2. หนทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โดย Allie, สหรัฐอเมริกา

ฉันเคยบัพติศมาในนามขององค์พระเยซูเจ้าในปี 1990 และพอปี 1998 ฉันก็ได้เป็นผู้ร่วมงานของคริสตจักร เพราะพระราชกิจและแนวทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันมีพลังงานไม่สิ้นสุดที่จะทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และบ่อน้ำของฉันสำหรับการเทศนาก็ไม่เคยเหือดแห้ง ฉันมักจะสนับสนุนพี่น้องที่รู้สึกอ่อนแอหรือรู้สึกในทางลบ และฉันยังคงอดทนและอดกลั้นเมื่อครอบครัวผู้ไม่เชื่อของพวกเขามีจิตใจไม่ดีต่อฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันเปลี่ยนไปมากตั้งแต่มาเป็นคริสตชน แต่ตั้งแต่ในปี 2010 ฉันก็ไม่รู้สึกถึงการนำทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป และฉันไม่มีพลังงานมากพอสำหรับงานของฉัน ฉันประกาศเรื่องเดิมซ้ำๆ โดยไม่มีความรู้แจ้งใหม่ เวลาที่สามีหรือลูกสาวทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ฉันอดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสียและดุว่าพวกเขา ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันได้อธิษฐาน สารภาพ และกลับใจแล้ว แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะทำบาปอีกครั้ง และไม่มีความอดทนอดกลั้น นี่ทำให้ฉันเป็นทุกข์ ฉันอ่านพระคัมภีร์ อดอาหาร และอธิษฐานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อหลีกหนีชีวิตที่มีแค่การทำบาปและสารภาพ ฉันเสาะหาศิษยาภิบาลเพื่อช่วยฉันวินิจฉัยเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยได้เลย

จนถึงปี 2017 ฉันก็ยังทำงานและประกาศไปทั่วทุกแห่ง แต่ฉันรู้สึกถึงความว่างเปล่าและความไม่สบายใจ เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่ในบาปเสมอ และความรู้สึกนั้นก็เริ่มรุนแรงขึ้น วันนึ่ง สามีของฉันถามฉัน “พักนี้คุณดูหดหู่มากเลย มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ฉันเล่าความกังวลให้เขาฟังเพื่อตอบคำถามของเขา “ฉันมาคิดๆ ดูนะคะ ฉันเป็นผู้ศรัทธาตลอดหลายปีที่ผ่านมาและฉันเป็นนักเทศน์ แล้วทำไมฉันเลิกใช้ชีวิตในบาปไม่ได้?  ฉันไม่สามารถรู้สึกถึงการทรงสถิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ราวกับว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งฉันไปแล้ว ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี อ่านพระคัมภีร์เยอะมาก และฟังหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากมาย ฉันมักเลือกที่จะแบกกางเขนของฉันและเอาชนะตัวเอง แต่ก็ถูกพันธนาการโดยบาปอยู่เสมอ ฉันโกหกเพื่อผลประโยชน์และบารมีของตัวเอง และไม่สามารถบรรลุ ‘ในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ’ (วิวรณ์ 14:5) ฉันรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้มีความยากลำบากและกระบวนการถลุงที่ฉันเผชิญ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษและเข้าใจผิดพระองค์ ฉันไม่สามารถนบนอบได้อย่างมีความสุข ฉันกลัวว่าถ้าฉันยังใช้ชีวิตอยู่ในบาปแบบนี้ ฉันจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา!”

เขาตอบกลับมาว่า “คุณคิดแบบนั้นได้ยังไง?  มีศรัทธาสิ คุณเป็นผู้ประกาศนะ!  คุณพูดแบบนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ?   ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตในบาปและไม่เคยรอดพ้นได้ ในพระคัมภีร์ก็ยังกล่าวไว้ว่า ‘คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด’ (โรม 10:9–10) และ ‘ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด’ (โรม 10:13) เราใช้ชีวิตอยู่ในบาปและไม่เป็นอิสระจากมัน แต่บาปของเราได้รับการอภัย เราได้รับความชอบธรรมและการช่วยให้รอดโดยความเชื่อ ตราบใดที่เราเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ อ่านพระคัมภีร์ แบกกางเขนของเรา และติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์และได้รับพร” ฉันพูดกับเขา “ฉันเคยคิดแบบนั้น แต่ไม่นานมานี้ฉันอ่าน 1 เปโตร 1:16 ‘พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์’ และฮีบรู 12:14 ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ เราได้รับการช่วยให้รอดมาตลอด แต่เราก็ทำบาปและสารภาพบาปอยู่เสมอ เรายังไม่บรรลุความบริสุทธิ์ ฉันกังวลค่ะ เราสามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ในสถานะที่เราเป็นอยู่ได้ไหม?”

หลังจากฟังฉันแล้ว เขาก็เห็นด้วยกับฉัน และบอกว่าคริสตจักรเคยเชิญศิษยาภิบาลเฉินมาจากฮ่องกง และแนะนำให้ฉันถามเขาเรื่องนี้ ฉันคิดได้ว่า ฉันต้องได้รับความชัดเจนในเรื่องนี้ ว่าฉันไม่สามารถประมาทในความเชื่อของฉัน ไม่งั้นฉันอาจจะทำอันตรายต่อตัวเองรวมถึงพี่น้องชายหญิงของฉันด้วย จากนั้น ฉันค้นหาศิษยาภิบาลเฉินทางอินเทอร์เน็ต และในหน้าที่ขึ้นมา ฉันเห็นเว็บไซต์ ข่าวประเสริฐเรื่องการลงมาของราชอาณาจักร ฉันเข้าไปที่เว็บไซต์นั้นและเห็นบางคำที่ทำให้ฉันสนใจ “มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพระพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ  ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และรูปลักษณ์ตามแบบพระเจ้าของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้  เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด  ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ  มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ? ยัง! ดังนั้นภายหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่  ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม  ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา  มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว  แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย  นี่คือเหตุผลที่ทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก  เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงจุติเป็นมนุษย์ (4))  ฉันตื่นเต้นมากที่ได้อ่านบทตอนนี้ มันอธิบายสภาวะของเราในฐานะผู้เชื่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแม้ว่าฉันไม่ได้เข้าใจมันอย่างครบถ้วน ฉันก็เห็นความหวังในนั้น ฉันรู้สึกว่าฉันค้นพบหนทางสู่การได้รับการชำระให้สะอาดและการเปลี่ยนแปลงในบทตอนนี้ ฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างจริงใจที่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของฉัน เมื่ออ่านต่อไปฉันก็รู้สึกว่ามันเขียนไว้อย่างน่าอัศจรรย์มาก และวิญญาณที่แห้งผากของฉันได้รับการรดน้ำและเลี้ยงดู ฉันสงสัยว่าคนเหล่านี้สามารถแก้ไขความสับสนของฉันได้หรือไม่ ในเว็บไซต์บอกว่า “หากคุณมีข้อสงสัยโปรดฝากข้อความถึงเราที่นี่” ฉันจึงส่งข้อความหาพวกเขาโดยไม่ลังเลสักนิด และให้เบอร์โทรกับอีเมลของฉันไป

ฉันเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง และเขาบอกว่าเขาสนใจที่จะแสวงหาด้วย สมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ติดต่อฉันวันต่อมา เราแชทกันออนไลน์บ่ายวันนั้น และฉันเล่าถึงสิ่งที่ฉันงง “เรามักเคยผ่านตาคำกล่าวบทนี้ของโรมที่ว่า ‘คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด’ (โรม 10:9) เราคิดว่าบาปของเราได้รับการอภัยจากองค์พระเยซูเจ้า ฉะนั้นเราจึงได้รับการช่วยให้รอดแล้ว และเราจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เมื่อพระองค์ทรงกลับมา แต่เรายังใช้ชีวิตอยู่ในบาป เราไม่สามารถรักษาคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือรอดพ้นจากบาปได้ ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อปราศจากความบริสุทธิ์ เราก็ไม่สามารถเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันสับสนค่ะ คนอย่างฉัน ผู้ที่ทำบาปอย่างต่อเนื่อง สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ไหม?  ในเว็บไซต์คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บอกไว้ ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนในยุคสุดท้าย นั่นเกี่ยวข้องกับการหลีกหนีธรรมชาติแห่งบาปและการเข้าสู่ราชอาณาจักรไหมคะ?”

พี่เฉินได้สามัคคีธรรมเรื่องนี้กับเรา “เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ อย่างแรกเราต้องรู้ว่า ‘การได้รับการช่วยให้รอด’ คืออะไร ช่วงปลายของยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนเริ่มห่างไกลจากพระเจ้า และพวกเขาไม่กลัวพระองค์อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีใครรักษากฎหมายและพวกเขาก็ทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทุกคนล้วนตกอยู่ในอันตรายจากการถูกลงโทษและประหารชีวิต พระเจ้าเองก็ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และถูกตรึงกางเขน เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้แก่มนุษยชาติเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากความตายภายใต้ธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งหมดจากบาป ดังนั้นทั้งหมดที่เราต้องทำก็คืออธิษฐานในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า สารภาพ และกลับใจต่อพระองค์ และบาปของเราก็ได้รับการอภัย จากนั้นเราจะสามารถเพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรของพระเจ้าได้โดยไม่ถูกลงโทษโดยธรรมบัญญัติ นี่คือความหมายที่แท้จริงของ ‘การช่วยให้รอด’ ในยุคพระคุณ นั่นก็คือ มันหมายความว่าบาปของเราได้รับการอภัยแล้ว ดังนั้นเราจะไม่ถูก ลงโทษและประหารชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ และพระเจ้าไม่ทรงเห็นบาปเหล่านั้นอีกต่อไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้เต็มไปด้วยบาป เราไม่ได้ทำบาป หรือต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป การถูกช่วยให้รอดไม่ได้หมายความว่าเราไม่เสื่อมทราม หรือว่าเราได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราเหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า การได้รับการชำระให้สะอาด เราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย”

ฉันเข้าใจจากการสามัคคีธรรมของพี่เฉิน ว่าการได้รับ “การช่วยให้รอด” ในโรมหมายถึง การยอมรับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า ทั้งยังไม่ถูกลงโทษและถูกประหารภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป แต่มันไม่ใช่การได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ฉันรู้สึกว่ามีความจริงในการแสวงหาในเรื่องนี้

พี่เฉินอ่านอีกหลายบทตอนของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เราฟังต่อ “ณ เวลานั้น พระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง  บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า  นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการได้รับการช่วยให้รอด และการได้รับความเป็นธรรมโดยความเชื่อ  แต่ถึงกระนั้นในบรรดาผู้ที่เชื่อ ก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และที่ยังคงต้องค่อยๆ ลบออกไป  ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูโดยสิ้นเชิง แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว  หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2))  “มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ  มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หลายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป  บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้  การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน  ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงจุติเป็นมนุษย์ (4))  “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงได้กลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

จากนั้นพี่เฉินก็สามัคคีธรรมกับเราว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนบนเหตุผลสำหรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณเท่านั้น และแม้ว่าพระองค์ทรงอภัยบาปของเรา ธรรมชาติที่มีบาปของเราก็ฝังลึกและเรายังคงมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เราโกหกและโกงเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง เราอิจฉาและแสดงความเกลียดชัง เราติดตามกระแสทางโลก เรามีความโลภ และยินดีในความอยุติธรรม ถ้าธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราไม่ได้รับการแก้ไข เราอาจทำบาปและต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเมื่อ พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป’ (ยอห์น 8:34-35) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์จะไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ พระองค์ทรงให้มนุษย์ผู้ทำบาปและต่อต้านพระองค์อยู่เสมอเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง?  ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์บนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ มนุษย์เราจึงสามารถเป็นอิสระจากบาปได้อย่างเต็มที่ ได้รับการชำระให้สะอาด และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48) และใน 1 เปโตร กล่าวว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17)  ถ้าเราแค่ยึดติดกับพระราชกิจแห่งการไถ่ของยุคพระคุณ โดยไม่ยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย รากเหง้าของความบาปของเราก็ไม่มีทางได้รับการแก้ไขได้ การยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย คือหนทางเดียวที่เราสามารถได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า”

การได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่เฉินทำให้หัวใจของฉันแจ่มใสขึ้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฉันอดทำบาปไม่ได้ ไม่ว่าฉันจะอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ หรือพยายามควบคุมตัวเองมากแค่ไหน มันเป็นเพราะความบาปของฉันไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคน ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์จากพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย!  พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เปลี่ยนแปลง และช่วยผู้คนให้รอดอย่างสมบูรณ์ได้ยังไง?  ฉันถามเขาด้วยความใคร่รู้

เขาเลยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เราฟังอีกบทตอนหนึ่งค่ะ “ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  จากนั้นพี่เฉินก็สามัคคีธรรมกับเราต่อ “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงในการพิพากษาและการชำระผู้คนให้สะอาดเป็นหลัก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งมวลเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างสมบูรณ์ ปลดเปลื้องความลึกลับของแผนการของพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติให้รอด เปิดเผยถึงรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายและความมืดในโลก วิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและวิธีที่พระเจ้าช่วยเหล่ามนุษย์ให้รอด ความจริงของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ธรรมชาติบาปเยี่ยงซานตานของมนุษย์และการต่อต้านพระเจ้า และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันมากหลายของพวกเขา การที่ผู้คนได้รับการชำระให้สะอาดผ่านการพิพากษา การตีสอน การทดสอบ และกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า และอีกมากมาย หลังจากผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าได้สองสามปี เรารู้สึกว่า พระวจนะของพระเจ้าที่ตัดสินและตีแผ่มนุษยชาติ นั้นเหมือนมีดอันแหลมคม เปิดเผยความดื้อรั้น ความเสื่อมทราม และแรงจูงใจที่ผิดของเรา และแสดงให้เราเห็นว่าเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก เราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่น ความจองหอง การหลอกลวง ความเห็นแก่ตัว และความต่ำช้า โดยไม่มีลักษณะความเป็นมนุษย์เลย แม้ว่าเราจะเสียสละในความเชื่อของเรา แต่เราก็ทำเพื่อรับพรและเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ เราทำเพื่อตกลงกับพระเจ้าเพื่อรับพระคุณและพระพรจากพระองค์ เราไม่ได้ทำเพื่อเชื่อฟังและสนองพระองค์ เมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับเรา หรือเราเผชิญกับความยากลำบากอื่นๆ เรากล่าวโทษพระเจ้าและไม่นบนอบต่อพระองค์อย่างแท้จริง หากเรามีความสามารถ พรสวรรค์ หรือความสำเร็จในหน้าที่ของเรา เราโอ้อวดเพื่อให้คนอื่นยกย่องเรา และดุว่าผู้คนอย่างหยิ่งผยอง เมื่อพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าไม่ตรงตามมโนคติที่หลงผิดของเรา เราตัดสินและต่อต้านพระเจ้า เราไม่เกรงกลัวพระเจ้า เมื่อเราถูกตีแผ่โดยพระวจนะของพระเจ้าและข้อเท็จจริงเหล่านั้น เรารู้สึกละอาย เหมือนเราไม่มีที่ให้หลบซ่อน เรากลับใจอย่างแท้จริงและเกลียดตัวเอง และไม่อยากใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของเราอีกแล้ว นอกจากนี้เรายังได้รับความเข้าใจเรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และความเคารพต่อพระองค์ของเราก็เพิ่มขึ้น เรายินดีที่จะยอมรับและนบนอบต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และปฏิบัติความจริงเพื่อขับไล่ความเสื่อมทรามออกไป อุปนิสัยแห่งชีวิตของเราค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ล้วนบรรลุได้โดยการได้รับประสบการณ์การพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย”

การได้ฟังการสามัคคีธรรมของเขาทำให้ฉันประทับใจ ฉันเห็นแล้วว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายมีความหมายแค่ไหน ว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อตัดสินและตีแผ่มนุษย์ในวิถีทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงยังไง ทั้งหมดก็เพื่อชำระเราให้สะอาด และช่วยเราให้รอดอย่างสมบูรณ์ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราจะไม่มีทางได้รับการชำระให้สะอาดโดยปราศจากการได้รับประสบการณ์พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย และเราจะไม่เหมาะสมสำหรับราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง หลังจากการสามัคคีธรรมไม่กี่วัน ฉันก็แน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และพระวจนะของพระองค์คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายโดยไม่ลังเลเลยค่ะ ตลอดหลายปีในฐานะผู้เชื่อ ฉันเคยติดกับการใช้ชีวิตอยู่ในบาป แต่ตอนนี้ในที่สุดฉันก็ได้พบหนทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์และความรอดอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ก่อนหน้า: 1. การพิพากษา คือกุญแจสำคัญสู่อาณาจักรสวรรค์

ถัดไป: 3. ความสว่างแห่งการพิพากษา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger