11. ฉันกลับคืนสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย Li Lan, เกาหลีใต้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร  ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์  บรรดาพวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์  นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์…ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย  อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถแก้ต่างกับพระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นเป็นพระเจ้าที่ทรงมีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร?  และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร?  ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร?  และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้เพียงแต่การปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้  คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปัญญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม  ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าได้พิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ?  มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ?  เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ?  หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าไปในสวรรค์เพื่อชื่นชมกับความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ?  เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้—ดูว่าใครที่กำลังดำเนินการงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้  หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่ทรงสามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอนนี้ทำให้ฉันคิดย้อนถึงความศรัทธาของฉันก่อนหน้านี้ เพราะฉันเคยยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา และถ้อยคำในพระคัมภีร์ ฉันเกือบปิดประตูใส่ความรอดของพระเจ้าของยุคสุดท้ายแล้ว พระเจ้าทรงใช้วิธีมหัศจรรย์ เพื่อให้ฉันสามารถโชคดีพอที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ และเปิดพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่อยู่ข้างหมอน ฉันอ่านเรื่ององค์พระเยซูเจ้าทรงตักเตือนชาวฟาริสีว่า “พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่พวกซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน และทรงคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า ‘มีพระวจนะเขียนไว้ว่า “นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน” แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’” (มัทธิว 21:12-13) ตอนนั้นฉันเศร้านิดหน่อย ฉันรู้สึกเหมือนว่าสภาวะปัจจุบันของคริสตจักรไม่ต่างจากสภาวะนั้นของวิหารตอนสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ “เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในคริสตจักร พูดอยู่เสมอว่าเหล่าผู้มีความเชื่อควรรักกัน” แต่พวกเขาเองกลับโต้แย้งกันด้วยเหตุอิจฉาและเถียงกันเรื่องสินน้ำใจต่างๆ เสมอ “พวกเขายอมให้เหล่าผู้มีความเชื่อติดสินบน เพื่อสวดอธิษฐานให้ด้วยซ้ำ” และบางครั้งพวกเขาใช้จำนวนเงินที่ได้รับเป็นพื้นฐานการตัดสินใจว่าจะสวดอธิษฐานนานเท่าไหร่ สมาชิกคริสตจักรส่วนใหญ่คิดลบและอ่อนแอและผู้มาชุมนุมก็ค่อยๆ น้อยลงทุกที เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสไม่ได้ใส่หัวใจลงไปในการเทศนา และพวกเขาไม่ได้แสวงหาวิธีการเลี้ยงฝูงแกะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ดี แต่พวกเขาไม่เคยเหนื่อยหน่ายกับการจัดพิธีแต่งงานให้เหล่าผู้มีความเชื่อ ใช่แล้ว คริสตจักรควรเป็นสถานที่แห่งการนมัสการ แต่กลับกลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทั้งหลาย หลงจากเส้นทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า คริสตจักรก็ให้ความรู้สึกทางโลกโดยสมบูรณ์” มันเหมือนกับตอนสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ เมื่อวิหารรกร้างและกลายเป็นถ้ำของพวกโจร องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏต่อคริสตจักรประเภทนี้งั้นหรือเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา?”

สัญญาณเตือนโทรศัพท์ของฉันดังทันที ขณะที่ฉันคิดอย่างนี้ และพอฉันปิดสัญญาณ ก็สังเกตเห็นวิดีโอแนะนำของยูทูป จากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันงงจริงๆ ฉันไม่เคยกดติดตามช่องของคริสตจักรนั้น แล้วทำไมฉันถึงได้รับการแจ้งเตือนนั่นล่ะ แล้วฉันก็จำได้ว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น เพื่อนคนหนึ่งพาฉันไปฟังการเทศนาที่นั่น และสิ่งที่ฉันได้ยินนั้นใหม่และให้ความรู้แจ้งจริงๆ ฉันได้รับบางอย่างจากการเทศนาจริงๆ ฉันยังอยากพิจารณาเรื่องนั้นต่อไป แต่พวกเขาให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว ว่าพระองค์กำลังทรงงานแห่งการพิพากษาอยู่ในยุคสุดท้ายและกำลังทรงแสดงความจริงหลายประการ และว่าหนังสือ พระวจนะทรงปรากฎเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ได้แสดงไว้ พวกเขาพูดอย่างนั้นในการชุมนุม พวกเขาอ่านและสามัคคีธรรมในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสต่างบอกเราเสมอ ว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ และพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นอกพระคัมภีร์ไม่มีจริง พวกเขาให้คำพยานได้อย่างไรว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสพระวจนะใหม่? ไม่ว่ากรณีใดๆ ผู้มีความเชื่อหลายต่อหลายรุ่นต่างตั้งความศรัทธาของตัวเองอยู่บนพระคัมภีร์ ดังนั้นความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือความเชื่อในพระคัมภีร์ สิ่งใดอื่นจะสามารถเป็นศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ทุกครั้งที่เพื่อนของฉันขอให้ไปฟังการเทศนาที่คริสตจักรนั้นอีก ฉันปฏิเสธไป ดังนั้นเมื่อฉันเห็นลิงก์จากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในโทรศัพท์มือถือ ฉันจึงไม่ได้กดลิงก์

แต่น่าประหลาดใจ หลังจากที่ฉันได้รับการแนะนำจากยูทูปอยู่หลายวัน เป็นภาพยนตร์และเพลงสรรเสริญในช่องของคริสตจักร ฉันก็คิดว่า “ฉันไม่ได้กดติดตามช่องของพวกเขา แต่ฉันได้รับการแจ้งเตือนเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ” เป็นไปได้ไหมว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังทรงนำทางฉันอยู่ เป็นน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ให้ฉันดูช่องของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือเปล่า?” เมื่อคิดดังนี้ ฉันอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า “โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า! ทำไมวิดีโอเหล่านี้ถึงเด้งขึ้นมาบนโทรศัพท์ข้าพระองค์อยู่เรื่อย? พวกเขาให้คำพยานว่าพระองค์ทรงเสด็จกลับมาแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? ข้าพระองค์ควรดูวิดีโอเหล่านี้ไหม? องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงนำทางข้าพระองค์ด้วย” หลังจากอธิษฐาน พระวจนะเหล่านี้จากองค์พระเยซูเจ้าก็ปราฏขึ้นในใจ “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุขเพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย(มัทธิว 5:3) แน่นอน การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นฉันคิดว่า เมื่อฉันได้ยินอย่างนี้ ฉันควรแสวงหาด้วยความนอบน้อม พิจารณา และตริตรองในเรื่องนี้ เพื่อดูว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาจริงหรือไม่ ถ้าฉันไม่แสวงหาหรือพิจารณาเรื่องนี้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเสด็จกลับมาแล้วจริงๆ ฉันจะไม่พลาดโอกาสในการต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์หรอกหรือ? คิดได้อย่างนี้ ฉันตัดสินใจว่าควรจะดูวิดีโอบางส่วนของคริสตจักร เมื่อฉันตรวจดูเวบไซต์ของคริสตจักร ฉันเห็นว่ามีเนื้อหาที่หลากหลายกว้างขวางอย่างยิ่ง มีทั้ง ภาพยนตร์ วิดีโอเพลงสรรญเสริญ รายการขับร้องประสานเสียงพิเศษและบทความเรื่องประสบการณ์และคำพยานชีวิตทั้งหลาย วิดีโอเพลงสรรญเสริญเพลงหนึ่ง สุดที่รัก โปรดรอฉันด้วย มีเนื้อเพลงที่สะเทือนใจมากสำหรับฉัน “เนื้อเพลงทำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาทั้งหมด ที่ฉันอยู่ในคริสตจักรที่รกร้าง” กำลังมองหาคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปทุกแห่งหน ยิ่งฉันสำรวจในเวบไซต์มากขึ้นเท่าไหร่ ฉันยิ่งได้รับการค้ำจุนมากเท่านั้น ฉันอยากเข้าใจและพิจารณาคริสตจักรแห่งนั้น ดังนั้นฉันจึงหาภาพยนตร์ในเวบไซต์พวกเขาเพื่อจะดูเพิ่ม

วันหนึ่งฉันได้ดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์ นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่งในภาพยนตร์ซึ่งฉันไม่เคยลืม “นับตั้งแต่เวลาที่มีพระคัมภีร์เป็นต้นมา การเชื่อของผู้คนในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคัมภีร์  แทนที่จะพูดว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระคัมภีร์ และแทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คงเป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่ต่อหน้าพระคัมภีร์  ด้วยวิธีนี้ ผู้คนนมัสการพระคัมภีร์เสมือนว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า เสมือนว่าพระคัมภีร์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา และการสูญเสียพระคัมภีร์ก็คงจะเหมือนกับการสูญเสียชีวิตของพวกเขา  ผู้คนมองว่าพระคัมภีร์สูงส่งเท่ากับพระเจ้า และมีแม้กระทั่งผู้ที่มองว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้า  หากผู้คนปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้—แต่ทันทีที่พวกเขาสูญเสียพระคัมภีร์ หรือสูญเสียบทและคำคมที่ขึ้นชื่อจากพระคัมภีร์ ก็เสมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้ว…ผู้คนส่วนใหญ่เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งไม่เข้าใจว่าจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร และพวกเขาไม่ทำสิ่งใดนอกจากสำรวจค้นเบาะแสเพื่อถอดรหัสบทอ่านทั้งหลายของพระคัมภีร์อย่างมืดบอด  ผู้คนไม่เคยไล่ตามเสาะหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย  ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากศึกษาและเจาะลึกพระคัมภีร์อย่างสุดชีวิต และไม่มีผู้ใดเคยพบพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ใหม่กว่าภายนอกพระคัมภีร์  ไม่มีผู้ใดเคยแยกจากพระคัมภีร์ อีกทั้งไม่มีผู้ใดเคยกล้าที่จะทำเช่นนั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))  หลังจากดูภาพยนตร์ช่วงนี้ ฉันก็คิดว่า “นั่นช่างตรงกับทัศนคติที่ฉันมีต่อพระคัมภีร์เลย ฉันรู้สึกว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนองค์พระผู้เป็นเจ้า และการเชื่อในพระองค์คือการเชื่อในพระคัมภีร์ และทั้งสองไม่อาจแยกจากกันได้ แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ พระคัมภีร์คือคำพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นรากฐานแห่งศรัทธาของเรา ในฐานะคริสตชน เราตั้งศรัทธาของเราอยู่บนพระคัมภีร์มาสองพันปีแล้ว ดังนั้นมันเป็นไปได้จริงหรือว่านี่ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? อะไรกำลังเกิดขึ้นกันแน่?”

ฉันดูหนังต่อไป กระหายอยากได้คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ ตัวละครที่กำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกตอนหนึ่ง “พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในคัมภีร์  ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยคัมภีร์  พวกเขาให้ความสำคัญกับคัมภีร์มากเกินไป  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของวจนะและการแสดงออกต่างๆ มากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา  สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ? พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู  พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากได้ตั้งข้อหาพระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์—พวกเขาก็ได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด  อะไรหรือคือแก่นแท้ของพวกเขา? มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ? พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์  โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์)  หลังจากอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็สามัคคีธรรมกันต่อ พวกเขาพูดว่าผู้คนที่มีศรัทธาต่างคิดว่าการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่อย่างนั้น ย่อมไม่ใช่ศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่มุมมองนี้ผิด พวกเขาพูดด้วยว่า “เมื่อองค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงเทศนาและทรงงานอยู่ เหล่าผู้ติดตามของพระองค์แยกจากพระคัมภีร์เพื่อจะยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ ดังนั้นเราสามารถพูดได้งั้นหรือว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ? เหล่าชาวฟาริสีแห่งลัทธิยิวต่างยึดมั่นในพระคัมภีร์ “แต่พวกเขาก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า ผู้ที่ทรงแสดงความจริง” และทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ปัญหามันคืออะไรล่ะ? การยึดมั่นในพระคัมภีร์หมายความว่าบุคคลนั้นรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้างั้นหรือ? หมายความว่าพวกเขายึด มั่นในเส้นทางขององค์ พระผู้เป็นเจ้า เคารพนับถือและนบนอบต่อพระองค์งั้นหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง ต้นกำเนิดชีวิตของสรรพสิ่งทั้งมวล ขณะที่พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกพระราชกิจและพระวจนะในอดีตของพระเจ้า จะตั้งให้ทัดเทียมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? เหล่าผู้ที่มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าหลับตาเชื่อและบูชาพระคัมภีร์และปฏิบัติต่อพระคัมภีร์เท่าเทียมกับพระเจ้า ถึงกับเอาพระคัมภีร์มาแทนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่การลดคุณค่าและลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ? ใครสักคนที่ยึดมั่นในพระคัมภีร์โดยปราศจากการแสวงหาการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า เป็นผู้ที่มีความเชื่อและผู้ติดตามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงหรือ? นี่คือพระวจนะที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวฟาริสี “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต(ยอห์น 5:39-40) พระองค์ตรัสด้วยว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา’ (ยอห์น 14:6) องค์พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เป็นคำพยานต่อพระเจ้าเท่านั้น—พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นตัวแทนองค์พระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งไม่สามารถแทนที่พระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ด้วย การยึดถือพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างเดียว ไม่สามารถนำชีวิตนิรันดร์มาสู่เราได้ พระคริสต์เท่านั้นเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต เพื่อให้ได้รับชีวิต เราต้องแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า!”

ฉันสะเทือนใจมากหลังจากดูหนังจบ ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างที่พูดในหนังนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันตระหนักได้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นตัวแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ พระองค์คือผู้ที่ทรงจัดเตรียมชีวิตให้กับเราไม่ใช่พระคัมภีร์ การเชื่อในพระคัมภีร์ไม่เหมือนการเชื่อและการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า! แต่ฉันเคยคิดเสมอมาว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนของพระองค์ นั่นฉันไม่ได้ถือว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ? ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกว่ามีความจริงในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากเท่านั้น ว่าพระวจนะจะช่วยคลายความสับสนของฉันได้ ฉันรู้ว่าต้องแสวงหาและพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อให้ฉันไม่พลาดโอกาสการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จากนั้นฉันตัดสินใจกลับไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับเพื่อน เหล่าพี่น้องชายหญิงทุกคนต้อนรับเราอย่างอบอุ่นเมื่อเราเข้าสู่คริสตจักร และสามัคคีธรรมกับเราอย่างอดทนจริงๆ ฉันอธิบายความสับสนกับพวกเขา บอกว่า “เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทั้งหลายบอกเราในการชุมนุม ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉะนั้นแล้วสิ่งใดๆ ภายนอกพระคัมภีร์ไม่สามารถบรรจุพระราชกิจหรือพระวจนะของพระองค์ได้ แต่พวกคุณกำลังเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์กำลังทรงพระราชกิจใหม่ในยุคสุดท้ายและกำลังทรงแสดงพระวจนะใหม่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

พี่สาวโจวตอบรับด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองสามตอน “ผู้คนมากมายเชื่อว่าความเข้าใจและความสามารถที่จะตีความพระคัมภีร์เป็นสิ่งเดียวกันกับการพบหนทางที่แท้จริง—แต่ในความเป็นจริงแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ หรือ?  ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์  ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า  ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ  พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4))  “สิ่งทั้งหลายที่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีขีดจำกัด สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันได้  ข่าวประเสริฐสี่เล่มรวมทั้งหมดแล้วมีน้อยกว่าหนึ่งร้อยบท ซึ่งในนั้นเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยจำนวนที่จำกัด เช่น พระเยซูทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อ คำปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งของเปโตร พระเยซูทรงปรากฏแก่บรรดาสาวกภายหลังการตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ของพระองค์ การสอนเรื่องการอดอาหาร การสอนเรื่องการอธิษฐาน การสอนเรื่องการหย่า การประสูติและลำดับพงศ์ของพระเยซู การแต่งตั้งบรรดาสาวกของพระเยซู และอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ให้คุณค่าสิ่งเหล่านั้นเสมือนสมบัติล้ำค่า ถึงขั้นเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาถึงขั้นเชื่อว่าพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในพระชนม์ชีพของพระองค์รวมกันเป็นเพียงมากแค่นั้นเท่านั้น ราวกับว่าพระเจ้าทรงสามารถเพียงทำได้มากแค่นี้เท่านั้นและไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติม  นี่ไม่ใช่ไร้สาระหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงจุติเป็นมนุษย์ (1))  “ในเวลานั้น พระเยซูเพียงแค่ทรงให้คำเทศนาชุดหนึ่งในยุคพระคุณแก่บรรดาสาวกของพระองค์ในหัวข้อทั้งหลาย อาทิ จะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร จะชุมนุมกันอย่างไร จะวิงวอนในการอธิษฐานอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เป็นต้น  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการเป็นพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงชี้แจงไว้เพียงแค่ว่า บรรดาสาวกและบรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ควรจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร  พระองค์เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเท่านั้น และไม่ใช่พระราชกิจใดของยุคสุดท้ายเลย…พระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละยุคมีเขตคั่นที่ชัดเจน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคปัจจุบันเท่านั้น และไม่เคยทรงดำเนินช่วงระยะถัดไปของพระราชกิจล่วงหน้า  ด้วยเหตุนี้เท่านั้นพระราชกิจซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์ในแต่ละยุคจึงจะสามารถถูกเน้นให้เห็นชัดได้  พระเยซูได้ตรัสถึงเพียงหมายสำคัญทั้งหลายของยุคสุดท้าย ถึงวิธีที่จะอดทนและวิธีที่จะได้รับการช่วยให้รอด ถึงวิธีที่จะกลับใจและสารภาพ และถึงวิธีที่จะแบกรับกางเขนและสู้ทนความทุกข์เท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่มนุษย์ในยุคสุดท้ายควรสัมฤทธิ์การเข้าสู่ อีกทั้งไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่เขาควรพยายามทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น มันไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือที่จะค้นคว้าพระคัมภีร์เพื่อหาพระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้าย?  อะไรหรือที่เจ้าสามารถมองเห็นได้โดยแค่เพียงยึดกุมพระคัมภีร์เอาไว้?  ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้อรรถาธิบายพระคัมภีร์หรือนักบวช ใครเล่าที่จะสามารถได้เห็นพระราชกิจของวันนี้ได้ล่วงหน้า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?)  “หากเจ้าปรารถนาที่จะพบเห็นพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ และพบเห็นว่าชาวอิสราเอลติดตามหนทางของพระยาห์เวห์อย่างไร เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องอ่านพันธสัญญาเดิม หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจพระราชกิจของยุคพระคุณ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องอ่านพันธสัญญาใหม่  แต่เจ้าจะพบเห็นพระราชกิจของยุคสุดท้ายได้อย่างไร?  เจ้าต้องยอมรับการเป็นผู้ทรงนำของพระเจ้าในวันนี้ และเข้าสู่พระราชกิจของวันนี้ เพราะนี่คือพระราชกิจใหม่ และไม่เคยมีผู้ใดได้บันทึกถึงมันในพระคัมภีร์มาก่อน…พระราชกิจในวันนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ไม่เคยเดิน และเป็นหนทางที่ไม่มีใครเคยพบเห็น  การนี้คือพระราชกิจที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน—การนี้คือพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก…ใครจะสามารถบันทึกทุกๆ เสี้ยวส่วนของพระราชกิจของวันนี้ไว้ล่วงหน้าโดยไม่มีการละเว้นได้?  ใครจะสามารถบันทึกพระราชกิจนี้ ที่ทรงฤทธิ์กว่า มีสติปัญญากว่า ที่ท้าทายระเบียบแบบแผนในหนังสือเก่าผุพังเล่มนั้นได้?  พระราชกิจของวันนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ และดังนั้น หากเจ้าปรารถนาที่จะเดินบนเส้นทางใหม่ของวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องแยกจากพระคัมภีร์ เจ้าต้องไปไกลกว่าหนังสือต่างๆ เกี่ยวกับคำเผยพระวจนะหรือประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะเดินบนเส้นทางใหม่ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะเข้าสู่อาณาจักรใหม่และพระราชกิจใหม่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))

หลังจากอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พี่สาวโจวได้สามัคคีธรรมต่อไป เธอพูดว่า “ทุกคนที่คุ้นเคยกับพระคริสตธรรมคัมภีร์รู้ ว่าพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เป็นเพียงบันทึกของพระราชกิจสองระยะของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ทั้งสองเป็นคำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงงานเสร็จสมบูรณ์หนึ่งระยะ ผู้คนที่ประสบพบเห็นได้ทำการบันทึกพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ไว้ และจากนั้นบันทึกเหล่านี้ถูกรวบรวมเป็นพระคริสตธรรมคัมภีร์ในภายหลัง แต่พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในยุคทั้งสองนั้น ไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วนในพระคัมภีร์ พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าในพระคัมภีร์เป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในพระกิตติคุณยอห์นว่า ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (ยอห์น 21:25) มีการเผยพระวจนะของบรรดาผู้เผยพระวจนะบางส่วนในยุคธรรมบัญญัติที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วนในพระคัมภีร์ นี่เป็นความรู้ทั่วไป ดังนั้นเมื่อเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูดว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์อยู่ภายนอกพระคัมภีร์ พวกเขาไม่ได้กำลังขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้กำลังโกหกหรือหลอกหลวงหรอกหรือ? พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง หนังสือหนึ่งเล่ม พระคริสตธรรมคัมภีร์ จะสามารถครอบคลุมพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนได้อย่างไร?” จากนั้นเธออ่านจากหนังสือวิวรณ์ว่า “และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอกและมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง(วิวรณ์ 5:1)แล้วมีคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสบอกกับข้าพเจ้าว่า 'อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้'“ (วิวรณ์ 5:5) เธอสามัคคีธรรมว่า หนังสือกล่าวว่ามีการเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอกหนังสือม้วนนี้ เพียงแต่มีการตราผนึกไว้เจ็ดดวง และมีเพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าของยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถเปิดหนังสือและคลายผนึกทั้งเจ็ดดวงได้ “นั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราเห็นสิ่งที่เขียน ไว้ในหนังสือได้” เรื่องนี้ยังถูกเผยโดยพระวจนะในวิวรณ์หลายครั้งด้วย ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์บทที่ 2-3) การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เหล่านี้พิสูจน์ได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตรัสพระวจนะอีกเมื่อเสด็จกลับมา ฉะนั้นแล้วพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จกลับมาสามารถถูกบันทึกในพระคัมภีร์ไว้ล่วงหน้าได้จริงหรือ? พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์สามารถแทนที่สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลายในยุคสุดท้ายได้งั้นหรือ? พระวจนะเหล่านั้นสามารถแทนที่หนังสือที่ถูกเปิดโดยพระเมษโปดกได้งั้นหรือ? พระวจนะเหล่านั้นสามารถแทนที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้งั้นหรือ?” ได้ยินอย่างนี้ ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันก็อ่านข้อความเหล่านี้มาบ้างนิดหน่อย ทำไมคำถามเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันนะ?” แล้วพี่สาวคนนั้นก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระคริสตธรรมคัมภีร์บันทึกพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า หลายปีหลังจากที่พันธสัญญาเดิมได้ถูกจัดทำขึ้น องค์พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาและทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ดังนั้นแล้วพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์แทรกตัวเองเข้าไปในพระคัมภีร์ได้โดยอัตโนมัติงั้นหรือ? พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าต้องได้รับการรวบรวมและทำขึ้นเป็นพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้ายและพระองค์ได้ทรงแสดงความจริงทั้งมวลแล้วเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษยชาติให้รอด ความจริงเหล่านี้สามารถแทรกตัวเองเข้าไปในพระคัมภีร์ได้โดยอัตโนมัติงั้นหรือ? ดังนั้นการอ้างว่า พระราชกิจและพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว และไม่สามารถมีอะไรได้อีกภายนอกพระคัมภีร์ จึงเป็นมุมมองที่ผิดพลาดและไร้เหตุผล และทั้งหมดเป็นผลจากมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์”

การได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่สาวโจว ให้ความรู้แจ้งกับฉันจริงๆ ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างที่เธอสามัคคีธรรมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกพระราชกิจสองระยะของพระเจ้า ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พระคัมภีร์เป็นคำพยานต่อพระราชกิจของพระองค์ แต่พระคัมภีร์ไม่สามารถเป็นตัวแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ในยุคสุดท้ายได้ พระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างครบถ้วนด้วยซ้ำ ดังนั้นพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้ายจะสามารถถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ก่อนเวลาได้อย่างไร? ฉันเชื่อตามคำพูดของเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส จำกัดพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าแค่สิ่งที่มีในพระคัมภีร์ และเชื่อว่าภายนอกพระคัมภีร์ไม่มีสิ่งใดที่มาจากพระเจ้า นั่นฉันไม่ได้กำลังพูดจาไร้สาระทั้งที่สองตาเปิดกว้างอยู่หรอกหรือ? นั่นฉันไม่ได้กำลังจำกัดขอบเขตและลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่หรอกหรือ? ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้งกับความคิดนี้ ทำไมฉันถึงไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก่อนหน้านี้นะ? ฉันไม่น่าตาบอดเชื่อตามเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส จำกัดขอบเขตพระราชกิจของพระเจ้าโดยใช้มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการทั้งหลายเป็นที่ตั้งเลย มุมมองเหล่านี้อันตรายมาก!

จากนั้นพี่สาวโจวเอ่ยประเด็นสนทนาอีกประเด็นหนึ่งขึ้นมาว่า ทำไมแค่การดำรงพระคริสตธรรมคัมภีร์โดยปราศจากการยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้าย จึงหมายถึงผู้คนจะไม่สามารถเข้าถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าและได้รับชีวิตนิรันดร์ได้? เธอพูดว่า “พระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกพระราชกิจสองระยะของพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่สามารถแทนที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระมนุษยชาติของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้ ในยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจหลักของพระเจ้าคือการประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเพื่อนำทางชีวิตผู้คนบนแผ่นดินโลก ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ พระองค์ถูกตรึงกางเขนและไถ่มนุษยชาติจากแดนครอบครองของซาตาน ไถ่เราจากบาปทั้งหลายของเรา และทำให้เรามีคุณสมบัติที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ เพื่อที่เราจะสามารถเพลิดเพลินกับพระคุณทั้งหมดของพระเจ้าได้ แต่ธรรมชาติอันบาปหนาของเราและรากเหง้าแห่งบาปของเราไม่ได้ถูกแก้ไข เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังโกหก ทำบาปไม่ยอมเชื่อฟังและต่อต้านพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และเราไม่คู่ควรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเผยพระวจนะว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา และจะทรงแสดงความจริงในยุคสุดท้ายเพื่อพิพากษาและช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างสมบูรณ์ ในพระกิตติคุณยอห์นมีตรัสว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ยังตรัสด้วยว่า ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ทรงทำการเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าให้ลุล่วงอย่างสมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงพระวจนะนับล้านๆ และพระวจนะเหล่านี้ครอบคลุมทุกอย่าง ความลึกลับของพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้รับการเปิดเผย มีการเผยพระวจนะถึงอนาคตของราชอาณาจักร บ้างก็เอ่ยถึงบั้นปลายของมนุษยชาติและส่วนอื่นๆ ก็มีการจำแนกรากเหง้าแห่งการต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ พระเจ้าทรงเผยความจริงอย่างชัดเจนมากด้วย ผู้คนจำเป็นต้องได้มาซึ่งความรอดโดยสมบูรณ์ นั่นรวมถึงเบื้องหลังของพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ความลึกลับของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและความลึกลับของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงเผยว่าซาตานทำอย่างไรให้มนุษย์เสื่อมทราม พระเจ้าทรงงานอย่างไรเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด แก่นแท้และความจริงของการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยซาตาน ศรัทธา การนบนอบ และความรักที่แท้จริงสำหรับพระเจ้าคืออะไร วิธีการใช้ชีวิตที่มีความหมายและอีกมาก ความจริงเหล่านี้ที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นหนทางของชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงมอบแก่เราในยุคสุดท้าย ถ้าเรายึดมั่นเพียงแต่พระคริสตธรรมคัมภีร์โดยปราศจากการยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เราจะไม่มีวันได้รับความจริง ละทิ้งบาป และถูกช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้”

การสามัคคีธรรมจากเหล่าพี่น้องชายหญิงของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ช่วยให้ฉันเห็นว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้การเผยพระวจนะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ลุล่วงโดยสมบูรณ์ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง เป็นพระสุรเสียงจากพระเจ้า และพระวจนะเหล่านี้เป็นหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมอบแก่เราในยุคสุดท้าย! ฉันเคยคิดว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าถูกจำกัดอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพราะฉันฟังเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส และยึดถือมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา ฉันปฏิเสธที่จะยอมรับและแสวงหาพระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้าย ฉันไม่สามารถได้รับการค้ำจุนจากพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและตกลงสู่ความมืดมิด หากปราศจากพระเมตตาของพระเจ้าและความรอดของ การที่มียูทูปแนะนำวิดีโอของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉัน การมอบโชคดีให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันก็คงยังติดตามเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสอยู่และฉันคงไม่ได้แสวงหาและพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงฉันจะสามารถอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้เป็นร้อยปีแต่ฉันจะไม่มีวันได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ฉันเห็นว่าการสามารถที่จะได้รับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายของฉันเป็นเพราะการนำทางของพระองค์ทั้งสิ้น นี่คือความรอดอันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้า

ก่อนหน้า: 3. ความสว่างแห่งการพิพากษา

ถัดไป: 15. ตอนนี้ฉันรู้พระนามใหม่ของพระเจ้าแล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger