การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ

ในการชุมนุมครั้งที่แล้วพวกเราได้พูดถึงการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ  การสัมฤทธิ์สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขลำดับแรก ทั้งยังเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สุดจากเงื่อนไขพื้นฐานสี่ประการที่มนุษย์พึงมีเพื่อให้ได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  คราวก่อนพวกเราได้ร่วมสามัคคีธรรมถึงนิยามและหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  อีกทั้งพวกเรายังหารือถึงตัวอย่างบางประการ สามัคคีธรรมถึงสัญญาณภายนอกนานาประการที่ชี้ให้เห็นว่าผู้คนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างดีพอ  จากการทำเช่นนี้ เราได้เปิดโอกาสให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมองเห็นอย่างชัดเจนว่าปัญหาดังกล่าวควรได้รับการแก้ไข และเข้าใจท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเหล่าผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนั้น  หลังจากการสามัคคีธรรมเรื่องนี้ เจ้าย่อมได้รับความเข้าใจโดยทั่วไปถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอ สิ่งที่ควรเอาใจใส่ สิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำได้ รวมถึงการกระทำที่อาจจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและนำไปสู่การทำลายล้าง  จากการร่วมสามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีพอนั้น พวกเจ้าสามารถมองเห็นและเข้าใจความจริงของเรื่องนี้ในเชิงแนวคิดได้บ้างหรือไม่?  เวลาปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ หลักธรรมที่คนทุกประเภทพึงยึดปฏิบัติตามและความจริงที่พวกเขาควรปฏิบัติคืออะไร?  พวกเจ้ามีความเข้าใจชัดเจนในเรื่องที่เฉพาะเจาะจงเช่นนั้นหรือไม่?  (พวกเราไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน)  เช่นนั้นแล้ว พวกเราจำเป็นต้องคุยเรื่องนี้กันให้ละเอียดมากขึ้น  พวกเราต้องกำหนดการจำแนกประเภทให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะได้หารือกันว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดีพอนั้นหมายความว่าอย่างไร

งานในพระนิเวศของพระเจ้าแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่หลัก  งานที่เป็นแถวหน้าของงานทั้งหมดในพระนิเวศของพระเจ้าคือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  งานนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมหาศาล ครอบคลุมขอบเขตอันกว้างขวางของสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งเกี่ยวข้องกับงานจำนวนมาก  นี่คืองานในหมวดหมู่แรก และเป็นงานสำคัญที่สุดในบรรดางานทั้งปวงของคริสตจักร  งานของการขยายข่าวประเสริฐเป็นงานที่สำคัญอันดับหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  นั่นคือเหตุผลที่งานนี้ต้องถูกจำแนกว่าเป็นงานหมวดหมู่แรก  แล้วตำแหน่งของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นี้คืออะไร?  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  สำหรับหมวดหมู่ที่สอง หน้าที่ที่สำคัญที่สุดในบรรดางานภายในของคริสตจักรคืออะไร?  (คือหน้าที่ของผู้นำและคนทำงาน)  ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานทุกระดับในคริสตจักร รวมไปถึงหัวหน้างานและหัวหน้ากลุ่มของกลุ่มต่างๆ  หน้าที่นี้สำคัญมากที่สุด และงานทั้งหมดที่คนเหล่านี้ทำเป็นงานที่สำคัญ  นี่คือหมวดหมู่ที่สอง  สำหรับหน้าที่ในหมวดหมู่ที่สาม อะไรคือหน้าที่ที่ค่อนข้างสำคัญของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  (หน้าที่พิเศษบางอย่าง)  ใช่แล้ว หมวดหมู่ที่สามนั้นประกอบด้วยคนที่ปฏิบัติหน้าที่พิเศษนานาประการ รวมไปถึงงานเขียน  งานแปลภาษา งานดนตรี งานผลิตภาพยนตร์ งานศิลปะ และงานที่เกี่ยวกับกิจธุระภายนอก  สำหรับคนที่อยู่ในหมวดหมู่ที่สี่ โดยหลักแล้วปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปที่เกี่ยวกับงานด้านจัดระบบการดำเนินงาน อย่างเช่น การต้อนรับ การทำอาหาร และการจัดซื้อ  หน้าที่เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องถูกจำแนกโดยละเอียด  หมวดหมู่ที่ห้าคือหมวดหมู่สำหรับผู้คนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่บางอย่างได้แค่ในเวลาว่างเนื่องจากสถานการณ์ทางครอบครัว เงื่อนไขทางร่างกาย หรือเหตุผลอื่นๆ  คนเหล่านี้ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดความสามารถ  นี่คือหมวดหมู่ที่ห้า  ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นถูกจัดไว้ในหมวดหมู่ที่หก  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แล้วเหตุใดพวกเขาจึงควรถูกจัดเป็นหมวดหมู่หนึ่งเล่า?  เพราะพวกเขานับรวมเป็นหนึ่งในสมาชิกของคริสตจักร พวกเขาจึงถูกจัดเอาไว้ในหมวดหมู่สุดท้าย  หากพวกเขาได้ฟังคำเทศนาไปแล้วมากมาย สามารถเข้าใจความจริง และขอปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสมัครใจ ตราบใดที่พวกเขามีความเชื่อที่จริงใจและไม่ใช่คนที่มีขีดความสามารถต่ำหรือเป็นคนชั่วอย่างเหลือแสน และให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ก่อให้เกิดการรบกวน พวกเราก็ควรอนุญาตให้คนเช่นนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่และมอบโอกาสให้พวกเขากลับใจ  โดยพื้นฐานแล้ว สมาชิกคริสตจักรทุกคนล้วนอยู่ในหกหมวดหมู่ที่เพิ่งกล่าวไป  คนพวกเดียวที่เหลืออยู่คือผู้เชื่อใหม่  ในส่วนนี้จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  แต่ในทางกลับกัน เนื่องจากพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยและเข้าใจความจริงแค่เพียงผิวเผิน พวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย  ต่อให้พวกเขาบางคนมีขีดความสามารถดี พวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงหรือหลักธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใดได้  พวกเขาจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้หลังจากเชื่อในพระเจ้าเป็นเวลาสองหรือสามปี  เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็สามารถจัดให้พวกเขาไปอยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ ของผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ได้  สรุปก็คือ ตอนนี้พวกเราได้แบ่งหมวดหมู่ออกเป็นหกหมวดหมู่อย่างชัดเจนแล้ว  หมวดหมู่แรกสำหรับเหล่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ หมวดหมู่ที่สองสำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงานทุกระดับของคริสตจักร หมวดหมู่ที่สามสำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่พิเศษทั้งหลาย หมวดหมู่ที่สี่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป หมวดหมู่ที่ห้าสำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อเวลาเอื้ออำนวย และหมวดหมู่ที่หกสำหรับผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่  หลักธรรมอันเป็นรากฐานของการจัดเรียงหมวดหมู่เหล่านี้คืออะไร?  หมวดหมู่เหล่านี้แบ่งออกไปตามธรรมชาติของงาน เวลาที่พึงต้องใช้ในการทำงาน ปริมาณงาน และความสำคัญของงาน  ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเราพูดถึงการปฏิบัติหน้าที่ โดยพื้นฐานแล้วพวกเราได้หารือถึงแง่มุมต่างๆ ของความจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่  สามัคคีธรรมของพวกเราว่าด้วยหลักธรรมความจริงที่ทุกคนพึงทำตามในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเราไม่ได้ร่างหมวดหมู่ใดๆ ขึ้นมา และไม่ได้หารือโดยละเอียดถึงหลักธรรมที่ผู้คนแต่ละประเภทควรปฏิบัติตาม อีกทั้งไม่ได้พูดถึงความจริงอันเฉพาะเจาะจงที่พวกเขาควรมุ่งเน้นเพื่อการเข้าสู่  ต่อจากนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงความจริงในแง่มุมนี้ให้ครบบริบูรณ์มากขึ้นโดยพูดถึงแต่ละหมวดหมู่ตามลำดับเพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน

อันดับแรก เราจะเริ่มต้นสามัคคีธรรมถึงความจริงที่เหล่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐควรเข้าใจ  ความจริงพื้นฐานประการใดที่ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐควรเข้าใจและเตรียมตนเองให้พร้อม?  เจ้าควรทำหน้าที่นี้อย่างไรจึงจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ให้ดี?  เจ้าต้องพร้อมด้วยความจริงแห่งนิมิตบางประการที่จำเป็นสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเจ้าต้องเชี่ยวชาญในหลักธรรมของการเผยเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญในหลักธรรมของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้ว ความจริงอื่นใดที่เจ้าควรเตรียมตนเองให้พร้อมเพื่อแก้ไขปัญหาและมโนคติอันหลงผิดของผู้อื่น?  เจ้าควรปฏิบัติต่อผู้สืบค้นหนทางที่แท้จริงเหล่านั้นอย่างไร?  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะ  หลักธรรมประการแรกที่เจ้าต้องเข้าใจคือเจ้าสามารถประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ใดและไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ใด  หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่ไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐด้วยได้ นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นความพยายามที่สูญเปล่าเท่านั้น ทว่ายังก่อให้เกิดอันตรายแฝงได้อย่างง่ายดายอีกด้วย  นี่คือเรื่องที่ต้องเข้าใจ  นอกจากนี้ แม้กระทั่งผู้ที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐด้วยได้ก็จะไม่ยอมรับหากเจ้าเพียงกล่าวคำพูดไม่กี่คำหรือเพียงพูดถึงคำสอนที่ล้ำลึกบางประการ  การนี้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น  เจ้าอาจจะพูดจนปากและคอแห้งผาก รวมถึงหมดความอดทนจนอยากจะละทิ้งผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงเหล่านั้น  ในรูปการแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีคืออะไร?  (ความรักและความอดทน)  เจ้าต้องมีความรักและความอดทน  หากเจ้าไม่มีความรู้สึกรักอยู่เลย เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความอดทนอย่างแน่นอน  นอกจากการเข้าใจความจริงในเรื่องของนิมิตแล้ว การเผยแผ่ข่าวประเสริฐยังต้องใช้ความรักที่ยิ่งใหญ่และความอดทนอย่างหนักอีกด้วย  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างถูกควร  หน้าที่ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีนิยามว่าอย่างไร?  เจ้ามองหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไร?  เหล่าผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นต่างจากผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อื่นอย่างไร?  พวกเขาเป็นพยานให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเป็นพยานให้การเสด็จมาของพระเจ้า  บางคนกล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ พวกเขาถูกส่งมาเพื่อทำภารกิจ และพวกเขาเป็นทูตสวรรค์ที่ลงมาจากเบื้องบน  สามารถนิยามพวกเขาเช่นนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ภารกิจของผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นคืออะไร?  พวกเขามีภาพลักษณ์ในใจของผู้คนอย่างไร?  บทบาทของพวกเขาคืออะไร?  (ผู้ประกาศ)  ผู้ประกาศ ผู้ส่งสาร แล้วมีอะไรอีก?  (พยาน)  คนส่วนใหญ่จะนิยามพวกเขาเช่นนี้  แต่แท้จริงแล้วคำนิยามเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  คำที่ใช้กันโดยทั่วไปคือคำว่า “ผู้ประกาศ” และ “พยาน”—ส่วนคำว่า “ผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ” เป็นตำแหน่งที่สูงเกียรติมากกว่า  ทั้งสามคำนี้เป็นคำที่ได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง  ไม่ว่าผู้คนเข้าใจและนิยามตำแหน่งของเหล่าผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างไร ทั้งสามชื่อนี้ก็ล้วนเชื่อมโยงกับคำว่า “ข่าวประเสริฐ” อย่างแยกไม่ออก  คำใดในสามคำนี้มีความเกี่ยวข้องและเหมาะสมกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐมากกว่ากัน จนทำให้เป็นชื่อเรียกที่สมเหตุสมผลมากกว่า?  (ผู้ประกาศ)  คนส่วนใหญ่คิดว่าผู้ประกาศเป็นชื่อเรียกที่เหมาะสมกว่า  มีใครเห็นด้วยกับตำแหน่งพยานบ้างหรือไม่?  (มี)  แล้วตำแหน่งผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐเล่า?  (ไม่มี)  โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครเห็นด้วยกับตำแหน่งผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ  ก่อนอื่นพวกเรามาหารือกันเถิดว่า ตำแหน่งผู้ประกาศนั้นเหมาะสมหรือไม่  คำว่า “ประกาศ” หมายถึงการเผยแผ่ แผ่ขยาย ถ่ายทอด และป่าวประกาศบางสิ่งบางอย่าง—แล้ว “หนทาง” ที่ผู้ประกาศทำการประกาศนั้นเกี่ยวกับอะไร?  (หนทางที่แท้จริง)  นั่นเป็นคำตอบที่ดี  คำว่า “หนทาง” หมายถึงหนทางที่แท้จริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  นี่คือวิธีที่เราใช้อธิบายและนิยามคำว่าผู้ประกาศ  ต่อไป พวกเรามาพูดถึงพยานกันเถิด  พยานนั้นเป็นพยานให้สิ่งใด?  (ให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า)  การกล่าวว่าพยานเป็นพยานให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้านั้นย่อมไม่ผิด  ทั้งสองตำแหน่งนี้ดูเป็นตำแหน่งค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว  แล้วผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐเล่า?  คำว่า “ข่าวประเสริฐ” หมายถึงอะไร?  คำนี้หมายถึงข่าวดีและข่าวที่น่ายินดีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และการเสด็จกลับมาของพระเจ้า  พวกเราจะอธิบายคำว่า “ผู้ส่งสาร” ได้อย่างไร?  คำอธิบายที่ดีสำหรับคำว่า “ผู้ส่งสาร” ก็คือใครบางคนที่พระเจ้าทรงส่งมา คนที่ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐโดยตรง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งมาในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าหรือสารสำคัญ  นี่คือผู้ส่งสาร  ผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นมีบทบาทเช่นนี้หรือไม่?  พวกเขาทำงานในลักษณะนี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาทำงานประเภทใด?  (พวกเขาเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย)  การเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเป็นภารกิจที่พวกเขาได้รับมาจากพระเจ้าโดยตรงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วสามารถอธิบายภารกิจนี้ได้ว่าอย่างไร?  (นี่คือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  นี่เป็นหน้าที่ของผู้คน  ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงมอบหน้าที่ ตรัสบอก หรือไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าประกาศพระราชกิจใหม่ของพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่ เจ้าก็มีความรับผิดชอบและภาระผูกพันในการบอกกล่าวข่าวประเสริฐแก่ผู้คนให้มากขึ้น เผยแผ่ และถ่ายทอดข่าวประเสริฐแก่ผู้คนให้มากยิ่งขึ้น  เจ้ามีความรับผิดชอบและมีภาระผูกพันที่จะทำให้ผู้คนได้รับรู้ข่าวนี้ ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหวนคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้ามากขึ้น  นี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้คน ดังนั้นจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา  ด้วยเหตุนี้คำว่า “ผู้ส่งสาร” จึงไม่เหมาะสมสำหรับการนี้  ธรรมชาติของคำคำนี้คืออะไร?  นี่คือคำที่เป็นเท็จ เกินจริง และว่างเปล่า  คำว่า “ผู้ส่งสาร” นั้นเกินจริงเสียจนไม่เหมาะสม  นับตั้งแต่ยุคสมัยของพันธสัญญาเดิมมาจนถึงปัจจุบัน นับจากจุดเริ่มต้นของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าจวบจนถึงทุกวันนี้ แท้จริงแล้วบทบาทของผู้ส่งสารไม่เคยปรากฏอยู่เลย  กล่าวคือตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา บทบาทดังกล่าวไม่เคยมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมวลมนุษย์เลย  คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถแบกรับความหมายของคำว่า “ผู้ส่งสาร” ได้อย่างไร?  ไม่มีผู้ใดสามารถรับผิดชอบงานดังกล่าวได้  ด้วยเหตุนั้นบทบาทนี้จึงไม่เปิดกว้างสำหรับมนุษย์ และไม่มีผู้ใดที่เชื่อมโยงหรือมีความเกี่ยวข้องกับคำคำนี้เลย  จากความเข้าใจของผู้คน ผู้ส่งสารคือใครบางคนที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อถ่ายทอดข้อความหรือทำบางสิ่งบางอย่าง  บุคคลดังกล่าวแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และครอบคลุมของพระเจ้าในการบริหารจัดการมวลมนุษย์เลย  กล่าวคือ บทบาทของผู้ส่งสารไม่มีปรากฏอยู่ในพระราชกิจทั้งสามระยะของพระเจ้าแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้น จงอย่าใช้คำนี้อีกในภายหน้า  การกล่าวเช่นนี้เป็นความไร้เดียงสา  คนคนหนึ่งจะสามารถรับผิดชอบตำแหน่ง “ผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ” ได้หรือ?  พวกเขาย่อมไม่สามารถทำได้  ประการหนึ่งคือพวกเขามีเลือดและเนื้อ  นอกจากนี้พวกเขายังเป็นหนึ่งในบรรดามวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  ผู้ส่งสารเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  (พวกเราไม่รู้)  พวกเจ้าไม่รู้ แต่พวกเจ้ายังกล้าที่จะใช้ชื่อนี้  นี่ก็คือการแอบอ้าง  สามารถกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าผู้ส่งสารไม่เกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ และมนุษย์ก็ไม่สามารถข้องเกี่ยวใดๆ กับคำว่า “ผู้ส่งสาร”  มวลมนุษย์ไม่สามารถแบกรับตำแหน่งนี้ได้  โดยแท้แล้วผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ การลงมาจากเบื้องบนของผู้ส่งสาร รวมถึงงานของผู้ส่งสารล้วนสิ้นสุดลงในช่วงเวลาของอับราฮัมในพันธสัญญาเดิม  เรื่องนี้เสร็จสิ้นและจบลงแล้ว  นับตั้งแต่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์อย่างเป็นทางการ มวลมนุษย์ก็ควรยุติการใช้คำว่า “ผู้ส่งสาร”  เหตุใดจึงไม่ควรใช้คำนี้อีกต่อไป?  (เพราะมนุษย์ไม่สามารถแบกรับตำแหน่งนี้ได้)  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามนุษย์สามารถแบกรับตำแหน่งนี้ได้หรือไม่ แต่เป็นเพราะว่า ผู้ส่งสารไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  ในหมู่มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามนั้นไม่มีบทบาทดังกล่าว และไม่มีตำแหน่งนั้นอยู่  ย้อนกลับไปที่คำว่า “ผู้ประกาศ”  หากพวกเราจะนิยามคำว่า “หนทาง” ที่พวกเขาประกาศให้ถูกต้อง เป็นกลาง และล้ำลึกนั้น พวกเราจะนิยามคำคำนี้ว่าอย่างไร?  (พระวจนะของพระเจ้า)  นี่คือคำที่ค่อนข้างใช้กันทั่วไป  หากพูดอย่างเฉพาะเจาะจง คำคำนี้หมายถึงข่าวประเสริฐและข้อความจากพระราชกิจของพระเจ้าในยุคปัจจุบันเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วคนที่ประกาศข่าวประเสริฐกล่าวประกาศสิ่งใดกันแน่?  งานของผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐสัมพันธ์กับคำว่า “หนทาง” ในระดับใด?  งานที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของพวกเขาจริงๆ แล้วคืองานประเภทใด?  พวกเขาเพียงถ่ายทอดข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างให้แก่ผู้รับข่าวประเสริฐ—อย่างเช่น พระเจ้าได้เสด็จมาในยุคสุดท้าย พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำ พระวจนะของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระเจ้า—เพื่อให้ผู้คนได้ยินและยอมรับข้อมูลนี้ แล้วจากนั้นจึงหวนคืนสู่พระเจ้า  หลังจากพวกเขานำผู้คนมาเฉพาะพระเจ้าแล้ว ความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพวกเขาก็ลุล่วง  ในข้อมูลที่พวกเขาสื่อสารนั้นมีสิ่งที่หมายถึง “หนทาง” อยู่บ้างหรือไม่?  ในที่นี้คำว่า “ข้อมูล” และ “ข่าวประเสริฐ” โดยแท้จริงแล้วมีค่าเทียบเท่ากัน  แล้วสองคำนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า “หนทาง” หรือไม่?  (ไม่เกี่ยวข้อง)  เหตุใดจึงไม่เกี่ยวข้องเล่า?  คำว่า “หนทาง” หมายถึงสิ่งใดกันแน่?  ถ้อยคำที่เรียบง่ายที่สุดที่พวกเราสามารถใช้อธิบายคำคำนี้ได้คือคำว่าเส้นทาง  คำว่า “เส้นทาง” เป็นการสรุปนิยามของคำว่า “หนทาง” ได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น  พูดอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น “หนทาง” ก็คือพระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์เป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตน อีกทั้งทำให้พวกเขารอดพ้นจากพันธนาการและอิทธิพลมืดของซาตาน  คำบรรยายดังกล่าวถูกต้องและเป็นรูปธรรมหรือไม่?  เมื่อมองดูในตอนนี้  คำว่า “ผู้ประกาศ” เป็นคำนิยามที่เหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  หน้าที่ของผู้ประกาศนั้นมีมากกว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าเหล่านั้นเท่านั้นที่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้  คนธรรมดาที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐจะสามารถแบกรับงานของผู้ประกาศได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นเพียงการประกาศข่าวดีและเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น  คนเหล่านี้ไม่สามารถแบกรับงานของผู้ประกาศได้เลย พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ผู้ประกาศได้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกพวกเขาว่าผู้ประกาศไม่ได้  ตำแหน่งผู้ประกาศมอบสถานะที่สูงส่งขึ้น และผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอสำหรับตำแหน่งนี้  ตำแหน่งนี้ไม่เหมาะสมกับพวกเขา  ขณะนี้คำเดียวที่เหลืออยู่คือคำว่า “พยาน”  พยานนั้นเป็นพยานให้สิ่งใด?  (ให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า)  การกล่าวว่าพวกเขากล่าวประกาศและเป็นพยานให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้านั้นเหมาะสมหรือไม่?  หากคำว่าพยานถูกนิยามความหมายอย่างถูกต้อง คำนี้ก็ควรหมายถึงคนที่เป็นพยานให้พระเจ้ามากกว่าคนที่เป็นพยานให้ข่าวประเสริฐ  หากพวกเราเรียกผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ว่าพยานให้พระเจ้าเล่า จะเป็นอย่างไร?  พวกเขาสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเราสามารถอธิบายคำว่า “พยาน” ที่ใช้ในที่นี้ได้อย่างไร?  เมื่อทำการสืบค้นโดยละเอียด คำว่า “พยาน” ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน  เนื่องจากผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นแค่เพียงกล่าวประกาศพระวจนะที่พระเจ้าตรัสต่อผู้คนทั้งหมดที่กระหายในพระวจนะของพระเจ้า และบอกกล่าวพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้ที่ต้อนรับการทรงปรากฏของพระองค์เท่านั้น นี่ยังไม่ถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำว่า “พยาน”  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการเป็นพยาน?  การเป็นพยานนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่บุคคลหนึ่งสามัคคีธรรมและกล่าวประกาศเพื่อทำให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้าและนำคนเหล่านี้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ในปัจจุบัน ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นเพียงนำผู้คนเข้ามาในคริสตจักร สู่สถานที่ทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้เป็นพยานให้พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น หรือพระราชกิจของพระเจ้า  ตำแหน่งพยานเหมาะสมกับพวกเขาหรือไม่?  หากพูดอย่างตรงประเด็นก็คือ ตำแหน่งนี้ไม่เหมาะสม อีกทั้งไม่คู่ควรกับพวกเขาเลย  ขณะนี้พวกเราได้สืบค้นและใคร่ครวญหมดทั้งสามคำแล้ว—ทั้งผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ ผู้ประกาศ และพยาน—โดยพบว่าไม่มีคำใดที่เหมาะสมกับผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นเลย  ไม่ว่าชื่อเรียกเหล่านี้มาจากศาสนา หรือเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในบรรดาสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า ตำแหน่งเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสมและไม่สมควรใช้  ขณะนี้พวกเรามาถึงคำถามที่ว่า ตำแหน่งเป็นสิ่งที่สำคัญหรือไม่?  (สำคัญ)  ตำแหน่งเหล่านี้สำคัญจริงหรือ?  ตัวอย่างเช่น หากชื่อเดิมของเจ้าคือจอห์น สมิธ แต่ตอนนี้เจ้าถูกเรียกว่าเจมส์ คลาร์ก ตัวเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นนั้นหรือ?  เจ้ายังคงเป็นเจ้ามิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าตำแหน่งหรือชื่อที่เจ้าใช้นั้นไม่สำคัญ  หากเรื่องนี้ไม่สำคัญ เหตุใดจึงต้องชำแหละคำเหล่านี้เล่า?  เราชำแหละคำเหล่านี้เพื่อให้ผู้คนได้รับทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ให้พวกเขานิยามอย่างถูกต้องว่าจริงๆ แล้วหน้าที่นี้คืออะไร รวมถึงรู้ว่าพวกเขาควรทำและปฏิบัติต่อหน้าที่นี้อย่างถูกควรอย่างไร  นี่คือสิ่งที่จำเป็นอันดับแรกสำหรับเจ้าในการกำหนดตำแหน่งของตัวเจ้าเองในหน้าที่นี้  เรื่องนี้สำคัญมาก  เพราะฉะนั้น ตำแหน่งนี้จึงต้องถูกต้อง

เมื่อสักครู่ เราเพิ่งชำแหละตำแหน่งหรือคำเรียกต่างๆ ที่หมายถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นไปอย่างคร่าวๆ  ตำแหน่งและคำนิยามของพยาน ผู้ประกาศ และผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐล้วนไม่ถูกต้อง  เหตุใดคำเหล่านี้จึงไม่ถูกต้อง?  นี่เป็นเพราะผู้คนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเพียงอย่างเดียวไม่ทำงานที่มีสาระสำคัญที่คู่ควรกับชื่อเหล่านี้เลย  พวกเขาไม่ได้เป็นพยานให้กิจการของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า หรือแก่นแท้ของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่งานที่พวกเขาทำและไม่ใช่หน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่คู่ควรแก่การถูกเรียกด้วยตำแหน่งพยาน  ตำแหน่งผู้ประกาศก็มีธรรมชาตินี้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐเลย  ตำแหน่งสุดท้ายนี้ไร้ซึ่งความหมายและไม่ได้อ้างอิงอยู่บนพื้นฐานใดทั้งสิ้น  นี่เป็นเพียงตำแหน่งที่ฟังดูสูงส่งที่ผู้คนมอบให้ตนเองเท่านั้น  ตำแหน่งผู้ส่งสารนั้นมาจากไหนหรือ?  ตำแหน่งนี้เกิดจากความลำพองของอุปนิสัยอันโอหังของมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเพียงความปรารถนาที่จะตั้งตำแหน่งอันสูงส่งให้กับตนเองมิใช่หรือ?  เมื่อคนคนหนึ่งสวมมงกุฎให้ตนเองด้วยตำแหน่งประเภทนี้ พฤติกรรมนี้ย่อมไม่ใช่การสำแดงถึงการมีเหตุผล  ตำแหน่งอื่นๆ ก็ยิ่งเหมาะสมและคู่ควรน้อยลงไปอีก เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่จัดลำดับและชำแหละตำแหน่งเหล่านั้นไปทีละตำแหน่ง  ในเมื่อตำแหน่งเหล่านี้ไม่เหมาะสม พวกเราก็มาดูกันเถิดว่าที่จริงแล้วแก่นแท้ของหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง  ในศาสนา ผู้คนจะเรียกเวลาที่ใครบางคนถูกเอาชนะใจผ่านการเผยแผ่ข่าวประเสริฐว่าอย่างไร?  (การผลิดอกออกผล)  เมื่อผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นเอาชนะใจคนคนหนึ่ง พวกเขาย่อมกล่าวว่าพวกเขาได้ทำการผลิดอกออกผลแล้ว  เมื่อพวกเขาพบปะและพูดคุยกัน พวกเขาก็มักหารือกันอยู่เสมอว่าพวกเขาผลิดอกออกผลในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่นั่นที่นี่มากแค่ไหนแล้ว  พวกเขาเปรียบเทียบตนเองกับอีกฝ่ายหนึ่งว่าใครผลิดอกออกผลมากกว่ากัน และผลเหล่านี้เป็นอย่างไร  เหตุใดพวกเขาจึงทำการเปรียบเทียบเช่นนั้น?  ในการเปรียบเทียบจำนวนผลของพวกเขาแบบผิวเผิน แท้จริงแล้วพวกเขากำลังเปรียบเทียบสิ่งใดอยู่?  พวกเขากำลังเปรียบเทียบคุณความดีและคุณสมบัติของตนสำหรับการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  หากในหมู่พวกเขาเกิดการเปรียบเทียบกับเช่นนั้น พวกเขาจะมองงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่?  เหตุใดพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับผลที่ได้เหลือเกิน?  พวกเขาเชื่อว่าผลทั้งหลายที่พวกเขาทำให้เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการไปสวรรค์ การได้รับพร และการได้รับบำเหน็จ  หากผลเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจะทำการเปรียบเทียบเช่นนี้ในยามที่พบปะกัน หรือไม่?  พวกเขาจะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในแง่มุมต่างๆ  พวกเขาจะเปรียบเทียบกันในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการได้รับบำเหน็จและการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์  เนื่องจากการเอาชนะใจผู้คนและการผลิดอกออกผลจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวข้องกับการไปสวรรค์และการได้รับบำเหน็จ เพื่อจะได้สัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ ผู้คนจึงไม่เคยเบื่อหน่ายกับการเปรียบเทียบว่าในยามที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐใครเอาชนะใจผู้คนได้มากกว่ากัน และใครผลิดอกออกผลมากกว่ากัน  จากนั้นพวกเขาก็คำนวณหาหนทางอยู่ในหัวใจเพื่อเอาชนะใจผู้คนให้มากขึ้นและผลิดอกออกผลมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณสมบัติและความมั่นใจของตนในเรื่องของการเข้าสู่สวรรค์และการได้รับบำเหน็จ  การนี้ทำให้เห็นชัดเจนถึงท่าทีที่ผู้คนทุกประเภทมีต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ท่าทีและแรงจูงใจที่พวกเขามีต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือความอยากที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่เป็นมุมมองที่ไม่ถูกต้อง  เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ใช่การลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า หากแต่เป็นการได้รับบำเหน็จ  การปฏิบัติหน้าที่ของคนเราด้วยลักษณะของการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับความจริง แต่เป็นการละเมิดต่อความจริง  สิ่งนี้ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจ  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้ผลิดอกออกผลมากเพียงไร เรื่องนี้ก็ไม่มีผลต่อบั้นปลายสุดท้ายของพวกเขา  พวกเขามองการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นอาชีพ เป็นหนทาง หรือเป็นสะพานไปสู่การได้รับพรหรือบำเหน็จ  ความตั้งใจของคนเช่นนั้นในการปฏิบัติหน้าที่และยอมรับพระบัญชานี้ไม่ใช่เพื่อลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าหรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี แต่เพียงเพื่อให้ได้รับพรและบำเหน็จเท่านั้น  เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้คนเช่นนี้ผลิดอกออกผลมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ใช่ทั้งพยานและผู้ประกาศ  งานที่พวกเขาทำไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นเพียงการตรากตรำและลงแรงเพื่อให้ได้รับพรสำหรับพวกเขาเท่านั้น  ปัญหาร้ายแรงที่สุดในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขามีจุดประสงค์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อให้ได้รับพรและการปูนบำเหน็จเท่านั้น แต่พวกเขาใช้ข้อเท็จจริงที่พวกเขาเอาชนะใจผู้คนด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาเป็นเบี้ยในการแลกเปลี่ยนบำเหน็จและพรของการเข้าสู่สวรรค์กับพระเจ้า  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากมิใช่หรือ?  แก่นแท้ของปัญหานี้คืออะไร?  พวกเขากำลังนำข่าวประเสริฐมาวางขาย “ขาย” เพื่อแลกกับพระพร  ในเรื่องนี้ไม่ได้มีธรรมชาติของการพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่หรือ?  นี่คือแก่นแท้ของเจตนา การปฏิบัติ และธรรมชาติของการกระทำของพวกเขา  การนำข่าวประเสริฐมาขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับบำเหน็จดูจะเป็นปัญหาที่พบในหมู่ผู้ที่เรียกว่า “ผู้ประกาศ” ในโลกศาสนา  เช่นนั้นแล้ว ในเวลานี้ผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเหล่านั้นก็มีปัญหาเดียวกันใช่หรือไม่?  (ใช่)  สิ่งใดเป็นปัญหาสำคัญที่คนสองกลุ่มนี้มีร่วมกัน?  นั่นคือพวกเขากำลังขายข่าวประเสริฐเพื่อแลกเปลี่ยนกับความพอพระทัยและการยืนยันจากพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนในการได้รับพระพรและมีบั้นปลายที่งดงาม  เมื่อนำเสนอในลักษณะนี้พวกเจ้าบางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีคนที่ประพฤติตนเช่นนี้อยู่มากมาย

หลังจากเอาชนะใจผู้คนแล้ว ในบรรดาผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นมีหลายคนที่รู้สึกว่าพวกเขาได้ปฏิบัติการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่และสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้  และพวกเขาก็มักจะกล่าวกับผู้ที่ยอมรับข่าวประเสริฐจากพวกเขาว่า “หากฉันไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่คุณ คุณคงจะไม่มีวันสามารถมาเชื่อในพระเจ้าได้เลย  คุณโชคดีพอที่จะได้รับข่าวประเสริฐก็เพราะหัวใจที่เปี่ยมรักของฉัน”  หลังจากคนเหล่านั้นยอมรับข่าวประเสริฐจากพวกเขาแล้ว คนประเภทเดียวกันนี้ก็จะเฝ้าถามคนเหล่านั้นว่า “ใครเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คุณหรือ?”  ผู้คนเหล่านั้นจะไตร่ตรองคำถามนี้และคิดว่า “จริงอยู่ที่คุณเป็นคนประกาศข่าวประเสริฐกับฉัน แต่นั่นคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—ฉันยกความดีความชอบให้คุณไม่ได้หรอก”  และพวกเขาก็จะไม่อยากตอบโต้  เมื่อพวกเขาไม่ตอบ คนถามก็จะเกิดความโกรธและเฝ้าถามพวกเขาต่อไป  เจตนาเบื้องหลังการถามอย่างต่อเนื่องของผู้ถามคืออะไร?  พวกเขาต้องการอ้างสิทธิ์ในความดีความชอบ  ในบรรดาผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นก็ยังมีบางคนที่จะนำข่าวประเสริฐไปสู่ผู้อื่น แต่กลับไม่ยอมส่งคนเหล่านั้นให้กับคริสตจักรเมื่อคนเหล่านั้นยอมรับเงื่อนไขการเข้าสู่คริสตจักร  มีผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนมากมายและไม่ยอมส่งมอบคนเหล่านั้น และมีบางคนที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนราวยี่สิบถึงสามสิบคน—ซึ่งเพียงพอกับการก่อตั้งคริสตจักร—แต่ไม่ส่งคนเหล่านั้นต่อเช่นกัน  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ส่งมอบคนเหล่านี้ให้กับคริสตจักร?  พวกเขากล่าวว่า “คนเหล่านี้ยังไม่มีรากฐานที่มั่นคงมากนัก  รอจนกว่าพวกเขามีรากฐานที่มั่นคง รอจนกว่าพวกเขาหมดสิ้นข้อสงสัย รอจนกว่าพวกเขาไม่ถูกชักพาให้หลงผิดได้โดยง่ายเสียก่อนแล้วฉันจะส่งพวกเขาให้กับคริสตจักร”  หลังจากผ่านไปครึ่งปี คนเหล่านี้ก็จะพอมีรากฐานอยู่บ้างและเป็นไปตามหลักธรรมของการเข้าสู่คริสตจักร แต่ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ก็จะยังคงไม่ยอมส่งตัวคนเหล่านี้  พวกเขาต้องการนำคนเหล่านี้ด้วยตนเอง  เจตนาที่อยู่เบื้องหลังการทำเช่นนี้คืออะไร?  หากไม่ได้รับผลประโยชน์จากการทำเช่นนี้ พวกเขาจะต้องการนำคนเหล่านี้หรือ?  ผลประโยชน์ที่พวกเขาแสวงหาคืออะไร?  พวกเขาแสวงหาที่จะได้รับข้อได้เปรียบและผลประโยชน์ส่วนตนจากผู้คนเหล่านี้  หากพวกเขาต้องส่งมอบคนเหล่านี้ให้กับคริสตจักร พวกเขาย่อมไม่อาจได้รับประโยชน์เหล่านั้น  ดังนั้นเจ้าจึงต้องมีวิจารณญาณแยกแยะสำหรับปัญหานี้  นี่ก็เหมือนกับที่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมากมายในโลกศาสนารู้อยู่เต็มอกว่าหนทางที่แท้จริงคืออะไร แต่กลับไม่ยอมรับ และไม่อนุญาตให้เหล่าผู้เชื่อยอมรับหนทางนั้น  อันที่จริงพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อเกียรติยศและผลประโยชน์ของตัวเอง  หากเหล่าผู้เชื่อยอมรับหนทางที่แท้จริง ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านั้นย่อมจะไม่สามารถหาประโยชน์จากความเชื่อของพวกเขาได้  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้กลัวว่า เมื่อผู้รับข่าวประเสริฐประกาศของพวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักร พวกเขาจะถูกลืม และจะไม่สามารถหาประโยชน์จากความเชื่อของคนเหล่านั้นได้อีกต่อไป  นี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมส่งมอบคนเหล่านี้ให้กับคริสตจักร  แล้วเมื่อไรผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐประเภทนี้จะยอมส่งมอบคนเหล่านี้ให้คริสตจักร?  เมื่อคนเหล่านั้นทุกคนต่างรับฟังและเชื่อฟังพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงจะส่งคนเหล่านี้ให้กับคริสตจักร  หลังจากที่คนเหล่านี้เข้าสู่คริสตจักรแล้ว คนบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี มีความเข้าใจที่บริสุทธิ์ และรักความจริงย่อมจะฟังคำเทศนาอยู่เป็นประจำและมาเข้าใจความจริงบางประการ และด้วยเหตุนี้จึงสามารถแยกแยะผู้คนเหล่านี้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้พวกเขาได้  จากนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า “คนคนนั้นดูเหมือนจะเป็นศัตรูของพระคริสต์เช่นเดียวกับเปาโล”  ครั้งต่อไปเมื่อพวกเขาพบกัน พวกเขาก็จะไม่สนใจผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้น  เมื่อผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ถูกเมิน พวกเขาย่อมจะเกิดความโกรธและกล่าวว่า “คุณช่างไม่รู้คุณคนเอาเสียเลย!  หากฉันไม่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับคุณ คุณจะได้มาเชื่อในพระเจ้าไหม?  คุณจะได้พบหนทางที่แท้จริงไหม?  ตอนนี้พอคุณมีคนอื่นนำคุณแล้ว คุณก็ลืมฉัน ลืมคนที่เปรียบเสมือนแม่ของคุณเลยหรือ?”  พวกเขาต้องการถูกมองว่าเป็นเสมือนมารดา  คนที่พูดจาเช่นนี้มีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  หากใครบางคนสามารถพาตัวเองให้กล่าวเช่นนี้ได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ในยามที่พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนที่พวกเขาเอาชนะใจได้เป็นของผู้ใด?  (พระเจ้า)  ถึงแม้พวกเขาอาจจะทำงานหนักในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนที่พวกเขาเอาชนะใจก็ไม่ได้เป็นของพวกเขา แต่เป็นของพระเจ้า  ผู้ที่ยอมรับข่าวประเสริฐเหล่านั้นย่อมต้องการติดตามพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อในบรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา แต่ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐประเภทนี้ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าร่วมกับคริสตจักรและติดตามพระเจ้า  ในทางกลับกัน พวกเขาต้องการเก็บคนเหล่านี้ไว้ในกำมือและในความควบคุมของพวกเขา และทำให้คนเหล่านี้ติดตามพวกเขาแทน  นี่คือการดักปล้นของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมิใช่หรือ?  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐประเภทนี้ขัดขวางผู้คนจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้คนเหล่านั้นต้องผ่านพวกเขาเพื่อมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสื่อสารผ่านพวกเขา  พวกเขากำลังพยายามหาประโยชน์จากความเชื่อของคนเหล่านี้มิใช่หรือ?  พวกเขาต้องการควบคุมคนเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นพฤติกรรมประเภทใด?  นี่คือพฤติกรรมของซาตานโดยแท้จริง!  นี่หมายความว่าศัตรูของพระคริสต์ได้แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาออกมา และพวกเขาต้องการควบคุมคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ผู้คนประเภทนี้สามารถพบได้ในคริสตจักรทุกแห่ง  ในกรณีร้ายแรง พวกเขาอาจจะควบคุมคนหลายสิบหรือกระทั่งหลายร้อยคน  ในกรณีที่เบาลงมา เมื่อพวกเขาประกาศข่าวประเสริฐแก่คนไม่กี่คน พวกเขาก็จะเรียกร้องความสำนึกในบุญคุณจากคนเหล่านี้อยู่ร่ำไป ทวงบุญคุณจากคนเหล่านี้ทุกครั้งที่พบหน้า และมักกล่าวถึงสิ่งทั้งหลายในช่วงเวลาที่คนเหล่านี้มาเชื่อในครั้งแรกตลอดเวลา  เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวถึงสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ?  ก็เพื่อให้คนเหล่านั้นไม่ลืมความเมตตาของพวกเขา ไม่ลืมว่าใครเป็นคนประกาศข่าวประเสริฐจนทำให้พวกเขาได้มาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า และใครควรได้รับความดีความชอบนั้น  พวกเขาเก็บงำจุดมุ่งหมายนี้ไว้ด้วยการยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมา และหากจุดมุ่งหมายนี้ไม่สัมฤทธิ์ พวกเขาก็ด่าว่าผู้คนเหล่านั้น  สิ่งแรกที่พวกเขาด่าว่าคนเหล่านั้นคืออะไร?  (คือคนเหล่านั้นไม่รู้คุณ)  คำพูดเหล่านี้ของพวกเขามีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีเหตุผล?  (เพราะผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ไม่ได้ยืนอยู่ในที่ที่ชอบธรรม  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเขาพึงทำ  แต่หลังจากนำข่าวประเสริฐไปสู่ผู้คน พวกเขากลับมองว่านี่คือคุณูปการที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา)  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่า พวกเขาได้สร้างคุณูปการด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ในแง่หนึ่ง พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ในที่ที่ถูกต้องของตน  พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ช่วยผู้คนให้รอด และผู้คนทำได้เพียงให้ความร่วมมือในเรื่องนี้เท่านั้น  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจ ผู้คนจะสามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้บ้าง?  ในอีกแง่หนึ่ง การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่นไม่ใช่คุณูปการของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ นี่คือหน้าที่ของพวกเขา  ผู้ที่ประสงค์จะรับผู้คนเอาไว้คือพระเจ้า ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเพียงร่วมมือกับพระองค์เล็กน้อยเท่านั้น  การช่วยผู้คนให้รอดและรับพวกเขาเอาไว้เป็นกิจธุระของพระเจ้า และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเลย  พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาเพียงแค่ปฏิบัติงานของการถ่ายทอดข่าวประเสริฐ พวกเขาเพียงแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับผู้อื่นเท่านั้น  การนี้ไม่อาจเรียกว่าเป็นความเมตตาที่พวกเขามอบให้กับผู้คน ดังนั้นหากคนเหล่านี้ไม่สนใจพวกเขา คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนอกตัญญู  สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในขณะที่ผู้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐมิใช่หรือ?  ความเสื่อมทรามประเภทนี้ได้ถูกเผยให้เห็นในตัวพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  (ถูกเผยแล้ว)  นั่นเป็นการเผยที่ร้ายแรงหรือไม่?  พวกเจ้าเคยหนักข้อจนถึงขั้นด่าว่าผู้อื่นหรือไม่?  พวกเจ้าเคยหนักข้อจนถึงขั้นเกลียดผู้อื่นหรือไม่?  พวกเจ้าเคยหนักข้อจนถึงขั้นอยากสาปแช่งและควบคุมผู้คนหรือไม่?  เจ้าปรารถนาที่จะครอบงำและควบคุมผู้ใดก็ตามที่รับข่าวประเสริฐจากเจ้า  เจ้าต้องการเก็บคนเหล่านั้นเอาไว้เองมากกว่าที่จะส่งมอบคนเหล่านั้นให้พระเจ้า  เจ้าคาดหวังให้ผู้ใดก็ตามที่รับข่าวประเสริฐจากเจ้าเป็นดอกผลที่จงรักภักดีต่อเจ้า  พวกเจ้ามีความคิดเช่นนั้นใช่หรือไม่?  ผู้คนมากมายปฏิบัติต่อการประกาศข่าวประเสริฐราวกับการผลิดอกออกผล  พวกเขาคิดว่าผู้ใดก็ตามที่รับข่าวประเสริฐจากพวกเขาย่อมกลายเป็นดอกผลและผู้ติดตามของพวกเขา และต้องติดตามพวกเขาอย่างเชื่อฟังและปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับเป็นพระเจ้าและเป็นเจ้านายของตน  เจ้าคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่?  ต่อให้เจ้าไม่ถึงขั้นสุดโต่งอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น เจ้าก็ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในแง่มุมนี้อยู่  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  โดยพื้นฐานแล้วเรื่องนี้สรุปได้เป็นสองประเด็น ในแง่หนึ่งคือ ผู้คนไม่ได้ยืนอยู่ในที่ที่ถูกควรของตนเอง และไม่รู้ว่าตนเองคือใคร  ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาไม่มองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือหน้าที่ของตน  หากเจ้าปฏิบัติต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐว่าเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็จะเข้าใจว่าไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด ไม่ว่าเจ้าประกาศแก่ผู้คนมากมายเพียงใดหรือเอาชนะใจผู้คนมามากมายแค่ไหน นี่ก็เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าพึงทำให้ลุล่วง และนี่ไม่ใช่คุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กล่าวถึง  การเข้าใจเรื่องนี้ในหนทางนี้สอดคล้องกับความจริง  แต่เหตุใดบางคนที่ประกาศข่าวประเสริฐจึงสามารถควบคุมผู้ที่รับข่าวประเสริฐจากพวกเขาและเก็บคนเหล่านั้นไว้เสียเอง?  นั่นเป็นเพราะพวกเขามีธรรมชาติที่คิดว่าตนเองถูกและโอหังจนเกินไป ทั้งยังไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย  นอกจากนี้ยังเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและยังไม่ได้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนในแง่มุมนี้  นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถทำสิ่งโง่เง่า โอหัง และป่าเถื่อนดังกล่าวอันเป็นสิ่งที่ผู้คนรังเกียจและพระเจ้าทรงเกลียดชังได้

ในยามที่ผู้คนทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อพวกเขามีต้นทุนเล็กน้อยหรือสร้างคุณูปการสักอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ต้องการโอ้อวด ต้องการควบคุมผู้คน ต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้ทำลงไปกับบำเหน็จหรือรักษาบั้นปลายที่ดีเอาไว้  บางคนอาจไปถึงขั้นที่พยายามใช้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเพื่อกระทำการแลกเปลี่ยน  พวกเขาต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งใด?  นี่คือตัวอย่างหนึ่ง  เมื่อคนประเภทนี้มาถึงบ้านของผู้มีผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐและเห็นว่าครอบครัวของคนคนนี้ยากจน พวกเขาย่อมคิดว่าตนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนคนนี้  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงหมดความสนใจ หรือถึงกับเลือกปฏิบัติต่อคนคนนี้  เมื่อไรก็ตามที่เจอคนคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจและกล่าวกับผู้นำของตนว่า “คนคนนี้จะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้  และถึงแม้พวกเขาจะเชื่อ พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับความจริง”  นี่คือข้อแก้ตัวที่พวกเขาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแผ่เขาประเสริฐให้กับคนเหล่านั้น  ผ่านไปไม่นานก็มีคนอื่นไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนคนนี้ และคนคนนี้ก็ยอมรับข่าวประเสริฐ  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐคนแรกจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขากล่าวได้อย่างไรว่าคนคนนี้จะไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขาทำตัวตามอำเภอใจถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถรู้ได้อย่างไรว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ หากพวกเขาไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนคนนั้น?  พวกเขาไม่สามารถรู้ได้  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เอาชนะใจคนคนนี้?  นั่นก็เพราะพวกเขามีอคติต่อคนคนนี้ พวกเขาดูถูกคนคนนี้ และไม่แสดงหัวใจที่เปี่ยมรักต่อบุคคลนี้ พวกเขาจึงไม่อาจเอาชนะใจคนคนนี้ได้  การที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนั้นทำให้เห็นว่าพวกเขาทำตัวละเลย  พวกเขาไม่แสดงให้เห็นหัวใจที่เปี่ยมรักและไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของตน  ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่เป็นความดีความชอบหรือเป็นความผิดพลาดกันเล่า?  (ความผิดพลาด)  แน่นอนว่านี่คือการกระทำผิด  เหตุใดจึงเกิดการกระทำผิดเช่นนี้ขึ้น?  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถหาประโยชน์จากผู้รับข่าวประเสริฐคนนั้นได้มิใช่หรือ?  เมื่อพวกเขาเห็นว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนคนนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง พวกเขาก็รู้สึกรังเกียจและตอบโต้ โดยไม่ต้องการให้คนคนนั้นได้รับความรอด แล้วจากนั้นก็หาเหตุผลและข้อแก้ตัวทุกรูปแบบเพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนคนนั้น  นี่คือการละเลยหน้าที่อย่างร้ายแรงและเป็นการกระทำผิดมหันต์!  การไม่ยอมเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ใครบางคนเมื่อไม่ได้รับประโยชน์จากการนั้น—นี่เป็นท่าทีแบบใด?  นี่คือการสำแดงตามแบบฉบับของคนที่ขายข่าวประเสริฐมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขากำลังขายข่าวประเสริฐในหนทางใด?  จงอธิบายรายละเอียดและกระบวนการนั้นทีเถิด  (ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐคนนั้นตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ใครบางคนโดยอ้างอิงจากการที่พวกเขาได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้หรือไม่  นี่เทียบเท่ากับการปฏิบัติต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นสินค้า และทำการขายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่คนคนหนึ่งปรารถนา  เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ พวกเขาจึงไม่ยอมเผยแผ่ข่าวประเสริฐ)  พวกเขาถือเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นสินทรัพย์ส่วนตน  หากพวกเขาพบใครบางคนที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจ แต่งตัวดีและกินดีอยู่ดี พวกเขาย่อมคิดในใจว่า “หากฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขา ฉันก็สามารถอยู่ในบ้านของพวกเขาได้ ฉันจะสามารถมีอาหารดีๆ กินและมีเสื้อผ้าดีๆ ให้สวมใส่อีกด้วย” แล้วจากนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจประกาศข่าวประเสริฐแก่คนคนนั้น  นี่คือพฤติกรรมประเภทใด?  นี่คือตัวอย่างทั่วไปของคนที่ขายข่าวประเสริฐ  ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐคนนี้ปฏิบัติต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าและเรื่องราวน่ายินดีเกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าราวกับเป็นสินค้าและสินทรัพย์ส่วนตัวของตนเอง หลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นทุกที่เพื่อรักษาผลประโยชน์และสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อตนเอง  นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราหรือ?  การนี้เรียกว่าการทำธุรกิจและทำกำไรจากการเร่ขายข่าวประเสริฐ  การเร่ขายหมายถึงการขายสิ่งต่างๆ ที่คนเรามีด้วยวิธีการแลกเปลี่ยน และได้รับเงินหรือสิ่งของทางวัตถุต่างๆ ที่คนเราต้องการเป็นการแลกเปลี่ยน  แล้วพวกเขาเร่ขายข่าวประเสริฐอย่างไร?  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐหรือไม่  นี่หมายความว่า “หากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับคุณเป็นประโยชน์ต่อฉัน ฉันก็จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คุณ  หากไม่เป็นประโยชน์กับฉัน ฉันก็จะหาข้อแก้ตัวเพื่อไม่ต้องประกาศข่าวประเสริฐให้กับคุณ  นี่จะเป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”  เหตุใดข้อตกลงนี้จึงไม่สำเร็จ?  ข้อตกลงนี้ไม่สำเร็จเพราะผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้ประโยชน์จากการนี้  พวกเราเรียกคนประเภทนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขาถูกเรียกว่า “นักต้มตุ๋นเร่ร่อน”  พวกเขาไม่มีสิ่งที่เป็นจริงมาเสนอ แต่กลับเที่ยวหลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้อื่นไปทุกที่ โดยอาศัยคำพูดของตนเพื่อหาเงินและได้มาซึ่งผลประโยชน์  ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐในหนทางนี้ พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่หรือ?  พวกเขากำลังทำชั่วโดยแท้จริง  การกระทำของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะพวกเขาไม่มองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของตน อีกทั้งไม่เห็นว่าสิ่งนี้คือความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันของพวกเขา หรือเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขา  ในทางกลับกัน พวกเขามองว่านี่คือการงาน เป็นอาชีพที่ทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ เพื่อสนองผลประโยชน์ของตนเอง และเพื่อให้ได้ตามความต้องการของตนเอง  มีบางคนที่ถึงกับไม่อยากจากไปเมื่อพวกเขาไปประกาศข่าวประเสริฐในย่านคนรวย  เพราะพวกเขาได้กินดี ใส่เสื้อผ้าดีๆ และได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ดีที่นั่น  พวกเขาเริ่มร้องไห้ต่อหน้าผู้รับข่าวประเสริฐว่าพวกเขายากจนเพียงไร พร้อมกล่าวว่า “ดูสิว่าที่นี่มีพระคุณและพรของพระเจ้ารายล้อมพวกคุณมากขนาดไหน  ทุกครอบครัวมีรถของตัวเองขับ ใช้ชีวิตในคฤหาสน์หลังเล็กๆ ของตัวเอง แถมยังแต่งตัวสวยงาม  พวกคุณถึงกับกินเนื้อสัตว์กันทุกวัน  นั่นเป็นไปไม่ได้เลยในที่ที่เราจากมา”  หลังจากได้ยินดังนี้ ผู้รับข่าวประเสริฐก็กล่าวว่า “ในเมื่อที่ที่พวกคุณอยู่ยากจนข้นแค้นเหลือเกิน พวกคุณก็มาและพักอยู่ที่นี่กับพวกเราบ่อยๆ เถิด” จากนั้นพวกเขาก็มอบอะไรบางอย่างให้กับผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่คือการร้องขอและการรีดไถเงินและสิ่งของทางวัตถุจากผู้คนในรูปแบบของการอำพราง  การรีดไถของพวกเขามีพื้นฐานมาจากสิ่งใด?  “พวกเราได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกคุณและไม่ได้อะไรเป็นการตอบแทนเลย  พวกเราได้ลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าแล้ว  พวกคุณได้รับพรที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นแล้วก็ควรตอบแทนความรักของพระเจ้าและทำทานกับพวกเราสักหน่อย  นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราสมควรได้รับไม่ใช่หรือ?”  ในหนทางนี้ พวกเขาใช้วิธีการนานาประการเพื่อแอบรีดไถเงินและสิ่งของทางวัตถุจากผู้คนทั้งทางตรงและทางอ้อม  พวกเขาใช้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน  การสำแดงประการแรกของการนี้คือการขายข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีธรรมชาติร้ายแรงที่สุด  การสำแดงประการที่สองคือการแอบรีดไถ  ด้วยเหตุนั้น ในหมู่ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐจึงมีบางคนที่กระเป๋าเงินเริ่มอ้วนพีโดยไม่มีใครรู้ในระหว่างที่พวกเขากำลังประกาศข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็กลายเป็นคนร่ำรวย  บางคนกล่าวว่า “เป็นคนรวยไม่ดีหรือไร?  นี่คือพรของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?”  นั่นช่างไร้สาระ!  เจ้าอาศัยเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายของตนเองในการรีดไถและฉ้อโกงสิ่งต่างๆ จากผู้คน แล้วเจ้าก็อ้างว่านี่คือพรของพระเจ้า  คำพูดเช่นนั้นมีธรรมชาติเช่นไร?  คำพูดเหล่านั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า  นี่ไม่ใช่พรของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงอำนวยพรผู้คนในหนทางนี้  แล้วเหตุใดใครบางคนจึงเกิดแนวคิดเช่นนี้ขึ้นมา?  นี่เป็นผลลัพธ์ของความโลภและความทะเยอทะยานของพวกเขา เป็นธรรมชาติเยี่ยงซาตาน

บรรดาผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นล้วนทนทุกข์อย่างแสนสาหัส  บางครั้งพวกเขาก็ถูกข่มเหงและถูกรุมทำร้ายจากผู้คนในศาสนา หรือแม้กระทั่งถูกส่งตัวไปยังระบอบการปกครองของซาตาน  หากพวกเขาประมาทเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่รักความจริงย่อมสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่ผู้ไม่รักความจริงจะพร่ำบ่นเรื่องความทุกข์ที่เล็กน้อยที่สุดอยู่บ่อยครั้ง  ผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนเคยกล่าวว่า “ฉันประกาศข่าวประเสริฐให้คนคนหนึ่ง และหลังจากคุยกันอยู่นาน เขาก็ไม่เอาน้ำให้ฉันดื่มแม้สักแก้ว  ฉันไม่อยากประกาศกับเขาเลย”  การที่ใครบางคนไม่ให้น้ำพวกเขาดื่มคือปัญหาเช่นนั้นหรือ?  ในคำพูดของผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้มีอุปนิสัยประเภทหนึ่งซ่อนอยู่  ความหมายโดยนัยก็คือ การเผยแผ่ข่าวประเสริฐจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีและนำมาซึ่งผลประโยชน์เท่านั้น  หากสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความทุกข์หรือหากพวกเขาไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่แก้วเดียว เช่นนั้นแล้วการนี้ย่อมไม่คุ้มค่า  ภายในการนี้มีเจตนาที่จะร้องขอบางสิ่งบางอย่างและทำข้อตกลงอยู่  หากหนทางที่คนคนหนึ่งเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีธรรมชาติของการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ พวกเขากำลังสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  หากพวกเขาไม่สามารถทนความทุกข์แม้เพียงเล็กน้อยในขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสิ่งเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นคิดลบได้ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอเช่นนั้นหรือ?  พวกเขาจะกล่าวด้วยว่า “ไม่ใช่แค่ฉันไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้ว แต่พวกเขาไม่หาอาหารกลางวันให้ฉันกินเลยด้วย”  หากใครบางคนไม่ให้ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้อยู่และกินข้าวกับพวกเขานั่นเป็นปัญหาอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐมานานหลายปีและใส่ใจเสมอกับวิธีการที่ผู้คนรับรองพวกเขา สิ่งที่คนเหล่านั้นให้พวกเขากินและดื่ม รวมถึงของขวัญที่พวกเขาได้รับ—เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงหรือ?  นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของพวกเขา  ในหัวใจพวกเขามีความรักสักเล็กน้อยให้ผู้คนหรือไม่?  และเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่เข้าใจประเภทของความทุกข์ที่ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐพึงสู้ทนรวมถึงวิธีที่พวกเขาพึงปฏิบัติความจริง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่นำสิ่งนี้ไปปฏิบัติเลย?  จะเป็นปัญหาหรือไม่หากผู้คนที่เจ้าประกาศข่าวประเสริฐด้วยไม่หาน้ำให้เจ้าดื่มหรือไม่หาอาหารให้เจ้ากิน?  เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนเป็นการทำภาระผูกพันของพวกเราให้ลุล่วง นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา  ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม  ผู้คนที่เจ้าประกาศข่าวประเสริฐไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูเจ้า รับใช้เจ้า หรือยิ้มให้เจ้า  พวกเขาไม่ต้องรับฟังทุกสิ่งที่เจ้าพูดและเชื่อฟังเจ้า  พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้ภาระผูกพันเช่นนั้น  หากเจ้าสามารถคิดเช่นนี้ได้ นั่นย่อมเป็นไปตามความจริงและสมเหตุสมผล  จากนั้นเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง  แล้วควรปฏิบัติต่อใครบางคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างไร?  ตราบเท่าที่พวกเขาสอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเราก็มีภาระผูกพันในการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา และต่อให้ท่าทีในปัจจุบันของพวกเขาย่ำแย่และไม่เป็นที่ยอมรับ พวกเราก็ต้องใช้ความอดทน  พวกเราต้องอดทนนานเพียงใดและมากแค่ไหนกัน?  จนกว่าพวกเขาปฏิเสธเจ้าและไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปในบ้านของพวกเขา การสนทนา รวมทั้งการโทรหา หรือการให้ผู้อื่นไปเชิญชวนพวกเขาล้วนไม่เป็นผล และพวกเขาไม่ยอมรับเจ้า  ในกรณีนี้ย่อมไม่มีหนทางที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขา  นั่นคือเวลาที่เจ้าจะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  นั่นคือความหมายของการปฏิบัติหน้าที่ของตน  อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย เจ้าก็ควรคิดหาทุกๆ หนทางที่สามารถทำได้ และทำอย่างสุดความสามารถในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระราชกิจของพระองค์แก่พวกเขา  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าได้ติดต่อกับใครบางคนมานานสองหรือสามปี  เจ้าได้พยายามเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่พวกเขาอยู่หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะยอมรับ  ทว่าพวกเขามีความเข้าใจที่ค่อนข้างดี และพวกเขามีโอกาสที่จะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐโดยแท้จริง  เจ้าควรทำอย่างไร?  ประการแรกเจ้าต้องไม่เลิกคาดหวังในตัวพวกเขาเด็ดขาด ในทางกลับกันเจ้าควรรักษาการปฏิสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพวกเขา รวมถึงเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังต่อไป  จงอย่าละทิ้งพวกเขา จงอดทนไปจนถึงปลายทาง  สักวันหนึ่งพวกเขาจะตื่นขึ้นมาและรู้สึกว่าถึงเวลาสืบค้นหนทางที่แท้จริงแล้ว  นั่นคือเหตุผลที่การใช้ความอดทนและเพียรพยายามไปจนถึงปลายทางนั้นเป็นแง่มุมที่สำคัญมากของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?  เพราะนี่คือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ตั้งแต่ที่เจ้าติดต่อกับพวกเขา เจ้าก็มีภาระผูกพันและความรับผิดชอบในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกเขา  ระหว่างที่พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกจนกระทั่งพวกเขาเปลี่ยนใจนั้นมีกระบวนการมากมาย และการนี้ต้องใช้เวลา  ในช่วงเวลานี้เจ้าต้องอดทนและรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาเปลี่ยนใจ และเจ้าพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กลับมายังพระนิเวศของพระองค์  นี่คือภาระผูกพันของเจ้า  ภาระผูกพันคืออะไร?  ภาระผูกพันคือความรับผิดชอบที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราพึงกระทำด้วยเกียรติ  นี่ก็เหมือนกับวิธีที่แม่ดูแลลูกของตน  ไม่ว่าลูกจะเกเรหรือไม่เชื่อฟังอย่างไร หรือหากพวกเขาเจ็บป่วยและไม่กินอาหาร ภาระผูกพันของผู้เป็นแม่คืออะไร?  คือการรู้ว่านี่คือลูกของตน ประคบประหงมพวกเขา รักพวกเขา และดูแลพวกเขาด้วยความใส่ใจ  ไม่ว่าลูกยอมรับว่าเธอเป็นแม่ของพวกเขาหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อแม่อย่างไรก็ไม่สำคัญ—แม่ย่อมอยู่เคียงข้างลูกของตนเช่นเดิม คอยปกป้องพวกเขา โดยไม่เคยจากไปแม้ชั่วอึดใจ รอให้พวกเขาเชื่อว่าเธอคือแม่ของพวกเขา และรอให้พวกเขาหวนคืนสู่อ้อมกอดของเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  เธอเฝ้าดูแลและเอาใจใส่พวกเขาในหนทางนี้อย่างไม่ว่างเว้น  นี่คือความหมายของความรับผิดชอบ นี่คือความหมายของภาระผูกพันด้วยเกียรติ  หากผู้ที่มีส่วนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นปฏิบัติในหนทางนี้ เก็บงำหัวใจอันเปี่ยมรักเช่นนี้ไว้ให้ผู้คน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะค้ำจุนหลักธรรมในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้โดยสมบูรณ์  หากพวกเขามัวหาข้ออ้างและพูดถึงภาวะของตนอยู่เสมอ พวกเขาจะไม่สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนช่างเลือกเสมอกับการที่ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐมีคำถามและมีความลำบากยากเย็นมากเกินไป รวมถึงมีขีดความสามารถต่ำ ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อเอาชนะใจคนเหล่านั้น  แต่หากพ่อแม่และญาติพี่น้องของตนเองมีความลำบากยากเย็นมากมายและมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาก็ยังคงสามารถปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมรักได้  นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมมิใช่หรือ?  คนเหล่านี้มีหัวใจที่เปี่ยมรักหรือไม่?  พวกเขาคือคนที่แสดงให้เห็นความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ในยามที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็เฝ้าหาเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ ที่สามารถหาได้จากภาวะที่เป็นจริงทั้งหลายเพื่อจะไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้คนอยู่เสมอ หรือไม่ว่าพวกเขาพบใคร พวกเขาก็ไม่เคยพอใจในคนเหล่านั้นและคิดว่าคนเหล่านั้นด้อยกว่าตนเอง และพวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าไม่มีใครให้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยเลย—ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาลงเอยด้วยการไม่ได้นำข่าวประเสริฐไปสู่ใครเลยสักคนเดียว  มีหลักธรรมอยู่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้หรือไม่?  บางคนที่เป็นเช่นนี้ไม่ได้นึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือข้อกำหนดของพระเจ้าเลย  ผู้ใดที่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความจริง และผู้ใดที่สามารถยอมรับความจริงได้ย่อมเป็นผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ เว้นเสียแต่พวกเขาเป็นคนชั่วอย่างเห็นได้ชัด หรือเป็นประเภทที่ไร้สาระ  หากผู้คนแสดงออกซึ่งการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและปฏิบัติต่อผู้คนด้วยหลักธรรม  ไม่ว่าผู้ที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงมีปัญหาใด หรือพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมามากเพียงไร ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถรับรู้และยอมรับความจริงได้ เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังและเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  นี่คือหลักธรรมที่ต้องทำตามในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ

เราได้ยินมาว่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคน ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลย  ขณะที่จัดการกับมโนคติอันหลงผิดและคำถามของผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอยู่นั้น ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ได้ร่วมสามัคคีธรรมกันหลายครั้ง  แต่เมื่อผู้คนเหล่านั้นยังคงไม่เข้าใจและพร่ำถามคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและเริ่มสั่งสอนพวกเขา  “พวกคุณถามคำถามมากเกินไป  ไม่ว่าฉันสามัคคีธรรมกับพวกคุณมากแค่ไหนพวกคุณก็ไม่เข้าใจความจริง  ขีดความสามารถของพวกคุณต่ำเกินไป พวกคุณไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ และพวกคุณก็ไม่สามารถได้รับความจริงและชีวิตได้  พวกคุณล้วนเป็นคนลงแรงกันทั้งนั้น”  คนบางคนไม่สามารถทนฟังคำพูดเหล่านั้นได้และเกิดคิดลบอยู่ระยะหนึ่ง  ผู้คนแต่ละคนแตกต่างกันออกไป  บางคนเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงเมื่อพวกเขาสืบค้นหนทางที่แท้จริง  ต่อให้พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและมีปัญหาอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ย่อมได้รับการแก้ไขขณะที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้บริสุทธิ์มากเสียจนสามารถยอมรับความจริงได้อย่างง่ายดาย  พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง แสวงหา และสืบค้น แล้วจากนั้นเมื่อมีใครบางคนสามัคคีธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็เต็มใจยอมรับหนทางที่แท้จริงและเข้าร่วมคริสตจักร  แต่คนอื่นๆ กลับมีคำถามมากมาย  พวกเขาต้องสืบค้นจนกว่าจะพบความกระจ่างแจ้งในทุกแง่มุม  หากมีเพียงประเด็นเดียวที่พวกเขายังไม่ได้สืบค้นจนชัดเจน พวกเขาก็จะไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริง  ผู้คนเหล่านี้ระมัดระวังและรอบคอบกับทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  ในหัวใจของบรรดาผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนไม่มีความรักให้คนเช่นนี้เลย  ท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร?  “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้!  คุณจะไม่ใช่ความเสียหายใหญ่โตสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า และคุณก็จะไม่ใช่ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ด้วย  หากคุณไม่เชื่อก็จงไปเสีย!  ทำไมถึงมีคำถามมากมายนัก?  คำถามพวกนี้มีคำตอบให้คุณทั้งหมดแล้ว”  อันที่จริง ผู้เผยข่าวประเสริฐเหล่านี้ยังไม่ได้ตอบคำถามที่เหล่าผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐหยิบยกขึ้นมาอย่างชัดเจน พวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงให้กระจ่าง  พวกเขาไม่ได้กำจัดข้อสงสัยทั้งหลายในใจในหัวใจของผู้คนเหล่านี้โดยสมบูรณ์ แต่พวกเขากลับต้องการให้ผู้คนเหล่านี้ละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตนและยอมรับข่าวประเสริฐให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  นี่คือสิ่งที่สามารถบังคับให้ผู้คนทำได้แม้พวกเขาไม่เต็มใจอย่างนั้นหรือ?  หากใครบางคนพูดโดยสัตย์จริงว่าพวกเขาไม่เข้าใจ เช่นนั้นเจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาให้พวกเขาฟังสักสองสามบทตอน แล้วจากนั้นจึงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจ  ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐบางคนชอบที่จะรู้ถึงต้นตอของสิ่งทั้งหลาย  ผู้คนเช่นนี้ต้องการหาคำตอบทุกสิ่งทุกอย่าง  พวกเขาไม่ได้กำลังสร้างปัญหาให้กับเจ้า ไม่ได้กำลังจุกจิกหรือจับผิด พวกเขาเพียงเอาจริงเอาจังกับสิ่งทั้งหลายเท่านั้น  เมื่อผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนเผชิญหน้ากับคนจริงจังเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ และรู้สึกว่าคนประเภทนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนโง่  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่อยากสามัคคีธรรมกับคนเหล่านั้น โดยกล่าวว่า “ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยเจอหนามยอกอกแบบนี้มาก่อนเลย!”  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้เรียกคนเหล่านั้นว่าหนามยอกอก  อันที่จริงผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้เข้าใจความจริงในทุกแง่มุมเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาพูดถึงคำสอนอันยิ่งใหญ่และคำพูดที่ว่างเปล่าบางประการ และพยายามทำให้ผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความจริง  นี่เป็นการสร้างความลำบากแก่ผู้อื่นมิใช่หรือ?  หากผู้อื่นไม่เข้าใจและถามคำถามโดยละเอียด พวกเขาก็จะไม่มีความสุขและกล่าวว่า “ฉันอธิบายเรื่องพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าให้คุณฟังไปแล้ว และฉันได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วด้วย  หากฉันพูดไปตั้งมากมายแล้วคุณยังสามารถไม่เข้าใจได้ คุณก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเองเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคุณ  พระวจนะของพระเจ้าวางอยู่ตรงนั้น  หากคุณอ่านแล้วเข้าใจก็เชื่อ  หากไม่สามารถเข้าใจได้ก็ไม่ต้องเชื่อ!”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐย่อมคิดว่า “หากฉันถามต่อไป ฉันก็อาจจะพลาดโอกาสที่จะได้รับความรอดและไม่สามารถได้รับพร  ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ถามคำถามอีกแล้ว ฉันจะรีบคล้อยตามเขาและเชื่อซะ!”  หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็คอยเข้าร่วมการชุมนุมและตั้งใจฟังคำเทศนา แล้วพวกเขาก็มาเข้าใจความจริงบางอย่างทีละน้อยและค่อยๆ แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน  ไม่ว่าตอนนี้ความเชื่อของพวกเขาเป็นอย่างไร การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้เหมาะสมแล้วหรือ?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาแล้ว?  (ไม่สามารถกล่าวได้)  ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าเสียก่อน  เจ้าต้องทำตามมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าเวลาทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถและทุกสิ่งที่เจ้าควรทำ  ไม่ว่าบุคคลที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอาจมีมโนคติอันหลงผิดอันใด หรือไม่ว่าพวกเขาจะหยิบยกคำถามอันใดขึ้นมา เจ้าก็ต้องจัดเตรียมทางแก้ไว้ให้อย่างเปี่ยมรัก  หากเจ้าไม่สามารถจัดเตรียมทางแก้ได้จริงๆ เจ้าก็สามารถหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันมาสักสองสามบทตอนเพื่ออ่านให้พวกเขาฟัง หรือหาวิดีทัศน์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของคำพยานจากประสบการณ์ หรือภาพยนตร์คำพยานข่าวประเสริฐที่เกี่ยวข้องกันมาเปิดให้พวกเขาดู  เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการทำเช่นนี้จะมีประสิทธิผล อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของตน และจะไม่รู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้ากล่าวหา  แต่หากเจ้าสุกเอาเผากินและสักแต่ทำพอเอาหน้ารอด เจ้าก็หมิ่นเหม่ที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายเกิดความล่าช้า และย่อมไม่ง่ายที่จะเอาชนะใจบุคคลนั้น  ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่น คนเราต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตน  คนเราควรเข้าใจคำว่า “ความรับผิดชอบ” อย่างไร?  แท้จริงแล้วควรนำความรับผิดชอบไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้อย่างไร?  เอาละ เจ้าควรเข้าใจว่าเมื่อได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีประสบการณ์กับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็มีภาระผูกพันที่จะเป็นพยานถึงพระราชกิจของพระองค์ให้แก่ผู้ที่กระหายการทรงปรากฏของพระองค์  ดังนั้นเจ้าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาอย่างไร?  ไม่ว่าจะทางออนไลน์หรือในชีวิตจริงก็ตาม เจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางใดก็ตามที่จะเอาชนะใจผู้คนได้และมีประสิทธิผล  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าทำเมื่อเจ้ารู้สึกอยากทำ ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าทำเมื่อเจ้าอารมณ์ดีและไม่ทำเมื่อเจ้าอารมณ์ไม่ดี  และนั่นก็ไม่ใช่บางสิ่งที่จะทำตามความชอบใจของเจ้า โดยเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครพึงได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า ไม่ใช่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนที่เจ้าชอบและไม่เผยแผ่แก่คนที่เจ้าไม่ชอบ  ข่าวประเสริฐควรเผยแผ่ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระองค์  เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถเพื่อเป็นพยานยืนยันถึงความจริงที่เจ้าเข้าใจ ถึงพระวจนะของพระเจ้า และถึงพระราชกิจของพระเจ้าแก่ผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง  นั่นคือวิธีที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ผู้คนควรทำสิ่งใดขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  พวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบของตน ทำทุกอย่างที่ทำได้ และเต็มใจที่จะยอมลำบากทุกประการ  เป็นไปได้ว่าเจ้าประกาศข่าวประเสริฐมาแล้วไม่นาน ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ พูดจาไม่คล่องแคล่วมากนัก และมีการศึกษาไม่สูงนัก  อันที่จริง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด  สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เจ้าเลือกบทตอนที่เหมาะสมจากพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงสามัคคีธรรมความจริงได้ตรงประเด็นและสามารถแก้ไขปัญหาได้  เจ้าต้องมีท่าทีที่จริงใจและทำให้เจ้าเข้าถึงจิตใจของผู้คน เพื่อที่ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร ผู้มีโอกาสเป็นผู้รับข่าวประเสริฐก็จะเต็มใจฟังเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าพูดถึงประสบการณ์จริงของเจ้าและพูดจากหัวใจ  หากเจ้าสามารถทำให้ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐชื่นชอบเจ้าจนพวกเขาเต็มใจที่จะคบหากับเจ้า เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมกับเจ้า และเต็มใจที่จะฟังคำพยานของเจ้า เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นความสำเร็จ  จากนั้นพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะคนที่พวกเขาไว้วางใจ และเต็มใจจะฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด พวกเขาจะพบว่าความจริงทุกแง่มุมที่เจ้าเลือกมาสามัคคีธรรมนั้นดีงามและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก อีกทั้งสามารถยอมรับได้ทั้งหมด  ในหนทางนี้เจ้าย่อมสามารถเอาชนะใจพวกเขาได้อย่างง่ายดาย  หากจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าต้องมีปัญญาเช่นนี้  หากเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนด้วยหัวใจที่เปี่ยมรักและไม่สามารถเป็นคนที่ผู้อื่นไว้วางใจได้ เจ้าจะพบว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเอาชนะใจผู้คนต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกิน  เหตุใดบรรดาผู้ที่พูดจาเรียบง่ายและเปิดเผย ผู้ที่ตรงไปตรงมาและมีน้ำใจจึงมีประสิทธิผลในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนัก?  นี่เป็นเพราะทุกคนชอบผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้ รวมทั้งพวกเขาเต็มใจที่จะปฏิสัมพันธ์และสร้างมิตรภาพกับคนเหล่านี้  หากผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้เข้าใจความจริงและสามัคคีธรรมความจริงด้วยท่าทางที่ชัดเจนและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเป็นพิเศษ หากพวกเขาสามารถอดทนสามัคคีธรรมความจริงกับผู้อื่น แก้ไขปัญหา ความลำบากยากเย็น และความสับสนนานาประการที่ผู้คนมี ทำให้หัวใจของคนเหล่านั้นเกิดความสว่าง และนำความชูใจอันใหญ่หลวงมาสู่พวกเขา ในหัวใจของผู้คนย่อมจะชื่นชอบและไว้ใจพวกเขา ถือว่าพวกเขาเป็นคนที่ไว้วางใจ และเต็มใจฟังสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพูด  หากผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นและสั่งสอนผู้อื่นอยู่เสมอ โดยปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นราวกับเด็กและนักเรียน ผู้คนย่อมมีแนวโน้มจะมองพวกเขาว่าน่ารำคาญและน่ารังเกียจ  ดังนั้นแล้ว นี่คือปัญญาที่เจ้าพึงมีในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อันดับแรก จงสร้างความประทับใจที่ดีต่อผู้อื่น พูดในหนทางที่ผู้ฟังของเจ้าจะเห็นคล้อยตาม  หลังจากฟังเจ้าแล้ว พวกเขาควรได้รับบางสิ่งบางอย่างและได้รับประโยชน์จากการนั้น  หนทางนี้ย่อมจะทำให้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเจ้าดำเนินไปด้วยความราบรื่น ไม่พบอุปสรรคขัดขวาง และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่งอกงาม  แม้บางคนอาจจะไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่พวกเขาจะมองว่าเจ้าเป็นคนดีและเต็มใจที่จะคบหากับเจ้า  ผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐเหล่านั้นควรสามารถที่จะเข้าสังคมกับผู้คนได้  การผูกมิตรกับคนหลายๆ ระดับถือเป็นทางเลือกที่ดี  นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด  ไม่ว่าคนที่เจ้าประกาศข่าวประเสริฐจะเป็นใคร ก่อนอื่นเจ้าต้องเตรียมการมากมาย  เจ้าต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริง เชี่ยวชาญหลักธรรม มีความสามารถในการแยกแยะผู้คน และใช้วิธีการที่ชาญฉลาด  เจ้าต้องปฏิบัติการเตรียมงานนี้อย่างต่อเนื่อง  อันดับแรก เมื่อเจ้าสนทนากับผู้คนที่กำลังสืบค้น เจ้าต้องเข้าใจและรับรู้ภูมิหลังของพวกเขา นิกายที่พวกเขาสังกัด มโนคติอันหลงผิดหลักที่พวกเขามี ดูว่าพวกเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมหรือชอบเก็บตัว ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขาเป็นอย่างไร และพวกเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร  นี่คือกุญแจสำคัญ  เมื่อเจ้าเข้าใจผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐอย่างแน่ชัดในทุกแง่มุม การประกาศข่าวประเสริฐของเจ้าย่อมจะเห็นผลมากขึ้น และเจ้าจะรู้วิธีจ่ายยาที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาทั้งหลายให้พวกเขา  หากเจ้าเผชิญกับการทดลองจากคนชั่ว คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หรือหมู่มาร เจ้าจะสามารถรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น แยกแยะได้ว่าพวกเขาเป็นใคร และละทิ้งพวกเขาโดยเร็ว  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าสามารถเผยผู้คนทุกประเภทให้เห็นได้  คนชั่วและพวกไม่เชื่อในพระเจ้าจะรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อได้ยินพระวจนะเหล่านั้น และหมู่มารย่อมเกลียดการฟังพระวจนะของพระเจ้า  มีเพียงผู้กระหายความจริงเท่านั้นที่จะสนใจ  พวกเขาจะแสวงหาความจริงและถามคำถามต่างๆ  นี่คือวิธีที่เจ้าสามารถยืนยันว่าพวกเขาคือผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ  เมื่อยืนยันเรื่องนี้แล้ว พวกเราย่อมสามารถร่วมสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาได้อย่างเป็นระบบ  ระหว่างสามัคคีธรรมความจริงนั้น พวกเราย่อมสามารถเข้าใจขีดความสามารถของผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ รวมถึงพวกเขาสามารถทำความเข้าใจความจริงได้ดีเพียงไร และสภาวะของลักษณะนิสัยของพวกเขาเป็นอย่างไร  ในหนทางนี้ พวกเราย่อมจะรู้ว่าควรทำงานกับใครและสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร  ไม่ว่าพวกเราทุ่มเทความพยายามมากแค่ไหน นั่นจะไม่สูญเปล่า  ในกระบวนการของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หากเจ้าไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของอีกฝ่าย และไม่แก้ไขอย่างถูกต้อง การเอาชนะใจผู้คนย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่าย  ต่อให้เจ้าเอาชนะใจผู้คนได้สองหรือสามคน นั่นก็จะเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น  บรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงและมองเห็นก้นบึ้งของสิ่งทั้งหลายย่อมสามารถลดการเดินผิดทางลง หรือหลีกเลี่ยงทางเหล่านั้นได้โดยสิ้นเชิงเมื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ควรประกาศ และไม่ประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ไม่ควรประกาศ  พวกเขาประเมินได้อย่างถูกต้องแม่นยำก่อนที่จะประกาศและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ไร้ประโยชน์  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมทำหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความพยายามที่สูญเปล่าลง เป็นการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดี  เพราะฉะนั้น หากเจ้าต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างได้ผลก็จงเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริงและเตรียมการให้มากพอ  จะเป็นอย่างไรหากเจ้าพบคนเคร่งศาสนาที่รู้พระคัมภีร์เป็นอย่างดี แต่เจ้ายังไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เลย?  เจ้าจะทำอย่างไรได้?  ถึงเวลานั้นย่อมสายเกินการที่เจ้าจะเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงในพระคัมภีร์ ดังนั้นเจ้าจึงควรรีบแนะนำพวกเขาให้กับผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐที่เข้าใจพระคัมภีร์  จงส่งมอบคนคนนี้ให้ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจพระคัมภีร์  นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  หากเจ้ายังพยายามอวดตนด้วยการประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขาโดยไม่มีความพร้อม คนคนนี้ก็จะไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ  ผลลัพธ์นี้จะเกิดจากความไม่รับผิดชอบของเจ้า  นอกจากนี้ในเวลาที่เจ้าไม่ได้ทำงาน เจ้าต้องหาเวลาเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความรู้บางอย่างในพระคัมภีร์  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์เลยเป็นเรื่องที่ไม่ได้การอย่างยิ่ง  คำถามมากมายที่เหล่าผู้สืบค้นหยิบยกขึ้นมานั้นเกี่ยวข้องกับพระวจนะในพระคัมภีร์  หากเจ้าเข้าใจพระคัมภีร์ เจ้าย่อมสามารถใช้ความจริงจากพระคัมภีร์ไขคำถามเหล่านี้ได้  ไม่ว่าผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐมีมโนคติอันหลงผิดอย่างไร เจ้าก็สามารถหาข้อพระคัมภีร์และพระวจนะของพระเจ้าที่สอดคล้องกันเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นสามารถสัมฤทธิ์ได้ในหนทางนี้เท่านั้น  เพราะฉะนั้น การเผยแผ่ข่าวประเสริฐจึงต้องใช้ความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์  ตัวอย่างเช่น เจ้าควรรู้ว่าคำเผยพระวจนะใดในพันธสัญญาเดิมและข้อพระคัมภีร์ใดในพันธสัญญาใหม่ที่เป็นพยานยืนยันถึงการเสด็จกลับมาและพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า  เจ้าควรอ่านพระวจนะเหล่านี้ให้มากขึ้น ไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ให้มากขึ้น และเก็บพระวจนะเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้า  นอกจากนี้เจ้าต้องเข้าใจว่าผู้ที่เคร่งศาสนาเข้าใจข้อพระคัมภีร์เหล่านี้อย่างไร ต้องไตร่ตรองถึงวิธีสามัคคีธรรมที่จะนำพวกเขาไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องและบริสุทธิ์เกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ แล้วจากนั้นก็รวบรวมข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เพื่อนำพวกเขาไปสู่ความเข้าใจพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า  นี่คือการทำงานเตรียมความพร้อมใช่หรือไม่?  นี่คือความหมายที่แท้จริงของการทำงานเตรียมความพร้อม  เจ้าต้องเข้าใจความต้องการของผู้คนแต่ละประเภทที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง แล้วจึงเตรียมงานบางอย่างไปตามสถานการณ์  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้และลุล่วงความรับผิดชอบของตน  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า  บางคนจะกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดนั้นหรอก  ฉันแค่ต้องอ่านพระคัมภีร์สักสองสามครั้ง  ไม่ว่าฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ใครฉันก็พูดแต่เรื่องเดิมเสมอ  พระวจนะที่ฉันใช้ในการประกาศข่าวประเสริฐนั้นตายตัวและไม่เปลี่ยนแปลง  ฉันจะใช้พระวจนะเหล่านี้ และพวกเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้  คนที่ไม่เชื่อก็จะไม่ได้รับพร  พวกเขาย่อมโทษฉันไม่ได้  ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองแล้ว”  พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองแล้วหรือ?  สถานการณ์ของบุคคลที่สืบค้น อาทิ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส งานอดิเรก บุคลิก ความเป็นมนุษย์ สถานการณ์ครอบครัว และอื่นๆ เป็นอย่างไร?  เจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แต่เจ้ายังคงไปประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา  เจ้าไม่ได้ทำการเตรียมงานและไม่ได้ใช้ความพยายามเลย  และเจ้าก็ยังคงกล่าวอ้างว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้วอย่างนั้นหรือ?  นี่เป็นเพียงการหลอกลวงผู้คนมิใช่หรือ?  การปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเช่นนี้แสดงถึงท่าทีที่สุกเอาเผากินและไร้ความรับผิดชอบ  นี่คือท่าทีที่ทำไปพอพ้นตัว  เจ้าประกาศข่าวประเสริฐด้วยท่าทีเช่นนั้น และเมื่อเจ้าเอาชนะใจใครไม่ได้ เจ้าก็กล่าวว่า “หากเขาไม่เชื่อ นั่นก็เป็นโชคร้ายของเขาเอง  อีกอย่างเขาขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นต่อให้เขาเชื่อ เขาก็จะไม่สามารถได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอด!”  นี่คือการไร้ความรับผิดชอบ  เจ้ากำลังปัดความรับผิดชอบของตน  เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ทำการเตรียมงานของตนให้ดี  เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  อีกทั้งเจ้ายังคงหาข้อแก้ตัวด้วยการใช้เหตุผลทุกรูปแบบ พยายามปัดความรับผิดชอบของตนด้วยคำพูด  นี่คือพฤติกรรมประเภทใด?  พฤติกรรมแบบนี้เรียกว่าการหลอกลวง  เพื่อปัดความรับผิดชอบของตน เจ้าได้ทำการตัดสินและสรุปเกี่ยวกับผู้คน อีกทั้งพูดจาไร้สาระอย่างไร้ความรับผิดชอบ  นี่เรียกว่าความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก ความมีเล่ห์เหลี่ยมและความชั่วร้าย  ทั้งยังเรียกว่าการหลอกลวงอีกด้วย  นี่คือการพยายามหลอกลวงพระเจ้า

หากพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่เจ้า เจ้าก็ควรยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้าด้วยความนอบน้อมและนบนอบ  เจ้าควรพยายามปฏิบัติต่อทุกคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงด้วยความรักและความอดทน และเจ้าควรจะสามารถทานทนความยากลำบากและงานอันตรากตรำได้  จงขยันหมั่นเพียรและรับผิดชอบการประกาศข่าวประเสริฐ สามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน และไปให้ถึงจุดที่เจ้าสามารถเล่าการกระทำของตนให้พระเจ้าฟังได้  นี่คือท่าทีที่คนเราควรมีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากใครบางคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอยู่นั้นแสวงหาความจริงจากเจ้า และเจ้าไม่สนใจพวกเขา ไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขาและแก้ไขปัญหาของพวกเขาอย่างจริงจังตั้งใจไม่ได้ และถึงกับหาข้ออ้าง โดยพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์  ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขากระหายความจริงหรือการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้ามากแค่ไหน นั่นก็ไม่ใช่ธุระของฉัน  การที่พวกเขาจะสามารถเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน  ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เสด็จไปทรงพระราชกิจ ไม่ว่าฉันจะเตรียมการไว้มากเพียงใด ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์—ดังนั้นฉันจะไม่พยายามทำเช่นนั้น!  นอกจากนี้ ฉันก็พูดความจริงที่ฉันเข้าใจไปหมดแล้ว  ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหนทางที่แท้จริงได้หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของพระเจ้า  นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” เช่นนั้นแล้ว นี่คือท่าทีแบบใด?  เป็นท่าทีที่ขาดความรับผิดชอบ เป็นท่าทีที่แข็งกระด้าง  มีคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้อยู่มากมิใช่หรือ?  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้จะสามารถเป็นไปตามมาตรฐานที่ดีพอได้หรือ?  จะสามารถยกย่องพระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์ได้หรือ?  ไม่ได้แม้แต่น้อย  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนี้เป็นเพียงการออกแรงทำงานที่เล็กน้อย ไม่ได้ใกล้เคียงการปฏิบัติหน้าที่ตรงไหนเลย  ดังนั้นคนเราจะสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างดีพอหรือ?  ไม่ว่าผู้ใดกำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอยู่ก็ตาม เจ้าต้องเตรียมการและเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเสียก่อน จากนั้นจึงพึ่งพาความรัก ความอดทน ความยอมผ่อนปรน และสำนึกรับผิดชอบเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ของเจ้าให้ดี  จงอย่ามีการปลอมปนและจงทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถและควรที่จะทำ  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้ย่อมดีพอ  หากรูปการณ์แวดล้อมไม่เอื้อให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หรือหากคนที่สืบค้นไม่ยอมรับฟังและจากไป นี่ย่อมไม่ใช่ความผิดของเจ้า  เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าพึงทำแล้ว และมโนธรรมของเจ้าจะไม่กล่าวหาเจ้า  นี่หมายความว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว  คนบางคนอาจจะตรงตามหลักธรรมสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่จังหวะเวลาอาจจะยังไม่เหมาะสม  เพราะยังไม่ใช่เวลาของพระเจ้า  ในกรณีนี้ เจ้าต้องละวางงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้ก่อน  การละวางงานเอาไว้ก่อนหมายความว่าเจ้าไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่บุคคลนั้นใช่หรือไม่?  นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าเพียงรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น  ผู้คนประเภทใดอีกที่ไม่ควรได้รับการประกาศข่าวประเสริฐ?  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบุคคลหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ—ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองวัน หรือแม้กระทั่งหนึ่งหรือสองปี—แต่เป็นเวลานาน อีกทั้งสามารถพูดเช่นนี้ได้ทุกที่และทุกเวลา คนคนนี้ย่อมเป็นวิญญาณชั่วและไม่สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพวกเขาได้  ยังมีผู้คนที่ภายนอกดูเป็นคนดี แต่เมื่อสอบถามและทำความเข้าใจเพิ่มเติม เจ้าก็พบว่าพวกเขาล่วงประเวณีกับผู้คนมากมาย  หากเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านี้ก็ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหามากมาย  พวกเขามีแนวโน้มที่จะก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นเจ้าต้องไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา  ยังมีศิษยาภิบาลในศาสนาบางคนที่ต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกินในการยอมรับความจริง  ต่อให้พวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับ พวกเขาก็ยังคงมีเงื่อนไข  พวกเขาพึงพอใจที่จะรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานเท่านั้น  ผู้คนประเภทนี้โดยส่วนใหญ่คือศัตรูของพระคริสต์  ตามหลักธรรมแล้ว ไม่ควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขา  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนเช่นนี้จะได้รับอนุญาตให้ทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเต็มใจลงแรงด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและสามารถนำผู้คนเข้ามาได้มากมายเท่านั้น  หากใครบางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วมากเกินไป อีกทั้งเจ้าสามารถบอกได้ว่าพวกเขาคือคนชั่วจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นแล้ว คนประเภทนี้จะไม่มีวันยอมรับความจริงและจะไม่มีวันกลับใจ  ต่อให้คนเช่นนี้เข้าสู่คริสตจักร พวกเขาก็จะถูกขับไล่ ดังนั้นจึงไม่ควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาเป็นอันขาด  การประกาศข่าวประเสริฐแก่คนประเภทนี้จะเทียบเท่ากับการนำพาซาตาน นำพามารตนหนึ่งเข้าสู่คริสตจักร  อีกสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้เยาว์เต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้า  อย่างไรก็ตามในประเทศประชาธิปไตยบางประเทศ ผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหากพวกเขาต้องการเข้าร่วมชีวิตคริสตจักรและปฏิบัติหน้าที่ของตน  จงอย่าเพิกเฉยต่อข้อกำหนดนี้  การนี้จำเป็นต้องใช้ปัญญาและทางออกที่สมเหตุสมผล  ในประเทศจีน ตราบใดที่ผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งนำผู้เยาว์ดังกล่าวมาเชื่อในพระเจ้า ก็จะไม่มีปัญหาเลย  หากคนหนุ่มสาวที่ไม่ใช่ผู้เยาว์อีกต่อไปสามารถทำความเข้าใจความจริงและต้องการเชื่อในพระเจ้า ทว่าพ่อแม่ของพวกเขาต่อต้านและจำกัดพวกเขา หนุ่มสาวเหล่านั้นก็สามารถออกจากครอบครัวและมาที่คริสตจักรเพื่อเชื่อและติดตามพระเจ้าอย่างไร้ซึ่งการจำกัดและการกีดขวางจากพ่อแม่ของพวกเขาได้  นี่เป็นสิ่งที่ถูกควรโดยสมบูรณ์  นี่คือสถานการณ์เดียวกับสถานการณ์ของเปโตรตอนที่เขามาเชื่อในพระเจ้า  โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็ย่อมทำได้ตราบเท่าที่ภาวะตามความจริงเอื้ออำนวยและการนั้นไม่ละเมิดต่อกฎหมาย  เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการจัดการตามหลักธรรมความจริงและการชี้นำของปัญญา

ในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนบางคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอได้อย่างไร?  ก่อนอื่นพวกเขาต้องสามารถรับรู้และเข้าใจความจริงที่เกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถมีทัศนะที่ถูกต้อง รู้วิธีจัดการกับทัศนะที่ผิดหรือไร้สาระ รวมทั้งรู้วิธีรับมือกับเรื่องต่างๆ และจัดการกับปัญหาทั้งหลายได้ตามหลักธรรมความจริง  จากนั้น พวกเขาจะสามารถแยกแยะการปฏิบัติที่ผิดนานาประการ รวมถึงการปฏิบัติของศัตรูของพระคริสต์ที่ละเมิดหลักธรรมความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะเข้าใจโดยธรรมชาติว่าหลักธรรมความจริงใดที่พึงเข้าใจให้แตกฉานเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในการปฏิบัติหน้าที่นี้ ความจริงประการใดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พึงเข้าใจเป็นอันดับแรก?  เจ้าต้องเข้าใจว่าการเผยแผ่ข่าวสารเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแต่ละคน  นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับทุกคน  นี่คือต้นกำเนิดของหน้าที่นี้  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้อยู่ในฝ่ายข่าวประเสริฐ ดังนั้นฉันมีความรับผิดชอบกับภาระผูกพันนี้หรือไม่?”  พวกเขาทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพันนี้  ความจริงที่เกี่ยวกับหน้าที่ในแง่มุมนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน  เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์บางอย่างในการจัดสรรบุคลากรต่างๆ ในคริสตจักรหรือไม่  บางคนเคยเป็นผู้นำมาก่อน แต่ต่อมาพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนตัวเพราะไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  หลังจากถูกเปลี่ยนตัว พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พิเศษได้เนื่องจากไม่มีทักษะหรือความเชี่ยวชาญใดเลย  แล้วในท้ายที่สุด พวกเขาก็ถูกมอบหมายให้กับฝ่ายข่าวประเสริฐเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หรือให้น้ำผู้มาใหม่ หรือปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปบางอย่าง  หากพวกเขาไม่สามารถลุล่วงหน้าที่อื่นใดในคริสตจักรได้เช่นเดียวกัน สิ่งใดควรเกิดขึ้นกับพวกเขา?  ผู้คนเช่นนั้นย่อมถูกปฏิเสธและควรถูกกำจัดออกไป  ดังนั้น หากเจ้าถูกปลดออกจากการเป็นผู้นำคริสตจักรเพราะไร้ความสามารถและเจ้าก็ไม่มีทักษะหรือความสามารถพิเศษใดๆ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  หากเจ้าสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตนในฐานะส่วนหนึ่งของฝ่ายข่าวประเสริฐได้ เช่นนั้นแล้ว ความจริงอันว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอย่อมเกี่ยวข้องกับเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ ความจริงอันว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอย่อมไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า และในพระนิเวศของพระเจ้า ในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ เจ้าย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของการปฏิบัติหน้าที่  ในหัวใจของเจ้า เจ้าควรรู้ความหมายทั้งหมดของการนี้อย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ใดๆ เลย เจ้าจะมีความสัมพันธ์อย่างไรกับพระราชกิจของพระเจ้า?  ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่พวกเขาสามารถอดทนจนถึงปลายทางและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่อยากเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพราะเรื่องนี้ทำให้ฉันต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา  มีคนไม่ดีทุกประเภทที่สามารถทำเรื่องไม่ดีได้ทุกรูปแบบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนที่เคร่งศาสนาย่อมปฏิบัติต่อเหล่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเป็นศัตรูและสามารถส่งมอบพวกเขาให้กับระบอบการปกครองของซาตาน  คนพวกนี้เลวร้ายกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก  ฉันไม่อาจทนความเจ็บปวดนี้ได้  พวกเขาอาจจะทุบตีฉันจนตาย ทำร้ายฉันจนพิการ หรือส่งฉันให้กับพญานาคใหญ่สีแดง  นั่นคงจะทำให้ฉันจบเห่”  ในเมื่อเจ้าไม่อาจทนความยากลำบากได้และวุฒิภาวะของเจ้าก็น้อยนัก เจ้าก็ควรทำงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันให้ดี  นั่นจะเป็นทางเลือกที่ฉลาด  แน่นอนว่าจะเป็นการดียิ่งขึ้นหากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ รวมถึงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่หน้าที่ของสมาชิกฝ่ายข่าวประเสริฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคน  เนื่องจากทุกคนได้ยินข่าวดีและเรื่องน่ายินดีจากพระเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าแล้ว ทุกคนจึงมีความรับผิดชอบและมีภาระผูกพันในการประกาศข่าวประเสริฐนี้ เพื่อให้ผู้คนมากขึ้นมายังพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อฟังข่าวดี และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความรอดของพระองค์  นี่จะทำให้พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  นั่นคือพระบัญชาของพระเจ้า นั่นคือเจตนารมณ์ของพระองค์

ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนยุ่งอยู่กับการประกาศข่าวประเสริฐตลอดทั้งวัน แต่หลังจากประกาศข่าวประเสริฐมาหลายปี พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะใจใครได้เลยสักคนเดียว  เกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาดูยุ่งเหลือเกิน และดูเหมือนพวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงเอาชนะใจใครไม่ได้เลย?  ความจริงที่ต้องเข้าใจในการทำหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้น แท้จริงแล้วก็เหมือนกับความจริงที่ต้องเข้าใจในการทำหน้าที่อื่นๆ  หากใครบางคนประกาศข่าวประเสริฐมานานหลายปีโดยเอาชนะใจใครไม่ได้เลย นี่ก็หมายความว่าคนคนนี้มีปัญหา  ปัญหาเหล่านี้คืออะไร?  ปัญหาหลักคือพวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงของนิมิตในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ชัดเจน  เหตุใดการสามัคคีธรรมของพวกเขาจึงไม่ชัดเจน?  นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปสำหรับการนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขาทำให้ตัวเองยุ่งตลอดทั้งวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร พวกเขาจึงไม่มีเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไตร่ตรองความจริง และพวกเขาก็ไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับความจริงเลย ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิด ความเห็นนอกรีต หรือเหตุผลวิบัติได้  หากเป็นทั้งสองกรณีนี้ คนคนนี้จะสามารถลุล่วงหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของตนได้หรือ?  เราเกรงว่าการที่พวกเขาเอาชนะใจผู้คนจะเป็นเรื่องยากมาก  ไม่ว่าพวกเขาทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเลย  ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าต้องเข้าใจความจริงของนิมิตเสียก่อน  ไม่ว่าผู้คนถามคำถามใด ตราบเท่าที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริงจนกระจ่าง เจ้าย่อมตอบคำถามของพวกเขาได้  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงของนิมิตและไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไร เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไร เจ้าก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลย  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าควรมุ่งเน้นการแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมความจริง  หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ฟังคำเทศนามากขึ้น สามัคคีธรรมความจริงของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น อีกทั้งมุมานะในการสามัคคีธรรมความจริงของนิมิตอยู่เสมอเพื่อให้เข้าใจความจริงของนิมิตอย่างชัดเจน และสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาที่พบบ่อยที่สุดของผู้คนที่เคร่งศาสนาได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้ แทนที่จะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดเลย  เพราะฉะนั้นการไม่เข้าใจความจริงของนิมิตของพระราชกิจของพระเจ้าจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นอกจากนี้ เจ้าไม่สามารถเข้าใจหรือจับใจความคำถามที่เหล่าผู้สืบค้นหนทางที่แท้จริงยกขึ้นมา และเจ้าไม่สามารถมองเข้าไปในหัวใจของพวกเขาเพื่อค้นหาว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาอยู่ตรงไหน แล้วระบุปัญหาหลักที่ขัดขวางการยอมรับหนทางที่แท้จริงของพวกเขา  หากเจ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าต่อผู้อื่นได้  หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐโดยใช้ทฤษฎีที่ว่างเปล่าเพียงอย่างเดียว การนี้ย่อมจะไม่เป็นผล  เมื่อผู้คนที่สืบค้นเริ่มต้นถามคำถาม เจ้าจะไม่สามารถตอบพวกเขาได้  เจ้าจะทำได้เพียงบอกปัดไปอย่างสุกเอาเผากินด้วยการพูดถึงคำสอนบางอย่าง  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้จะเอาชนะใจผู้คนได้หรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  มีหลายครั้งที่บรรดาผู้สืบค้นไม่สามารถยอมรับหนทางที่แท้จริงได้ในทันที นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขาให้ชัดเจน  ในกรณีนี้ พวกเขาย่อมจะสงสัยว่าเหตุใดเจ้าซึ่งเป็นผู้เชื่อมานานเหลือเกินจึงไม่สามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนต่อคำถามเหล่านี้ได้  พวกเขาจะเกิดข้อกังขาอยู่ในหัวใจว่านี่ใช่หนทางที่แท้จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น พวกเขาจะไม่กล้าเชื่อหรือยอมรับหนทางนี้  นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมิใช่หรือ?  นี่คือเหตุผลข้อที่สองที่ทำให้ผู้คนอาจจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  หากเจ้าต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีทางเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนได้  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้อย่างไร?  ด้วยเหตุนั้น หากเจ้าต้องการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าก็ต้องมุมานะแสวงหาความจริง และเข้าใจคำถามทั้งหมดที่บรรดาผู้สืบค้นหยิบยกขึ้นมาอย่างถี่ถ้วน  ในหนทางนี้ เจ้าจะสามารถตอบคำถามของพวกเขาได้ด้วยการร่วมสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  เหล่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนคอยหาเหตุผลตามความเป็นจริงมาใช้เป็นข้ออ้างอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้จัดการยากเหลือเกิน  แต่ละคนมีแนวโน้มที่จะบิดเบือนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีใครยอมรับความจริงเลย  พวกเขาดื้อรั้นและเป็นกบฏ แถมยังยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอยู่ตลอดเวลา”  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นนั้นจะไม่มุมานะเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นของคนเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจะล้มเหลวทุกๆ ครั้งที่พยายามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเขาไม่มีความรักอยู่เลยแม้แต่น้อยและไม่สามารถอดทนอยู่ในหน้าที่นี้ได้นานนัก  จากภายนอก ดูเหมือนพวกเขายุ่งมาก แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้พยายามมากพอกับแต่ละคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อคำถามของคนเหล่านี้อย่างจริงจังและรับผิดชอบ  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้ไข เพื่อไขข้อสงสัยเหล่านี้ไปทีละขั้น และเอาชนะใจผู้คนเหล่านี้ในท้ายที่สุด  ในทางกลับกัน พวกเขาเพียงสักแต่ทำอย่างขอไปที  ไม่ว่าจะสูญเสียผู้คนไปมากมายเพียงใดพวกเขาก็ยังยึดติดกับวิธีการแบบเดิม  พวกเขาทำงานสองสามวัน แล้วจากนั้นก็หยุดพักไปอีกสองสามวัน  พวกเขาได้อะไรจากการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  พวกเขาทำให้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐกลายเป็นเกม เป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง  พวกเขาคิดว่า “วันนี้ฉันจะพบผู้คนประเภทนี้และมีช่วงเวลาที่สนุกสนาน  พรุ่งนี้ฉันจะพบผู้คนประเภทนั้น ซึ่งจะเป็นสิ่งใหม่ๆ และน่าสนใจ”  สุดท้ายแล้วพวกเขาจะไม่มีวันเอาชนะใจใครได้เลย  พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงการตำหนิหรือสำนึกของภาระใดๆ จากความล้มเหลวในการเอาชนะใจผู้คน  ด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้หรือ?  พวกเขากำลังทำตัวแบบสุกเอาเผากินและพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่มิใช่หรือ?  ผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้อยู่เสมอย่อมไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองเลย  พวกเขาทำทุกสิ่งอย่างสุกเอาเผากิน  มีเหตุผลอื่นใดอีกที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวในการเอาชนะใจผู้คนเมื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  จงบอกเราทีเถิด  (การไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐตามหลักธรรม)  มีกรณีที่ผู้คนใส่ใจเพียงจำนวนในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ผู้คนเช่นนั้นไม่ประกาศข่าวประเสริฐตามหลักธรรมและมักจะไม่สามารถเอาชนะใจผู้คนได้  นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่คนบางคนในฝ่ายข่าวประเสริฐแข่งขันกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อแย่งชิงผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ โดยคิดว่าคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่ผู้คนจำนวนมากกว่าย่อมจะได้รับความดีความชอบมากกว่า  เมื่อผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐเห็นพวกเขาแข่งขันกันเช่นนี้ คนเหล่านั้นย่อมจะไม่เจริญใจ  ในทางกลับกัน พวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในใจว่า “พวกคุณที่เชื่อในพระเจ้าไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน พวกคุณยังริษยาและขัดแย้งกันอยู่เลย”  จากนั้น พวกเขาก็จะไม่อยากเชื่อในพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ทำให้สะดุด  นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่อาจเอาชนะใจผู้คนในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐบางคนใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมาเป็นเวลานานและระวังตัวจากคนทุกประเภท โดยเฉพาะจากคนแปลกหน้า  หากไม่มีคนกลางที่แนะนำให้รู้จักกัน พวกเขาจะดูเชิงเวลาที่พบใครบางคนเป็นครั้งแรก  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเพิ่งพบคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เจ้าย่อมจะไม่บอกชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์กับพวกเขาโดยง่ายอย่างแน่นอน  เมื่อเจ้าเริ่มคุ้นเคยกับพวกเขา เมื่อเจ้ารู้จักซึ่งกันและกัน เมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า พวกเจ้าก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะให้ข้อมูลเหล่านี้กับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนกลับไม่สามารถเข้าใจผู้คน ดังนั้นเมื่อผู้คนระแวดระวังพวกเขา พวกเขาก็เรียกคนเหล่านี้ว่าพวกหลอกลวงและชั่วร้าย  พวกเขาประณามกรอบความคิดในการปกป้องตนเองของคนเหล่านี้ และโยนความรับผิดชอบของตนเองไปให้ผู้อื่น  บรรดาผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นก็ระแวดระวังคนแปลกหน้าเช่นกันมิใช่หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่กล่าวโทษตนเอง แต่กลับคิดว่าตนเองฉลาดในการระแวดระวังตัวเล่า?  การปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนี้ไม่เป็นธรรมเลย  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนถามข้อมูลส่วนตัวจากผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐในทันทีที่พวกเขาพบกัน  หากบางคนไม่ต้องการให้ข้อมูลเหล่านั้น ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐประเภทนี้ก็จะไม่อยากประกาศข่าวประเสริฐกับคนคนนี้  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  นี่คืออุปนิสัยอันมุ่งร้ายนั่นเอง  พวกเขาเริ่มโกรธและไม่ยอมประกาศข่าวประเสริฐเพียงเพราะใครบางคนไม่ทำตามความประสงค์ของพวกเขาในเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น  ช่างน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน!  เจ้าต้องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่นเพราะอะไร?  นี่คือการทำหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ?  หากเจ้ากระทำการตามความพอใจของตน นี่ยังคงเป็นการทำหน้าที่ของเจ้าอยู่หรือ?  นี่คือการลงแรงเพียงอย่างเดียวมิใช่หรือ?  เจ้าควรรายงานเรื่องของตนเองต่อพระเจ้าอย่างไร?  หากเจ้าไม่เคยกลับใจเลย พระเจ้าก็จะทรงกล่าวโทษเจ้าและกำจัดเจ้าออกไป  เจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตัว

เราได้ยินเรื่องของสมาชิกฝ่ายข่าวประเสริฐสองคนที่พบผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐคนเดียวกัน  จากนั้นพวกเขาก็โต้เถียงกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าตนเองเป็นผู้ติดต่อบุคคลนี้ก่อน  การทะเลาะกันในเรื่องนี้มีประโยชน์อันใด?  นี่เป็นเรื่องของการไม่รู้ความใช่หรือไม่?  นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถทำได้  แล้วสิ่งอันถูกควรที่พึงทำคืออะไร?  ทุกคนต้องหารือเรื่องนี้ร่วมกัน  ใครเป็นผู้ติดต่อไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  เมื่อเจ้าพบว่าเจ้าได้ติดต่อกับบุคคลคนเดียวกัน ก็จงร่วมกันเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แบ่งงานกัน และร่วมมือกัน  หากเดิมทีเจ้าวางแผนจะใช้เวลาสองเดือนในการนำข่าวประเสริฐไปสู่คนคนนี้ ในเมื่อเจ้ามีคนมากขึ้น ก็จงพยายามทำสิ่งนั้นในเวลาเพียงหนึ่งเดือน  จากนั้นทุกคนควรสามัคคีธรรมถึงปัญหาและความลำบากยากเย็นของผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐคนนี้ สามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของความจริงที่ทุกคนต้องแสวงหาเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเล่านี้ สามัคคีธรรมถึงวิธีที่สองฝ่ายควรทำงานร่วมกัน เป็นต้น  จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้คืออะไร?  นั่นก็เพื่อเอาชนะใจบุคคลผู้นี้และลุล่วงหน้าที่ของเจ้านั่นเอง  เมื่อทุกคนมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน และมุ่งความพยายามทั้งหมดของพวกเขาไปยังเป้าหมายเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเขา  เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้คนย่อมสัมฤทธิ์สิ่งทั้งหลายได้โดยง่าย และพวกเขาจะได้รับพรและการทรงนำจากพระเจ้า  อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่ปฏิบัติตนในหนทางนี้ หากเจ้าแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่นอยู่เสมอ หากเจ้าบริหารจัดการกิจธุระของเจ้าเองอยู่ตลอดเวลา หากเจ้าขีดเส้นแบ่งระหว่างตัวเองกับผู้อื่นอย่างชัดเจนอยู่เป็นนิจ และหากเจ้าสนใจแค่เพียงการเอาชนะใจผู้คนด้วยตนเองในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ—คุณประกาศข่าวประเสริฐเพื่อตัวคุณ ส่วนฉันจะเอาชนะใจผู้คนด้วยตัวฉันเอง—เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้หรือ?  บางครั้งผู้คนสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้ด้วยตนเอง แต่ในบางครั้ง ทุกคนจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างปรองดองเพื่อปฏิบัติงานของคริสตจักรได้อย่างถูกควร  หากทุกคนกระทำการตามใจตนเองและไม่ร่วมมือกันอย่างปรองดอง นี่ย่อมจะทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิง  ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เล่า?  ทุกคนต้องรับผิดชอบ และหัวหน้างานหลักย่อมแบกรับความรับผิดชอบในสัดส่วนที่มากกว่า  เมื่อเจ้าทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิง เจ้าไม่เพียงล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควรเท่านั้น แต่เจ้ายังทำชั่วอย่างใหญ่หลวง ก่อให้เกิดความรังเกียจและความขยะแขยงจากพระเจ้าอีกด้วย  เช่นนั้นเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบากแล้ว  หากพระเจ้าทรงกล่าวโทษเจ้าว่าเป็นคนชั่วหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อกวนงานของคริสตจักร นั่นจะยิ่งแย่ลงไปอีก  เจ้าจะถูกเผยและถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน อีกทั้งเจ้าจะได้รับการลงโทษเสียด้วยซ้ำ  หากเจ้าละทิ้งหน้าที่ของตน การนี้เทียบเท่ากับสิ่งใด?  เจ้าจะไม่มีส่วนในพระราชกิจของพระเจ้าและจะไม่ได้รับความรอดของพระเจ้า  เจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ไม่มีความเชื่อ และชีวิตของเจ้าจะไร้ความหมาย  ทุกวันนี้เจ้าดำเนินชีวิตเพื่อสิ่งใด?  เจ้านำคุณค่าใดมาสู่ฝ่ายข่าวประเสริฐ?  เจ้าสามารถสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเจ้าในฐานะคนคนหนึ่งได้อย่างไร?  เจ้าต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตนด้วยท่าทีที่จริงจัง ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี และสามารถให้การรับรองแก่พระเจ้าได้โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์ได้เอาชนะใจคนบางคนด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ข้าพระองค์ได้ทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ ถึงแม้ข้าพระองค์มีขีดความสามารถต่ำและมีความเป็นจริงความจริงไม่กี่ประการ ข้าพระองค์ก็ทำอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว  ข้าพระองค์ได้ทำหน้าที่ของตนโดยไม่ยอมแพ้ ไม่หัวเสีย ไม่คิดลบและหย่อนยาน หรือพยายามเพื่อให้ได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์  ในทางกลับกัน ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ข้าพระองค์ได้ทนทุกข์กับความอับอายไม่น้อย สู้ทนกับการดูถูกและการขับไล่จากแวดวงศาสนาและต้องมานอนอยู่ข้างถนน  ถึงแม้ข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์กับความคิดลบและความอ่อนแอ ข้าพระองค์ก็ไม่ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง ทว่ายังคงอดทนเผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่ตลอดเวลา  ข้าพระองค์ขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองและการทรงนำที่ประทานให้ข้าพระองค์”  นี่คือความหมายของการลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยมโนธรรมที่แจ่มชัดเช่นนี้และกล่าวรายงานเกี่ยวกับตนเองได้  บางทีเจ้าอาจได้พบผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐมากมาย แต่เอาชนะใจผู้คนได้ไม่มากนัก  อย่างไรก็ตาม จากขีดความสามารถและการปฏิบัติตนของเจ้า เจ้าได้เอาชนะใจผู้คนทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้ด้วยการทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่  ในกรณีนี้พระเจ้าจะทรงประเมินเจ้าว่าอย่างไร?  เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีพอแล้ว  เจ้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถและทุ่มเททั้งหัวใจให้กับการนี้  เจ้าได้ทุ่มเทเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงของนิมิตและทำให้ตนเองคุ้นเคยกับข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ  เจ้าได้ท่องจำในสิ่งที่จำเป็นต้องจดจำ และจดบันทึกในสิ่งที่เจ้าไม่อาจท่องจำได้  ขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ไม่ว่าเจ้าพบใครและไม่ว่าพวกเขาถามคำถามใด เจ้าก็สามารถให้คำตอบได้  ในหนทางนี้ งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเจ้าจะเริ่มเห็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าจะสามารถเอาชนะใจผู้คนได้มากขึ้น  การที่จะเอาชนะใจผู้คนให้ได้มากขึ้นในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดีและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้านั้น เจ้าต้องเอาชนะความลำบากยากเย็นมากมายในตัวเจ้า รวมถึงข้อบกพร่อง จุดอ่อน และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ  เจ้าเอาชนะทั้งหมดนี้มาได้ และอุทิศเวลามากมายเพื่องานนี้  การเอาชนะความลำบากยากเย็นดังกล่าวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีคือเรื่องจำเป็นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นอกจากนี้ การที่จะนำเหล่าผู้สืบค้นหนทางที่แท้จริงให้มาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า มาเข้าใจและรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า และมายอมรับหนทางที่แท้จริงนั้น เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริงให้มากขึ้นเพื่อที่เจ้าอาจจะเป็นพยานยืนยันถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น  ไม่ว่าสามัคคีธรรมความจริงของเจ้าจะลึกซึ้งหรือผิวเผินเพียงใด เจ้าก็ควรมีความรักและความอดทน  บางทีผู้ที่ฟังเจ้าอาจจะเย้ยหยันเจ้า ดูถูกเจ้า บอกปัดเจ้า หรือไม่เข้าใจเจ้า—ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเจ้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องและสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาด้วยความอดทน อีกทั้งเจ้าได้ทุ่มเทความพยายามอย่างหนักและยอมลำบากอย่างใหญ่หลวงเพื่อจุดประสงค์นี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเอง  การที่เจ้าทำหน้าที่ของตนในหนทางนี้ย่อมเป็นการทำหน้าที่อย่างดีพอ

เมื่อผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนพบผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐที่โอหังเพราะความมั่งคั่งของครอบครัวและสถานะทางสังคม พวกเขาย่อมรู้สึกต่ำต้อย และอึดอัดใจเวลายืนอยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้นเสมอ  ความอึดอัดใจนี้จะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่?  หากเรื่องนี้ส่งผลต่อเจ้าเสียจนเจ้าไม่อาจทำหน้าที่ของตนให้ดีและไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  หากเรื่องนี้กระทบต่อกรอบความคิดของเจ้าเพียงอย่างเดียว—ทำให้เจ้าไม่มีความสุขและอึดอัดใจ—แต่เจ้าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่หรือหลงลืมความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน จนท้ายที่สุดเจ้าก็ทำงานของตนให้เสร็จสิ้นและทำงานนั้นได้ดี เช่นนั้นเจ้าก็ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างแท้จริงแล้ว  นี่คือความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือความจริง และทุกคนควรยอมรับความจริงนี้  นี่คือสถานการณ์ที่เจ้าอาจจะพบเจอใช่หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐบางคนอาจดูถูกเจ้าเพราะเจ้ามาจากชนบท  พวกเขาอาจถึงกับดูเบาเจ้า  เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้ากล่าวว่า “ฉันเกิดมาในครอบครัวยากจนในชนบท ขณะที่คุณเกิดในเมืองที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหนือกว่า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  อย่างไรก็ดี พระเจ้าทรงมีพระคุณกับพวกเราไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม  พวกเรามีชีวิตอยู่ในยุคนี้ และพวกเราล้วนได้รับพรที่ได้ติดตามพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า”  คำพูดเหล่านี้เป็นจริง และไม่ได้เป็นคำพูดเพื่อพยายามเอาใจตัวเจ้าเอง  ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐจะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ได้รับพรเหมือนพวกเรา  พวกเราได้ชื่นชมพรของชีวิตนี้และของโลกใหม่ แต่พวกคุณได้แต่ชื่นชมพรของโลกใหม่เท่านั้น  เพราะฉะนั้นพวกเราได้รับพรมากกว่าพวกคุณ”  เจ้ากล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระคุณของพระเจ้า”  ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าจำเป็นต้องพิพาทกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่ให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะไม่โต้เถียงกับพวกเขา  เจ้าควรเข้าใจอย่างชัดเจนในหัวใจของเจ้าว่า “ฉันมีหน้าที่อยู่ในหัวใจ มีภาระอยู่บนบ่า มีภารกิจและมีภาระผูกพัน  ฉันจะไม่โต้เถียงกับพวกเขาในเรื่องนั้น  เมื่อถึงวันที่พวกเขาเชื่อและหวนคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเทศนามากขึ้นและเข้าใจความจริงบ้างแล้ว พวกเขาจะนึกถึงความประพฤติและการกระทำของตนในวันนี้ และจะรู้สึกละอายใจ”  หากเจ้าคิดเช่นนี้ หัวใจของเจ้าจะเปิดกว้าง  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  หากเจ้าเอาชนะใจพวกเขาอย่างแท้จริงและพวกเขาย่อมไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้จริง แล้วหลังจากที่พวกเขาเชื่อมานานสามถึงห้าปี พวกเขาย่อมจะตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าในครั้งแรกที่พบกันนั้นไม่เหมาะสม ขาดพร่องความเป็นมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับความจริง  จากนั้นเมื่อพบหน้ากันในครั้งต่อไป พวกเขาย่อมจะต้องขอโทษเจ้า  ในกระบวนการของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจะเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง  เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเราจะจัดการอย่างไร?  เราย่อมไม่ใส่ใจในสิ่งเหล่านั้นมากนัก  นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่  หากเจ้าไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่รำคาญใจกับคำพูดของพวกเขา  นี่เรียกว่าการมีวุฒิภาวะ  หากเจ้าเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง เจ้าจะสามารถมองทะลุถึงคำพูดหรือการปฏิบัติมากมายที่อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนได้  เจ้าจะสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะจดจำคำพูดกับการกระทำเช่นนั้นไปตลอดชีวิต และใครก็ตามอาจสร้างบาดแผลให้เจ้าได้ด้วยการขยิบตา ด้วยคำพูด หรือท่าทาง  บาดแผลนั้นรุนแรงเพียงใด?  สิ่งเหล่านั้นจะทิ้งรอยประทับไว้ในหัวใจของเจ้า  เมื่อเจ้าพบผู้คนที่มั่งคั่ง ผู้คนที่มีสถานะสูงส่งกว่าเจ้า หรือผู้คนที่ดูคล้ายกับพวกที่เคยดูถูกหรือโจมตีเจ้า เจ้าย่อมจะขี้ขลาดและหวาดกลัว  เจ้าจะสามารถกำจัดความขลาดกลัวนี้ไปได้อย่างไร?  เจ้าต้องมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขายิ่งใหญ่เพียงไร ไม่ว่าพวกเขามีสถานะหรืออยู่ในตำแหน่งใด พวกเขาก็เป็นเพียงผู้คนที่เสื่อมทรามเท่านั้น  พวกเขาไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเลย  หากเจ้ามองเห็นเช่นนี้ หัวใจของเจ้าจะไม่ถูกบีบคั้น  ในงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าย่อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อย่างแน่นอน  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป  คนบางคนจะไม่เข้าใจเจ้าหรือจะมีอคติต่อเจ้า หรือถึงกับแอบพูดจาไม่ดีเพื่อเย้ยหยันเจ้าทางอ้อม  บางคนจะพูดว่าเจ้าประกาศข่าวประเสริฐเพื่อหาเงิน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ หรือเพื่อหาคนรัก  เจ้าจะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร?  เจ้าควรโต้เถียงกับคนเหล่านั้นหรือไม่?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย หากเจ้ากำลังกินอาหารที่บ้านของพวกเขาและเห็นสีหน้าเช่นนั้นของพวกเขา เจ้าควรทำอย่างไร?  หากเจ้าไม่กินอาหารที่บ้านของพวกเขาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง เจ้าจะสามารถประกาศข่าวประเสริฐต่อไปด้วยท้องที่ว่างเปล่าได้หรือไม่?  เจ้าควรพิจารณาเรื่องนี้ดังนี้ “วันนี้ฉันสามารถกินอาหารที่บ้านของพวกเขาและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาได้  พวกเขาสามารถต้อนรับผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่เป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว”  ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆ เป็นเช่นนี้จริงๆ  นี่เป็นโชคดีของพวกเขา  พวกเขาไม่ตระหนักในเรื่องนี้ แต่เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ในหัวใจของเจ้า  ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนเราย่อมจะเผชิญการเย้ยหยัน ล้อเลียน เหยียดหยาม และว่าร้าย หรือถึงกับพบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย  ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนถูกพวกคนชั่วประณามหรือลักตัวไป และคนอื่นๆ ก็ถูกแจ้งให้ตำรวจจับและส่งตัวให้ทางรัฐบาล  บางคนอาจถูกจับและติดคุก ขณะที่คนอื่นอาจถึงกับถูกทุบตีจนถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น  ทว่าในตอนนี้ที่พวกเรารู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราควรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่?  (ไม่)  การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคน  ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราจะต้องดำรงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้เสมอ  ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้  หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย  เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์  พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้ โลกอันชั่วนี้ ผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกและต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไป  หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย  เจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้า อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ละเลยความรับผิดชอบนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า  พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร?  นี่คือคุณค่าและภาระผูกพันเบื้องต้นในชีวิตมนุษย์  การเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์

วันนี้ พวกเรากำลังสามัคคีธรรมกันถึงความจริงของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเจ้าได้รับสิ่งใดจากการนี้หรือไม่?  (ได้รับ)  ในอดีต การสามัคคีธรรมความจริงของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพวกเรามุ่งเน้นที่นิมิต กล่าวคือ พวกเราสามัคคีธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องกับนิมิตโดยเฉพาะ และไม่ได้หารือในประเด็นรายละเอียดมากมายอย่างที่หารือกันในวันนี้  เนื่องจากคนส่วนใหญ่พอที่จะรู้ถึงภาพรวมของความจริงเกี่ยวกับนิมิตอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่เข้าใจชัดเจนถึงเส้นทางปฏิบัติและหลักธรรมโดยละเอียดสำหรับประเด็นจำเพาะทั้งหลาย เราจึงหยิบยกประเด็นจำเพาะเหล่านี้ขึ้นมาสามัคคีธรรมในวันนี้  ผ่านทางการสามัคคีธรรมถึงบางกรณีและพฤติกรรมบางอย่างของผู้คน—หรือสิ่งที่ถูกและผิดที่ควรทำเมื่อใครบางคนเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ มุมมองที่ผู้คนควรมี และวิธีที่พวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบ ภาระผูกพันนี้—จากสามัคคีธรรมหัวข้อทั้งหมดนี้ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าความจริงของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น และง่ายต่อการนำมาใช้ในชีวิตจริงมากขึ้น?  เราเชื่อว่าหลังจากฟังความจริงในแง่มุมนี้แล้ว หัวใจของพวกเจ้าย่อมจะสว่างมากยิ่งขึ้น  เมื่อเจ้าเผชิญกับปัญหาที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างในกระบวนการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าย่อมจะได้รับประโยชน์จากคำพูดเหล่านี้ เพราะคำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเชื่อมโยงกับหลักธรรมความจริง  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่า  ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับเรื่องดังกล่าวที่สัมพันธ์กับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง หรือเมื่อพวกเจ้าเผชิญกับปัญหาบางอย่างในงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถใช้ความจริงเหล่านี้แก้ไขปัญหาทั้งหลายที่พวกเจ้าเผชิญได้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วคำพูดที่กล่าวในวันนี้ก็ไม่เสียเปล่า  หากพวกเจ้ายังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ หรือหากพวกเจ้าทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนเอง ตัดสินใจด้วยตนเองและยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น ทำตามที่พวกเจ้าต้องการ รวมถึงปฏิบัติตนตามอำเภอใจและบุ่มบ่ามโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของตน เช่นนั้นแล้วความจริงเหล่านี้ก็เป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าสำหรับพวกเจ้าและไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย  คำพูดเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่เพราะความจริงไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ไม่ใช่เพราะความจริงไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รักความจริงและไม่ปฏิบัติความจริงเลย  เจ้ามองว่าหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นเพียงงานอดิเรกหรือเป็นหนทางฆ่าเวลาเท่านั้น  จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเจ้าจัดการกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยมุมมองนี้?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีพอหรือไม่?  (ไม่)  หากการพูดถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีพอย่อมฟังดูค่อนข้างไกลตัว เช่นนั้นเราขอถามพวกเจ้าก่อนว่า หากเจ้าจัดการกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยมุมมองนี้ เจ้าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เรื่องนี้ควรชัดเจนในหัวใจของพวกเจ้าทุกคน  เมื่อเจ้าจัดการกับหน้าที่นี้ด้วยมุมมองแบบนี้และท่าทีประเภทนี้ หัวใจของเจ้าจะรู้สึกไม่มั่นคง  เจ้าจะคิดว่าท่าทีของเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย  หากเจ้าปฏิบัติตนในหนทางนี้ ต่อให้เจ้าเอาชนะใจคนบางคนและดูจากภายนอกเหมือนเจ้ากำลังทำดีอยู่ก็ตาม เจตนาและแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ากลับขัดกับหลักธรรมความจริง  เจ้าก็เหมือนบรรดาผู้เคร่งศาสนาที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อให้ได้รับพรและทำข้อตกลงกับพระเจ้า  เจตนาและต้นตอของแรงจูงใจเช่นนั้นไม่ถูกต้อง  เมื่อพิจารณาถึงวิธีที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าย่อมทรงพิพากษาที่เจตนาและแรงจูงใจของพวกเขา  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตท่าทีและกรอบความคิดที่ผู้คนใช้จัดการกับหน้าที่ของตน  พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทราม และช่วยพวกเขาให้รอดเพื่อให้พวกเขาได้หลุดพ้นจากบาปบนพื้นฐานนี้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไร เจ้าก็ควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าเป็นคนแบบใด มีขีดความสามารถอย่างไร ไม่ว่าเจ้าเคยปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด และมีหน้าที่ใดมาก่อนที่จะเข้าร่วมกับบรรดาผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้น เจ้าก็ควรปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ เจ้าควรมองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่และเป็นความรับผิดชอบของเจ้า รวมทั้งรับหน้าที่นี้ไว้บนบ่าของเจ้า

ผู้นำและคนทำงานบางคนที่ไม่สามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ย่อมถูกแทนที่ และถูกมอบหมายให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐในฐานะส่วนหนึ่งของฝ่ายข่าวประเสริฐ  พวกเขาอาจจะพูดกับทุกคนที่พบว่า “ฉันเคยเป็นผู้นำมาก่อน  ฉันถูกส่งไปอยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพราะฉันทำงานได้ไม่ดีนัก  บางทีพระเจ้าอาจจะทรงให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อหล่อหลอมฉันชั่วคราว เพื่อเตรียมฉันให้พร้อมด้วยความจริงและฝึกฝนฉัน  นั่นหมายความว่าฉันไม่ต้องทุ่มเทความพยายามให้กับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขนาดนั้น  ฉันจะทำอย่างไรก็ได้  เพราะอย่างไรเสียฉันก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ  เมื่อฉันมีวุฒิภาวะมากขึ้น ฉันต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ  ในฐานะที่ฉันมีขีดความสามารถดี หากฉันไม่ได้เป็นผู้นำก็คงจะเป็นการสูญเสียความสามารถพิเศษไปโดยเปล่าประโยชน์  แถมตอนนี้คริสตจักรก็ขาดแคลนผู้นำและคนทำงานอยู่ด้วย!”  คำพูดของพวกเขาสื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีพวกเขาเป็นผู้นำ  พวกเขาเพียงถูกส่งไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็เพื่อให้โอกาสพวกเขาปฏิบัติ เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง และให้พวกเขาทำงานพื้นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนและบ่มเพาะพวกเขาเท่านั้น  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงมองหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของตนเป็นสิ่งชั่วคราว พวกเขาเพียงทำสิ่งนี้เพื่อเพิ่มผลงานลงในประวัติของตน มีช่วงเวลาที่ดี และเปิดโลกทัศน์ของตนเท่านั้น  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เข้าใจความจริง และสามารถทำงานบางอย่างได้ พวกเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  หากพวกเขานำกรอบความคิดนี้มาใช้กับการปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของตน พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริงได้หรือ?  พวกเขาไม่เคยทบทวนตนเองหรือมารู้จักตนเอง  พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้ในตนเองเลย  ผู้คนเหล่านี้กำลังมีปัญหาใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ถูกต้อง  พวกเขายกย่องตนเองมากเกินไป พวกเขาไม่รู้จักตนเองเลยจริงๆ!  คนเหล่านี้ไม่ตระหนักเลยว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงคืออะไร  ที่จริงแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาขาดพร่องความสามารถในการทำความเข้าใจโดยสิ้นเชิง  โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาพูดจาฉะฉาน สุขสำราญกับการจัดการเรื่องต่างๆ และดูเหมือนพวกเขามีขีดความสามารถบางอย่าง แต่เมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงาน ลักษณะนิสัยและขีดความสามารถของพวกเขากลับยังไม่ดีพอ  พวกเขาไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้นำและคนทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป  พวกเขาไม่รู้ถึงความสามารถอันน้อยนิดของตนเอง แต่กลับอวดตนและยกยอตนเองอย่างไร้ยางอาย  แม้บางคนจะไม่เคยกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่ในความเห็นส่วนตัวนั้น พวกเขาเชื่อว่ามีเพียงผู้ที่ไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้เท่านั้นจึงได้รับมอบหมายให้ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในหัวใจของพวกเขามีการแบ่งหน้าที่ทั้งหมดในพระนิเวศของพระเจ้าออกเป็นระดับสูง กลาง และต่ำ  พวกเขามองว่าหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นต่ำต้อยที่สุดในบรรดาหน้าที่ทั้งหมดในพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้ใดก็ตามที่ทำผิดพลาดหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอย่อมถูกส่งไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่คือความเข้าใจที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อหน้าที่นี้  ความเข้าใจเช่นนี้ต่างกับการถือว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่คนเราพึงลุล่วงในชีวิตหรือไม่?  หากใครบางคนเข้าใจการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือ?  (ไม่ได้)  พวกเขาเข้าใจผิดตรงไหน?  พวกเขามองว่าความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตซึ่งคนคนหนึ่งพึงลุล่วง—งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ—เป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุด  พวกเขาไม่ได้มองว่างานนี้เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน อีกทั้งไม่เข้าใจว่านี่คือหน้าที่  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมถึงความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราด้วยความจงรักภักดี และการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหนึ่งในหน้าที่เหล่านี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่รับรู้ว่าเป็นเช่นนั้นเลย  พวกเขาเชื่ออยู่ในหัวใจว่า ผู้นำ คนทำงาน และผู้ที่รับผิดชอบในพระนิเวศของพระเจ้าระดับต่างๆ นั้นอยู่ในตำแหน่งสูงสุด  พวกเขามีอำนาจเด็ดขาดและสุดท้ายก็จะได้รับบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ใต้พวกเขาเป็นเพียงทหารเลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐที่ปฏิสัมพันธ์กับคนนอกคริสตจักรอยู่ตลอดเวลา  ในบรรดางานทั้งปวง งานของพวกเขาอาจจะเป็นงานที่ยากลำบากและเหนื่อยล้าที่สุด  ในท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าผู้คนเหล่านี้จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมหรือไม่  การที่พวกเขาเข้าใจหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้เป็นความผิดของพวกเขาหรือไม่?  มีพวกที่มองว่าความรับผิดชอบและภาระผูกพันอันศักดิ์สิทธิ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนี้เป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุด ทั้งยังจัดให้อยู่ในลำดับต่ำที่สุดของการแบ่งระดับและจัดอันดับใช่หรือไม่?  พวกเขาดูถูกหน้าที่นี้ ทั้งยังดูแคลนผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้อีกด้วย  แล้วพวกเขามีมุมมองอย่างไรเมื่อทำหน้าที่นี้?  (พวกเขามองว่าหน้าที่นี้เป็นสิ่งชั่วคราว)  มีอะไรอีก?  เมื่อพวกเขาเอาชนะใจใครบางคนได้ พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก และเมื่อพวกเขาไม่อาจเอาชนะใจใครบางคนได้ พวกเขาก็ไม่สนใจ  พวกเขาไม่ได้มองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นส่วนหนึ่งของงานของตนเอง และไม่ได้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดี  พวกเขาดูถูกหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่ในหัวใจ แล้วผลลัพธ์ของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะสามารถเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงในทุกแง่มุมเพื่อลุล่วงหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของตนหรือไม่?  เพื่อเอาชนะใจผู้คนให้ได้มากขึ้น พวกเขาท่องจำบทตัดตอนจากพระวจนะของพระเจ้าและข้อพระคัมภีร์ รวมถึงทำความคุ้นเคยกับคำพยานจากประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อให้ตนเองสามารถแก้ไขปัญหานานาประการที่พบเจอในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่?  (ไม่)  ในยามเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หากผู้ที่มีความเข้าใจที่บิดเบือนและมีมโนคติอันหลงผิดมากมายถามคำถามยากๆ กับพวกเขา พวกเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร?  (พวกเขาจะละทิ้งคนเหล่านั้น)  นี่คือท่าทีประเภทหนึ่ง  พวกเขาจะพร่ำบ่นต่อพระเจ้าหรือไม่ว่า “ทำไมเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ข้าพระองค์ต้องเจอคนไร้สาระที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเอาเสียเลย?  ทำไมโชคร้ายอย่างนี้!”?  พวกเขาไม่มีความรักให้แก่ผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็หวังว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนประเภทนี้ให้รอด  พวกเขาไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องนี้ นับประสาอะไรกับการแสดงออกซึ่งการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาเลือกวิธีปฏิบัติต่อผู้มีโอกาสจะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐตามความชอบส่วนตนของเนื้อหนัง และเมื่อพวกเขาเผชิญกับผู้คนที่มีปัญหาและมโนคติอันหลงผิดที่ร้ายแรงมากมาย พวกเขาก็ละทิ้งคนเหล่านั้น  พวกเขาเลือกเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับผู้คนที่มีมโนคติอันหลงผิดเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่ต้องการจ่ายราคาใดๆ ทั้งสิ้น  เมื่อไรก็ตามที่บางสิ่งบางอย่างเป็นผลร้ายต่อความทะนงตนหรือศักดิ์ศรีของพวกเขา ต่อความมีหน้ามีตาหรือสถานะของพวกเขา เมื่อไรก็ตามที่บางสิ่งบางอย่างขัดกับความชอบส่วนตนของเนื้อหนังหรือขัดแย้งกับความชื่นชมยินดีของเนื้อหนัง พวกเขาเลือกที่จะทำอย่างไร?  พวกเขาเลือกที่จะยอมแพ้ เลือกที่จะหนี เลือกที่จะไม่ลุล่วงความรับผิดชอบนี้ แต่กลับปฏิเสธความรับผิดชอบนี้  ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็พร่ำบ่นพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนว่า “ทำไมข้าพระองค์ต้องเจอคนไร้สาระที่มีมโนคติอันหลงผิดมากมายเช่นนั้นด้วยเล่า?  ทำไมจึงทรงให้ข้าพระองค์ทนทุกข์เช่นนี้?  ข้าพระองค์เสียหน้า เสียแรงเปล่า แถมยังเอาชนะใจใครไม่ได้เลย”  หัวใจของพวกเขาแอบเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อพระเจ้า  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะลุล่วงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเช่นกัน หากพวกเขามีท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถูกกำจัดในไม่ช้า

ในกระบวนการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้น ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐมากมายปฏิบัติต่องานของตนด้วยท่าทีสุกเอาเผากินและไม่ใส่ใจ  พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย  พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่องานนี้ด้วยท่าทีเอาใจใส่อย่างระมัดระวัง รอบคอบ และยำเกรงพระเจ้า  แต่พวกเขากลับคิดว่า “อย่างไรเสียฉันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ฉันสามารถทำอะไรก็ได้  ฝ่ายข่าวประเสริฐก็ดูน่าสนุกดี อย่างนั้นฉันจะเข้าร่วมแล้วกัน”  จากนั้นพวกเขาก็ติดตามไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  อันที่จริง พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้น้อยมาก  พวกเขาเพียงใช้เวลานิดหน่อยและเดินทางบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้จ่ายราคาใดๆ อย่างแท้จริงเลย  พวกเขามักประกาศข่าวประเสริฐตามความชอบส่วนตนของเนื้อหนังกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเองอยู่เสมอ  พวกเขาไม่เคยทำตามหลักธรรมความจริงแม้แต่น้อย  มีหลายคนที่ชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่มีความมั่งคั่งและคนมีเงินแต่ไม่ชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน  พวกเขาชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ดูดีแต่ไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ดูธรรมดา  พวกเขาชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่เข้ากับพวกเราได้ดีแต่ไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่เข้ากับพวกเขาไม่ได้  พวกเขาชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่มีมโนคติอันหลงผิดเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้คนที่มีมโนคติอันหลงผิดมากเกินไป  พวกเขาชอบประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ง่ายต่อการรับข่าวประเสริฐ คนที่จะยอมรับข่าวประเสริฐโดยที่พวกเขาไม่ต้องพูดมาก  พวกเขาไม่ต้องการประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้คนหากนั่นหมายถึงการพูดมากจนหมดแรง  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐและพบกับชายหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีรถมีบ้านเป็นของตนเอง พ่อแม่มีหน้าที่การงานที่ดี และเป็นลูกชายคนเดียว  ผู้หญิงคนนี้คิดว่าหากเธอได้แต่งงานกับเขา เธอจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่ง ดังนั้นเธอจึงต้องการประกาศข่าวประเสริฐแก่ชายคนนี้ โดยคิดว่าหากเขายอมรับข่าวประเสริฐก็คงจะยอดเยี่ยมทีเดียว  บางคนพยายามห้ามเธอ โดยบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้แสวงหาความจริง และไม่ใช่คนที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ได้ แต่เธอกล่าวว่า “หากพวกเราสามัคคีธรรมความจริงให้มากขึ้น เขาอาจจะมายอมรับก็ได้  หากเราไม่นำข่าวประเสริฐไปสู่คนดีเช่นนั้นและไม่ช่วยเขาให้รอด นั่นจะไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือ?”  อันที่จริงเธอมีจุดประสงค์ของเธอเอง  ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้กำลังพยายามเอาชนะชายคนนี้เพื่อที่จะนำเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่เธอต้องการโฆษณาและนำเสนอตัวเองให้กับชายคนนี้  หลังจากทำการตลาดไปมากมาย ท้ายที่สุดเธอก็ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ และสามารถสานสัมพันธ์กับเขาเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ในทุกสิ่งที่ทำ เธอมีเหตุจูงใจของตนเองซึ่งละเมิดหลักธรรมความจริง  ในที่สุดเธอก็ใช้วิธีการต่างๆ นานาที่จะ “นำ” ข่าวประเสริฐไปสู่เขาและถึงขนาดแต่งงานกับเขา โดยกล่าวว่า “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของฉันคือการได้พบกับคนที่ใจตรงกันเช่นนี้  นี่คือสิ่งที่ฉันต้องยอมรับจากพระเจ้า  การแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  การที่ฉันได้พบและแต่งงานกับคนคนนี้คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้าทั้งสิ้น  นี่คือความโปรดปรานและพรจากพระเจ้า”  เธอเดินหน้าสร้างครอบครัวเล็กๆ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข—ทว่าเธอยังสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองปี เวลาที่รู้สึกดีเธอก็ออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นครั้งคราว แต่เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับชีวิตครอบครัว และหัวใจของเธอก็เริ่มว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ  ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าชีวิตครอบครัวเป็นเพียงเรื่องของการหุงหาอาหาร กิน ดื่ม เที่ยวเล่น และความวุ่นวายเท่านั้น  เธอรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างไร้ความหมาย  เมื่อมองย้อนกลับไป เธอไตร่ตรองและบอกกับตนเองว่า “ความเชื่อในพระเจ้า—นั่นต่างหากที่ยังคงเปี่ยมความหมาย  ขอฉันกลับไปเชื่อในพระเจ้าอีกครั้งและเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไปเถิด!”  สุดท้ายเธอก็บอกเล่าประสบการณ์ของตนอย่างสง่างาม โดยกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถไปจากพระเจ้าได้  หากไม่มีพระเจ้า มนุษย์ย่อมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้  เช่นเดียวกับปลาที่ต้องตายหากไม่มีน้ำ หากมนุษย์ไปจากพระเจ้า เขาจะไม่มีทางเดินต่อไปในชีวิตอย่างแน่นอน  นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกลับมา  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียกฉัน”  ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน!  หลังจากกลับมา เธอก็เรียกร้องที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยกล่าวว่า “หากฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของฉัน ทุกอย่างก็ว่างเปล่า  ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตน”  คำพูดของคนที่ไม่ปฏิบัติความจริงและไม่มีความรักให้กับความจริงย่อมสร้างความรังเกียจให้แก่ผู้ที่ได้ยิน  เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถไปจากพระเจ้าได้ แล้วเหตุใดจึงไม่ถามพระเจ้าบ้างเล่าว่าพระองค์ทรงต้องการเจ้าหรือไม่?  เจ้าพบคู่ชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็ทิ้งหน้าที่ของตนและวิ่งหนีไป  เหตุใดเจ้าจึงไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อถามพระองค์ว่าพระองค์ทรงเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ และดูว่าพระองค์ทรงมีท่าทีอย่างไร?  เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่?  เจ้าได้ลุล่วงพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าหรือไม่?  เจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าหรือยัง?  เจ้าได้มองหน้าที่ของเจ้าว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหรือเปล่า?  สำหรับคำถามทั้งหมดนี้ คำตอบก็คือไม่เลย  สำหรับเจ้าแล้วพระเจ้าคืออะไร?  พระองค์ทรงเป็นเพียงสหายที่เจ้าพบข้างทางเท่านั้น  เจ้าทักทายพระองค์แล้วจู่ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าเจ้าเป็นเพื่อนกับพระองค์  หากการนี้เป็นประโยชน์ต่อเจ้า เจ้าก็เดินทางต่อไปกับพระองค์ แต่หากการนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า เจ้าก็บอกลา  แต่แล้วเจ้ากลับนึกถึงพระองค์ขึ้นมาอีกครั้งในยามที่เจ้าต้องการพระองค์  นี่คือความสัมพันธ์ที่เจ้ามี  หากเจ้ามองว่าพระเจ้าทรงเป็นสหายที่เจ้าเคยรู้จัก พระเจ้าจะทรงคิดกับเจ้าอย่างไร?  พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?  เจ้ารู้สึกเศร้า ชีวิตของเจ้าว่างเปล่า เจ้าจึงต้องการพระเจ้า  เจ้าหันกลับมาและต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ทว่าพระเจ้าจะทรงมอบหน้าที่ให้เจ้าโดยง่ายดายอย่างนั้นหรือ?  (พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น)  เหตุใดจึงไม่ทรงทำเช่นนั้น?  เพราะเจ้าไม่คู่ควร!  ถึงแม้ผู้คนเช่นนี้จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ในทันทีที่กลับมาเชื่อในพระเจ้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะเสร็จสิ้นหน้าที่ของตนเอง พวกเขาย่อมจะละทิ้งพระเจ้า ละทิ้งตำแหน่งและทิ้งงานของตนเองโดยไม่มีคำเตือนใดๆ  พระเจ้าทรงมองเรื่องนี้อย่างไร?  ธรรมชาติของการประพฤติปฏิบัติเช่นนี้คืออะไร?  (การทรยศ)  การทรยศไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  ผู้คนดังกล่าวคือพวกละทิ้งหน้าที่!  พวกละทิ้งหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไร?  พวกเขาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่  พวกเขาวางแผนเพื่อสร้างความมั่นคงให้อนาคตและความเป็นอยู่ของตน ในขณะที่ละเมิดต่อเจตนาดั้งเดิมของการปฏิบัติหน้าที่  ท้ายที่สุดพวกเขาก็ทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ของตนไปกลางคัน ทำให้พวกเขากลายเป็นพวกละทิ้งหน้าที่!  คนเช่นนั้นไม่ได้สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจ  ในทางกลับกัน พวกเขามีเจตนาและจุดมุ่งหมายส่วนตน รวมถึงพยายามที่จะหลอกลวงพระเจ้า จนท้ายที่สุดก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตนออกมา  ผู้คนเช่นนี้คือผู้ที่ทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  บางคนกล่าวว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้ามีเสรีภาพที่จะมาหรือไปก็ได้มิใช่หรือ?”  จริงอยู่ว่ามีเสรีภาพที่จะมาหรือไปก็ได้ แต่ในการเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้านั้น คนเราต้องผ่านการตรวจสอบ  เจ้ามีเสรีภาพที่จะไปจากพระนิเวศของพระเจ้าและจะไม่มีผู้ใดขวางทางเจ้า  อย่างไรก็ตามหากเจ้าต้องการกลับเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า นั่นย่อมไม่ง่ายนัก  เจ้าต้องได้รับการพิจารณาและตรวจสอบโดยผู้นำและคนทำงานทุกระดับในคริสตจักรเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ากลับใจอย่างแท้จริง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้รับการยอมรับ  ดังนั้นการออกไปจึงเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับเข้ามาเป็นเรื่องยาก  เราได้ยินว่า บางคนพบว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องยากเหลือเกิน และพวกเขาก็ทนทุกข์มากเสียจนโยนภาระของตนทิ้งแล้ววิ่งหนีไป  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ปัญหาคือพวกเขาเป็นพวกละทิ้งหน้าที่  อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  ทุกคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รับผิดชอบตำแหน่งสำคัญนั้นมีบทบาทสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า  หากเจ้ามีส่วนสำคัญในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและละทิ้งตำแหน่งของตนโดยที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ก็ย่อมไม่มีการฝ่าฝืนใดใหญ่หลวงกว่านี้  สิ่งนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ทรยศต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วในทรรศนะของพวกเจ้า พระเจ้าควรทรงปฏิบัติต่อผู้ที่ละทิ้งตำแหน่งอย่างไร?  (พวกเขาควรถูกละวาง)  การถูกละวางหมายถึงการถูกเมินเฉย ถูกทิ้งให้ทำตามที่เจ้าพอใจ  หากผู้คนที่ถูกละวางรู้สึกสำนึกกลับใจ ก็เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะทรงเห็นว่าพวกเขามีท่าทีที่สำนึกกลับใจมากพอและยังทรงต้องการพวกเขากลับมา  แต่พระเจ้าไม่ทรงมีท่าทีเช่นนี้ต่อผู้ที่ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง—และต่อผู้คนเหล่านี้เท่านั้น  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  (พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา)  นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญนั้นได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า และหากพวกเขาละทิ้งตำแหน่งของตน เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นพวกเขาทำดีต่อพระเจ้าเพียงใด พวกเขาก็คือคนที่ทรยศต่อพระองค์ และพวกเขาจะไม่มีวันได้รับโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง  การไม่ได้รับโอกาสอีกครั้งหมายความว่าอย่างไร?  หากเจ้ากล่าวว่า “ข้าพระองค์รู้สึกผิดเหลือเกิน  ข้าพระองค์เป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า  ข้าพระองค์ไม่ควรตัดสินใจเช่นนั้นตั้งแต่แรก  ตอนนั้นข้าพระองค์ถูกล่อลวงและถูกชักพาให้หลงทาง และตอนนี้ข้าพระองค์เสียใจกับเรื่องนี้  ข้าพระองค์ขอวิงวอนพระเจ้าให้ประทานโอกาสให้ข้าพระองค์ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกครั้ง เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้มีโอกาสกลับใจในสิ่งที่เคยทำลงไปด้วยการทำความดี รวมถึงชดเชยความผิดพลาดของตนเอง” พระเจ้าจะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  ดังที่พระเจ้าตรัสว่าเจ้าหมดโอกาสแล้ว พระองค์จะไม่สนพระทัยเจ้าอีกต่อไป  นี่คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ละทิ้งหน้าที่  เมื่อทรงจัดการกับผู้คนที่กระทำผิดทั่วไป พระเจ้าอาจจะตรัสว่านี่เป็นการกระทำผิดเพียงชั่วคราว หรือเป็นเพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย วุฒิภาวะน้อย ขาดความเข้าใจความจริง หรือเหตุผลอื่นๆ ที่คล้ายกัน  ในกรณีนี้พระเจ้าอาจประทานโอกาสให้พวกเขาได้กลับใจ  อย่างไรก็ตาม มีเพียงผู้ละทิ้งหน้าที่เท่านั้นที่พระเจ้าไม่ประทานโอกาสเป็นครั้งที่สอง  บางคนกล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไรที่พระเจ้าไม่ประทานโอกาสเป็นครั้งที่สอง?  หากพวกเขาต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตเชียวหรือ?”  เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ เจ้าสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ อีกทั้งเจ้าสามารถฟังคำเทศนาและเข้าร่วมคริสตจักรได้  คริสตจักรจะไม่ลบชื่อของเจ้าออกจากรายชื่อทั้งหมด แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างไร หรือไม่ว่าเจ้ากลับใจอย่างไร พระองค์ก็ไม่ต้องประสงค์และไม่ทรงเห็นชอบในตัวเจ้า ถึงแม้เจ้ากำลังออกแรงทำงานเพื่อพระองค์ก็ตาม  นี่คือท่าทีของพระเจ้า  เป็นไปได้ว่าบางคนไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้และกล่าวว่า “เวลาจัดการกับคนประเภทนี้ ทำไมพระเจ้าทรงใจแข็งและเด็ดขาดเหลือเกิน?”  มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือท่าทีของพระเจ้า  เจ้าจะคิดเช่นไรก็ได้ตามแต่ใจของเจ้า  พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพในการตัดสินพระทัย  พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพในการกระทำเช่นนี้และจัดการกับเรื่องนี้เช่นนี้  มีมนุษย์คนใดสามารถทำอะไรได้บ้าง?  ผู้คนสามารถคัดค้านได้หรือ?  ผู้ใดบอกให้เจ้าไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง บอกให้เจ้าทรยศพระเจ้าและกลายเป็นผู้ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่แรกเล่า?  งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยคนเพียงคนเดียว การนี้พึงต้องใช้ผู้คนมากมาย  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าก็จะทรงเลือกคนอื่นที่ทำได้ขึ้นมา  หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามืดบอด  นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเลอะเลือนและโง่เขลา  เจ้าไม่รู้ว่านี่คือพร เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้รับพรนี้  เจ้าควรไปเสีย!  หากเจ้าจากไปแต่หวนกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าจะยังทรงต้องการเจ้าหรือไม่?  ไม่ พระเจ้าไม่สนพระทัย  นี่คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ละทิ้งหน้าที่และเฉพาะผู้ละทิ้งหน้าที่เท่านั้น  คนบางคนกล่าวว่า “หลังจากฉันกลับมาและปฏิบัติหน้าที่ของตน ฉันก็ได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์!”  ตอนที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในครั้งแรก เจ้าหลบหนีไปโดยไม่ลา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงขัดขวางเจ้า  ตอนนี้ที่เจ้ากลับมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะยังทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าได้อยู่หรือ?  จงอย่าให้ความสำคัญกับความรู้สึกอ่อนไหวของเจ้ามากเกินไปนัก  พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระองค์ และพระองค์ทรงมีหลักธรรมในการจัดการกับทุกคน  คำเตือนสำหรับผู้คนในเรื่องนี้คืออะไร?  เจ้าต้องยึดมั่นในหน้าที่ของตน ยืนหยัด และลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้ละทิ้งหน้าที่เหล่านั้นสุดโต่งเกินไปหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าไม่?  การที่บอกว่าไม่สุดโต่งเกินไปนั้นเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร?  ในช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ก็ตาม แต่ละหน้าที่ของแต่ละบุคคลมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้หรือไม่?  ทั้งสองสิ่งสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด  เมื่อมองในหนทางนี้ หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ นั่นก็หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจไปแล้วมากมายใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงลิขิตให้เจ้าล่วงหน้าตั้งแต่พระองค์ทรงสร้างโลก  พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าว่าเจ้าจะเกิดในช่วงเวลาใดและยุคไหน เจ้าจะเกิดมาในครอบครัวแบบใด อิทธิพลที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้า หน้าที่ที่พระเจ้าประสงค์ให้เจ้าปฏิบัติ รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เจ้าได้รับอนุญาตให้เรียนรู้ล่วงหน้า  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าได้เรียนภาษาต่างประเทศ ตอนนี้เจ้าย่อมมีขีดความสามารถนี้ มีความสามารถพิเศษนี้ซึ่งทำให้เจ้าประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมากมายในการตระเตรียม  พระเจ้าทรงตระเตรียมสิ่งเหล่านั้นเพื่อจุดประสงค์ใด?  นั่นก็เพื่อให้เจ้าสามารถโดดเด่นจากฝูงชนใช่หรือไม่?  เพื่อให้เจ้าสามารถไล่ตามไขว่คว้าทางโลกและรับใช้ซาตานเช่นนั้นหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน!  พระเจ้าประสงค์ให้เจ้ามอบสิ่งที่พระองค์ประทานแก่เจ้าให้กับพระนิเวศของพระเจ้า ให้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า และให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์  อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่สามารถมอบสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าได้ ทั้งยังรับใช้ซาตานแทน พระเจ้าจะทรงรู้สึกอย่างไร?  พระเจ้าจะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  พระเจ้าควรที่จะทรงจัดการเรื่องนี้ตามพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างไร?  พระเจ้าจะทรงขับไล่เจ้าไปจากพระองค์ในคราเดียว  พระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้า  เจ้าลืมความเมตตาของพระองค์และทรยศความไว้วางพระทัยของพระองค์  เจ้าไม่ยอมรับหรือหวนคืนสู่พระผู้สร้างของเจ้า  เจ้าไม่ได้พลีอุทิศสิ่งที่พระองค์ประทานแก่เจ้าคืนสู่พระเจ้า แต่กลับสิ่งนี้ไปมอบให้ซาตาน  นี่เป็นการทรยศอย่างร้ายแรง และพระเจ้าไม่ประสงค์คนทรยศเช่นนั้น!

ในพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ขีดความสามารถที่แต่ละบุคคลมีทำให้พวกเขามีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเขาพึงจะทำได้  นอกจากนี้ ประสบการณ์และความรู้ที่พวกเขาได้รับหลังจากมาเชื่อในพระเจ้า รวมไปถึงความจริงที่พวกเขาเข้าใจก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งสิ้น  นี่เป็นหนทางเดียวที่ผู้คนจะสามารถร่วมทุ่มเทความพยายามอันถ่อมใจให้กับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้  ความพยายามอันถ่อมใจนี้คืออะไร?  ความพยายามอันถ่อมใจคือหน้าที่ที่คนคนหนึ่งพึงปฏิบัติ  พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าเข้าใจความจริง รวมถึงมีความฉลาดเฉลียวและมีปัญญา เพื่อที่เจ้าจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี  นี่คือคุณค่าและความหมายของชีวิตเจ้า  หากเจ้าไม่ใช้ชีวิตตามคุณค่าและความหมายนี้ นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้าของตนเลย  เจ้าได้กลายเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้ว  หากเจ้าใช้ชีวิตตามซาตานและเนื้อหนัง พระเจ้าจะยังทรงต้องการเจ้าหรือไม่?  คุณค่าและความหมายของชีวิตเจ้าหายไปแล้ว  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าควรอันตรธานไปจากพระนิเวศของพระองค์ และหายไปชั่วนิรันดร์  พระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้าอีกต่อไป  นอกจากนี้ในช่วงเวลาแห่งการแผ่ขยายพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า ทุกคนที่ติดตามพระเจ้าต่างกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง และทุกคนล้วนผ่านการกดขี่และการข่มเหงอันโหดร้ายจากพญานาคใหญ่สีแดงครั้งแล้วครั้งเล่า  เส้นทางของการติดตามพระเจ้านั้นขรุขระและไม่ราบเรียบ ทั้งยังยากลำบากมากเป็นพิเศษ  ผู้ใดได้ติดตามพระเจ้ามาเกินสองหรือสามปีย่อมจะมีประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง  หน้าที่ที่แต่ละคนปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นหน้าที่ประจำหรือเป็นการจัดการเตรียมการชั่วคราว ก็มาจากอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ผู้คนอาจจะถูกจับกุมอยู่บ่อยครั้ง งานของคริสตจักรอาจจะถูกก่อกวนและได้รับความเสียหาย และอาจจะมีการขาดแคลนผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้มีขีดความสามารถดีและมีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่เพราะการทรงนำของพระเจ้า เพราะมหิทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ พระนิเวศของพระเจ้าจึงได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว และงานทั้งหมดของพระนิเวศก็กลับเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง  สิ่งนี้ดูเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ทว่าไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จ  ตลอดสามสิบปีนับตั้งแต่ที่พระเจ้าทรงปรากฏและเริ่มทรงพระราชกิจมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีร่องรอยพายุใหญ่และความทุกข์ลำบากทุกรูปแบบ  หากไร้ซึ่งการทรงนำของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ที่ทำให้ผู้คนอิ่มเอิบด้วยความเชื่อและความเข้มแข็ง ก็คงจะไม่มีผู้ใดมาไกลได้ถึงเพียงนี้  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ด้วยตนเอง  ไม่มีงานใดในพระนิเวศของพระเจ้าที่ดำเนินไปด้วยความราบรื่น ทุกงานเริ่มต้นจากศูนย์และจบลงด้วยความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังเต็มไปด้วยปัญหา  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นั่นเพราะพวกเราไม่ได้เผชิญหน้ากับการกดขี่และข่มเหงอย่างบ้าคลั่งจากระบอบการปกครองของพญานาคใหญ่สีแดงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การว่าร้าย และการกล่าวโทษจากชุมชนศาสนาทั้งหมดและมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม—แม้แต่ยุคสมัยทั้งหมดก็ทอดทิ้งและขัดขวางพวกเรา  พระราชกิจบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าเริ่มต้นและดำเนินไปในสภาพแวดล้อมและภายใต้ภาวะที่เต็มไปด้วยกระแสชั่วของซาตาน ที่ซึ่งซาตานครองอำนาจ  การนี้ไม่ง่ายเลย เป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นพิเศษ  เพราะฉะนั้นทุกคนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จึงเป็นความชูใจสำหรับพระเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหายาก  ความจริงจังตั้งใจ ความจงรักภักดี และการสละตนที่แต่ละคนสามารถมอบให้ได้ รวมไปถึงท่าทีของความจริงใจและความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตน ท่าทีของการนบนอบต่อพระบัญชาของพระเจ้า และท่าทีที่ยำเกรงพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทะนุถนอม และพระองค์ทรงถือว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก  แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงมีความเกลียดชังเป็นที่สุดสำหรับผู้คนที่ละทิ้งหน้าที่ของตนหรือปฏิบัติต่อหน้าที่เหล่านั้นในฐานะเรื่องตลก และสำหรับพฤติกรรม การกระทำ และการสำแดงการทรยศต่อพระเจ้าที่แตกต่างกันไป เพราะท่ามกลางบริบท ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงรับบทบาทในการขัดขวาง ทำลาย ทำให้ล่าช้า ก่อกวน หรือส่งผลต่อความก้าวหน้าของพระราชกิจของพระเจ้า  และด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าทรงรู้สึกและมีปฏิกิริยาต่อผู้ที่ละทิ้งหน้าที่และผู้ที่ทรยศพระองค์อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไร?  (พระองค์ทรงชิงชังพวกเขา)  ไม่มีสิ่งใดนอกจากความเกลียดและความชิงชัง  พระองค์ทรงรู้สึกเวทนาหรือไม่?  ไม่—พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกเวทนาได้เลย  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าคือความรักมิใช่หรือ?”  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักผู้คนเช่นนั้น?  ผู้คนเหล่านี้ไม่คู่ควรกับความรัก  หากเจ้ารักพวกเขา เช่นนั้นแล้วความรักของเจ้าก็โง่เขลา และแค่เพราะเจ้ารักพวกเขา นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาด้วย เจ้าอาจจะทะนุถนอมพวกเขา ทว่าพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น เพราะในตัวผู้คนเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดคู่ควรแก่การทะนุถนอม  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งผู้คนเช่นนั้นอย่างแน่วแน่ และไม่ทรงให้โอกาสพวกเขาเป็นครั้งที่สอง  การที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  การที่ทรงทำเช่นนี้ไม่เพียงสมเหตุสมผลเท่านั้น ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยังเป็นความจริงอีกด้วย  ในกระบวนการของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนบางคนไม่ยอมรับความจริงแม้แต่ส่วนเดียว  พวกเขาปฏิบัติตนตามอำเภอใจและตามเจตจำนงของตนเองอย่างไม่ยั้งคิดเสมอ  คนเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้สะดุดและเป็นสิ่งกีดขวางต่องานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเขามีบทบาทที่เป็นลบด้วยการขัดขวาง ก่อกวน และสร้างความเสียหายแก่งานข่าวประเสริฐ ขัดขวางการแผ่ขยายของข่าวประเสริฐ  ดังนั้นแล้ว ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อคนเหล่านี้จึงเป็นท่าทีของความรังเกียจและเกลียดชัง  พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป  นี่คือวิธีเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  บางคนกล่าวว่า “การจัดการกับผู้คนเช่นนี้ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”  ในเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดที่มากเกินไปเลย  เมื่อเผชิญกับหมู่มารเหล่านั้น พระเจ้าย่อมได้แต่ทรงรู้สึกรังเกียจและเกลียดชัง  พระเจ้าไม่ทรงอำพรางพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน  แง่มุมที่สำคัญที่สุดสองแง่มุมเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าคืออะไร?  (พระกรุณาอันอุดมและพระพิโรธอันลึกล้ำ)  ในที่นี้ เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร?  ใครเล่าที่จะสู้ทนพระพิโรธอันลึกล้ำของพระเจ้า?  พระพิโรธนั้นตกอยู่กับคนเหล่านั้นที่ต้านทานพระเจ้า ปฏิเสธความจริง และติดตามซาตาน  พระเจ้าไม่ประสงค์พวกที่มุ่งมั่นจะติดตามซาตาน และพระองค์ไม่ประสงค์คนทรยศรวมถึงผู้ละทิ้งหน้าที่  คนบางคนกล่าวว่า “ในช่วงเวลาของความอ่อนแอ ฉันเลือกที่จะไม่ทำหน้าที่ของฉัน แต่ที่จริงแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการละทิ้งพระเจ้าหรือกลับไปยังโลกและค่ายของซาตาน”  ไม่ว่าเจ้าจะอ่อนแอหรือต้องการกลับไปสู่โลก พระเจ้าอาจทรงแสดงความกรุณาและความยอมผ่อนปรนเมื่อทรงจัดการกับความอ่อนแอของเจ้า โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์  พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาอย่างอุดม  ผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และในบางรูปการณ์แวดล้อมนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกอ่อนแอ คิดลบ หรือเกียจคร้าน  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง และพระองค์จะทรงจัดการกับพวกเขาไปตามสถานการณ์  หากเจ้าไม่ใช่ผู้ละทิ้งหน้าที่ พระองค์ก็จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงผู้ละทิ้งหน้าที่  หากเจ้าอ่อนแอ พระองค์ก็จะทรงจัดการกับเจ้าตามความอ่อนแอของเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาเพียงชั่วขณะ หากเจ้าอ่อนแอเพียงชั่วครู่ชั่วยาม หรือหากเจ้าหลงทางของเจ้าเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า ทรงนำเจ้า และทรงเกื้อหนุนเจ้า  พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะใครบางคนซึ่งมีวุฒิภาวะน้อยผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาจากแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงจัดการกับผู้คนดังกล่าวโดยการทอดทิ้งพวกเขา?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการปฏิเสธพระองค์หรือความจริง และเพราะพวกเขาไม่ต้องการติดตามซาตาน  พวกเขาเพียงแสดงให้เห็นความอ่อนแอชั่วครู่ชั่วยามและไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เท่านั้น ดังนั้น พระเจ้าจึงประทานโอกาสให้พวกเขาอีกครั้ง  เช่นนั้นแล้ว ควรรับมือกับผู้คนเหล่านี้ที่มีประสบการณ์กับความอ่อนแอชั่วครู่ชั่วยามและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่กลับหวนคืนมาทำหน้าที่เหล่านั้นในภายหลังอย่างไร?  พวกเขาควรได้รับการยอมรับ  กรณีนี้มีธรรมชาติที่แตกต่างจากธรรมชาติของผู้ละทิ้งหน้าที่ ดังนั้น เจ้าจึงไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์หรือนำแนวทางเดียวกันมาใช้จัดการกับพวกเขาได้  คนบางคนไม่ได้กำลังทนทุกข์กับความอ่อนแอ อันที่จริงแล้วพวกเขาคือผู้ละทิ้งหน้าที่  หากเจ้ารับพวกเขากลับมา พวกเขาก็จะละทิ้งไปอีกครั้งเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน  บางคนที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่ผู้ละทิ้งหน้าที่เพียงชั่วคราว คนเช่นนั้นจะเป็นผู้ละทิ้งหน้าที่อยู่ตลอดเวลา  นี่เป็นเหตุผลที่พระเจ้าทรงขับไล่ผู้คนดังกล่าวออกไปและไม่เคยทรงรับพวกเขากลับมาอีกเลย  นี่ไม่มากเกินไปแม้แต่น้อย  ในเมื่อพวกเขาไม่มีวันถูกรับกลับมา นี่ย่อมหมายความว่าไม่ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยใครอื่นให้รอดก็ตาม พระองค์จะไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นให้รอด  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าฝ่ายผู้มีศักยภาพในการได้รับการช่วยให้รอดขาดคนไปหนึ่งคน พระองค์อาจทรงเพิ่มบุคคลอื่นเข้ามา  แต่คนประเภทนี้ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ  พวกเขาจะถูกตัดขาดตลอดกาลและไม่เป็นที่ต้องการอีก

มีผู้คนอีกประเภทหนึ่งที่มักก่อกวนและสร้างความเสียหายแก่งานข่าวประเสริฐในระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ได้ทำงานบางอย่างและเอาชนะใจผู้คนได้บ้างเช่นเดียวกัน  สิ่งเหล่านี้สามารถถือเป็นความประพฤติดีในส่วนของพวกเขาได้หรือไม่?  ในขณะนี้ขอให้พวกเราวางคำถามที่ว่าพวกเขาประพฤติดีหรือไม่เอาไว้ก่อน  พวกเรามาพูดถึงเรื่องที่ว่า ผู้คนเช่นนั้นมักก่อกวนและสร้างความเสียหายต่องานข่าวประเสริฐอยู่บ่อยครั้งในขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐกันก่อน  ตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่งรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐและคอยแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่นเพื่อสถานะและอำนาจอยู่เสมอ หรือทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นอยู่บ่อยครั้งจนเป็นการรบกวนและสร้างความเสียหายแก่งานข่าวประเสริฐ พระเจ้าจะทรงมองเรื่องนี้อย่างไร?  พระเจ้าจะทรงชั่งน้ำหนักระหว่างความสำเร็จกับข้อเสียของคนเช่นนั้น หรือจะทรงจัดการกับพวกเขาด้วยวิธีอื่น?  (พระเจ้าจะทรงบันทึกความผิดพลาดของพวกเขา)  เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงบันทึกความผิดพลาดของพวกเขา?  ถึงแม้พวกเขาได้ประกาศแก่คนบางคน ทำงานบางอย่าง และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางประการ พวกเขาก็ยังคงทำชั่วต่อไป  ถึงแม้พวกเขาไม่ได้กระทำความผิดอันใหญ่หลวง แต่พวกเขาก็ทำผิดพลาดเล็กน้อยอยู่เป็นประจำ  การทำผิดพลาดเล็กน้อยอยู่เป็นประจำหมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่ปฏิบัติความจริง ต่อสู้กันเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พูดจาโดยไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย ไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริง ปฏิบัติตนตามอำเภอใจและไม่ยับยั้งชั่งใจอยู่บ่อยครั้ง ไม่เคยเปลี่ยนแปลงใดๆ และเป็นเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อชีวิตคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทั้งยังส่งผลให้ผู้เชื่อใหม่บางคนทำผิดพลาด  สิ่งเหล่านี้มิใช่การทำชั่วหรอกหรือ?  (ใช่ สิ่งเหล่านี้คือการทำชั่ว)  หากผู้คนทำชั่วเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างหนัก แต่พวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนจริงๆ แล้วหรือ?  พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีพอโดยแท้จริงหรือไม่?  พระเจ้าทรงมองผู้คนเหล่านี้อย่างไร?  ถึงแม้พวกเขาได้ทำงานบางอย่าง พวกเขาก็ยังสามารถทำชั่วได้โดยไม่ยั้งคิด เช่นนั้นแล้ว พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงสามารถทำชั่วด้วยความไม่ยั้งคิดเช่นนั้นได้เล่า?  ในแง่หนึ่ง นี่เป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ในอีกแง่หนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ยอมรับวิธีคิดแบบแล้วแต่โอกาส  พวกเขาคิดว่า “ฉันได้ทำเรื่องดีๆ มาตั้งมากมายในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในคริสตจักรนี้หรือคริสตจักรนั้น มีผู้คนหลายร้อยคนไปอยู่ที่นั่นเพราะฉันนำข่าวประเสริฐไปสู่พวกเขา  หากคนเหล่านี้สามารถได้รับการช่วยให้รอด นั่นก็จะหมายถึงคุณความดีอันใหญ่หลวงสำหรับฉัน  แล้วพระเจ้าจะทรงจำฉันไม่ได้ได้อย่างไร?  เมื่อพระเจ้าทรงพิจารณาคนเหล่านี้ พระองค์จะทรงกล่าวโทษฉันไม่ได้”  พวกเขากำลังประเมินค่าตนเองสูงเกินไปมิใช่หรือ?  พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาคือผู้ที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจใช่หรือไม่?  พวกเขาแสวงหาการได้รับบำเหน็จและมงกุฎเช่นเดียวกับเปาโล  ในหัวใจของพวกเขาไม่มีที่สำหรับพระเจ้าเลย  พวกเขาไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและกล้าที่จะต่อรองกับพระองค์  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  มีบุคคลที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐมาสองถึงสามปีและพอมีประสบการณ์กับการเผยแผ่อยู่บ้าง  พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากมากมายในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และถึงกับถูกจองจำและถูกตัดสินจำคุกอยู่หลายปี  หลังจากออกมาพวกเขาก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไปและชนะใจผู้คนหลายร้อยคน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีบางคนที่กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างมีนัยสำคัญ บางคนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานด้วยซ้ำ  ผลลัพธ์ก็คือบุคคลนี้เชื่อว่าตนเองสมควรได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติอันยิ่งใหญ่ และใช้เรื่องนี้เป็นทุนเพื่อคุยโวไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พลางอวดตนและเป็นพยานยืนยันแก่ตนเองว่า “ฉันติดคุกถึงแปดปีและฉันตั้งมั่นในคำพยานของฉัน  ฉันชนะใจผู้คนมากมายในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตอนนี้บางคนในบรรดาผู้คนเหล่านั้นเป็นผู้นำหรือคนทำงานไปแล้ว  ในพระนิเวศของพระเจ้าฉันสมควรได้รับความดีความชอบ ฉันมีส่วนช่วย”  ไม่ว่าพวกเขาไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่ไหน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมคุยโวให้ผู้นำหรือคนทำงานในท้องถิ่นนั้นฟัง  พวกเขาจะกล่าวด้วยว่า “พวกคุณต้องฟังสิ่งที่ฉันพูด แม้แต่ผู้นำอาวุโสของพวกคุณก็ต้องสุภาพเวลาพวกเขาพูดคุยกับฉัน  ฉันจะสั่งสอนบทเรียนให้คนที่ไม่สุภาพ!”  บุคคลผู้นี้คือผู้ที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นมิใช่หรือ?  หากบุคคลเช่นนี้ไม่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและไม่ได้เอาชนะใจคนเหล่านั้น พวกเขาจะกล้าโอ้อวดมากเพียงนี้หรือไม่?  พวกเขาจะทำอย่างแน่นอน  การที่พวกเขาสามารถโอ้อวดได้มากขนาดนี้พิสูจน์ว่าสิ่งนี้อยู่ในธรรมชาติของพวกเขา  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  พวกเขากลายเป็นคนโอหังมากจนไร้เหตุผลใดๆ  หลังจากเผยแผ่ข่าวประเสริฐและชนะใจคนได้ไม่กี่คน ธรรมชาติอันโอหังของพวกเขาก็พองตัวขึ้น และพวกเขากลายเป็นคนโอ้อวดยิ่งกว่าเดิม  ผู้คนเช่นนั้นคุยโวถึงทุนของตนไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขาพยายามเรียกร้องความดีความชอบไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด และถึงกับกดดันผู้นำในระดับต่างๆ โดยพยายามจะเป็นผู้ที่ทัดเทียมกับพวกเขา และคิดว่าตัวพวกเขาเองควรที่จะเป็นผู้นำอาวุโสด้วยซ้ำ  จากสิ่งที่สำแดงออกมาโดยพฤติกรรมของคนประเภทนี้ พวกเราทุกคนควรเข้าใจให้ชัดเจนว่าพวกเขามีธรรมชาติประเภทใด และจุดจบของพวกเขาส่อแววว่าจะเป็นเช่นไร  เมื่อปีศาจแทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ออกแรงทำงานเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ไม่ว่าใครจะตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็ไม่ฟัง และพวกเขายืนหยัดต่อสู้กับพระนิเวศของพระเจ้า  ธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาคืออะไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น พวกเขากำลังรนหาที่ตาย และจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะฆ่าตนเองไปแล้ว  นี่เป็นหนทางเดียวที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม  คำว่า “รนหาที่ตาย” นั้นมีความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้คืออะไร?  คือสิ่งที่ดีเมื่อผู้คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้  คนบางคนเกิดมาพร้อมพรสวรรค์บางอย่าง ซึ่งนั่นคือพร แต่หากพวกเขาไม่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก  ตัวอย่างเช่น คนบางคนสามารถพูดได้อย่างฉะฉาน  พวกเขารู้วิธีพูดกับผู้คนที่แตกต่างกัน และสามารถสนทนากับใครก็ได้อย่างง่ายดาย  นี่ก็ถือได้ว่าเป็นความสามารถโดยกำเนิดประเภทหนึ่งเช่นกัน  แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี สิ่งสำคัญคือการดูที่ธรรมชาติของคนคนนั้น และดูว่าพวกเขากำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ชั่ว  ในช่วงเวลาของพระราชกิจแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เจ้าได้พลีอุทิศความสามารถพิเศษของเจ้า ใช้ความคิดมากมาย และเอาชนะใจผู้คนจำนวนมาก  ลำพังเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  เจ้ามีส่วนในการทุ่มเทความพยายามให้กับงานข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่ควรให้พระเจ้าทรงจดจำ  หากเจ้าทำหน้าที่ให้ดีได้โดยไม่ต้องป่าวประกาศ เหล่าพี่น้องชายหญิงย่อมจะเคารพเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นงานของเจ้า และผู้ที่ไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างก็จะแสวงหาจากเจ้า และขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนั้นจากเจ้า  หากเจ้ามีความเป็นมนุษย์และไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนจะชอบเจ้า และพระเจ้าจะประทานพรแก่เจ้า  อย่างไรก็ตามเจ้าอาจจะไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  เจ้าอาจคิดว่าพรสวรรค์เล็กน้อยจากพระเจ้านี้คือต้นทุน และหนักข้อถึงขั้นที่คุยโวไปทั่วเรื่องที่เคยถูกจับติดคุก  ที่จริงแล้ว การติดคุกไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร  ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ผู้คนมากมายถูกจับกุมและถูกคุมขังเนื่องจากเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือทำงานของคริสตจักร  เรื่องนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นต้นทุน แต่เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่งซึ่งถูกควรที่ผู้คนจะสู้ทน  หลังจากผ่านความทุกข์มาแล้ว หากผู้คนมีคำพยานที่จะกล่าว พวกเขาย่อมสามารถเป็นพยานยืนยันถึงกิจการของพระเจ้า เป็นพยานยืนยันว่าพวกเขาพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเอาชนะซาตานในช่วงที่ถูกข่มเหงอย่างไร พวกเขาสู้ทนความทุกข์ประเภทใด และพวกเขาได้รับสิ่งใดจากการนี้  นี่คือหนทางที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม พวกเขาจงใจที่จะไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องนี้ แต่กลับคุยโวเรื่องตนเองไปทั่ว  “ฉันติดคุกมาตั้งหลายปีและทนทุกข์มามากมาย พวกคุณก็ควรปฏิบัติต่อฉันเช่นนี้  หากไม่ปฏิบัติต่อเช่นนี้ พวกคุณก็ตาบอด ไม่รู้ความ และไม่มีหัวใจ”  พวกเขาล้มเหลวในการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  เดิมทีนั้น การที่พวกเขาถูกคุมขังและทนทุกข์โดยไม่ทรยศ ทั้งยังตั้งมั่นเป็นพยานหลังจากถูกตัดสินความผิดเป็นสิ่งที่ดี  นี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การทรงจดจำของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม พวกเขาจงใจไม่ทำในสิ่งที่พึงทำ  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็คุยโวถึงความสำเร็จของตนเพื่อให้ได้รับความเคารพนับถือและความเห็นอกเห็นใจจากผู้คน  พวกเขาหนักข้อถึงขั้นที่ร้องขอสิ่งของทางวัตถุบางอย่าง  นี่คือการแสวงหารางวัลตอบแทนสำหรับความสำเร็จของพวกเขา  อะไรคือความหมายโดยนัยของการแสวงหารางวัลตอบแทนจากผู้คนเช่นนี้?  พวกเขาสามารถร้องขอรางวัลตอบแทนจากผู้คนได้ แล้วพวกเขาสามารถร้องขอบำเหน็จจากพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาไปหาผู้คนและร้องขอรางวัลตอบแทนที่มากพอ พวกเขาร้องขอสถานะ ร้องขอชื่อเสียงและผลประโยชน์ ร้องขอเกียรติยศ และร้องขอความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนัง แล้วจากนั้นพวกเขาก็ไปร้องขอบำเหน็จจากพระเจ้า  นี่เหมือนเปาโลมิใช่หรือ?  นอกจากนี้ พวกเขายังได้เอาชนะใจผู้คนมากมายจากการปฏิบัติหน้าที่นี้  สำหรับพระเจ้าแล้ว หากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนต่อไปบนรากฐานของการเข้าใจความจริง และสามารถปฏิบัติความรับผิดชอบนี้ต่อไปได้ พระเจ้าก็จะไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป  อย่างไรก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำเช่นนี้ แต่กลับคิดว่าตนมีความดีความชอบและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะประกาศสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคน  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ทำงานใดเลย แต่เริ่มร้องขอรางวัลตอบแทน  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็คุยโว โอ้อวดต้นทุนของตน เปรียบเทียบคุณงามความดี และอวดตนว่าพวกเขาได้นำข่าวประเสริฐไปสู่ผู้คนหลายร้อยหลายพันคน  ในเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้ถวายพระสิริแด่พระเจ้า และไม่เคยเป็นพยานยืนยันถึงมหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้าเลย  นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  แล้วพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรม?  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องฟัง ฉันเคยติดคุกมาแล้ว ฉันไม่ได้กลายเป็นยูดาส ฉันมีคำพยานให้กล่าว  นอกจากนั้น ฉันยังเอาชนะใจผู้คนได้มากกว่าคนอื่น ฉันได้จ่ายราคาที่สูงที่สุด  ฉันสู้ทนกับทุกความยากลำบาก เดินมุดสุมทุมพุ่มไม้และนอนในถ้ำ  ไม่มีความทุกข์ใดที่ฉันทนไม่ไหว และไม่มีที่ไหนที่ฉันยังไม่เคยไป  พวกคุณคนไหนเทียบเท่าฉันได้บ้าง?  เพราะฉะนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าใจคำเทศนาที่ได้ฟังโดยถ่องแท้หรอก  การฟังคำเทศนาก็แค่เพื่อปฏิบัติมิใช่หรือ?  ฉันเคยทำมาหมดแล้ว ฉันได้ใช้ชีวิตตามนั้นมาแล้ว  ไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจ แม้กระทั่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า”  คนประเภทใดที่กล่าวคำพูดเช่นนี้?  (เปาโล)  นี่คือเปาโลที่ฟื้นคืนชีพ  พวกเขายังกล่าวด้วยว่า “พวกคุณไม่ได้มีทักษะเท่าฉัน  หากคุณมี คุณคงจะไม่ต้องฟังคำเทศนามากมายนัก และคุณก็จะไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเขียน คัดลอก และท่องจำพระวจนะของพระเจ้าอยู่ทุกวี่วันหรอก  ดูอย่างฉันสิ  ฉันชนะใจผู้คนได้ตั้งมากมายด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ  ฉันเคยเล่าเรียนอย่างพวกคุณเสียเมื่อไร?  ฉันไม่จำเป็นต้องเรียน ทันทีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ฉันก็มีทุกอย่าง”  นี่คือความโง่เขลาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ความโอหังของพวกเขาไม่มีขอบเขต  พวกเขามองการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความรอดว่าอย่างไร?  พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายมาก  พวกเขาเชื่อว่าตนได้แสดงความประพฤติที่ดีและได้ทำงานบ้างเล็กน้อย เชื่อว่าตนต่อสู้อย่างเต็มกำลังและวิ่งแข่งจนครบถ้วน เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือการได้รับมงกุฎ  สำหรับพวกเขาแล้ว พระเจ้าที่ไม่ประทานมงกุฎย่อมไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด  ในเรื่องนี้ พวกเขามีทัศนะเช่นเดียวกับผู้คนในศาสนา  พวกเขายังกล่าวอีกด้วยว่า “ตอนนี้ฉันได้สู้ทนทุกอย่างที่ต้องสู้ทนและจ่ายราคาไปทั้งหมดแล้ว  ฉันทนทุกข์เกือบจะเท่าที่พระเจ้าทรงทนทุกข์แล้ว  ฉันควรได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า”  คนพวกนี้เป็นเหมือนเปาโลมิใช่หรือ?  พวกเขาจัดอันดับผู้คนจากคุณสมบัติและความอาวุโสอยู่เสมอ  พวกเขาเกือบจะพูดว่าสำหรับพวกเขา การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์  หากพวกเขาต้องการเป็นพระคริสต์จริงๆ พวกเขาย่อมจะพบกับปัญหา  นี่คือเปาโลคนที่สอง  ผู้ที่เดินบนเส้นทางนี้ยังมีโอกาสกลับตัวกลับใจหรือไม่?  ไม่มีเลย  เส้นทางนี้คือทางตันของศัตรูของพระคริสต์

เหตุใดบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีจึงเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์?  สิ่งนี้กำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คน  บรรดาคนชั่ว คนที่ไร้มโนธรรมและเหตุผลล้วนเป็นคนที่ไม่รักความจริง  นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาเลือกเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ไปโดยธรรมชาติหลังจากมาเชื่อในพระเจ้า  ทุกคนเชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระเจ้า และฟังคำเทศนา แล้วเหตุใดบางคนจึงเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดคนอื่นๆ จึงเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ และพระพร?  สภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงของพวกเขาเหมือนกัน แต่คุณภาพของความเป็นมนุษย์ และความชอบส่วนตนของพวกเขาแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน  แกะของพระเจ้าย่อมฟังพระสุรเสียงของพระองค์  พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายในยุคสุดท้าย และพระวจนะของพระองค์ก็ถูกแสดงมานานเกือบสามสิบปีแล้ว ทว่าคนเหล่านี้กลับไม่เข้าใจพระวจนะเหล่านั้น  แล้วพวกเขาใช่แกะของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากพวกเขาไม่ใช่แกะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่ามนุษย์  คนที่ไม่รักความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านั้นจดจ่ออยู่กับสิ่งใด?  สิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าคืออะไร?  เรื่องนี้ควรมองเห็นโดยง่ายว่า ความปรารถนาที่จะไล่ตามไขว่คว้าสถานะและพรของพวกเขาแรงกล้าเป็นพิเศษ และพวกเขาจะไม่ฟังความจริงไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมอย่างไร  พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่ยังดึงดันที่จะไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะต่อไป  นอกจากจะขาดการรู้จักตนเองแล้ว พวกเขายังเปรียบเทียบคุณงามความดีและคุยโวเรื่องต้นทุนของตนเองไปทั่วอยู่เสมออีกด้วย  ธรรมชาติของการประพฤติและปฏิบัติตนเช่นนี้คืออะไร?  (คือการรนหาที่ตาย)  นั่นคือคำตอบที่ถูกต้อง  เปาโลก็รนหาที่ตายในหนทางนี้เอง  หลังจากฟังคำเทศนามานานหลายปี ผู้คนก็ยังคงเป็นอย่างเปาโลได้โดยไม่กลับใจ  พวกเขาขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง และไม่ยอมรับความจริงเลย  นี่คือการรนหาที่ตายมิใช่หรือ?  เดิมทีเมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็แสดงพฤติกรรมและการปฏิบัติบางอย่างที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์และมีการปลอมปนออกมา หรือพวกเขาอาจแสดงการต่อรอง หรือความตั้งใจและความปรารถนาส่วนตัวบางอย่างออกมา  พระเจ้าไม่ทรงมองสิ่งนี้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  เมื่อมนุษย์ยังไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าโดยชัดเจน พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้พวกเขามีความเสื่อมทราม การปลอมปน ความอ่อนแอ และการต่อรองได้  แต่เวลานี้พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะเอาไว้มากมายและในระดับที่เพียงพอแล้ว ทว่าเจ้ายังคงยืนกรานที่จะเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้ายึดถือและพฤติกรรมที่เจ้าปฏิบัติอยู่นั้นถูกต้อง  เจ้าปฏิเสธพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า หรือถึงกับดูหมิ่นและละเลยพระวจนะของพระองค์ เจ้ามองโดยไม่เห็น และฟังโดยไม่ได้ยิน  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเช่นนี้คืออะไร?  พระเจ้าทรงมองสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  พระเจ้าจะตรัสว่าเจ้าไม่รักความจริง ตรัสว่าเจ้าไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และตรัสว่าเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ  ผู้คนเช่นนั้นไม่เชื่อว่ามีความจริง ไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสคือความจริงและเป็นเส้นทางสู่ความรอดของมนุษย์  พวกเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้  ถึงแม้คนประเภทนี้ไม่ปฏิเสธพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับเช่นกัน  จากพฤติกรรมของพวกเขา และจากสิ่งที่พวกเขาเผยออกมานั้น เจ้าย่อมสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางใด?  ด้วยการพึ่งพาต้นทุนและความสำเร็จของตนเองเพื่อแสวงหาบำเหน็จจากพระเจ้า พวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล  ไม่ว่าเปาโลถูกชำแหละอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เห็น สิ่งเดียวกันนั้นในตัวเอง  ไม่ว่าเปาโลถูกชำแหละอย่างไร พวกเขาก็จะไม่กลับตัว กลับใจ หรือมารู้จักตนเองเลย  พวกเขายังคงเชื่อว่าทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นถูกต้องและตรงตามความจริง  ไม่ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะมากมายเพียงไร ไม่ว่าพระองค์ทรงชำแหละและทรงกล่าวโทษผู้คนเช่นนั้นอย่างไร พวกเขาก็จะไม่มีวันทบทวนตนเอง  ทัศนะของพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า เจตนาของพวกเขามีต่อการได้รับพร รวมถึงการปฏิบัติเพื่อต่อรองกับพระเจ้าของพวกเขายังคงอยู่อย่างแน่วแน่และไม่เปลี่ยนแปลง  เหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร?  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสอย่างไร ก็แทบไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขาเลย  “คุณจะพูดอะไรก็พูดไป แต่ปล่อยฉันไปตามทางของตนเองเถิด  คุณคือคุณ ฉันคือฉัน  ไม่ว่าคุณทำอะไรหรือมีเจตนาอย่างไร เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า?  นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตหรือความตายของฉันเลย”  คนเหล่านี้คือคนประเภทใด?  (ผู้ไม่เชื่อ)  พวกเขาเชื่อในผู้ใด?  พวกเขาเชื่อในตนเอง  ผู้คนเช่นนั้นไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ?  (พวกเขาน่ารังเกียจ)  พวกเขาน่ารังเกียจและควรพินาศไปเสีย  พวกเขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  ด้วยเหตุนั้นในบรรดาผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ หากมีผู้คนมากมายที่มัวแต่พึงพอใจกับความสำเร็จในอดีตของตน โอ้อวดความอาวุโสของตน และร้องขอบำเหน็จจากพระเจ้าให้กับความดีความชอบในอดีตอยู่เสมอ พวกเขาย่อมจะตกอยู่ในอันตราย  จากการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา จุดจบของพวกเขาย่อมจะถูกกำหนดว่าเป็นการรนหาที่ตาย  เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าพบคนประเภทนี้ การที่เจ้าจะตักเตือนพวกเขาเกี่ยวกับการรนหาที่ตายเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่?  หากพวกเขายังสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ จงอย่าพูดเช่นนั้นกับพวกเขา  เจ้าสามารถเตือนความจำพวกเขา ตักเตือนพวกเขา และชี้นำพวกเขาได้ด้วยการบอกเป็นนัยเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม หากแก่นแท้และอุปนิสัยของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกับของเปาโลโดยแท้จริง พวกเราควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  การรู้ว่าพวกเขากำลังรนหาที่ตายแต่ไม่บอกความจริงกับพวกเขา ทั้งยังคงหนุนใจพวกเขาและยอมให้พวกเขาทำงานรับใช้ต่อไป นี่เรียกว่าการทำให้ซาตานอับอาย  การทำเช่นนี้เหมาะสมใช่หรือไม่?  (เหมาะสม)  การใช้ประโยชน์จากการรับใช้ของซาตานเป็นพระปัญญาของพระเจ้า  หากเจ้าปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงของเจ้าในหนทางนี้ นี่ย่อมเป็นการทำชั่วและพระเจ้าจะทรงรังเกียจการนี้  หากเจ้าใช้ประโยชน์จากการรับใช้ของซาตาน นี่เรียกว่าการทำให้ซาตานอับอาย  สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา  พญานาคใหญ่สีแดง ซาตาน และหมู่มารรับใช้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า)  พวกเราควรมองเรื่องนี้อย่างไร?  นี่คือพระปัญญาของพระเจ้า  สิ่งนี้ไม่สามารถกล่าวโทษได้  นี่คือความจริง  เจ้าต้องใช้ซาตาน ใช้สิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า  หากเจ้าไม่ใช้มันเพื่อจุดประสงค์ในการรับใช้ งานบางอย่างย่อมจะไม่เสร็จสิ้นด้วยดี และจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้โดยง่าย  ผู้คนที่เดินอยู่บนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับความรอดต่างก็มีระยะของการออกแรงทำงานเช่นกัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถาวร  พระเจ้ามิทรงใช้พระปัญญาเพื่อให้เจ้าทำงานรับใช้ แต่เจ้าต้องก้าวผ่านระยะเวลานี้ไปให้ได้  เนื่องจากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจึงทำหลายสิ่งหลายอย่างโดยไร้ซึ่งหลักธรรม แต่เป็นไปตามเจตจำนงของตนเอง  ในแง่แก่นแท้ของเจ้านั้น เจ้าไม่เต็มใจที่จะลงแรง แต่ในแง่ของข้อเท็จจริงตามที่เป็นจริง เจ้ากำลังออกแรงทำงาน  มีเพียงตอนที่ผู้คนออกแรงทำงานให้ดี รวมถึงเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปทีละน้อยเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยแท้จริง นบนอบพระเจ้าและทำตามเจตนารมณ์ของพระองค์ได้ทีละขั้นตอน รวมถึงก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดได้ทีละก้าว  อย่างไรก็ตาม การลงแรงนี้ต่างจากการใช้ประโยชน์จากการรับใช้ของซาตานโดยสิ้นเชิง  สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน  พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากการรับใช้ของซาตานเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงช่วยซาตานให้รอด  คนออกแรงทำงานที่เชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้คือผู้ที่ได้รับความรอดของพระเจ้า  ในกรณีของคนออกแรงทำงานบางคน พวกเขาจะได้รับใช้เมื่อพวกเขาเป็นประโยชน์ แต่หากพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ต้องถูกตักเตือนอย่างรุนแรง  หากพวกเขาไม่กลับใจ พวกเขาจะถูกขับไล่และขับออกไป  พวกเขาต้องถูกปฏิบัติเช่นนี้  หากพวกเขาสามารถออกแรงทำงานด้วยความซื่อสัตย์ได้ตามปกติและไม่ก่อกวนงาน เช่นนั้นจงปล่อยให้พวกเขาออกแรงทำงานต่อไป  บางทีสักวันหนึ่งพวกเขาอาจจะเข้าใจความจริงและสามารถได้รับการช่วยให้รอด  นี่เป็นสิ่งที่ดี แล้วเหตุใดจึงไม่ทำสิ่งนี้ด้วยความเบิกบานเล่า?  เจ้าไม่อาจกล่าวโทษใครบางคนโดยที่ยังไม่ถึงเวลาได้  เหตุผลที่คนบางคนถูกกล่าวโทษคืออะไร?  พวกเขาถูกกล่าวโทษเพราะการก่อกวนของพวกเขานั้นร้ายแรงเกินไป  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากเพียงใด พวกเขาจะไม่สามารถยอมรับความจริงนั้นได้ และจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างย่ำแย่  แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกันกับเปาโล  พวกเขาปฏิเสธที่จะกลับใจแบบหัวชนฝา  พวกเขากำลังรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย  แน่นอนว่าในคริสตจักรย่อมมีผู้คนเช่นนั้นอยู่  แน่นอนว่าพวกเขาอยู่ในหมู่ผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พวกเจ้าคิดว่า การปล่อยให้คนเช่นนั้นรู้ความจริงที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?  เจ้ากลัวว่าคนเช่นนั้นจะรู้ความจริงที่แท้จริงหรือไม่?  (พวกเราไม่กลัว)  หากผู้คนเช่นนั้นสามารถตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเองในการนี้และกลับใจได้ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดี  เจ้าจำเป็นต้องให้โอกาสผู้คน  จงอย่าคิดว่าพวกเขาไร้ประโยชน์หรือหมดหวัง  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขารู้ความจริงที่แท้จริง แต่ไม่เปลี่ยนแปลงหนทางของตน ทั้งยังคงกระทำการก่อกวนต่อไป เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้จริง  เมื่อผู้คนไม่อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกเขาแต่อย่างใด  ผู้คนเช่นนั้นควรถูกเอาตัวออกไปและกำจัดออกไปเสีย

โดยสรุปแล้ว สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนต้องทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วงและจัดการกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐอย่างจริงจังตั้งใจ  พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดในขอบข่ายที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และผู้คนต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาต้องรอบคอบ ไม่มองข้ามผู้ใดก็ตามที่กำลังแสวงหาและสืบเสาะทางเที่ยงแท้จริง  ที่มากกว่านั้นคือ ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าต้องทำความเข้าใจหลักธรรม  สำหรับทุกคนที่กำลังสืบเสาะหนทางที่แท้จริง เจ้าต้องเฝ้าสังเกต เข้าใจ และจับใจความสิ่งทั้งหลาย อาทิ ภูมิหลังทางศาสนาของพวกเขา ขีดความสามารถของพวกเขาดีหรือแย่ และคุณภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  หากเจ้าพบบุคคลที่กระหายความจริง สามารถจับใจความพระวจนะของพระเจ้า และสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงลิขิตบุคคลนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว  เจ้าควรพยายามอย่างสุดกำลังที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาและโน้มน้าวพวกเขาให้เห็นพ้อง  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาจะมีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนด้อยและมีบุคลิกลักษณะที่เลวร้าย และความกระหายของพวกเขาเป็นการเสแสร้ง และพวกเขาโต้เถียงอยู่ร่ำไป และยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดของตน เจ้าก็ควรละวางพวกเขาและยอมทิ้งพวกเขา  ผู้คนบางคนที่กำลังสืบเสาะหนทางเที่ยงแท้อยู่นั้นมีความสามารถในการจับใจความและมีขีดความสามารถดีเยี่ยม แต่กลับโอหังและคิดว่าตนเองถูก  พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างแนบแน่น ดังนั้น เจ้าควรสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาด้วยความรักและความอดทนเพื่อแก้ไขปัญหานี้  เจ้าควรยอมแพ้ต่อเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไรเท่านั้น—เช่นนั้น เจ้าก็จะได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้แล้ว  โดยสรุปก็คือจงอย่าวางมือโดยง่ายจากผู้ใดก็ตามที่สามารถรับรู้และยอมรับความจริงได้  ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจสืบเสาะหนทางที่แท้จริงและสามารถแสวงหาความจริงได้ เจ้าก็ควรทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้นและสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาให้มากขึ้น และเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้า รวมถึงแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและตอบคำถามของพวกเขา เพื่อให้เจ้าโน้มน้าวพวกเขาให้เห็นพ้องและพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เป็นไปตามหลักธรรมแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  แล้วทำอย่างไรจึงโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นพ้องได้?  หากในกระบวนการที่เจ้าเข้าไปคลุกคลีกับพวกเขา  เจ้าแน่ใจว่าบุคคลผู้นี้มีขีดความสามารถที่ดีและมีความเป็นมนุษย์ที่ดี เจ้าต้องทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้เพื่อทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง เจ้าต้องยอมลำบากระดับหนึ่ง และใช้หนทางและวิถีทางบางอย่าง และก็ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าใช้หนทางและวิธีการใด ตราบเท่าที่เจ้าใช้มันเพื่อโน้มน้าวคนคนนั้นให้เห็นพ้องได้  โดยสรุป เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นพ้อง เจ้าต้องทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง ใช้ความรักและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้  เจ้าต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจและทำทุกสิ่งที่เจ้าควรทำ  ต่อให้โน้มน้าวคนคนนี้ไม่ได้ เจ้าก็จะมีมโนธรรมที่ชัดเจนอยู่กับตัว เจ้าจะได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าทำได้แล้ว  หากเจ้าไม่สามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจน และบุคคลนี้เกาะติดมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาไม่เลิกรา และหากเจ้าหมดความอดทนและยอมวางมือจากพวกเขาไปเอง เช่นนี้เจ้าก็ละเลยหน้าที่ของตัวเอง และสำหรับเจ้าแล้ว นี่จะเป็นการฝ่าฝืนและเป็นรอยด่าง  ผู้คนบางคนพูดว่า “การมีความด่างพร้อยเช่นนี้หมายความว่าฉันถูกพระเจ้ากล่าวโทษเสียแล้วใช่หรือไม่?”  เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนทำสิ่งเหล่านี้โดยเจตนาและเป็นปกติวิสัยหรือไม่  พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษผู้คนสำหรับการฝ่าฝืนเป็นครั้งคราว พวกเขาจำเป็นต้องกลับใจเท่านั้น  แต่เมื่อพวกเขารู้ทั้งรู้ก็ยังทำผิดและไม่ยอมกลับใจ พวกเขาย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษ  พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขาได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาตระหนักรู้หนทางที่แท้จริงอย่างชัดเจน แต่ก็ยังจงใจทำบาป?  เมื่อพิจารณาตามหลักธรรมความจริง นี่คือการขาดความรับผิดชอบและสุกเอาเผากิน และอย่างน้อยที่สุดคือคนเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองให้ลุล่วง พระเจ้าทรงพิพากษาความผิดพลาดของพวกเขาเช่นนั้น หากพวกเขาไม่ยอมกลับใจ พวกเขาก็จะถูกกล่าวโทษ  และดังนั้น เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงความผิดเช่นนั้น ผู้คนจึงควรทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง พยายามอย่างแข็งขันที่จะตอบคำถามทั้งหมดของผู้คนที่กำลังสืบเสาะหนทางที่แท้จริง และแน่นอนว่าต้องไม่ผัดวันประกันพรุ่งหรือประวิงคำถามที่สำคัญยิ่งออกไป  หากบุคคลผู้กำลังสืบเสาะทางเที่ยงแท้ถามคำถามหนึ่งซ้ำๆ เจ้าควรตอบอย่างไร?  เจ้าไม่ควรรังเกียจที่จะใช้เวลาและเป็นธุระในการตอบพวกเขา และควรหาทางสามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำถามของพวกเขาให้กระจ่าง จนกระทั่งพวกเขาเข้าใจและไม่ถามคำถามนั้นอีก  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าให้ลุล่วง และหัวใจของเจ้าก็จะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิด  ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าจะเป็นอิสระจากการรู้สึกผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ เพราะหน้าที่นี้ ความรับผิดชอบนี้ ได้รับการมอบหมายให้แก่เจ้าโดยพระเจ้า  เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำถูกกระทำไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กระทำโดยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เมื่อนำทุกสิ่งทุกอย่างมาเทียบดูตามพระวจนะของพระเจ้า และกระทำทุกสิ่งนั้นตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติของเจ้าย่อมจะสอดคล้องกับความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  ในหนทางนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าพูดและทำย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน และพวกเขาจะเห็นชอบและยอมรับมันโดยง่าย  หากคำที่เจ้าพูดให้ความกระจ่าง สัมพันธ์กับชีวิตจริง และชัดเจน เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทุ่มเถียงและการเผชิญหน้ากันได้ เสริมกำลังให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริง และสอนใจพวกเขา  หากสิ่งที่เจ้าพูดนั้นสับสนและกำกวม และสามัคคีธรรมที่เจ้าพูดถึงความจริงก็ขุ่นมัว ไม่ให้ความกระจ่าง และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เจ้าจะไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของผู้คนได้ และพวกเขาก็อาจจะจับผิดเจ้า ตัดสินเจ้า และกล่าวโทษเจ้าก็เป็นได้  ปัญหาเหล่านี้ย่อมจะยิ่งยากที่เจ้าจะแก้ไข เจ้าอาจต้องสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกหลายบทตอนกว่าที่ผู้คนจะสามารถเข้าใจและยอมรับความจริงนั้นได้  ดังนั้น ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนเราต้องฉลาดพูด และต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงอย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยวิธีที่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน ได้รับความเลื่อมใส และโน้มน้าวพวกเขาด้วยความจริงใจ  การทำแบบนี้ช่วยให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ง่าย เสริมกำลังผู้คนให้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้แบบไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแผ่ขยายข่าวประเสริฐ

สำหรับหลักธรรมที่พึงทำตามเมื่อปฏิบัติการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ในอีกแง่หนึ่งนั้น ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นต้องประพฤติปฏิบัติตนด้วยความมีศักดิ์ศรีและซื่อตรง พูดและประพฤติตนเยี่ยงธรรมิกชน มีความยับยั้งชั่งใจอย่างถูกควรในทุกสิ่งที่พวกเขาทำในขั้นตอนของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ รวมทั้งประพฤติตนอย่างมีวินัย  ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐบางคนไม่ชอบใจเมื่อถูกคนแปลกหน้ารบกวน แล้วเจ้าควรประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขาอย่างไร?  บางคนประกาศข่าวประเสริฐด้วยการโทรศัพท์ไปหาวันละสามหน รีบไปหาผู้คนถึงบ้านหลังจากพวกเขากลับจากที่ทำงาน และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐฟังทันทีที่พบหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม  ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงหมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นคนที่ก่อความรำคาญ  บางคนโง่เขลามากเสียจนถึงกับพูดกับผู้สืบค้นหนทางที่แท้จริงเหล่านั้นว่า “โลกนี้ชั่วเหลือเกิน ดังนั้นคุณหยุดทำสิ่งกำลังที่ทำอยู่เสียเถิด ไม่ต้องไปทำงาน  คุณรู้ไหมว่านี่เป็นเวลาใด?  มหันตภัยใกล้เข้ามาแล้ว  นี่คือเวลาที่คุณต้องเชื่อในพระเจ้าโดยด่วน!”  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางนี้เหมาะสมหรือไม่?  การนี้จะก่อให้เกิดผลที่ตามมาเช่นไร?  พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อที่ยังไม่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า  จำเป็นหรือไม่ที่จะพูดกับพวกเขาในหนทางนี้?  นอกจากนี้แล้ว จงอย่าจุ้นจ้านกับชีวิตส่วนตัวหรือทัศนะส่วนตัวของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ  ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวกับผู้ที่พวกเขาพยายามเอาชนะใจว่า “ดูสิ คุณยังเชื่อในพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?  ผู้เชื่ออย่างพวกเราไม่สวมใส่เสื้อผ้าพวกนี้ของผู้ไม่มีความเชื่อกันหรอก”  “คนที่เชื่อในพระเจ้าไม่กินอาหารประเภทนี้ คุณต้องกินแบบนั้นแบบนี้สิ”  นี่คือการยื่นจมูกเข้าไปสอดเรื่องของผู้อื่นมิใช่หรือ?  นี่เรียกว่าความโง่เขลา  หากคำพูดและการกระทำของเจ้าในช่วงเวลาหนึ่งไม่เหมาะสม นั่นอาจจะทำให้ราคาที่เจ้าจ่ายไปในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐต้องสูญเปล่า  ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องปฏิบัติตนอย่างระมัดระวังในทุกสถานการณ์ ยับยั้งและควบคุมการประพฤติปฏิบัติของเจ้า และประพฤติตนอย่างมีวินัย  อะไรคือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าการมีวินัย?  การมีวินัยหมายถึงการทำสิ่งทั้งหลายตามกฎเกณฑ์ การนึกถึงคำพูดประเภทที่เหมาะสมกับหน้าที่ที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่ และคำพูดแบบใดที่ผู้รับข่าวประเสริฐจะเต็มใจฟัง  จงอย่าทำหรือกล่าวสิ่งใดที่พวกเขาจะเกลียดชังหรือรำคาญใจ จงอย่าถามคำถามที่เป็นการล้ำเส้น และจงอย่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเขาโดยเด็ดขาด  สมมุติว่าใครบางคนมีบุตรชายสองคน และเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “การมีลูกชายสองคนเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามีลูกสาวด้วยอีกสักคนจะไม่ดีกว่าหรือ?”  เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?  เมื่อผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐบางคนรู้ภาษาอังกฤษ เจ้าก็กล่าวว่า “ภาษาอังกฤษของคุณเยี่ยมมากจริงๆ  หากคุณมาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของคุณในพระนิเวศของพระเจ้าก็คงจะดีมากทีเดียว  พระนิเวศของพระเจ้าขาดคนแบบคุณ”  การกล่าวเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  ไม่มีใครคนใดที่เหมือนกัน  หลังจากที่คนเหล่านี้มาเชื่อแล้ว พวกเขาอาจจะแข็งขันและกระตือรือร้นมากกว่าเจ้า แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อและไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้น อย่าเร่งรัดสิ่งต่างๆ ก่อนเวลาอันสมควร และอย่าเข้าไปจุ้นจ้านกับชีวิตผู้อื่นโดยเด็ดขาด  เจ้าเข้าใจหรือไม่?

มีอีกหนึ่งสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้  ในกระบวนการของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ บางคนยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและเข้าใจความจริงอยู่บ้าง  จากนั้น พวกเขาก็คิดว่าตนเองเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มาก  พวกเขาดูหมิ่นบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ และถึงกับดูหมิ่นและดูถูกคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงที่พวกเขาพบ  พวกเขาคิดว่า “คนอย่างพวกคุณน่ะ หากคุณไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า คุณก็ตามืดบอด โง่เขลา ไม่รู้ความ และไม่เหมาะกับสิ่งใดทั้งนั้นนอกจากความตาย แถมยังไร้ค่าโดยสิ้นเชิง  วันนี้ฉันมีหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่คุณ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่สนใจคุณด้วยซ้ำ!”  นี่คือท่าทีประเทศใด?  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่มากไปกว่าการยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเลย  เจ้าไม่ได้ยืนอยู่สูงกว่าใครเลย  ต่อให้เจ้าเป็นกษัตริย์ เจ้าก็จะยังเป็นเพียงหนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้เสื่อมทรามมิใช่หรือ?  เจ้ายิ่งใหญ่กว่าผู้อื่นในหนทางใด?  จงอย่าดูหมิ่นผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง  ต่อให้เจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา เจ้าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือดีไปกว่าพวกเขา  จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเช่นเดียวกับพวกเขา  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้โดยชัดเจนอยู่ในหัวใจ  จงอย่ามองผู้อื่นราวกับเจ้ากำลังกระทำการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่บางอย่างต่อโลกใบนี้ หรือกำลังชี้นำสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกไปสู่ความรอดอยู่ตลอดเวลา  เจ้าเฝ้าแต่คิดว่า “พวกคุณที่ยังไม่ยอมรับข่าวประเสริฐช่างน่าเวทนานัก  ฉันรุ่มร้อนด้วยความวิตกกังวลทุกวี่ทุกวันก็เพราะพวกคุณ”  สิ่งใดที่ทำให้เจ้ารุ่มร้อนกันเล่า?  เจ้ายังไม่ได้แก้ไขปัญหาของตนเองเลย แต่เจ้ากลับรุ่มร้อนด้วยความวิตกกังวลในเรื่องของผู้อื่น  นั่นไม่ใช่ความหน้าซื่อใจคดหรอกหรือ?  เจ้ากำลังหลอกลวงผู้อื่นอยู่มิใช่หรือ?  อย่าหลบอยู่หลังหน้ากากคุณธรรม  ที่จริงแล้วเจ้าไม่มีค่าอะไรเลย  ต่อให้เจ้ายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้ามาแล้วยี่สิบหรือสามสิบปี เจ้าก็ยังคงไม่มีความสำคัญอะไรเลย  ต่อให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพระเจ้าทุกวัน และได้พูดคุยกับพระองค์ต่อหน้าเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง  แก่นแท้ของเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่นคือการปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่เป็นภาระผูกพันของเจ้า เป็นความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าควรเข้าใจว่า ไม่ว่าเจ้าเอาชนะใจผู้คนมากมายเพียงใด เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้า  เจ้าไม่ได้กลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง เจ้ายังคงเป็นมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  ถึงแม้ว่าเจ้าชนะใจผู้คนมาแล้วมากมาย เจ้าก็ไม่ควรภูมิใจ และยิ่งไม่ควรโอหัง  จงอย่าเที่ยวอวดเบ่งความสำเร็จของเจ้าไปทั่วด้วยการกล่าวว่า “ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐมานานหลายปี และได้รวบรวมประสบการณ์กับบทเรียนทั้งหลายไว้มากมาย  ไม่ว่าฉันประกาศข่าวประเสริฐกับใคร ฉันก็บอกได้ในพริบตาว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี และฉันรู้ว่าควรประกาศข่าวประเสริฐหรือไม่ควรประกาศข่าวประเสริฐ  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแก่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันก็รู้ว่านั่นจะเป็นเรื่องง่ายหรือเป็นไปได้หรือไม่  ฉันหาทางนำข่าวประเสริฐไปสู่ผู้ที่สามารถเผยแผ่ด้วยได้เสมอ”  ถึงแม้เจ้าจะมีประสบการณ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าก็ยังคงตื้นเขินอยู่มาก  ถึงแม้เจ้าจะมีประสบการณ์ชีวิตบางอย่างและได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่บางครั้งเจ้าก็ยังคุยโวเพื่ออวดตน  นี่คือปัญหามิใช่หรือ?  คนที่มีพรสวรรค์คือคนที่มีแนวโน้มจะพูดจาโอ้อวดและไร้แก่นสาร  พวกเขาคิดเสมอว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น พวกเขาชอบที่จะสั่งสอนผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐอยู่เป็นนิจ ทั้งยังต้องการให้ผู้คนเคารพบูชาและนับถือพวกเขาอยู่ตลอดเวลา  นี่คือปัญหาทางอุปนิสัยมิใช่หรือ?  หลังจากที่คนเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเพียงอย่างเดียวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัย พวกเขาจะสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือ?  หากเจ้าไม่สามารถกล่าวคำพยานเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้ หากเจ้าสามารถพูดถึงความจริงของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้เพียงอย่างเดียว เจ้าจะเหมาะแก่การทรงใช้งานของพระเจ้าหรือ?  หลังจากผู้คนยอมรับผลทางที่แท้จริง พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจความจริงของการเข้าสู่ชีวิตและความจริงของการปฏิบัติ  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์จริงและไม่รู้วิธีพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของเจ้า สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นข้อบกพร่องมิใช่หรือ?  หากเจ้ามุ่งเน้นที่การพูดถึงคำสอนเพื่อทำให้ผู้คนนับถือและยกย่องตัวเจ้าอยู่เสมอ หากเจ้าต้องการยืนอยู่ในจุดที่สูงส่งอยู่ตลอดเวลา นี่คือการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  นี่คือการเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง  นี่คือการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หากเจ้าไม่ผ่านการพิพากษาและการตีสอน เจ้าจะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของตนได้อย่างไร?  ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์บางอย่าง และผู้ที่ฟังพวกเขาต่างได้รับประโยชน์มากมายจากการนี้ พวกเขารู้สึกตื้นตัน และเลื่อมใสผู้พูดเหล่านี้จากก้นบึ้งของหัวใจ  แต่ถึงกระนั้น ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านี้ยังคงมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาไม่ดูหมิ่นผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ  พวกเขาสามารถพูดคุยกับผู้คนได้จากหัวใจ เข้ากับผู้คนและผูกมิตรกับพวกเขาได้ตามปกติ พวกเขาพอจะมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแท้จริงอยู่บ้าง  พวกเขาทำการนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการเชื่อในพระเจ้า  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความจริงบางประการ มีความรู้เกี่ยวกับตนเองบ้าง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่โอหังอีกต่อไป  เมื่อพวกเขาพบคนที่ยังไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ พวกเขาย่อมคิดว่า “เมื่อก่อนฉันเองก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นฉันไม่ควรดูเบาพวกเขา  ตัวฉันเองก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น”  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาไม่เป็นเช่นเคยอีกต่อไป  เมื่อผู้คนรับรู้ถึงธรรมชาติของตนเอง หากพวกเขาเห็นผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐเผยความไม่รู้ ความโง่เขลา และความอ่อนแอออกมาเล็กน้อย พวกเขาก็จะคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ  จงอย่าเย้ยหยันผู้อื่น และอย่ารับเอาความรู้สึกหรือท่าทีที่ว่าคนอื่นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมวลชนธรรมดาสามัญทั่วไป  หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ นี่ย่อมจะขัดขวางหรือเป็นอันตรายต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเจ้า  อย่างไรก็ตาม บางครั้งสภาวะอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าเมื่อเจ้าพบคนมากมายที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามานานยี่สิบปี และเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาราวสิบปีแล้ว  เมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ พวกเขาจะรู้สึกว่าเจ้าเหนือกว่าอยู่เสมอ พลางกล่าวว่า “คุณเชื่อในพระเจ้ามาตั้งยี่สิบปี ขณะที่พวกเราเพิ่งยอมรับพระองค์เท่านั้น  วุฒิภาวะของพวกเรายังคงน้อยมาก และเมื่อเปรียบเทียบกัน แน่นอนว่าพวกเรายังต่ำต้อยกว่าคุณมาก  คุณเป็นผู้ใหญ่ ส่วนพวกเราเป็นเพียงทารกแรกเกิด”  เมื่อพวกเขาเปรียบเทียบเช่นนี้ เจ้าควรจะคิดอย่างไร?  “ถึงแม้ฉันยอมรับพระเจ้ามาก่อนพวกเขา และเชื่อมานานกว่าพวกเขา แต่ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตและความจริง ฉันยังคงล้าหลังอยู่มาก  ฉันยังไม่ได้ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนที่แท้จริงของพระเจ้า และฉันยังคงห่างไกลจากการได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อมอยู่มาก”  เจ้ารู้อยู่ในหัวใจว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นอย่างไร  ไม่ว่าผู้คนจะให้ความนับถือเจ้าอย่างไร หรือยกย่องเจ้ามากแค่ไหน เจ้ารู้สึกอย่างไร?  “ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น อย่านับถือฉันเลย”  เจ้าจะรู้สึกรังเกียจและไม่รู้สึกชื่นชมยินดีแต่อย่างใด เพราะเจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนในหัวใจว่า เจ้าไม่ได้มีค่าอะไรเลย เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าสามารถกล่าวเพียงคำพูดและคำสอนบางประการเท่านั้น  ผู้คนนั้นโง่เขลาและมีแนวโน้มที่จะนับถือผู้อื่น  หากเจ้าชื่นชมยินดีกับความรู้สึกของการเป็นที่นับถือ และเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็มีปัญหาเสียแล้ว  หากเจ้ารู้สึกรำคาญใจกับสิ่งเหล่านั้นและอยากออกจากสถานการณ์ประเภทนี้ หากเจ้าไม่ชอบให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเจ้าในหนทางนี้ นั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับตนเองอยู่บ้าง  นี่คือสภาวะที่ถูกต้อง และในการนี้ เจ้าจะไม่มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

สถานการณ์ที่เรากำลังพูดถึง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสถานการณ์ที่ผู้คนเผชิญอยู่เป็นประจำในกระบวนการของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในด้านที่เป็นลบของสิ่งทั้งหลาย พวกเจ้าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงวิธีการพูด การปฏิบัติ และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง รวมถึงต้องแน่ใจว่าอุปนิสัยของเจ้าไม่ได้เผยสิ่งไม่เหมาะสมที่ไม่สอดคล้องกับความจริงออกมา  ในด้านที่เป็นบวก ในขณะปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าควรมีท่าทีของความจงรักภักดีและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนไปจนถึงปลายทาง  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีพอ  ในกระบวนการนี้ เจ้าควรค่อยๆ แสวงหาความจริงและหลักธรรมไปเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมถึงมุมานะพยายามและจงรักภักดีไปจนกว่าจะปฏิบัติหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ที่เจ้ามีจนเสร็จสิ้น  ไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ประเภทใด เจ้าก็ควรสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและจดจำเจ้าจากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำได้ดีพอและน่าชมเชย  ระหว่างช่วงเวลาของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะกระทำผิดและทำความผิดพลาดให้น้อยลงเรื่อยๆ  ระหว่างเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน จำนวนครั้งที่เจ้าเข้าไปมีส่วนในการต่อรองหรือแสวงหารางวัลตอบแทน หรือมีความกระตือรือร้นและความอยากที่จะทำเช่นนั้นจะต้องน้อยลงเรื่อยๆ  ขณะเดียวกันเจ้าก็ต้องแสวงหาการลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างแข็งขัน ลุล่วงความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง และถือว่าหน้าที่ของเจ้าเป็นสิ่งที่เจ้าพึงทำ  นอกจากนี้ จงเพียรพยายามทำหน้าที่ของเจ้า เพื่อที่ว่าเมื่อเจ้าหวนคิดถึงเรื่องนี้ในอีกหลายปีให้หลัง มโนธรรมของเจ้าจะชัดเจน  นี่หมายความว่าเจ้าต้องค่อยๆ ลดจำนวนของสิ่งทั้งหลายที่ทำให้เจ้ารู้สึกติดค้าง  เจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยได้  สมมุติว่าขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้รับที่มีศักยภาพ เจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดี และเรื่องนี้ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจราวกับติดหนี้ อีกทั้งเจ้ารู้สึกว่าตนไม่ได้เตรียมงานมามากเพียงพอ  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐหลังจากนั้น สภาวะของเจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิมและเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย  นี่หมายความว่าเจ้าไม่ได้เติบโตขึ้นเลยในระหว่างช่วงเวลานี้  การขาดการเติบโตเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  นี่หมายถึงการที่เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหรือไม่ได้รับความจริงแง่มุมนี้เลย นั่นหมายความว่า สิ่งทั้งหลายที่เรากำลังสามัคคีธรรมอยู่นี้เป็นเพียงคำสอนสำหรับเจ้าเท่านั้นเอง  หากเจ้ากระทำผิดน้อยลงเรื่อยๆ ทำผิดพลาดน้อยลงทุกที รู้สึกติดค้างและรู้สึกเจ็บปวดทางมโนธรรมน้อยลง นี่แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  นี่ย่อมหมายความว่า เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที และสำนึกรับผิดชอบของเจ้าก็กำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้ากลายเป็นคนที่จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ  ยกตัวอย่างเช่น การเผยแผ่ข่าวประเสริฐในอดีตนั้นพึ่งพาวิธีการของมนุษย์มากกว่าการพึ่งพาสามัคคีธรรมความจริงหรือการตีความข้อพระคัมภีร์  ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิธีการดังกล่าวจะไม่เหมาะสมเสียแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งซึ่งยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าพึงกระทำ และนี่คือบางสิ่งที่เป็นการหมิ่นพระเกียรติพระเจ้า  พวกเจ้าเคยมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่?  บางทีพวกเจ้าอาจจะไม่รู้สึกเช่นนี้ในตอนนี้ แต่สักวันหนึ่ง หลังจากเจ้าเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงนานาประเภทมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับวุฒิภาวะจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เมื่อเจ้ามองดูการปฏิบัติในอดีตของตน เจ้าย่อมจะรับเอาท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นมาใช้  การนี้พิสูจน์ว่าสภาวะภายในของเจ้ากลายเป็นปกติแล้ว  ตอนนี้ เจ้าไม่รู้สึกอะไรกับการปฏิบัติก่อนหน้านี้ของตน เจ้าไม่ดูหมิ่นการปฏิบัติเหล่านั้น รวมถึงเจ้าไม่มีทัศนะหรือการประเมินที่ถูกต้องต่อการปฏิบัติเหล่านั้น  ตรงกันข้าม เจ้ากลับไม่แยแสเลย  นี่เป็นเรื่องน่ากังวลมากมิใช่หรือ?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้ครองความจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย  เจ้าถึงกับใช้ท่าทีที่ด้านชาต่อการทำชั่วและกลอุบายนานาประการของมนุษย์ รวมถึงการปฏิบัติทั้งหลายของพวกเขาที่ไม่สอดคล้องกับความจริง ยอมรับ เห็นพ้อง และถึงกับคล้อยตามสิ่งที่สกปรกเหล่านี้  เช่นนั้นแล้ว สภาวะภายในของเจ้าจะเป็นอย่างไร?  เจ้ารักสิ่งทั้งหลายที่ไม่ชอบธรรม เจ้ารักสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับบาป และเจ้ารักสิ่งทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องแต่ตรงกันข้ามกับความจริง  นี่เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก  หากเจ้ายังคงปฏิบัติตนตามการปฏิบัติเหล่านี้ต่อไป เจ้าย่อมจะเผชิญกับผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงยิ่ง  ผลสืบเนื่องนี้คืออะไร?  เจ้ากำลังสั่งสมความประพฤติชั่วอย่างสม่ำเสมอ และกำลังพลัดหลงจากเส้นทางแห่งการได้รับความรอดมากขึ้นเรื่อยๆ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้ากำลังพลัดหลงออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเป็นเพราะในกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าล้มเหลวในการแสวงหาความจริง และไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมของสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ  เจ้าเพียงทำตามเจตจำนงและความชอบส่วนตนของเจ้าเอง  แล้วเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอได้อย่างไร?  จุดประสงค์ที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่นั้นไม่ใช่เพื่อการเข้าสู่ความจริง แต่เพื่อทำงานให้เสร็จสิ้น แล้วจากนั้นก็รายงานผลงานของตน  สิ่งที่เจ้าทำตามไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และสิ่งที่เจ้ายอมรับไม่ใช่พระบัญชาของพระเจ้า  ธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน  เพราะฉะนั้นในขณะที่เจ้าออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจึงไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ความรอด แต่เป็นเส้นทางของการออกแรงทำงาน เป็นเส้นทางของเปาโลที่ทำข้อตกลงกับพระเจ้า  จากสิ่งที่เจ้าทำ ไม่ช้าก็เร็วพระเจ้าจะทรงกำหนดให้เจ้ามีจุดจบเช่นเดียวกับเปาโล  ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอนที่สุด  ในทางกลับกัน ในกระบวนการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หากวิธีการและกระบวนการทั้งหมดที่เจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริง หากเจตนาและจุดมุ่งหมายของการออกเดินทางของเจ้าคือการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและตอบแทนความรักของพระเจ้า และหากหลักธรรมที่เจ้าปฏิบัติตามและเส้นทางที่เจ้าเดินสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าและตรงกับความจริงโดยสมบูรณ์ การปฏิบัติเช่นนั้นจะบรรลุผลลัพธ์ใด?  การเข้าใจความจริงของเจ้าจะลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะรับมือกับเรื่องทั้งหลายได้ตรงตามหลักธรรมมากขึ้นทุกที ชีวิตของเจ้าจะเติบโตมากขึ้นทุกขณะ อีกทั้งความเชื่อ ความรัก และความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น  ในหนทางนี้ เจ้าจะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด  ขณะเดียวกันในกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะค่อยๆ ตรวจสอบความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของตัวเอง รวมถึงตรวจสอบอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานาประการของตน  จากนั้นในกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าจะสามารถยับยั้งตนเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความนบนอบและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หลังจากนั้น สำนึกของความรับผิดชอบของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งความจงรักภักดีของเจ้าก็จะบริสุทธิ์มากขึ้นทุกขณะ  ความยำเกรงพระเจ้าที่เจ้ามีจะลึกซึ้งขึ้นด้วยเช่นกัน  ในขณะเดียวกัน เจ้าจะได้รับประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงของความจริงนานาประการมากขึ้นเรื่อยๆ  ในหนทางนี้ เส้นทางที่เจ้าเดินจะตรงกันข้ามกับเส้นทางของเปาโลโดยสิ้นเชิง  นี่คือเส้นทางแห่งการแสวงหาความจริงของเปโตร  เส้นทางนี้เป็นเส้นทางแห่งความรอด  สำหรับผลลัพธ์สุดท้าย เจ้าจะมีประสบการณ์กับผลลัพธ์นี้ด้วยตนเอง  พระเจ้าจะทรงเห็นชอบในตัวเจ้า และหัวใจของเจ้าจะรู้ซึ้งถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ไม่สำคัญว่าเส้นทางที่เจ้าเดินจะคดเคี้ยวมากเพียงไร เจ้าเดินหลงทางไปมากแค่ไหน หรือเจ้าเคยมีความคิดลบ จุดอ่อน หรือแม้แต่ความล้มเหลวและการล้มลงมาอย่างไร  หากสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป สิ่งที่เจ้าได้เผยออกมา และสิ่งที่เจ้าสำแดงออกมานั้นถูกมองว่าครบถ้วนสมบูรณ์ เส้นทางที่เจ้าเดินย่อมเป็นเส้นทางแห่งความรอด  แล้วจากนั้น พระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของเจ้าอย่างไร?  พระเจ้าจะไม่ทรงรีบร้อนกำหนดจุดจบของเจ้า  ทว่าพระเจ้าจะทรงเกื้อหนุนเจ้า ช่วยเหลือเจ้า และนำเจ้าไปบนเส้นทางของความรอดด้วยความอดทนอย่างอ่อนโยนและเป็นระบบ  พระองค์จะทรงอนุญาตให้เจ้ายอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุงของพระองค์ และในที่สุดก็จะทรงทำให้เจ้าเพียบพร้อม  ในหนทางนี้เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นจากมุมมองนี้ ผู้คนมีโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดด้วยการปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขามีโอกาสนี้ และสิ่งนี้เป็นไปได้โดยสมบูรณ์  นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่เท่านั้น

วันนี้พวกเราได้สามัคคีธรรมความจริงนานาประการที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหลัก  ขอให้พวกเรากลับไปยังหัวข้อที่พวกเราเริ่มต้นสามัคคีธรรมกันเถิด  พวกเราควรเรียกผู้ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นว่าอย่างไร?  (คนที่ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ)  นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง  พวกเขาไม่อาจเรียกว่าพยาน ผู้ประกาศ และไม่ใช่ผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐอย่างแน่นอน  ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็คือคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  จงอย่าเรียกตัวเจ้าเองว่าพยานโดยเด็ดขาด  ผู้คนไม่สามารถเป็นพยานในสิ่งใดได้ และการที่พวกเขาไม่นำความอับอายมาสู่พระเจ้าก็เพียงพอแล้ว  การเรียกตัวเจ้าเองว่าผู้ประกาศยิ่งแย่ไปกันใหญ่  เจ้ายิ่งห่างไกลจากการเป็นผู้ประกาศมากขึ้นอีก  สิ่งที่เจ้าประกาศไม่ใช่ “หนทาง” และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าประกาศก็ห่างไกลจาก “หนทาง” อยู่มาก  ดังนั้นแล้ว หากพวกเราเลือกใช้ชื่อว่า “คนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ” ทุกคนย่อมจะมีนิยามที่ถูกต้องต่อหน้าที่นี้ นั่นคือพวกเขาเป็นคนที่ปฏิบัติหน้าที่นี้เท่านั้น  พวกเขาไม่ใช่พยานหรือผู้ประกาศแต่อย่างใด  พวกเขาห่างไกลจากตำแหน่งเหล่านั้นอยู่มาก  หากเจ้าเรียกพวกเขาว่าพยานหรือผู้ประกาศ พวกเขาย่อมจะรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นมิใช่หรือ?  การที่ผู้คนจะอวดตนและยกยอตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย  การที่คนเราอวดตนและยกยอตนเองเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกันแน่?  (เป็นสิ่งที่ไม่ดี)  หากเจ้าไม่ยกชูและยกย่องผู้คน พวกเขาก็ต้องการยกยอตนเองอยู่เสมอ  หากเจ้ายกชูพวกเขา เรียกพวกเขาว่าพยาน ผู้ประกาศ หรือผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่า หลังจากพวกเขาได้รับการสรรเสริญเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาคงจะยกยอตนเองเสียจนตัวลอย  เวลานี้ เจ้ามีความเข้าใจพื้นฐานในความจริงนานาประการที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  การที่จะปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ดีนั้น เจ้าต้องเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงมากมาย  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ แล้วฉันจำเป็นต้องเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงหรือเปล่า?”  ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้เมื่อไร  ฉันไม่เคยเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาก่อน แถมยังพูดไม่เก่ง แล้วฉันจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้อย่างไร?”  เจ้าอาจจะไม่สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ แต่เจ้าสามารถเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงที่เกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้มิใช่หรือ?  เจ้าสามารถฝึกฝนเรื่องการพูดและการพบปะผู้คนได้มิใช่หรือ?  หากเจ้ามีสำนึกของภารกิจและสำนึกของความรับผิดชอบ หากเจ้าต้องการร่วมมือกับพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงทั้งหลายที่เกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  เจ้าต้องเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงแห่งนิมิตและความจริงแห่งการปฏิบัติ  การเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเกี่ยวกับทั้งสองแง่มุมนี้เป็นสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องทำ เพราะการเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเหล่านี้มิใช่เรื่องที่เกินจำเป็นแต่อย่างใด  ความจริงเหล่านี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ยังเป็นความจริงที่มวลมนุษย์พึงต้องเข้าใจด้วย  ผู้คนจะได้รับประโยชน์จากการเข้าใจความจริงเหล่านี้อย่างไร?  สิ่งเหล่านี้สามารถนำพรใดมาสู่พวกเขาได้บ้าง?  ทุกคนอาจจะสามารถเข้าใจแนวคิดโดยทั่วไปได้ แต่เนื่องจากพระราชกิจของพระเจ้ายังคงก้าวหน้าต่อไปและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ผู้คนก็ย่อมจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าต่อไป และการเข้าใจความจริงของพวกเขาก็จะก้าวหน้าต่อไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน  ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าจะใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาจะมีการปฏิสัมพันธ์กับพระองค์บ่อยครั้งยิ่งขึ้น  ผู้คนจะยึดมั่นในความจริงที่เกี่ยวกับนิมิตและพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อเปรียบเทียบกิจการของพระเจ้าและท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคนไปทีละขั้นตอน  กระบวนการเปรียบเทียบไปทีละขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการแห่งการรู้จักพระเจ้า  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน แต่กลับไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด หรือพระองค์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจอย่างไร  ความเชื่อเช่นนั้นสับสนและเลอะเลือนเกินไปไม่ใช่หรือ?  เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนมาเป็นเวลานานหลายปี แต่ท้ายที่สุดหากเจ้ายังคงไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็ย่อมไร้ความหมาย  หากเจ้าได้ยินพวกมารเผยแพร่ข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าจะเชื่อพวกเขาหรือไม่?  (พวกเราจะไม่เชื่อ)  ตอนนี้เจ้ากล่าวว่าเจ้าจะไม่เชื่อข่าวลือเหล่านั้น แต่หากเจ้าไม่เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง วันหนึ่งเมื่อเจ้าได้ยินข่าวลือเหล่านี้ เจ้าย่อมจะเกิดข้อกังขาและไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้นในหัวใจว่า “เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?  พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นได้หรือ?”  เมื่อรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าจะไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตน  เมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของข่าวลือทั้งหลาย เจ้าจะรู้สึกว่าถนนหนทางข้างหน้านั้นช่างมืดมนและไร้ซึ่งความหวัง แล้วเจ้าก็จะเริ่มสับสนและหลงทาง  ผู้คนสับสนและหลงทางอยู่เป็นประจำ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่แห่งหนใด หรือไม่รู้กระทั่งว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงสับสนและหลงทางอยู่ร่ำไป  ความสับสนนี้เกิดขึ้นภายใต้ภาวะใด?  ความสับสนนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิ่งที่ดูขัดแย้งกันนั้นสร้างความสับสนให้ผู้คนจนพวกเขาไม่สามารถมองเห็นทิศทางที่จะเดินไปได้อย่างชัดเจน และไม่รู้ว่าจะไปทางไหน  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเริ่มหลงทางและสับสน  พวกเจ้าสามารถมองเห็นและแยกแยะหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในพระเจ้าของเจ้า ความสามารถในการเข้าใจความจริงของเจ้า และระดับของการเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงของเจ้า  การที่ผู้คนสับสนและหลงทางอยู่เสมอหมายความว่าอย่างไร?  ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขามองไม่เห็นถนนหนทางข้างหน้าจริงๆ หรือ?  คนที่สับสนและหลงทางคือคนที่มืดบอดจริงๆ หรือ?  ไม่จริง นี่คือความมืดบอดของหัวใจ และเป็นความด้านชาต่อความจริง ต่อพระเจ้า และต่อการพิพากษาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวง  เหตุใดพวกเขาจึงด้านชา?  นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่รู้จักกิจการของพระเจ้า ไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า และไม่มีรากฐานในการตัดสินสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้ถูกต้อง  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มีมาตรฐานในการตัดสินและกำหนดลักษณะของสิ่งใดเลย  พวกเขามีความคลุมเครือ มองทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีความกระจ่างชัดหรือความเข้าใจ และไม่สามารถตัดสินอะไรได้  พวกเขาไม่สามารถนิยาม และไม่สามารถมองทะลุถึงก้นบึ้งของสิ่งทั้งหลายได้  นี่เรียกว่าความด้านชา  ความด้านชานั้นนำไปสู่ความมืดบอด และความมืดบอดนำผู้คนให้รู้สึกสับสนและหลงทาง  เรื่องนี้เป็นเช่นนั้นเอง  แล้วเหตุใดคนที่ฟังคำเทศนามานานหลายปีจึงยังไม่สามารถแยกแยะสิ่งทั้งหลายได้?  นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งทั้งหลาย แต่กลับทำตามข้อบังคับและด่วนสรุปไปเอง  เช่นนี้สามารถถือว่าเป็นความมืดบอดได้หรือไม่?  ถึงแม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามืดบอดโดยสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็มืดบอดเป็นบางส่วน  ที่จริงแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมไม่สามารถมองทะลุไปถึงก้นบึ้งของสิ่งใดได้  ไม่ว่าใครบางคนได้เชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใดหรือฟังคำเทศนามามากแค่ไหน หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย นี่ก็หมายความว่าปัญหาอยู่ที่ขีดความสามารถของพวกเขา  เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่พวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่  คนส่วนใหญ่ที่ฟังคำเทศนามานานหลายปีย่อมเข้าใจความจริงบางอย่างได้ และที่จริงแล้ว พวกเจ้าอาจจะเข้าใจมากพอสมควรทีเดียว เพียงแต่ขาดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ดังนั้นพวกเจ้าจึงยังไม่ได้นำความจริงบางส่วนนั้นมาใช้ และยังคงรู้สึกว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้น  เมื่อเจ้าได้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อเจ้าต้องเลือกหรือจำเป็นต้องพิจารณาสิ่งทั้งหลายอย่างจริงจัง ความจริงในแง่มุมที่เกี่ยวข้องอาจจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นสำหรับเจ้า  ในตอนนี้ความเข้าใจของเจ้าย่อมเต็มไปด้วยโครงร่างคร่าวๆ ที่ว่างเปล่า และสิ่งทั้งหลายที่เป็นคำสอน  เมื่อเจ้าค่อยๆ เติบโตทั้งในเรื่องประสบการณ์และวัยวุฒิ ความจริงมากมายจะเริ่มสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงมากขึ้นทีละน้อยในตัวเจ้า  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าเห็นถึงแก่นแท้ของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ  ในหนทางนี้ เจ้าจะบรรลุความเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง และจะมองปัญหาต่างๆ ด้วยความละเอียดอ่อน  ไม่ว่าผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงจะฟังคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่สามารถมองเห็นการสำแดงของความเป็นมนุษย์ ของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ของสภาวะนานาประการของมนุษย์ และของแก่นแท้ของผู้คนประเภทต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้พวกเขาเบิกตากว้างก็ตาม  ดวงตาพวกเขามืดบอด  อย่างไรก็ตาม จากภายนอกแล้ว คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่พวกเขาย่อมจะมีปฏิกิริยาต่อพฤติกรรมและ การวางตัวของผู้อื่นอยู่ในหัวใจ และเกิดความประทับใจในเรื่องนั้นโดยไม่รู้ตัว  ความประทับใจและความรู้สึกนี้มาจากไหน?  ความจริงที่ผู้คนเข้าใจนั้นทำให้พวกเขามีความสามารถในการแยกแยะ  สิ่งนี้ทำให้คนเหล่านั้นมีนิยามสำหรับแก่นแท้ของพฤติกรรม การปฏิบัติ หรือการสำแดงประเภทนั้นได้  แล้วนิยามที่ว่านี้มาจากไหน?  นี่คือความจริงที่ทำให้ผู้คนเข้าใจ และคือความจริงที่ทำให้ผู้คนมีวิจารณญาณแยกแยะและการตัดสิน  เวลานี้ พวกเจ้าเข้าใจความจริงบางประการ และมีวิจารณญาณแยกแยะเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม วิจารณญาณแยกแยะของเจ้าไม่แม่นยำนัก ดังนั้นเจ้าจึงยังไม่รู้สึกมั่นใจนัก และเจ้ายังคงอยู่ในขั้นตอนของการคลำหาหนทางข้างหน้า  คนบางคนกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ควรจะทรงสามัคคีธรรมทุกๆ เรื่องกับพวกเรา”  การนี้ไม่จำเป็นเลย  มนุษย์มีความรับผิดชอบของมนุษย์ และพระเจ้าก็ทรงมีขอบเขตพระราชกิจของพระองค์เอง  เราได้บอกความจริงในแต่ละแง่มุมให้กับพวกเจ้าไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับพวกเจ้าคือการมีประสบการณ์กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตประจำวันของเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงกระทำการและทรงจัดวางเรียบเรียง  ผู้คนถูกกำหนดให้ทำสิ่งหนึ่ง นั่นคือ การมีส่วนร่วมในความร่วมมือของมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์  หากเจ้าไม่มีส่วนร่วมในการไล่ตามเสาะหานี้ ไม่ว่าเราจะอธิบายเจ้าอย่างชัดเจนเพียงไร เจ้าก็จะไม่ได้รับอะไรอยู่ดี  เราจะไม่ฝืนปลูกฝังความเชื่อให้เจ้า ไม่บังคับให้เจ้ารู้ เข้าใจ และได้รับการเข้า  เราจะไม่ทำเช่นนั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงทำเช่นนั้นเช่นกัน  ต่อเมื่อเจ้าปฏิบัติและเข้าสู่ความจริงด้วยความเต็มใจ สมัครใจ และกระตือรือร้นเท่านั้น ความจริงจึงจะผลิดอกออกผลในตัวเจ้าโดยไม่รู้ตัว  เมื่อความจริงผลิดอกออกผล หัวใจของเจ้าจะเปี่ยมด้วยความสว่าง  นี่คือการเข้าใจความจริง  แต่หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะด้านชากับทุกสิ่ง ตอบสนองช้า และไม่สามารถเห็นถึงก้นบึ้งของสิ่งใดได้เลย  ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนทำอะไรบางอย่าง แล้วมีใครอีกคนหนึ่งกล่าวว่านี่คือการทำชั่วและมีลักษณะเช่นนั้นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะไม่รู้และไม่สามารถเห็นได้ด้วยตนเอง  เมื่อใครบางคนบอกคำตอบแก่เจ้า เจ้าอาจจะยอมรับและเห็นด้วยกับคำตอบนั้นตามคำสอน แต่ในแง่ของแก่นแท้แล้ว เจ้าจะยังไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้  หากเจ้าไม่สามารถเห็นพ้องต้องกัน เจ้าจะเข้าใจอย่างแท้จริงหรือ?  เจ้าไม่เข้าใจ ดังนั้นเจ้าจึงทำได้เพียงจัดการกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผชิญด้วยการทำตามข้อบังคับเท่านั้น  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง

เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ดีได้อย่างไร?  อันดับแรก เจ้าต้องเข้าใจความจริงนานัปการที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ตัวอย่างเช่น เรื่องของนิยามและตำแหน่งของหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ รวมไปถึงท่าทีอันถูกควรที่พึงนำมาใช้ ความทุกข์อันถูกควรที่พึงแบกรับ ราคาอันถูกควรที่พึงจ่าย และความจริงอันถูกควรที่พึงปฏิบัติและเข้าสู่ในยามปฏิบัติหน้าที่นี้ หากเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว การปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ดีย่อมจะเป็นเรื่องง่าย  นอกจากนี้ ในด้านที่เป็นลบ ควรมีการทบทวนคำถามที่ว่าการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องประการใดที่ควรเลี่ยง การปฏิบัติใดที่ถูกจัดว่าเป็นเจตนาดีของมนุษย์ และแนวคิดรวมถึงการปฏิบัติของผู้คนสอดคล้องกับหลักธรรมของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่  การนี้หมายความว่า ทุกพฤติกรรม ทุกการปฏิบัติ ทุกหลักธรรม และทุกข้อสรุปในกระบวนการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ควรตรวจสอบให้กระจ่างชัดเพื่อดูว่า ในที่สุดสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่  จงยึดมั่นเพียงสิ่งทั้งหลายที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงเท่านั้น  สิ่งที่ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริงเหล่านั้นต้องถูกละทิ้ง  ผลลัพธ์ที่ได้จากการลุล่วงหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในหนทางนี้เท่านั้น  นอกจากนี้ เจ้าต้องฝึกการทำงานร่วมกันด้วยความปรองดอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่องานข่าวประเสริฐมากที่สุด  หากไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือด้วยความปรองดอง การดำเนินงานย่อมเป็นเรื่องยาก  บรรดาพี่น้องชายหญิงควรอดทนและผ่อนปรนซึ่งกันและกัน อีกทั้งเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน  ในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีนั้น การร่วมมือกันด้วยความปรองดองเป็นสิ่งที่จำเป็น  ผู้ใดที่พูดในสิ่งที่ถูกต้องควรได้รับการเชื่อฟัง  จงอย่าด่วนสรุปว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกและผู้อื่นเป็นฝ่ายผิดเสมอไป  เจ้าต้องตัดสินตามพระวจนะของพระเจ้า  จงสามัคคีธรรมความจริงตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้เพื่อไปสู่ความเห็นพ้องต้องกัน  นอกจากนี้ ในกระบวนการของการร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อให้จุดแข็งของคนคนหนึ่งชดเชยข้อบกพร่องของอีกคนหนึ่ง และไม่เข้มงวดกับผู้อื่นมากเกินไป  นอกจากนี้ เจ้าต้องใช้ความใส่ใจและรอบคอบและพึ่งพาความรักเวลาที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้คนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง  นี่เป็นเพราะทุกคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงคือผู้ไม่มีความเชื่อ—แม้แต่ผู้ที่นับถือศาสนาในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อไม่มากก็น้อย—และพวกเขาล้วนเปราะบาง กล่าวคือ หากมีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะโต้แย้ง และหากวลีใดไม่คล้อยตามเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะถกเถียง  ดังนั้นแล้ว การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาจึงต้องอาศัยความอดทนและการผ่อนปรนจากพวกเรา  พึงต้องใช้ความรักอย่างที่สุดในส่วนของพวกเรา และพึงต้องใช้วิธีการและแนวทางบางอย่าง  แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ถ่ายทอดความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงแสดงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและพระวจนะแห่งพระผู้สร้าง  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับประโยชน์  หลักธรรมที่สำคัญที่สุดของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คือการให้ผู้ที่กระหายการทรงปรากฏของพระเจ้าและผู้ที่รักความจริงเหล่านั้นได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์  ดังนั้น จงกล่าวคำพูดของมนุษย์แก่พวกเขาให้น้อยลง และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้น  หลังจากเจ้าอ่านจบ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเข้าใจความจริงบางอย่าง  จากนั้น พวกเขาย่อมจะมีแนวโน้มที่จะหวนคืนสู่พระเจ้า  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและเป็นภาระผูกพันของคนทุกคน  ไม่ว่าใครจะได้รับภาระผูกพันนี้ คนคนนั้นก็ต้องไม่บ่ายเบี่ยง หรือใช้ข้อแก้ตัวหรือเหตุผลใดมาปฏิเสธภาระผูกพันดังกล่าว  บางคนกล่าวว่า “ฉันพูดไม่เก่ง ฉันไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และฉันยังอายุน้อยมากอีกด้วย  ถ้าฉันเผชิญกับการทดลองหรืออันตรายขึ้นมา ฉันจะทำอย่างไร?”  คำพูดดังกล่าวไม่ถูกต้อง  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งที่เป็นอันตราย  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่อนุญาตให้เจ้าไปยังที่ที่พบว่ามีอันตราย  คริสตจักรมอบหมายหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนตามหลักธรรม  นี่ไม่ใช่เรื่องของการให้ผู้คนแบกรับความเสี่ยง แต่เป็นการจัดการเตรียมการอย่างสมเหตุสมผลตามภาวะ ขีดความสามารถ และจุดแข็งของแต่ละบุคคล  พี่น้องชายหญิงต่างร่วมมือกัน และงานจะถูกมอบหมายให้กับผู้ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติงานนั้น  แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีความเสี่ยงอยู่เลย  ใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ย่อมจะเผชิญกับอันตรายบ้างเป็นบางครั้ง  หากพระเจ้าทรงส่งเจ้าไปโดยตรง เช่นนั้น เจ้าก็ผูกพันด้วยเกียรติที่จะยอมรับ ต่อให้นั่นหมายถึงการที่เจ้าจะเผชิญกับการทดลอง ความเจ็บปวด หรืออันตรายก็ตาม  เหตุใดเจ้าจึงควรมองว่าตนเองผูกพันด้วยเกียรติที่จะยอมรับ?  (นี่เป็นความรับผิดชอบของผู้คน)  ถูกต้อง มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะมองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  นี่เป็นท่าทีอันถูกควรที่คนคนหนึ่งพึงมี  นี่คือความจริง และเมื่อเป็นความจริง ผู้คนก็ควรยอมรับ และยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  หากวันหนึ่งเจ้าไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่อื่น หรือหากจำเป็นต้องมีผู้คนมาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แล้วเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจะทำเช่นไร?  เจ้าควรยอมรับหน้าที่นี้ในฐานะบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าผูกพันด้วยเกียรติที่จะทำ โดยไร้ซึ่งอารมณ์ที่ขัดแย้ง ไร้ซึ่งการวิเคราะห์ หรือการพินิจพิจารณา  นี่คือพระบัญชาของพระเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า นี่คือหน้าที่ของเจ้า  มิใช่สิ่งที่เจ้าเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ  ในเมื่อเจ้าติดตามพระเจ้า นั่นจึงมิใช่สิ่งที่เจ้าเลือกเองได้  เหตุใดเจ้าจึงไม่ควรเลือกเอง?  เพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นพระบัญชาของพระเจ้า และบรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนมีส่วนร่วมในงานนี้  บางคนกล่าวว่า “ฉันอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ฉันออกจากบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ  พระเจ้ายังสามารถไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชานี้แก่ฉันได้หรือ?”  บางคนกล่าวว่า “ฉันอายุสิบแปดหรือสิบเก้าปีเท่านั้น ฉันยังไม่ได้เห็นโลกมากนัก และฉันก็ไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างไร  ฉันขี้ขลาดและกลัวการพูดในที่สาธารณะมาก  พระเจ้ายังคงไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่นี้ให้ฉันได้อยู่หรือ?”  ไม่ว่าอย่างไร พระเจ้าก็ประทานพระบัญชานี้แก่เจ้า  ไม่ว่าเจ้าอายุเท่าไร เจ้าก็ควรทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเจ้า  จงเผยแผ่ข่าวประเสริฐนี้ออกไปให้มากที่สุด และเผยแผ่ให้แก่ผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  ไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดก็ตาม เจ้าก็ควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างสุดความสามารถ  หากวันหนึ่งเจ้ามีโอกาสเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ใครบางคน เจ้าควรทำหน้าที่นั้นหรือไม่?  (ควร)  ถูกต้อง  ผู้คนมากมายมีหน้าที่ของตนเอง แต่พวกเขาก็สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ในเวลาว่าง และสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้  พระเจ้าทรงเห็นชอบกับเรื่องนี้  เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมีความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  เจ้าไม่ควรเลือกด้วยตัวเองหรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบนี้ แต่ควรให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้นและด้วยความสมัครใจ  จงอย่านำเอาท่าทีที่เป็นลบหรือนิ่งเฉยมาใช้ อย่าบอกปัด และอย่าหาข้อแก้ตัวหรือเหตุผลใดๆ ที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่นี้  บางคนกล่าวว่า “สภาพแวดล้อมที่ฉันอยู่นั้นอันตรายเกินไป  ฉันสามารถละเว้นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้หรือไม่?”  หากตอนนี้เจ้ามีวุฒิภาวะน้อย หากมีผู้อื่นมารับหน้าที่นี้แทนเจ้า และเจ้าเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่อื่น เช่นนั้นเจ้าก็สามารถแลกเปลี่ยนหน้าที่นี้กับผู้อื่นได้  แต่หากเจ้าเป็นคนเดียวที่ต้องปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าควรทำอย่างไร?  (ข้าพระองค์ย่อมผูกพันด้วยเกียรติที่จะยอมรับ)  นั่นถูกต้อง  เจ้าผูกพันด้วยเกียรติที่จะยอมรับหน้าที่นี้ และยอมรับหน้าที่นี้จากพระเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคน  บางคนกล่าวว่า “ฉันร่างกายอ่อนแอ จึงไม่สามารถทนต่อความยากลำบากของการออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้”  หากเจ้าไม่สามารถทนต่อความยากลำบากอันใหญ่หลวงนี้ได้ อย่างน้อยเจ้าก็สามารถสู้ทนกับความยากลำบากที่เล็กน้อยกว่านี้ได้ใช่หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถทนต่อความยากลำบากใดๆ ได้เลย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรทนทุกข์กับความยากลำบากอันใหญ่หลวงของการถูกลงโทษมิใช่หรือ?  ตราบเท่าที่เจ้ามีชีวิตและลมหายใจ เจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้  หากเจ้าปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า ไม่ประกาศข่าวประเสริฐ และเลือกที่จะหลบเลี่ยงและหนีหายจากความรับผิดชอบของตน นี่ย่อมไม่ใช่ท่าทีที่ถูกควรของมนุษย์ และผู้คนก็ไม่ควรนำเอาท่าทีขัดขืนและป้องกันตัวมาใช้  ผู้คนควรพร้อมที่จะถือว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นภาระผูกพันและเป็นหน้าที่ของตนในทุกที่และทุกเวลา  บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่คริสตจักรไม่เคยมอบหมายให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐเลย”  นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี?  คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี  พระเจ้าอาจจะยังไม่ประสงค์ให้เจ้าไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่พระองค์ประสงค์ให้เจ้าทำหน้าที่อื่น  ทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ แล้วในบรรดาหน้าที่เหล่านี้ เจ้าควรเลือกอย่างไร?  เจ้าควรนบนอบการจัดการเตรียมการของคริสตจักรโดยปราศจากความปรารถนาส่วนตัว  เมื่อพระเจ้าประสงค์ให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พระองค์ย่อมตรัสว่า “การปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าทำอยู่ในเวลานี้ไม่เหมาะสมหรือไม่สำคัญสำหรับเจ้า  หน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นสำคัญกว่า”  เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าควรยอมรับหน้าที่นี้ในฐานะบางสิ่งที่เจ้าผูกพันด้วยเกียรติที่จะทำโดยไม่วิเคราะห์ ตัดสิน หรือพินิจพิจารณา และยิ่งไม่ควรต้านทานหรือปฏิเสธหน้าที่นั้น  นี่คือท่าทีที่ถูกต้องซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้าง  เมื่อผู้คนมีท่าทีเช่นนั้น สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าในบางแง่มุม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระเจ้าเป็นปกติและเหมาะสม?  ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้นสำแดงให้เห็นอย่างไร?  สิ่งนี้สำแดงให้เห็นจากวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าจะทรงให้เจ้าทำนั่นเอง  หากพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำบางสิ่งบางอย่าง และเจ้าใคร่ครวญและไตร่ตรองเรื่องนี้ โดยถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงประสงค์ให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้?  สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อข้าพระองค์หรือ?”—หากเจ้าสามารถคิดในหนทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าย่อมไม่ปกติ และเจ้าก็ล้มเหลวในการนบนอบพระเจ้า  หากเจ้ากล่าวว่า “นี่คือสิ่งสำคัญที่พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันทำ  ฉันไม่สามารถทำตัวสะเพร่าต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ทำได้  ฉันต้องรับมือกับสิ่งนี้ด้วยความใส่ใจ  ไม่ว่าพระเจ้าทรงขอให้ฉันทำสิ่งใด ไม่ว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายสิ่งใดให้ฉัน นั่นคือหน้าที่ของฉัน  ฉันจะฟังพระเจ้า และจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเอาไว้  ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้  หากฉันไม่สามารถตั้งมั่นในหน้าที่ของตนเองได้ หากฉันปฏิเสธ หากฉันไม่จริงจังกับหน้าที่นั้น หากฉันไม่ทำหน้าที่ดังกล่าวให้เสร็จสิ้นด้วยดี เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นการทรยศพระเจ้า”—เช่นนั้นเจ้าก็มีเหตุผลอันถูกควรต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้นำท่าทีที่ถูกต้องซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีต่อหน้าที่ของตนมาใช้  หากเจ้ารู้ดีว่านี่คือพระบัญชาของพระเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับหน้าที่นี้และทำให้การหลีกเลี่ยงหน้าที่ของเจ้าชอบด้วยเหตุผล เช่นนั้นแล้ว ธรรมชาติของปัญหานี้ย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง  นี่ไม่ใช่เพียงการกบฏต่อพระเจ้า นี่คือการทรยศพระเจ้า  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องยืนอยู่ในตำแหน่งและสถานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อีกทั้งยอมรับและนบนอบพระบัญชาของพระผู้สร้าง  นี่เป็นท่าทีที่ถูกต้อง  หากเจ้าขาดท่าทีที่ถูกต้องต่อหน้าที่ของตน ปัญหานี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก  ตอนที่เจ้าเพิ่งเริ่มจะเชื่อ หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาจริงเอาจังกับเจ้า  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาสองถึงสามปีและเข้าใจความจริงอยู่บ้าง แต่ยังคงบอกปัดพระบัญชาของพระเจ้าได้ หากเจ้าไม่เผยแผ่ข่าวประเสริฐและยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ธรรมชาติของปัญหานี้คืออะไร?  นี่ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงการขาดมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุด นี่คือการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า นี่คือการทรยศพระเจ้า  สามารถกล่าวได้ว่านี่เป็นการไม่เชื่อฟังอย่างใหญ่หลวง  การกล่าวเช่นนั้นจะไม่เกินจริงเลย  บุคคลประเภทนี้ไม่สมควรถูกเรียกว่ามนุษย์ และย่อมจะทนทุกข์กับการลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในฐานะที่เจ้ายอมรับว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เหตุผลอันถูกควรสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร?  คือการทำสิ่งใดก็ตามที่พระผู้สร้างตรัสบอกให้เจ้าทำ และนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระผู้สร้าง  นี่คือมโนธรรมและเหตุผลอันถูกควรของมนุษย์  บรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงย่อมถูกคาดหวังอย่างยิ่งให้นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  พวกเขาต้องไม่กบฏเลยแม้แต่น้อย

ความจริงเกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายหลายระดับ  และเป็นสิ่งที่ควรเกี่ยวข้องกับทุกๆ คน  เมื่อคนบางคนฟังสามัคคีธรรมถึงความจริงในแง่มุมนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาย่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน  แต่ในเวลานี้ ทุกคนควรมีท่าทีที่ยอมรับหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และทุกคนควรตระหนักถึงความจริงในแง่มุมนี้  พวกเขาควรมีคำนิยามที่ถูกต้องต่อหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนวางตนเองไว้ในฐานะใด?  (ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แล้วสิ่งสำคัญอันดับแรกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคืออะไร?  (คือการนบนอบพระผู้สร้าง)  การสำแดงถึงการนบนอบพระผู้สร้างอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดคืออะไร?  (คือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  เช่นนั้นแล้ว หน้าที่อันดับแรกที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติคืออะไร?  (การเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า)  ถูกต้อง  นั่นคือคำตอบที่เรากำลังมองหาอยู่  พวกเจ้าได้เดินมาบนเส้นทางที่แสนคดเคี้ยว ก่อนที่จะพบคำตอบที่ถูกต้องในที่สุด  สิ่งสำคัญอันดับแรกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคนคือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ การเป็นพยานยืนยัน และเผยแผ่พระราชกิจของพระเจ้าไปทั่วทั้งโลกจนถึงสุดขอบแผ่นดินโลก  นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคนที่ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกเขามีภาระผูกพันด้วยเกียรติ  บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ในปัจจุบัน หรือหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเจ้า หรือเจ้าไม่เคยคิดว่านี่คือหน้าที่ที่เจ้าต้องปฏิบัติ  อย่างไรก็ตาม หัวใจของเจ้าต้องชัดเจนในเรื่องนี้ นั่นคือ หน้าที่นี้เชื่อมโยงกับเจ้า  นี่ไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบของผู้อื่น แต่เป็นความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นหน้าที่ของเจ้าด้วยเช่นกัน  แค่เพียงเพราะเจ้าไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นี้ในปัจจุบันไม่ได้หมายความว่าหน้าที่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ที่เจ้าต้องปฏิบัติ หรือพระเจ้าไม่ได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่นี้  หากความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าเพิ่มพูนถึงระดับนี้ได้ ย่อมหมายความว่ามุมมองในหัวใจของเจ้าต่อหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐสอดคล้องกับความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เมื่อความเข้าใจของเจ้าเพิ่มขึ้นถึงระดับนี้ วันหนึ่ง หลังจากพวกเจ้าทุกคนเสร็จสิ้นงานทั้งปวงที่มีอยู่ในมือแล้ว พระเจ้าจะทรงประกาศพระบัญชาให้พวกเจ้าแยกย้ายและกระจัดกระจายไปให้ทั่วทุกที่ แม้กระทั่งบางที่ที่พวกเจ้าพบว่าแปลกที่สุด ไม่น่าอภิรมย์ที่สุด และยากลำบากที่สุด  ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไร?  (พวกเราจะต้องยอมรับอย่างมีเกียรติ)  นั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวในเวลานี้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง น้ำตาอาจจะเอ่อนองสองตาของพวกเจ้า  ในเวลานี้พวกเจ้าต้องเตรียมตัวดังนี้คือ เจ้าต้องมาสู่การตระหนักรู้เช่นนี้ว่า “นี่เป็นยุคที่ฉันเกิดมา  ฉันช่างโชคดีที่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และโชคดีที่ได้มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้นคุณค่าและนัยสำคัญของชีวิตฉันก็ควรเป็นการทุ่มเทอุทิศเรี่ยวแรงทั้งชีวิตของฉันเพื่อแผ่ขยายพระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ฉันจะไม่นึกถึงเรื่องใดอีกแล้ว”  พวกเจ้ามีความมุ่งมาดปรารถนาเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าควรมีความมุ่งมาดปรารถนาเช่นนี้ รวมถึงเตรียมการและวางแผนเช่นนี้ไว้  ในหนทางนี้เท่านั้นพวกเจ้าจึงจะสามารถเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระเจ้าทรงรักและดีพอสำหรับพระองค์  บางคนกล่าวว่า  “ฉันไม่พร้อม และคงจะกลัวหากถูกขอให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐในตอนนี้”  จงอย่ากลัวไปเลย พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับให้เจ้าทำเช่นนี้ก่อนที่เจ้าจะพร้อม  และหากเจ้ากล่าวว่าเจ้าพร้อมแล้ว พระเจ้าก็อาจจะยังไม่ทรงใช้เจ้าในตอนนี้  แล้วเจ้าจะถูกใช้งานเมื่อไร?  นั่นขึ้นอยู่กับพระเจ้า  ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้  เมื่อพระเจ้าต้องประสงค์จะใช้งานเจ้า พระองค์จะทรงตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะและประสบการณ์ที่จำเป็นและตรงตามภาวะที่จำเป็นทั้งหมด พระองค์อาจจะทรงจัดการเตรียมการให้เจ้าไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐตามสถานที่ต่างๆ  เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะถูกเรียกว่าผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่อาจเรียกผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้ว่าผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐได้  เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แล้วผู้คนเช่นนั้นควรถูกเรียกว่าอย่างไร?  (คนเผยแผ่ข่าวประเสริฐ)  นั่นตรงประเด็นมากกว่า  ไม่ว่าผู้คนเช่นนั้นถูกเรียกว่าอะไร นี่คือหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ  นี่คือความจริงและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากมีการเปลี่ยนชื่อและอัตลักษณ์ของผู้คนเหล่านี้ เช่นนั้นแก่นแท้ของงานย่อมจะเปลี่ยนไป  เมื่อแก่นแท้เปลี่ยนไป งานนี้ก็จะเบี่ยงเบนไปจากครรลองของความจริง เมื่องานนี้เบี่ยงเบนไปจากครรลองของความจริง นี่ย่อมจะกลายเป็นพฤติกรรมทางศาสนา  หากเป็นเช่นนั้น ผู้คนจะพลัดหลงไปจากเส้นทางของความรอดมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการมุ่งลงใต้ แม้พวกเขาหมายจะไปทางเหนือ  ดังนั้นแล้ว จงอย่าเดินไปบนเส้นทางที่ผิดเป็นอันขาด  ทุกครั้งที่ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นถูกส่งออกไปตามสถานที่ต่างๆ พวกเขาไม่ทำสิ่งใดนอกจากปฏิบัติหน้าที่ของตนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเท่านั้น  พวกเขามิใช่พยาน พวกเขาไม่ใช่ผู้ประกาศ นับประสาอะไรกับการเป็นผู้ส่งสารแห่งข่าวประเสริฐ  นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

จากสิ่งที่เราพูดมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะรู้สึกถึงความสว่างที่สาดส่องในหัวใจของพวกเขา และหลายคนจะถูมือด้วยความคาดหวังอย่างใจจดจ่อ พลางคิดว่า “เยี่ยมเลย อนาคตดูสดใสมาก!  เส้นทางที่พระเจ้าทรงตระเตรียมให้พวกเรานั้นกำลังส่องแสงสว่างเหลือเกิน!”  ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป  พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับผู้ติดตามของพระองค์ทุกคน  แต่ละคนในบรรดาพวกเขาต่างมีสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดแต่งไว้สำหรับมนุษย์ เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในสภาพแวดล้อมนั้น และพวกเขาก็มีพระคุณและความโปรดปรานของพระเจ้าซึ่งเป็นของมนุษย์เอาไว้ชื่นชม  พวกเขายังมีสถานการณ์พิเศษที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้มนุษย์ และมีความทุกข์มากมายที่พวกเขาต้องก้าวผ่าน—นี่ไม่ได้เป็นเหมือนการล่องเรืออย่างราบรื่นดังที่มนุษย์จินตนาการ  นอกจากนี้ หากเจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เจ้าต้องตระเตรียมตนเองเพื่อที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ลุล่วงและเพื่อเห็นแก่การทำหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม  ราคานั้นอาจเป็นการทนทุกข์กับความเจ็บป่วยหรือความยากลำบากทางกาย หรือทนทุกข์กับการข่มเหงจากพญานาคใหญ่สีแดง หรือความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคมโลก รวมถึงความทุกข์ยากที่คนเราประสบขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ กล่าวคือ การถูกขาย ถูกทุบตีและแผดเสียงดุว่า ถูกกล่าวโทษ—แม้กระทั่งถูกรุมทำร้ายจนเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นไปได้ว่า ในระหว่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าจะตายก่อนที่พระราชกิจของพระเจ้าจะแล้วเสร็จ และว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า  เจ้าต้องตระเตรียมเพื่อการนี้  นี่ไม่ได้หมายที่จะทำให้พวกเจ้าขวัญผวา นี่คือข้อเท็จจริง  บัดนี้เมื่อเราได้ทำให้เรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนแล้ว และเจ้าก็ได้เข้าใจแล้ว หากพวกเจ้ายังคงมีความทะยานอยากเช่นนี้อยู่ และแน่ใจว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลง และเจ้าจะยังคงจงรักภักดีจวบจนวันตาย นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะระดับหนึ่ง  จงอย่าคิดไปเองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในประเทศโพ้นทะเลที่มีเสรีภาพทางศาสนาและสิทธิมนุษยชนเหล่านี้จะปราศจากภัยอันตราย และว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำจะเป็นไปอย่างราบรื่น ว่าทั้งหมดนี้จะมีพระพรทั้งหลายของพระเจ้าร่วมเคียงไปกับฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่เป็นบางสิ่งจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบมนุษย์  พวกฟาริสีเองก็เชื่อในพระเจ้าเช่นกัน กระนั้นพวกเขาก็ได้นำพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไปตรึงพระองค์ที่กางเขน  ดังนั้นสิ่งเลวร้ายที่โลกศาสนาในปัจจุบันสามารถกระทำต่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้คืออะไร?  พวกเขาได้ทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย—ทั้งการตัดสินพระเจ้า การกล่าวโทษพระเจ้า การหมิ่นประมาทพระเจ้า—ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่พวกเขาทำไม่ได้  จงอย่าลืมว่าบรรดาผู้ที่นำองค์พระเยซูเจ้าไปตรึงพระองค์ที่กางเขนก็เป็นเหล่าผู้เชื่อ  มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีโอกาสทำสิ่งอย่างนี้  บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น  ผู้เชื่อเหล่านี้นี่เองที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลในการนำองค์พระเยซูเจ้าไปตรึงพระองค์ที่กางเขน  ยิ่งกว่านั้น แล้วสาวกเหล่านั้นขององค์พระเยซูเจ้าตายอย่างไร?  ในบรรดาเหล่าสาวก มีบรรดาผู้ที่ถูกเอาก้อนหินขว้าง ถูกลากข้างหลังม้า ถูกตรึงกางเขนกลับหัว ถูกแยกร่างโดยม้าห้าตัว—ความตายทุกแบบบังเกิดขึ้นกับพวกเขา  อะไรคือเหตุผลสำหรับความตายของพวกเขา?  พวกเขาถูกสำเร็จโทษโดยถูกต้องตามกฎหมายสำหรับอาชญากรรมของพวกเขาหรือไม่?  ไม่  พวกเขาถูกกล่าวโทษ ถูกทุบตี ถูกด่าทอ และถูกทำให้ถึงแก่ความตายเพราะพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกผู้คนของโลกปฏิเสธ—นั่นคือวิธีที่พวกเขาได้พลีชีพเพื่อศาสนา  พวกเราอย่าไปพูดถึงจุดจบสุดท้ายของบรรดาผู้พลีชีพเพื่อศาสนาเหล่านั้น หรือถึงการจำกัดความของพระเจ้าต่อการประพฤติของพวกเขาเลย แต่จงถามเช่นนี้เถิดว่า  เมื่อพวกเขาได้มาถึงปลายทาง หนทางทั้งหลายที่พวกเขาประสบกับปลายทางในชีวิตของพวกเขานั้นสอดคล้องกันกับมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่สอดคล้อง)  จากมุมมองของมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พวกเขาจ่ายราคาอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นเพื่อการเผยแผ่พระราชกิจของพระเจ้า แต่ท้ายที่สุดกลับถูกซาตานเข่นฆ่า  เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ทว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาโดยแน่แท้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต  มีความจริงใดกันที่สามารถแสวงหาได้ในการนี้?  การที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาตายในหนทางนี้เป็นคำสาปแช่งและการทรงกล่าวโทษของพระองค์กระนั้นหรือ หรือว่านั่นเป็นแผนการและการทรงอำนวยพรของพระองค์?  ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง  นั่นคืออะไร?  บัดนี้ผู้คนทบทวนถึงความตายของพวกเขาด้วยความปวดใจเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็น  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าได้ตายในหนทางนั้น จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี?  เมื่อพวกเรากล่าวถึงหัวข้อนี้ พวกเจ้าจงวางตัวพวกเจ้าเองในสถานการณ์ของพวกเขา แล้วหัวใจของพวกเจ้าโศกเศร้าหรือไม่ และพวกเจ้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่? พวกเจ้าคิดว่า “ผู้คนเหล่านั้นทำหน้าที่ของตนเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าและควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนดี ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขามาถึงปลายทางเช่นนั้นและจุดจบเช่นนั้นได้อย่างไร?”  แท้จริงแล้ว นี่คือหนทางที่ร่างกายของพวกเขาตายและจากไป นี่คือวิถีทางของพวกเขาในการจากโลกมนุษย์ไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นแบบเดียวกัน  ไม่ว่าวิถีทางแห่งความตายและการจากไปของพวกเขาเป็นเช่นไรหรือมันจะเกิดขึ้นอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบสุดท้ายของชีวิตเหล่านั้น ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านั้น  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเห็นอย่างชัดแจ้ง  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาใช้วิถีทางเหล่านั้นเพื่อกล่าวโทษโลกนี้และเพื่อให้คำพยานต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้าอย่างแน่นอน  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอันมีค่าที่สุดของพวกเขา—พวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงกิจการทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อให้คำพยานถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเพื่อประกาศต่อซาตานและโลกว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นถูกต้อง ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรงเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  แม้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธพระนามขององค์พระเยซูเจ้า  นี่คือรูปแบบหนึ่งของการพิพากษาโลกนี้มิใช่หรือ? พวกเขาได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อประกาศต่อโลก เพื่อยืนยันต่อมนุษย์ทั้งหลายว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ พระองค์คือเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และพระราชกิจแห่งการไถ่ที่พระองค์ทรงทำไปเพื่อมวลมนุษยชาติก็เปิดโอกาสให้มนุษยชาติมีชีวิตอยู่ต่อไป—ข้อเท็จจริงนี้ไม่ผันแปรตลอดกาล  บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาถึงขอบเขตใดกัน?  ถึงที่สุดหรือไม่?  ความถึงที่สุดได้รับการสำแดงออกมาอย่างไร?  (พวกเขามอบชีวิตของตน)  ถูกต้อง พวกเขาได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขาเอง  ครอบครัว ความมั่งคั่ง และสิ่งของทางวัตถุทั้งหลายแห่งชีวิตนี้ล้วนเป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับตัวตนคือชีวิต  สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนนั้น ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การหวงแหนมากที่สุด เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด และดังเช่นที่มันเกิดขึ้นนั้น ผู้คนเหล่านั้นสามารถถวายสิ่งครอบครองที่มีค่ามากที่สุดของพวกเขา—ซึ่งก็คือชีวิต—ให้เป็นเครื่องยืนยันและเป็นคำพยานแด่ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  จนกระทั่งวันที่พวกเขาตาย พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริงนี้—นี่ไม่ใช่การให้คำพยานในรูปแบบที่สูงส่งที่สุดหรอกหรือ? นี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วง  เมื่อซาตานข่มขู่และข่มขวัญพวกเขา และในท้ายที่สุด แม้กระทั่งเมื่อมันทำให้พวกเขาจ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรับผิดชอบของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจนถึงที่สุด ที่ว่ามานี้เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายจะให้พวกเจ้าใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้คำพยานถึงพระเจ้าและเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์กระนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเข้าใจว่านี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ต้องเข้าใจว่าหากพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้ายอมรับ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งนี้ในฐานะสิ่งอันทรงเกียรติที่เจ้าพึงต้องทำ  ผู้คนทุกวันนี้มีความกลัวและความกังวลอยู่ในตัวพวกเขา แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมีไว้เพื่อจุดประสงค์ใดเล่า? หากพระเจ้ามิได้ทรงต้องการให้เจ้าทำเช่นนี้ จะกังวลเรื่องนี้ไปเพื่อประโยชน์อันใด?  หากพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ควรละเลยความรับผิดชอบนี้หรือปฏิเสธมัน  เจ้าควรให้ความร่วมมือเชิงรุกและยอมรับมันโดยปราศจากความกังวล  ไม่ว่าคนเราจะตายอย่างไร เขาก็ไม่ควรตายต่อหน้าซาตาน และไม่ควรตายในมือของซาตาน  หากคนเรากำลังจะตาย เขาก็ควรจะตายในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ผู้คนมาจากพระเจ้า และพวกเขาก็กลับคืนไปสู่พระเจ้า—เช่นนั้นคือเหตุผลและท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงจะมี  นี่คือความจริงอันไม่มีวันผันแปรที่คนเราควรเข้าใจในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่พวกเขา—คนเราต้องจ่ายราคาด้วยชีวิตของเขาเพื่อเผยแผ่และเป็นพยานยืนยันถึงการปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และความรอดที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์  หากเจ้ามีความหมายมั่นนี้ หากเจ้าสามารถเป็นคำพยานได้ในหนทางนี้ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์  หากเจ้ายังคงไม่มีความหมายมั่นแบบนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างถูกควร ไว้วางใจมอบหมายที่เหลือไว้กับพระเจ้า  อาจเป็นได้ว่าต่อจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี และประสบการณ์กับอายุของเจ้าเพิ่มขึ้น และความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เจ้าก็จะตระหนักว่าเจ้ามีภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะถวายชีวิตของเจ้าแด่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าจวบจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเจ้า

บัดนี้เป็นเวลาอันถูกควรแก่การเริ่มพูดถึงหัวข้อเหล่านี้ เพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  แต่ก่อนนี้ ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ผู้เผยพระวจนะและธรรมิกชนบางคนในสมัยโบราณสละชีวิตขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ดังนั้นผู้ที่เกิดมาในยุคสุดท้ายก็ย่อมสละชีวิตของตนเพื่อการนี้ได้เช่นกัน  นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องที่กะทันหัน และยิ่งไม่ใช่ความประสงค์ที่เกินเหตุ  นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำและเป็นหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติ  นี่คือความจริง และเป็นความจริงสูงสุด  ถ้าสิ่งที่เจ้าทำมีแต่การร้องโฆษณาชวนเชื่อว่าเจ้าอยากทำอะไรให้พระเจ้าบ้าง อยากลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างไร อยากสละและมุมานะเพื่อพระเจ้ามากเพียงใด นั่นย่อมไร้ประโยชน์  เมื่อเจ้าตระหนักชัดถึงความเป็นจริง เมื่อมีการขอให้เจ้าพลีอุทิศชีวิตของตน ไม่ว่าเจ้าจะพร่ำบ่นหรือไม่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึงจริง ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ นบนอบอย่างแท้จริงหรือไม่—นี่ก็คือบททดสอบวุฒิภาวะของเจ้า  ถ้าชั่วขณะที่ชีวิตของเจ้าจวนเจียนจะถูกพรากไปจากเจ้า เจ้ากลับผ่อนคลาย เต็มใจ และนบนอบโดยไม่พร่ำบ่น ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของตนจวบจนวาระสุดท้าย ถ้าหัวใจของเจ้าเบิกบานและมีสันติสุข—ถ้าเจ้าจากไปแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว สำหรับพระเจ้า เจ้าก็ไม่ได้จากไปแต่อย่างใด  เจ้ากลับดำรงชีวิตอยู่ในอีกโลกและในรูปสัณฐานอีกอย่างหนึ่ง  เจ้าเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเท่านั้น  แท้จริงแล้วเจ้าไม่ได้สิ้นชีวิตแต่ประการใด  ตามความเห็นของมนุษย์ “คนคนนี้ตายเมื่ออายุน้อยเช่นนี้ ช่างน่าเวทนา!”  แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าไม่ได้ตายหรือจากไปเพื่อทนทุกข์  เจ้ากลับจากไปเพื่อชื่นชมพรและมาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น  เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าทำถึงมาตรฐานของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว ยามนี้เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่นี้ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายอีกต่อไป  สำหรับพระเจ้าแล้ว “การไป” ของเจ้าไม่ได้เรียกว่า “การไป” เจ้า “ถูกเอาตัวไป” “พาไป” หรือ “นำทางไป” และนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีงาม  พวกเจ้าปรารถนาให้พระเจ้าทรงนำทางพวกเจ้าไปใช่หรือไม่?  (พวกเราปรารถนาการนี้)  จงอย่าปรารถนาเช่นนี้เลย  ในชีวิตนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่มนุษย์ไม่เข้าใจ  จงอย่ารีบเร่งที่จะมาถึงขั้นตอนนี้  ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะเข้าใจความจริงให้มากขึ้นและรู้เกี่ยวกับพระผู้สร้างให้มากขึ้น  จงอย่าปล่อยให้มีความเสียใจในภายหลัง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าจงอย่าปล่อยให้มีความเสียใจในภายหลัง?  ในชีวิตนี้ ผู้คนมีเพียงเวลาอันจำกัดที่จะเริ่มจากการเข้าใจสิ่งทั้งหลายไปสู่การมีโอกาสนี้ การครองขีดความสามารถนี้ และทำตามเงื่อนไขเพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระผู้สร้าง เพื่อที่จะไปถึงจุดที่มีความเข้าใจ ความรู้ และความยำเกรงพระผู้สร้างอย่างแท้จริง ตลอดจนเดินบนหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  หากตอนนี้เจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงนำเจ้าไปโดยเร็ว เจ้าก็ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง  เพื่อที่จะมีความรับผิดชอบนั้นเจ้าควรทำงานหนักขึ้นในการเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริง คิดทบทวนตนเองให้มากขึ้นเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า และชดเชยข้อบกพร่องของตนเองโดยเร็ว  เจ้าควรมาปฏิบัติความจริง ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรม เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าให้มากขึ้น สามารถรู้และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ใช้ชีวิตของเจ้าโดยเปล่าประโยชน์  เจ้าต้องเริ่มรู้ว่าพระผู้สร้างสถิตอยู่ที่ใด เจตนารมณ์ของพระผู้สร้างคืออะไร และพระผู้สร้างทรงแสดงความชื่นบานยินดี พระโมหะ ความโศกเศร้า และความปีติสุขอย่างไร—ต่อให้เจ้าไม่สามารถบรรลุการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรือความรู้ที่ครบบริบูรณ์ได้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องครองความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่มีวันทรยศพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้าโดยพื้นฐาน แสดงการคำนึงถึงพระเจ้า ให้การปลอบพระทัยขั้นพื้นฐานแด่พระเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยพื้นฐาน  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย  ในกระบวนการของการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงนั้น ผู้คน สามารถเริ่มรู้จักตนเองทีละน้อย แล้วจึงรู้จักพระเจ้า  อันที่จริงกระบวนการนี้คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนี่ควรเป็นกระบวนการที่ควรค่าแก่การระลึกถึงตลอดชีวิตของคนเรา  กระบวนการนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนควรได้ชื่นชม มากกว่ากระบวนการที่เจ็บปวดและลำบากยากเย็น  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงควรชื่นชูวันคืนและเดือนปีที่ใช้ไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาควรชื่นชูช่วงชีวิตนี้และไม่ควรมองว่าช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นตัวถ่วงหรือภาระ  พวกเขาควรลิ้มรสและได้รับความรู้จากประสบการณ์ในช่วงระยะนี้ของชีวิตตน  แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และทำชั่วน้อยลงเรื่อยๆ  เจ้าเข้าใจความจริงมากมาย เจ้าไม่ทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยหรือสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจ  เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงชังเจ้าอีกต่อไป  ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้!  เมื่อใครบางคนบรรลุสิ่งนี้แล้ว ต่อให้ต้องตายพวกเขาก็ย่อมอยู่อย่างสันติไม่ใช่หรือ?  แล้วเกิดเรื่องอะไรกับผู้คนเหล่านั้นที่ร้องขอความตายในเวลานี้เล่า?  พวกเขาเพียงต้องการที่จะหลบหนีและไม่อยากทนทุกข์  พวกเขาเพียงต้องการจบชีวิตนี้โดยเร็ว เพื่อที่พวกเขาจะสามารถไปและรายงานตัวต่อพระเจ้าได้  เจ้าต้องการที่จะรายงานตัวต่อพระเจ้า แต่พระเจ้ายังไม่ทรงต้องการเจ้า  เพราะเหตุใดเจ้าถึงจะรายงานตัวต่อพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทรงเรียกหาเจ้าเสียอีก?  จงอย่ารายงานตัวต่อพระองค์ก่อนถึงเวลาของเจ้า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี  หากเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย และพระเจ้าทรงรวบรวมเจ้าไป นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษ!

พวกเจ้าทุกคนเข้าใจสิ่งที่พวกเราหารือกันในวันนี้หรือไม่?  เราหวังว่าวจนะเหล่านี้จะไม่เป็นภาระเพิ่มเติมให้แก่พวกเจ้า หวังว่าเนื้อหาที่สามัคคีธรรมวันนี้จะไม่ทำให้เจ้าขวัญเสีย  ในทางกลับกัน เราหวังว่าการนี้จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงบางอย่างที่ควรเข้าใจ เพื่อให้พวกเจ้ารับมือกับเรื่องของความเชื่อในพระเจ้าได้ดีขึ้น รู้สึกมั่นคงมากขึ้น และเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้น  วจนะของเราสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่?  (พระวจนะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้)  จงอธิบายให้เราฟังทีเถิด  (เมื่อก่อน ข้าพระองค์ไม่ได้ถือเอาการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างแท้จริง  ข้าพระองค์เก็บงำทัศนะที่คลาดเคลื่อนไว้ในหัวใจมากมาย  ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองจะได้รับมอบหมายให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐก็ต่อเมื่อข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ได้ไม่ดีเท่านั้น  ข้าพระองค์มองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่แย่ที่สุด อีกทั้งไม่ได้ถือว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้มนุษย์อย่างแท้จริง  วันนี้ สามัคคีธรรมของพระเจ้าบอกพวกเราว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นพยานให้พระเจ้าคือความรับผิดชอบของมนุษย์ และผู้คนควรรู้สึกว่าเป็นภาระผูกพันด้วยเกียรติที่จะไปทำความรับผิดชอบนี้ให้ลุล่วง  เมื่อถึงตอนนั้น ข้าพระองค์รู้สึกว่าทัศนะของข้าพระองค์ไร้สาระเกินไป และสิ่งเหล่านั้นทำให้ข้าพระองค์ไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างถูกควรโดยแท้จริง  การฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าในวันนี้ได้เปลี่ยนทัศนะของข้าพระองค์โดยสิ้นเชิง)  เยี่ยมมาก  มีใครอยากพูดอีกหรือไม่?  (ข้าพระองค์เคยคิดว่าตนเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตัวเล็กๆ และไม่ได้มองการปฏิบัติหน้าที่นี้เป็นเรื่องใหญ่  ข้าพระองค์รู้สึกว่าหน้าที่ของข้าพระองค์นั้นไม่สำคัญ และไม่คู่ควรกับความใส่ใจ  อย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าพระองค์ได้ยินพระเจ้าตรัสว่า หน้าที่ที่ทุกคนปฏิบัติเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดและลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า และทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงวางแผนและจัดการเตรียมการมาด้วยความรอบคอบ  หากผู้คนไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี พวกเขาก็กำลังหนีความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ข้าพระองค์ได้ยินในสามัคคีธรรมของพระเจ้าว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าคือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทุกคนและเป็นความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พระวจนะนี้มอบความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงมอบความมุ่งมาดปรารถนาในการเดินไปบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงลิขิตให้ข้าพระองค์  ข้าพระองค์ต้องการรับผิดชอบชีวิตตนเอง ทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดี และทำภารกิจของข้าพระองค์ให้เสร็จสิ้น  จากนั้น ข้าพระองค์ก็จะสามารถปลอบพระทัยพระเจ้าได้บ้างเล็กน้อย  หลังจากได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว หัวใจของข้าพระองค์ก็รู้สึกตื้นตันเป็นพิเศษ  ข้าพระองค์รู้สึกว่า ข้าพระองค์ไม่สามารถดูเบาพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้ข้าพระองค์ได้อีกต่อไป)  พูดได้ดี  ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังที่เจ้ามองเห็นได้ เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็เริ่มเลอะเลือนและเพิกเฉยได้แม้กระทั่งเรื่องใหญ่อย่างการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  อย่างไรก็ตาม เมื่อสามัคคีธรรมความจริงกันอย่างชัดเจน ผู้คนย่อมตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ มารู้จักตำแหน่งของตนเอง และรู้ถึงคุณค่าของชีวิตตนเอง  นี่หมายความว่าพวกเขามีทิศทางแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ความจริงสามารถเปลี่ยนหัวใจของผู้คนได้  นอกจากความจริงแล้ว มีทฤษฎีใดอีกบ้างที่สามารถดลใจเจ้าและเปลี่ยนทัศนะของเจ้าได้?  ไม่มีเลย มีเพียงหนทางแห่งความจริงเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะของเจ้าได้  เหตุใดหนทางนี้จึงสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะของเจ้าได้?  เพราะความจริงเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเสียจนไม่มีผู้ใดหักล้างได้  ความจริงเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์และภารกิจในชีวิตมนุษย์  สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับพวกเขา  ความจริงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไร้นัยสำคัญ แต่ผูกติดกับภารกิจในชีวิตมนุษย์ รวมถึงคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่  เพราะฉะนั้น เมื่อมีการกล่าวอย่างชัดเจน วจนะเหล่านี้ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจของผู้คนจนทำให้พวกเขายอมรับวจนะเหล่านี้ และสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะของพวกเขาได้  สามัคคีธรรมวันนี้ควรมีบทบาทบางประการในการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ผู้คนมีต่อหน้าที่ของตน  หากความจริงเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน วิธีที่พวกเขาดำเนินชีวิต และทิศทางที่พวกเขาเดินตามในการไล่ตามเสาะหาได้ นั่นก็คงจะวิเศษทีเดียว  นั่นย่อมจะหมายความว่าวันนี้เราไม่ได้เอ่ยวจนะออกไปโดยเปล่าประโยชน์  บัดนี้เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าจำเป็นต้องนำมาปรับใช้ มีประสบการณ์ และย่อยวจนะเหล่านี้ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้าไปทีละน้อย  เมื่อความจริงเหล่านี้กลายเป็นความเป็นจริงและเป็นชีวิตของเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงลบตำแหน่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า และเจ้าจะได้รับบางสิ่งบางอย่างอย่างแท้จริง  ในเวลานั้น เมื่อพระเจ้าทรงขอให้เจ้าถวายชีวิตของเจ้า และใช้ชีวิตของเจ้าเป็นพยานยืนยันถึงกิจการของพระองค์และเป็นพยานให้ข่าวประเสริฐของพระองค์จริงๆ เจ้าจะเป็นอิสระจากความกังวลและความกลัว และเจ้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน  เจ้าจะยอมรับด้วยความชื่นบานยินดี  เพราะนี่คือพระบัญชาซึ่งพระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า เจ้าจะยอมรับการนี้จากพระเจ้า  ดังนั้นเพื่อรอคอยและต้อนรับวันนั้น นอกจากการสามารถเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ผู้คนยังต้องพากเพียรเพื่อเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งได้รับความรู้ที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

25 ธันวาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีพอ?

ถัดไป: การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger