การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า
พวกเราจะมาฟังบทเพลงนมัสการแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “ติดตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วเจ้าจะไม่สามารถหลงทางได้” กันเสียก่อน
1 พระเจ้าทรงหวังให้เจ้าสามารถกินและดื่มได้อย่างอิสระ และใช้ชีวิตในความสว่างแห่งการทรงสถิตของพระเจ้าเสมอ และไม่เคยละทิ้งพระวจนะของพระเจ้าเลยในชีวิตของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะเปี่ยมล้นด้วยพระวจนะของพระเจ้าได้ ในทุกคำพูดและทุกความประพฤติของเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะนำเจ้าไปข้างหน้าแน่นอน หากเจ้าเข้าใกล้พระเจ้าถึงระดับนี้อย่างจริงแท้ และสามัคคีธรรม กับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เช่นนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำจะไม่จบลงด้วยความสับสน หรือทิ้งให้เจ้ารู้สึกไร้เบาะแส เจ้าจะสามารถมีพระเจ้าสถิตเคียงข้างเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าจะสามารถกระทำการสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าเสมอ
2 กับทุกบุคคล ทุกเหตุการณ์ และทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญ พระวจนะของพระเจ้าจะปรากฏต่อเจ้าเมื่อใดก็ได้ นำเจ้าให้กระทำการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์และทำตามพระวจนะของพระองค์ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ พระวจนะของพระเจ้าจะนำทางเจ้าไปข้างหน้าในทุกการกระทำ เจ้าจะไม่มีวันหลงเจิ่น แล้วเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตในความสว่างใหม่ กับความรู้แจ้งที่มากกว่าและใหม่กว่าเสียด้วยซ้ำ เจ้าไม่อาจใช้มโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์เพื่อขบคิดถึงสิ่งที่จะทำ เจ้าควรนบนอบการทรงนำของพระวจนะ มีหัวใจที่ชัดเจน สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทำการไตร่ตรองให้มากขึ้น จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์
3 จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า! เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหายในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง
—การสามัคคีธรรมของพระเจ้า
เจ้าเพิ่งเล่นบทเพลงนมัสการ “ติดตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วเจ้าจะไม่สามารถหลงทางได้” ไป หลังจากฟังบทเพลงนมัสการนี้แล้ว เจ้าได้รับความสว่างหรือเส้นทางแห่งการปฏิบัติบ้างหรือไม่? เจ้าได้รับแรงบันดาลใจและความสว่างจากถ้อยคำใดบ้าง? “ติดตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วเจ้าจะไม่สามารถหลงทางได้”—ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? ถ้อยคำเหล่านี้ใช่ความจริงหรือไม่? (ใช่) จากบทเพลงนมัสการนี้ บรรทัดใดบ้างที่เจ้าพบว่ามีประโยชน์ต่อประสบการณ์ในชีวิตจริงของเจ้าเป็นพิเศษ? จงเริ่มอ่านจากบรรทัดที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า! เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหายในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง”) บรรทัดใดบ้างในบทคัดตอนนี้ที่ให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติ? บรรทัดใดบ้างที่เป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติสำหรับจัดการกับสถานการณ์ในชีวิตจริงที่พระเจ้าได้ทรงถ่ายทอดให้กับมนุษย์? พวกเจ้าสามารถหาพบหรือไม่? หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และหนังสือต่างๆ ที่ผู้คนอ่านกันล้วนมีส่วนที่พวกเขาถือว่าควรค่าแก่การจดจำ ส่วนที่ว่านี้คือส่วนใดบ้าง? ส่วนต่างๆ ที่ผู้คนใส่ใจ ส่วนที่ผู้คนคิดว่าสำคัญที่สุด และส่วนที่ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งผู้คนจำเป็นต้องรู้ในชีวิตประจำวัน แล้วส่วนใดบ้างในพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ควรค่าแก่การจดจำ? ส่วนใดบ้างที่บรรยายถึงข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน? ส่วนใดบ้างที่มีหลักธรรมซึ่งพระเจ้าได้ทรงเจาะจงให้ผู้คนยึดถือและปฏิบัติตามยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของตน? พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าส่วนเหล่านี้คือส่วนใดบ้าง? (เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก) จงอ่านซ้ำอีกครั้ง “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า! เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหายในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง”) พวกเจ้าเข้าใจความหมายแต่ละบรรทัดในบทตอนนี้หรือไม่? (เข้าใจ) บทตอนนี้เขียนขึ้นด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายที่เข้าใจง่าย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้อยคำเหล่านี้ง่ายแก่การเข้าใจความหมายตามตัวอักษร แล้วมีหลักธรรมใดอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้? ตอนที่อ่านถ้อยคำเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถหาหลักธรรมนั้นพบหรือไม่? หลักธรรมคืออะไร? กล่าวให้กว้างขึ้นได้ว่า พระวจนะของพระเจ้าและความจริงก็คือหลักธรรม ถึงกระนั้น การพูดแบบนี้ก็ฟังดูค่อนข้างไร้แก่นสารและยิ่งเป็นนามธรรมไปสักหน่อย กล่าวอย่างเจาะจงมากขึ้นได้ว่า หลักธรรมคือเส้นทางและเกณฑ์แห่งการปฏิบัติที่ผู้คนควรมีเวลาทำสิ่งต่างๆ นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว อะไรคือหลักธรรมในบทตอนนี้? กล่าวให้ถูกต้องก็คือ บทตอนนี้มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติอยู่ พระเจ้าทรงบอกผู้คนไว้แล้วถึงวิธีปฏิบัติและวิธีกระทำการเมื่อบังเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับพวกเขา จงอ่านบทตอนนี้อีกครั้งและตั้งใจฟังถ้อยคำเหล่านี้“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า! เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหายในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง”) พวกเจ้าทั้งหมดได้อ่านบทตอนนี้กันไปสามรอบแล้ว พวกเจ้าประทับใจอะไรในบทตอนนี้บ้างหรือไม่? หลังจากที่อ่านบทตอนนี้ไปสามรอบ พวกเจ้ารู้สึกว่ามีบางอย่างต่างจากตอนที่ฟังบทเพลงนี้โดยไม่ได้ใส่ใจใกล้ชิด อย่างที่พวกเจ้าทำกันเป็นปกติหรือไม่? (รู้สึก) หลักธรรมแห่งการปฏิบัติใดที่พวกเจ้าสามารถค้นเจอและทำความเข้าใจได้ในบทตอนนี้? ความจริงแง่มุมใดที่พระเจ้าทรงยกมาแสดงในที่นี้? ความจริงในแง่มุมนี้สัมพันธ์กับหลักธรรมแห่งการปฏิบัติประการหนึ่ง แต่หลักธรรมในที่นี้คืออะไรกันแน่? หลักธรรมแห่งการปฏิบัตินี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาจริงประเภทใด? บรรทัดแรกกล่าวถึงประเด็นปัญหาจริงข้อหนึ่ง—บรรทัดแรกนี้พูดถึงสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจเหล่านี้ประกอบไปด้วยประเด็นปัญหาทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความจริง การปฏิบัติของเจ้า การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ปัญหาทั้งหลายที่สัมพันธ์กับสาขาการงานของเจ้า และสภาวะส่วนบุคคลที่เจ้ารับประสบการณ์ในขณะที่ทำหน้าที่ รวมไปถึงประเด็นปัญหาเรื่องวิธีใช้วิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ของผู้คน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้นรอบตัวเจ้าจริงๆ อีกทั้งเจ้าก็ได้เห็นและได้ยินมาแล้ว ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจแก่นแท้ของประเด็นปัญหาเหล่านี้ หรือความจริงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ และนับประสาอะไรที่เจ้าจะรู้เส้นทางแห่งการปฏิบัติรวมถึงหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นธรรมดาที่เจ้าย่อมไม่รู้เจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆ เช่นกัน เมื่อคนคนหนึ่งไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก หรือไม่รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา และควรได้รับการแก้ไขบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า—“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น” มีมากมายหลายสิ่งที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ ทั้งสิ่งที่อยู่ในโลกภายนอกและในพระนิเวศของพระเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เจ้าควรทำอย่างไร? ก่อนอื่นเจ้าต้องแสวงหาความจริงและดูว่าในพระวจนะของพระเจ้าพูดถึงอะไร และสามารถพบหลักธรรมความจริงใดในนั้นได้บ้าง เจ้าต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อ่านพระวจนะของพระเจ้าหลายๆ รอบ อันดับแรกจงค้นหาความเป็นจริงของความจริง และจากนั้นก็ทำความเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จากเจ้า ต่อมาก็พิจารณาค้นหาหลักธรรมสำหรับการปฏิบัติความจริง—เจ้าจะเข้าใจความจริงได้อย่างง่ายดายในหนทางนั้น นี่คือขั้นตอนในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง พวกเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เราเพิ่งกล่าวไปหรือไม่? (เข้าใจ) พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมของเจ้า รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้า แล้วพระเจ้าทรงมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร? เจ้าสามารถมองเห็นท่าทีนั้นได้ในพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสบอกเจ้าว่าจงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก ไม่ให้รีบร้อนที่จะนิยามสิ่งทั้งหลาย ที่จะด่วนตัดสิน หรือทำการตัดสินใดๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นั่นก็เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้กับเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกเจ้าไม่ให้รีบร้อน นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเหตุการณ์ได้อุบัติขึ้นแล้ว ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดวางเหตุการณ์นี้ไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว และได้ทรงวางเจ้าไว้ในสภาพแวดล้อมนี้ และท่าทีของพระเจ้าก็ชัดเจนอย่างมาก พระเจ้าตรัสบอกเจ้าว่า “เราไม่รีบร้อนที่จะให้เจ้าเข้าใจสิ่งที่กำลังเป็นไปในสถานการณ์นี้อย่างครบถ้วน เราไม่รีบร้อนที่จะให้เจ้าด่วนตัดสิน ให้ข้อสรุป หรือเสนอการแก้ไขใดๆ สำหรับเรื่องนี้ในทันที” เจ้าไม่คุ้นเคยและเจ้าก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าไม่เคยเผชิญมาก่อน เป็นบทเรียนที่เจ้ายังไม่เคยได้เรียนรู้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่มีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์หรือคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งเจ้าก็ไม่เคยได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้มาก่อนเลย ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มีความรีบร้อนที่จะให้เจ้าเค้นหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ บางคนถามว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้ไว้แล้ว เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงรีบเร่งที่จะเห็นผลลัพธ์ของเรื่องนี้?” นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้าเช่นกัน วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการจัดการเตรียมสิ่งแวดล้อมทั้งหลายนั้นไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทำการตัดสินหรือให้บทสรุปในเชิงทฤษฎีอย่างรวดเร็ว พระเจ้าประสงค์ให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์เช่นนั้น อีกทั้งพระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้าเข้าใจผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในนั้น เพื่อที่เจ้าจะได้เรียนรู้บทเรียนแห่งการนบนอบพระเจ้า ครั้นเจ้าได้รับความเข้าใจและประสบการณ์ส่วนบุคคลเช่นนั้นแล้ว เหตุการณ์นี้ก็จะเปี่ยมความหมายต่อเจ้า อีกทั้งจะมีคุณค่าและนัยสำคัญอันใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ในที่สุด หลังจากมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ สิ่งที่เจ้าจะได้รับไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิด ไม่ใช่การคิดฝัน และไม่ใช่การตัดสิน ทั้งยังไม่ใช่ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ หรือบทเรียนที่สรุปโดยมนุษย์ แต่เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เป็นประสบการณ์ตรง กับความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความรู้นี้จะใกล้เคียงกับความจริงหรือจะสอดคล้องกับความจริง จากประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ เช่นนั้น เจ้าก็จะสามารถมองเห็นว่าท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นชัดเจนมากและแสดงออกมาในหนทางที่เข้าใจง่าย จากมุมมองของพระเจ้าพระองค์ไม่ทรงเร่งรีบให้เจ้าต้องให้คำตอบอย่างรวดเร็วหรือให้การตอบสนองในทันที พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้ นี่คือท่าทีของพระองค์ และในเมื่อนี่คือท่าทีของพระองค์ พระองค์จึงทรงมีข้อกำหนดและมาตรฐานสำหรับมนุษย์ มาตรฐานนี้เป็นหลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติ หลักธรรมแห่งการปฏิบัติคืออะไร? หลักธรรมแห่งการปฏิบัติคือแนวทาง วิธีการ และวิถีทางที่เจ้านำมาใช้เมื่อเจ้าเผชิญกับเหตุการณ์อันเฉพาะเจาะจง เมื่อเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์และท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเหตุการณ์หนึ่ง เจ้าก็ควรนำข้อกำหนดของพระเจ้ามาปฏิบัติ แล้วพระเจ้าประสงค์สิ่งใดจากเจ้า? พระเจ้าตรัสไว้ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก” พระดำรัสที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก” นี้มีภูมิหลัง แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงวางข้อกำหนดและมาตรฐานเช่นนั้นให้กับมนุษย์? พวกเจ้าเข้าใจประเด็นนี้ชัดเจนหรือไม่? นั่นเป็นเพราะเจ้าเป็นคนธรรมดา เจ้าไม่ใช่ยอดมนุษย์ การคิดอ่านของเจ้าก็เป็นการคิดอ่านของคนปกติ เจ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ถึงอายุสี่สิบ ห้าสิบ หรือกระทั่งแปดสิบปี เจ้าก็จะเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เจ้าจะไม่คงอยู่เหมือนเมื่อตอนที่เจ้าเกิดมาตลอดกาล ประสบการณ์ในปัจจุบันของเจ้า ความรู้และความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเห็นและได้ยิน ประสบการณ์ชีวิตของเจ้า และอื่นๆ—ทั้งหมดนี้—รวมถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้ารู้และเข้าใจในหัวใจและในจิตใจของเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลลัพธ์ที่สะสมในช่วงหลายปีแห่งการขัดเกลา นี่เรียกว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่เป็นกระบวนการแห่งการเจริญเติบโตแบบมนุษย์ที่ปกติซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดให้กับมนุษย์ และเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นยามที่เจ้าเผชิญกับบางสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ บางสิ่งที่เจ้าไม่คุ้นเคย พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เจ้ารีบให้คำตอบกับสิ่งนั้นและตอบสนองสิ่งนั้นอย่างรวดเร็วราวกับเจ้าเป็นหุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์ป้อนข้อมูลทั้งหมดเข้าไปในหน่วยความจำในคราเดียว พอเจ้าตั้งคำถามกับมัน มันก็ตอบกลับหลังจากค้นหาเพียงปราดเดียว—ด้วยคำตอบที่สามารถหาได้จากหน่วยความจำของมัน นี่คนละอย่างกับผู้คนปกติ แม้พวกเขาเคยมีประสบการณ์กับบางสิ่งมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องถูกจัดเก็บไว้ในความทรงจำของพวกเขาเสมอไป เมื่อเป็นเรื่องของผู้คน มีเพียงสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อย่างเช่น ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ ประสบการณ์ทั้งหลาย ประสบการณ์ชีวิต และความรู้จากประสบการณ์ตรงที่แท้จริงเท่านั้น ที่แยกพวกเขาออกจากเหล่ายอดมนุษย์ หุ่นยนต์ และมนุษย์ผู้มีพลังอำนาจพิเศษ
พระเจ้าทรงตั้งข้อกำหนดและมาตรฐานไว้ให้ผู้คนบนพื้นฐานของสิ่งซึ่งบรรดาผู้มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติจำเป็นต้องมีและพึงมี อีกทั้งพระองค์ก็ได้ทรงชี้ชัดถึงเส้นทางแห่งการปฏิบัติไว้แล้ว อะไรคือเส้นทางแห่งการปฏิบัตินี้? จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นี่บอกให้เจ้ารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะรีบร้อนหาคำตอบ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เจ้าเป็นแค่คนธรรมดา ถึงแม้เจ้าอาจมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และความเข้าใจจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเจ้าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หากสิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งในภายภาคหน้า ก็ไม่จำเป็นว่าเจ้าจะสามารถจับใจความเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงได้ครบบริบูรณ์ หรือได้คะแนนเต็ม นี่ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ ดังนั้นในสภาพการณ์เหล่านั้น เจ้ายิ่งไม่ควรเร่งรีบในการค้นหาคำตอบ คำแนะนำที่ไม่ให้กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกบอกอะไรกับผู้คน? คำแนะนำนี้มีจุดประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นไม่มีอะไรดีเด่น เกินธรรมดา หรือพิเศษ ความเข้าใจ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ การรับรู้ และการจับใจความสิ่งต่างๆ นานาของผู้คน ตลอดจนทัศนะที่พวกเขามีต่อแก่นแท้ของผู้คนหลากหลายประเภทล้วนสัมฤทธิ์โดยผ่านทางประสบการณ์ที่พวกเขารับจากสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานัปการ นี่คือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่มีสิ่งใดที่เหนือธรรมชาติในเรื่องนี้เลย และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นที่ไม่มีคนใดก้าวข้ามได้ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำเกินกว่ากฎเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ให้กับมนุษย์ นั่นย่อมจะไม่ปกติ ในแง่หนึ่ง นั่นเพียงจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ในอีกแง่หนึ่ง นั่นจะเผยความโอหังที่เกินขนาดและความไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า พระเจ้าได้ตรัสบอกผู้คนไม่ให้กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้าเป็นคนปกติ เจ้าจึงจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมให้เจ้ามากขึ้น เพื่อให้เจ้าสามารถรับประสบการณ์ เข้าใจ และตระหนักรู้ความเสื่อมทรามของมนุษย์ที่แสดงให้เห็นอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น รวมทั้งทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์และสิ่งเหล่านี้อีกด้วย นี่คือสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติควรทำ แล้วอะไรคือเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่สามารถพบได้ใน “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ”? (จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก) เมื่อคนคนหนึ่งเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งและไม่สามารถรู้เท่าทันหรือเข้าใจสถานการณ์นั้นได้ เมื่อพวกเขาไม่เคยนึกถึงหรือเผชิญกับสถานการณ์นั้นมาก่อน และเมื่อเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถคิดฝันถึงวิธีแก้ไขเรื่องนี้โดยการพึ่งพามโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ พวกเขาควรทำอย่างไร? หลักธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดคืออะไร? (จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก) พระเจ้าได้ทรงกำหนดสิ่งนี้จากเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร? เจ้าควรเข้าหาสิ่งต่างๆ ดังกล่าวด้วยท่าทีเช่นไร? เมื่อผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติเผชิญสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่สามารถเข้าใจ และไม่มีประสบการณ์ หรือแม้แต่สถานการณ์ที่พวกเขาอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิง ก่อนอื่นพวกเขาควรนำท่าทีที่ถูกควรมาใช้และพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้นสิ่งที่ฉันสามารถสัมฤทธิ์ได้จึงมีขีดจำกัด การไม่สามารถรู้เท่าทันหรือเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้นั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย และการขาดประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอย่างแน่นอน” เมื่อเจ้าเริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย นั่นก็จบเรื่องแล้วหรือ? ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไขแล้วเช่นนั้นหรือ? การไม่กังวลว่าจะทำให้ตัวเองอับอายนั้นเป็นแค่ความเข้าใจและท่าทีที่ผู้คนสามารถนำมาใช้กับสิ่งเหล่านั้นได้ นั่นไม่เหมือนกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้า แล้วคนเราจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้อย่างไร? สมมุติเจ้าคิดในใจว่า “ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย และฉันก็ไม่สามารถรู้เท่าทันในเรื่องนี้ ฉันไม่รู้ว่าการจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมเช่นนั้นของพระเจ้าหมายถึงอะไร หรือหมายที่จะสัมฤทธิ์ผลเช่นใด หนำซ้ำฉันยังไม่รู้ท่าทีของพระเจ้าอีกด้วย เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย ฉันก็จะแค่เพิกเฉยและปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปตามครรลองของมัน”—เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีเช่นนั้น? นี่คือท่าทีของการแสวงหาความจริงหรือไม่? นี่คือท่าทีของการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? นี่คือท่าทีของการติดตามพระวจนะแห่งพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ใช่) ทันทีที่เผชิญสถานการณ์เช่นนี้ คนอื่นๆ คิดในใจว่า “ฉันไม่สามารถทำความเข้าใจหรือมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุโปร่ง และฉันก็ไม่เคยได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้มาก่อน เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยของฉันเลย ฉันมีปริญญาโท ปริญญาเอก และฉันเคยทำงานเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ—ถ้าฉันไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ ใครเล่าที่อาจสามารถเข้าใจได้? การยอมให้ทุกคนรู้ว่าฉันไม่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย จะไม่เป็นเรื่องน่าขายหน้าเกินไปหรอกหรือ? พวกเขาคงดูแคลนฉันไม่ใช่หรือ? ไม่ได้ ฉันพูดไม่ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถรู้เท่าทัน ฉันต้องพูดว่า ‘เกี่ยวกับเรื่องจำพวกนี้ ให้ดูที่พระวจนะของพระเจ้า แสวงหาแล้วคุณจะพบคำตอบ’ ฉันยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับว่าฉันไม่สามารถทำความเข้าใจหรือรู้เท่าทันเรื่องนี้” เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีนี้? (เป็นท่าทีที่ไม่ดี) คนคนนี้คิดว่าเขาเป็นใคร? เขาคิดว่าตัวเองเป็นธรรมิกชน เป็นคนที่เพียบพร้อม พวกเขาคิดว่า “มีสิ่งที่ฉันซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีเกียรติ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีปริญญาโทกับปริญญาเอกในมือ บุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงไม่สามารถทำความเข้าใจหรือไม่รู้เท่าทันอยู่จริงๆ หรือ? เป็นไปไม่ได้! และต่อให้มี นั่นก็คงจะเป็นสิ่งที่ไม่มีพวกคุณคนใดสามารถเข้าใจได้ ดังนั้น นั่นไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ฉันไม่สามารถมองสิ่งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันก็จะไม่ยอมให้พวกคุณรู้แน่ๆ ว่า ‘ฉันไม่สามารถรู้เท่าทันได้’ ‘ฉันไม่เข้าใจ’ ฉันทำไม่ได้’ คำพูดพวกนี้ต้องไม่มีวันหลุดออกจากปากฉัน!” นี่คือคนจำพวกใด? (คนโอหัง) นี่เป็นคนโอหังและทะนงตนที่ขาดเหตุผล หากคนจำพวกนี้อ่านพระวจนะที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” พวกเขาจะได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติหรือไม่? พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจบ้างหรือไม่? หากไม่ได้รับ การที่พวกเขาอ่านพระวจนะเหล่านี้ก็คงจะเป็นการสูญเปล่าไปทั้งสิ้น พระวจนะเหล่านี้เขียนขึ้นอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำความเข้าใจได้เล่า? ตลอดหลายปีที่เจ้าใช้ไปกับการศึกษาและเรียนรู้พระวจนะล้วนไร้ประโยชน์ หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจพระวจนะอันเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็ช่างไม่เอาไหนอย่างแท้จริง!
