3. ความสว่างแห่งการพิพากษา

โดย Enhui, มาเลเซีย

พระเจ้าสำรวจโลกทั้งใบและบัญชาการทุกสรรพสิ่ง และมองดูถ้อยคำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์ พระองค์ดำเนินการบริหารจัดการของพระองค์ด้วยขั้นตอนที่ได้ไตร่ตรองตัดสินไว้และโดยสอดคล้องกับแผนของพระองค์ อย่างเงียบเชียบและไร้ผลกระทบรุนแรง แต่ฝีพระบาทของพระองค์ขยับก้าวหน้า ก้าวแล้วก้าวเล่า เข้าใกล้มนุษยชาติมากขึ้นทุกที และพระที่นั่งเพื่อการพิพากษาของพระองค์ถูกนำมาใช้ในจักรวาล ด้วยความเร็วแห่งสายฟ้า ซึ่งตามมาด้วยพระบัลลังก์ของพระองค์ที่เคลื่อนลง สู่กลางหมู่พวกเราโดยทันใด ช่างเป็นฉากอันเปี่ยมพระบารมีอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นเวทีเงียบอันภูมิฐานและเคร่งขรึมอะไรเช่นนี้! ดุจดั่งนกพิราบและประหนึ่งสิงโตคำราม พระวิญญาณเสด็จมาท่ามกลางพวกเรา พระองค์ทรงเป็นพระปรีชาญาณ พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมและพระบารมี พระองค์ทรงเป็นพระปรีชาญาณ พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมและพระบารมี และพระองค์เสด็จอย่างลับๆ มาท่ามกลางพวกเรา ทรงกวัดแกว่งสิทธิอำนาจและเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา พระองค์ทรงเป็นพระปรีชาญาณ พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมและพระบารมี พระองค์ทรงเป็นพระปรีชาญาณ พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมและพระบารมี และพระองค์เสด็จอย่างลับๆ มาท่ามกลางพวกเรา ทรงกวัดแกว่งสิทธิอำนาจและเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) นี่ ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าเพลงนี้ ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเมื่อก่อน ศิษยาภิบาลกับเหล่าผู้อาวุโสบอกเสมอ ว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาเราในยุคสุดท้ายจากโต๊ะตัวใหญ่บนท้องฟ้า ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะประทับบนพระที่นั่งใหญ่สีขาว ที่พระองค์จะทรงพิพากษาผู้คนตามสิ่งที่เราได้ทำไป ให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว ฉันเคยเชื่อแบบนั้นเสมอค่ะ จนฉันได้มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ฉันจึงได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ และมองเห็นว่านั่นเป็นมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ทั้งหมด ที่จริงพระเจ้าทรงมาอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว เพื่อทรงแสดงความจริงสำหรับการพิพากษายุคสุดท้ายของพระองค์ และการพิพากษาหน้าพระที่นั่งแห่งพระคริสต์ได้เริ่มขึ้นนานมาแล้ว

