป็นผู้ใหญ่ แต่ที่จริงแล้ว พวกเจ้ามีชีวิตในจิตวิญญาณของพวกเจ้าไม่มากนัก แม้ว่าพวกเจ้ามีเจตจำนงและความจริงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ และพวกเจ้าก็มีความเชื่อที่ถ่องแท้อยู่บ้าง แต่พวกเจ้าก็เข้าใจเกี่ยวกับความจริงน้อยเกินไป ในการทำหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าพึ่งพาพระคุณ พระพร การทรงนำ และการเตือนความจำทั้งหลายของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เพื่อที่จะขยับไปข้างหน้า หากมีสิ่งใดน้อยไป การนั้นก็จะไม่เป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในแง่มุมใดที่ถูกสำแดงอยู่ในตัวพวกเจ้า? พระกรุณาอันอุดมล้นของพระองค์ และแน่นอนว่านี่คือหลักธรรมแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เหตุใดพวกเจ้าจึงยังคงไม่ได้ชื่นชมบททดสอบและการถลุงของพระเจ้า? นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะเช่นนั้น พวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป พวกเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป พวกเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจถึงแก่นของสิ่งใดได้ พวกเจ้าสับสนเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน พวกเจ้าเป็นเหตุให้ผู้คนกังวลเสมอ และไม่สำคัญว่าพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่อะไร ผู้อื่นก็จำเป็นต้องสอนให้เจ้าทำการนั้นทีละขั้นตอน จำเป็นต้องใช้ความพยายามในส่วนของผู้อื่นมากเกินไป ทุกอย่างต้องถูกอธิบายอย่างละเอียดสำหรับเจ้าและต้องได้รับการพูดซ้ำเกินหนึ่งหน ไม่เช่นนั้นการนั้นก็จะไม่เป็นไปด้วยดี สิ่งปกติธรรมดาต้องถูกพูดสองถึงสามหน แต่หลังจากผ่านไปเพียงครู่ เจ้าก็จะลืมและนั่นก็จำเป็นต้องถูกพูดซ้ำอีกหลายครั้ง นี่เป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? นี่เป็นบุคคลที่สับสนมึนงงผู้ซึ่งไม่ใส่หัวใจของพวกเขาหรือจิตใจของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำ และเป็นผู้ซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะให้การปรนนิบัติใดเลย ผู้คนเช่นนั้นสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจความจริงอย่างแน่นอน เพราะขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำนักและพวกเขาไม่สามารถขึ้นถึงระดับของความจริง บางคนมีวุฒิภาวะน้อย แต่พวกเขาก็สามารถเรียนรู้บางสิ่งหลังจากที่ก้าวผ่านไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือสามครั้ง หากพวกเขาสามารถรับ เข้าใจและจับความเข้าใจความจริงได้หลังจากที่ได้ยินการสามัคคีธรรมถึงความจริง พวกเขาก็เป็นผู้คนที่มีขีดความสามารถ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตที่จะมีขีดความสามารถแต่มีวุฒิภาวะน้อย การนี้เพียงสัมพันธ์กับความลึกซึ้งของประสบการณ์ของผู้คนดังกล่าว และสัมพันธ์โดยตรงกับความลึกซึ้งของความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความจริง ภายหลังประสบการณ์ที่มากขึ้นและความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความจริง วุฒิภาวะของพวกเขาก็จะเติบโตไปตามธรรมชาติ
2 มีนาคม ค.ศ. 2019