ตอนนี้พวกเรามาดูกันอีกครั้งว่ามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติอะไรอยู่ในบรรทัดที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” ก่อนอื่นเจ้าไม่ควรนำท่าทีของการกลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกมาใช้ แต่จงตระหนักเสียก่อนว่าความสามารถที่เจ้ามีติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นสามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ จงตระหนักรู้ว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และจงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงหมายถึงอะไรเมื่อพระองค์ตรัสถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าควรเข้าใจว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงหมายถึงอะไรเมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้คนเป็นยอดมนุษย์ หรือเป็นบุคคลพิเศษที่อยู่เหนือธรรมชาติ และพระองค์เพียงประสงค์ให้พวกเขาเป็นผู้คนปกติธรรมดา เจ้าต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้เสียก่อน ไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นรู้ในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ ไม่ว่าเจ้าแสร้งเฉไฉให้เป็นอื่นเพียงใด เจ้าก็จะยังคงไม่รู้อยู่ดี ต่อให้เจ้าสามารถหลอกคนอื่นได้ทั้งหมด แต่เจ้าจะไม่สามารถหลอกลวงพระเจ้าได้ เมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นบังเกิดแก่เจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็แค่พูดว่าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าต้องมีท่าทีที่จริงใจและหัวใจที่เคร่งศรัทธา อีกทั้งยอมให้บรรดาผู้ที่อยู่รอบตัวเจ้ามองเห็นว่ามีสิ่งที่เจ้าไม่รู้และที่เจ้าไม่สามารถรู้เท่าทัน มีสิ่งที่เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์มาก่อน อีกทั้งมองเห็นว่าเจ้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ต่างจากใครอื่น ไม่มีอะไรน่าอายในการทำเช่นนั้น นี่คือการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเจ้าต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้ หลังจากที่เจ้ายอมรับข้อเท็จจริงนี้แล้วทำอย่างไรต่อ? จงบอกเรื่องนี้กับทุกคนว่า “ฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งนี้มาก่อน ฉันไม่สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ฉันเหมือนกับพวกคุณไม่มีผิด แต่เป็นไปได้ว่าฉันเหนือกว่าพวกคุณอยู่ด้านหนึ่งซึ่งก็คือ ฉันได้เห็นความสว่างและได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันมีความหวัง และฉันรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร” ความหวังนี้อยู่ตรงไหน? ความหวังนี้อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” นี่หมายถึงการเก็บเรื่องนั้นมาคิดและนำเรื่องนั้นมาแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นครั้งคราว เจ้าต้องเก็บเรื่องนั้นมาคิด แปลงเรื่องนั้นมาเป็นภาระหน้าที่อย่างหนึ่งของเจ้าที่ต้องทำความเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนั้น และแปรเรื่องนั้นมาเป็นความรับผิดชอบ รวมถึงทิศทางและเป้าหมายในการแสวงหาของเจ้า หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ เจ้าจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ รวมทั้งเจ้าจะได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงของพระวจนะเหล่านี้ เจ้าควรปฏิบัติเรื่องนี้อย่างเฉพาะเจาะจงอย่างไร? เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา และเจ้าก็ควรหาโอกาสแบ่งปันเรื่องนี้ในขณะที่กำลังสามัคคีธรรมอยู่ในการชุมนุม รวมทั้งเข้าสนิทและไตร่ตรองเรื่องนี้ร่วมกับทุกคน “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” เจ้าต้องมีหัวใจที่แท้จริงและจริงใจ เจ้าต้องไม่ใช่แค่ทำท่าพอเป็นพิธีหรือกระทำการในลักษณะสุกเอาเผากิน อีกทั้งเจ้าต้องปากกับใจตรงกัน เจ้าต้องรับเรื่องนี้มาเป็นภาระ อีกทั้งมีหัวใจที่หิวโหยและกระหายความชอบธรรม ต้องการที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้และเห็นไปถึงแก่นแท้ของเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันก็ปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาและความสับสนที่ผู้คนพบเจอในยามที่พวกเขาเผชิญกับเรื่องนี้ รวมไปถึงปัญหาทั้งหลายอาทิ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือสภาวะที่ผิดปกตินานัปการของตัวเจ้าเอง “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติอันครบถ้วนบริบูรณ์ที่พระเจ้าตรัสบอกแก่มนุษย์ เจ้ามองเห็นอะไรในบรรทัดนี้? ในแง่หนึ่งนั้น พระเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์ในการจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้กับมนุษย์ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับสิ่งนานาประการในหลากหลายหนทาง ให้เรียนรู้บทเรียนจากสิ่งเหล่านั้น ให้เข้าไปสู่ความจริงนานัปการที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของผู้คน และเพื่อช่วยให้พวกเขาได้รับความเข้าใจอันครอบคลุมและหลากหลายแง่มุมยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับตัวเอง สภาพแวดล้อมของตน และมวลมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่งนั้น พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนดำรงสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระองค์ไว้โดยการจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่างและการจัดการเตรียมการบทเรียนพิเศษบางอย่างให้กับพวกเขา ในหนทางนี้ผู้คนจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยขึ้นแทนที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไร้พระเจ้า โดยกล่าวว่าตนเองเชื่อในพระเจ้าแต่กลับปฏิบัติตนในหนทางซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือความจริง อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนถูกนำพามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความอิดออดและไม่กระตือรือร้นโดยพระเจ้าพระองค์เอง นี่แสดงให้เห็นความคิดคำนึงอันเปี่ยมน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเจ้าขาดพร่องความเข้าใจในเรื่องหนึ่งๆ มากเท่าใด เจ้าก็ควรมีหัวใจที่เคร่งศรัทธาและยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริงให้บ่อยขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลาย เจ้าจำเป็นต้องได้ความรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็ต้องร้องขอให้พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้าให้มากขึ้น เหล่านี้คือความคิดคำนึงที่เปี่ยมน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็จะยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และไม่จริงหรือว่ายิ่งหัวใจของเจ้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็จะยิ่งสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น? ยิ่งพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของบุคคลหนึ่งมากเท่าใด การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และสภาวะในหัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะดีขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้ามีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากเท่าไร ก็ยิ่งจะเป็นการง่ายต่อเจ้ามากขึ้นในการที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อถวายหัวใจที่จริงใจของเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นถ่องแท้มากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ชีวิต การกระทำ และการประพฤติปฏิบัติของเจ้าก็จะมีความยับยั้งชั่งใจ ความยับยั้งชั่งใจเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? นั่นเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นคนคนหนึ่งสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ในบริบทใดหรือภาวะใด? (เมื่อพวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า) ถูกต้อง เมื่อพวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า หากเจ้ามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า ก็ย่อมจะหมายความว่าพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของเจ้าและเจ้าใกล้ชิดกับพระองค์อย่างมากไม่ใช่หรือ? นั่นย่อมจะหมายความว่าพระเจ้าทรงมีที่อยู่ในหัวใจของเจ้าเสมอ และว่าพระเจ้าทรงครองตำแหน่งอันโดดเด่นอย่างมากในหัวใจของเจ้า ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าจะนึกถึงพระเจ้าเสมอ นึกถึงพระวจนะของพระเจ้า นึกถึงพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า นึกถึงอธิปไตยของพระเจ้า และนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า หัวใจของเจ้าจะเต็มล้นไปด้วยพระเจ้า และพระเจ้าก็จะมีตำแหน่งอันสูงส่งอย่างยิ่งในหัวใจของเจ้า หากหัวใจของเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมจะมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ และในเวลาเดียวกัน เจ้าก็จะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถกระทำการอย่างมีความยับยั้งชั่งใจ “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น” เป็นประโยคที่เรียบง่ายแต่กลับมีความหมายมากมายหลายชั้น ประโยคนี้มีเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์และท่าทีที่พระเจ้าประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติตน พลางสื่อให้เห็นข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางไว้กับมวลมนุษย์อีกด้วย ดังนั้นแล้ว อะไรคือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์? นั่นคือเจ้าต้องไม่ล้มเลิก วิ่งหนี หรือนำท่าทีที่ไม่แยแสมาใช้กับสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดแก่เจ้า หากเจ้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและไม่อาจมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งได้ หรือเจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ หรือกระทั่งสิ่งที่ทำให้เจ้าอ่อนแอ เจ้าควรจะทำอย่างไร? จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก พระเจ้าไม่ทรงกดดันผู้คนให้ทำสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา พระเจ้าไม่เคยประสงค์ให้ผู้คนทำสิ่งที่เกินขอบเขตความสามารถแบบมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าจะทรงให้เจ้าทำและสิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเจ้าก็คือสรรพสิ่งที่ผู้คนสัมฤทธิ์ได้ บรรลุได้ และสำเร็จลุล่วงได้โดยผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เพราะฉะนั้นข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์จึงไม่ว่างเปล่าหรือคลุมเครือเลยแม้แต่น้อย ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์เป็นเพียงมาตรฐานที่ครอบคลุมขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้ หากเจ้าทำตามความคิดฝันของตนและต้องการที่จะดีกว่า เหนือกว่า และมีความสามารถมากกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ หากเจ้าต้องการมีผลงานที่ดีกว่าผู้อื่นเสมอ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจความหมายของพระเจ้าผิดไปแล้ว ผู้คนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอมักจะเป็นเช่นนี้ พระเจ้าตรัสว่าจงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก พระองค์ตรัสให้แสวงหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรม แต่ผู้คนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอไม่คำนึงถึงข้อกำหนดเหล่านี้ของพระเจ้าอย่างรอบคอบ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับยืนกรานที่จะพยายามทำสิ่งทั้งหลายสำเร็จลุล่วงด้วยการถั่งโถมเรี่ยวแรงและพละกำลัง ทำสิ่งต่างๆ ในหนทางที่ประณีตและสวยงาม รวมทั้งทำให้ดีกว่าคนอื่นในพริบตาเดียว พวกเขาต้องการเป็นยอดคนและไม่ยอมเป็นคนธรรมดา นี่ขัดกับกฎธรรมชาติที่พระเจ้าทรงจัดวางแบบแผนไว้ให้กับมนุษย์ไม่ใช่หรือ? (ใช่) เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ปกติ พวกเขาขาดพร่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาโอหังเกินไป พวกเขาไม่นำพาข้อกำหนดภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้ให้กับมวลมนุษย์ พวกเขาเมินเฉยต่อมาตรฐานที่พระเจ้าทรงตั้งไว้สำหรับมวลมนุษย์ อันเป็นสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถบรรลุได้ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงดูหมิ่นข้อกำหนดของพระเจ้าและคิดว่า “ข้อกำหนดของพระเจ้าต่ำเกินไป ผู้เชื่อในพระเจ้าจะเป็นคนธรรมดาไปได้อย่างไร? พวกเขาต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เป็นปัจเจกชนที่เหนือกว่าและก้าวล้ำผู้คนทั่วไป พวกเขาต้องเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก” พวกเขาไม่นำพาพระวจนะของพระเจ้าโดยคิดว่า ถึงแม้พระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้องและเป็นความจริง แต่พระวจนะเหล่านั้นก็ช่างธรรมดาสามัญเหลือเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉยต่อพระวจนะของพระองค์ และดูถูกพระวจนะเหล่านี้ แต่พระเจ้าก็ทรงชี้ชัดถึงหลักธรรมและเส้นทางที่ผู้คนควรยึดถือและปฏิบัติตามไว้ในพระวจนะที่ปกติและธรรมดาเหล่านี้ซึ่งถูกพวกที่เรียกกันว่ายอดคนและบุคคลสำคัญเหล่านั้นดูแคลนเหลือเกินนี่เอง พระวจนะของพระเจ้าจริงใจ ตรงตามข้อเท็จจริง และสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งนัก พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้ตั้งข้อกำหนดที่สูงส่งแก่ผู้คนแต่อย่างใด พระวจนะเหล่านี้เป็นสรรพสิ่งที่ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์และควรสัมฤทธิ์ ตราบที่ผู้คนมีเหตุผลที่เป็นปกติอยู่บ้าง พวกเขาย่อมไม่ควรพยายามที่จะวาดวิมานในอากาศ และพวกเขาควรยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงโดยปักหลักอยู่บนความเป็นจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และปฏิบัติต่อความจริงเฉกเช่นหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติและการกระทำของตน พวกเขาไม่ควรทะเยอทะยานให้มากเกินไป ในบรรทัดที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น” นั้น ผู้คนยิ่งควรเข้าใจมากขึ้นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และความจริงคือหลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติ “ผู้คน” ในที่นี้หมายถึงใคร? หมายถึงผู้คนปกติซึ่งมีความมีเหตุผลที่ปกติและมีการตัดสินที่ปกติ ผู้ซึ่งรักสิ่งที่เป็นบวก และผู้ซึ่งเข้าใจว่าอะไรที่เป็นไปตามข้อเท็จจริง อะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง อะไรที่เหมือนกันทั่วไป และอะไรที่ธรรมดา จงใช้เวลาลิ้มรสพระวจนะที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น” แม้ว่าพระวจนะเหล่านี้จะเรียบง่ายและธรรมดา แต่ก็บรรยายถึงบางสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรทำได้ และพระวจนะเหล่านี้ก็เป็นหลักธรรมความจริงที่คนคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงปฏิบัติที่สุดเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นในชีวิตจริงของตนอีกด้วย พระวจนะเหล่านี้คือความจริงที่จำเป็นที่สุดสำหรับผู้คนที่มีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าแต่อย่างใด พวกเจ้าได้ขับร้องและรับฟังพระวจนะธรรมดาเหล่านี้ไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่มีพวกเจ้าคนใดที่ได้ปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้เฉกเช่นความจริงเพื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบและสามัคคีธรรมอย่างใส่ใจ เจ้าได้ปล่อยให้พระวจนะอันล้ำค่าเหล่านี้รอดหลุดมือไปในหนทางนี้แล้ว ในข้อเท็จจริงนั้น พระวจนะเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตนารมณ์ของพระเจ้า ข้อเตือนสติและคำตักเตือนของพระเจ้าที่มีต่อผู้คน รวมทั้งข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน พระวจนะเหล่านี้มีอะไรอยู่มากมายเหลือเกิน ผู้คนนั้นไร้หัวใจและไร้เหตุผล พวกเขาจึงปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้ดั่งเป็นคำพูดธรรมดา พวกเขาไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะเหล่านี้ ไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ หรือปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้ และสุดท้ายแล้วใครเล่าจะเป็นผู้ที่ทนทุกข์และสูญเสียประโยชน์เพราะเหตุนี้? ก็คือผู้คนนั่นเอง นี่ก็คือบทเรียนไม่ใช่หรือ?
ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ในบทตอนนี้นั้นง่ายมากสำหรับผู้คนปกติที่จะปฏิบัติตาม การปฏิบัตินี้มีประสิทธิผลและไม่มีอะไรยากเย็นหรือน่าเหนื่อยล้า เป็นการปฏิบัติที่สามารถทำให้เจ้าค่อยๆ เติบโตและก้าวหน้าในท้ายที่สุด แน่นอนว่าหลังจากที่เจ้านำหลักธรรมที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” มาปฏิบัติ เจ้าย่อมจะมีความก้าวหน้าในแง่ของความจริง การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ความเข้าใจที่เจ้าได้จากประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ช่างวิเศษยิ่งนัก! หากผู้คนมีเหตุผลและนำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติ เช่นนั้นภายใต้การนำและการชี้แนะแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเริ่มรู้ว่าอะไรคือเจตนารมณ์ของพระเจ้าในยามที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมต่างๆ พวกเขาจะสามารถเก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัล ได้รับประสบการณ์ และเริ่มเข้าใจความจริงในสภาพแวดล้อมเหล่านั้นได้ในที่สุดหลังจากผ่านช่วงเวลาหนึ่งไป เมื่อเจ้าได้เก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัลเช่นนั้น เจ้าก็จะรู้เหตุผลที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมเหล่านี้เอาไว้ รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร และพระเจ้าทรงปรารถนาให้ผู้คนได้รับสิ่งใดจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ทางอ้อมที่ผู้คนเดินไป ประสบการณ์กับความติดขัดของพวกเขา ความเข้าใจบิดเบือนที่พวกเขาเก็บงำไว้ แนวคิดไม่สมจริงที่พวกเขามี มโนคติอันหลงผิดและการขัดขืนพระเจ้าที่ได้ผุดขึ้นภายในตัวพวกเขา และสิ่งอื่นในทำนองเดียวกัน ล้วนจะถูกเปิดโปงและเผยออกมาทีละน้อยในขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นบวกหรือเป็นลบ นั่นต้องใช้ประสบการณ์ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อที่จะมองเห็นและเข้าใจสิ่งที่ถูกเปิดโปงและเผยออกมาในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” ลุล่วงในหนทางนี้ นั่นก็คือเมื่อพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการบางสิ่งที่เจ้าไม่อาจรู้เท่าทันหรือเข้าใจได้ อีกทั้งไม่เคยได้รับประสบการณ์มาก่อน สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าประสงค์ให้เจ้าเข้าใจ ได้รับ และมีประสบการณ์โดยตรงจากสถานการณ์นั้นไม่อาจบรรลุได้แค่ในวันหรือสองวัน เพียงหลังจากผ่านไปสักช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับการชี้แนะ การให้ความรู้แจ้ง และการทรงนำในแต่ละย่างก้าวของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะได้รับความเข้าใจทีละน้อยและบรรลุผลลัพธ์ทั้งหลาย นี่ไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้คนจินตนาการ เจ้าไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในทันทีทันใดด้วยความรู้แจ้งที่ถั่งโถมเข้ามา หรือรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงผ่านการดลใจแว่บเดียว พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งเหล่านั้นในวิถีทางที่เหนือธรรมชาติ พระเจ้าไม่ทรงกระทำการในหนทางนั้น นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับประสบการณ์กับเหตุและผลสืบเนื่องทั้งหลายของสถานการณ์หนึ่ง และเจ้าก็ค่อยๆ มาตระหนักว่า “ดังนั้น แก่นแท้ของคนประเภทนี้เป็นเช่นนี้ และความเป็นจริงกับแก่นแท้ของสิ่งประเภทนี้ก็เป็นเช่นนี้ และนี่ก็เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดนั้นบรรทัดนี้ ในที่สุดฉันก็เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงเวลาที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงตรัสเช่นนั้นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้และผู้คนแบบนั้น” พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามาสู่ความตระหนักรู้เช่นนั้นผ่านทางประสบการณ์ทั้งหลายของเจ้า การที่จะตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาไม่ใช่หรือ? (ใช่) ความรู้ที่เจ้าบรรลุและความจริงที่เจ้าเข้าใจในช่วงเวลาที่รับประสบการณ์นั้น ไม่ใช่คำสอนหรือสิ่งที่เป็นทฤษฎี แต่เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลและความรู้ที่แท้จริงของเจ้า นี่คือความเป็นจริงความจริงที่เจ้าเข้าสู่ นี่คือสาเหตุและที่มาของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก” เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัลจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เจ้ารับประสบการณ์ พระองค์ไม่ประสงค์เพียงแค่ให้เจ้าก้าวผ่านกระบวนการหรือเรียนรู้ทฤษฎีเท่านั้น แต่ประสงค์ให้เจ้าได้รับความเข้าใจ ความรู้บางอย่าง มุมมองที่เป็นบวก และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง แม้ว่าบทตอนนี้มีเพียงไม่กี่บรรทัดและไม่ครอบคลุมเนื้อหามากนัก แต่ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นและหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่พระองค์ประทานแก่ผู้คนโดยผ่านทางบทตอนนี้นั้นสำคัญมาก ผู้คนไม่ควรปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีเดียวกันกับที่พวกเขาใช้กับคำสอนและความรู้แบบมนุษย์ เจ้าต้องมีหลักธรรมเพื่อปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า นี่หมายความว่าเจ้าต้องมีหลักธรรม มีวิธีการที่จะนำมาปฏิบัติเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์บางประเภท นี่คือความหมายของการปฏิบัติความจริง นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าหลักธรรม เพราะฉะนั้นพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดาเพียงไม่กี่คำ ที่จริงแล้ว พระวจนะเหล่านี้บอกหลักธรรมและเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดแก่ผู้คน ถึงแม้จะถูกนำเสนอและแสดงออกในหนทางที่ราบเรียบและเข้าถึงง่าย อีกทั้งถ้อยคำก็ดูตรงไปตรงมาอย่างมาก และไม่ได้ประดับประดาด้วยภาษาดอกไม้สวยหรู ศัพท์แสงที่สละสลวย หรือวลีอันประณีต และแน่นอนว่าไม่ได้ถูกตรัสด้วยกระแสเสียงแบบวางอำนาจ และเป็นแค่ข้อกำหนดกับคำตักเตือนอย่างจริงใจที่ตรัสแบบหันหน้าเข้าหากันและใจถึงใจเสียมากกว่าก็ตาม
ผู้คนมากมายไม่เคยจริงจังกับพระวจนะซึ่งธรรมดาที่สุดที่พระเจ้าตรัสเลย พวกเขาถือว่าพระวจนะอันล้ำลึกและลึกซึ้งที่พระเจ้าตรัสเท่านั้นที่เป็นพระวจนะของพระองค์ นี่เป็นการสำแดงความเข้าใจที่บิดเบือนไม่ใช่หรือ? พระวจนะของพระเจ้าทุกประโยคคือความจริง? ไม่สำคัญว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระวจนะธรรมดาหรือเป็นพระวจนะที่ลึกซึ้ง พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดล้วนมีความจริงและความล้ำลึกทั้งหลายอยู่ โดยการทำความเข้าใจและรู้จักพระวจนะเหล่านั้นต้องใช้วุฒิภาวะบางอย่างกับประสบการณ์หลายปี เช่นเดียวกันกับพระวจนะที่สำคัญและดีงามของพระเจ้าซึ่งอยู่ในบทเพลงนมัสการที่พวกเจ้าเพิ่งขับร้องไป—ไม่มีใครจริงจังกับพระวจนะเหล่านี้เลย แม้จะนำพระวจนะเหล่านี้มาประพันธ์เป็นบทเพลงและทุกคนได้ขับขานพระวจนะเหล่านั้นมานานหลายปี แต่กลับไม่มีใครเคยพบหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดนี้ที่อยู่ในพระวจนะเหล่านั้น ต่อให้ในสำนึกรับรู้ของคนบางคนรู้สึกเหมือนพระวจนะของพระเจ้ากำลังบอกพวกเขาว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” และรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้คือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน แต่มีใครบ้างที่เคยปฏิบัติ เข้าสู่ และนำความเป็นจริงแห่งพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้ามาทำให้เกิดผลอย่างแท้จริงในชีวิตจริงของตน? มีใครเคยทำแบบนี้บ้างหรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีใครเคยทำแบบนี้เลย พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าช่างเรียบง่าย แต่กลับไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามได้ ในเรื่องนี้มีปัญหาที่เป็นสาระสำคัญอยู่ไม่ใช่หรือ? (ใช่ นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนรังเกียจความจริง) มีอะไรอื่นอีกหรือไม่? (พระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ตรัสกับพวกเรานั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระวจนะแห่งหลักธรรม แต่พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเราไม่ได้ให้ความสนใจพระวจนะเหล่านี้ และพวกเราไม่ได้นำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติ) แล้วพวกเจ้ามักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างไร? (ตอนที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า โดยปกติพวกเราก็แค่อ่านผ่านๆ หลังจากเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะแล้ว พวกเราก็ผ่านไป พวกเราไม่เข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะเหล่านั้นคืออะไร หรือหลักธรรมความจริงใดที่พวกเราควรปฏิบัติ พวกเราไม่ได้ไตร่ตรองพระวจนะอย่างถี่ถ้วนแบบนั้น) พวกเจ้าตอบกันมาตามแนวคิดเชิงทฤษฎีบางอย่าง และสิ่งที่พวกเจ้าพูดก็ฟังดูถูกต้อง แต่พวกเจ้าไม่เคยมองเห็นถึงสาเหตุรากเหง้าของเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ ผู้คนไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถค้นพบขุมทรัพย์ ทองคำ และเพชรที่บรรจุอยู่ในนั้น และเจ้าจะชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านี้ไปชั่วชีวิต หากเจ้าไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ได้มาซึ่งขุมทรัพย์เหล่านี้ การไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าไม่ทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าช่างมีมากมายเหลือเกิน และทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เจ้าจึงไม่รู้ว่าจะทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะใดดี เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะทั้งหมดนั้นธรรมดา และนี่เองที่เป็นปัญหา การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าเจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง อีกทั้งพระวจนะเหล่านี้เป็นขุมทรัพย์ที่มิอาจประเมินราคาได้และมีประโยชน์ที่สุดสำหรับชีวิตและการดำเนินชีวิตของผู้คน นั่นหมายความว่าเจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าราวกับขุมทรัพย์ที่เจ้ารักมากเกินกว่าที่จะยอมสูญเสียไป ท่าทีที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าแบบนี้เรียกว่าการทะนุถนอมความล้ำค่า การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าเจ้าได้ค้นพบว่า พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดคือขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลที่สุด ว่าพระวจนะของพระเจ้าล้ำค่ากว่าคติประจำชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่คนใดเป็นร้อยพันเท่า นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าได้มาซึ่งความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และเจ้าได้ค้นพบขุมทรัพย์แห่งชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีสูงค่าที่สุดแล้ว การได้รับขุมทรัพย์เหล่านี้สามารถช่วยให้เจ้าเพิ่มคุณค่าของตัวเองและบรรลุความเห็นชอบของพระเจ้า เพราะเหตุนี้ เจ้าจึงทะนุถนอมความล้ำค่าของความจริงเหล่านี้เป็นพิเศษ เราจะยกตัวอย่างจากชีวิตจริงของเรื่องนี้สักตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่าผู้หญิงคนหนึ่งซื้อชุดกระโปรงที่สวยงามมาชุดหนึ่ง และพอเธอกลับมาบ้าน เธอก็ลองใส่ดูหน้ากระจก เธอมองซ้ายมองขวาพลางคิดว่า “ชุดนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน เนื้อผ้าดีเลิศ ฝีมือตัดเย็บก็ประณีต อีกทั้งสวมใส่นุ่มสบาย ฉันช่างโชคดีที่สามารถซื้อเสื้อผ้าสวยๆ เช่นนี้ได้ นี่เป็นเสื้อผ้าที่ฉันโปรดปรานที่สุด แต่ฉันสวมใส่ตลอดเวลาไม่ได้ ฉันจะสวมตอนที่ฉันไปร่วมงานสังคมชั้นสูงที่สุด และพบปะกับผู้คนที่เด่นดังที่สุด” ยามที่เธอพอมีเวลาว่าง เธอก็เอากระโปรงชุดนั้นออกมาชื่นชมและลองสวมอยู่บ่อยๆ หกเดือนให้หลัง เธอก็ยังคงตื่นเต้นกับกระโปรงชุดนั้นเหมือนเดิม และเธอไม่อาจทนยอมสูญเสียกระโปรงชุดนั้นไปได้ นี่คือสิ่งที่หมายถึงการทะนุถนอมความล้ำค่าของบางสิ่ง ท่าทีของพวกเจ้าที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงระดับนี้แล้วหรือยัง? (ยังไม่ถึง) ช่างน่าเวทนาที่พวกเจ้ายังไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะแห่งพระเจ้ามากเท่ากับที่ผู้หญิงคนหนึ่งทะนุถนอมชุดกระโปรงตัวโปรดของเธอราวสมบัติล้ำค่า! ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายแต่กลับล้มเหลวที่จะค้นพบความจริงอันมากมายนั้น และไม่เคยเข้าสู่ความเป็นจริงได้เลย พวกเจ้าพูดเสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริง แต่คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างทางวาจาและตามทฤษฎีเท่านั้น หากมีการหยิบยกบทตอนที่เรียบง่ายที่สุดในพระวจนะของพระเจ้าที่แสดงในตอนแรกขึ้นมาสักบท และพวกเจ้าถูกตั้งคำถามว่าอะไรคือความจริงที่อยู่ในพระวจนะเหล่านั้น เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร หรืออะไรคือข้อกำหนดและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ พวกเจ้าคงจะอับจนคำพูดและไม่อาจเปล่งคำพูดตอบกลับไปได้สักคำ พวกเจ้าได้อ่านและฟังพระวจนะของพระเจ้าไปตั้งมากมาย แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่มีความเข้าใจอันแท้จริงต่อพระวจนะเหล่านั้นเล่า? รากเหง้าของปัญหาอยู่ตรงไหน? ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะผู้คนไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงพอ ณ ระดับที่พวกเจ้าทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้าในปัจจุบันนั้น เจ้ายังห่างไกลจากการค้นพบความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และห่างไกลจากการค้นพบข้อกำหนด หลักธรรม และเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ผ่านทางพระวจนะเหล่านั้น นี่คือเหตุผลที่เมื่อสิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่พวกเจ้า พวกเจ้ามักเกิดความสับสนอยู่เสมอและไม่เคยสามารถค้นพบหลักธรรมได้เลย นี่คือเหตุผลที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมาย แต่กลับไม่เคยรู้เจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่เติบโตหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก หรือเก็บเกี่ยวได้แค่เพียงบำเหน็จรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ผู้คนเช่นนี้น่าเวทนามากไม่ใช่หรือ?