ตอนนั้นเป็นปี 2015 ค่ะ และฉันได้เป็นผู้เชื่อมาแล้วกว่า 20 ปี ในเดือนตุลาคม เพื่อนร่วมงานของฉัน ให้ฉันเริ่มใช้เฟซบุ๊กเพื่อหาเพื่อนและพูดคุย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเวลา ฉันจะดูโพสต์ต่างๆ ของพี่น้องชายหญิง และฉันจะกดไลค์และแชร์ทุกอย่างที่ฉันสนใจ วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ฉันเปิดเฟซบุ๊กดูเหมือนปกติ ตอนที่สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันเรื่องการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ทุกคนมีความเห็นไปต่างๆ นานา บางคนก็บอกค่ะ ว่าเขาไม่รู้ว่าการพิพากษาคืออะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอามาพูดเรื่อยเปื่อย และบอกว่าเราคาดเดาการกระทำของพระเจ้าในอนาคตไม่ได้ อีกคนก็พูดถึงสดุดี 75:2 “ถึงเวลาซึ่งเราได้กำหนดไว้ เราจะพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม” เขาบอกว่านั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงมีบันทึกว่าทุกคนทำอะไรไว้บ้าง และเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพิพากษาผู้คนในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงนำมาแสดงให้ทุกคนดูเหมือนภาพยนตร์ ดังนั้นเราควรประพฤติตัวให้ดี มีความซื่อตรง และไม่ทำความชั่ว แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงส่งเราลงนรกค่ะ อีกคนบอกว่าตามที่เขียนไว้ในวิวรณ์ เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาเราในยุคสุดท้าย พระองค์จะทำจากพระที่นั่งใหญ่สีขาวบนฟ้า ที่ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าจะทรงตั้งโต๊ะตัวใหญ่ ประทับที่โต๊ะนั่น และเปิดสมุดชีวิตของแต่ละคน จากนั้นก็ทรงพิพากษาพวกเขาทีละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ ผู้คนที่ทำดีจะถูกนำเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนผู้คนที่ทำชั่วจะถูกส่งลงนรก หลังจากอ่านโพสต์ทั้งหมดนี้ ฉันก็เริ่มวาดภาพคร่าวๆ ในใจถึงแนวคิดที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพิพากษาผู้คนในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าจะประทับบนพระที่นั่งใหญ่สีขาวบนฟ้า โดยมีผู้คนคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อรับการพิพากษา องค์พระเยซูเจ้าจะทรงกำหนดว่าใครจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ตามปริมาณความดีและปริมาณความชั่วที่พวกเขาได้ทำไว้ ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากว่า 20 ปี และได้ติดตามพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างกระตือรือร้น อีกทั้งได้ตั้งใจอย่างมากเพื่อใช้ชีวิตตามคำสอนของพระองค์ ฉันคิดว่าพระองค์ต้องทรงเห็นความจริงใจของฉันและทรงนำตัวฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์อย่างแน่นอน

ฉันคิดเรื่องนี้อยู่เรื่อย และฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าฉันควรค้นหา “การพิพากษา” ในอินเทอร์เน็ต และดูซิว่าจะเจออะไรบ้าง ฉันเห็นพระวจนะนี้ในผลการค้นหาค่ะ “การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์” ฉันสนใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ฉันคลิกลิงก์นั้น ตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่ามีอะไร ปรากฏว่าเป็นเพลงสรรเสริญที่น่ารักและกระตุ้นความคิดค่ะ “ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาจะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตแห่งความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าพรากไปจากเขา ทั้งนี้ก็เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เนื้อเพลงเพลงนี้กระตุ้นความอยากรู้ของฉันค่ะ ในเพลงบอกว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ ว่าสองสิ่งนี้คือการปกป้องที่ดีที่สุดและเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรา ฉันสงสัยว่ามันหมายความว่าไง ในเพลงยังบอกด้วยว่าเพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เราต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การครุ่นคิดเรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามบางประการในใจค่ะ การพิพากษาแค่กำหนดบทอวสานของเราไม่ใช่เหรอ จะเป็นความสว่างแห่งความรอดของเราได้ยังไง ฉันไม่เคยได้ยินแบบนั้นมาก่อน การพิพากษาประเภทนั้นแตกต่างจากที่ฉันเคยคิดในเรื่องการพิพากษา แต่ฉันมีความรู้สึกรางๆ ว่ามันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่ฉันคิดไว้ ฉันหาดูว่าบทเพลงนั้นมาจากไหน และเห็นว่ามาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันจึงเข้าเว็บไซต์ของคริสตจักร มันมีรูปแบบที่น่าสนใจและมีเนื้อหามากมายเลยค่ะ ฉันเห็นหนังสือหลายประเภท เพลงสรรเสริญพระเจ้า ไหนจะภาพยนตร์ข่าวประเสริฐและวิดีโออื่นๆ ทั้งยังมีบันทึกคำพยานอีกด้วย ฉันเข้าไปทีส่วนหนังสือก่อน และเห็นชื่อหนังสืออย่างเช่น การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า และ คำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหลายหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ ทั้งสองเล่มกล่าวถึง “การพิพากษา” ใน คำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหลายหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ มีบทความมากมายเรื่องการพิพากษา เช่น “การแปลงสภาพผ่านการพิพากษา” และ “การพิพากษาคือความสว่าง” ฉันอ่านดูสองสามบทความ และทั้งหมดก็เป็นเรื่องของชาวคริสเตียนที่ได้รับประสบการณ์การพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นมุมมองเรื่องความศรัทธาและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป อ่านแล้วฉันก็ยิ่งอยากรู้ค่ะ ฉันสงสัยว่า “เป็นไปได้ไหมว่าการพิพากษาไม่ใช่การลงโทษหรือกำหนดบทอวสาน แต่เป็นความรอด? ที่ว่า ‘การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์’ หมายความว่ายังไง” ดูเหมือนว่าหนังสือเรื่องการพิพากษาพวกนี้น่าจะมีประโยชน์มาก และฉันอยากอ่านให้ละเอียด แต่พอดีได้เวลาไปทำงานแล้ว ฉันเลยต้องปิดคอมพิวเตอร์และออกจากบ้าน แต่ทั้งวันฉันก็หยุดคิดถึงเว็บไซต์คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ โดยเฉพาะตรงที่บอกว่า “การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์” ฉันคิดไม่ออกค่ะ ว่าการพิพากษาตรงนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่

พอกลับถึงบ้านค่ำวันนั้น ฉันก็กลับไปเปิดเว็บไซต์เดิม และค้นหาคำว่า “การพิพากษา” แล้วฉันก็ได้อ่าน “พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง” ในนั้นมีบทตอนหนึ่งที่ฉันประทับใจมาก “ในการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้าซึ่งถูกกล่าวถึงหลายครั้งในอดีตกาล ‘การพิพากษา’ ของถ้อยคำเหล่านี้เกี่ยวกับการพิพากษาที่ในวันนี้พระเจ้าทรงแสดงการตัดสินบรรดาผู้ที่มาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ในยุคสุดท้าย บางทีอาจมีพวกคนที่เชื่อในจินตนาการเหนือธรรมชาติเช่นนั้น เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง พระเจ้าจะทรงตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ขึ้นในสวรรค์ซึ่งบนนั้นมีผ้าปูโต๊ะสีขาวคลี่คลุมไว้ และจากนั้น พระองค์ซึ่งประทับอยู่บนพระมหาบัลลังก์โดยมีมนุษย์ทุกคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น จะทรงเปิดเผยบาปทั้งหลายของแต่ละคน แล้วจึงกำหนดพิจารณาว่าพวกเขาจะขึ้นสู่สวรรค์หรือถูกส่งลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ไม่ว่ามนุษย์จะจินตนาการอะไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของพระราชกิจของพระเจ้าได้ จินตนาการทั้งหลายของมนุษย์ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากสิ่งที่สร้างจากความคิดของมนุษย์ พวกมันมาจากสมองของมนุษย์ ถูกสรุปย่อและปะติดปะต่อเข้าด้วยกันจากสิ่งที่มนุษย์ได้เห็นและได้ยินมา ดังนั้นเราจึงบอกว่า ไม่ว่าภาพที่คิดฝันขึ้นนั้นจะโชติช่วงเพียงใด พวกมันก็เป็นเพียงการนำเสนอด้วยภาพและไม่สามารถทดแทนแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้าได้  จะว่าไปแล้ว มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไป ดังนั้นจะให้เขาสามารถหยั่งลึกถึงพระดำรินานาของพระเจ้าได้เช่นไรกัน?  มนุษย์คิดฝันว่าพระราชกิจของพระเจ้าในการพิพากษาเป็นบางสิ่งที่อลังการเลิศหรู เขาเชื่อว่าเนื่องจากพระเจ้าเป็นผู้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้วพระราชกิจนี้จึงต้องมีขนาดมหึมาที่สุดและปุถุชนธรรมดาไม่มีทางจับใจความได้และต้องดังกึกก้องไปทั่วฟ้าสวรรค์และสั่นสะเทือนแผ่นดินโลก หากไม่เป็นเช่นนั้น มันจะสามารถเป็นพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  เขาเชื่อว่าเพราะนี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะต้องทรงภูมิฐานและสง่างามน่าเกรงขามเป็นพิเศษในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจ และพวกผู้ที่กำลังถูกพิพากษาจะต้องร้องโหยหวนด้วยน้ำตาและคุกเข่าวิงวอนขอความเมตตา ฉากเหตุการณ์เช่นนี้คงดูน่าตื่นเต้นและเร้าใจลึกล้ำอย่างแน่นอน…ทุกคนจินตนาการว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าจะต้องน่าอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าในขณะที่พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์นานมาแล้ว เจ้ายังคงซุกตัวอยู่ในภวังค์อันเงียบสงบ?  ว่าในขณะที่เจ้าคิดว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว พระเจ้าจะได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นมาใหม่แล้วหรือไม่?  ในเวลานั้น บางทีเจ้าอาจจะเพิ่งได้เข้าใจความหมายของชีวิตเท่านั้น แต่พระราชกิจแห่งการลงโทษอันไร้ปรานีของพระเจ้าจะนำพาเจ้าที่ยังคงอยู่ในอาการหลับลึกลงสู่นรก เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจะตระหนักในฉับพลันว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  ได้อ่านแบบนี้ฉันก็ประหลาดใจค่ะ ความคิดและมุมมองของฉันเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายที่ฉันยึดถืออย่างหนักแน่น ได้รับการเปิดเผยอย่างชัดเจน ความเชื่อของฉันที่ว่าพระเจ้าจะทรงทำการพิพากษาบนฟ้า แท้จริงแล้วเป็นแค่ความคิดที่เหนือธรรมชาติเหรอ พระวจนะยังบอกด้วยว่าพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว และกำลังจะสิ้นสุดลง ทั้งยังเตือนให้ผู้คนแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้าในทันที ฉันสงสัยว่า “นี่ใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า” ความคิดนั้นทำให้ฉันตื่นเต้นไปหมด และฉันอยากหาคำตอบให้ได้ทันที ดังนั้น ฉันจึงส่งข้อความผ่านระบบแชทของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และบอกพวกเขาว่าฉันสนใจเรื่องการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าค่ะ ฉันแปลกใจที่ได้รับข้อความตอบมาเร็วมาก และซิสเตอร์หลิวกับซิสเตอร์หลี่จากคริสตจักรก็เข้ามาในห้องแชทค่ะ

หลังจากแนะนำตัวกันคร่าวๆ ฉันก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าฉันสับสน ฉันบอกว่า “จากในวิวรณ์ พระเจ้าจะประทับบนท้องฟ้าบนพระที่นั่งใหญ่สีขาว เพื่อทรงดำเนินการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย แต่ใน ‘พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง’ บอกว่านั่นเป็นแค่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และพระราชกิจการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไรคะ”

ซิสเตอร์หลิวตอบด้วยการสามัคคีธรรมว่า “สิ่งที่กล่าวในวิวรณ์ เรื่องที่ยอห์นเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวบนฟ้าบนเกาะปัทมอส เป็นเพียงแค่นิมิต เป็นคำเผยพระวจนะเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย มันไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นจริงๆ นั่นคือ ไม่มีใครรู้หรือกำหนดได้แน่ชัดว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจการพิพากษาของพระองค์อย่างไร ก่อนที่พระองค์จะทรงทำค่ะ เราสามารถรู้ได้ก็ต่อเมื่อคำเผยพระวจนะลุล่วงแล้วเท่านั้น” เธอบอกด้วยว่ามีคำเผยพระวจนะมากมายในพระคัมภีร์เรื่องพระราชกิจการพิพากษา อย่างเช่นวิวรณ์ 14:6-7 “แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ ท่านประกาศเสียงดังว่า ‘จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว’” นอกจากนี้ยังมียอห์น 9:39 “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น” เธอว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ที่บอกว่า “เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก” และ “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา” แสดงว่าพระเจ้าจะเสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงพระราชกิจการพิพากษาของพระองค์ที่นี่ในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน เธอยังพูดถึงยอห์น 5:22 ด้วยค่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” และข้อ 27 “และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์(ยอห์น 5:27) นอกจากนี้ 1 เปโตร 4:17 ยังบอกว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” เธอบอกว่า “ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้บอกว่าการพิพากษาจะทำโดยพระบุตร อะไรก็ตามที่อ้างถึงพระบุตรหรือบุตรมนุษย์หมายความว่าทรงถือกำเนิดจากมนุษย์และมีความเป็นมนุษย์ปกติ พระวิญญาณของพระเจ้าไม่สามารถเรียกว่าบุตรมนุษย์ได้ ดังนั้นนี่เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอ ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายในเนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ นอกจากนี้ยังเขียนไว้อีกด้วยว่าการพิพากษาจะเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า นั่นคือ พระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเริ่มต้นที่เหล่าผู้เชื่อ”

ถึงจุดนี้ฉันสะดุ้งเลยค่ะและคิดว่า “ฉันเป็นผู้เชื่อมาตลอดหลายปี และฉันได้อ่านข้อพระคัมภีร์ที่เธออ้างถึงมาก่อน ทำไมฉันไม่เคยสังเกตเลย ว่าพระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์และทรงพระราชกิจการพิพากษาของพระองค์บนแผ่นดินโลก ฉันอ่านผ่านนิมิตของยอห์นบนเกาะปัทมอสไป จินตนาการว่านั่นคือวิธีที่พระเจ้าจะทรงดำเนินการพิพากษาของพระองค์ ขณะที่มองข้ามข้ออื่นๆ เรื่องการพิพากษา ฉันมีความเข้าใจที่จำกัดเหลือเกิน” ตอนที่ฉันอ่านข้อเหล่านี้ ฉันครุ่นคิดถึงการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์หลิว

ตอนฉันเองที่ฉันได้ยินซิสเตอร์หลี่สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด ขณะที่ทรงเปิดเผยบทอวสานของทุกคนและจำแนกพวกเราตามประเภทของเรา นี่คือการพิพากษาเบื้องหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาวในยุคสุดท้าย และนี่ทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านั้นในพระคัมภีร์ลุล่วงโดยสมบูรณ์” เธอบอกว่า “พระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้าย โดยหลักคือสร้างกลุ่มผู้มีชัยชนะก่อนที่จะเกิดความวิบัติทั้งหลาย ผู้ที่โหยหาการปรากฏของพระเจ้าจริงๆ จากทุกนิกายได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และมองเห็นว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง ว่าคือพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาก็หันมาหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ที่ถูกรับไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า ที่ซึ่งพวกเขาถูกพิพากษาและชำระให้สะอาดโดยผ่านพระวจนะของพระเจ้า” “เมื่อกลุ่มผู้มีชัยชนะถูกสร้างขึ้นมา พระเจ้าจะทรงเริ่มให้ความวิบัติใหญ่หลวงหลั่งไหลดั่งสายฝน และจะทรงให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว ทำลายผู้คนที่ชั่วร้ายที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งแบบเด็ดขาด นั่นคือเวลาที่พระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายจะมาถึงจุดสิ้นสุดโดยสมบูรณ์” จากนั้นเธอก็เสริมว่า “ความวิบัติทั้งหลายกำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และดวงจันทร์สีเลือดสี่ดวงได้ปรากฏขึ้นแล้ว มีทั้งตั๊กแตน น้ำท่วม ภัยแล้ง เกิดการกันดารอาหาร และภัยพิบัติ ความวิบัติใหญ่ๆ ใกล้เข้ามามากแล้ว เมื่อสิ่งเหล่านั้นมาถึง ทุกคนที่ได้ทำชั่วและเป็นศัตรูกับพระเจ้าและทุกคนที่เป็นพวกซาตาน จะถูกทำลาย ผู้คนที่ได้ยอมรับการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้าและได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว จะได้รับการปกป้องและรอดชีวิต อีกทั้งถูกรับเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นั่นคือการพิพากษาเบื้องหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาวในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอนไม่ใช่หรือ”

ได้ฟังการสามัคคีธรรมของเธอให้ความสว่างกับฉันมากค่ะ ฉันตระหนักได้ว่าการที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจการพิพากษา คือการพิพากษาในยุคสุดท้ายแห่งพระที่นั่งใหญ่สีขาวในยุคสุดท้าย แต่ความสับสนของฉันก็ยังไม่หายไปทั้งหมดนะคะ พวกเขาบอก ว่าพระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด แต่ฉันคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้อภัยบาปของเราแล้ว และไม่ทรงมองเราว่าเต็มไปด้วยบาปอีกต่อไป ทำไมพระเจ้ายังทรงต้องชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดด้วยพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายล่ะ” ฉันเอาคำถามนั้นไปถามพี่สาวน้องสาว ซึ่งได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองบทตอนค่ะ “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงได้กลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า? คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์  เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง?  ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น!  เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง  เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้  ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพระพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม  ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)

หลังจากอ่านจบ ซิสเตอร์หลี่ก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ซึ่งทรงทำเพื่อให้อภัยในบาปของมวลมนุษย์เท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา เมื่อบาปของเราได้รับการอภัย และเราได้รับการช่วยให้รอดและได้พ้นโทษบาปโดยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งหมายความว่าเราไม่ถูกประณามและสาปแช่งโดยธรรมบัญญัติ แต่ธรรมชาติแบบซาตานของเราในการทำบาปและต่อต้านพระเจ้ายังคงอยู่ ธรรมชาติที่มีบาปของเรายังไม่ได้ถูกถอนราก นั่นคือเหตุผลที่เรายังผูกติดกับธรรมชาติที่มีบาปของเราและเรายังคงทำบาปและโกหกอยู่ บางคนที่พอมีความสามารถและความแข็งแกร่งก็กลายเป็นหยิ่งยโสและแข็งกร้าว และเพียงแค่พวกเขาทำงานได้นิดหน่อย พวกเขาก็โอ้อวด แก่งแย่งชื่อและสถานะ และใช้เล่ห์เพทุบาย มันดูเหมือนว่าพวกเขาทำงานหนักและเสียสละ และพวกเขาบอกว่าทำไปเพื่อรักและสนองพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วเพื่อให้ได้รับพระพร เพื่อให้ได้รับมงกุฎ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากหรือการทดสอบ พวกเขาโต้เถียงกับพระเจ้าและเกิดขุ่นเคืองขึ้นมา หรือกระทั่งบอกว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม และพวกเขาปฏิเสธและทรยศพระองค์ คนแบบนี้ที่ไม่สามารถหลบหลีกบาปของตัวเองได้ ที่ต่อต้านและตัดสินพระเจ้าอยู่เสมอ จะคู่ควรกับราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ยังไง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ ‘ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14)” “นั่นคือสาเหตุที่องค์พระเยซูเจ้ามีพระสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจบนรากฐานของการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้พวกเขารอดเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้เราได้เป็นอิสระจากบาปของเราและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา อีกทั้งได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์และถูกรับไว้โดยพระเจ้า”

นั่นฟังดูถูกต้องสำหรับฉันจริงๆ ค่ะ แม้ว่าบาปของเราจะได้รับการให้อภัยผ่านความเชื่อของเราแล้ว แต่ธรรมชาติที่มีบาปของเรายังไม่ได้รับการแก้ไข ฉันคิดถึงเรื่องสถานการณ์ต่างๆ ในคริสตจักรของเรา ศิษยาภิบาลกับเหล่าผู้อาวุโสได้แต่ประกาศหลักคำสอนจากพระคัมภีร์ในพิธีการต่างๆ โดยไม่ให้การบำรุงเลี้ยงชีวิตใดๆ เลย และพวกเขาก็ละโมบเรื่องเงินและแข่งขันกันเพื่ออำนาจ พวกเขาถึงกับตั้งกลุ่มกอง ทั้งยังตัดสินและบ่อนทำลายกันและกัน พี่น้องชายหญิงรู้สึกอ่อนแอ และความเชื่อกับความรักของพวกเขาเริ่มจืดจาง คนจำนวนมากไล่ตามกระแสทางโลกและละโมบในความสุขทางเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปได้ นอกจากนี้ฉันยังคิดถึงเรื่องที่ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้โกหกและทำบาปได้ ฉันไม่สามารถนำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติได้ และใช้ชีวิตในสภาวะของการทำบาปและสารภาพ แบบนั้นฉันจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ยังไง เราต้องการให้พระเจ้าเสด็จมาอีกครั้งและทรงพระราชกิจเพื่อพิพากษาและชำระเราให้สะอาดจริงๆ ฉันรีบถามพี่น้องใหญ่เลยค่ะ “พระเจ้าทรงชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดในยุคสุดท้ายผ่านการพิพากษาของพระองค์ได้ยังไงคะ”

พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟังอีกบทตอนหนึ่งค่ะ “ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ หากเจ้าไม่ถือว่าความจริงเหล่านี้มีความสำคัญ หากเจ้าไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจากวิธีการหลีกเลี่ยงพวกมันหรือจะหาทางออกใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกมันอย่างไร เช่นนั้นแล้วเราบอกว่าเจ้าเป็นคนบาปที่น่าเวทนา หากเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือน้ำพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งไม่รักหนทางซึ่งนำพาเจ้าเข้าสนิทกับพระเจ้ายิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้ว เราบอกว่าเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามเลี่ยงหนีการพิพากษา และว่าเจ้าเป็นหุ่นเชิดและคนทรยศที่หลบหนีจากมหาบัลลังก์สีขาว พระเจ้าจะไม่ทรงผ่อนผันแก่เหล่ากบฏที่หลบหนีจากใต้พระเนตรของพระองค์ พวกมนุษย์เช่นนั้นจะยิ่งได้รับการลงโทษที่รุนแรงมากกว่า บรรดาผู้ที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับการพิพากษา และยิ่งกว่านั้นคือ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะมีชีวิตในราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดกาล แน่นอนว่านี่คือบางสิ่งที่เป็นของอนาคต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

ซิสเตอร์หลี่สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้พวกเขารอดโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องเข้าใจและเข้าสู่ เพื่อให้ได้รับความรอดและการชำระให้สะอาดโดยสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เพียงทรงตีแผ่แก่นแท้และความจริงของความเสื่อมทรามของมนุษยชาติเท่านั้น แต่ทรงตีแผ่รากเหง้าของความมืดและความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกอีกด้วย พระวจนะของพระองค์ไม่เพียงชี้นำให้ผู้คนเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดกับอิสรภาพจากความเสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยังเปิดเผยน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอย่างไม่ปิดบัง พระวจนะไม่เพียงแต่เผยความลี้ลับของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเล่าให้ผู้คนฟังอีกด้วยว่าบทอวสานและบั้นปลายที่รอพวกเขาอยู่คืออะไรบ้าง พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปิดโปงแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างละเอียดหมดจด เราจึงอดไม่ได้ที่จะคล้อยตาม” นอกจากนี้เธอยังบอกว่า “ยิ่งเราได้รับประสบการณ์การพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งมองเห็นมากขึ้นเท่านั้นว่ามนุษยชาติถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักแค่ไหน เมื่อเรามองเห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราเองและความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเราอย่างครบถ้วน เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรมอย่างล้ำลึกแค่ไหน จากนั้นเราจะเกิดความเคารพและรักพระเจ้าในหัวใจของเรา และมองเห็นจริงๆ ว่าเราเสื่อมทรามและขาดมนุษยธรรมแค่ไหน เราจะเห็นว่าเราไม่คู่ควรได้มีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จากนั้นเราจะเริ่มเกลียดตัวเองและไม่อยากมีชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอีกต่อไป เรานบนอบต่อการพิพากษาของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ กลับใจอย่างแท้จริง และเปลี่ยนแปลงค่ะ” “ถ้าไม่ใช่เพราะการพิพากษาและวิวรณ์แห่งพระวจนะของพระเจ้า ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราจะได้รับการแก้ไขผ่านการอธิษฐาน การสารภาพ และการพยายามควบคุมตัวเองได้ไหม เราจะหนีจากโซ่ตรวนแห่งบาปได้ไหม” “เราไม่สามารถหนีจากบาปได้ แล้วเราจะกลับใจอย่างแท้จริงและควรค่าที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ยังไง นั่นคือสาเหตุที่การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือความรอด คือความสว่างแห่งความรอดค่ะ” “ผู้คนที่ไม่อยากยอมรับการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้า จะพ่ายแพ้ต่อความวิบัติอันใหญ่หลวงเมื่อความวิบัติเหล่านั้นมาถึง พวกเขาจะร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”

โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และหลังจากที่ได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องสองคนนี้อยู่สองสามวัน ฉันก็รู้ภายในหัวใจ ว่าการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายนั้นสำคัญแค่ไหนสำหรับการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้พวกเขารอด! ฉันยังไม่ได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าในตอนนั้น แต่โดยการสามัคคีธรรมของพี่สาวน้องสาวและคำพยานจากคนอื่นๆ ฉันมองเห็นว่า พระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สามารถเปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้สะอาดได้จริงๆ และนี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการในฐานะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ฉันเคยคิดเสมอ ว่าในยุคสุดท้ายพระเจ้าจะทรงดำเนินการพิพากษาบนฟ้าจากพระที่นั่งใหญ่สีขาวอันสง่างาม และผู้เชื่อจะถูกรับขึ้นไปเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนนี้มันดูเพ้อฝันมากเหลือเกินค่ะ ตอนนี้ฉันตระหนักแล้ว ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาบนแผ่นดินโลกด้วยพระวจนะ ชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยผู้เชื่อที่แท้จริงทั้งหมดให้รอด เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระองค์จะทรงใช้ความวิบัติทั้งหลายเพื่อทำลายทุกคนที่ต่อต้านพระองค์ พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากค่ะ! ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมากหลังจากนั้น และฉันได้อ่านเรื่องความลึกลับต่างๆ และความจริงที่ถูกเปิดเผยในพระวจนะเหล่านั้นอีกด้วย อย่างเช่นเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังพระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร และผลลัพธ์ของแต่ละช่วงระยะ ว่าซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามยังไง พระเจ้าทรงช่วยให้เรารอดและชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ยังไง บั้นปลายและบทอวสานของทุกคนจะเป็นยังไง ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นจริงบนแผ่นดินโลกยังไง และอีกมากมาย มันช่างเปิดตาและเติมเต็มให้ฉันจริงๆ! ตอนนี้ฉันได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตรัสแล้วว่า “สาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมา ต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์” ช่างเป็นพระวจนะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน! ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้มาอยู่หน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าแล้ว นี่คือพระเจ้าทรงยกฉันให้สูงขึ้นและทรงแสดงพระเมตตาต่อฉันค่ะ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 2. หนทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์

ถัดไป: 11. ฉันกลับคืนสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger