การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ

ในการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้า สิ่งสำคัญที่สุดคือคำถามที่ว่าจะปฏิบัติต่อพระวจนะของพระองค์อย่างไร ไ‍ม่‍ว่‍า‍พ‍ร‍ะเจ้าตรัสในลักษณะใด ไม่ว่าพระองค์ตรัสถึงประเด็นใดหรือตรัสในขอบเขต‍ใด ข้อเท็จจริงก็คือทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสล้วนเป็นสิ่งที่มนุษนษย์ต้องการมากที่สุด‍ เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเข้าใจ และเป็นสิ่งที่‍พวก‍เขา‍ควรมีพร้อม นอกจากนี้‍พระวจนะที่พระเจ้า‍ต‍รั‍ส‍นั้นอยู่ใน‍ขอบเขต‍ของความคิดและจิตใจของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งก็คือ ความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดของมนุษย์นั้นเอื้อมถึงได้ พระวจน‍ะของพ‍ระองค์เป็นสิ่งที่มนุษย์‍สามารถ‍เข้าใจ‍แ‍ละ‍เข้าถึง‍ได้‍ ไม่ว่าพระเจ้าตรัสหรือทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นพระร‍าชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงในคนคนหนึ่งหรือในการจัดการ‍เตรียมการผู้คน‍ เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย หรือสภาพแวดล้อม‍ต่างๆ‍ ของพระเจ้าก็‍ตาม‍ ย่อมไม่เ‍กิ‍นขอบเขตสติปัญญาที่มีมา‍แ‍ต่‍กำเนิด‍ของมนุษย์หรือขอบข่ายความคิดของพวกเขา แต่เป็นสิ่งที่มีความ‍เฉพาะเจาะจง ถ่อง‍แท้ และเป็นจริง‍ หากคนคนหนึ่งไม่สามารถเ‍ข้าใจ‍การนี้ได้‍ พวกเขาย่อมจะมีปัญหาบางอย่าง นั่นหมายค‍ว‍า‍มว่าพวก‍เ‍ขามีขีดความสามารถ‍ที่อ่อน‍ด้อย‍เกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต‍าม วิธี‍ตรัส‍และ‍กระแส‍เสียงของพระเจ้า แรงผลักดันในพระดำรัสข‍องพระองค์ รวมถึงพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจ และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ นี่เป็นเพราะพระเจ้ากำลังตรัสกับมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ตรัสคือภาษามนุษย์ อีกทั้งในการแสดงพระวจนะเหล่านี้ พระองค์ทรงถ่ายทอดและจัดเตรียมภาษาพูดและคำศัพท์ที่มีความหลากหลายซึ่งมนุษย์สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แก่พวกเขา เพื่อให้ผู้คนที่ต่างความคิดและต่างมุมมอง ต่างระดับความสามารถในการ‍อ่านเขียน อีกทั้งต่างภูมิหลังทางครอบครัวและการศึกษา สามารถจับใจความและเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ทุกคน ในพระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสนี้มีบางสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจ นั่นคือ ในพระวจนะของพระองค์ ไม่มีเรื่องใดที่เข้าใจยากหรือเป็นนามธรรมจนเกินไป ไม่มีพระวจนะใดที่มนุษย์ไม่สามารถตีควา‍ม‍ไ‍ด้ ดังนั้นตราบใดที่ใครบางคนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง อีกทั้งมุ่งเน้น‍การ‍ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเ‍ข‍าย่อม‍สามารถ‍บรรลุการเข้าใจความจริงและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้ ความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นมาจากพระองค์เอง แต่รูปแบบภาษาที่พระองค์ทรงใช้ในการแสดงความจริงไปจนถึงสำนวนที่เฉพาะเจาะจงล้วนเป็นภาษามนุษย์ทั้งสิ้น พระวจนะของพระองค์ไม่ได้ออกนอกขอบเขตภาษามนุษย์เลย ไม่ว่าพระเจ้า‍ทรงใช้รูปแบบใดในการตรัสพระวจนะของพระองค์ หรือทรงใช้วิธีการหรือกระแส‍เสียงแบบใดในการตรัส ไม่ว่าสำนวนโวหารของพระองค์มาจากทางตะวันตกหรือทางตะวันออก ไม่ว่าพระองค์ตรัสด้วยภาษาโบราณหรือ‍ภาษา‍สมัยใหม่ มีภาษาใดในพระดำรัสของพระองค์ที่มวลมนุษย์พบว่าไม่สามารถเข้าใจได้หรือไม่ใช่ภาษามนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครพบสิ่งเหล่านั้นเลย มีบางคนกล่าวว่า “เรื่องนั้นไม่ถูกต้อง ฉันเจออยู่สองคำ นั่นคือ ‘ความชอบธรรม’ และ ‘พระบารมี’” คำว่า “ความชอบธรรม” และ “พระบารมี” ทั้งสองคำเป็นการอธิบายหรือถ้อยแถลงที่เกี่ยวกับแง่มุมหนึ่งของแก่นแท้ของพระเจ้า แต่คำเหล่านี้ก็เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่มนุษย์ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่ ทั้งสองเป็นที่แพร่หลาย)  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีความเข้าใจในคำสองคำนี้มากเพียงใด อย่างน้อย‍ที่สุด‍เจ้า‍ก็สามารถหาคำ‍จำกัด‍ความ‍พื้นฐานและดั้งเดิมที่สุดได้จากพจนานุกรม และด้วยการยกคำจำกัดความดั้งเดิมที่สุดเหล่านั้นขึ้นมาเปรียบเทียบกับแก่นแท้ของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ในการผสมผสานดังกล่าว คำเหล่านี้จะเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์มากขึ้นและไม่เป็นนามธรรมอีกต่อไป เมื่อผนวกกับการเปิดเผยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และคำอธิบายที่มีมาอย่างยาวนานของคำเหล่านี้ในพระวจนะของพระเจ้า คำเหล่านี้ก็จะยิ่งเป็นรูปธรรมมากขึ้นสำหรับมนุษย์ทุกคน เป็นภาพที่กระจ่างชัดขึ้น เป็นจริงมากขึ้น เข้าใกล้แก่นแท้ การทรงมี และทรงเป็นของพระเจ้าที่ผู้คนควรรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น คำศัพท์และถ้อยแถลงเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงดูไม่เป็นนามธรรมหรือล้ำลึกสำหรับพวกเจ้า เช่นนั้นแล้ว จงบอกเราทีเถิดว่า ในความจริงทั้งหลายที่กล่าวถึงการปฏิบัติตามปกติของมนุษย์ เส้นทางที่พวกเขาเดิน และหลักธรรมความจริงนั้นมีสิ่งใดที่เป็นนามธรรมหรือไม่?  (ไม่มี)  ขอกล่าวอีกครั้งว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นนามธรรมเลย

ตั้งแต่เราเริ่มแสดงวจนะของเราและให้คำเทศนา เราพยายามอย่างที่สุดที่จะใช้ภาษามนุษย์—เป็นภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจ‍ มีส่วนร่วม‍ และจับใจความได้—ในการประกาศ สามัคคีธรรมความจริงและเสวนาหลักธรรมความจริง เพื่อให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้ดียิ่งขึ้น นี่‍ไม่ใช่‍แนวทาง‍ที่‍เป็น‍มนุษย์มากขึ้น‍หรอก‍หรือ?  แนวทาง‍นี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างไร?  แนวทาง‍นี้ทำให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจค‍ว‍า‍มจริงได้‍มาก‍ขึ้น และจุดมุ่งหมายที่เราพูด‍ในแนวทางนี้คืออะไร?  เพื่อให้พวกเจ้าได้ยินภาษาที่สมบูรณ์ขึ้น หลายหลายขึ้น แล้วจึงใช้ภาษาอันหลากหลายนั้นทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้ง่ายขึ้น และเพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ ความหลากหลายของภาษาในพระคัมภีร์ดังเช่นในพันธสัญญาเดิม‍แ‍ละพันธสัญญาใหม่นั้น ล้วนอยู่ในรูปแบบสำนวนเฉพาะตัวทั้งสิ้น จนกระทั่งผู้‍ค‍นสามารถบอกได้ในทันทีว่าคำคำนั้นอยู่ในพระคัมภีร์ และเป็นคำที่มาจากพระคัมภีร์ คำเหล่านี้มีนัยและสัญลักษณ์บางอย่าง สิ่งที่เราทำคือเพียรพยายามที่จะทำให้รูปแบบ‍และการใช้ถ้อยคำของภาษาในปัจจุบันนี้ไม่มีคุณสมบัติเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้คนสามารถเห็นได้ว่าภาษาที่ใช้นี้ไปไกลเกินกว่าสำนวนในพระคัมภีร์ แม้ผู้คนเห็นได้จากเนื้อหาและกระแสเสียงแห่งพระดำรัสของ‍พระเจ้าว่าแหล่งที่มาของพระดำรัสกับแหล่งที่มาของพระวจนะที่พระเจ้าตรัสในพระคัมภีร์ดูจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่‍พวกเขาก็สามารถเห็นได้จากการใช้ถ้อยคำว่า พระดำรัสนั้นก้าวไปไกลกว่าพระคัมภีร์ ไปไกลกว่าพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และสูงกว่าคำศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณที่ผู้คนฝ่ายวิญญาณทุกคนใช้กันมานานกว่าสหัสวรรษเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นมีถ้อยคำใดบ้างในพระดำรัสที่พระเจ้าตรัสในปัจจุบัน?  บางส่วนเป็นภาษาที่เป็นบวกและยกย่องซึ่งผู้คนมักใช้กันอยู่บ่อยๆ ในขณะที่พระวจนะและภาษาของพระองค์ในส่วนอื่นเหมาะที่จะใช้เปิดโปงและแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ทั้งยังมีเรื่องเฉพาะทางต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรม ดนตรี การเต้นรำ การแปล และอื่นๆ อีกด้วย นี่ก็เพื่อให้ผู้ที่มีขอบเขตหน้าที่หรือความรู้ความชำนาญเชิงวิชาชีพใดก็ตาม รู้สึกว่าความจริงที่เราพูดนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติอย่างใกล้ชิด และไม่มีความจริงในแง่มุมใดที่แยกขาดจากชีวิตจริงของผู้คนหรือหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ ดังนั้นแล้ว ความจริงเหล่านี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง)  หากเราไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้‍ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการแปลภาษา ภาพยนตร์ ศิลปะ การเขียน และดนตรีโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่เคยใช้คำเหล่านี้ และจงใจที่จะหลีกเลี่ยงคำเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว เราจะสามารถทำงานของเราให้ดีได้หรือ?  