จงอ่านบทตอนนี้อีกครั้ง (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า! เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหาย ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง”) เราขอให้พวกเจ้ามุ่งความสนใจไปที่ประเด็นสำคัญทั้งหลาย และอธิบายหลักธรรมในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งวิธีค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติซึ่งอยู่ในวจนะเหล่านั้นให้กับพวกเจ้า จงอ่านบทตอนนี้อีกครั้งทีละบรรทัดเถิด (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ”) บรรทัดนี้มีหลักธรรมข้อหนึ่งซึ่งผู้คนต้องเข้าใจ นั่นก็คือ จงอย่ารีบร้อน จงอย่าตื่นตระหนก จงอย่าเร่งรีบที่จะเห็นผลลัพธ์ นี่คือท่าทีหนึ่ง บรรทัดแรกนี้มีท่าทีที่ถูกต้องซึ่งผู้คนควรนำมาใช้กับสิ่งต่างๆ ท่าทีที่ถูกต้องนี้อยู่ภายในขอบเขตของเหตุผลแห่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ท่าทีนี้จัดอยู่ในขอบเขตของเหตุผลและความสามารถของผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ คราวนี้จงอ่านบรรทัดที่สอง (“นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์”) บรรทัดนี้หมายความว่าอย่างไร? (นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์) ถูกต้อง เรียบง่ายเช่นนั้นเอง ในที่นี้คำว่า “ให้บ่อยขึ้น” หมายความว่า ไม่ควรทำตามแต่ที่เจ้ารู้สึกอยากทำ และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงนานทีปีหนเท่านั้น นี่หมายความว่าทันทีที่เรื่องเหล่านี้แว่บเข้ามาในความคิด เจ้าควรนำเรื่องเหล่านี้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา หากเจ้าแบกภาระในเรื่องเหล่านี้ หากเจ้ามีหัวใจที่หิวโหยและกระหายความชอบธรรม หากเจ้ากระตือรือร้นที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระเจ้าในเรื่องเหล่านี้ ตลอดจนแก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายที่เจ้าต้องการมองให้ทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้ง ซึ่งหมายถึงด้วยความถี่ที่สูงมาก ยามที่เจ้ามีธุระยุ่งก็จงหาเวลาว่างสักครู่เพื่อพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้เหมือนกับว่าเจ้ากำลังนึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ หรือกำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไปตามสภาพแวดล้อมของเจ้า วิธีการปฏิบัติแบบนี้ชัดเจนมากไม่ใช่หรือ? (ใช่) ตัวอย่างเช่น ตอนที่เจ้าหยุดพักหลังเสร็จจากการรับประทานอาหาร จงไตร่ตรองและอธิษฐานโดยพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนั้นสภาพแวดล้อมนี้ ข้าพระองค์ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ และข้าพระองค์ไม่สามารถมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดกับข้าพระองค์ คนผู้นี้มีเจตนาอะไรกันแน่? ข้าพระองค์ควรแก้ปัญหาประเภทนี้อย่างไร? พระองค์ประสงค์ให้ข้าพระองค์เข้าใจสิ่งใดจากเรื่องนี้?” ด้วยคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนี้ เจ้าอธิษฐานและแสวงหาจากพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าปรารถนาที่จะแสวงหา และแก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายที่เจ้าต้องการเข้าใจ จุดประสงค์ของการอธิษฐานแบบนี้คืออะไร? เจ้าไม่ได้แค่กำลังนำปัญหามาตีแผ่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ากำลังแสวงหาความจริงจากพระเจ้า เจ้ากำลังพยายามให้พระเจ้าทรงเปิดทางออกให้เจ้าและตรัสบอกว่าเจ้าต้องทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งเจ้ากำลังขอให้พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า เจ้าจำเป็นต้องมีภาวะใดจึงจะทำเช่นนี้ได้? (ข้าพระองค์ต้องไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก) การไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกเป็นเพียงท่าทีหนึ่ง—นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก แต่ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นของการที่เจ้าไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกนั้น เจ้าต้องมีหัวใจที่หิวและกระหายความชอบธรรม และเจ้าต้องแบกรับภาระในเรื่องนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นแรงกดดันชนิดหนึ่งต่อเจ้า และแรงกดดันนั้นวางภาระไว้บนบ่าเจ้า เจ้าจึงมีปัญหาที่เจ้าต้องการทำความเข้าใจและแก้ไข นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติของเจ้า ในยามว่างของเจ้า ระหว่างช่วงเวลาเฝ้าเดี่ยวปกติ หรือยามที่เจ้ากำลังพูดคุยกับพี่น้องชายหญิง เจ้าสามารถยกปัญหาและความลำบากยากเย็นที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าขึ้นมาสามัคคีธรรมและแสวงหาร่วมกับพี่น้องชายหญิง หากเจ้ายังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เช่นนั้นก็จงนำปัญหาเหล่านั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง ตอนที่เจ้าทำเช่นนี้ จงพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยังคงไม่รู้วิธีที่ข้าพระองค์ควรรับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการให้กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังคงไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนหรือปฏิบัติอย่างไร ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อยและข้าพระองค์เข้าใจความจริงไม่มาก ได้โปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพระองค์ประสงค์ให้ข้าพระองค์ได้รับหรือเข้าใจอะไรจากสภาพแวดล้อมนี้ หรือว่าพระองค์ทรงต้องการเผยสิ่งใดเกี่ยวกับข้าพระองค์ผ่านทางสภาพแวดล้อมนี้ ได้โปรดให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์และเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด” นี่คือเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พบได้ในบรรทัดที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” จงปฏิบัติเช่นนี้ บางคราวก็คิดในใจของเจ้า บางคราวก็อธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ และบางคราวก็เปล่งเสียงออกมา และบางคราวก็สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า หากเจ้ามีการสำแดงเหล่านี้ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเจ้าสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเช่นนี้ในหัวใจของเจ้าบ่อยครั้ง เช่นนั้นเจ้าย่อมมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า หลังผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมานานหลายปี เจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงไปเองโดยธรรมชาติ การปฏิบัตินี้มีอะไรที่ลำบากยากเย็นบ้างหรือไม่? (ไม่มี) เช่นนั้นก็ดี ยกตัวอย่างเช่น บางคราวเมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งเจ้าอ่านมากขึ้น หัวใจของเจ้าก็ยิ่งรู้สึกผ่องใสมากขึ้น—นี่หมายความว่าเจ้าได้อ่านพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่เจ้ามี และมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันก่อนหน้านี้ของเจ้าก็จะคลี่คลายหมดสิ้นไปในทันที ถึงตอนนี้ เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า การอ่านบทตอนนี้ทำให้หัวใจของข้าพระองค์สว่างไสว ตอนนี้ปัญหาที่ข้าพระองค์มีก่อนหน้านี้พลันชัดเจนต่อข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์รู้ว่านี่คือการให้ความรู้แจ้งของพระองค์ และข้าพระองค์ขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจพระวจนะของพระองค์ในบทตอนนี้” นี่คือการอธิษฐานและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้งไม่ใช่หรือ? (ใช่) การนี้ทำได้ยากเย็นหรือไม่? เจ้าสามารถหาเวลาเพื่อการนี้ได้หรือไม่? (ได้) นับจากจุดเริ่มต้นของการแสวงหาของเจ้าจนถึงการอธิษฐานนี้ เจ้าย่อมจะกำลังปฏิบัติหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” อยู่เป็นนิจแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเจ้าดำเนินชีวิตโดยมีการปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้อยู่เป็นนิจ และยึดมั่นในหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่อยู่ในพระวจนะเหล่านี้เสมอ อีกทั้งดำเนินชีวิตอยู่ในความเป็นจริงเช่นนี้ตลอดเวลา นี่เรียกว่าการยึดปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ การนี้ลำบากยากเย็นหรือไม่? (ไม่ลำบากยากเย็น) เจ้าเพียงต้องใช้หัวใจ ขยับปากพูด จัดสรรเวลาและใช้ความคิดสักหน่อยเล็กน้อย หาเวลาที่จะพูดคุยกับพระเจ้าสักครู่ บอกเล่าความในใจ พร้อมทั้งระบายคำพูดในหัวใจของเจ้าออกมาเป็นครั้งคราว นี่คือการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น การนี้เรียบง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายาม และง่ายดายเช่นนั้นเอง เรื่องนี้ไม่มีอะไรยากลำบากเลย ในหัวใจของเจ้ามีบางสิ่งที่เจ้าถือว่ามีนัยสำคัญเป็นอย่างมาก และเจ้าก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นราวกับภาระ อีกทั้งไม่เคยลืมหรือปล่อยมือจากสิ่งนั้น—เจ้ามีสิ่งนั้นอยู่ในหัวใจ แล้วเจ้าก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นระยะเพื่ออธิษฐานถึงพระองค์ รวมทั้งพูดคุยกับพระองค์เกี่ยวกับสิ่งนั้น เจ้าควรมีหัวใจแบบใดยามพูดคุยกับพระเจ้า? (หัวใจที่จริงใจ) ถูกต้อง เจ้าควรมีหัวใจที่จริงใจ หากเจ้าแบกรับภาระ เช่นนั้นหัวใจของเจ้าย่อมจะเที่ยงแท้ ตอนที่ผู้อื่นพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เจ้าจะอธิษฐานและสามัคคีธรรมกับพระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้า บางคราวที่เจ้าเหนื่อยจากงานและกำลังหยุดพัก เจ้าจะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาและพูดว่า “แบบนี้ไม่ดีเลย ฉันยังคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ ฉันยังต้องพูดคุยเรื่องนี้กับพระเจ้า” เหตุใดเจ้าจะนึกถึงเรื่องนี้ทุกครั้งที่เจ้ามีเวลา? เพราะในหัวใจของเจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เจ้าถือว่าเรื่องนี้เป็นภาระของตัวเองและเป็นความรับผิดชอบประเภทหนึ่ง อีกทั้งเจ้าต้องการทำความเข้าใจและแก้ไขเรื่องนี้ เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและสนทนาพูดคุยกับพระองค์อย่างสนิทสนม หัวใจของเจ้าจะกลายเป็นจริงใจไปโดยธรรมชาติ เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในบริบทนี้และด้วยความคิดจิตใจเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าไม่เย็นชาและห่างเหินดังที่เคยเป็นอีกต่อไป อีกทั้งเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้ากำลังเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นแทน เส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์มีประสิทธิผลต่อผู้คนเช่นนี้เอง เจ้าคิดว่าอย่างไร การปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบนี้ยากเย็นหรือไม่? เจ้าเก็บเรื่องหนึ่งมาคิด และพูดกับพระเจ้าเป็นครั้งคราว เจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทักทายพระองค์เป็นบางเวลา เจ้าพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับความลำบากยากเย็นของเจ้าและสิ่งที่อยู่ในหัวใจ พูดถึงสิ่งที่เจ้าต้องการเข้าใจ สิ่งที่เจ้านึกถึง ข้อกังขาของเจ้า ความลำบากยากเย็นของเจ้า รวมถึงความรับผิดชอบของเจ้า—หากเจ้าพูดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดกับพระเจ้า เจ้าย่อมกำลังดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยการปฏิบัติในหนทางนี้ไม่ใช่หรือ? นี่คือการปฏิบัติไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้มาสักช่วงเวลาหนึ่ง เจ้าย่อมจะสามารถเห็นผลลัพธ์และเก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัลได้อย่างรวดเร็วมากไม่ใช่หรือ? (ใช่) แต่เรื่องนี้เป็นขั้นเป็นตอนและไม่เรียบง่ายเช่นนั้น หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นใกล้ชิดมากขึ้นทุกที ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะดีขึ้น สภาวะของเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที และความสนใจของเจ้าที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าและความจริงก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ นี่คือการมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า หากเจ้าสามารถเข้าใจความจริงบางประการและนำมาปฏิบัติได้ เจ้าย่อมจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม การนี้ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น กว่าเจ้าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนอาจใช้เวลาถึงหกเดือน หนึ่งปี หรืออาจจะสองหรือสามปีด้วยซ้ำ ในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนจะหลุดพ้นจากความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏหรือไม่? ไม่ ต่อให้เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าไปนับครั้งไม่ถ้วนและได้ปฏิบัติในหนทางนี้แล้ว นั่นหมายความว่าเจ้าจะได้ผลลัพธ์อย่างแน่นอนหรือ? พระเจ้าต้องทรงแสดงผลลัพธ์ให้เจ้าเห็นหรือ? พระองค์ต้องทรงให้คำตอบกับเจ้าอย่างนั้นหรือ? ไม่จำเป็น บางคนกล่าวว่า “ถ้าไม่แน่นอนว่าฉันจะได้ผลลัพธ์ และถ้าไม่รับประกันผลลัพธ์ ทำไมพระเจ้าจึงยังทรงกระทำการเช่นนี้? ทำไมพระองค์จึงทรงให้ผู้คนปฏิบัติในหนทางนี้?” ไม่ต้องกังวล การปฏิบัติในหนทางนี้จะไม่ปราศจากดอกผลอย่างเด็ดขาด ต่อให้เจ้าปฏิบัติในหนทางนี้เป็นปีหรือสองปีและไม่คิดว่าตนจะได้เห็นผลลัพธ์ในทันทีหรือในระยะเวลาอันสั้น แต่บางทีในห้าหรือสิบปีให้หลัง เมื่อพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมที่คล้ายกันให้กับเจ้าอีกครั้ง เจ้าก็จะตระหนักรู้ความจริงแง่มุมที่เจ้าไม่สามารถตระหนักรู้มาก่อนได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้น ความจริงนี้ที่เจ้ามาตระหนักรู้และเข้าใจหลังผ่านไปห้าหรือสิบปีก็พึงต้องมีรากฐานที่สร้างจากประสบการณ์ ความรู้ และความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้า การตระหนักรู้ภายหลังนี้ต้องมีพื้นฐานอยู่บนรากฐานนี้ เจ้าคิดว่าการที่ผู้คนจะเข้าใจแง่มุมหนึ่งของความจริงเป็นเรื่องง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) นี่คือนัยสำคัญและคุณค่าของการจ่ายราคาเพื่อปฏิบัติความจริง นี่คือหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่อยู่ในบรรทัดที่สองที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์”—บรรทัดนี้เขียนขึ้นด้วยภาษาที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ อีกทั้งเข้าใจง่ายมาก นี่หมายความว่าเจ้าต้องอธิษฐานให้มากขึ้นและมีหัวใจที่จริงใจ เนื่องจากหัวใจที่จริงใจนำพาสิ่งต่างๆ ให้ผลิดอกออกผล เรียบง่ายแค่นั้นเอง อย่างไรก็ตาม โดยแท้จริงแล้วพระวจนะเหล่านี้ก็คือความเป็นจริงความจริงที่ทุกคนต้องเข้าสู่ และเป็นเส้นทางเดียวที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและบรรลุความรอดในท้ายที่สุด แม้บรรทัดนี้เป็นพระวจนะที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย แต่ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์และเข้าสู่ในหนทางนี้ นี่ก็เหมือนการก่อสร้างอาคาร ไม่ว่าอาคารหลังนั้นจะมี 30 ชั้น 50 ชั้น หรือแม้แต่เป็นร้อยชั้น แต่อาคารนั้นก็ต้องมีรากฐาน หากรากฐานของอาคารนั้นไม่มั่นคง เช่นนั้นไม่ว่าอาคารจะสูงสักเท่าใดก็จะไม่คงทนอยู่นานนัก อาคารหลังนั้นจะทรุดตัวลงภายในเวลาไม่กี่ปี นี่หมายความว่า ขณะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้คนต้องมีความจริงเป็นรากฐานของตน นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะตั้งมั่นและได้มาซึ่งความเห็นชอบของพระเจ้า หากผู้คนต้องการมาสู่ความเข้าใจในความจริงที่สูงส่งและลึกซึ้งขึ้น พวกเขาต้องมีสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด—นั่นก็คือสิ่งที่ก่อให้เกิดรากฐาน การมีรากฐานที่สั่นคลอนเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด จงอย่าดูแคลนความจริงขั้นพื้นฐานที่สุดเหล่านี้ อย่าดูแคลนหลักธรรมและเส้นทางแห่งการปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุดเหล่านี้ ตราบใดที่สิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้คนควรมีและปฏิบัติ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะใหญ่หรือเล็ก สูงหรือต่ำก็ไม่สำคัญ เจ้าต้องเริ่มจากพื้นฐาน นี่เป็นหนทางเดียวที่จะปูรากฐานให้มั่นคง
ตอนนี้จงอ่านบรรทัดที่สาม (“จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า”) “จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า” อ้างอิงถึงอะไร? อ้างอิงถึงความเชื่อและนิมิต เมื่อเจ้าได้รับการเกื้อหนุนและชี้นำโดยนิมิตนี้ เจ้าจะมีเส้นทางอยู่ตรงหน้า การปฏิบัติในหนทางนี้จะเป็นผลหรือไม่? บางคนพูดว่า “ฉันเริ่มเบื่อหน่ายกับการปฏิบัติทั้งหมดนี้ขึ้นมาเสียแล้ว และพระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงให้ความรู้แจ้งหรือตรัสบอกอะไรกับฉันเลย ฉันไม่สามารถรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้าเลย มีพระเจ้าอยู่จริงๆ หรือ?” เจ้าคิดแบบนี้ไม่ได้ พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ไม่ว่าพระองค์จะตรัสกับเจ้าหรือไม่ เมื่อพระองค์ประสงค์ที่จะตรัสกับเจ้าแล้วพระองค์ตรัสกับเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ เมื่อพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะตรัสกับเจ้า และไม่ตรัสกับเจ้า พระองค์ก็ยังคงทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจสิ่งทั้งหลายหรือไม่ แก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระเจ้านั้นไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา นี่คือนิมิตที่ผู้คนต้องเข้าใจ นี่คือบรรทัดที่สามซึ่งเรียบง่ายมาก แม้บรรทัดนี้จะเรียบง่าย แต่ผู้คนก็ต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้อย่างแท้จริง เมื่อผู้คนมีประสบการณ์เช่นนั้น ก็จะเป็นการยืนยันให้พวกเขารู้ว่า พระวจนะเหล่านี้คือความจริงอย่างแท้จริง และพวกเขาก็จะไม่กล้ากังขาในพระวจนะเหล่านี้อีกต่อไป
จงอ่านบรรทัดที่สี่ (“เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า”) “เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า” นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จากมนุษย์ ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “แสนยิ่งใหญ่” การเดินกร่างและโอ้อวดไปทั่ว การมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ความโอหังและคิดว่าตัวเองถูก ชอบบงการและชอบใช้อำนาจเด็ดขาด รวมทั้งการไม่เชื่อฟังผู้ใดนั้น “แสนยิ่งใหญ่” หรือไม่? ควรทำความเข้าใจบรรทัดที่ว่า “ความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า” กันอย่างไร? เจ้าจะมี “ความมุ่งมั่นต่อพระเจ้า” ได้อย่างไร? ดังที่บรรทัดก่อนหน้านี้กล่าวไว้ว่า เจ้าต้อง “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์”—เจ้าต้องมีความอยากและความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและไล่ตามเสาะหาความรอด อีกทั้งเจ้าต้องมีความอยากที่จะยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า เพื่อที่จะบรรลุความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าและการนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า นี่จึงเรียกว่าความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แม้ว่าพระเจ้าทรงใช้ภาษามนุษย์เพื่อบรรยายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด แต่ผู้คนก็ควรทำความเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้ในหนทางอันบริสุทธิ์ และไม่ตีความในแบบสุดโต่ง คำว่า “แสนยิ่งใหญ่” ในที่นี้ไม่ได้บ่งถึงการใช้แต่กำลังอย่างดุเดือดเกินความจำเป็นเพื่อทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ปราศจากความยั้งคิด นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับการไม่รู้ความหรือความหุนหันพลันแล่น โดยหลักแล้ว “แสนยิ่งใหญ่” อ้างถึงความมุ่งมั่นของคนคนหนึ่ง นี่ก็เหมือนกับเวลาที่คนคนหนึ่งทะนุถนอมความล้ำค่าของบางสิ่งบางอย่างจนถึงขั้นที่ต้องมีสิ่งนั้นให้ได้ อีกทั้งเหมือนเวลาที่เขามุ่งมั่นที่จะครอบครองสิ่งนั้น และจะไม่ล้มเลิกจนกว่าจะได้มา “ความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า” นี้คือสิ่งซึ่งเป็นบวกโดยสมบูรณ์ และสามารถสัมฤทธิ์แต่ผลลัพธ์ที่เป็นบวกเท่านั้น ดังนั้นความหมายที่ถูกต้องของ “ความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า” คืออะไร? (นี่หมายถึงการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น อีกทั้งมีความปรารถนาและความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าใจความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่อยู่ในสิ่งทั้งหลายที่คนเราเผชิญ) ถูกต้อง การนี้เรียบง่ายเช่นนี้เอง นี่หมายถึงการละทิ้งผลประโยชน์และความยินดีทางเนื้อหนังของเจ้า รวมถึงการยอมทิ้งเวลาว่างส่วนตัว แล้วใช้เวลานี้เพื่อสิ่งที่เป็นบวก อาทิ การแสวงหาจากพระเจ้า การอธิษฐานถึงพระเจ้า การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และการแสวงหาที่จะเข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า นี่เป็นเรื่องของการอธิษฐานเพื่อบางสิ่ง และเป็นการแสวงหา การสละเวลาและพลังงานของตนอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเป็นการจ่ายราคาบางอย่างเพื่อทำความเข้าใจแง่มุมหนึ่งของความจริง นี่จึงเรียกว่า ความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า นี่เป็นการอธิบายเรื่องนี้ในหนทางที่ถูกต้องหรือไม่? คำอธิบายนี้ตรงกับเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? ถ้อยคำเหล่านี้เข้าใจง่ายหรือไม่? (เข้าใจง่าย) ดังนั้นการสำแดงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการที่คนเราแยกเขี้ยวเผยกรงเล็บแย่งชิงสิ่งที่คนเราต้องการโดยใช้ความรุนแรงหรือไม่? นี่สำแดงถึงความหยาบคาย ความหุ่นหันพลันแล่น และการขาดพร่องปัญญาหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว “แสนยิ่งใหญ่” หมายถึงอะไร? จงพูดสิ่งที่เราเพิ่งพูดกับพวกเจ้าซ้ำอีกครั้ง (นั่นหมายถึงการสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าใจความจริง สามารถละทิ้งความยินดีทางเนื้อหนังบางอย่าง ใช้เวลาและพลังงานในการแสวงหาความจริงให้มากขึ้น รวมทั้งสามารถสละพลังงานและจ่ายราคาให้กับการนี้) แล้วจะนำการนี้มาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? เราจะยกตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่ง บางคราวจู่ๆ เจ้าจะตระหนักขึ้นมาว่าเจ้าไม่ได้เห็นนักแสดงคนโปรดมานานเหลือเกินแล้ว และสงสัยว่าเขากำลังแสดงภาพยนตร์เรื่องอะไรอยู่บ้าง เจ้าต้องการจะค้นหาข่าวเกี่ยวกับเขาทางคอมพิวเตอร์ แต่แล้วเจ้าก็จะฉุกคิดและไตร่ตรองว่า “แบบนั้นไม่ถูกต้อง ภาพยนตร์ที่เขาแสดงเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย? การดูภาพยนตร์ตลอดเวลาเรียกว่าการละเลยต่องานที่ถูกควรของตน ฉันต้องมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว” จากนั้นเจ้าก็จะสงบจิตใจลงและนึกถึงปัญหาที่เจ้ากำลังแสวงหาคำตอบก่อนหน้านี้ในการสถิตของพระเจ้า เจ้ายังคงขาดมโนคติในเรื่องนั้น และเจ้าไม่เข้าใจในเรื่องนั้นเลย ดังนั้นเจ้าก็จะแค่ทำใจให้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจวางหัวใจของข้าพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระองค์ สภาพแวดล้อมที่ข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์ในช่วงนี้ส่งผลต่อข้าพระองค์อย่างใหญ่หลวง ถึงอย่างนั้นข้าพระองค์ก็ยังคงไม่สามารถนบนอบ และข้าพระองค์ยังคงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คืออธิปไตยของพระองค์ ได้โปรดประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ ทรงนำข้าพระองค์ อีกทั้งเผยความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของข้าพระองค์ในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และนบนอบได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานแล้ว เจ้าจะไตร่ตรองและคิดว่า “ไม่ได้ ปัญหาของฉันยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย ฉันจำเป็นต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อหาทางออก” จากนั้นเจ้าก็จะไปอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่ออีกสักพักหนึ่งทันที เมื่อดูเวลา เจ้าก็จะพูดว่า “โอ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว! พระวจนะของพระเจ้าช่างดีงามจริงๆ แต่บทตอนที่ฉันอ่านก็ไม่เกี่ยวกับปัญหาของฉันเลยสักนิด ดังนั้นประเด็นปัญหาของฉันก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าประสงค์ให้ฉันเข้าใจอะไรจากการจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมนี้ให้กับฉัน และฉันไม่รู้เจตนารมณ์ของพระองค์ ฉันต้องรีบทำงานด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน และฉันต้องไม่ผัดผ่อนเรื่องสำคัญๆ ทั้งหลาย บางทีสักวันหนึ่ง ฉันอาจจะได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เหมาะสมและแก้ปัญหาของฉันได้” นี่ใช่การสละเวลาและพลังงานหรือไม่? (ใช่) การนี้เรียบง่ายแบบนั้นเอง ขณะที่ขัดขืนต่อความชอบของตนเองและยอมละทิ้งความบันเทิงกับยามว่างของตนนั้น เจ้าย่อมจะได้รับความจริงใจเล็กๆ น้อยๆ และปฏิบัติความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าเล็กน้อย เจ้าจะรู้สึกสบายใจและเปี่ยมสันติสุขในหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าจะได้รับประสบการณ์ส่วนตนกับสันติสุขอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งการบำรุงเลี้ยงที่ได้จากการขัดขืนเนื้อหนังและการละทิ้งความสุขสำราญทางเนื้อหนังของตนเป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าจะได้ลิ้มรสด้วยตัวเองอีกด้วยว่า การสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การเปิดใจกับพระเจ้า และการกล่าวคำพูดที่อยู่ในหัวใจของเจ้ากับพระองค์นั้นนำพาสันติสุขและความพอใจมาสู่ตัวเจ้าอย่างไร—ซึ่งเป็นสิ่งที่การใส่ใจกระแสนิยมและกิจธุระทางสังคมทั้งหลายไม่อาจนำพามาได้—อีกทั้งเจ้ายังสามารถได้รับบางสิ่งจากการนั้น รวมถึงมาเข้าใจความจริงและรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมายอีกด้วย ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าจะรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าดีงามจริงๆ รู้สึกว่าพระเจ้าทรงดีงามอย่างแท้จริง และการบรรลุความจริงคือการได้รับขุมทรัพย์อันล้ำค่าจริงๆ เจ้าไม่เพียงจะสามารถรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากมายโดยปราศจากความสับสน แต่เจ้าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นผลที่สัมฤทธิ์ได้โดยความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า การปฏิบัติในหนทางนี้ การอุทิศเวลาและพลังงานของเจ้า รวมถึงการยอมทิ้งความสุขสำราญทางเนื้อหนังของเจ้า—นี่คือการสำแดงอย่างหนึ่งของความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? การสำแดงนี้ว่างเปล่าหรือไม่? (ไม่ว่างเปล่า) การนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่? (ง่าย) การนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายมาก นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติสามารถสัมฤทธิ์ได้
เมื่อผู้คนมีความคิด พวกเขาก็มีตัวเลือก หากบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาเลือกผิด พวกเขาก็ควรหันตัวเองกลับมาและเลือกให้ถูก พวกเขาต้องไม่ยึดติดอยู่กับข้อผิดพลาดของตนเป็นอันขาด ผู้คนเช่นนี้คือคนมีปัญญา แต่หากพวกเขารู้ว่าพวกเขาเลือกผิดและไม่หันตัวเองกลับมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือคนที่ไม่รักความจริง และบุคคลเช่นนี้แท้จริงแล้วไม่ต้องการพระเจ้า ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าอยากทำแบบสุกเอาเผากิน เจ้าพยายามอู้งานและพยายามหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ในช่วงเวลาเช่นนี้ จงรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคิดทบทวนว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องในการลงมือกระทำการหรือไม่ จากนั้นจงคิดดูว่า “ทำไมฉันถึงเชื่อในพระเจ้า? การทำอะไรสุกเอาเผากินเช่นนี้อาจรอดสายตาผู้คน แต่จะรอดสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น การที่ฉันเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพื่อที่จะอู้งาน—แต่เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด การที่ฉันทำเช่นนี้จึงไม่ใช่การแสดงออกถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงรัก ไม่ละ ฉันอาจหย่อนยานและทำตามใจชอบได้ในโลกภายนอก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ฉันคือคนคนหนึ่ง ฉันต้องกระทำการตามมโนธรรมของฉัน ฉันจะทำตามใจชอบไม่ได้ ฉันต้องกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องไม่สุกเอาเผากิน ฉันจะย่อหย่อนไม่ได้ ดังนั้นฉันควรทำอย่างไรจึงจะไม่อู้งาน ไม่สุกเอาเผากิน? ฉันต้องทุ่มเทความพยายามลงไปบ้าง เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ลำบากเกินไป ฉันต้องการหลีกเลี่ยงความยากลำบาก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการทำแบบนั้นอาจลำบากมาก แต่มีประสิทธิผล และดังนั้นนั่นคือวิธีที่ควรทำ” เมื่อเจ้าทำงานและยังคงรู้สึกกลัวความยากลำบาก ในช่วงเวลาเช่นนั้นเจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ช่างเป็นคนที่เกียจคร้านและกลิ้งกลอก ขอพระองค์บ่มวินัยและตำหนิข้าพระองค์เถิด เพื่อให้มโนธรรมของข้าพระองค์รู้สึกอะไรบ้างและให้ข้าพระองค์มีสำนึกละอายแก่ใจ ข้าพระองค์ไม่อยากสุกเอาเผากิน ขอวิงวอนให้พระองค์ทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์เห็นความเป็นกบฏและความอัปลักษณ์ของตน” เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ ทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเอง การนี้ย่อมจะทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมา และเจ้าจะสามารถเกลียดชังความอัปลักษณ์ของตน และสภาวะที่ผิดของเจ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง และเจ้าจะสามารถใคร่ครวญสิ่งนี้และพูดกับตนเองว่า “ทำไมฉันถึงสุกเอาเผากิน? ทำไมฉันถึงพยายามที่จะอู้งานอยู่เสมอ? การกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ—ฉันยังคงเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่อีกหรือ? ทำไมฉันจึงไม่จริงจังกับสิ่งทั้งหลาย? ฉันเพียงจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นอีกนิดไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่ภาระหนักหนาอะไร นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ ถ้าฉันทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันจะสมควรได้ชื่อว่ามนุษย์หรือ?” ผลก็คือเจ้าจะตั้งปณิธานและกล่าวคำปฏิญาณว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ผิดหวัง ข้าพระองค์เสื่อมทรามเกินไปโดยแท้ ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ และขอวิงวอนให้พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ถ้าข้าพระองค์ไม่กลับใจ ขอให้พระองค์ทรงลงโทษข้าพระองค์” หลังจากนั้นวิธีคิดของเจ้าจะหันกลับมา และเจ้าจะเริ่มเปลี่ยนไป เจ้าจะกระทำการและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีสติ สุกเอาเผากินน้อยลง และเจ้าจะสามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้ เจ้าจะรู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตนในหนทางนี้แสนวิเศษ และเจ้าจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดีอยู่ในหัวใจ เมื่อผู้คนสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เมื่อพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระองค์และพึ่งพาพระองค์ สภาวะของพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า เมื่อสภาวะที่เป็นลบในหัวใจของเจ้าพลิกกลับ และเจ้าได้ขัดขืนเจตนารมณ์ของตนเองรวมถึงความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเนื้อหนัง เมื่อเจ้าสามารถปล่อยมือจากความชูใจและความสุขสำราญของเนื้อหนัง อีกทั้งปฏิบัติตนตามข้อกำหนดของพระเจ้า และไม่บุ่มบ่ามหรือทำตามอำเภอใจอีกต่อไป เจ้าย่อมจะมีสันติสุขในหัวใจและไม่ถูกตำหนิโดยมโนธรรมของเจ้า การต้านทานเนื้อหนังและปฏิบัติตนตามข้อกำหนดของพระเจ้าในหนทางนี้นั้นง่ายหรือไม่? ตราบที่ผู้คนมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถต้านทานเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงได้ และตราบที่เจ้าสามารถปฏิบัติในหนทางนี้ เจ้าก็จะกำลังเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว การนี้จะไม่ยากเย็นอะไรเลย แน่นอนว่าเวลาปฏิบัติความจริง เจ้าต้องก้าวผ่านขั้นตอนการดิ้นรนและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางการคิดอ่านของเจ้า และสิ่งเหล่านี้ต้องแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง หากเจ้าเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่รักความจริง เจ้าย่อมจะแก้ไขสภาวะที่เป็นลบของตัวเองได้ยาก อีกทั้งเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้ ระดับของความลำบากยากเย็นที่คนคนหนึ่งเผชิญในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงการคิดของเขานั้นขึ้นอยู่กับว่าเขายอมรับความจริงได้หรือไม่ หากเขายอมรับความจริงไม่ได้ เช่นนั้นก็จะยากเย็นเกินไปที่เขาจะเปลี่ยนการคิดอ่านของตัวเอง ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงจะพบว่าการนี้ไม่ยากเลย พวกเขาจะสามารถปฏิบัติและนบนอบความจริงไปตามธรรมชาติ ผู้คนที่รักความจริงอย่างแท้จริง สามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเอาชนะความลำบากยากเย็นในทุกระดับ ในหนทางนี้ พวกเขาจะมีคำพยานจากประสบการณ์ และนี่คือหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า ในเมื่อหัวใจของเจ้ามีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มีความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏใช่หรือไม่? ไม่ใช่ นี่หมายความว่า เมื่อเจ้ามีหัวใจซึ่งมีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมสามารถปฏิบัติตนตามมโนธรรมและเหตุผลของตนได้ อีกทั้งเจ้าย่อมสามารถแสวงหาความจริงได้ ในหนทางนี้ เจ้าสามารถเลือกได้ถูกต้องในทุกสถานการณ์ รวมทั้งปฏิบัติและเข้าสู่ได้ในทิศทางที่ถูกต้อง นี่เรียกว่าหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า การสำแดงเหล่านี้กลวงเปล่าหรือไม่? (ไม่กลวงเปล่า) การสำแดงเหล่านี้ไม่กลวงเปล่าหรือคลุมเครือ แต่กลับเป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างมาก อีกทั้งไม่ใช่นามธรรมแต่อย่างใด คนบางคนกล่าวว่า “โอ้ ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นเวลาของการปฏิบัติความจริง ฉันมักเผชิญกับความลำบากยากเย็นเสมอ ฉันเกิดวิตกกังวลเสียจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ยังคงไม่มีเส้นทาง ฉันต้องการปฏิบัติความจริงโดยไม่ต้องเผชิญความยากลำบากทางกายใดๆ หรือทนทุกข์กับการสูญเสียผลประโยชน์ใดของตัวเองอยู่เสมอ และผลลัพธ์ก็คือ ฉันไม่สามารถหาเส้นทางได้เลย ฉันเพิ่งตระหนักในตอนนี้เองว่าการมีหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้านั้นช่างเรียบง่าย เสียดายที่ฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนและไม่ได้นำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติเสียแต่เนิ่นๆ!” เจ้าต้องติเตียนใครที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า? ใครบังคับเจ้าไม่ให้ทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และได้แต่ดิ้นรนอย่างมืดบอดแทน? ตอนนี้พวกเราสามารถสรุปประโยคนี้ได้ว่า เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเข้าใจความจริง กล่าวคือ เจ้าสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วยการมาถึงจุดที่เจ้ารับมือกับเรื่องทั้งหลายอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงเท่านั้น เจ้าต้องไม่ทำสิ่งทั้งหลายไปตามเจตจำนงส่วนตน หรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ อีกทั้งเจ้าต้องไม่รวบรวมสมัครพรรคพวกหรือหาผู้หนุนหลังในคริสตจักร พวกที่ทำแบบนั้นย่อมจะไม่มีปลายทางที่ดี พวกที่ไม่มุ่งเน้นการทำหน้าที่ของตนให้ดี พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง รวมทั้งพวกที่เคารพยกย่องและพึ่งพาผู้อื่นเสมอ รวมถึงพวกที่รักการเดินตามพวกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ในการสร้างความปั่นป่วนอย่างไร้จิตสำนึกล้วนพาตัวเองไปสู่ความย่อยยับจากการดิ้นรนและการสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับความรอดของตน นี่จะทำให้พวกเขางงงัน หากเจ้าต้องการหยุดทำตามหนทางของตนเอง เจ้าก็ต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้มากขึ้น และอธิษฐานถึงพระองค์ รวมทั้งแสวงหาความจริงในสรรพสิ่ง นี่คือวิธีที่เจ้าจะสามารถบรรลุผลลัพธ์เป็นความเข้าใจความจริง เริ่มต้นบนเส้นทางแห่งการปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง ประเด็นที่เป็นหัวใจสำคัญในที่นี้ก็คือ เจ้าต้องไม่มีวันเดินตามหรือคล้อยตามคนอื่น วันหนึ่งเดินตามคนคนนี้เพราะเจ้าคิดว่าเขายอดเยี่ยม แล้ววันต่อมาก็เดินตามคนอื่นเพราะเจ้าคิดว่าเขาถูกต้อง ใช้เวลามากมายไปกับการดิ้นรนโดยไม่ได้รับความจริง ไม่ว่าเจ้าเผชิญกับปัญหาใด เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าเดินตามผู้อื่นอย่างมืดบอด เดินตามใครก็ตามที่พูดจาดีและใช้คำพูดที่ฟังดูสูงส่ง นั่นย่อมหมิ่นเหม่ที่เจ้าจะถูกหลอกลวง ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อเพียงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาควรฟังแต่พระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น การทำเช่นนั้นจะป้องกันไม่ให้เจ้าเดินตามผู้คนอื่นและคล้อยตามผู้อื่นไปตามเส้นทางที่ผิด
จงอ่านบรรทัดต่อไป (“แสวงหาอย่างสุดกระหายในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนา และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน”) บรรทัดนี้ก็เกี่ยวกับการปฏิบัติเช่นกัน “การแสวงหาอย่างสุดกระหาย” อ้างอิงถึงการต้องการปฏิบัติความจริงแต่ขาดเส้นทาง และการต้องการทำให้พระเจ้าพอพระทัยแต่ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร—เมื่อเจ้าสุดกระหายเช่นนี้ เจ้าย่อมจะแสวงหาและอธิษฐาน การรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีสิ่งที่ตัวเองขาดอยู่มากมายจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบว่าตัวเองขาดเส้นทางเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย กบฏและทำสิ่งต่างๆ ในหนทางที่เจ้าต้องการเสมอ มีความอึดอัดในหัวใจ ต้องการปฏิบัติความจริงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร—นี่คือความรู้สึกของการสุดกระหาย หากเจ้าสุดกระหาย เจ้าก็ต้องแสวงหา หากเจ้าไม่แสวงหา เจ้าก็จะไม่มีเส้นทาง หากเจ้าไม่แสวงหา เจ้าก็จะตกลงสู่ความมืดมิด หากเจ้าไม่เคยแสวงหา เจ้าก็จะจบเห่ เจ้าจะเป็นผู้ไม่เชื่อคนหนึ่ง “การปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนา และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน” หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่า ยามที่ผู้คนเผชิญสถานการณ์ต่างๆ พวกเขามีเจตจำนงของตนเองเสมอ พวกเขานึกถึงประโยชน์ทางเนื้อหนังของตนเสมอ และพวกเขามองหาทางออกให้กับเนื้อหนังของตนเองเสมอ ในเวลาแบบนี้ มโนธรรมของเจ้าจะตำหนิเจ้า กระตุ้นเตือนเจ้าให้ปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า ในสถานการณ์เช่นนั้น ในหัวใจของเจ้าจะมีการดิ้นรน และเจ้าควรปฏิเสธข้อแก้ตัวของซาตานและปฏิเสธเหตุผลนานาประการของเนื้อหนัง “การปฏิเสธ” หมายถึงการสามารถทำความเข้าใจและรู้เท่าทันข้อแก้ตัวและเหตุผลต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อการไม่ปฏิบัติความจริง ซึ่งก็คือเจตนารมณ์และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน แล้วจากนั้นก็ต้านทานสิ่งเหล่านั้น นี่คือขั้นตอนแห่งการปฏิเสธ แนวคิด เจตนารมณ์ และจุดมุ่งหมายอันเสื่อมทรามบางอย่าง ตลอดจนความรู้ ปรัชญา ทฤษฎี รวมทั้งหนทางแบบมนุษย์ วิถีทาง เล่ห์เหลี่ยม และกลอุบายในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันผุดขึ้นในตัวผู้คนเป็นบางครั้ง เมื่อเกิดเช่นนี้ขึ้น ผู้คนควรตระหนักรู้ในทันทีว่านี่คือสิ่งเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา และพวกเขาควรรีบคว้าสิ่งเหล่านั้นไว้ แสวงหาความจริง ชำแหละสิ่งเหล่านั้นให้ถี่ถ้วน มองเห็นความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน รวมทั้งปฏิเสธและต้านทานสิ่งเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิงเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไร ตราบใดที่แนวคิด ความคิด เจตนารมณ์อันเสื่อมทราม หรือมโนคติอันหลงผิดได้ผุดขึ้นในตัวคนคนนี้แล้ว เขาก็ควรคว้าสิ่งเหล่านั้นไว้ในทันที ทำความเข้าใจและมองให้ทะลุ ต้านทานสิ่งเหล่านั้น แล้วจากนั้นจึงกลับตัวเสียใหม่ ขั้นตอนเป็นแบบนั้น นี่คือวิธีปฏิบัติในการปฏิเสธซาตานและขัดขืนเนื้อหนัง เป็นเรื่องเรียบง่ายมากไม่ใช่หรือ? ในข้อเท็จจริงนั้น ขั้นตอนนี้ถูกพูดถึงไปแล้วในสองตัวอย่างที่เพิ่งยกขึ้นมาเมื่อสักครู่ นี่คือหลักธรรมแห่งการปฏิบัติสำหรับการจัดการกับสภาวะที่ไม่ถูกควรซึ่งผุดขึ้นในตัวผู้คนยามที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดแก่พวกเขา
อ่านต่อไปเถิด (“จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า”) นี่หมายถึงการแสวงหาและรอคอยด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้า วลีเรียบง่ายสี่วลีนี้ที่ว่า “จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า” มีสองความหมาย สองความหมายนี้คืออะไร? (ความหมายแรกคือ จงอย่าสิ้นหวัง และ จงอย่าอ่อนแอ นั่นก็คือจงอย่าหมดกำลังใจหรือกลายเป็นท้อแท้เมื่อเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็น หรือไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ไปชั่วขณะในขั้นตอนแห่งการแสวงหาของเจ้า ความหมายที่สองก็คือ เจ้าควรแสวงหาและรอคอยด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า นั่นคือเจ้าต้องมีความพากเพียรในขั้นตอนแห่งการแสวงหาของตน เจ้าต้องแสวงหาและอธิษฐานอย่างต่อเนื่องเมื่อเจ้าไม่เข้าใจ และรอคอยให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าเผยออกมา นี่คือความหมายที่สอง) “จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ” หมายความว่าผู้คนต้องดำรงความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และพระเจ้าสามารถประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขาและทรงทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงได้ แล้วเหตุใดตอนนี้เจ้าไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เล่า? เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทำให้เจ้ารู้แจ้งตอนนี้? นี่ต้องมีเหตุผลบางประการ เหตุผลพื้นฐานประการหนึ่งคืออะไร? นั่นก็แค่เพราะเวลาของพระเจ้ายังมาไม่ถึง พระเจ้ากำลังทรงทดสอบความเชื่อของเจ้า และในเวลาเดียวกันพระองค์ก็ประสงค์ที่จะใช้วิธีการนี้เสริมความเข้มแข็งให้กับความเชื่อของเจ้า นี่คือสิ่งพื้นฐานที่ผู้คนควรรู้และเข้าใจ สมมุติว่าเจ้าได้กระทำการตามหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว เจ้าได้อธิษฐาน เจ้าได้แสวงหาแล้ว เจ้ามีหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า เจ้าได้เริ่มทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสนใจพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าก็เตือนตัวเองบ่อยครั้งให้ปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ไถลห่างจากพระองค์ และแสวงหาขณะที่ทำสิ่งทั้งหลาย ถึงอย่างนั้นเจ้าก็คิดในใจว่า “ฉันคิดว่าฉันยังรู้สึกไม่ชัดเจนว่าพระเจ้าได้ประทานความรู้แจ้ง ความกระจ่าง หรือการทรงนำพิเศษอะไรให้กับฉัน และฉันก็ยังไม่มีความรู้สึกที่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าพระเจ้าได้ทรงมอบของประทานพิเศษ พรสวรรค์ หรือความสามารถที่พิเศษอะไรให้กับฉันสำหรับหน้าที่ที่ฉันปฏิบัติ แทนที่จะรู้สึกเช่นนั้น ฉันกลับรู้สึกว่าผู้คนที่เทียบฉันไม่ได้กลับเข้าใจมากกว่าฉัน ทำหน้าที่ได้ดีกว่าฉัน และมีคารมคมคายในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากกว่า ทำไมฉันถึงไม่ดีเท่าคนอื่นเล่า? ทำไมฉันถึงยังยืนอยู่ที่เดิมและก้าวหน้าไปนิดเดียว?” เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งคือตัวผู้คนเหล่านั้นเองมีปัญหามากมาย อาทิ วิธีการ เจตนารมณ์ และจุดมุ่งหมายส่วนตัวในการแสวงหา รวมทั้งเจตนารมณ์และแรงจูงใจของพวกเขาในการอธิษฐานถึงพระเจ้าและร้องขอต่อพระเจ้า เป็นต้น ภายในสิ่งทั้งหมดนี้ เจ้าจำเป็นต้องทบทวน ได้รับความรู้ ค้นพบปัญหาที่อยู่ภายใน และเปลี่ยนแปลงครรลองของเจ้าในทันที ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดในเรื่องนี้ เหตุผลข้อที่สองก็คือ เมื่อเป็นเรื่องที่พระเจ้าประทานให้กับผู้คนแต่ละคนมากน้อยเพียงใด และพระองค์ประทานให้กับพวกเขาด้วยวิธีไหน พระเจ้าทรงมีวิธีการของพระองค์เอง พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไว้ว่า “เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น” (อพยพ 33:19) บางทีเจ้าอาจเป็นเป้าหมายแห่งพระคุณของพระเจ้า บางทีเจ้าอาจเป็นเป้าหมายแห่งพระเมตตาของพระองค์ หรือบางทีเจ้าอาจไม่ใช่ผู้คนทั้งสองประเภทที่พระเจ้าได้ตรัสถึง บางทีพระเจ้าอาจทรงดำริว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าผู้อื่น หรือการทดสอบและการกล่อมเกลาเจ้าพึงต้องใช้เวลามากกว่าผู้อื่น มีเหตุผลมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง ผู้คนไม่ควรตั้งข้อเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้ออันใดกับพระเจ้า สิ่งเดียวที่เจ้าพึงทำคือ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ และ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า ก่อนที่พระเจ้าจะทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจและทรงให้คำตอบแก่เจ้า สิ่งเดียวที่เจ้าควรทำคือแสวงหา ในขณะเดียวกันก็รอเวลาที่พระเจ้าจะประทานบางสิ่งให้กับเจ้า เวลาที่พระเจ้าจะทรงมีพระคุณต่อเจ้า และเวลาที่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า พระเจ้าไม่ทรงแจกจ่ายสิ่งต่างๆ ให้กับผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถใช้คำว่า “เท่าเทียม” มาเรียกร้องกับพระเจ้า เมื่อพระเจ้าประทานบางสิ่งแก่เจ้า นั่นเป็นเวลาที่เจ้าควรได้รับสิ่งนั้น เมื่อพระเจ้าไม่ประทานบางสิ่งแก่เจ้า นั่นย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรได้รับสิ่งนั้นในเวลานั้น เมื่อพระเจ้าตรัสว่าเจ้าไม่ควรได้รับบางสิ่ง และพระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะประทานให้กับเจ้า เจ้าควรทำเช่นไร? คนที่มีเหตุผลย่อมจะพูดว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ประทานสิ่งนั้นให้กับฉัน เช่นนั้นฉันก็จะนบนอบและรอ ตอนนี้ฉันไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งนั้น บางทีอาจเป็นเพราะวุฒิภาวะของฉันแบกรับสิ่งนั้นไว้ไม่ได้ แต่หัวใจของฉันสามารถนบนอบพระเจ้าโดยไม่พร่ำบ่นหรือสงสัย และไม่มีความกังขาใดๆ อย่างแน่นอน” ในเวลาเช่นนี้ ผู้คนไม่ควรสูญเสียเหตุผล ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร เจ้าก็ควรเลือกอย่างมีเหตุผลที่จะนบนอบพระเจ้า มีเพียงท่าทีเดียวเท่านั้นที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระเจ้า—ฟังและนบนอบ ไม่มีตัวเลือกอื่น อย่างไรก็ตาม พระเจ้าย่อมทรงมีท่าทีที่แตกต่างกันต่อเจ้าได้ เรื่องนี้มีหลักเกณฑ์ พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เอง พระองค์ทรงเลือกเองและทรงมีวิธีการของพระองค์เองในการทำสิ่งเหล่านี้รวมทั้งท่าทีที่พระองค์ทรงนำมาใช้กับแต่ละบุคคล แน่นอนว่า ตัวเลือกและวิธีการเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากพระประสงค์ของพระเจ้า ก่อนที่ผู้คนจะมีความเข้าใจพระประสงค์เหล่านี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้และควรทำก็คือแสวงหาและรอคอย ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดที่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า สิ่งสุดท้ายที่ผู้คนควรทำในช่วงเวลาเหล่านี้—หมายถึงเมื่อพวกเขาไม่รู้สึกถึงการประทานความรู้แจ้ง การทรงนำ พระคุณ และพระกรุณาของพระเจ้า—ก็คือการออกห่างจากพระเจ้าและพูดว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม หรือโวยวายใส่พระเจ้า หรือถึงกับปฏิเสธพระเจ้าเมื่อพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรู้แจ้งและการทรงนำของพระองค์ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้เห็นน้อยที่สุด แน่นอนว่า หากเจ้าไปถึงจุดที่ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธความชอบธรรมของพระองค์ ปฏิเสธพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ รวมถึงโวยวายใส่พระเจ้า นั่นย่อมยืนยันว่าพระเจ้าทรงถูกต้องแล้วที่นำท่าทีไม่ใส่ใจมาใช้กับเจ้าตั้งแต่แรก หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทานทนบททดสอบและการทดสอบเล็กๆ นี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย และการเชื่อของเจ้าช่างกลวงเปล่านัก เมื่อคนคนหนึ่งไม่รู้สึกถึงความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาควรทำคือแสวงหาและรอคอยด้วยหัวใจทั้งดวงของเขา การแสวงหาและรอคอยเป็นความรับผิดชอบของมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นเหตุผล ท่าที และหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่ผู้คนควรมีต่อพระเจ้าอีกด้วย ในการแสวงหาและรอคอย จงอย่าเก็บงำวิธีคิดที่ขึ้นอยู่กับโอกาส จงอย่าคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ถ้าฉันรอ บางทีพระเจ้าอาจจะประทานพระวจนะที่ชัดเจนให้กับฉัน ฉันแค่จำเป็นต้องจริงใจให้มากขึ้นสักหน่อย และดูว่าพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่ฉันไหม บางทีพระองค์อาจจะประทานความรู้แจ้งแก่ฉัน หากพระองค์ไม่ประทานให้ ฉันก็จะคิดหาหนทางอื่น” จงอย่าเก็บงำวิธีคิดแบบขึ้นอยู่กับโอกาสเช่นนี้ พระเจ้าทรงเกลียดชังท่าทีแบบนี้ในตัวผู้คน นี่เป็นท่าทีประเภทใด? นี่เป็นท่าทีของโอกาสที่มีการทดสอบอยู่ในนั้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังที่สุด หากเจ้ากำลังรอคอย ก็จงรอคอยอย่างจริงใจ จงมีกรอบแนวคิดที่หิวโหยและกระหายต่อความชอบธรรมในขณะที่เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ในขณะที่เจ้าแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของตน และในขณะที่เจ้าวิงวอนขอความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร หรือสุดท้ายแล้วพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับความเข้าใจอย่างครบถ้วนหรือไม่ เจ้าก็ควรยึดปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการนบนอบโดยไม่มีการเบี่ยงเบนใด ในหนทางนี้ เจ้าก็จะยึดมั่นอยู่กับสถานะและหน้าที่ที่สิ่งทรงสร้างพึงมี ไม่สำคัญว่าสุดท้ายแล้วพระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์จากเจ้า หรือพระองค์ทรงให้เจ้าเห็นเพียงพระปฤษฎางค์ หรือพระองค์ทรงปรากฏแก่เจ้าก็ตาม ตราบใดที่เจ้ายึดมั่นต่อหน้าที่และอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งเดิมของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เป็นพยานแล้วและเจ้าก็จะเป็นผู้ชนะ “จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า” ถ้อยแถลงสั้นๆ ทั้งสี่นี้สำคัญมาก ถ้อยแถลงเหล่านี้ครอบคลุมเหตุผลที่มนุษย์ควรมี ตำแหน่งที่ตั้งเดิมที่มนุษย์ควรยืนหยัด และเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่มนุษย์ควรเดินตาม บางคนกล่าวว่า “พวกเราทุกคนแสวงหาและรอคอยด้วยทั้งหัวใจและจิตใจ แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้ความรู้แจ้งกับพวกเรา? ทำไมพระองค์ไม่ประทานการดลใจให้กับฉันเลย?” พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เอง จงอย่าตั้งข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า นี่คือเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีที่สุด ตามความคิด จิตใจ และมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์นั้น มีสิ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจมากมายจนเกินไป และพระเจ้าต้องตรัสบอกสิ่งเหล่านี้กับผู้คน ถึงกระนั้นพระเจ้ากลับตรัสว่า “ไม่ใช่ความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันของเราที่จะต้องบอกสิ่งเหล่านั้นกับพวกเจ้า หากเราต้องการให้เจ้ารู้อะไรบางอย่าง เจ้าก็จะรู้เล็กน้อย และนี่จะเป็นการที่เราแสดงความโปรดปรานต่อเจ้า เมื่อเราไม่ต้องการให้เจ้ารู้อะไรบางอย่าง เราก็จะไม่กล่าวถึงสิ่งนั้นเลยสักคำเดียว เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าคิดฝันไปเลยว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้!” บางคนกล่าวว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราในเรื่องนี้?” พระองค์ไม่ได้กำลังทรงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า พระผู้สร้างย่อมจะทรงเป็นพระผู้สร้างเสมอ และพระองค์ทรงมีหนทางและวิธีการของพระองค์เองในการทำสิ่งทั้งหลาย ถึงแม้หนทางและวิธีการของพระองค์จะไม่เป็นไปตามรสนิยม หรือแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และแน่นอนว่าไม่เป็นไปตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ ไม่สำคัญว่าหนทางและวิธีการเหล่านั้นจะไม่สอดคล้องกับมนุษย์ในแง่มุมใด กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือ ไม่สำคัญว่าตามข้อเท็จจริงแล้ว หนทางและวิธีการเหล่านั้นจะไม่สอดคล้องกับข้อเรียกร้องและมาตรฐานของมนุษย์ก็ตาม—ไม่ว่าพระผู้สร้างทรงทำสิ่งใด และไม่ว่าผู้คนจะสามารถเข้าใจสิ่งนั้นหรือไม่ พระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระผู้สร้างจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผู้คนไม่ควรใช้ภาษามนุษย์ มโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ หรือวิธีการแบบมนุษย์ใดๆ มาประเมินวันพระผู้สร้าง นี่คือเหตุผลที่ผู้คนพึงมี หากเจ้าขาดแม้แต่เหตุผลอันน้อยนิดนี้ เช่นนั้นเราขอบอกเจ้าตามตรงว่า—เจ้าย่อมไม่สามารถปฏิบัติตนเหมือนสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว สิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้าขาดแม้แต่เหตุผลอันน้อยนิดนี้ สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าก็จะปะทุออกมา เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะกังขาในพระเจ้า หยาบหยามพระเจ้าด้วยวาจา ปฏิเสธพระเจ้า และทรยศต่อพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะจบเห่โดยบริบูรณ์ และเจ้าควรถูกกำจัดออกไป เพราะฉะนั้น เหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีนั้นสำคัญมาก “จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า” ถ้อยแถลงทั้งสี่นี้คือเหตุผลและหลักธรรมที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมียามเข้าใกล้สภาพแวดล้อมอันหลากหลายที่ผู้คนมักเผชิญในชีวิตจริงของตน รวมทั้งเพื่อปรับปรุงสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้า
ส่วนแรกของบทตอนนี้กล่าวว่า “จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ” และบรรทัดก่อนสุดท้ายกล่าวว่า “จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า” บางคนพูดว่า “พระวจนะที่ว่า ‘จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก’ มีความหมายแฝงว่า ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ใช่หรือไม่? ถ้าพวกเราแสวงหาและรอคอยด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเรา มีหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า และถวิลหาพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจำเป็นต้องให้คำตอบแก่พวกเราและเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าใจความจริงในเรื่องนี้หรือไม่?” คำตอบของเราสำหรับเจ้าก็คือ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น ทุกวจนะในบทตอนนี้คือข้อกำหนด ที่พระเจ้าทรงวางให้กับมนุษย์ เป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดปฏิบัติตาม พระเจ้าประทานเส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่มนุษย์ หลักธรรมทั้งหลายที่ผู้คนควรยึดถือและนำมาปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกผู้คนว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าเข้าใจวจนะเหล่านี้มากน้อยเพียงใด ตราบใดที่เจ้ายึดปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ เราย่อมต้องบอกความจริงกับพวกเจ้า เราย่อมต้องให้คำตอบกับพวกเจ้า และเราย่อมต้องให้คำอธิบายกับพวกเจ้าในท้ายที่สุด” พระเจ้าไม่ต้องทรงรับผิดชอบเช่นนี้ พระองค์ไม่ทรงมี “ความจำเป็น” เช่นนั้น ผู้คนไม่ควรสร้างข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลเช่นนี้ต่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าแต่ละคนต้องเข้าใจ วลีที่ว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น” นี้บ่งบอกข้อเท็จจริงประการหนึ่งแก่ผู้คน นั่นคือ พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำตามกฎเกณฑ์ที่เหล่ามนุษย์ตั้งขึ้นตามมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ ปรัชญาแบบมนุษย์ รวมทั้งประสบการณ์และบทเรียนแบบมนุษย์ และพระองค์ก็จะไม่ทรงทำตามแม้แต่กฎหมายของมนุษย์ ในทางกลับกัน มนุษย์ต้องยึดปฏิบัติตามหลักธรรมในข้อกำหนดของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแต่ละประการที่พระเจ้าได้ทรงนำมาเปิดเผย เจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่? (เข้าใจแล้ว) บทตอนนี้อธิบายหลักธรรมที่ผู้คนต้องยึดปฏิบัติตามไว้อย่างชัดเจน จงเริ่มจากบรรทัดแรก (“จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ”) นี่เป็นหลักธรรมที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและนำมาปฏิบัติ การนำหลักธรรมนี้มาปฏิบัติไม่ได้สร้างภาระหรือแรงกดดันใดๆ ให้กับเจ้าเลย นี่เป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง แล้วบรรทัดที่สองเล่า? (“นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์”) เจ้าเป็นคนปกติที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือสัมฤทธิ์การ “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” ตราบใดที่เจ้าไม่ไร้หัวใจ เจ้าย่อมทำได้ เจ้ามีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน นอกเหนือจากงานปกติ เวลาพักผ่อน มื้ออาหาร และการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณเป็นการส่วนตัวของเจ้าแล้ว การ “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายหรือไม่? (ทำได้ง่าย) การนี้ทำได้ในขณะที่กำลังเดิน กำลังพูดคุย หรือกำลังพักผ่อน การนี้จะไม่รบกวนกิจธุระปกติของเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้า หรืองานที่กำลังทำอยู่ นี่เป็นสิ่งที่เรียบง่ายจริงๆ! ไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะมีขีดความสามารถแค่ไหน ตราบใดที่เขาถวายหัวใจที่จริงใจและเพียรพยายามตามหาความจริง เขาย่อมจะมาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงนี้ด้วยความง่ายดาย
บรรทัดต่อไปคืออะไร? (“จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า”) ตอนนี้เราจะหันมาถามพวกเจ้าทุกคนบ้างว่า พวกเจ้าเชื่อว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า” หรือไม่? เจ้าเริ่มเชื่อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด? เจ้าเริ่มเชื่อแบบนี้ในเรื่องใด? เจ้าเคยเป็นพยานในเรื่องนี้หรือไม่? เจ้าเคยมีประสบการณ์นี้แล้วหรือยัง? จะเป็นอย่างไรหากมีคนถามเจ้าว่า “คุณเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณหรือไม่?” บางทีเจ้าคงจะตอบไปตามทฤษฎีโดยไม่ลังเลว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของฉัน! พระเจ้าจะไม่ทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของฉันได้อย่างไร?” แล้วหากพวกเขาถามเจ้าอีกครั้งว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณหรือไม่? คุณได้พึ่งพาพระเจ้าและเป็นพยานถึงกิจการของพระเจ้าในเรื่องใดบ้าง? มหิทธานุภาพของพระเจ้าได้รับการเผยให้คุณเห็นในตัวคุณเองมากน้อยเพียงใด? คุณค้นพบตอนไหนว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณ? คุณรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณในเรื่องใดบ้าง? ถ้าคุณยอมรับว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ ทำไมบางครั้งคุณจึงอ่อนแอเหลือเกิน? ทำไมคุณยังคงคิดลบ? ทำไมเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณถึงไม่สามารถขัดขืนเนื้อหนังแล้วปฏิบัติความจริงได้? ทำไมคุณถึงดำเนินชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานในการปฏิบัติต่อผู้อื่นเสมอ? ทำไมคุณยังคงพูดโกหกอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้สึกถึงการตำหนิจากพระเจ้า? พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณจริงหรือ? คุณคิดว่ามหิทธานุภาพของพระเจ้าหมายถึงอะไรกันแน่? นี่เป็นไปตามแก่นแท้ของพระเจ้าหรือเปล่า?” หากเจ้าถูกถามด้วยคำถามเหล่านี้ เจ้ายังจะกล้าตอบด้วยความมั่นใจเช่นนั้นหรือไม่? เมื่อเราถามในลักษณะนี้ ผู้คนต่างพูดไม่ออก เจ้าไม่มีประสบการณ์ดังกล่าว เจ้ายังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าในระดับนี้ ตลอดเวลาหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้า ไม่เคยเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่เคยเห็นพระหัตถ์อันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแสดงอธิปไตยเหนือผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายเลย เจ้าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ นับประสาอะไรกับการได้รับประสบการณ์ หรือรู้สึกได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น สำหรับคำถามที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของฉันหรือไม่?” นั้น เจ้าไม่รู้และไม่กล้าพูดออกมา นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าขาดความเชื่อเช่นนั้น บรรทัดนี้ควรกลายเป็นนิมิตสำหรับเจ้า นี่ต้องเป็นหลักฐานอันทรงพลังที่สุดว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ นี่ยังเป็นแง่มุมหนึ่งของนิมิตที่เกื้อหนุนเจ้าขณะที่เจ้าเดินต่อไปอีกด้วย แต่กระนั้นเจ้าก็ไม่กล้าตอบด้วยความมั่นใจ เพราะเหตุใด? เพราะความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นแค่การเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่เท่านั้น จนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่ได้ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้ายังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้ายังไม่มีส่วนร่วมในประสบการณ์แห่งการนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า และเจ้ายังไม่ได้ตระหนักรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งด้วยตัวเองโดยตรง เจ้ายังไม่เห็นหรือได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าถูกถามเพียงว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้าใช่หรือไม่?” แน่นอนว่าเจ้าคงจะตอบว่า “ใช่” จากนั้นหากเจ้าถูกถามถึงวิธีที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับเรื่องนี้และวิธีที่เจ้ามาเข้าใจในเรื่องนี้ แน่นอนว่าเจ้าคงจะคอตกพูดไม่ออก ไม่กล้าตอบ อะไรคือเหตุผลของข้อเท็จจริงนี้? (พวกเราไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย) เจ้ากำลังพูดจากมุมมองทางทฤษฎี ในความเป็นจริงก็คือ เจ้าประกาศตนด้วยวาจาว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามพระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ถึงอย่างนั้น นับแต่วันที่เจ้าเริ่มติดตามพระเจ้า เจ้ากลับไม่เคยลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเลย การยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า การถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมและเส้นทางแห่งการปฏิบัติในการทำหน้าที่ของตน รวมทั้งการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า หากเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเหล่านี้ นี่หมายความว่าอะไร? หมายความว่า ถึงแม้เจ้าติดตามพระเจ้า ถึงแม้เจ้าได้ทอดทิ้งครอบครัว งาน และอาชีพการงาน อีกทั้งสามารถติดตามพระเจ้ามาจนถึงวันนี้ แต่หัวใจของเจ้าก็ยังไม่ยอมรับความจริงและชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์ แต่เจ้ากลับไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายที่ตัวเจ้าเองรักและไม่เคยปล่อยมือแทน นี่นับเป็นการติดตามพระเจ้าและนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? หากในหัวใจของเจ้าไม่ยอมรับเป้าหมายของชีวิต ทิศทาง รวมถึงหลักเกณฑ์ของชีวิตและการดำรงชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางให้กับมนุษย์ แต่กลับเลียนแบบคำพูดที่เจ้าได้ยินและเอ่ยโอ้อวดคำสอนบางประการออกไปเท่านั้น นี่ถือว่าเป็นการยอมรับความจริงหรือ? ถึงแม้เจ้าติดตามพระเจ้าและภายนอกก็ดูเหมือนเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ แต่หัวใจของเจ้ากลับไม่เคยยอมรับความจริง ถึงแม้เจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่หลักธรรมและวิธีการในการดำเนินชีวิตของเจ้า รวมถึงเส้นทางที่ชีวิตเจ้าเดินตามก็ยังคงเป็นของซาตาน เจ้ายังคงเป็นคนเดิมที่เคยเป็นเสมอมา เจ้ายังคงดำเนินชีวิตไปตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนและหนทางของมนุษย์ที่เสื่อมทราม อีกทั้งเจ้าก็ยังไม่ได้ยอมรับข้อกำหนดและหลักธรรมทั้งหลายที่มาจากพระเจ้า จากมุมมองที่เป็นแก่นสารนี้ สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าแค่กำลังยอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระผู้สร้างคือพระเจ้าของเจ้า บนพื้นฐานทางทฤษฎีนี้ เจ้าจึงทำอะไรเล็กน้อยเพื่อพระเจ้า และมีของถวายพระองค์บ้างนิดหน่อย ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงยอมรับอย่างอิดออดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าของเจ้าและเจ้าคือผู้ติดตามพระองค์ แต่หัวใจของเจ้าไม่เคยยอมรับอย่างแท้จริงว่าพระเจ้าคือชีวิตของเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า และพระเจ้าของเจ้า เรื่องนี้พาพวกเราย้อนกลับมาที่คำถามซึ่งเราเพิ่งถามไปว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้าใช่หรือไม่?” ด้วยเหตุผลทั้งหลายข้างต้น เจ้าจึงไม่กล้าตอบด้วยความมั่นใจ พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์เหนือสรรพสิ่งและทั้งจักรวาล แต่สำหรับเจ้า เจ้าสามารถยอมรับว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ในเป็นเรื่องของทฤษฎี แต่ในข้อเท็จจริงนั้นเจ้ายังไม่เห็นหรือได้รับประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย เจ้าจึงเกิดเครื่องหมายคำถามในหัวใจต่อคำถามที่เกี่ยวกับความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า เมื่อใดผู้คนจะสามารถยืนยันพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า” ได้อย่างแท้จริงและทำให้นิมิตนี้เป็นรากฐานแห่งความเชื่อในพระองค์ของพวกเขา? ผู้คนจะสามารถยอมรับได้อย่างแท้จริงว่า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า” ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขายอมรับพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และพระสถานะของพระเจ้าในหัวใจของตน เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของตนแล้วเท่านั้น ที่จริงนั้น พระวจนะเหล่านี้สัมฤทธิ์ได้ยากเย็นที่สุด แต่พระเจ้าได้ทรงนำมาเผยเพื่อแสดงให้ถึงความสำคัญที่พระวจนะเหล่านี้มีต่อมนุษย์ บางคนที่ต้องการมีประสบการณ์และตระหนักถึงพระวจนะเหล่านี้ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตในการทำเช่นนั้น เพื่อที่จะให้คำตอบที่แท้จริงและแน่นอนต่อคำถามที่มีอยู่ในพระวจนะเหล่านี้จากส่วนลึกของหัวใจพวกเขา พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาชั่วชีวิตในการสร้างสัมพันธภาพที่เป็นปกติระหว่างพวกเขากับพระเจ้า ซึ่งก็คือสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างของตน ทั้งหมดนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้บนพื้นฐานของการนำหลักธรรมที่ว่า “นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์” มาปฏิบัติ จริงๆ แล้ว หลักธรรมนี้ค่อนข้างเรียบง่ายที่จะนำมาปฏิบัติ แต่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อย่างแท้จริง คนเราต้องสละเวลาและความพยายาม อีกทั้งจ่ายราคาเพื่อการนี้
บรรทัดต่อไปคืออะไร? (“เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า แสวงหาอย่างสุดกระหาย”) ทั้งหมดนี้คือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงตั้งไว้กับมนุษย์ หากผู้คนต้องการเข้าใจความจริงและได้รับการช่วยให้รอด หัวใจของพวกเขาต้องโหยหาสิ่งนี้ พวกเขาต้องมีเจตจำนงที่จะไล่ตามเสาะหาสิ่งนี้ และพวกเขาต้องมีความถวิลหาอย่างแท้จริง จากนั้นพวกเขาต้องปฏิบัติและเข้าสู่โดยสอดคล้องกับเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าทรงวางไว้ พระเจ้าจะทรงนำพาผู้คนเหล่านี้ไปสู่ความเป็นจริงความจริง และไปสู่สภาวะที่ปกติและถูกต้องทีละน้อย ผู้คนเช่นนั้นจะเข้าใจความจริงในพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในหนทางที่สัมพันธ์กับความจริงมากขึ้นทุกที ในที่สุด สภาวะที่ผิดปกติมากมายซึ่งผู้คนเหล่านี้มีอยู่ ความเสื่อมทรามที่เผยให้เห็นในตัวพวกเขา และความเป็นกบฏของพวกเขาจะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขโดยวิธีการอันหลากหลายจากพระราชกิจของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมต่างๆ นานามากมายที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจคืออะไร? นั่นก็คือ สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนควรทำ สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนควรนำมาปฏิบัติ และต้องสำเร็จลุล่วงตามข้อกำหนดของพระเจ้า เมื่อผู้คนปฏิบัติและกระทำการโดยสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงชี้ให้พวกเขาเห็น เมื่อผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องนี้ พระเจ้าจะประทานส่วนมรดกที่ถูกควรให้แก่พวกเขาเมื่อถึงเวลาอันควรในหนทางของพระองค์และตามข้อกำหนดและหลักธรรมของพระองค์ ผู้คนควรเข้าใจอะไรตรงจุดนี้? การให้ความร่วมมือของผู้คน ราคาที่พวกเขาจ่าย และการจ่ายราคาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้คนต้องกระทำการและปฏิบัติไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเขาต้องไม่กระทำไปตามความอยากได้อยากมีแบบมนุษย์ หรือบนพื้นฐานของการคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ ผลลัพธ์สุดท้ายที่บรรลุได้คืออะไร คนบางคนเปลี่ยนไปได้แค่ไหน คนบางคนสามารถได้รับมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้กำหนดโดยความปรารถนาของคนแต่ละคนใช่หรือไม่? ไม่ใช่ นั่นเป็นกิจธุระของพระเจ้าและไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย สุดท้ายแล้ว พระเจ้าประทานอะไรให้เจ้าและประทานมากเท่าไร พระองค์ประทานให้เมื่อไร เจ้าจะได้รับสิ่งที่ประทานให้ตอนอายุเท่าใด นั่นเป็นกิจธุระของพระเจ้าและไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย เราสื่อความหมายอะไรในเรื่องนี้? ความหมายของเราก็คือ เจ้าเพียงจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริง เข้าตามเส้นทางที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า ปฏิบัติตนอย่างถูกควรแก่การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และให้ความร่วมมือตามที่เจ้าควรทำ ส่วนเรื่องที่เจ้าจะได้รับอะไรมากเท่าไร เจ้าจะได้รับเมื่อใด และพระเจ้าจะทรงจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไรนั้นเป็นกิจธุระของพระเจ้าและจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาของพระเจ้า บางคนพูดว่า “ถ้าฉันนำเรื่องนี้มาปฏิบัติ ฉันจะได้รับการช่วยให้รอดในที่สุดหรือไม่?” จงบอกเราทีว่า พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พระวจนะและความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและประทานให้กับมนุษย์คือเส้นทางของมนุษย์ที่จะไปสู่ความรอด หากเจ้าปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะและความจริงเหล่านี้ของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้ายังจำเป็นต้องกังวลว่าเจ้าอาจจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอยู่หรือไม่? เจ้ายังคงใช้เวลาทุกวันอยู่กับความกังวลและความหวั่นวิตกเพราะเกรงว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งเจ้าอยู่หรือไม่? นี่มีเหตุมาจากความเชื่อที่น้อยเกินไปและความล้มเหลวในการทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? หากเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วจริงๆ หากหัวใจของเจ้ามีสันติสุขและความชื่นบาน หากเจ้าสามารถให้คำพยานจากประสบการณ์จริงและในหัวใจของเจ้าก็มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เจ้าจะยังคงกังวลว่าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? จงอย่ากังวลไปเลย นั่นไม่ใช่กิจธุระของเจ้า เจ้าแค่ควรปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า ในพระวจนะแห่งพระเจ้านั้นไม่มีบรรทัดใดที่ไม่สำคัญ พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดคือความจริง และความจริงคือชีวิตที่มนุษย์ควรมี พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดคือสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมีและควรมีเพื่อสัมฤทธิ์ความรอด หากเจ้าทำตามพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ในการปฏิบัติแต่ยังคงเป็นกังวลว่าเจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด เจ้าย่อมโง่เขลาและไม่รู้ความไม่ใช่หรือ? เจ้าประสาทไวเกินไปหรือไม่? เจ้าจะมีความชื่นชมยินดีมากกว่านี้หากเจ้าแสดงความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแทนที่จะเอาแต่มีความคิดที่ไร้สาระเช่นนั้น หากเจ้ากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง บั้นปลายสุดท้ายที่เจ้าไปถึงย่อมจะเป็นบั้นปลายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน—เป็นบั้นปลายที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เจ้า เจ้าจะไม่หลงทาง เพราะฉะนั้น หากเจ้าปฏิบัติและเข้าสู่ข้อกำหนดของพระเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ จงปฏิบัติและไล่ตามเสาะหาเส้นทางแห่งความรอดที่พระเจ้าได้ทรงชี้ทางไว้ให้เท่านั้น นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง บางคนกล่าวว่า “การบรรลุความรอดจะให้ความรู้สึกอย่างไร? พวกเราจะรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศไหม? พวกเราจะรู้สึกต่างจากที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไหม?” คำถามนี้เร็วเกินไปหน่อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้เดี๋ยวนี้ เจ้าจะพบคำตอบเมื่อเจ้าได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง บางคนพูดว่า “ตอนที่พวกเราได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงปรากฏต่อฉันเหมือนที่พระองค์ทรงปรากฏต่อโยบหรือไม่?” นี่เป็นคำขอที่สมเหตุผลหรือไม่? จงอย่าขอแบบนี้ เจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ แล้วการขอแบบนี้มีประโยชน์อะไร? ไม่มีเลย ตัวอย่างเช่น สมมุติว่า ปัจจุบันนี้เจ้าอยู่ในโรงเรียนประถม เจ้าก็ควรมุ่งเน้นที่จะทำให้ดีในทุกชั้นเรียนและตอบสนองข้อกำหนดทั้งหลายของครู จงอย่าเอาแต่ไตร่ตรองว่า “ในอนาคต ฉันจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยไหน? ต่อไปในชีวิต ฉันจะได้ทำงานประเภทไหน?” การนึกถึงสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่มีประโยชน์ นั่นยังห่างไกลเกินไปและไม่ใช่ความเป็นจริง ตราบเท่าที่เจ้าปฏิบัติและเข้าสู่วิธีการและเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้าย่อมจะสามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายสูงสุดได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้เมื่อมีการทรงนำของพระเจ้า เจ้ายังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่อีกหรือ? เจ้าเชื่อว่าพระเจ้าคือองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้าหรือไม่? (ข้าพระองค์เชื่อ) พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ แล้วการช่วยคนตัวเล็กๆ อย่างเจ้าให้ได้รับความรอดนั้นลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้าหรือไม่? สำหรับพระเจ้าแล้ว การนำโลกทั้งใบมาประทานให้เจ้าก็ไม่ใช่กิจที่ลำบากยากเย็นเลย แล้วการช่วยมนุษย์ผู้เสื่อมทรามตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะยากลำบากได้อย่างไร? ดังนั้นเจ้ายังจำเป็นต้องหวั่นวิตกหรือไม่? จงอย่ากังวลว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดได้หรือไม่ จงอย่ากังวลว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้หรือไม่ แต่เจ้าควรกังวลว่าเจ้าสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ และเจ้าสามารถพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าควรกังวลว่าตอนนี้เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้วหรือยัง และในการกระทำของเจ้า เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ชัดไว้หรือไม่ นั่นย่อมดีกว่ามาก การนึกถึงสิ่งเหล่านี้นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริง ไม่มีประโยชน์ที่จะกังวลถึงสิ่งอื่น
บรรทัดถัดไปคืออะไร? (“ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน”) พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงบรรทัดนี้ไป ดังนั้นปัญหานี้ควรแก้ไขได้อย่างง่ายดาย มนุษย์เพียงจำเป็นต้องเข้าใจว่า ส่วนใหญ่แล้ว “ข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน” ล้วนมีต้นตอมาจากเหตุผล ข้อแก้ตัว เจตนารมณ์ และเล่ห์เหลี่ยมนานัปการที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ รวมถึงวิธีการที่ใช้โดยคนชั่วหลากหลายประเภทและผู้ที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ส่วนวิธีที่เจ้าจะสามารถแยกแยะและปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นรวมถึงตัวเลือกที่เจ้าควรเลือกนั้น เป็นการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเจ้า อ่านบรรทัดต่อไปเถิด (“จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า”) พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมบรรทัดนี้อย่างละเอียดไปแล้วเช่นกัน สำหรับมนุษย์แล้ว ทุกบรรทัดคือคำเตือนสติและคำย้ำเตือน และในขณะเดียวกันก็เป็นการเกื้อหนุน การช่วยเหลือ และการจัดเตรียมประเภทหนึ่ง แน่นอนว่า พระวจนะเหล่านี้มีเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ และมีความหวังอันเปี่ยมล้นของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์ เมื่อผู้คนเผชิญความอ่อนแอและความลำบากยากเย็น พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะเห็นพวกเขาสูญสิ้นความหวัง สูญเสียความเชื่อ และหมดความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับความรอด อีกทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนขลาด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาอ่อนแอเพียงใด และไม่ว่าความเสื่อมทรามของพวกเขาถูกเผยออกมามากเพียงใด พระเจ้าทรงหวังว่าผู้คนจะไม่มีวันถอดใจ แต่อดทนบากบั่นเพื่อผ่านพ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไล่ตามเสาะหาความจริงต่อไป เดินตามเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่พระเจ้าได้ทรงบ่งชี้ให้พวกเขาในการไล่ตามเสาะหาของตน และยังคงมีหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนควรเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับประสบการณ์และความเข้าใจที่พวกเขามีต่อพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ควรผงะถอยเมื่อเผชิญความอ่อนแอ ไม่ควรกลายเป็นคิดลบเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น ไม่ควรสะอื้นไห้เมื่อความเสื่อมทรามเล็กน้อยถูกเผยออกมา และไม่ควรถอยหลังแทนที่จะเดินหน้าต่อไป พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะเห็นการแสดงออกในแบบนี้ พระเจ้าทรงหวังว่าผู้คนจะมุ่งมั่นเข้าหาพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นนี้ด้วยเหตุผลของกาลเวลา สภาพแวดล้อม สถานที่ หรือสถานการณ์ใดก็ตามที่อาจอุบัติขึ้น หากความปรารถนาของเจ้าที่จะแสวงหาพระเจ้าไม่เปลี่ยนไป และความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าในการแสวงหาพระเจ้าไม่ย่อหย่อน พระเจ้าจะทรงเห็นและทรงรู้ถึงหัวใจที่จริงใจของเจ้า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าย่อมจะเกินกว่าทั้งหมดที่เจ้าอาจจะต้องการอย่างแน่นอน ในช่วงทศวรรษที่โยบได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้า เขาไม่เคยกล้าคิดฝันว่าพระเจ้าจะตรัสกับเขาหรือทรงปรากฏให้เขาเห็นเป็นการส่วนตัว เขาไม่เคยกล้าจินตนาการถึงเรื่องนั้น แต่พระเจ้าก็ได้ทรงปรากฏต่อเขาหลังจากบททดสอบสุดท้าย ตรัสกับเขาเป็นการส่วนตัวจากพายุหมุน การนี้เกินกว่าที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถร้องขอได้ไม่ใช่หรือ? (ใช่) นี่เกินกว่าสิ่งใดที่ใครบางคนจะสามารถร้องขอได้ และไม่มีใครกล้ามีแนวคิดนี้เสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด มนุษย์ต้องยืนอยู่ในที่อันถูกควรของตน ทำสิ่งทั้งหลายที่ตนควรทำ เดินบนเส้นทางที่ตนควรเดิน ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบโดยไม่ทำเกินกว่าสิ่งที่ถูกร้องขอ และละเว้นจากการทำสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังขอจากพระเจ้ามากเกินไป รู้สึกว่าคำร้องขอของเจ้าเกิดจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี รวมทั้งการขาดเหตุผล เจ้าต้องรีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทันที หมอบกราบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และสารภาพบาปของตน เจ้าต้องกลับใจอย่างแท้จริงและกลับตัวจากก้นบึ้งหัวใจของเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จากมวลมนุษย์ และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงหวังจากทุกคนที่ติดตามพระองค์และรักความจริง
พวกเราจบสามัคคีธรรมบทตอนนี้กันไว้ตรงนี้ หลังจากที่สามัคคีธรรมไปมากมาย เราได้กำชับสิ่งที่ควรกำชับและทำให้เจ้าเข้าใจสิ่งที่ถูกที่ควรซึ่งมนุษย์ควรเข้าใจไปแล้ว สามัคคีธรรมในลักษณะนี้ต้องการบอกพวกเจ้าถึงวิธีการอ่านพระวจนะของพระเจ้า สอนหนทางในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเจ้า และทำให้รู้โดยทั่วกันว่าไม่มีบทตอนใดในพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสไว้โดยสูญเปล่า พระวจนะทั้งหมดเต็มไปด้วยเจตนารมณ์ของพระเจ้าและนำพาความหวังของพระเจ้ามาด้วย เมื่อมองในหนทางนี้ พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรมีและยึดปฏิบัติตามไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นจะลุ่มลึกหรือเรียบง่ายก็ตาม พระวจนะที่เรียบง่ายแค่ไม่กี่คำก็ประกอบไปด้วยหลักธรรมแห่งการปฏิบัติที่มนุษย์ควรยึดปฏิบัติตามมากที่สุด แต่กลับไม่มีใครสำเร็จลุล่วงการนี้เลย ไม่มีใครให้ความสำคัญใดๆ กับพระวจนะไม่กี่คำนี้ของพระเจ้า และไม่มีใครให้ความใส่ใจกับพระวจนะเหล่านี้เลย จงบอกเราทีว่ามนุษย์ด้านชาเพียงใด? ที่จริงแล้ว คำว่าด้านชาเป็นการพูดถึงแบบสุภาพ ในข้อเท็จจริงนั้น มนุษย์ทุกคนดูหมิ่นและไม่ปรารถนาที่จะเห็นหรืออ่านพระวจนะเหล่านี้ก็เพราะความโอหังอันไร้ขอบเขตของพวกเขา พวกเขาต้องการอ่านอะไร? พวกเขาต้องการอ่านพระวจนะที่ลึกซึ้ง สูงส่ง เป็นเชิงปรัชญา และเป็นระบบ ไม่ต้องไปพูดถึงพระวจนะอันสูงส่งและลึกซึ้งเหล่านั้น หากผู้คนสามารถเข้าใจพระวจนะที่เรียบง่ายไม่กี่คำนี้ได้ก็ดีพอแล้ว พระวจนะเหล่านี้อาจดูเรียบง่ายและใครอ่านก็สามารถเข้าใจได้ แต่ใครบ้างที่นำพระวจนะเหล่านี้ไปปฏิบัติจริงๆ? ใครบ้างที่สามารถนำสิ่งทั้งหลายที่เกิดกับตนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานได้จริงๆ? ใครบ้างรอคอยเวลาของพระเจ้าโดยไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก? มีผู้คนสักกี่คนที่สามารถปฏิบัติตามนี้ได้? จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่เคยพบเห็นใครที่ยึดถือและปฏิบัติพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และเรายังไม่เคยพบเห็นใครที่ถูกพระวจนะเหล่านี้ดึงดูดใจ ใครที่ทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าหลังจากที่มองเห็นว่าพระวจนะเหล่านี้มาจากใจ จริงใจ และล้ำค่าเพียงใด เมื่อได้ยินพวกเจ้าเล่นบทเพลงนมัสการนี้ไปเมื่อครู่ เราจึงได้ถามพวกเจ้าว่าพวกเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้อย่างไร มีใครค้นพบเจตนารมณ์ของพระเจ้าจากพระวจนะที่เรียบง่าย ชัดเจน และตรงไปตรงมาไม่กี่คำนี้จากการอ่านอธิษฐานแล้วหรือไม่? มีใครได้อ่านอธิษฐานพระวจนะเหล่านี้เพื่อที่จะค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่มนุษย์ควรเข้าใจและเข้าสู่หรือไม่? มีใครเข้าใจความจริงใดๆ จากพระวจนะเหล่านี้แล้วหรือไม่? สิ่งที่เรากำลังถามอยู่ก็คือ ความจริงที่อยู่ในพระวจนะเหล่านี้ได้ถูกนำมาทำให้เกิดผลในปัจเจกบุคคลทั้งหลายแล้วหรือยัง? พระวจนะเหล่านี้มีผลแล้วหรือยัง? สามัคคีธรรมของพวกเราได้แสดงให้เห็นว่าที่จริงแล้วพระวจนะเหล่านั้นยังไม่เกิดผลเลย วุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป ดูเหมือนว่าพระวจนะส่วนใหญ่ที่พระเจ้าตรัสมาตลอดหลายปีนั้นยังไม่หยั่งรากลงในหัวใจพวกเจ้าอย่างแท้จริง พวกเจ้ายังไม่บรรลุถึงระดับที่ตัวเองจะทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะเหล่านั้นว่าเป็นความจริง นี่ไม่ใช่ลางดี นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย บางคนกล่าวว่า “พวกเรายุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองในแต่ละวันมากเกินไป พวกเราไม่มีเวลาไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า” ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีเวลา แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ทุ่มเทพยายามหรือใส่ใจ ไม่ว่าใครสักคนจะปฏิบัติหน้าที่ใด นั่นสามารถส่งผลต่อวิธีไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาหรือไม่? พวกเขาไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าขณะรับประทานอาหารและพักผ่อนได้ไม่ใช่หรือ? ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาปรารถนาที่จะทำหรือไม่ ผู้คนคิดว่าการยุ่งมากหมายถึงตนลุล่วงแล้ว แท้จริงแล้ว เมื่อเจ้ามีเวลาว่างพอที่จะคิด เจ้าย่อมจะตระหนักว่า เจ้าไม่เคยไตร่ตรองพระวจนะใดของพระเจ้าในหัวใจอย่างแท้จริงเลย เจ้าไม่ได้เก็บรักษาสิ่งใดไว้เลย และพระวจนะเหล่านั้นก็ไม่ได้กลายมาเป็นเครื่องชี้นำสำหรับชีวิตของเจ้าและไม่ได้เป็นเกณฑ์แห่งการปฏิบัติของเจ้า เจ้าจะละอายใจเมื่อเจ้าคำนึงถึงเรื่องนี้ ความยุ่งของเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่หลอกลวงเจ้า นั่นทำให้เจ้ารู้สึกว่า เพราะความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ชีวิตของเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแทนที่จะว่างเปล่า เจ้าจึงแตกต่างจากผู้คนบนโลก เจ้าจึงไม่ไล่ตามกระแสนิยมทางโลก ตรงกันข้าม เจ้าอยู่ในหมู่ผู้คนที่ยุติธรรมที่สุด เจ้ากำลังให้ความร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้า กำลังทำสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอด หรือเริ่มเดินไปบนถนนแห่งความรอดแล้ว ผู้คนบางคนคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่าตนเป็นผู้ชนะแล้ว จากที่เป็นอยู่ทั้งหมดนี้ พวกเจ้าถึงกับนำท่าทีประเภทนี้มาใช้กับบทเพลงนมัสการอันเรียบง่ายและพระวจนะอันเรียบง่ายไม่กี่คำของพระเจ้า พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในช่วงแรกๆ ไม่มีใครได้รับสิ่งใดหรือพบความรู้แจ้งใดในพระวจนะเหล่านี้ หรือนำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติในหนทางใดเลย เราไม่อาจมองเห็นผู้ใดที่ได้มาซึ่งผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ต่อตัวเองเลย นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี? (สิ่งที่ไม่ดี) ตลอดหลายปีมานี้ พวกเจ้ายุ่งกับการทำหน้าที่ของตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้าต้องยุ่งอยู่กับงานข่าวประเสริฐ พวกเจ้าได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จบางประการและหัวใจของพวกเจ้าทุกคนก็รู้สึกถึงความยอดเยี่ยม พระวจนะของพระเจ้าและงานข่าวประเสริฐได้เผยแผ่ออกไปแล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกนำพาไปสู่ผู้คนในทุกประเทศและทุกภูมิภาค อีกทั้งผู้คนที่กำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าก็เพิ่มจำนวนขึ้น โดยผิวเผินดูเหมือนเจ้าได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จแล้ว แต่เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องใหญ่ในชีวิต นั่นคือความรอดของเจ้าบ้างหรือไม่? เมื่อตัดสินจากท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระวจนะของพระเจ้าในบทตอนนี้ พวกเขากลับไม่รู้อะไรเลย พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ยังไม่เริ่มจรดปากกาด้วยซ้ำ จงบอกเราทีว่าเราจะรู้สึกอย่างไรที่เห็นพวกเจ้าทุกคนเป็นกันแบบนี้? นี่ก็แค่พระวจนะอันเรียบง่ายไม่กี่คำ แต่เรายังจำเป็นต้องเสวนาและเพิ่มเติมรายละเอียดให้กับพวกเจ้า วจนะของเราถี่ถ้วนและลงรายละเอียดมากเกินไป พวกเจ้าเต็มใจฟังกันหรือไม่? พวกเจ้าจะว่าเราจู้จี้เกินไปหรือไม่? เราก็ไม่ต้องการจะจู้จี้แบบนี้เหมือนกัน พวกเจ้าทุกคนดูซื่อตรง พวกเจ้าทุกคนมีสมองและความรู้อยู่บ้าง และพวกเจ้าส่วนใหญ่ก็มีทักษะ ถึงอย่างนั้นพวกเจ้ากลับไม่ให้ความใส่ใจใดๆ ต่อพระวจนะเล็กๆ น้อยๆ ในบทเพลงนมัสการนี้ และไม่ได้นำพระวจนะเหล่านี้มาใส่ในหัวใจของตน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสักคนที่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะเหล่านี้ นั่นช่างน่าปวดหัวและน่าหงุดหงิดจริงๆ! แล้วเช่นนั้น งานทั้งหมดที่พวกเจ้าทำในคริสตจักรมีประโยชน์อะไรเล่า? นั่นก็เพื่อเป้าหมายที่เปาโลพูดถึงตอนที่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” อย่างนั้นหรือ? หากนี่คือเป้าหมายจริงๆ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งหมดก็คือเปาโล และสิ่งที่ตามมาก็ไม่อาจเป็นเรื่องดีได้! ใช่เช่นนั้นหรือไม่? (ใช่) หากเจ้าไม่พากเพียรในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกกำจัดออกไป และนั่นจะไม่เป็นประโยชน์กับเจ้าเลย ในวันที่เจ้าถูกกำจัด เจ้าจะพูดว่า “ฉันได้รับอะไรบ้าง?” เจ้าไม่ได้รับอะไรเลยสักอย่าง เจ้าจึงรู้สึกอับอายอย่างยิ่งและถึงกับปรารถนาที่จะตาย นี่ก็น่าสมเพชเกินไป พระวจนะของพระเจ้าซึ่งกล่าวถึงทุกเรื่องราวนั้นอุดมด้วยคุณค่าและสมบูรณ์ยิ่ง น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้กับการไล่ตามเสาะหาพระวจนะเหล่านี้ น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง ในบรรดาพระวจนะอันมากมายของพระเจ้า ไม่มีแม้แต่บรรทัดเดียวที่มีที่อยู่ในหัวใจของเจ้า หากเจ้าไม่ถูกกำจัด แล้วใครจะถูกกำจัดได้เล่า? นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ใช่หรือไม่? (ใช่) การกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า การทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงของตนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง นั่นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญกว่าการให้กำเนิดชนรุ่นต่อไป สำคัญกว่าการทำหน้าที่ของคนเรา สำคัญกว่าการเรียนรู้ทักษะวิชาชีพ สำคัญกว่าการทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด หากเจ้าไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด ไม่ว่าเจ้าวิ่งไปไกลแค่ไหน ทั้งหมดนั้นจะไม่มีคุณค่าเลย สุดท้ายแล้ว เจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดเลย และทั้งหมดที่เจ้าทำก็จะสูญเปล่า ไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังวิ่งอย่างหนักเพียงใด ไม่สำคัญว่าตำแหน่งปัจจุบันของเจ้า การงานที่เจ้ากำลังทำ หรือผลสัมฤทธิ์ครั้งใหญ่ที่เจ้าได้ทำไว้คืออะไร นั่นก็แค่ควันจางๆ ซึ่งจะสลายไปจากสายตาในที่สุด เพียงเมื่อบุคคลหนึ่งเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ได้มาซึ่งความจริงที่อยู่ในพระวจนะเหล่านั้น ค้นพบหลักธรรม เส้นทาง และทิศทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้นจึงจะไม่มีผู้ใดพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเหล่านี้แล้วเท่านั้น ผลการปฏิบัติหน้าที่และราคาที่เขาจ่ายไปแล้วทั้งหมดจึงจะมีคุณค่าและความหมาย เมื่อนั้นเท่านั้นการนั้นจึงจะเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า หลังจากที่เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งได้ปฏิบัติตามหลักธรรมและมาตรฐานที่พระวจนะของพระเจ้ากำหนดไว้ในทุกสิ่งที่เจ้าทำแล้ว เจ้าจึงจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ไปอย่างสูญเปล่า และส่วนหนึ่งของการนั้นก็จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) หากเจ้าพึ่งพาแต่การยับยั้งชั่งใจตนเอง ความบากบั่นแบบมนุษย์ สมองและของประทานแบบมนุษย์ รวมทั้งหนทางและแบบแผนอย่างมนุษย์เพื่อแบกรับความทุกข์และจ่ายราคา เช่นนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำก็ไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าเลย เจ้าควรมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ผู้คนมากมายสามารถคำนวณผลสรุปของบัญชีทางเศรษฐกิจและบัญชีต้นทุนกับผลตอบแทน แต่ไม่มีใครสามารถคำนวณผลสรุปของบัญชีนี้ได้ พวกเจ้าดูค่อนข้างมีสติปัญญาในการรับมือกิจการงานภายนอก เจ้ามีวิถีทางและวิธีการของตัวเอง และเจ้าก็เฉลียวฉลาดทีเดียว แต่เจ้ากลับละเลยเรื่องความเชื่อในพระเจ้ากับความรอดของเจ้า รวมทั้งเรื่องของวิธีที่จะปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้า โดยไม่เคยใส่ใจสิ่งเหล่านี้เลย เจ้าคิดหรือว่าการไม่ใส่ใจจะทำให้เจ้าสามารถรอดพ้นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดได้? เจ้าคิดหรือว่าเจ้าคงจะโชคดีและรอดพ้นการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้าด้วยความพยายามเล็กน้อย? จงอย่าหลอกลวงตัวเอง! กฎหมายทั้งหลายที่มนุษย์ตั้งขึ้นล้วนเป็นผลผลิตจากความรู้และความเข้าใจเชิงลึกแบบมนุษย์ กฎหมายเหล่านั้นล้วนเป็นความฉลาดแบบมนุษย์ นั่นไม่ใช่ธรรมบัญญัติทั้งหลายที่กำเนิดมาจากพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า จงอย่านำวิธีคิดแบบแล้วแต่โอกาสมาใช้เมื่อเป็นเรื่องความรอดของเจ้า เจ้าหลอกลวงตัวเองได้เท่านั้น เจ้าไม่สามารถหลอกลวงพระเจ้าได้
อะไรคือสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เจ้าควรทำในการไล่ตามเสาะหาความรอด? จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เจ้าเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง นี่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ไม่ว่าเจ้าจะยุ่งกับการทำหน้าที่ของตนเพียงใด ไม่ว่างานของเจ้าเป็นกองพะเนินเพียงใด เจ้ายังคงต้องหาเวลาเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ค้นหาหลักธรรมและเส้นทางสำหรับการปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งจากพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นี่เป็นจุดมุ่งหมายเดียวของความเชื่อในพระเจ้า ครั้นเจ้าได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงและได้มาซึ่งหลักธรรมแห่งการปฏิบัติแล้ว เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำก็จะเป็นผลการปฏิบัติหน้าที่ที่น่าพอใจ และจะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเปี่ยมความหมาย ไม่เช่นนั้น ทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนเป็นการลงแรงและเจ้าไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของเจ้า การลงแรงนี้ก็จะไม่ช่วยเจ้าให้รอดเช่นกัน หากเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่ปฏิบัติและไม่มีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ไม่ถือว่าการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเป็นสิ่งที่จริงจัง อีกทั้งพอใจแค่การทุ่มเทแรงกายแรงใจของตนและทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่คำนึงถึงการนำความจริงมาปฏิบัติ เจ้าย่อมจะโง่เขลาไม่ใช่หรือ? ทุกคนคิดว่าตนฉลาดและน่าเชื่อถือในงานของตน “ตอนนี้ที่ฉันอยู่ที่นี่แล้ว แน่ใจได้เลยว่างานนี้ต้องสำเร็จด้วยดี ตราบที่ฉันคอยจับตาดูอยู่ที่นี่ จะไม่มีอะไรรบกวนงานของคริสตจักร ตราบที่ฉันไม่เกียจคร้าน ตราบที่ฉันคอยทำหน้าที่ในพระนิเวศไม่ให้ขาด เมื่อนั้นฉันก็จะได้รับการช่วยให้รอด” จงอย่าหลอกตัวเอง พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า ตราบเท่าที่ใครบางคนทำหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่มาจากจินตนาการและการคิดฝันเฟื่องของมนุษย์เอง พวกที่พูดแบบนี้ไม่รู้จักตัวเองเลย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจแก่นแท้และความจริงที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงห้วงลึกสุด นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดโง่เขลาเช่นนั้นได้ ตลอดทุกยุคที่ผ่านมา ผู้ติดตามของพระเจ้าก็ล้วนทำหน้าที่ของตนไม่ใช่หรือ? พวกเขาได้รับการช่วยให้รอดแล้วหรือ? ไม่ พวกเขามีสิทธิ์อันควรที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรือไม่? ไม่ พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้เปิดโปงความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของมนุษย์ไว้อย่างชัดเจนแล้ว นี่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าใจ เปลี่ยนแปลงครรลอง รวมทั้งได้รับความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประสงค์จากมนุษย์ เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงได้หรือไม่ หากเจ้ามุ่งเน้นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น? เจ้าสามารถได้รับความจริงหรือไม่? เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าหรือไม่? ไม่มีโอกาสเลย สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ คนเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริง นบนอบการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า รวมถึงได้มาซึ่งความจริงเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในการตรัสพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าทรงจ่ายราคาเป็นพระโลหิตจากพระทัยของพระองค์เองรวมทั้งสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อมนุษย์ หากเจ้าไม่ทะนุถนอมพระวจนะเหล่านี้ แต่กลับเพิกเฉยและดูหมิ่นพระวจนะอยู่ในหัวใจของเจ้าเสมอ ไม่เคยจริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ? เป็นไปได้หรือที่ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาดีได้? เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ อะไรคือสิ่งสำคัญอันดับแรกเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า? นั่นก็คือการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำความเข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยไม่ล่าช้าด้วยการนี้ จงเริ่มจากสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเจ้า สิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ จงใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเอง แสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหาทั้งหมด รวมทั้งสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงไม่เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า โอกาสที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมเป็นศูนย์ เจ้าได้สูญเสียทุกโอกาสสำหรับความรอดไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าจบลงแล้ว เจ้าจะพูดว่า “ก่อนหน้านี้ในระหว่างงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฉันทำส่วนของฉันไปแล้ว ในระหว่างงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจ่ายราคาและอุทิศเวลากับความพยายามของฉันไปแล้วในขั้นตอนสำคัญนี้ขั้นตอนสำคัญนั้น” ทว่าจนถึงวันนั้น เจ้ายังคงไม่ได้รับความจริงอยู่ดี เจ้าไม่สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างเป็นปกติ และเจ้าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเป็นปกติ โดยพื้นฐานแล้ว เจ้าไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้า เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจึงจะรู้ว่าตนได้สูญเสียโอกาสแห่งความรอดไปเรียบร้อยแล้ว นั่นย่อมสายไปเสียแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่มีโอกาส เจ้าได้ร่วงลงสู่ความวิบัติเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแล้ว ความตายของเจ้าย่อมจวนตัว เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่มีโอกาสแห่งความรอดนี้ และเจ้าต้องทะนุถนอมทุกเวลานาที จงเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวเจ้าก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับไปสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้นและมากขึ้น จงแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าและความเป็นจริงความจริง เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าในหัวใจของเจ้าบ่อยครั้งและเข้าใกล้พระองค์ จงอย่ายอมให้หัวใจของเจ้าถูกความต้องการของเนื้อหนัง กระแสนิยมทางโลก และสิ่งเยี่ยงซาตานอื่นๆ เช่นนั้นครอบงำอย่างเด็ดขาด แต่จงยอมให้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงแสดงอำนาจในหัวใจของเจ้า และหัวใจของเจ้าก็จะเริ่มทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า ตราบที่พระวจนะของพระเจ้าและความจริงมีที่อยู่ในหัวใจของเจ้าและนำทางชีวิตของเจ้า ชีวิตของเจ้าก็จะมีเป้าหมายและความสว่างคอยนำ อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็จะรู้จักความชื่นชมยินดี หากเจ้าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าสามคำ แล้วก็ห้าคำ และจากนั้นก็สิบคำ แล้วต่อจากนั้นก็ร้อยคำ พระวจนะเหล่านี้จะสั่งสมกัน และพระวจนะของพระเจ้าก็จะค่อยๆ มาครองหัวใจของเจ้า นำทางความคิดของเจ้า นำทางการกระทำของเจ้า และนำทางชีวิตของเจ้ามากขึ้นทุกที เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นทุกที และเจ้าจะมาจับใจความหลักธรรมความจริงได้มากขึ้นเรื่อยๆ การกระทำทั้งหลายของเจ้าก็จะไม่อยู่บนพื้นฐานเจตจำนงของตนเองและความต้องการส่วนบุคคล ความไม่บริสุทธิ์จะเจือปนอยู่ในการทำหน้าที่ของเจ้าน้อยลงทุกที และเจ้าก็จะปฏิบัติต่อพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจมากขึ้นเรื่อยๆ คำสอนที่เจ้าเข้าใจก็จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นความเป็นจริงความจริงอย่างช้าๆ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในหนทางนี้ ความหวังของเจ้าที่มีต่อความรอดก็จะไม่เลือนรางหรือมองไม่เห็นอีกต่อไป แต่จะค่อยๆ รับรู้ได้และยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที จริงๆ แล้ว เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นความสว่างนี้ นี่คือช่วงเวลาที่เจ้าเริ่มเกิดความสนใจในพระวจนะของพระเจ้าและทุ่มความหวังอันยิ่งใหญ่ในเรื่องของความรอด ในเวลาเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงให้เจ้าเข้าใจพระวจนะของพระองค์มากยิ่งขึ้น ให้เจ้าเข้าสู่พระวจนะของพระองค์ คุ้มครองเจ้าไม่ให้ตกไปอยู่ในการทดลอง คุ้มครองเจ้าไม่ให้ตกลงสู่กับดักและอิทธิพลมืดของซาตาน รวมทั้งคุ้มครองเจ้าจากความพัวพัน ความขัดแย้ง ความริษยา และกรณีพิพาท รวมถึงสิ่งอื่นๆ ในหนทางนี้ พระเจ้าจะทรงให้เจ้าดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างและดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การชี้แนะแห่งพระวจนะของพระองค์ นี่คือความสุข ความปีติยินดี และสันติสุข การสำเร็จลุล่วงทั้งหมดนี้เริ่มจากการทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งการปฏิบัติและการมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะเข้าใจความจริง ที่จริงแล้ว การนี้ไม่ลำบากยากเย็นเลย หากเจ้าฟังคำเทศนาบ่อยครั้ง รวมทั้งสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าได้ เจ้าก็จะค่อยๆ มาเข้าใจความจริง เมื่อมีการค่อยๆ เปลี่ยนผ่านทีละน้อยและเคลื่อนไปข้างหน้าทีละนิดในหนทางนี้ เจ้าจะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญคือคนเรารักความจริงหรือไม่ หากเจ้ารักความจริงพร้อมกับมีความเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถใส่ใจในเรื่องที่ถูกควร พากเพียรเพื่อความจริง รวมทั้งมุ่งเน้นที่การอ่านและการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าได้ จงเรียนรู้ที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าใจความหมายแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะสามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมทั้งเจ้าจะเริ่มเข้าใจความจริง จากนั้นจงทบทวนและตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองบนพื้นฐานของการเข้าใจความจริง ชำแหละแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า แล้วใช้ความจริงแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้น หากเจ้าปฏิบัติและเข้าสู่ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง และนั่นจะง่ายต่อการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า ด้วยการได้รับความรู้ทีละน้อย การได้รับประสบการณ์ทีละน้อย การมาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าทีละน้อย และการทิ้งความเสื่อมทรามของตนทีละน้อย ผู้คนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ นี่คือขั้นตอนแห่งประสบการณ์ชีวิต การเข้าใจความจริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทันทีที่ใครบางคนเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็จะรู้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ปฏิบัติตาม พวกเขาจะรู้เหตุผลที่พระเจ้าประสงค์ที่จะตรัสเรื่องนี้ และผลที่พระองค์ประสงค์ให้สัมฤทธิ์อีกด้วย พวกเขาจะรู้อีกด้วยว่าแท้จริงแล้ว มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้กับมนุษย์นั้นล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สัมฤทธิ์ได้ มาตรฐานเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่มโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้ ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต การเข้าสู่ชีวิตกำหนดให้เจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง แสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริงอย่างขะมักเขม้น รวมทั้งอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ด้วยประสบการณ์และการปฏิบัติดังกล่าว เจ้าจะมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่ไม่รักความจริงจะไม่แสดงความสนใจในสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่รู้สึกถึงภาระที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตและไม่มีความสนใจที่จะทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้นแม้พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ ผู้คนที่รักความจริงย่อมไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาสามารถเขียนคำพยานเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและแต่ละช่วงเวลาที่ตนได้รับประสบการณ์ พวกเขาได้รับผลประโยชน์จากประสบการณ์ทั้งหมดของตนอย่างแท้จริง โดยผลประโยชน์เหล่านี้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายวันหลายเดือน หลังจากผ่านไปสิบหรือยี่สิบปี พวกเขาก็จะได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ถึงตอนนั้น พวกเขาย่อมสามารถเขียนคำพยานที่ได้จากประสบการณ์ของตนออกมาได้โดยไม่ต้องพยายาม และการเข้าร่วมสามัคคีธรรมความจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากสำหรับพวกเขา พวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถูกควรในการทำหน้าที่ของตน
พวกเจ้าเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่? พวกเจ้ามีหัวใจที่พร้อมด้วยความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ามีหัวใจที่จริงใจหรือไม่? ตอบยากใช่หรือไม่? ที่จริงแล้ว พวกเจ้าล้วนชัดเจนในหัวใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ เวลาที่เจ้าต้องการทำหน้าที่ของตนในลักษณะสุกเอาเผากิน เวลาที่เจ้าต้องการปลิ้นปล้อนและหย่อนยาน เวลาที่เจ้าต้องการเอาแต่ใจและหุนหันพลันแล่น เจ้าสามารถตระหนักรู้หรือไม่? เจ้าสามารถขัดขืนเนื้อหนังได้หรือไม่? เจ้าจะเลือกสิ่งใด? เจ้าเลือกปฏิบัติความจริงหรือเลือกความต้องการของเนื้อหนัง? เจ้าเลือกสิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งที่เป็นลบ? เจ้าเลือกที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อให้ได้รับความจริง หรือเจ้าเลือกที่จะไล่ตามความชูใจทางเนื้อหนัง? เหล่านี้คือคำถามที่จะถูกใช้วัดว่าเจ้ามีหัวใจที่รักและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และเจ้าสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่ หากเจ้าไม่มีหัวใจที่จริงใจต่อพระเจ้า เจ้าชอบทำสิ่งทั้งหลายอย่างเอาแต่ใจและหุนหันพลันแล่น เจ้ามีความสุขตราบที่เจ้าพึงพอใจ และโมโหอาละวาดขึ้นมาเมื่อเจ้าไม่พึงพอใจ แถมเจ้ายังเดินหนีเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นดั่งใจ นี่เป็นสภาวะอันถูกควรของจิตใจหรือไม่? นี่ใช่สิ่งที่หมายถึงการมีหัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้าหรือไม่? นี่คือการทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดีหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิบัติความจริง? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่? หรือเป็นเพราะเจ้าไม่รักความจริง? บางคนคิดว่า “พระวจนะของพระเจ้าเรียบง่ายแต่นำมาปฏิบัติได้ยาก พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้คนปฏิบัติความจริงอยู่เสมอ แต่การนี้ยากลำบากสำหรับผู้คนและสร้างปัญหาให้พวกเขามากมาย ถ้าไม่สะดวกใจ ฉันก็ไม่ปฏิบัติความจริง ตราบใดที่คริสตจักรไม่กำจัดฉันหรือเอาตัวฉันออกไป ฉันจะเลือกทำตัวอิสระตามสบายและทำอะไรตามแต่ฉันต้องการ” นี่คือใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือ? นี่คือผู้ไม่เชื่อไม่ใช่หรือ? นี่คือท่าทีที่พวกผู้ไม่เชื่อนำมาใช้ขณะทำหน้าที่ของตน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขารักอิสรภาพและการเป็นคนเหลวไหล อีกทั้งพวกเขารักที่จะสุกเอาเผากิน ไม่ว่าถูกตัดแต่งอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ หูของพวกเขาไม่ได้ยินอะไรจากสามัคคีธรรมความจริงเลย ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปลดและกำจัดพวกเขาออกไป เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงแต่กลับเป็นผู้คนที่รังเกียจความจริงแทน พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และพระเจ้าจะไม่ช่วยพวกเขาให้รอด สำหรับผู้คนที่รักความจริง แม้เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาถูกเผยออกมา พวกเขาย่อมสามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง พวกเขาสามารถแสวงหาความจริง ทบทวนตัวเอง และมารู้จักตัวเอง รวมถึงพวกเขาสามารถรู้จักที่จะกลับใจได้ เหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยให้รอด เมื่อใครบางคนไม่รักความจริง ย่อมยากที่พวกเขาจะยอมรับความจริง อะไรคืออันตรายอันใหญ่หลวงที่สุดในการไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงนี้? อันตรายนั้นก็คือการทรยศพระเจ้า พวกที่ไม่ยอมรับความจริงนั้นส่อเค้าที่จะทรยศพระเจ้า และพวกเขาอาจจะทรยศพระเจ้าได้ในทุกที่ทุกเวลา พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าเมื่อสิ่งเล็กน้อยไม่เป็นไปดั่งใจ พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้าได้เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งได้แม้สักครั้ง เมื่อเผชิญกับความวิบัติ พวกเขายิ่งส่อเค้าที่จะพร่ำบ่นและทรยศพระเจ้ามากขึ้นไปอีก ไม่ว่าอย่างไร พวกที่ไม่รักหรือไม่ยอมรับความจริงย่อมตกอยู่ในอันตรายมากที่สุด การที่ใครสักคนสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขารักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงการที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ จงใช้ข้อกำหนดแห่งความจริงเพื่อประเมินวัดวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า เพื่อใช้วิจารณญาณแยกแยะตัวเอง และเพื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเองรวมทั้งตระหนักว่าธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร ในแง่หนึ่งนั้น การใช้วิจารณญาณเช่นนั้นช่วยให้เจ้ารู้จักตนเองและสามารถบรรลุการกลับใจอย่างแท้จริง ในอีกแง่หนึ่งนั้น การนี้เปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักพระเจ้าและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ การไม่สามารถยอมรับความจริงคือการสำแดงของการเป็นกบฏและการขัดขืนพระเจ้า ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อปัญหานี้จะช่วยให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางแห่งความรอด เมื่อใครบางคนรักความจริงอย่างแท้จริง เขาย่อมสามารถมีหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า มีหัวใจที่จริงใจ อีกทั้งมีแรงผลักดันในการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า เมื่อมีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมสามารถจ่ายราคา อุทิศพละกำลังและเวลาของตน ละทิ้งประโยชน์ส่วนตน และปล่อยมือจากความพัวพันทางเนื้อหนังทั้งปวง อันเป็นการเปิดทางให้กับการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การปฏิบัติความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ในการที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเอง ปล่อยมือจากประโยชน์ทางเนื้อหนัง ความมีหน้ามีตา สถานะ ชื่อเสียง และความสุขสำราญทางเนื้อหนังของเจ้าเอง—หากเจ้าสามารถปล่อยมือจากสิ่งดังกล่าวทั้งหมด เจ้าย่อมจะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงมากขึ้นทุกที ความลำบากยากเย็นและความเดือดร้อนใดก็ตามที่เจ้ามีย่อมจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป—สิ่งเหล่านั้นจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย—และเจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย สองภาวะที่ขาดไม่ได้สำหรับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ หัวใจที่จริงใจและหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า หากเจ้ามีเพียงหัวใจที่จริงใจ แต่ก็ขี้ขลาดเสมอ ไม่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า และถอยหนีเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น นี่ย่อมไม่เพียงพอ หากในหัวใจของเจ้ามีเพียงความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า และเจ้าก็เป็นคนวู่วามเล็กน้อย อีกทั้งเจ้าเพียงมีความมุ่งมาดปรารถนานี้ แต่เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า เจ้ากลับขาดหัวใจที่จริงใจ อีกทั้งเจ้าถอยหนีและเลือกผลประโยชน์ของตัวเอง นี่ก็ไม่เพียงพอเช่นกัน เจ้าจำเป็นต้องมีทั้งหัวใจที่จริงใจและหัวใจที่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า ระดับความจริงใจในหัวใจของเจ้าและความแรงกล้าของความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้ากำหนดพลังผลักดันของเจ้าในการปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่มีหัวใจที่จริงใจและหัวใจของเจ้าไม่มีความปรารถนาอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและจะไม่มีแรงผลักดันในการปฏิบัติความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และจะเป็นการยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะบรรลุความรอด
ผู้คนมากมายไม่รู้แน่ชัดว่าการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอย่างไร ผู้คนบางคนเชื่อว่าหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน เช่นนั้นก็ยิ่งมีแนวโน้มที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนบางคนคิดว่าหากพวกเขาเข้าใจคำสอนฝ่ายวิญญาณมาก เช่นนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการช่วยให้รอด หรือบางคนคิดว่าผู้นำและคนทำงานจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ กุญแจสำคัญคือผู้คนต้องเข้าใจว่าความรอดหมายถึงสิ่งใด โดยส่วนใหญ่นั้นการได้รับการช่วยให้รอดหมายถึงการเป็นอิสระจากบาป เป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน หันมาหาพระเจ้าและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าต้องมีสิ่งใดจึงจะเป็นอิสระจากบาปและจากอิทธิพลของซาตาน? ความจริง หากผู้คนหวังจะได้รับความจริง พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยพระวจนะอันมากมายของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมีประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะได้ เพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเขามีความรู้มากเท่าใด ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งหรือไม่ หรือพวกเขาทนทุกข์มามากเพียงใด สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับความรอดโดยตรงคือการที่บุคคลผู้หนึ่งสามารถได้รับความจริงหรือไม่ ดังนั้นในวันนี้มีความจริงมากเพียงใดที่เจ้าเข้าใจอย่างจริงแท้? และมีพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดที่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า? ในบรรดาข้อพึงประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า เจ้าสัมฤทธิ์การเข้าสู่ข้อใดไปแล้วบ้าง? ในระหว่างหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดแล้ว? หากเจ้าไม่รู้ หรือหากเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะใดของพระเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว กล่าวตามตรงก็คือเจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด ไม่สำคัญว่าเจ้าครองความรู้ในระดับสูงหรือเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานหรือไม่ มีรูปลักษณ์ที่ดี สามารถพูดได้ดี และเป็นผู้นำหรือคนทำงานมานานหลายปีแล้วหรือไม่ หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกควร และเจ้าขาดพร่องคำพยานจากประสบการณ์จริง เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหวังที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด เราไม่สนใจว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน เจ้าได้ทนทุกข์มามากมายเพียงใด หรือจ่ายราคาไปใหญ่หลวงแค่ไหนแล้ว เราขอบอกเจ้าดังนี้ว่า หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงและไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน หากเจ้าบอกเราว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะบอกเจ้าว่าเจ้ามีความหวังสำหรับความรอดมากเพียงใด ตอนนี้ที่เราได้บอกพวกเจ้าเรื่องเกณฑ์สำหรับประเมินวัดเรื่องนี้ไปแล้ว พวกเจ้าก็ควรประเมินวัดได้ด้วยตัวเอง พระวจนะเหล่านี้บอกข้อเท็จจริงอะไรกับพวกเจ้า? พระเจ้าได้ทรงใช้พระวจนะในการสร้างโลก พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงในทุกรูปแบบ เพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทำ และพระเจ้าทรงใช้วจนะเพื่อดำเนินพระราชกิจสองช่วงระยะของพระองค์ วันนี้พระเจ้ากำลังทรงทำพระราชกิจช่วงระยะที่สามของพระองค์ และในพระราชกิจช่วงระยะนี้พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากกว่าในช่วงระยะอื่น นี่เป็นกาลสมัยที่พระเจ้าได้ตรัสมากที่สุดในพระราชกิจของพระองค์ตลอดประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงสามารถใช้พระวจนะเพื่อสร้างโลก เพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อนำข้อเท็จจริงทั้งหมดจากการไม่มีสู่การมีอยู่ และจากการมีอยู่สู่การไม่มีอะไรเลย—นี่คือสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และในท้ายที่สุดพระเจ้าก็จะทรงใช้พระวจนะเพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงแห่งความรอดของมวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ พวกเจ้าทุกคนสามารถมองเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้ว่า ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าไม่เคยทรงพระราชกิจใดที่ไม่เชื่อมโยงกับพระวจนะของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสมาโดยตลอด และทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงนำมนุษย์ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าในขณะที่ตรัสนั้น พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะเพื่อรักษาสัมพันธภาพของพระองค์กับบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้ทรงใช้พระวจนะนำพวกเขา และพระวจนะเหล่านี้มีความสำคัญสูงสุดสำหรับบรรดาผู้ที่ปรารถนาจะได้รับการช่วยให้รอด หรือผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงใช้พระวจนะเหล่านี้เพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงแห่งความรอดของมวลมนุษย์ เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะมองในแง่เนื้อหาสาระหรือจำนวน ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะประเภทใด และไม่ว่าจะเป็นส่วนใดในพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะเหล่านี้ก็มีความสำคัญที่สุดต่อบรรดาผู้ที่ปรารถนาจะได้รับความรอดทุกคน พระเจ้ากำลังทรงใช้พระวจนะเหล่านี้เพื่อสัมฤทธิ์ผลขั้นสุดท้ายแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ สำหรับมวลมนุษย์แล้ว—ไม่ว่าจะเป็นมวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต—พระวจนะเหล่านี้ก็สำคัญอย่างยิ่ง ท่าทีของพระเจ้าเป็นเช่นนั้น จุดมุ่งหมายและนัยสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์เป็นเช่นนั้น ดังนั้นมวลมนุษย์ควรทำอย่างไร? มวลมนุษย์ควรให้ความร่วมมือและไม่เพิกเฉยต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า แต่นั่นไม่ใช่หนทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าของคนบางคน ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ก็ดูเหมือนพระวจนะของพระองค์ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา พวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่พวกเขาต้องการ ทำสิ่งที่พวกเขาอยากทำ และไม่แสวงหาความจริงบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า นี่ไม่ใช่การรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า มีคนอื่นๆ ที่ไม่ใส่ใจเลยไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด พวกเขามีเพียงความเชื่อมั่นเดียวในหัวใจที่ว่า “ฉันจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงขอ ถ้าพระเจ้ารับสั่งให้ฉันไปทางตะวันตก ฉันก็จะไปทางตะวันตก ถ้าพระองค์รับสั่งให้ฉันไปทางตะวันออก ฉันก็จะไปทางตะวันออก หากพระองค์รับสั่งให้ฉันไปตาย ฉันก็จะให้พระองค์ได้เห็นฉันตาย” แต่มีแค่สิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่รับพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ พวกเขาคิดในใจว่า “มีพระวจนะมากมายเหลือเกิน พระวจนะเหล่านี้ควรจะตรงไปตรงมามากกว่านี้สักหน่อย และควรบอกฉันให้ชัดเจนไปเลยว่าต้องทำอะไร ฉันสามารถนบนอบพระเจ้าในหัวใจของฉันได้” ไม่ว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายเพียงใด ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนเช่นนั้นก็ยังคงไร้ความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง ทั้งยังไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ของตัวเองได้ พวกเขาเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะมีพระกรุณาต่อผู้คนเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) พระองค์ไม่ทรงปรารถนาอย่างแน่นอน พระเจ้าไม่โปรดผู้คนเช่นนั้น พระเจ้าตรัสว่า “เราได้กล่าววจนะหลายพันคำที่ไม่เคยกล่าวมาก่อน เหตุใดเจ้าจึงเป็นเหมือนคนหูหนวกหรือตาบอดที่ไม่เคยได้เห็นหรือได้ฟังวจนะเหล่านี้มาก่อนเล่า? เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจกันแน่? เราไม่ได้เห็นเจ้าเป็นอะไรมากไปกว่าใครบางคนที่หมกมุ่นอยู่กับการไล่ตามพระพรและบั้นปลายอันงดงาม—เจ้ากำลังไล่ตามเป้าหมายเดียวกันกับเปาโล หากเจ้าไม่ต้องการฟังวจนะของเรา หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเดินตามทางของเรา แล้วเหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า? เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามความรอด เจ้ากำลังไล่ตามบั้นปลายอันงดงามและความอยากได้พระพร และในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้ากำลังวางแผนอยู่ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าก็คือการเป็นคนลงแรง” ในข้อเท็จจริงนั้น การเป็นคนลงแรงผู้จงรักภักดีคือการสำแดงความนบนอบพระเจ้าอย่างหนึ่ง แต่นี่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ การคงอยู่ในฐานะคนลงแรงผู้จงรักภักดีนั้นดีกว่าการถูกผลักให้ตกลงสู่ความพินาศและการทำลายล้างเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อมากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระนิเวศของพระเจ้ามีความจำเป็นต้องใช้คนลงแรง และการสามารถลงแรงเพื่อพระเจ้านับเป็นพระพรประการหนึ่ง นี่ดีกว่ามาก—ดีกว่าอย่างไม่มีที่เปรียบ—ดีกว่าการเป็นข้ารับใช้ของพวกกษัตริย์มาร อย่างไรก็ตาม การลงแรงเพื่อพระเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพอพระทัยสำหรับพระเจ้าไปเสียทั้งหมด เพราะพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ และทำให้พวกเขาเพียบพร้อม หากผู้คนพอใจแค่กับการลงแรงเพื่อพระเจ้าเท่านั้น นี่ย่อมไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์จากการทรงพระราชกิจในตัวผู้คน อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่ผลที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็น แต่ผู้คนรุ่มร้อนไปด้วยความอยากได้อยากมี พวกเขาโง่เขลาและมืดบอด พวกเขาถูกผลประโยชน์เล็กน้อยบางอย่างครอบงำให้เคลิบเคลิ้มและเมินเลยพระวจนะแห่งชีวิตอันล้ำค่าที่พระเจ้าตรัสไว้ พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะอย่างจริงจังได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะให้ความสำคัญกับพระวจนะเหล่านั้น การไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ทะนุถนอมความจริง นี่เป็นความหลักแหลมหรือเบาปัญญา? ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้ในหนทางนี้หรือ? ผู้คนควรเข้าใจทั้งหมดนี้ พวกเขามีความหวังในความรอดก็ต่อเมื่อพวกเขาวางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนลง แล้วมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง
บางคนถามว่า “พระวจนะของพระเจ้าประสงค์ให้มนุษย์ยืนอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นยอดมนุษย์หรือผู้ยิ่งใหญ่ แต่ข้าพระองค์รู้สึกถึงความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีเช่นนั้นเสมอ ข้าพระองค์ไม่พอใจกับการเป็นบุคคลธรรมดา เช่นนั้นข้าพระองค์ควรทำเช่นไร?” ปัญหานี้ง่ายมาก เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นบุคคลธรรมดา? หากเจ้าขุดลงไปถึงรากเหง้าของคำถามนี้เป็นอันดับแรก ปัญหาของเจ้าย่อมจะง่ายต่อการแก้ไข พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ นี่เป็นสิ่งที่เปี่ยมความหมายที่สุด หากเจ้าเข้าใจความจริงว่าอะไรคือการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าก็จะรู้ว่าการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ก็คือการเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นบุคคลที่แท้จริง สัญญาณภายนอกของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คืออะไร? การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ก็คือการเป็นคนที่ปกติ อะไรคือสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ความคิด และเหตุผลของผู้คนที่ปกติ? คำพูดและความประพฤติของผู้คนที่ปกตินั้นดูเป็นเช่นไร? บุคคลที่ปกติสามารถพูดจากหัวใจของตนได้ พวกเขาจะพูดสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาโดยปราศจากความเทียมเท็จหรือการหลอกลวงใดๆ หากพวกเขาสามารถเข้าใจเรื่องที่พวกเขาเผชิญ พวกเขาจะกระทำการไปตามมโนธรรมและเหตุผลของตน หากพวกเขาไม่สามารถรู้เท่าทันเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะทำผิดพลาดและล้มเหลว พวกเขาจะเพลิดเพลินอยู่กับความเข้าใจผิดๆ มโนคติอันหลงผิด และความเพ้อฝันส่วนตัว รวมทั้งพวกเขาจะถูกภาพลวงตาตรงหน้าทำให้มืดบอด เหล่านี้เป็นสัญญาณภายนอกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สัญญาณภายนอกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเหล่านี้สนองข้อกำหนดทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ ผู้คนไม่อาจสนองข้อกำหนดทั้งหลายของพระเจ้าได้หากพวกเขาไม่มีความจริง สัญญาณภายนอกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้เสื่อมทรามธรรมดามีอยู่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์มีมาตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวพวกเขาโดยกำเนิด เจ้าต้องปล่อยให้ตัวเองแสดงสัญญาณภายนอกและการเปิดเผยเหล่านี้ออกมา ขณะที่ปล่อยให้ตัวเองแสดงการเปิดเผยและสัญญาณภายนอกเหล่านี้ออกมา เจ้าก็ต้องเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นคือสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ขีดความสามารถ และธรรมชาติโดยกำเนิดของมนุษย์ ครั้นเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่เจ้าควรทำคืออะไร? เจ้าควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างถูกต้อง แต่เจ้าจะนำการพิจารณาอย่างถูกต้องนี้ไปปฏิบัติอย่างไร? การนี้ทำได้โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น เตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงมากขึ้น นำพาสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้ามีมโนคติอันหลงผิด และสิ่งที่เจ้าอาจตัดสินพระเจ้าผิดมาทบทวนให้บ่อยขึ้น รวมทั้งแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดของเจ้า หากเจ้ารับประสบการณ์เช่นนี้ไปสักระยะหนึ่ง ต่อให้เจ้าล้มเหลวหรือสะดุดไปสักสองสามครั้งก็ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือว่าเจ้าสามารถมองเห็นเรื่องเหล่านี้ในพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน และรู้วิธีที่จะปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายและเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งแล้ว หลังจากก้าวผ่านความล้มเหลวและการสะดุดมาหลายปี หากเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างชัดเจน มองเห็นรากเหง้าของความมืดมิดและความชั่วในโลก และมีวิจารณญาณแยกแยะประเภทต่างๆ ของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงได้ เนื่องจากเจ้าไม่ใช่ยอดมนุษย์หรือผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจึงไม่สามารถเข้าถึงและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมองโลกอย่างทะลุปรุโปร่งจากการชำเลืองแวบเดียว มองมวลมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่งจากการชำเลืองแวบเดียว และมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งจากการชำเลืองแวบเดียว เจ้าเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง เจ้าต้องผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง ห้วงเวลาแห่งความฉงนสนเท่ห์มากหลาย การตัดสินที่ผิดพลาดมากมาย และความเบี่ยงเบนอีกมากมาย นี่สามารถเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า จุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความไม่รู้เท่าทันและความเขลาของเจ้าอย่างเต็มที่ ทำให้เจ้าสามารถตรวจสอบตนเองอีกครั้งและรู้จักตนเอง ให้เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับมหิทธานุภาพและพระปัญญาอันเต็มเปี่ยมของพระเจ้า และพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้าจะได้รับสิ่งที่เป็นบวกจากพระองค์ และมาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้าจะมีประสบการณ์มากมายที่ไม่เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา ซึ่งเจ้าจะรู้สึกว่าไร้พลังต่อต้าน เมื่อพบเจอสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องแสวงหาและรอคอย เจ้าต้องได้รับคำตอบในแต่ละเรื่องจากพระเจ้า และเข้าใจแก่นแท้เบื้องหลังแต่ละเรื่องและแก่นแท้ของบุคคลแต่ละจำพวกจากพระวจนะของพระองค์ นี่คือวิธีที่บุคคลปกติธรรมดาประพฤติตน เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” “นั่นเกินความสามารถของฉัน” “ฉันเข้าไม่ถึง” “ฉันยังไม่ได้รับประสบการณ์นี้เลย” “ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง” “ทำไมฉันถึงอ่อนแอแบบนี้? ทำไมฉันถึงไม่เอาไหนเลย?” “ฉันช่างมีขีดความสามารถต่ำนัก” “ฉันช่างเฉื่อยชาและหัวทึบนัก” “ฉันช่างไม่รู้ความเสียจนต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่ฉันจะเข้าใจสิ่งนี้และดูแลมันได้” และ “ฉันจำเป็นต้องหารือเรื่องนี้กับใครบางคน” เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติในหนทางนี้ นี่คือสัญญาณภายนอกของการที่เจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ปกติและการที่เจ้าอยากเป็นบุคคลที่ปกติ พวกที่เห็นว่าตนยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ คิดว่าตนเองไม่ธรรมดาแต่เหนือกว่าและเกินมนุษย์ทั่วไป พวกเขาไม่เคยพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” “นั่นเกินความสามารถของฉัน” “ฉันเข้าไม่ถึงเรื่องนี้” “ฉันไม่รู้ ฉันต้องเรียนรู้ ฉันต้องค้นดูก่อน ฉันต้องหาคนมาสามัคคีธรรมด้วย ฉันต้องแสวงหาจากเบื้องบน” พวกเขาไม่เคยกล่าวคำพูดเช่นนั้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทันทีที่พวกเขาได้รับสถานะ คนบางคนที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องการให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเป็นบุคคลธรรมดา และคิดว่ามีสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ มีสิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งหรือเข้าใจได้เหมือนกับคนอื่นๆ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องการที่จะให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นยอดมนุษย์เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเหล่านั้นมาเฉพาะพระเจ้าให้บ่อยนัก และไม่ต้องถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสวงหา พวกเขาเข้าใจ เรียนรู้ และมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งภายในเวลาไม่กี่นาที พวกเขาไม่มีอะไรที่เป็นความเสื่อมทรามหรือความอ่อนแอ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่รู้เท่าทัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์ ต่อให้มีบางสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์ พวกเขาก็จะรู้เท่าทันในทันที พวกเขาเป็นยอดมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง นี่เป็นการสำแดงความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว พวกเขาใช่บุคคลที่ปกติหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน บุคคลประเภทนี้ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบุคคลธรรมดา ว่าตัวเองมีจุดอ่อน มีข้อติ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจบ่อยครั้งขึ้นเพื่อแสวงหาและอธิษฐานได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงขาดมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ
จงบอกเราทีว่า เจ้าสามารถเป็นผู้คนที่ปกติและธรรมดาได้อย่างไร? เจ้าสามารถเข้ารับที่ทางอันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตามที่พระเจ้าตรัสได้อย่างไร?—เจ้าจะไม่พยายามเป็นยอดมนุษย์หรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่บ้างได้อย่างไร? เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเป็นบุคคลที่ปกติและธรรมดาคนหนึ่ง? การนี้ทำได้อย่างไร? ใครจะตอบ? (ก่อนอื่น พวกเราต้องยอมรับว่าพวกเราเป็นผู้คนธรรมดา ผู้คนที่ปกติธรรมดาอย่างมาก มีหลายสิ่งที่พวกเราไม่เข้าใจ จับใจความไม่ได้ และไม่สามารถรู้เท่าทัน พวกเราต้องยอมรับว่าพวกเราเสื่อมทรามและมีข้อติ หลังจากนั้น พวกเราก็ต้องมีหัวใจที่จริงใจและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเพื่อแสวงหา) ก่อนอื่นจงอย่าตั้งชื่อตำแหน่งให้ตัวเองและผูกมัดอยู่กับชื่อตำแหน่งนั้นโดยพูดว่า “ฉันคือผู้นำ ฉันคือหัวหน้าฝ่าย ฉันคือผู้กำกับดูแล ไม่มีใครรู้เรื่องธุรกิจนี้ดีไปกว่าฉัน ไม่มีใครเข้าใจทักษะทั้งหลายมากไปกว่าฉัน” จงอย่าติดอยู่กับชื่อตำแหน่งที่เจ้าตั้งขึ้นเอง ทันทีที่เจ้าทำเช่นนั้น นั่นจะพันธนาการมือและเท้าของเจ้า รวมทั้งส่งผลต่อสิ่งที่เจ้าพูดและทำ การคิดและการตัดสินที่เป็นปกติของเจ้าก็จะได้รับผลไปด้วย เจ้าต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการตีกรอบของสถานะนี้ ก่อนอื่น จงลดตัวจากตำแหน่งและชื่อตำแหน่งที่เป็นทางการนี้ และยืนในที่ทางของบุคคลธรรมดา หากเจ้าทำเช่นนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติขึ้นมาบ้าง เจ้าต้องยอมรับและพูดด้วยว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร และฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้นอีกด้วย—ฉันกำลังจะทำการศึกษาค้นคว้าบางอย่าง” หรือ “ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์นี้มาก่อน ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร” เมื่อเจ้าสามารถพูดสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่จริงๆ และพูดอย่างซื่อสัตย์ได้ เจ้าย่อมจะมีเหตุผลที่ปกติ ผู้อื่นจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และจะมีทัศนะที่ปกติต่อเจ้าด้วยเหตุนี้ และเจ้าก็จะไม่ต้องแสร้งเล่นละครและจะไม่มีแรงกดดันใหญ่หลวงอันใดต่อตัวเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถสัมพันธ์สนิทกับผู้คนได้อย่างเป็นปกติ การใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นไปอย่างอิสระและง่ายดาย ผู้ใดก็ตามที่พบว่าการใช้ชีวิตนั้นช่างน่าเหนื่อยล้า ก็เป็นเพราะพวกเขาทำให้เป็นแบบนี้เอง จงอย่าเสแสร้งหรือสร้างภาพ ก่อนอื่น จงเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในหัวใจ เกี่ยวกับความคิดที่แท้จริงของเจ้า เพื่อให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจสิ่งเหล่านั้น ผลลัพธ์ก็คือ ความห่วงใย และอุปสรรคกับข้อสงสัยระหว่างเจ้ากับผู้อื่นก็จะถูกกำจัดออกไปจนหมด เจ้ายังถูกสิ่งอื่นจำกัดเอาไว้อีกด้วย เจ้ามักมองว่าตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่าย ผู้นำ คนทำงาน หรือใครบางคนที่มีชื่อตำแหน่ง สถานะ และจุดยืนเสมอ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่เข้าใจบางอย่าง หรือไม่สามารถทำบางสิ่งได้ เจ้ากำลังดูหมิ่นตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือ? เมื่อเจ้าเอาโซ่ตรวนเหล่านี้ในหัวใจของเจ้าออกไป เมื่อเจ้าหยุดนึกถึงตัวเองในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน และเมื่อเจ้าเลิกคิดว่าเจ้าดีกว่าผู้คนอื่น และรู้สึกว่าเจ้าเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกับคนทุกคน และว่ามีบางด้านที่เจ้าด้อยกว่าผู้อื่น—เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและเรื่องที่สัมพันธ์กับงานด้วยท่าทีเช่นนี้ ผลย่อมต่างออกไป เช่นเดียวกับบรรยากาศ หากเจ้ามีความหวั่นวิตกอยู่ในหัวใจเสมอ หากเจ้ารู้สึกเครียดและถูกบีบคั้นตลอดเวลา และหากเจ้าต้องการปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งเหล่านี้แต่ทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง ทบทวนตัวเอง มองดูข้อบกพร่องของตัวเอง และเพียรพยายามไปสู่ความจริง หากเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เจ้าก็จะได้รับผลลัพธ์ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ จงอย่าพูดและกระทำจากตำแหน่งหรือใช้ยศศักดิ์บางอย่าง ก่อนอื่นจงวางทั้งหมดนี้เอาไว้ก่อน และวางตัวเจ้าเองไว้ในฐานะของบุคคลธรรมดา เมื่อใครบางคนพูดว่า “คุณเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ? คุณเป็นผู้ควบคุมดูแลทีมไม่ใช่หรือ? คุณควรเข้าใจเรื่องนี้สิ” เจ้าจงโต้ตอบไปว่า “ตรงไหนของพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสว่า ถ้าคุณเป็นผู้นำหรือหัวหน้าทีม คุณย่อมสามารถเข้าใจทุกอย่าง? ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้ อย่าใช้สายตาของคุณมาตัดสินฉัน คุณเรียกร้องมากเกินไป จริงอยู่ว่าฉันเป็นผู้นำ แต่ความเข้าใจความจริงของฉันก็ยังคงตื้นเขินเกินไป และฉันไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรเพราะฉันไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ และฉันก็ยังคงไม่สามารถมองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งได้ ฉันจำเป็นต้องอธิษฐานและแสวงหา พระเจ้าตรัสไว้ว่า จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ คุณต้องการให้ฉันเข้าใจทันทีและทำการตัดสินใจในทันทีเสมอ แล้วถ้าฉันตัดสินใจผิดล่ะ? ใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้? คุณรับผิดชอบได้หรือ? คุณต้องการให้ฉันทำความผิดพลาดหรือ? คุณรับผิดชอบต่อฉันหรือเปล่าที่ทำแบบนี้? พวกเราควรร่วมมือกัน อธิษฐานและแสวงหาด้วยกัน รวมทั้งรับมือกับเรื่องนี้ให้ดี” เจ้าทำแบบนี้ได้หรือไม่? การนี้ทำง่ายหรือไม่? หากเจ้าสามารถพูดกับผู้อื่นในลักษณะที่เป็นความรู้สึกจากใจ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถพูดได้ว่า “อันที่จริงนั้น วุฒิภาวะของฉันก็ต่ำมากด้วย ถ้าฉันไม่แสวงหาและอธิษฐาน ฉันก็อาจทำความผิดพลาดได้ตลอดเวลา บางครั้งฉันก็อดทำผิดไม่ได้ คุณคิดว่าวุฒิภาวะของฉันนั้นสูงขนาดไหนเชียว? คุณยกย่องฉันเกินไปแล้ว” เมื่อคนอื่นได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด พวกเขาย่อมจะรู้สึกในหัวใจว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์มากและเจ้าสามารถพูดออกมาจากหัวใจได้ จากนั้นพวกเขาก็จะไม่ร้องขอจากเจ้ามากเกินไป แต่ทำงานกับเจ้าแทน หากเจ้านำสิ่งนี้มาปฏิบัติ เจ้าก็จะมีเหตุผลในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำมากขึ้น เจ้าจะไม่ถูกตีกรอบและผูกมัดโดยชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็จะเป็นอิสระ เจ้าจะสามารถพูดและกระทำด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และเจ้าจะสามารถร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว และปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงได้อย่างถูกต้อง ในเวลานี้ สภาวะของเจ้าจะเติบโตเป็นปกติมากขึ้นทุกที และการกระทำของเจ้าก็จะมีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนจะสามารถมองเห็นสิ่งนี้และพูดว่า “ผู้นำคนนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง เขามีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง และเขาได้ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เมื่อมีคนเช่นนั้นเป็นผู้นำของพวกเรา พวกเราก็พลอยได้รับประโยชน์มากมายไปด้วย!” ในเวลานี้เมื่อเจ้ากลับมาทำงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาและอธิษฐาน หรือการไปสามัคคีธรรมกับผู้อื่น สิ่งที่เจ้าทำย่อมถูกต้องและเหมาะสม เจ้าจะไม่มีความหวั่นวิตก เจ้าเดินหน้าไปอย่างหนักแน่นและมั่นคงในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าไม่กลัดกลุ้มเพื่อหาทางออก แต่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปจนจบ ไม่ว่าเผชิญกับสิ่งใด เจ้าก็สามารถนำพาสิ่งนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและถวายหัวใจที่จริงใจของเจ้า นี่คือหลักธรรมที่เจ้าสามารถปฏิบัติได้ในทุกสิ่ง ทุกๆ คนไม่ว่าพวกเขาคือผู้นำและคนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงก็คือบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาทุกคนควรปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ทุกคนมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เจ้าอาจเป็นผู้นำ คนทำงาน หัวหน้าฝ่าย คนควบคุมดูแล หรือบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในกลุ่ม ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปฏิบัติในหนทางนี้ จงถอดรัศมีและยศศักดิ์ที่เจ้าสวมอยู่บนศีรษะออกเสีย ถอดมงกุฎที่ผู้อื่นได้มอบให้เจ้าออกเสีย จากนั้นเจ้าจะพบว่าง่ายที่จะกลายเป็นบุคคลที่ปกติ เจ้าจะปฏิบัติตนบนพื้นฐานของมโนธรรมและเหตุผลด้วยความรู้สึกสบายใจ แน่นอนว่าหลังจากนั้นแค่การยอมรับว่าเจ้าไม่เข้าใจและไม่รู้ย่อมไม่เพียงพอ นี่ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายในการแก้ปัญหานี้ อะไรคือทางออกสุดท้าย? จงนำเรื่องราวและความลำบากยากเย็นทั้งหลายมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา การที่คนคนหนึ่งจะอธิษฐานตามลำพังนั้นไม่เพียงพอ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องถวายการอธิษฐานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้และแบกความรับผิดชอบกับภาระผูกพันนี้ร่วมกันกับทุกคน นั่นเป็นหนทางอันแสนวิเศษในการทำสิ่งทั้งหลาย! เจ้าจะหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางแห่งการพยายามที่จะเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่และเป็นยอดมนุษย์ หากเจ้าทำเช่นนี้ได้ เจ้าย่อมจะได้รับที่ทางอันเหมาะควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นอิสระจากการตีกรอบของความทะเยอทะยานและความอยากที่จะเป็นยอดมนุษย์และบุคคลผู้ยิ่งใหญ่โดยไม่ทันรู้สึกตัว
การยืนในที่อันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและการเป็นคนธรรมดานี้ทำได้ง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) ความลำบากยากเย็นอยู่ตรงไหน? อยู่ตรงนี้ที่ว่า ผู้คนรู้สึกอยู่เสมอว่าบนศีรษะของพวกเขามีรัศมีและยศตำแหน่งมากมายประดับอยู่ พวกเขามอบอัตลักษณ์และสถานะผู้ยิ่งใหญ่และยอดคนให้กับตนเอง ทั้งยังมีส่วนในการปฏิบัติและการแสดงออกภายนอกอันเสแสร้งและเทียมเท็จเหล่านั้นทั้งหมดอีกด้วย หากเจ้าไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ หากคำพูดและความประพฤติของเจ้าถูกสิ่งเหล่านี้จำกัดและควบคุมอยู่เสมอ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า นั่นจะเป็นการยากที่จะเลิกกลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกให้กับสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและนำเรื่องเหล่านั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น และถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์ เจ้าจะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แน่ชัดว่านั่นเป็นเพราะสถานะ ยศตำแหน่ง อัตลักษณ์ และสิ่งดังกล่าวทั้งหมดล้วนเทียมเท็จและไม่จริง เพราะสิ่งเหล่านี้สวนทางและขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้พันธนาการเจ้าไว้จนไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ สิ่งเหล่านี้นำพาอะไรมาสู่เจ้า? สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าเก่งในเรื่องอำพรางตัวเอง แสร้งทำเป็นเข้าใจ แสร้งทำเป็นฉลาด แสร้งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แสร้งเป็นคนดัง แสร้งทำเป็นมีความสามารถ แสร้งมีปัญญา และกระทั่งแสร้งว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีความสามารถทุกอย่าง และสามารถทำได้ทุกอย่าง นี่ก็เพื่อทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาและเลื่อมใสเจ้า พวกเขาจะมาหาเจ้าพร้อมปัญหาทั้งหมดของตน พึ่งพาเจ้าและเคารพยกย่องเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเหมือนเจ้าสุมไฟเผาตัวเอง จงบอกเราทีว่าการถูกไฟเผานั้นให้ความรู้สึกที่ดีหรือไม่? (ไม่ดี) เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าไม่กล้าพูดว่าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เจ้ากลับไม่กล้าพูดว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าทำผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้าไม่กล้ายอมรับความผิดพลาด หัวใจของเจ้าทุกข์ทรมาน แต่เจ้าก็ไม่กล้าพูดว่า “ครั้งนี้ฉันผิดจริงๆ ฉันติดหนี้พระเจ้าและพี่น้องชายหญิงของฉัน ฉันเป็นต้นเหตุให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงขนาดนั้นต่อพระนิเวศของพระเจ้า แต่ฉันไม่มีความกล้าที่จะยืนต่อหน้าทุกคนและยอมรับความผิดพลาดนั้น” เหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าพูดเล่า? เจ้าเชื่อว่า “ฉันจำเป็นต้องทำให้สมกับความมีหน้ามีตาและรัศมีที่พี่น้องชายหญิงได้มอบให้กับฉัน ฉันไม่อาจทรยศต่อความเคารพอย่างสูงและความไว้วางใจที่พวกเขามีให้ นับประสาอะไรที่ฉันจะทรยศต่อความคาดหวังอย่างแรงกล้าที่พวกเขามีต่อฉันมานานปีเหลือเกิน เพราะฉะนั้นฉันต้องแสร้งทำต่อไป” การอำพรางเช่นนั้นเป็นอย่างไร? เจ้าได้ประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่และยอดคน เหล่าพี่น้องชายหญิงต้องการมาพบเจ้าเพื่อสอบถาม ปรึกษา และแม้แต่วิงวอนขอคำแนะนำจากเจ้าเกี่ยวกับปัญหาใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ ดูเหมือนพวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากเจ้าด้วยซ้ำ แต่หัวใจของเจ้ากลับทุกข์ทรมานไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าบางคนไม่รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานนี้ ศัตรูของพระคริสต์ไม่รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานนี้ แทนที่จะทุกข์ทรมาน พวกเขากลับปีติยินดีในเรื่องนี้โดยคิดว่าตนมีสถานะเหนือใครอื่นทั้งหมด อย่างไรก็ดี บุคคลปกติทั่วไปรู้สึกทุกข์ทรมานเมื่อถูกไฟแผดเผา พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย พวกเขาไม่เชื่อว่าตนแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น พวกเขาไม่เพียงคิดว่าตนไม่สามารถสำเร็จลุล่วงงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เท่านั้น แต่ยังคิดว่าตนจะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและเป็นตัวถ่วงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นพวกเขาจะยอมรับความผิดไว้และลาออก นี่คือคนบางคนที่มีเหตุผล ปัญหานี้แก้ไขง่ายหรือไม่? ปัญหานี้แก้ไขง่ายสำหรับผู้คนที่มีเหตุผล แต่ยากสำหรับพวกที่ขาดเหตุผล ครั้นเจ้าได้มาซึ่งสถานะแล้ว หากเจ้าสำราญกับประโยชน์ที่ได้จากสถานะอย่างไม่ละอาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเจ้าถูกเผยและถูกกำจัดเพราะความล้มเหลวในการทำงานที่แท้จริงของตน เจ้าได้นำพาเรื่องนี้มาใส่ตัวและสมควรแล้วกับสิ่งที่เจ้าได้รับ! เจ้าไม่ควรได้รับความเวทนาหรือความสงสารแม้สักนิด เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? นั่นก็เพราะเจ้ายืนกรานที่จะขี่หลังเสือ เจ้าสุมไฟเผาตัวเอง บาดแผลของเจ้าเกิดจากการทำตัวเอง หากเจ้าไม่ต้องการนั่งบนกองไฟ เจ้าควรละทิ้งยศตำแหน่งและรัศมีเหล่านี้ และบอกให้เหล่าพี่น้องชายหญิงรู้สภาวะและความคิดที่แท้จริงที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ในหนทางนี้ พี่น้องชายหญิงย่อมสามารถปฏิบัติต่อเจ้าอย่างถูกต้องและเจ้าก็ไม่ต้องอำพรางตัวอีก ตอนนี้ที่เจ้าได้เปิดใจและให้ความกระจ่างถึงสภาวะที่แท้จริงของเจ้าแล้ว หัวใจของเจ้าย่อมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเดินไปพร้อมกับภาระอันหนักอึ้งบนหลังของตนเช่นนั้น? หากเจ้าแจกแจงสภาวะที่แท้จริงของเจ้า เหล่าพี่น้องชายหญิงจะดูแคลนเจ้าจริงหรือ? พวกเขาจะทอดทิ้งเจ้าจริงหรือ? ไม่จริงโดยสิ้นเชิง ในทางกลับกัน เหล่าพี่น้องชายหญิงจะเห็นชอบในตัวเจ้าและเลื่อมใสที่เจ้ากล้าพูดออกมาจากหัวใจ พวกเขาจะพูดว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ การนี้จะไม่ขัดขวางงานของเจ้าในคริสตจักร และไม่ส่งผลลบกับงานเลยแม้แต่น้อย หากพี่น้องชายหญิงมองเห็นว่าเจ้ามีความลำบากยากเย็นจริงๆ พวกเขาจะอาสาช่วยเหลือและทำงานร่วมกับเจ้า พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? น่าจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? (ใช่) การอำพรางตัวอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นเคารพยกย่องตนนั้นเป็นเรื่องโง่เง่าที่สุด แนวทางที่ดีที่สุดก็คือการเป็นคนธรรมดาซึ่งมีหัวใจที่เป็นปกติ สามารถเปิดใจกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในลักษณะที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย และมักร่วมพูดคุยกันอย่างจริงใจ จงอย่ายอมรับอย่างเด็ดขาดเมื่อผู้คนเคารพยกย่องเจ้า เลื่อมใสเจ้า สรรเสริญเจ้าเกินจำเป็น หรือกล่าวคำยกยอปอปั้น ควรปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ให้หมด ตัวอย่างเช่น บางคนอาจพูดว่า “คุณเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ? คุณต้องเข้าใจความจริงอย่างมากแน่ๆ เพราะคุณมีความรู้มากมายเหลือเกิน” จงบอกพวกเขาว่า “ฉันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอะไรกัน? ความรู้มากมายแค่ไหนก็แทนที่ความจริงไม่ได้ ความรู้นี้ทำให้ฉันทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง อย่ามองฉันสูงส่งนักเลย ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” แน่นอนว่าบางคนปล่อยมือจากสถานะของตนได้อย่างยากลำบาก พวกเขาต้องการที่จะเป็นคนธรรมดาทั่วไปและยืนอยู่ในที่อันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาไม่ต้องการทุกข์ทนเช่นนั้น แต่พวกเขาห้ามใจตัวเองไม่ได้ พวกเขามองตัวเองเป็นคนที่เหนือกว่าและไม่สามารถก้าวลงจากตำแหน่งอันสูงส่งของตนได้ นี่คือปัญหา พวกเขาชอบเวลาที่มีผู้คนรายล้อมตน จ้องมองตนด้วยแววตาเลื่อมใส พวกเขาชอบให้ผู้คนนำปัญหาทั้งหมดของตนมาหาพวกเขา พึ่งพาพวกเขา ฟังพวกเขา และเคารพยกย่องพวกเขา พวกเขาชอบให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขาคือคนที่เหนือกว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกสิ่ง เชื่อว่าพวกเขารอบรู้เสียจนไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่เข้าใจ และถึงกับคิดว่า หากผู้คนจะมองว่าพวกเขาคือเหล่าผู้ชนะก็คงจะดีงามและวิเศษยิ่งนัก นี่เกินการเยียวยาใดๆ คนบางคนยอมรับคำชมและมงกุฎที่ผู้อื่นมอบให้ และแสดงบทบาทเป็นยอดคนกับผู้ยิ่งใหญ่อยู่พักหนึ่ง แต่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจและทนทุกข์กับความทุกข์ทรมาน พวกเขาควรทำอย่างไร? ที่จริงแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ต้องการยกยอปอปั้นเจ้าย่อมกำลังสุมไฟเผาเจ้าอยู่ และเจ้าควรอยู่ห่างจากพวกเขา หรือไม่เช่นนั้นก็จงหาโอกาสเผยความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเจ้าให้พวกเขาเห็น บอกพวกเขาเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของเจ้า และเปิดโปงข้อเสียและจุดบกพร่องของเจ้า ในหนทางนี้ พวกเขาก็จะไม่เคารพบูชาหรือยกย่องเจ้าอีก เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่? ในข้อเท็จจริงนั้น เรื่องนี้ทำได้ง่าย หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าโอหังและทะนงตนเกินไป เจ้ามองว่าตัวเองเป็นยอดคน เป็นผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ อีกทั้งในหัวใจของเจ้าก็ไม่เกลียดและไม่ชิงชังอุปนิสัยประเภทนี้แต่อย่างใดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าทำได้แค่รอการสะดุดล้มลงจนเจ้าต้องเสียหน้าในสายตาคนอื่น หากเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างแท้จริง เจ้าจะชิงชังและรู้สึกขยะแขยงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ต้องการแสดงบทยอดคนและผู้ยิ่งใหญ่เสมอ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องมีความรู้สึกนี้ เมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงสามารถเกลียดชังตัวเองและขัดขืนเนื้อหนังได้ เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเป็นคนทั่วไป คนธรรมดา และคนปกติ? ก่อนอื่นเจ้าควรปฏิเสธและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นที่เจ้ายึดถือซึ่งเจ้าคิดว่าดีและมีค่ามากเหลือเกิน รวมไปถึงคำพูดผิวเผินอันสวยหรูที่ผู้อื่นแสดงความเลื่อมใสและสรรเสริญเจ้า หากเจ้าชัดเจนในหัวใจว่าตนเป็นบุคคลประเภทใด แก่นแท้ของเจ้าเป็นอย่างไร จุดบกพร่องของเจ้าคืออะไร และความเสื่อมทรามใดที่เจ้าเผยออกมา เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมในเรื่องนี้กับผู้อื่นอย่างเปิดเผย เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นว่าอะไรคือสภาวะที่แท้จริงของเจ้า อะไรคือความคิดและความคิดเห็นของเจ้า เพื่อให้พวกเขารู้ว่าเจ้ามีความรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าเสแสร้งหรือสร้างภาพ จงอย่าซ่อนเร้นความเสื่อมทรามและจุดบกพร่องของตัวเองจากผู้อื่นเพื่อไม่ให้ใครรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น พฤติกรรมเทียมเท็จประเภทนี้คืออุปสรรคในหัวใจของเจ้า อีกทั้งยังเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และสามารถหยุดยั้งผู้คนไม่ให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย เจ้าต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า นำสิ่งเทียมเท็จทั้งหลายขึ้นมาทบทวนและชำแหละ เช่น การสรรเสริญที่ผู้อื่นมอบให้เจ้า สง่าราศีที่พวกเขามอบให้กับเจ้าอย่างล้นเหลือ มงกุฎที่พวกเขามอบให้เจ้า เจ้าต้องมองเห็นอันตรายที่สิ่งเหล่านี้ทำกับเจ้า ในการทำเช่นนั้น เจ้าจะรู้จักประมาณตน เจ้าจะบรรลุการรู้จักตนเอง และจะไม่มองตัวเองเป็นยอดคนหรือผู้ยิ่งใหญ่อะไรสักอย่างอีกต่อไป ครั้นเจ้ามีการตระหนักรู้ในตนเองเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะยอมรับความจริง ที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์เข้าไปในหัวใจของเจ้า ที่จะยอมรับการช่วยให้รอดของพระผู้สร้างที่มีต่อเจ้า ที่จะเป็นคนธรรมดาอย่างหนักแน่นมั่นคง เป็นใครคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์และพึ่งได้ รวมทั้งที่จะสร้างสัมพันธภาพที่เป็นปกติระหว่างเจ้า—สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กับพระเจ้า—พระผู้สร้าง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่พวกเขาบรรลุได้ทั้งหมด พระเจ้าเพียงทรงอนุญาตให้ผู้คนปกติธรรมดามาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้เท่านั้น พระองค์ไม่ทรงยอมรับการนมัสการจากพวกที่เสแสร้งเป็นคนดัง ผู้ยิ่งใหญ่ และยอดคนเทียมเท็จพวกนั้น เมื่อเจ้าปล่อยมือจากรัศมีเทียมเท็จเหล่านี้ โดยยอมรับว่าตนเป็นคนปกติธรรมดา และเข้าหาพระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงและอธิษฐานต่อพระองค์ หัวใจที่เจ้ามีแด่พระองค์ก็จะถ่องแท้ขึ้นมาก และเจ้าจะรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ณ เวลาเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าจำเป็นต้องมีพระเจ้าเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือเจ้า และเจ้าจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและอธิษฐานต่อพระองค์ได้บ่อยขึ้น จงบอกเราทีว่า พวกเจ้าคิดว่าการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นยอดคน หรือเป็นคนธรรมดาง่ายกว่ากัน? (เป็นคนธรรมดา) ตามทฤษฎีแล้ว การเป็นคนธรรมดานั้นง่าย แต่การเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดคนซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานเสมอนั้นยากลำบาก ถึงกระนั้น เมื่อผู้คนเลือกทางของตัวเองและนำมาปฏิบัติ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องการเป็นยอดคนหรือผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาห้ามใจตนเองไม่ได้ นี่มีเหตุมาจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นมนุษย์จึงเรียกร้องการช่วยให้รอดของพระเจ้า ในภายภาคหน้าหากใครบางคนถามพวกเจ้าว่า “คนเราสามารถเลิกพยายามที่จะเป็นยอดคนหรือผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?” พวกเจ้าจะตอบคำถามนี้ได้หรือไม่? ทั้งหมดที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำก็คือปฏิบัติตามวิธีการที่เราวางไว้ จงเป็นคนธรรมดา ไม่อำพรางตน อธิษฐานต่อพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะเปิดเผยตนเองในหนทางที่เรียบง่าย และพูดคุยกับผู้อื่นจากหัวใจ การปฏิบัติเช่นนั้นจะประสบผลตามธรรมชาติ เจ้าจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเป็นบุคคลปกติ เจ้าจะไม่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตอีกต่อไป ไม่อยู่ในความทุกข์ทรมานอีกต่อไป และไม่อยู่ในความเจ็บปวดอีกต่อไป ผู้คนทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา ไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา ยกเว้นของประทานส่วนตนของพวกเขาที่แตกต่างกัน และขีดความสามารถของพวกเขาที่อาจต่างกันได้บ้าง หากไม่ใช่เพราะการคุ้มครองและการช่วยให้รอดของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดก็จะทำชั่วและทนทุกข์กับการลงโทษ หากเจ้าสามารถยอมรับว่าเจ้าเป็นคนธรรมดา หากเจ้าสามารถก้าวออกจากการคิดฝันและภาพลวงตาอันว่างเปล่าของมนุษย์ อีกทั้งเสาะแสวงที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และมีความประพฤติที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างมีมโนธรรม เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีปัญหาและเจ้าจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์โดยสมบูรณ์ การนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง แล้วเหตุใดจึงไม่มีเส้นทาง? สิ่งที่เราเพิ่งพูดไปนี้เรียบง่ายอย่างมาก ในความเป็นจริง นั่นก็คือหนทางที่เป็นอยู่จริง บรรดาผู้ที่รักความจริงสามารถยอมรับการนี้ได้โดยบริบูรณ์ และพวกเขายังจะพูดด้วยว่า “ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ประสงค์จากมนุษย์มากเกินไป ข้อกำหนดของพระองค์ล้วนสำเร็จได้ด้วยมโนธรรมและเหตุผลแบบมนุษย์ ไม่ยากเย็นเลยที่บุคคลหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี หากคนคนหนึ่งกระทำการจากหัวใจ อีกทั้งมีเจตจำนงและความอยากที่จะนำการนี้มาปฏิบัติ ก็ย่อมสัมฤทธิ์ได้อย่างง่ายดาย” แต่คนบางคนไม่อาจสัมฤทธิ์การนี้ได้ สำหรับพวกที่มีความทะเยอทะยานและความอยากอยู่เสมอ ผู้ที่ต้องการเป็นยอดมนุษย์และผู้ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา ถึงแม้พวกเขาต้องการที่จะเป็นคนธรรมดา แต่นั่นก็ไม่ง่ายสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองดีกว่าและเหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้นทั้งหัวใจและจิตใจของพวกเขาจึงถูกครอบงำด้วยความอยากที่จะเป็นยอดคนหรือผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาไม่เพียงไม่เต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดาและรักษาสถานะของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่พวกเขายังสาบานว่าพวกเขาจะไม่มีวันล้มเลิกการไล่ตามไขว่คว้าที่จะเป็นยอดคนและผู้ยิ่งใหญ่ นี่ย่อมเกินเยียวยา
คนบางคนไม่แสวงหาความจริงและไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาเผชิญสิ่งใด พวกเขาเพียงกระทำไปบนพื้นฐานของความปรารถนา ของประทาน และขีดความสามารถของตนเอง แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขาก็เพียงทำพอเป็นพิธีเท่านั้น และพวกเขาก็คิดในหัวใจว่า “พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพระองค์ ฉันจะเพียงกระทำไปในหนทางที่ฉันคิดว่าดีที่สุด” พวกเขารู้สึกมีความสามารถเต็มที่ในการรับมือกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองและมีสมรรถภาพเต็มที่ในงานที่ตนทำ สำหรับพวกเขาแล้ว การอธิษฐานถึงพระเจ้าเป็นแค่เรื่องของการทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนอย่างไร? พวกเขาสามารถยอมรับว่าตนเป็นคนปกติธรรมดาหรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่สามารถเลย) ผู้คนเช่นนั้นคิดว่าตนสามารถทำสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเขาเชื่อว่า ต่อให้พวกเขาไม่กระทำตามพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็สามารถรับมือกับสิ่งใดก็ได้ และพวกเขาสามารถทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จได้อย่างไม่ยุ่งยากหรือลำบากยากเย็นโดยปราศจากการแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนแบบนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางใด? ใช่เส้นทางแห่งการเสาะแสวงที่จะเป็นยอดคนและผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่? (ใช่) ไม่ว่าพวกเขาสร้างความยุ่งเหยิงที่ใหญ่โตเพียงใด หรือพวกเขากระทำผิดมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีความหมายต่อพวกเขาเลย ตราบที่พวกเขาได้ทำสิ่งต่างๆ ไปแล้วมากมาย ได้สะสมผลสัมฤทธิ์บางอย่าง และรู้สึกถึงสำนึกของความเหนือกว่าบางประการ พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีทรัพยากรและมีความสามารถ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ทำงานหนักและสัมฤทธิ์ผลเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้วมากมาย พวกเขาไม่ต้องการพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ต้องการพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ด้วยตัวเอง ผู้คนเช่นนั้นจะไม่มีวันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาคุยโวว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ เมื่อพวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่าง พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง นับประสาอะไรที่จะสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของตน ทั้งพวกเขายังไม่เคยแสวงหาจากเบื้องบน ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคิดว่า ในพระวจนะของพระเจ้าไม่มีคำอธิบายที่เป็นรูปธรรม และมีหลายสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดถึง ดังนั้นจึงดีแล้วที่พวกเขาแก้ไขสิ่งต่างๆ ดังกล่าวด้วยตัวเอง พวกเขาได้วางพระเจ้าลงโดยไม่รู้ตัว พวกเขาเหยียดหยามผู้อื่นและเหยียบทุกคนไว้ใต้ฝ่าเท้าโดยไม่รู้ตัว ถนนที่พวกเขากำลังเดินอยู่เป็นถนนสู่การเป็นคนดัง ผู้ยิ่งใหญ่ และยอดคน สุดท้ายแล้ว บุคคลประเภทนี้ก็ไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้ หากเจ้าจะขอให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา ยอมรับว่าพวกเขาสามารถทำผิดพลาด กระทำผิด และล้มเหลวได้ และยอมรับว่าพวกเขามีข้อเสียและข้อบกพร่องมากมาย พวกเขาจะสามารถทำได้หรือไม่? (พวกเขาคงไม่สามารถทำได้) หากเจ้าบอกให้พวกเขาถอดมงกุฎและรัศมีเหล่านั้นออก ปล่อยมือจากความนับถืออย่างสูงที่พี่น้องชายหญิงมีให้ตน และยอมทิ้งเกียรติยศและสถานะในคริสตจักร พวกเขาจะยินยอมหรือไม่? (พวกเขาคงจะไม่ยินยอม) พวกเขาคงจะพูดว่า “ฉันจะเต็มใจทิ้งชื่อเสียงและมงกุฎที่ได้มาอย่างยากลำบากไปแบบนี้ได้อย่างไร? ฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้น!” พวกเขากระหายให้มีผู้คนที่ปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งเป็นยอดคนและผู้ยิ่งใหญ่มากขึ้น พวกเขาไม่ชอบให้ผู้คนเห็นข้อเสียและข้อบกพร่องของตน และปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นคนปกติ พวกเขายิ่งไม่ชอบมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้คนเปิดโปงความผิดพลาด ความล้มเหลว และการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา ผู้คนเช่นนั้นสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริงได้หรือไม่? (พวกเขาทำไม่ได้) ต่อให้พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน พวกเขาจะมีหัวใจที่จริงใจหรือไม่? ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำนั้นก็เพื่อมงกุฎบนศีรษะของตนและเกียรติยศของตนเอง พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้ทุกคนเห็น แต่จะไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและไม่อาจถวายหัวใจที่จริงใจซึ่งพวกเขาไม่มีให้กับพระเจ้าได้ พวกเขาไม่มีทางที่จะสามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าและกระทำการโดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ได้ เพราะฉะนั้นต่อให้คนประเภทนี้ต้องการแสวงหาความจริงและต้องการขจัดความอยากเป็นคนเด่นคนดังหรือผู้ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่จริงใจ พวกเขาไม่สามารถขัดขืนเนื้อหนัง และไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาเป็นคนจำพวกใด? พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ เมื่อศัตรูของพระคริสต์มีสถานะ อิทธิพล และเกียรติยศเล็กน้อยท่ามกลางผู้คน พวกเขาจะสร้างอาณาจักรอิสระของตัวเองอย่างกระตือรือร้น เริ่มออกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีการหวนกลับ ไม่ว่าเจ้าเข้าร่วมสามัคคีธรรมความจริงหรือตัดแต่งพวกเขาสักกี่ครั้งก็ไร้ประโยชน์ ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น สามัคคีธรรมความจริง การพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ การเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้าและการเป็นพยานต่อพระเจ้า อีกทั้งการเข้าร่วมสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจอันบริสุทธิ์และหลักธรรมแห่งความจริง—สิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้มีผลกับบรรดาผู้ที่รักความจริงและมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าเท่านั้น สำหรับพวกที่ไม่รักความจริง พวกที่ไล่ตามเสาะหาแต่เพียงพระพรเท่านั้น รวมทั้งพวกที่ชอบรับบทเป็นยอดคนและผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งที่เป็นบวกเหล่านั้นไม่มีประโยชน์เลย ความจริง พระวจนะที่ถูกต้อง และสิ่งที่เป็นบวกใดก็ตามล้วนมีไว้เพื่อบรรดาผู้ที่รักความจริง รักพระวจนะของพระเจ้า และมีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าเท่านั้น หลังจากที่ฟังความจริงแล้ว พวกที่ไม่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมเหล่านี้ย่อมจะพูดว่าความจริงนั้นถูกต้องและความจริงนั้นดีงามเช่นกัน แต่พวกเขาจะไตร่ตรองความจริงและคิดว่า “ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อเกียรติยศ สถานะ มงกุฎ รัศมี และบำเหน็จรางวัลของพระเจ้า หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันยังคงมีศักดิ์ศรีอยู่หรือ? ชีวิตของฉันมีความหมายอะไร? ความเชื่อในพระเจ้าเป็นแค่หนทางหนึ่งในการไล่ตามบำเหน็จรางวัลและมงกุฎไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ฉันก็จ่ายราคาด้วยเลือดและหัวใจไปมากเหลือเกินแล้ว และหลังจากรอคอยมานานมาก ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะประทานบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว นี่คือเวลาที่ฉันควรได้รับมงกุฎและบำเหน็จรางวัลของตน ฉันจะยอมยกสิ่งนี้ให้กับคนอื่นได้อย่างไร? การมีชีวิตแค่เป็นคนปกติ เป็นคนธรรมดา เหมือนผู้คนอื่นๆ ทั่วไปจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ฉันไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้น!” คนแบบนั้นย่อมเกินเยียวยาไม่ใช่หรือ? (ใช่) จงอย่าเสาะแสวงที่จะเกลี้ยกล่อมผู้คนแบบนั้น ความจริงไม่ใช่มีไว้เพื่อพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาต้องการก็ไม่ใช่ความจริง คนประเภทนี้แสวงหาเพียงพรและมงกุฎเท่านั้น ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขานั้นเกินขอบเขตสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้คนปกติ คนบางคนไม่อาจจินตนาการได้ว่าเหตุใดคนประเภทนี้จึงยึดติดอยู่กับสถานะและอำนาจ และจะไม่ยอมปล่อยมือ นี่คือแก่นแท้และธรรมชาติโดยกำเนิดของคนประเภทนี้ เจ้าไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็เพราะแก่นแท้ของเจ้าต่างจากของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เข้าใจเจ้าเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงโง่เง่าเหลือเกิน เจ้าไม่ต้องการมงกุฎ รัศมี และเกียรติยศสำเร็จรูป และกลับจะเป็นคนธรรมดาแทน พวกเขามองเจ้าแบบคาดไม่ถึง คนแบบนี้จึงคิดว่า “คุณไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจัง คุณปฏิบัติในสิ่งที่พระเจ้าบอก คุณทำสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ และคุณนบนอบสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าบอกให้คุณทำ ทำไมคุณถึงโง่เง่าได้ขนาดนี้?” พวกเขาคิดว่าการเป็นคนซื่อสัตย์และการปฏิบัติความจริงนั้นเป็นเรื่องโง่เง่า ไม่รู้ความและสมองทึบ พวกเขาคิดว่าตนฉลาดแยบยลในการไล่ตามไขว่คว้าความรู้และเล่นบทบาทของคนที่เหนือกว่า เมื่อคิดว่าตัวเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาจึงสรุปว่า “ชีวิตของคนที่ขาดสถานะและเกียรติยศ ไม่มีมงกุฎสวมศีรษะ รวมทั้งไม่มีคุณค่าในสายตามนุษย์และไม่มีอำนาจในการพูดย่อมไร้ค่า หากคนเราไม่มีชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียง พวกเขาก็ต้องอยู่เพื่อผลประโยชน์ หากไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ พวกเขาก็ต้องอยู่เพื่อชื่อเสียง” นี่เป็นตรรกะของซาตานไม่ใช่หรือ? เมื่อดำเนินชีวิตตามตรรกะของซาตาน พวกเขาย่อมหมดหนทางเยียวยา พวกเขาไม่มีวันยอมรับพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เป็นบวก หรือคำแนะนำที่ถูกต้องได้ จะทำอะไรได้อีกเล่าหากพวกเขาไม่สามารถยอมรับการนี้? คำพูดเหล่านี้ไว้สำหรับพวกเขา คำพูดเหล่านี้มีไว้กล่าวกับผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติกับผู้คนที่มีความมุ่งมั่นอันแสนยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าเท่านั้น คำพูดเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้คนเหล่านี้เท่านั้น ผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถฟังและไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าอย่างตั้งใจจริง บรรลุความเข้าใจในความจริง กระทำการตามหลักธรรมความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าประสงค์ ปฏิบัติและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ และค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ส่วนพวกที่เก็บงำการเหยียดหยามและความเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งที่เป็นบวกและต่อพระวจนะของพระเจ้าไว้ในหัวใจของตนนั้น พวกเขาย่อมไม่อาจทำใจยอมรับการใช้ชีวิตแบบธรรมดาและไม่โดดเด่น เป็นคนธรรมดาทั่วไป มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจัง อีกทั้งแสวงหาและรอคอยด้วยหัวใจทั้งดวงของตนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาไม่พอใจที่จะเป็นคนเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเช่นนั้นจะได้รับการช่วยให้รอด ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้เพื่อผู้คนเหล่านี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (พวกเราเข้าใจ) ผู้ใดก็ตามที่สามารถเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ปกติและธรรมดาที่พระเจ้าตรัสถึง และยืนในที่อันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ ผู้ใดก็ตามที่เต็มใจเป็นคนโง่เขลาให้ผู้อื่นดูแคลน อีกทั้งสามารถยอมรับและนบนอบพระวจนะของพระเจ้าได้ไม่ว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งใด โดยมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง แสวงหาบ่อยครั้ง และมีหัวใจที่จริงใจ ย่อมสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่พระเจ้าตรัสถึงได้ ผู้ใดก็ตามที่กลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่พระเจ้าตรัสถึงย่อมจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาต่อมวลมนุษย์ไว้ในท้ายที่สุด นี่เป็นเรื่องแน่นอน
เมื่อที่พระเจ้าทรงชั่งน้ำหนักว่าบุคคลหนึ่งดีหรือไม่ดี เขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และเขาสามารถบรรลุการช่วยให้รอดของพระเจ้าได้หรือไม่นั้น พระองค์ทรงพิจารณาจากความเข้าใจที่เขามีต่อพระวจนะของพระองค์ และท่าทีที่เขามีต่อพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงพิจารณาว่าเขาสามารถปฏิบัติความจริงที่ตัวเองเข้าใจได้หรือไม่ พระองค์ทรงพิจารณาว่าเขาสามารถยอมรับความจริงเมื่อถูกตัดแต่งและเมื่อก้าวผ่านบททดสอบได้หรือไม่ พระองค์ทรงพิจารณาว่าเขาปรารถนาและยอมรับพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจหรือไม่ พระเจ้าไม่ทรงตัดสินจากระดับการศึกษา ขีดความสามารถ ของประทานที่เขามี ระยะทางที่เขาเดินทาง หรือปริมาณงานที่พวกเขาได้ทำไปแล้ว พระเจ้าไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ก็ไม่ประสงค์สิ่งเหล่านี้ สมมุติว่าเจ้าต้องการนำความอยากและความทะเยอทะยานของเจ้ามาแลกเปลี่ยนเป็นบำเหน็จรางวัลและมงกุฎจากพระเจ้า แต่เจ้ามองข้ามและเพิกเฉยต่อพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ แม้ว่าพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไปแล้วหลายต่อหลายพันคำ แต่ก็ไม่มีพระวจนะจากพระเจ้าสักคำที่หลงเหลืออยู่ในหัวใจเจ้า ไม่มีคำเตือนสติของพระเจ้า คำเตือนของพระองค์ หรือคำเตือนใจของพระองค์แม้สักคำ หรือแม้แต่การพิพากษา การตีสอน หรือการสอนของพระองค์—ในหัวใจของเจ้าไม่มีพระวจนะเหล่านี้เลยแม้สักคำ เจ้าไม่นำพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้มาเป็นคติพจน์ในหัวใจของเจ้าเลยสักคำ หัวใจของเจ้าไม่จดจำพระวจนะจากพระเจ้าแม้สักคำ และในเวลาเดียวกัน เจ้าก็ไม่จ่ายราคาใดๆ เพื่อปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นจุดจบและบั้นปลายของเจ้าจากมุมมองของพระเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ในการสถิตของพระเจ้า ในการสถิตของพระผู้สร้าง หากเจ้าไม่ยินยอมที่จะเป็นคนทั่วไปหรือธรรมดา ในการสถิตของพระผู้สร้าง หากเจ้ากล้าปฏิบัติตนอย่างอวดดี หากเจ้าต้องการเล่นบทเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ยอดคน บุคคลพิเศษเสมอ และเจ้าไม่คงอยู่ในตำแหน่งที่พระเจ้าประทานให้ เช่นนั้นเจ้ายังต้องการได้สิ่งใดมาจากพระเจ้าอีก? พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้เจ้าหรือ? หากผู้คนต้องการได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับมนุษย์ พวกเขาก็ต้องเดินตามทางของพระเจ้าเสียก่อน นี่คือแนวทางทั่วไป สำหรับแนวทางเฉพาะนั้น พวกเขาต้องฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เส้นทางนี้จะไม่มีวันทำให้พวกเขาหลงทาง จงฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นความจริงแห่งชีวิตของเจ้า เป็นพื้นฐาน หลักธรรม ทิศทาง และเป้าหมายของสิ่งที่เจ้าพูด วิธีที่เจ้าประพฤติปฏิบัติตน วิธีที่เจ้ามองสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย กล่าวได้ว่า สิ่งที่เจ้าพูดและการตัดสินของเจ้าต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเลือกข้องแวะกับคนประเภทหนึ่งและหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธคนอีกประเภทหนึ่ง เจ้าต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐาน ต่อให้เจ้าโกรธและสาปแช่งผู้อื่น การกระทำของเจ้าก็ต้องมีหลักธรรมและบริบท อีกทั้งสอดคล้องกับความจริงโดยพื้นฐาน ในหนทางนี้ เจ้าจะดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า การแสวงหาเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเป็นขั้นตอนแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติเพื่อกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม นี่ยังเป็นขั้นตอนของการปลดปล่อยตัวเองให้เลิกพยายามเป็นยอดคน เป็นบุคคลพิเศษ และคนดังหรือผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน หากเจ้าต้องการหลุดพ้นจากเส้นทางของการเพียรพยายามที่จะเป็นยอดคน คนดัง และผู้ยิ่งใหญ่ หรือจากวิธีการไล่ตามไขว่คว้าประเภทนี้ เช่นนั้นก่อนอื่นเจ้าก็ต้องลดการวางท่าของตนลง ถ่อมตน ยอมรับว่าเจ้าเป็นคนคนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่มีอะไรสำคัญ และเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เลยหากปราศจากการทรงนำของพระเจ้า—เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าต้องยอมรับว่าตนไม่มีความสำคัญอะไรเลยหากไม่มีพระเจ้ากับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าเป็นบุคคลที่เต็มใจยอมรับอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้าง หากปราศจากลมหายใจที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า—หากปราศจากทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่เจ้าแล้ว—เจ้าก็คือซากศพและไม่มีค่าอะไรเลย แน่นอนว่าในขณะที่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับพระวจนะแห่งชีวิตทั้งหมดที่พระองค์ตรัสไว้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เจ้าต้องเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสไว้ ทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า ทำให้พระวจนะเหล่านั้นกลายเป็นรากฐานและพื้นฐานของชีวิตและการดำรงอยู่ของเจ้า อีกทั้งทำให้พระวจนะเหล่านั้นเป็นแหล่งและสิ่งที่เกื้อหนุนการอยู่รอดของเจ้าไปตลอดทั้งชีวิต นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเป็นข้อกำหนดสูงสุดของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์
วันนี้หัวข้อหลักของสามัคคีธรรมของพวกเราก็คือวิธีปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้า วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า วิธีที่ผู้คนควรทะนุถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้า และวิธีที่พวกเขาควรปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและบรรลุความรอด โดยหลักแล้วพวกเราได้ร่วมสามัคคีธรรมถึงความสำคัญแห่งพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าขาดและสิ่งที่พวกเจ้าควรมีโดยแท้ หากเราไม่สามัคคีธรรมในหนทางนี้ เจ้าก็คงจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเจ้าพอมีความรู้ในจิตใต้สำนึกอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่สามารถอธิบายสิ่งเจ้ารู้ได้อย่างชัดเจน นั่นก็เหมือนการเขียนบทความตอนที่โครงเรื่องถูกวางไว้แต่เจ้ายังคงเติมเนื้อหาลงไปไม่ได้ นี่คือสถานการณ์จริงของพวกเจ้า สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ในวันนี้เป็นสิ่งเตือนใจและเป็นคำเตือนต่อพวกเจ้า พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนแต่ละคน และไม่มีสิ่งใดมาแทนความจริงได้ ครั้นเจ้าเข้าใจประเด็นนี้แล้ว พวกเจ้าควรมีเส้นทางสำหรับวิธีปฏิบัติ เจ้าต้องทำการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น รวมทั้งปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นเพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าควรทำอย่างไรหากรู้สึกว่าตัวเองมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป ขาดพร่องความสามารถในการทำความเข้าใจ และเจ้าไม่สามารถเข้าใจหรือเข้าถึงพระวจนะของพระเจ้าในส่วนลึก รวมถึงไม่สามารถนำพระวจนะเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้? จงเริ่มจากการกินและดื่มส่วนที่ตื้นเขินเสียก่อน จงจดจำพระวจนะที่เรียบง่ายและเข้าใจง่ายที่เจ้าสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองไว้ในหัวใจ ทำให้พระวจนะเหล่านั้นเป็นหลักธรรมที่เจ้าปฏิบัติตาม และปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หากพระเจ้าตรัสให้ไปทางตะวันออก ก็จงไปทางตะวันออก หากพระเจ้าตรัสให้ไปทางตะวันตก ก็จงไปทางตะวันตก หากพระเจ้าตรัสให้อธิษฐานมากขึ้น ก็จงอธิษฐานให้มากขึ้น จงทำทุกสิ่งตามที่พระเจ้าตรัส การถูกผู้อื่นคิดว่าเป็นคนโง่ก็ยังดีกว่าจะเป็นคนที่ซาตานถือว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลมและแยบยล มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นคนฉลาดและมีปัญญาอย่างแท้จริง
25 กันยายน ค.ศ. 2021