หากเป็นเช่นนั้น เราอาจจะยังทำงานได้บางส่วน แต่นั่นย่อมจะเป็นอุปสรรคในการสื่อสารกับพวกเจ้า เพราะฉะนั้น‍เราจึงพยายามอย่างหนักที่จะศึกษาและมีความเชี่ยวชาญในภาษาเหล่านั้น ประการหนึ่งคือ เรื่องนี้สามารถช่วยพวกเจ้าในทางทฤษฎีและหลักการของงานเชิงวิชาชีพของพวกเจ้าได้ อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในด้านเหล่านี้ นั่นย่อมช่วยให้เจ้ารู้สึกว่างานเชิงวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่‍ของ‍เจ้าไม่ได้แยกออกจากความจริง ไม่ว่าเจ้ามีความชำนาญในด้านใด ไม่ว่าเจ้าถนัดในเรื่องใด ไม่ว่าเจ้าศึกษาวิชาชีพใด เจ้าย่อมสามารถอ่านและเข้าใจพระวจนะ‍เหล่านี้‍ได้ และพระวจนะเหล่านี้ย่อมทำให้เจ้าบรรลุเป้าหมาย‍ใ‍นการเข้าสู่ความจริงขณะทำหน้าที่ของตน นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  (เป็นเรื่องที่ดี)  นี่เป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นแล้ว จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีเหล่านั้นได้อย่างไร?  การนี้กำหนดให้พระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ต้องครอบครองบางสิ่ง แล้วสิ่งเหล่านั้นคืออะไร?  สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ต้องเข้าใจเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ อยู่บ้าง แม้เราไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักในเรื่องนั้นและศึกษาสิ่งเหล่านั้นจนเชี่ยวชาญก็ตาม นี่ก็เพียงเพื่อให้เราสามารถใช้ความรู้จากทุกสาขาในขณะที่เราสามัคคีธรรมความจริงและกล่าวคำพยานให้พระเจ้า สิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนในสาขาต่างๆ สามารถเข้าใจและซาบซึ้งกับคำพยานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงผลงานภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หากเราใช้แต่ภาษาแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อสามัคคีธรรมความจริง และไม่ใช้ภาษาหรือความรู้ในสาขาเฉพาะทางต่างๆ ของสังคม ผลลัพธ์ย่อมจะแย่มาก ดังนั้น เพื่อที่จะทำงานนี้ให้ดี เราต้องสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้าง?  เราต้องมีความรู้เชิงวิชาชีพในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่บางครั้งเราฟังเพลง ดูข่าวสาร อ่านนิตยสาร และอ่านหนังสือพิมพ์บ้างเป็นครั้งคราว บางเวลาเราก็ให้ความสนใจเรื่องราวบางเรื่องของผู้ไม่มีความเชื่อด้วย เรื่องราวของผู้ไม่มีความเชื่อเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ มากมาย และภาษาของพวกเขาบางภาษาก็ไม่มีอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า—แต่หากภาษานั้นถูกนำมาใช้เป็นภาษาในการเทศนา บางครั้งกลับจะมีประสิทธิภาพอย่างสูง นั่นจะช่วยพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่าเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้านั้นกว้างไกล ไม่น่ารำคาญหรือน่าเบื่อหรือเลย นี่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และพวกเจ้าก็ควรเรียนรู้บางสิ่งที่เป็นประโยชน์จากเรื่องนี้ แม้พวกเจ้าส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ แต่ผู้ที่มีขีดความสามารถเพียงพอจะสามารถเรียนรู้บางสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เมื่อเราไม่มีสิ่งใดต้องทำ เราก็เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างโดยไม่ทันคิดด้วยการดูข่าวสารหรือฟังเพลง เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ เราเพียงแต่ใช้เวลาว่างของเราเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดูสิ่งต่างๆ ฟังสิ่งต่างๆ และเกิดชำนาญในสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาบ้างโดยไม่ตั้งใจ ความชำนาญในสิ่งเหล่านี้ของเราจะส่งผลกระทบต่องานหรือไม่?  ไม่เลยสักนิดเดียว—อันที่จริงแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น นี่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าและต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การที่เราสามัคคีธรรมปัญหาเหล่านี้กับพวกเจ้าหมายความอย่างไร?  หมายความว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่พวกเจ้าเข้าถึงได้ ทั้งหมดควรเป็นสิ่งที่พวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้โดยง่าย อย่างน้อยที่สุด พระวจนะเหล่านี้คือบางสิ่งที่ผู้มีความเป็นมนุษย์ควรมี เมื่อเรากล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้มีความเป็นมนุษย์ควรมีนั้น เราหมายความว่า เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นได้ผ่านกระบวนการด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์แล้ว คำว่า “ผ่านกระบวนการ” หมายความว่าอย่างไร?  ขอยกตัวอย่างดังนี้ การนี้ก็เหมือนกับข้าวสาลีที่ถูกนวดและบดจนเป็นแป้ง แล้วจึงนำไปทำเป็นขนมปัง เค้ก และบะหมี่ หลังจากผ่านกระบวนการแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงถูกมอบให้กับพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าบริโภคในท้ายที่สุดก็คือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เป็นอาหารที่พร้อมรับประทาน พวกเจ้ามีส่วนอย่างไรในกระบวนการนี้?  พวกเจ้ามีส่วนในการกินและดื่มพระวจนะที่พระเจ้าตรัสทั้งหมดในวันนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จงกินและดื่มพระวจนะให้มากขึ้น ยอมรับพระวจนะมากขึ้น และมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น จงย่อยและซึมซับพระวจนะไปทีละน้อย จงเปลี่ยนพระวจนะเหล่านั้นให้เป็นชีวิตของพวกเจ้า เป็นวุฒิภาวะของพวกเจ้า และปล่อยให้พระวจนะของพระเจ้ามีอำนาจเหนือชีวิตในแต่ละวันของเจ้าและเหนือหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสเป็นภาษาของความเป็นมนุษย์ และแม้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้โดยง่าย ความจริงที่อยู่ในพระวจนะเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจหรือเข้าสู่อย่างแน่นอน แม้ภาษานั้นง่ายต่อการเข้าใจ ทว่าการเข้าสู่ความจริงเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะเอาไว้มากมายและทรงนำมนุษย์มาสู่ปัจจุบัน อีกทั้งพระวจนะทุกคำที่พระองค์ตรัสถูกทำให้ลุล่วงภายในตัวพวกเจ้าทีละน้อย และความจริงที่พระองค์ทรงแสดง รวมถึงขั้นตอนในการทรงนำผู้คนในขณะที่พวกเขาเข้าสู่ความจริงและก้าวไปบนเส้นทางแห่งความรอดนั้นกำลังเป็นจริงในตัวพวกเจ้า และถูกทำให้ลุล่วงทีละน้อยอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งทีเดียว ผลลัพธ์ดังกล่าวถูกสำแดงในตัวเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นนามธรรมเลย ตอนนี้ ขอพวกเราอย่าใส่ใจเลยว่าพระวจนะของพระเจ้ามีการดำเนินการผ่านสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อย่างไร ไม่จำเป็นจะต้องตรวจสอบกระบวนการนั้น—กระบวนการนั้นมีความล้ำลึกที่การศึกษาของมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ จงใส่ใจแค่การยอมรับความจริงเท่านั้นเถิด นี่คือทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดและเป็นท่าทีที่ถูกต้องที่สุด ความปรารถนาที่จะตรวจสอบสิ่งต่างๆ ตลอดเวลานั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย เป็นการเสียเวลาและความพยายามโดยเปล่าประโยชน์ ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ได้มาด้วยการศึกษาเล่าเรียน นับประสาอะไรกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกมาโดยตรง และเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจและรู้ได้ผ่านทางประสบการณ์เท่านั้น คนเราสามารถได้รับความจริงผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น หากคนเราใช้แต่กระบวนการทางความรู้สึกนึกคิดในการศึกษาสิ่งต่างๆ แต่ไม่ปฏิบัติและไม่มีประสบการณ์เลย พวกเขาย่อมไม่สามารถได้รับความจริง ท่าทีที่เป็นบวกต่อพระวจนะของพระเจ้านอกจากการไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงคืออะไร‍?  การยอมรับ การร่วมมือ การนบนอบอย่างแน่วแน่ จริงๆ แล้ว หากมีใครสักคนที่มีคุณสมบัติในการศึกษามากที่สุด คนคนนั้นย่อมเป็นเรา แต่เราไม่เคยทำเช่นนั้นเลย เราไม่เคยพูดว่า “พระวจนะเหล่านี้มาจากไหน?  ใครบอกเรามา?  เรารู้จักพระวจนะเหล่านี้ได้อย่างไร?  เรารู้จักพระวจนะเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไร?  คนอื่นรู้จักพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  เมื่อเรากล่าวพระวจนะเหล่านี้ออกไป จะได้ผลหรือไม่?  จะเกิดอะไรขึ้นจากพระวจนะเหล่านี้‍?  เรานำผู้คนมากมาย—เราจะทำเช่นไรหากที่สุดแล้วไม่สัมฤทธิ์ผลดังหวัง หากเราไม่ได้นำพวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งความรอด?”  บอกเราเถิดว่า—สิ่งเหล่านี้ควรถูกตรวจสอบหรือไม่?  (ไม่ควรถูกตรวจสอบ)  เราไม่เคยตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ว่าเราปรารถนาที่จะเอ่ยสิ่งใด ไม่ว่าเราปรารถนาจะบอกอะไรพวกเจ้า เราย่อมบอกพวกเจ้าโดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทางความรู้สึกนึกคิดในการศึกษาเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ หากเราพูดออกไปลักษณะนั้น พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้หรือไม่ เราต้องพูดให้เป็นรูปธรรมกว่านี้หรือไม่ เราต้องยกตัวอย่างและจัดเตรียมเรื่องราวเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับข้อมูลที่จำเพาะมากขึ้นและเส้นทางปฏิบัติที่เจาะจงมากขึ้น ไม่ว่าพวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากล่าวหรือไม่ ไม่ว่าบางสิ่งในวจนะของเรา ในรูปแบบและน้ำเสียงในการพูดของเรา ในไวยากรณ์หรือวิธีการพูดหรืออธิบายของเราทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิดหรือสับสนหรือไม่ หรือมีบางอย่างในคำพูดของเราที่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่าเป็นนามธรรม ล้ำลึก‍ หรือว่างเปล่าหรือไม่ เราจำเป็นต้องเฝ้าสังเกตและตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เท่านั้น เราไม่มองส่วนที่เหลือเลย การไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องปกติของเรา แต่นั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  การตรวจสอบสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่ปกติมากสำหรับพวกเจ้า หากไม่ทำเช่นนั้นย่อมจะถือว่าผิดปกติ นี่เกิดจากการกระตุ้นของสัญชาตญาณและธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม พวกเจ้าทุกคนตรวจสอบสิ่งต่างๆ อย่างแน่นอน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ นั่นคือ‍ ขณะที่มนุษย์ค่อยๆ มีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า‍ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และพระเจ้าย่อมเป็นปกติมากขึ้น อีกทั้งมนุษย์ย่อมวางฐานะของตนได้อย่างถูกต้อง และถวายตำแหน่งที่เหมาะสมในหัวใจของตนให้แก่พระเจ้า เมื่อการนี้ก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้น ในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้นการตระหนักรู้ ความรู้ ความแน่ใจ และการยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำของมนุษย์ก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ความมั่นใจ การตระหนักรู้ ความรู้ และการรับรู้เรื่องการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน ขณะที่สิ่งเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเจ้าก็จะศึกษาและกังขาพระเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ ในหนทางที่เล็กลงทุกที

เหตุใดมนุษย์จึงศึกษาเรื่องของพระเจ้า? นั่นเพราะในตัวพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้ามากเกินไป มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากเกินไป มีความกังขามากเกินไป มีสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจมากเกินไป มีสิ่งที่พวกเขาพบว่ายากที่จะเข้าใจมากเกินไป มีความล้ำลึกมากเกินไป ดังนั้น พวกเขาจึงปรารถนาที่จะหาคำตอบของสิ่งเหล่านี้ผ่านทางการศึกษา การศึกษาใดๆ ของเจ้าโดยใช้ปรากฏการณ์ภายนอก ใช้ความรู้เฉพาะทางหรือการตัดสินทางความรู้สึกนึกคิดนั้นย่อมจะไม่นำไปสู่ความเข้าใจ เจ้าจะเสียแรงไปมากโดยเปล่าประโยชน์และจะยังคงไม่เข้าใจว่าพระเจ้าและความจริงคืออะไร แต่สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็จะเห็นผลลัพธ์ ได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และเริ่มมีหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบพระเจ้า บางคนไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นข้อเท็จจริง พวกเขาจึงปรารถนาที่จะศึกษาพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า และกระทั่งการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อยู่เสมอ เรื่องของชีวิตและจิตวิญญาณนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการศึกษา เมื่อถึงวันที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับความจริงเหล่านี้และทุ่มทุกความรู้สึกนึกคิด ราคาทั้งหมดที่เจ้าจ่าย และการให้ความสำคัญทั้งหมดของเจ้าให้กับการปฏิบัติความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าย่อมจะเริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอด และจะไม่เฝ้าศึกษาเรื่องพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป นั่นคือเวลาที่จะได้รับคำตอบของคำถามที่ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์หรือเป็นพระเจ้า ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นเป็นปกติเพียงใด ไม่ว่าพระองค์ทรงคล้ายคลึงกับคนธรรมดาเพียงใด นั่นจะไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วเจ้าจะค้นพบแก่นแท้ของพระเจ้าของพระองค์ และสุดท้ายเจ้าจะยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดงออกมา และเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะยอมรับจากส่วนลึกของหัวใจเจ้าถึงข้อเท็จจริงที่ว่า บุคคลนี้เป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็น‍เพราะข้อเท็จจริงบางประการ กระบวนการบางอย่าง ประสบการณ์บางเรื่อง จากบทเรียนบางอย่างที่เจ้าได้เรียนรู้จากการสะดุดและความล้มเหลว ลึกลงไปในตัวเจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงได้บางส่วนและยอมรับว่าเจ้าเคยผิดพลาด เจ้าจะไม่กังขาหรือศึกษาเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้อีกต่อไป แต่จะรู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้สัมพันธ์กับชีวิตจริง และได้รับข้อสรุปแล้วว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ จากนั้น‍เจ้าจะยอมรับโดยสัญชาตญาณอย่างไร้ข้อกังขาว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ไม่สำคัญว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นปกติเพียงใด และแม้พระองค์ตรัสและทรงปฏิบัติเช่นเดียวกับคนธรรมดาและไม่ได้พิเศษหรือยิ่งใหญ่เลยแม้แต่น้อย เจ้าก็จะไม่กังขาในตัวพระองค์ และจะไม่หมิ่นประมาทพระองค์ ในอดีตเจ้าจะไม่เคยรู้สึกว่าพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า และเจ้าจะคอยศึกษาเกี่ยวกับพระองค์ อีกทั้งเจ้าจะคอยเหยียดหยามและเย้ยหยัน รวมทั้งแข็งขืนอยู่ในใจ—แต่วันนี้สิ่งต่างๆ แตกต่างออกไป วันนี้ เมื่อเจ้าลิ้มรสและรับฟังพระวจนะของพระองค์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เจ้าจะยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงจากมุมมองที่แตกต่างกัน แล้วมุมมองนั้นคืออะไร?  “ฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระคริสต์อาจไม่สูงโปร่ง พระสุรเสียงของพระองค์อาจไม่ดังกังวาล และพระองค์อาจดูไม่มีความพิเศษใดๆ แต่พระอัตลักษณ์ของพระองค์แตกต่างจากฉัน พระองค์ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระองค์ไม่ใช่หนึ่งในพวกเรา พวกเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ทัดเทียมกับพระองค์ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพระองค์”  นี่คือความแตกต่างจากมุมมองเดิมของเจ้า ความแตกต่างที่ว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?  ลึกลงไปในตัวเจ้า เจ้าทำการเปลี่ยนผ่านจากการไม่ยอมรับและการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งใจของเจ้าในตอนแรก มาสู่การยอมรับพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิต เป็นเส้นทางปฏิบัติ มาสู่การรู้สึกว่าพระองค์ทรงมีความจริง พระองค์ทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต พระองค์ทรงดูเหมือนมีเงาของพระเจ้าและการเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ รวมทั้งพระบัญชาและพระราชกิจของพระเจ้าก็อยู่ในบุคคลผู้นี้ของพระองค์ นั่นเป็นเวลาที่เจ้าจะตระหนักและยอมรับพระองค์โดยสมบูรณ์ เมื่อปฏิกิริยาและท่าทีใดก็ตามที่เจ้ามีต่อพระองค์กลายเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณที่ถูกต้องซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติต่อบุตรมนุษย์ในเนื้อหนังผู้นี้ในฐานะของพระเจ้า และจะไม่ศึกษาเกี่ยวกับพระองค์อีกต่อไป แม้เจ้าได้รับการบอกกล่าวให้ทำเช่นนั้นก็ตาม เช่นเดียวกับที่เจ้าจะไม่ศึกษาว่าเหตุใดเจ้าจึงกำเนิดจากบิดาและมารดาของเจ้า หรือเหตุใดเจ้าจึงดูคล้ายพวกเขา‍ เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้าย่อมหยุดศึกษาสิ่งเหล่านั้นไปโดยสัญชาตญาณ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หัวข้อที่สัมพันธ์กับขอบเขตในชีวิตประจำวันของเจ้า และย่อมไม่ใช่คำถามอีกต่อไป ท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไปจากเดิม จากการศึกษาตามสัญชาติญาณอย่างมีเงื่อนไขสู่การปฏิเสธการศึกษาโดยสัญชาตญาณ และด้วยสัญชาตญาณของเจ้าที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ย่อมจะมีสถานะและระดับที่สูงขึ้นอย่างไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่ได้ และกลายเป็นพระเจ้าพระองค์เองในหัวใจของเจ้า ด้วยสถานะของพระเจ้า จากนั้น ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติโดยสมบูรณ์ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่สามารถมองเห็นโลกวิญญาณ และไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม พระเจ้าแห่งโลกวิญญาณค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมนาม พระองค์สถิตอยู่ที่ใด พระองค์ทรงเป็นเช่นไร พระองค์ทรงมีท่าทีต่อมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงแสดงออกอย่างไรเมื่อตรัสกับมนุษย์—ผู้คนไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย วันนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าคือบุคคลที่มีลักษณะและสภาพเสมือนผู้ที่ถูกเรียกว่าพระเจ้า ในตอนแรกเจ้าไม่เข้าใจพระองค์ มีการต้านทาน ความกังขา การทึกทัก ความเข้าใจผิด และแม้แต่การหมิ่นประมาท จากนั้น เจ้าก็ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และเดินหน้ายอมรับสิ่งเหล่านั้นเป็นชีวิตและความจริง เป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติของเจ้า อีกทั้งเป็นจุดมุ่งหมายและทิศทางของเส้นทางที่เจ้าเดิน และจากจุดนั้น เจ้าจึงยอมรับบุคคลที่ซื่อสัตย์จริงใจผู้นี้ ราวกับเขาคือภาพที่เป็นรูปธรรมของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ เมื่อเจ้ามารู้สึกเช่นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าหรือไม่?  (ไม่)  ย่อมจะไม่ว่างเปล่า‍ เมื่อเจ้าถือพระเจ้าเป็นภาพคลุมเครือที่มองไม่เห็น และทำให้พระองค์มีตัวตน จนถึงจุดที่พระองค์ทรงกลายเป็นร่างที่มีเนื้อหนัง เป็นบุคคลที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีใครจะหันมามองเป็นครั้งที่สอง หากเจ้ายังสามารถรักษาความสัมพันธ์กับพระองค์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระผู้สร้างไว้ได้ เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะเป็นปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดเพื่อพระองค์ โดยพื้นฐานแล้ว นั่นย่อมจะเป็นปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีโดยสัญชาตญาณ เจ้าไม่สามารถกังขาในตัวพระองค์แม้ถูกขอให้ทำเช่นนั้น และไม่สามารถศึกษาพระองค์ เจ้าจะไม่พยายามศึกษาพระองค์ด้วยการกล่าวว่า “เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนั้น?  เหตุใดพระองค์ทรงแสดงออกเช่นนั้น?  เหตุใดพระองค์จึงแย้มพระโอษฐ์และทรงทำตัวเช่นนั้นเล่า?”  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่สุดสำหรับเจ้า เจ้าจะบอกตนเองว่า “พระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้นและควรเป็นเช่นนั้น—ใช่!  ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดก็ตาม ความสัมพันธ์ของฉันกับพระองค์ก็จะเป็นปกติและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของมวลมนุษย์ทุกคนนั้น การที่พระเจ้าทรงกลายเป็นคนธรรมดาด้วยการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นรูปแบบสุดท้ายที่พระองค์ควรจะทรงเลือก เพราะคนธรรมดาในสังคมนั้นช่างต่ำต้อยและถูกผู้อื่นดูแคลน และพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่สูงส่งอย่างยิ่ง ไม่ควรประสูติเป็นมนุษย์ที่แสนธรรมดาเหลือเกิน นี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเป็นอย่างยิ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเจ้าสามารถยอมรับและยอมรับรู้ว่า‍พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นคำพยานในตัวเอง เมื่อพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังและกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่โดดเด่นในวันนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งใดเล่าที่อาจส่งอิทธิพลหรือทำลายสัมพันธภาพปกติของเจ้ากับพระเจ้าได้?  ไม่มีเลย เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ การสามารถตระหนักรู้ว่าพระคริสต์เป็นพระเจ้าของเจ้า‍จึงเป็นเกณฑ์สำคัญที่สุดสำหรับการประเมินวัดสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้า ผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือความจริง และผู้ที่ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือความจริงนั้นสามารถยอมรับพระเจ้าเป็นพระเจ้าของพวกเขาได้กระนั้นหรือ?  พวกที่ไม่ยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงนั้น มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าในลักษณะใด?  พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถท้าทายพระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าต้องมองสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน ทั้งเจ้าและพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์มีรูปลักษณ์ที่เป็นมนุษย์ มีรูปร่างของมนุษย์ ความชื่นชอบแบบมนุษย์ ภาษาของมนุษย์ และพวกเจ้าทั้งสองก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์ แต่เจ้าสามารถที่จะวางตำแหน่งของเจ้าให้ถูกต้อง เจ้าสามารถบอกความแตกต่างระหว่างสถานะของเจ้ากับพระสถานภาพของพระเจ้า และเจ้าสามารถแก้ไขสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าให้ถูกต้องได้ เจ้าย่อมไม่ก้าวข้ามและไปไกลเกินกว่าสัมพันธภาพนี้ หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์วุฒิภาวะนี้ได้ เช่นนั้นสำหรับพระเจ้า เจ้าก็ดีพอแล้ว และไม่มีกำลังบังคับใดที่สามารถทำลายสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าได้ นี่ควรเป็นสัมพันธภาพที่มั่นคงที่สุดในความสัมพันธ์ทั้งหมด และจะเป็นไปตามมาตรฐาน หากสัมพันธภาพของเจ้ากับกายเนื้อหนังนี้ไม่ขึ้นถึงระดับของสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า หากเจ้าไม่ครองสัมพันธภาพเช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้ากล่าวว่า “ฉันมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าในสวรรค์ และนั่นเป็นสัมพันธภาพที่เป็นปกติมาก” จริงหรือไม่?  ไม่จริง เจ้ากล่าวว่าเจ้ามีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า แต่ใครเคยเห็นแล้วบ้าง‍?  สัมพันธภาพนั้นแสดงออกมาที่ใด?  นั่นไม่มีพื้นฐานตามข้อเท็จจริงเลย เพราะผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังของตน และไม่สามารถผ่านเข้าสู่โลกวิญญาณหรือเข้าถึงพระเจ้าได้ แล้วพวกเขาจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างไร?  ในขณะนี้ พวกเจ้าสามารถบรรลุสัมพันธภาพที่เป็นปกติระหว่างมนุษย์และพระเจ้ากับพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังได้หรือ?  (ไม่ได้)  ความยากลำบากยากอยู่ตรงไหน?  มีความจริงมากมายที่มนุษย์ไ‍ม่เข้าใจ ที่ว่ามนุษย์ไม่เข้าใจนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีทรรศนะและความคิดเห็นไม่สอดคล้องกับทรรศนะและความคิดเห็นของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในหลายแง่มุ‍ม หลักธรรมที่มนุษย์ใช้รับมือกับสิ่งต่างๆ ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ รวมทั้งมนุษย์ยังมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากมายเกี่ยวกับพระเจ้า ปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข แล้วรากเหง้าของปัญหานี้อยู่ที่ใ‍ด?  ปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างพ‍ร‍ะเจ้ากับมวลมนุษย์?  ปัจจัยที่ว่าคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ นั่นก็คือ มวลมนุษย์ยังคงยืนอยู่ในฝ่ายของซาตาน ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาพิษสงของซาตาน และผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยและแก่นแท้ของซาตาน แก่นแท้ของพระเจ้าคือความจริง แก่นแท้ของพระองค์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นใครต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สัมฤทธิ์ความสอดคล้องกับพระเจ้า?  แน่นอนว่าเป็นมวลมนุษย์ นั่นคือข้อสรุปที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วมวลมนุษย์ควรเปลี่ยนแปลงอย่างไร?  พวกเขาต้องน‍บนอบพระราชกิจของพระเจ้า‍ ยอมรับความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงยอมรับการถูกตัดแต่ง นี่เป็นเส้นทางเดียวของมนุษย์ที่จะบรรลุการทำได้ตามพ‍ร‍ะ‍เ‍จ้‍า มีเพียงเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจความจริง ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และมองผู้คนกับสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้ ในหนทางนี้ หลักธรรมที่เจ้าใช้ปฏิบัติตน มุมมองที่เจ้าใช้มองสิ่งต่างๆ ทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิต และคุณค่าของเจ้านั้นจะสอดคล้องกับของพระเจ้าทั้งสิ้น กำแพงระหว่างเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะเล็กลงเรื่อยๆ จะไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป เจ้าจะศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ การนบนอบของเจ้าจะเติบโตขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติ และเจ้าจะค่อยๆ บรรลุการสอดคล้องกับพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์

พวกเจ้ากลัวการปฏิสัมพันธ์กับเราหรือไม่?  (ไม่กลัว)  พวกเจ้าอาจไม่กลัว แต่เรากลัว  สิ่งใดที่เรากลัว?  พวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเหลือเกิน ทั้งยังมีความจริงมากมายที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ และสำหรับบางสิ่งที่เราพูดและทำนั้น เราต้องคำนึงว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าตามทันหรือไม่  เราไม่สามารถพูดหรือทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยตรง แต่ต้องให้พวกเจ้ามีพื้นที่ที่มากพอ รวมถึงให้เวลาอย่างเพียงพอในการก้าวผ่านและมีประสบการณ์กับความจริงเหล่านั้น  ดังนั้นเราจึงรอคอย เราคอยให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงเหล่านั้น ค่อยๆ ยอมรับความจริงเหล่านั้น และเติบโตทางวุฒิภาวะ เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว เราจะพยายามเข้าหาพวกเจ้าอีกครั้งทีละน้อย  จากนั้นเราก็เฝ้าสังเกตพวกเจ้าและดูว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าเติบโตขึ้นหรือไม่  หากวุฒิภาวะของเจ้าเติบโตขึ้นแล้ว เราจะกล่าวกับพวกเจ้าเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย หากเจ้ายังคงมีวุฒิภาวะน้อย เราก็จะรักษาระยะห่างให้มากขึ้นอีกหน่อย  เหตุใดเราจึงต้องรักษาระยะห่างเล็กน้อยจากพวกเจ้า?  หากเราเข้าใกล้พวกเจ้ามากเกินไปและถามพวกเจ้ามากเกินไป เร็วเกินไป ความเร่งรีบย่อมจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้โดยง่าย  และหากความเร่งรีบทำให้เกิดความผิดพลาด ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  ผลที่ตามมาอาจอันตรายเกินกว่าพวกเจ้าจะแบกรับได้  จากสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่สามารถบรรลุความปรองดองและมีปฏิสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันได้ แต่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงอาจอยู่ไกลเกินเอื้อมด้วยซ้ำ  หากเรายืนกรานที่จะติดต่อกับพวกเจ้าบ่อยๆ หรือใช้ชีวิตอยู่กับพวกเจ้า คอยชี้แนะพวกเจ้าในทุกแง่มุมของเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า นั่นย่อมจะทำให้พวกเจ้ารู้สึกเครียด  ในกรณีนั้นพวกเจ้าก็จะรู้สึกว่ากำลังทนทุกข์  นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องสู้ทนมิใช่หรือ?  และในการสู้ทนนั้น เราจะไม่ทนทุกข์หรอกหรือ?  เราย่อมจะต้องทนทุกข์ด้วย  หากความทุกข์นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้า หากนั่นทำให้พวกเจ้าก้าวหน้าได้เร็วขึ้น เราก็ไม่ยี่หระที่จะทนทุกข์บ้างเล็กน้อย  เราจะแค่อดทนให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง ผ่อนปรนมากขึ้นและรอคอยเจ้าให้นานขึ้นอีกหน่อยด้วยความอดทนเล็กน้อย  เรื่องนี้ย่อมจะไม่เป็นปัญหา  หากพวกเจ้าทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ก่อนเวลา นั่นจะทำให้พวกเจ้าได้ผลลัพธ์ในระดับหนึ่งเช่นนั้นหรือ?  บางทีอาจมีคนพิเศษเพียงไม่กี่คน ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความจริงและเป็นผู้ที่มีทั้งมโนธรรมและสำนึก ผู้ที่มีความเป็นธรรมและมีเหตุผล และยิ่งไปกว่านั้นก็คือเป็นผู้ที่รักความจริงเป็นพิเศษ ผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไม่ลดละ ผู้ที่ในก้นบึ้งของหัวใจพวกเขาแน่วแน่ในความรักและการไล่ตามเสาะหาความสว่างและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก–คนแบบเปโตร ผู้ที่แข็งขันและเป็นบวกในการไล่ตามเสาะหาความจริง–มีเพียงผู้ที่มีความเป็นมนุษย์เช่นนั้น มีการไล่ตามเสาะหาเช่นนั้น และมีความเข้าใจเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถก้าวผ่านความทุกข์ดังกล่าวได้ก่อนเวลา  ในบรรดาพวกเจ้ามีผู้ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์เหล่านี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว เราก็เสียใจที่จะพูดว่า พวกเราจะต้องรักษาระยะห่างระหว่างกัน เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์เช่นนั้นก่อนเวลาอันสมควร  แล้วเมื่อไรพวกเจ้าจะประสบกับความทุกข์นี้?  เมื่อพวกเจ้าเติบโตจนมีวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง พระเจ้าย่อมจะทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ให้เจ้าตามธรรมชาติ  เช่นเดียวกับโยบ เมื่อเขาเติบโตจนมีวุฒิภาวะถึงระดับหนึ่ง ซาตานก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกล่าวหาเขา และพระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ ทรงให้เขาเข้าสู่การทดลอง ส่งผลให้โยบสูญเสียโชคลาภทั้งหมดของเขาไป  นี่เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับพวกเจ้าหรือเปล่า?  ไกลเพียงใด?  ด้านหนึ่งนั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้า ส่วนอีกด้านหนึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนดแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่พระองค์ทรงวางไว้ในแผนของพระองค์  แล้วช่วงเวลาที่ว่านั้นคือเมื่อไร?  เมื่อผู้คนถึงพร้อมด้วยความจริงทั้งปวงและเข้าใจความจริงนั้นโดยแท้  แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากบางคนยังมีวุฒิภาวะไม่ถึงระดับนั้น?  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าจะทรงลงมือเอง  เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถหลบซ่อนได้หรือ?  ไม่มีผู้ใดดอดผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้  สิ่งนี้เรียกว่าการตรวจสอบงานของมนุษย์ และทุกคนต้องผ่านสิ่งนี้ไปให้ได้  ไม่มีใครสามารถผ่านไปได้ก่อนเวลา และไม่มีใครล่าช้าอยู่ข้างหลัง  คำว่า “ไม่มีใครสามารถผ่านไปได้ก่อนเวลา” หมายความว่า หากวุฒิภาวะของคนคนหนึ่งยังไม่ถึงจุดนั้น และพวกเขาไม่ได้ฟังความจริงมากนัก ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นขอให้พระเจ้าทรงทดสอบพวกเขา พระองค์จะไม่ทรงทดสอบ  ไม่มีใครจะได้รับยกเว้นในการนี้เพราะพระเจ้าทรงมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และประทานโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม อีกทั้งพระองค์ทรงจัดเตรียมและทรงพระราชกิจสำหรับทุกคนในแบบเดียวกัน  เพราะฉะนั้นการที่เรานำท่าทีเช่นนั้นมาใช้ตามสภาวะของพวกเจ้าและวุฒิภาวะที่เจ้ามีในตอนนี้ ย่อมเป็นประโยชน์กับพวกเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับพวกเจ้า เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องการในเวลานี้  ขณะที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของตนในแต่ละด้าน พวกเจ้าก็ได้รับการจัดเตรียมความจริงที่พวกเจ้าพึงมีและพึงเข้าใจโดยไม่ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์จากการจัดเตรียมและความช่วยเหลือได้ทันการและตามความเหมาะสม  แล้วขณะที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเจ้าจะค่อยๆ แยกแยะ ซึมซับ และได้รับประสบการณ์กับความจริงเหล่านี้ รวมถึงค้นพบหลักธรรมแห่งความจริงและเส้นทางแห่งการปฏิบัติ พวกเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าทีละน้อย และด้วยเหตุนั้น ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องและพวกเจ้าจะอยู่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ซึ่งก็คือการยึดมั่นในตำแหน่งของตนและมั่นคงในหน้าที่ของตน  และหลังจากนี้ อาจมีบางคนที่มีประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงโดยไม่รู้ตัว  นั่นจะเกิดขึ้นเมื่อใด?  เราจะบอกพวกเจ้าด้วยประโยคหนึ่งที่ว่า บททดสอบทั้งหลายจะมาตามแผนที่วางไว้  เรื่องนี้อาจดูเป็นนามธรรมไปสักนิด แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว นั่นคือสิ่งที่เป็น  เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงกระทำการ ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดเจ้าก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้  แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไร?  เราจะรักษาตำแหน่งของเราไว้ อยู่ในฐานะของเรา และทำงานของเรา ไม่รีรอและไม่เร่งรีบรุดหน้า แต่จะทำงานของเราตามลำดับที่กำหนดเอาไว้  เส้นทางสู่ความรอดของพวกเจ้าเปิดกว้างทุกสาย—เราจะไม่ปิดกั้นเส้นทางเหล่านั้น นับประสาอะไรกับการทำให้พวกเจ้าล่าช้า

มีใครถามด้วยความกังวลใจหรือไม่ว่า “การติดตามพระองค์สามารถทำให้พวกเราได้รับการช่วยให้รอดได้เช่นนั้นหรือ?”  บางคนอาจไม่เคยคำนึงถึงคำถามนี้ แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับการไม่เคยกังขา และความกังขานี้อาจยังมีอยู่  ดังนั้น เราจะบอกเรื่องจริงบางอย่างแก่เจ้าว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล  เราควรกังวลก่อนเจ้า เราเป็นผู้ที่ควรกังวลมากที่สุด แต่เราไม่เคยกังวลเลย แล้วเจ้ากังวลเรื่องใด?  เจ้าไม่กังวลเกินไปหน่อยหรือ?  เจ้ากังวลเกินไปและไม่มีความจำเป็นเลย  เราไม่เคยกังวลในเรื่องนี้เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรับผิดชอบ  นั่นเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?  แล้วใครเล่าที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้?  บางคนกล่าวว่า “การที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นช่างไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน!  หากพระองค์ไม่ทรงรับผิดชอบ แล้วใครเล่าต้องรับผิดชอบ?”  เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเพราะเราไม่เคยมีความกังวลเช่นนั้น  เราไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบในเรื่องนี้  หากเรากังวลแล้วกล่าวว่า “โอ้!  เราไม่สามารถแบกรับภาระเรื่องจุดจบและบั้นปลายของพวกเจ้าได้!  เราต้องใส่ใจกับการศึกษาและวิเคราะห์ทุกย่างก้าวที่เราเดิน ทุกคำที่เราพูด แล้วค่อยลงมือทำหลังจากที่เห็นผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้นแล้ว” นั่นจะเป็นการละเลยของเรา  แต่เราไม่เคยกังวล เราไม่เคยตรวจสอบว่าอะไรอาจนำไปสู่สิ่งใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ทรงมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”  ไม่ใช่เลย  โดยทั่วไปแล้ว คนเราสามารถพูดว่ามองเห็นบางสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ค้นคว้าและวิเคราะห์สิ่งนั้นแล้วเท่านั้น แต่โดยสัญชาตญาณแล้ว เราไม่เคยตรวจสอบสิ่งเหล่านั้นเลย—นั่นไม่อยู่ในความคิดของเรา  การไม่ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ย่อมจะเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเจ้าจึงควรเรียนรู้ที่จะทำเช่นนี้มิใช่หรือ?  บางคนอาจกล่าวว่า “พระองค์ไม่ทรงตรวจสอบสิ่งต่างๆ ตามสัญชาตญาณ  แล้วพวกเราจะเรียนรู้วิธีทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้!”  เรื่องนี้มีบางอย่างที่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกันสักเล็กน้อย  การประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า การตระหนักรู้ในเนื้อหนังของพระองค์ การทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์—ความเป็นมาที่แน่ชัดของบุคคลผู้นี้เป็นกระบวนการที่ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ  พูดง่ายๆ ก็คือ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำในร่างมนุษย์และวิธีสำแดงของพระองค์นั้นมีความล้ำลึกหรือไม่?  (มี)  เรื่องนี้จำเป็นต้องค้นคว้าหรือไม่?  เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องค้นคว้า แต่พวกเจ้าจำเป็นต้องแสวงหาความจริงในเรื่องนี้  ความจริงที่ว่านั้นคืออะไร?  พวกเจ้าสามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่?  แก่นแท้ สถานะ และภารกิจของคนคนหนึ่งนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน  ภารกิจของพวกเขาคือแก่นแท้และสัญชาตญาณของพวกเขา คือสิ่งที่พวกเขาใช้ชีวิต สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา สิ่งที่พวกเขาเต็มใจที่จะทำ รวมถึงสิ่งที่เติมเต็มพวกเขา—นั่นคือแก่นแท้ รวมทั้งสัญชาตญาณและภารกิจของพวกเขา ซึ่งทั้งหมดนี้อาจประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว  เรื่องนี้บอกอะไรกับเจ้า?  ในเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงที่พวกเจ้าควรจะมองเห็นได้ นั่นคือ การทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้  พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมาย และยิ่งมนุษย์อ่านความจริงเหล่านั้นมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอ่านมาก พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง และยิ่งพวกเขาได้รับประสบการณ์และนำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้น หัวใจของพวกเขาก็จะยิ่งสว่างขึ้น ขณะที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้นด้วยเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องค้นคว้าจริงหรือ?  เชิญเจ้าค้นคว้าตามที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าจะไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไรด้วยการค้นคว้า  การเข้าใจความจริงนั้นอาศัยประสบการณ์  เมื่อคนเรามีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาย่อมเข้าใจโดยปริยายว่าความจริงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และเมื่อเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็จะมีความรู้เรื่องพระเจ้าโดยธรรมชาติ  นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า การสัมฤทธิ์ความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้านั้นอาศัยการเข้าใจความจริง  พวกที่ไร้สาระบางคนไม่รักความจริงและไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติเลย และนับตั้งแต่ที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เฝ้าศึกษาเกี่ยวกับพระองค์  พวกเขาจะศึกษาอย่างไรก็ได้ แต่พวกเขาสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าในหนทางนี้หรือ?  เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เลย  โลกศาสนาทำการศึกษาพระเจ้ามานับสหัสวรรษ และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี ในท้ายที่สุดพวกเขาพูดได้แต่เพียงว่า “ฉันเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง”  นั่นเป็นคำพูดของคนที่รู้จักพระเจ้าหรือ?  ตอนนี้เจ้ายังศึกษาพระเจ้าอยู่หรือไม่?  เจ้าศึกษาพระองค์มากี่ปีแล้ว?  การศึกษาของเจ้าเกิดผลลัพธ์ใดบ้างหรือไม่?  เราบอกเจ้าว่า พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ไม่เคยค้นคว้าว่าพระองค์คือใคร และไม่เคยมีอีกเสียงหนึ่งในตัวพระองค์ มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น ทั้งหมดที่พระองค์ดำริ ทรงใช้ชีวิต และทรงทำ คือความคิดและการกระทำของคนคนหนึ่ง และพระองค์ก็ทรงรู้สึกเช่นกันว่าพระองค์คือคนคนหนึ่งที่กำลังคิดและกำลังทำ  เกิดอะไรขึ้นที่นี่?  ในตัวพระองค์มีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น ไม่มีชีวิตอื่น  แล้วแก่นแท้ของชีวิตนี้คืออะไร?  คนเราอาจไม่สามารถมองเห็นการนี้อย่างทะลุปรุโปร่งจากภายนอก จึงคิดว่าเป็นเพียงชีวิตของคนธรรมดา แต่หากพิจารณาในแง่ของภารกิจของพระองค์และแก่นแท้ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ เงาของพระเจ้าทาบทับเหนือพระองค์ได้อย่างไร?  นี่เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ  กายเนื้อหนังที่มีเงาของพระเจ้าและมีการเผยแก่นแท้ของพระเจ้าคือผู้ใดกันแน่นั้น เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การแสวงหาและสืบค้นอย่างลึกซึ้ง  แล้วเป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่กายเนื้อหนังนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงเป็นบุคคลผู้นั้น หรือโดยแก่นแท้แล้วพระองค์ทรงเป็นใครกันแน่?  นี่เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ไม่เหนือธรรมชาติเช่นนั้นหรือ?  นั่นฟังดูไม่เหมือนพระเจ้าเลย  พระเจ้าควรจะเหนือธรรมชาติสิ!”  คำว่า “ควรจะ” นี้มาจากไหน?  มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน  ที่จริงแล้ว การกระทำแรก พฤติกรรมแรกของพระเจ้าที่มนุษย์รู้จักและมีภาพจำคืออะไร?  ในตอนเริ่มต้นนั้นพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และในวันที่หก พระองค์ทรงกอบดินเหนียวบางส่วนขึ้นมาและทรงสร้างคนคนหนึ่งจากดินเหนียวนั้น ซึ่งพระองค์ทรงให้ชื่อว่าอาดัม  ต่อมา พระองค์ทรงทำให้อาดัมหลับใหลและนำกระดูกซี่โครงจากร่างกายของเขามาสร้างคนอีกคนหนึ่ง นั่นคือเอวา  เมื่อดูลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดจากการกระทำและพฤติกรรมของพระเจ้า นี่เป็นภาพที่พิเศษมากมิใช่หรือ?  การกระทำแต่ละอย่างเป็นจริงอย่างยิ่ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระเจ้าในความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  เป็นสิ่งที่เกินกว่าเรื่องเหนือธรรมชาติในความคิดฝันของมนุษย์  ดังนั้นตอนนี้ เมื่อผู้คนได้มาติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ได้ฟังพระวจนะที่พระองค์ตรัส และได้เห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ จากนั้นก็ยกสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเปรียบเทียบกับการกระทำและพฤติกรรมที่แท้จริงของพระเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ในตอนแรก แล้วจะมีความคลาดเคลื่อนกันหรือไม่?  มีความแตกต่างกันหรือไม่?  อาจจะมี เพราะเจ้าไม่เคยเห็นการกระทำเหล่านั้นเลย  อย่างไรก็ตาม หากมองเรื่องนี้อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อคนเราเปรียบเทียบลักษณะและแหล่งที่มาของถ้อยดำรัสของพระเจ้าในตอนเริ่มต้นกับลักษณะและแหล่งที่มาของการตรัสของพระองค์ในตอนนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกันเลย  เหตุใดเราจึงกล่าวว่า “โดยพื้นฐาน”?  คำว่า “โดยพื้นฐาน” มีความหมายในตัวเอง  คำว่า “โดยพื้นฐาน” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าในหัวใจของมนุษย์ยังมีองค์ประกอบที่เหนือธรรมชาติบางอย่างอยู่ในสิ่งที่เป็นจริงต่างๆ ที่มนุษย์คิดว่าพระเจ้าทรงทำและวิธีที่มนุษย์คิดว่าพระเจ้าตรัส แต่ลักษณะ วิธีการ และกระแสเสียงแห่งพระดำรัสของพระเจ้าที่มนุษย์เห็นและได้ยินอยู่ในเวลานี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง สามารถเข้าใจและมองเห็นได้ ปราศจากองค์ประกอบที่เหนือธรรมชาติและไม่มีที่ว่างให้ความคิดฝันของมนุษย์  มีระยะห่างระหว่างสองสิ่งนี้ และระยะห่างนั้นในท้ายที่สุดก็เหมือนกันโดยพื้นฐานจากมุมมองของพวกเจ้า  นี่คือที่มาของคำว่า “โดยพื้นฐาน”

มีความจำเป็นต้องสามัคคีธรรมพระวจนะที่เป็นจริงและจริงใจที่สุดเหล่านี้กับพวกเจ้าในวันนี้หรือไม่?  (จำเป็น)  เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น?  ผู้คนมากมายรู้สึกตลอดมาว่าเรื่องของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ค่อนข้างล้ำลึก ไม่อาจหยั่งถึง และปรารถนาจะศึกษาเรื่องเหล่านั้นอยู่เสมอ  การศึกษาสิ่งเหล่านี้แทรกแซงความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้า  หากเจ้าศึกษาพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะยังสามารถเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่?  หากเจ้าศึกษาพระองค์อยู่เสมอ เจ้าจะไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง อีกทั้งความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระองค์ย่อมจะบิดเบี้ยว เบี่ยงเบน และไม่ปกติ  ดังนั้นเจ้าจะทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้าเป็นปกติยิ่งขึ้นได้อย่างไร?  ด้วยการคำนึงถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเป็นปกติ รวมถึงกายเนื้อหนังนี้ของพระองค์ และแสวงหาการยอมรับพระองค์ไว้ในหัวใจของเจ้าทีละน้อย  จงยอมรับพระองค์ในทุกแง่มุม—ลักษณะและกระแสเสียงแห่งพระดำรัสของพระองค์ และแม้แต่การทรงปรากฏของพระองค์ รูปลักษณ์ภายนอกของพระองค์  เจ้าต้องยอมรับสิ่งนี้  หากเจ้าไม่ยอมรับ แต่มักศึกษาพระองค์อยู่เสมอ ศึกษาเรื่องนั้นศึกษาเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลร้ายที่สุดและทนทุกข์กับความสูญเสียย่อมจะเป็นเจ้า  ข้อเท็จจริงซึ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าทรงเริ่มต้นยุคใหม่ และพระองค์จะทรงมีอิทธิพลต่อสรรพสิ่ง และทรงนำสรรพสิ่ง  ข้อเท็จจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง  แล้วคนคนหนึ่งควรเลือกที่จะทำอย่างไรในเรื่องนี้?  จงอย่าศึกษาพระองค์ แต่จงยอมรับและรู้จักพระองค์ แก้ไขความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงย้ำเตือนตนเองตลอดเวลาว่า “ฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และฉันคือมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม จากภายนอก พระเจ้าทรงเป็นคนธรรมดา แต่แก่นแท้ภายในของพระองค์คือแก่นแท้ของพระเจ้า  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์คือพระเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าภายนอกของพระองค์ทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าพระองค์ตรัสสิ่งใด และไม่ว่าพระองค์ทรงกระทำเช่นไรก็ย่อมไม่อยู่ในขอบข่ายการศึกษาของฉัน  นี่คือเหตุผลที่ฉันควรมี และนี่คือฐานะที่ฉันควรยึดถือ”  เราได้พูดเกี่ยวกับตัวเราให้พวกเจ้าฟังเล็กน้อยในวันนี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้ามีความเข้าใจและมีความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และไม่สับสนงุนงงในเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ราวกับเรากำลังปิดบังบางสิ่งที่ไม่อยากให้พวกเจ้ารู้  แท้จริงแล้ว เราไม่มีความลับใดที่ไม่สามารถบอกพวกเจ้าได้  นี่คือสิ่งที่เราคิด และเป็นวิธีที่เรากระทำ  ไม่มีสิ่งใดเป็นนามธรรม และไม่มีสิ่งใดเป็นความล้ำลึก  ตัวเราที่พวกเจ้าเห็นก็เป็นเช่นนั้น ตัวเราที่อยู่ฉากหลังและพวกเจ้าไม่อาจมองเห็นได้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน  เรื่องราวเป็นดังนี้อย่างแท้จริง  แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าต้องเข้าใจ ไม่ว่าข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ภายนอกใดที่เจ้าเห็นอยู่ตรงหน้า หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะคิดว่าปรากฏการณ์เหล่านั้นเป็นความจริงและเป็นข้อเท็จจริง และหากเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะรู้จักแก่นแท้และความจริงผ่านปรากฏการณ์และสิ่งภายนอกเหล่านั้น แล้วความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเติบโตเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับเจ้า พระอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง พระผู้มีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง  นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และหากเจ้าศึกษารูปลักษณ์ของเนื้อหนังของพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าย่อมตกที่นั่งลำบาก  ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะไม่มีอยู่อีกต่อไป นั่นหมายความว่า จะไม่มีความสัมพันธ์ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างอีกต่อไป  ไม่จำเป็นที่จะต้องสาธยายถึงผลที่ตามมาของเรื่องนี้  ผลเหล่านั้นย่อมเลวร้ายมาก  ผลที่ตามมาอาจเป็นเช่นใดก็ได้—สิ่งใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น  เมื่อปราศจากความสัมพันธ์นี้ ก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยสื่อสารระหว่างพวกเรา  พูดเช่นนี้ชัดเจนหรือไม่?  หากพวกเราจะรักษาความสัมพันธ์อันแนบแน่นนี้ไว้ คงความสัมพันธ์ของพวกเราไว้ แล้วอัตลักษณ์ของมนุษย์ควรเป็นเช่นไร?  (อัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  จงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตลอดไป  นั่นเป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ นั่นเป็นหนทางเดียวที่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะดำรงอยู่ได้  หากเจ้าไม่ยอมรับว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย  เราจะไม่ข้องเกี่ยวกับเจ้า และเราจะไม่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร  จะไม่มีสิ่งใดที่ผูกพันพวกเราไว้  เราจะไม่จุ้นจ้านกับเจ้า  จงใช้ชีวิตตามที่เจ้าปรารถนา—เราไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งสิ้น  เจ้าไม่จำเป็นต้องศึกษาเราหรือกล่าวโทษเรา  อัตลักษณ์ของเรา สถานะของเรา และทุกสิ่งที่เราทำไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเช่นเจ้าสามารถกล่าวโทษหรือสรุปเองได้  มนุษย์ไม่ใช่ผู้ที่ตัดสินเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เป็นพระเจ้า  การพูดเช่นนั้นชัดเจนแล้วมิใช่หรือ?  นั่นคือความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจในที่นี้คืออะไร?  คนคนหนึ่งสามารถมีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้าได้บนพื้นฐานและบนรากฐานใด?  พวกเขาต้องรู้ว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากเจ้ายอมรับว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและมีรากฐานนั้น เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าก้าวไปข้างหน้า ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่เจ้าจะไม่หลงทาง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปรารถนาที่จะศึกษาพระองค์อยู่เสมอ และไม่เข้าหาความสัมพันธ์นี้จากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นปัญหา และเลวร้ายเกินกว่าจะนึกถึง  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?

บางคนกล่าวว่า “ถ้าฉันไม่ยอมรับว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเราก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอย่างนั้นหรือ?  เรารู้จักกันมิใช่หรือ?  ถึงไม่มีความสัมพันธ์ในระดับนั้น พวกเราก็เป็นคู่หู เป็นเพื่อน เป็นญาติกันได้—ใช่หรือไม่?”  ไม่  เราไม่มี “คู่หู” และไม่มีเพื่อน และแน่นอนว่าเราไม่มีญาติแบบนั้น  มีบางคนถามว่า “เช่นนั้นญาติแท้ๆ ของพระองค์เป็นใคร?  พวกเขาเป็นครอบครัวของพระองค์หรือ?”  ไม่ เราไม่มีญาติ และไม่มีเพื่อนที่น้องที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันด้วย  เราไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาและไม่มีบริวาร  สำหรับพระผู้สร้าง สิ่งเดียวที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์คือเหล่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สำหรับมวลมนุษย์ทรงสร้างทั้งปวง สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง พระเจ้าทรงมีพระอัตลักษณ์เดียว—คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง  นั่นคือความสัมพันธ์เดียวที่มี  หากใครบางคนถามว่า “พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก พวกเราเป็นเพื่อนกันมิได้หรือ?  พวกเรามาเป็นเกลอมิได้หรือ?”  ไม่ได้  เราไม่รู้จักเจ้า เราไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร  เหตุใดเราจะต้องเป็นเพื่อนกับเจ้าเล่า?  ระหว่างพวกเราไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น  พวกเขากล่าวว่า “พระองค์ตรัสเด็ดขาดเกินไปใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงใจแข็งเกินไปมิใช่หรือ?”  คำพูดนี้ของเราเด็ดขาดเช่นนี้  เราไม่ต้องการความสัมพันธ์เช่นนั้น  ทุกสิ่งที่เราทำและพูดออกไปนั้นก็เพื่อจัดเตรียมเป้าหมายที่เหมาะสมต่อการจัดเตรียมนี้—แล้วเป้าหมายเหล่านั้นคือใคร?  พวกเขาคือมวลมนุษย์ทรงสร้าง เป็นมวลมนุษย์ที่รักความจริง คนเหล่านั้นคือผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด และมีเพียงความสัมพันธ์นี้เท่านั้น  นอกเหนือจากความสัมพันธ์นี้แล้ว ก็ไม่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบใดเลยที่เราพอนึกออก  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  บางคนอาจกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เข้าหายาก!”  ไม่ใช่เพราะเราเข้าหายาก แต่เพราะความสัมพันธ์เช่นนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้  ดังนั้น ขออย่ามีผู้ใดพูดว่า “ข้าพระองค์ติดต่อกับพระองค์มาตั้งหลายปี  พวกเราเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ?”  หากเจ้ายอมรับว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุด มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ถูกทำนองคลองธรรมและบริสุทธิ์ที่สุด  บางคนกล่าวว่า “ข้าพระองค์รับใช้พระองค์มาตั้งหลายปี  พวกเราย่อมรู้จักกันดีพอมิใช่หรือ?  ข้าพระองค์เป็นคนสนิท เป็นสหายสนิทของพระองค์มิใช่หรือ?”  ไม่ใช่ เราไม่มีเพื่อนสนิท  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ทรงบอกข้าพระองค์เสมอว่าพระองค์โปรดฉลองพระองค์แบบใด และพระองค์โปรดผู้คนแบบไหน ข้าพระองค์ก็บอกพระองค์เช่นเดียวกัน  ไม่มีเรื่องใดที่พวกเราไม่พูดคุยกัน พวกเราจึงเป็นสหายกันมิใช่หรือ?”  ไม่ใช่  เราไม่ผูกมิตรกับผู้คน  เราไม่มีเพื่อน  หากเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เช่นนั้นพวกเราย่อมมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน พวกเราสามารถปฏิสัมพันธ์ สร้างความสัมพันธ์ และสร้างความเป็นมิตรต่อกันได้  แต่เมื่อเกิดความเป็นมิตรระหว่างพวกเราแล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกันหรือไม่?  ไม่ใช่  ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  บางคนรับเราเข้าไปและปกป้องเรา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคิดว่าตนมีคุณความดี พวกเขาคือผู้ช่วยชีวิตเรา  การพูดเช่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง  และถ้าพวกเขาถามว่า “พระองค์ทรงขาดความกตัญญูมิใช่หรือ?”  คำกล่าวนั้นจะอธิบายอย่างไร?  หากบางคนไม่สามารถมองเห็นบางอย่างได้โดยชัดเจน พวกเขาก็ไม่สามารถนำข้อบังคับไปปรับใช้ได้ตามอำเภอใจ  การทำเช่นนั้นย่อมนำไปสู่การตัดสินได้โดยง่าย  หากเจ้ารู้ว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าควรมองเรื่องนี้อย่างไร?  หากเจ้าใช้ความสัมพันธ์นี้เพื่อบีบบังคับเรา หรือเพื่อใกล้ชิดเรา หรือเพื่อให้เราโปรดปรานเจ้า เช่นนั้นเราบอกเจ้าเลยว่า เจ้าคิดผิด  อย่าพยายามทำเช่นนี้ และหากเจ้าพยายามที่จะเอาอกเอาใจเรา เราย่อมจะรู้สึกเบื่อหน่ายเจ้า  บางคนถามว่า “พระองค์จะไม่ทรงทนกับการนั้นหรือ?”  ไม่ การที่ผู้คนพยายามเอาอกเอาใจเราเป็นเรื่องผิด—นี่ไม่ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ปกติ  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันอายุน้อย ดูดี และพูดจาฉะฉาน  พระเจ้าโปรดคนอย่างฉันมิใช่หรือ?”  เจ้าต้องไม่พูดเช่นนี้  หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้น เจ้าสามารถหาคำตอบได้ในพระวจนะของพระเจ้า  อย่าทำให้เราขยะแขยงเจ้านักเลย  การพูดเช่นนั้นชัดเจนหรือไม่?  ไม่สามารถชัดเจนไปมากกว่านี้อีกแล้ว  ดังนั้น พวกเจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  (ความสัมพันธ์หนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า คือความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง)  ถูกต้อง มนุษย์ต้องวางฐานะของตนให้ถูกต้อง  ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามจงอย่าโอ้อวดคุณสมบัติของตน หรือพึ่งพาความอาวุโส หรือใช้ความฉลาดเล่นเกมเล็กๆ น้อยๆ และจงอย่าใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกใดมาพยายามเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของเจ้าหรือความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้า  ไม่ว่าอยู่ภายใต้รูปการณ์ใดก็จงอย่าพยายามทำเช่นนั้น เจ้าจะได้รับการปฏิเสธ  จงอย่าข้องเกี่ยวกับการดิ้นรนอันไร้จุดหมายเช่นนั้น  มันเปล่าประโยชน์!  เหตุใดผู้คนจึงหวนกลับไปสู่หนทางเดิมของพวกเขาเสมอ?  หลังการพูดคุยวันนี้ พวกเจ้าส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจการนี้ผิดอีก ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นั่นทำให้เราคลายกังวลไปได้มาก  เราไม่ปรารถนาที่จะจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้—สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเจ็บปวด!  สำหรับผู้ที่มีเหตุผล สิ่งเหล่านี้ย่อมเข้าใจได้ง่าย  พระวจนะของพระเจ้ามากมายกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ และผู้ที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจอย่างแท้จริงไม่ควรมองว่าสิ่งเหล่านี้เข้าใจยาก  สำหรับผู้ที่ติดตามพระเจ้ามานานหลายปีและเข้าใจความจริงอยู่บ้าง การเข้าใจสิ่งเหล่านี้ย่อมจะไม่เป็นปัญหา เพราะผู้คนได้รับจากพระเจ้ามากมายและรู้จักพระราชกิจของพระองค์โดยสมบูรณ์

23 มกราคม ค.ศ. 2019

ก่อนหน้า: มีการเข้าสู่ชีวิตเพียงในการปฏิบัติความจริงเท่านั้น

ถัดไป: วิธีข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ของมนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger