80. การใช้วัยแรกแย้มในเรือนจำ

โดย เฉินซี ประเทศจีน

ทุกคนพูดว่า วัยแรกแย้มของพวกเราเป็นช่วงเวลาที่แจ่มจรัสที่สุดและปราศจากราคีที่สุดของชีวิต  บางทีสำหรับหลายคน ช่วงปีเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทรงจำอันงดงาม แต่สิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็คือ ฉันใช้วัยแรกแย้มของฉันในค่ายแรงงาน  คุณอาจจะคิดแปลกๆ กับฉันสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันไม่เสียใจเลย  ถึงแม้ว่าช่วงเวลาเบื้องหลังกรงขังจะเต็มไปด้วยความขมขื่นและหยาดน้ำตา แต่นั่นก็เป็นของประทานอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตฉัน และฉันได้รับอะไรจากตรงนั้นเยอะมาก

วันหนึ่งในเดือนเมษายนของ ค.ศ. 2002  ฉันกำลังพักอยู่ที่บ้านของพี่น้องหญิงคนหนึ่งตอนที่เกิดการจับกุม  ตอนเช้ามืดเวลาตีหนึ่ง พวกเราถูกปลุกให้ตื่นอย่างกระทันหันด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังและรีบเร่ง  พวกเราได้ยินใครคนหนึ่งข้างนอกตะโกน “เปิดประตู!  เปิดประตู!”  แทบจะทันทีที่พี่น้องหญิงคนนั้นเปิดประตู เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายก็ผลักประตูเปิดออกอย่างผลุนผลันและกรูกันเข้ามา พร้อมพูดเสียงกร้าวว่า  “พวกเรามาจากกองความมั่นคงสาธารณะ”  พอได้ยินสามคำนี้ “กอง  ความมั่นคง  สาธารณะ” ฉันก็สติแตกทันที  พวกเขามาจับกุมพวกเราเพราะการเชื่อในพระเจ้าของพวกเราหรือเปล่า?  ฉันเคยได้ยินเรื่องที่พี่น้องชายหญิงบางคนถูกจับและข่มเหงเนื่องจากความเชื่อของพวกเขา เป็นไปได้ไหมว่านั่นกำลังเกิดขึ้นกับฉัน?  ตอนนั้นเองที่หัวใจของฉันเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความตื่นตกใจ ฉันจึงทำอะไรไม่ถูกเลย  ดังนั้นฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอเว้าวอนให้พระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์  ทรงมอบความเชื่อและความกล้าให้ข้าพระองค์  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระองค์เต็มใจที่จะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์เสมอ  ข้าพระองค์อ้อนวอนให้พระองค์ทรงมอบพระปัญญาของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และประทานคำพูดที่ข้าพระองค์ควรพูดด้วยเถิด และโปรดทรงพิทักษ์รักษาไม่ให้ข้าพระองค์ทรยศพระองค์และไม่ให้ขายพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน หัวใจของฉันก็ค่อยๆ สงบลง  ฉันเห็นตำรวจชั่วสี่หรือห้าคนรื้อค้นสถานที่แห่งนั้นเหมือนกับพวกโจร ค้นเตียงนอน ตู้และกล่องทุกใบ ค้นถึงขนาดสิ่งที่อยู่ใต้เตียงจนในที่สุดก็ได้เจอหนังสือพระวจนะของพระเจ้ารวมถึงซีดีบทเพลงสรรเสริญ  จากนั้นพวกเขาก็เอาตัวพวกเราไปที่สถานีตำรวจ  พอพวกเราไปถึงสำนักงาน เจ้าหน้าที่ร่างกำยำหลายนายก็ตามหลังพวกเราเข้ามา และยืนประกบฉันซ้ายขวา  หัวหน้ากลุ่มตำรวจชั่วนั่นแผดเสียงใส่ฉัน “แกชื่ออะไร?  แกมาจากไหน?  พวกแกมีกันทั้งหมดกี่คน?”  ฉันเพิ่งจะอ้าปากยังไม่ทันได้ตอบดี เขาก็โผนเข้ามาตบหน้าฉันไปสองครั้งแล้ว  ฉันตะลึงงันพูดไม่ออก  นึกสงสัยกับตัวเอง “คุณตบฉันทำไม?  ฉันยังตอบไม่ทันเสร็จเลยด้วยซ้ำ  ทำไมคุณถึงหยาบคายและไร้อารยธรรม ต่างจากภาพตำรวจของประชาชนที่ฉันจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิงขนาดนี้?”  แล้วเขาก็ถามต่อไปว่าฉันอายุเท่าไหร่ แล้วพอฉันตอบไปตามตรงว่าฉันอายุสิบเจ็ดปี เขาก็ตบหน้าฉันอีกสองครั้งและด่าว่าฉันโกหก  หลังจากนั้น ไม่ว่าฉันพูดอะไร เขาก็แพ่นตบใส่หน้าฉันแบบไม่เลือกครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงจุดที่ใบหน้าของฉันปวดแสบปวดร้อนไปหมด  ฉันจำได้ว่า เคยได้ยินพี่น้องชายหญิงของฉันพูดว่า การพยายามใช้เหตุผลกับตำรวจสารเลวพวกนี้ไม่เป็นผลเลย  เมื่อได้รับประสบการณ์นี้กับตัวเอง จากตรงนั้นมา ฉันก็ไม่ปริปากอีกเลยไม่ว่าพวกเขาจะถามอะไร  พอพวกเขาเห็นว่าฉันไม่พูด พวกเขาก็ตวาดใส่ฉัน “นังบ้า!  ฉันจะสั่งสอนให้แกสำนึก ไม่อย่างนั้นแกคงไม่ให้การตามความจริงแน่!”  พอพูดจบ หนึ่งในพวกเขาก็ชกเข้าที่หน้าอกฉันอย่างดุร้ายสองหมัด ทำให้ฉันเซล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง  แล้วเขาก็เตะฉันอย่างหนักสองที ฉุดฉันลุกขึ้นจากพื้น และตะคอกให้ฉันคุกเข่าลง  ฉันไม่ทำตาม เขาก็เลยเตะเข้าที่เข่าฉันสองสามที  คลื่นความเจ็บปวดรุนแรงสาดวูบไปทั่วร่างฉัน จนฉันทรุดลงเข่ากระแทกพื้นเสียงดังอย่างฝืนตัวไว้ไม่ไหว  เขาจิกผมฉันดึงลงอย่างแรง แล้วก็กระชากหัวฉันไปข้างหลัง บังคับให้ฉันแหงนหน้าขึ้น  เขาสบถใส่ฉันพร้อมกับตบหน้าฉันอีกสองที และสิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกก็คือโลกกำลังหมุนติ้ว  ในตอนนี้ ฉันร่วงลงไปอยู่ที่พื้น  ตอนนั้นเอง หัวหน้าของพวกตำรวจชั่วก็มองเห็นนาฬิกาที่ข้อมือของฉันเข้า  เขาจ้องมองอย่างละโมบแล้วตะโกน “นั่นแกสวมอะไรหา?”  หนึ่งในพวกตำรวจนั่นคว้าข้อมือฉันแล้วกระชากนาฬิกาออกไปทันที แล้วก็เอาให้ “เจ้านาย” ของเขา  หนึ่งในพวกตำรวจสารเลวขยุ้มคอเสื้อฉันเหมือนคว้าลูกเจี๊ยบ และยกฉันขึ้นจากพื้นเพื่อคำรามใส่ฉัน “อ๋อ แกอึดมากใช่ไหม?  ไม่ยอมตอบก็ต้องเจอแบบนี้!”  พอเขาพูดจบ เขาก็ต่อยฉันอย่างดุดันอีกสองหมัด จนฉันลงไปอยู่ที่พื้นอีก  ถึงตอนนั้นฉันก็เจ็บไปหมดทั้งตัวจนทนไม่ไหว และไม่มีเรี่ยวแรงจะดิ้นรนอีกต่อไป  ฉันได้แต่นอนหลับตาแน่นิ่งอยู่ที่พื้น  ฉันวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ในใจอย่างเร่งด่วนว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกนายตำรวจชั่วแก๊งนี้จะปฏิบัติตนแบบอำมหิตอะไรกับข้าพระองค์อีก  พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อยนัก และร่างกายของข้าพระองค์ก็อ่อนแอ  ข้าพระองค์ขอเว้าวอนให้พระองค์ทรงอารักขาข้าพระองค์ด้วยเถิด  ข้าพระองค์ยอมตายเสียดีกว่าที่จะเป็นยูดาสและทรยศพระองค์”  หลังจากฉันอธิษฐานจบ พระเจ้าก็ทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ฉัน  ฉันยอมตายไปโดยเร็วดีกว่าเป็นยูดาสด้วยการทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิงของฉัน  ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว  ตอนนั้นเอง ฉันได้ยินใครบางคนข้างๆ ฉันพูดว่า “ทำไมมันนิ่งไปเลยล่ะ?  ตายหรือเปล่า?”  หลังจากนั้น ใครบางคนก็จงใจใช้เท้าบดขยี้ลงบนมือฉันอย่างแรง พร้อมกับแผดเสียงใส่ฉันอย่างเกรี้ยวกราด “ลุกขึ้น!  พวกเราจะพาแกไปที่อื่น”

ต่อมา  ฉันถูกคุมตัวไปยังกองความมั่นคงสาธารณะประจำเทศมณฑล  เมื่อพวกเราไปถึงห้องสอบปากคำ หัวหน้าของตำรวจชั่วพวกนั้นกับคนอื่นอีกสองคนก็มารุมล้อมฉันและถามฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก เวียนกันสาวเท้าเข้าออกตรงหน้าฉันและพยายามบังคับให้ฉันขายบรรดาผู้นำของคริสตจักรของฉันและพี่น้องชายหญิงของฉัน  เมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันยังไม่ยอมตอบสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ยิน พวกเขาสามคนก็ผลัดกันตบหน้าฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก  ฉันไม่รู้ว่าฉันโดนตบไปกี่ครั้ง ฉันได้ยินแต่เสียงฉาดตอนที่พวกเขาตบฉัน เสียงที่ดูเหมือนจะดังกังวานตัดกับความเงียบยามดึกสงัด  ตอนนี้ พวกตำรวจชั่วเจ็บมือจนเริ่มตบฉันด้วยหนังสือแทน  พวกเขาซ้อมฉัน จนในที่สุดฉันก็ไม่สามารถแม้แต่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป ใบหน้าของฉันมีแค่ความรู้สึกบวมกับชา  สุดท้าย เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่สามารถเค้นข้อมูลที่มีค่าจากฉันได้  พวกตำรวจสารเลวก็หยิบสมุดหมายเลขโทรศัพท์ผู้ติดต่อออกมา และพูดด้วยความพอใจในตัวเองว่า “พวกเราเจอนี่ในกระเป๋าแก  ถึงแกจะไม่ยอมบอกอะไรพวกเรา พวกเราก็ยังมีไพ่ในมืออยู่ดี!”  ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกวิตกเป็นที่สุดว่า ถ้าพี่น้องชายหญิงของฉันคนไหนรับโทรศัพท์ ก็อาจจะทำให้พวกเขาถูกจับกุมได้  และยังอาจจะสาวไปถึงคริสตจักรได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งผลพวงที่ตามมาอาจถึงขั้นวิบัติก็เป็นได้  ตอนนั้นเองที่ฉันนึกถึงบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย  มีสิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในมือของเราหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1)  “ใช่เลย” ฉันคิดกับตัวเอง “ทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์ได้รับการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการในพระหัตถ์ของพระเจ้า  แม้แต่เรื่องจะโทรติดหรือไม่นั้น ก็ขี้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของพระเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น  ฉันเต็มใจที่จะยกย่องนับถือและพึ่งพาพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์”  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก เว้าวอนให้พระองค์ทรงอารักขาบรรดาพี่น้องชายหญิงเหล่านี้  ผลก็คือพวกเขาโทรตามเบอร์โทรศัพท์พวกนั้นหนึ่งรอบ และบางสายก็ดังแต่ไม่มีคนรับ ในขณะที่สายอื่นโทรไม่ติดเลย  สุดท้าย พวกตำรวจชั่วก็พ่นคำสบถด้วยความหัวเสีย โยนสมุดเบอร์ติดต่อลงบนโต๊ะและเลิกพยายาม  ฉันจึงได้แต่แสดงความขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้และยังคงสอบปากคำฉันเรื่องการงานของคริสตจักรต่อไป  ฉันไม่ตอบ  พวกเขาหงุดหงิดและฉุนเฉียว พวกเขาขยับไปใช้วิธีที่ยิ่งน่าดูหมิ่นขึ้นไปอีกเพื่อที่จะพยายามทำให้ฉันเป็นทุกข์ นั่นคือ หนึ่งในพวกตำรวจชั่วบังคับให้ฉันอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองๆ และฉันต้องยื่นแขนออกไปในระดับไหล่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยื้อนเลย  ไม่นาน ขาของฉันก็เริ่มสั่นและฉันไม่สามารถยื่นแขนตรงได้อีกต่อไป และร่างกายของฉันก็เริ่มยืนกลับขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้  ตำรวจนั่นหยิบแท่งเหล็กมาและจ้องฉันเหมือนเสือจ้องเหยื่อ  ทันทีที่ฉันยืนขึ้น เขาก็ตีขาฉันอย่างอย่างโหดเหี้ยม ฉันเจ็บมากจนแทบทรุดกลับลงไปคุกเข่าอีก  ตลอดครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ขาหรือแขนของฉันขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว เขาจะใช้แท่งเหล็กตีฉันทันที  ฉันไม่รู้เลยว่าเขาตีฉันไปกี่ที  เนื่องจากต้องอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองๆ เป็นเวลานาน ขาทั้งสองข้างของฉันจึงบวมขึ้นจนถึงขีดสุด และเจ็บจนทนไม่ไหวราวกับกระดูกได้แตกไปแล้ว  เมื่อเวลาผ่านไป ขาของฉันก็สั่นหนักขึ้นไปอีก และฟันของฉันก็กระทบกันไม่หยุด  ตอนนั้นเอง ฉันรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงของฉันกำลังจะหมดไป  แต่ทว่า ตำรวจชั่วนั่นก็แค่เยาะเย้ยถากถางฉัน ยิ้มเยาะและหัวเราะเยาะฉันอย่างทะลึ่งตึงตังตลอดเวลา เหมือนที่ผู้คนพยายามอย่างโหดร้ายที่จะทำให้ลิงเล่นตลก  ยิ่งฉันมองใบหน้าอัปลักษณ์น่าดูหมิ่นของพวกเขามากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังตำรวจชั่วพวกนี้มากขึ้นเท่านั้น  ฉันนึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่งพระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 36)  ดังนั้น ฉันจึงพรวดพราดลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับพวกเขาเสียงดังว่า “ฉันจะไม่นั่งยองอีกต่อไปแล้ว  จะฆ่าจะแกงกันก็เชิญเลย!  วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว!  ฉันไม่กลัวตายด้วยซ้ำ  ดังนั้นฉันจะกลัวพวกแกได้อย่างไร?  พวกแกเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่ดูเหมือนพวกแกจะรู้แค่วิธีรังแกเด็กผู้หญิงอย่างฉันนะ!”  แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อหลังจากที่ฉันพูดแบบนี้ กลุ่มตำรวจชั่วก็ตะโกนสบถอีกสองสามคำแล้วก็หยุดสอบปากคำฉันไปเลย

พวกตำรวจชั่วฝูงนี้ได้ทรมานฉันมาเกือบทั้งคืน พวกเขามาเลิก ก็ตอนที่ฟ้าสว่างแล้ว  พวกเขาให้ฉันเซ็นชื่อแล้วบอกว่าพวกเขาจะขังฉัน  หลังจากนั้น ตำรวจสูงอายุคนหนึ่งก็แสร้งพูดกับฉันอย่างใจดีมีเมตตาว่า “หนู ฟังนะ หนูยังเด็กมาก—อยู่ในวัยแรกแย้ม—ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด หนูรีบบอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดกับพวกเราเถอะนะ  ลุงรับประกันเลยว่าลุงจะให้พวกเขาปล่อยตัวหนู  ถ้าหนูมีปัญหาอะไร บอกลุงได้เลย  ฟังนะ หน้าหนูบวมฉึ่งเป็นขนมปังปอนด์แล้ว  ยังทรมานมากไม่พออีกหรือไง?”  พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันรู้ว่าเขาแค่กำลังพยายามยั่วใจให้ฉันสารภาพอะไรสักอย่างหนึ่ง  ฉันยังนึกถึงบางอย่างที่พี่น้องชายหญิงของฉันพูดไว้ระหว่างการชุมนุมว่า เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกตำรวจชั่วจะใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งและใช้เล่ห์กลทุกลักษณะเพื่อหลอกลวงผู้คน  พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ตอบตำรวจเฒ่าคนนั้นว่า “อย่าทำเหมือนเป็นคนดีเลย พวกแกพวกเขาก็พวกเดียวกันนั่นแหละ  อยากให้ฉันสารภาพอะไรงั้นหรือ?  สิ่งที่พวกแกกำลังทำน่ะเรียกว่าการกรรโชกให้สารภาพ  นี่เป็นการลงโทษที่ผิดกฎหมาย!”  เมื่อได้ยินแบบนี้ เขาก็ตีหน้าซื่อแล้วแย้งว่า “แต่ลุงยังไม่เคยตีหนูสักทีเลยนะ  พวกเขาต่างหากที่ซ้อมหนู”  ฉันสำนึกบุญคุณการทรงนำและการทรงอารักขาของพระเจ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันเอาชนะการทดลองของซาตานได้อีกครั้ง

หลังจากออกจากกองความมั่นคงสาธารณะประจำเทศมณฑล พวกเขาก็ขังฉันในสถานกักกันทันที  ทันทีที่พวกเราเดินเข้าประตูหน้าไป ฉันก็เห็นว่าที่นั่นล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงลิบพร้อมกับรั้วลวดหนามไฟฟ้าบนขอบกำแพง และในทั้งสี่มุมก็มีสิ่งที่ดูเหมือนหอรักษาการณ์ ซึ่งมีตำรวจติดอาวุธยืนเฝ้ายามอยู่ภายใน  ทั้งหมดนั่นให้ความรู้สึกเลวร้ายและมีเลศนัยมาก  หลังจากผ่านประตูเหล็กบานแล้วบานเล่า ฉันก็ไปถึงห้องขัง  พอฉันเห็นผ้าห่มนวมเนื้อลินินที่เก่าคร่ำบนเตียงอิฐที่เย็นยะเยือก ซึ่งทั้งมืดและสกปรก และส่งกลิ่นเหม็นฉุนชวนคลื่นไส้โชยออกมา ฉันก็รู้สึกถึงคลื่นความขยะแขยงวาบผ่านฉันไปอย่างห้ามไม่อยู่ พอถึงเวลาอาหาร นักโทษแต่ละคนได้รับแค่หมั่นโถวชิ้นเล็กๆ ที่เปรี้ยวและครึ่งสุกครึ่งดิบ  ถึงแม้ว่าฉันจะถูกตำรวจทรมานอยู่ครึ่งค่อนคืนและไม่ได้กินอะไรเลย แต่การเห็นอาหารนี่ทำเอาฉันหมดความอยากอาหารไปเลยจริงๆ  ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของฉันก็บวมมากจากการถูกตำรวจพวกนั้นซ้อม และมันให้ความรู้สึกตึงราวกับถูกเทปพันไว้  แม้แต่แค่จะเปิดปากพูดยังเจ็บเลย เรื่องกินยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ฉันอยู่ในอารมณ์หม่นหมองมากและรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  ความคิดที่ว่าฉันจะต้องอยู่ที่นี่จริงๆ และต้องสู้ทนกับการดำรงอยู่แบบไม่มีความเป็นมนุษย์เช่นนี้ทำให้ฉันสะเทือนอารมณ์มาก จนน้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  พี่น้องหญิงคนที่ถูกจับมาด้วยกันได้สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับฉัน และฉันจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงเปิดโอกาสให้สภาพแวดล้อมนี้ตกแก่ฉัน และนี่คือการที่พระองค์กำลังทรงทดสอบและทดลองฉัน เพื่อดูว่าฉันสามารถยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ได้หรือไม่  พระองค์ทรงใช้โอกาสเหมาะนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันมีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน  เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็เลิกรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และภายในตัวฉัน ฉันก็เริ่มตกลงใจแน่วแน่กับตัวเองที่จะสู้ทนต่อความยากลำบากของตัวเอง

สองสัปดาห์ผ่านไป และหัวหน้าของตำรวจชั่วพวกนั้นก็มาสอบปากคำฉันอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าฉันสงบนิ่งและสำรวม โดยไม่มีความกลัวเลย เขาก็ตะโกนชื่อฉันและตะคอกว่า “บอกฉันมาตามตรงว่าแกเคยถูกจับที่ไหนมาก่อนอีก?  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของแกในเรือนจำแน่นอน ไม่อย่างนั้น แกจะสามารถวางท่าทีสงบและช่ำชองนัก ราวกับแกไม่กลัวสักนิดได้ยังไง?”  พอฉันได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าในหัวใจของฉัน  พระเจ้าได้ทรงอารักขาฉันและประทานความกล้าให้กับฉัน นั่นจึงเป็นการจึงเปิดโอกาสให้ฉันเผชิญหน้านายตำรวจชั่วพวกนี้โดยไม่มีความเกรงกลัวโดยสิ้นเชิง  แล้วตอนนั้นเอง ความโกรธก็เอ่อท้นขึ้นจากภายในหัวใจของฉัน พวกแกกำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดด้วยการข่มเหงประชาชนเพราะความเชื่อทางศาสนาของพวกเขา และพวกแกจับกุม กลั่นแกล้ง และทำให้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุผล  พวกแกไม่ทำตามกฎหมาย ไม่ว่าของแผ่นดินโลกหรือสวรรค์  ฉันเชื่อในพระเจ้าและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย  ทำไมฉันถึงควรจะกลัวพวกแกด้วยล่ะ?  ฉันจะไม่ยอมจำนนต่อกองกำลังชั่วของพวกแก!  ฉันจึงสวนกลับไปว่า “แกคิดว่าที่อื่นทุกที่มันน่าเบื่อมากจนฉันอยากมาที่นี่จริงๆ หรือ?  แกกลั่นแกล้งและปั่นหัวฉัน!  ต่อจากนี้ไป แกจะพยายามขู่กรรโชกให้ฉันสารภาพหรือใส่ความฉันอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น!”  พอได้ยินแบบนี้ เขาก็โกรธมากจนดูเหมือนควันกำลังจะออกหู  เขาแผดเสียง “ให้ตายสิ แกมันดื้อด้านเกินกว่าจะบอกอะไรพวกเรา แกจะไม่พูดใช่ไหม?  ฉันจะให้แกโดนตัดสินโทษสามปี แล้วจะได้เห็นกันว่าแกจะเริ่มให้ความร่วมมือหรือเปล่า  ดื้อไปให้ได้ตลอดก็แล้วกัน!”  ถึงตอนนั้นฉันรู้สึกยิ่งกว่าเดือดดาลเสียอีก  จึงตอบไปเสียงดังว่า “ฉันยังเด็กอยู่ สามปีจะเป็นอะไรไป พริบตาเดียวฉันก็ออกจากเรือนจำแล้ว”  ตำรวจชั่วนั่นผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธและตะเพิดใส่พวกขี้ข้าของเขา “ฉันไม่เอาแล้ว พวกแกสอบปากคำมันต่อก็แล้วกัน”  แล้วเขาก็กระแทกประตูปิดปังออกไป  กับการที่ได้เห็นว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น นายตำรวจสองคนนั่นจึงไม่ได้ถามอะไรฉันอีก พวกเขาก็แค่เขียนคำให้การมาให้ฉันเซ็น เสร็จแล้วก็เดินออกไป  การได้เห็นว่าพวกตำรวจชั่วสิ้นท่าอย่างไรทำให้ฉันมีความสุขมาก และ ฉันสรรเสริญชัยชนะเหนือซาตานของพระเจ้าอยู่ในใจ  ระหว่างการสอบปากคำรอบที่สอง พวกเขาเปลี่ยนกลเม็ด  ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตูมา พวกเขาก็แแสร้งเป็นห่วงเป็นใยฉันว่า “เธออยู่ที่นี่มานานแล้วนะ  ทำไมไม่เห็นมีคนในครอบครัวมาเยี่ยมเธอเลยล่ะ?  พวกนั้นคงทิ้งเธอแล้ว  ลองโทรบอกพวกเขาให้มาเยี่ยมเธอด้วยตัวเองดีไหม?”  การได้ยินแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกผะอืดผะอมและหงุดหงิด ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง  ฉันคิดถึงบ้านและพ่อแม่ และความอยากมีอิสรภาพของฉันก็รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ  ฉันน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ฉันไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าพวกตำรวจชั่วแก๊งนี้  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอพระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกเป็นทุกข์และเจ็บปวด และข้าพระองค์รู้สึกอับจนหนทางอย่างมาก  ได้โปรดทรงช่วยข้าพระองค์  ข้าพระองค์ไม่อยากให้ซาตานเห็นความอ่อนแอของข้าพระองค์  แต่ทว่าตอนนี้ข้าพระองค์ไม่สามารถจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้เลย  ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า นี่เป็นกลโกงแบบฉลาดแกมโกงของซาตาน  การพยายามทำให้ฉันติดต่อครอบครัวของฉันอาจจะเป็นเล่ห์กลที่จะให้พวกท่านนำค่าไถ่มาให้ นั่นก็จะเป็นการบรรลุเป้าหมายของพวกเขาที่จะกอบโกยเงิน หรือบางทีพวกเขาอาจจะรู้แล้วว่าคนในครอบครัวของฉันทั้งหมดเชื่อในพระเจ้า แล้วก็ต้องการใช้โอกาสเหมาะนี้เพื่อจับกุมพวกเขา  ตำรวจชั่วพวกนี้เต็มไปด้วยกลอุบายจริงๆ  หากไม่ได้เป็น เพราะการทรงให้ความรู้แจ้งของพระเจ้า ฉันก็อาจจะโทรกลับบ้านไปแล้ว  แบบนั้นฉันจะไม่ได้เป็นยูดาสทางอ้อมไปแล้วหรอกหรือ?  ดังนั้นฉันจึงลอบประกาศแถลงต่อซาตานว่า “เจ้ามารจอมสามานย์ ฉันจะไม่ยอมให้แกหลอกลวงฉันสำเร็จแน่”  แล้วฉันก็พูดอย่างทองไม่รู้ร้อน “ฉันไม่รู้ว่าทำไมคนในครอบครัวของฉันถึงไม่มาเยี่ยมฉัน  ฉันไม่สนละไม่ว่าแกจะทำอะไรกับฉัน!”  พวกตำรวจชั่วไม่เหลือไพ่ในมือให้เล่นแล้ว  หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่สอบปากคำฉันอีก

หนึ่งเดือนผ่านไป อยู่มาวันหนึ่ง ลุงของฉันมาเยี่ยมฉัน ท่านพูดว่ากำลังพยายามเอาฉันออกจากที่นั่น และพูดว่าฉันน่าจะถูกปล่อยตัวในอีกสองสามวัน  ฉันรู้สึกมีความสุขสุดขีดตอนที่เดินออกจากห้องเยี่ยม  ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็จะสามารถเห็นแสงตะวันได้อีกครั้ง รวมถึงพี่น้องชาย พี่น้องหญิง และบรรดาคนที่ฉันรักด้วย  ดังนั้นฉันจึงเริ่มฝันกลางวันและตั้งตารอให้ลุงมารับ  ทุกวัน ฉันคอยเงี่ยหูฟังเสียงพวกผู้คุมเรียกบอกฉันว่าได้เวลาออกไปแล้ว  แน่นอนว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อมาผู้คุมคนหนึ่งก็มาเรียกฉันจริงๆ และหัวใจของฉันรู้สึกเหมือนจะเต้นจนกระดอนออกมาจากอก  ฉันไปถึงห้องเยี่ยมอย่างเบิกบาน  แต่ทว่าเมื่อฉันเห็นลุง ท่านคอตก  ผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่ท่านจะพูดด้วยน้ำเสียงแบบหมดกำลังใจ “พวกเขาสรุปคดีของหลานแล้ว  หลานถูกตัดสินโทษสามปี”  พอฉันได้ยินแบบนั้น ฉันก็อึ้งงันคิดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง  ฉันกลั้นน้ำตาและห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาจนสำเร็จ  เหมือนกับฉันไม่สามารถได้ยินอะไรที่ลุงพูดหลังจากนั้นเลย  ฉันเดินออกจากห้องเยี่ยมอย่างเหม่อลอย ฉันรู้สึกราวกับเท้าของฉันเต็มไปด้วยตะกั่ว แต่ละก้าวหนักขึ้นและหนักขึ้น ฉันจำไม่ได้เลยว่าเดินกลับไปถึงห้องขังของฉันได้อย่างไร  พอไปถึงฉันก็ทรุดฮวบลงกับพื้น  ฉันคิดกับตัวเองว่า “แต่ละวันของการดำรงอยู่ที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ตลอดเวลาประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ให้ความรู้สึกเหมือนนานเป็นปีแล้ว ฉันจะสามารถผ่านพ้นสามปีอันยาวนานของอะไรแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?”  ยิ่งฉันจมอยู่กับความคิดนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้นเท่านั้น และอนาคตของฉันก็เริ่มดูเลือนลางและยากหยั่งถึงมากขึ้นเท่านั้น  ฉันร้องไห้โฮอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป  ฉันเคยคิดว่าในฐานะผู้เยาว์ ฉันไม่มีทางถูกตัดสินลงโทษ หรืออย่างมากที่สุดก็คงถูกจับขังสักสองสามเดือน  ฉันคิดว่าฉันแค่ต้องสู้ทนความเจ็บปวดและความยากลำบากอีกเล็กน้อย และทนต่อไปอีกหน่อย แล้วมันก็จะจบลง ฉันไม่เคยนึกเลยว่า ฉันอาจจะต้องใช้เวลาสามปีในเรือนจำจริงๆ  ในความตรอมใจของฉัน ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักต์พระเจ้าอีกครั้ง  ฉันเปิดใจพูดกับพระองค์ว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนถูกควักทั้งหัวใจออกไปจนกลวงเป็นโพรง  ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ข้าพระองค์คิดว่ามันกำลังจะลำบากยากเย็นมากสำหรับข้าพระองค์ที่จะสู้ทนกับสามปีของความทุกข์ในเรือนจำ  โอ พระเจ้า ขอพระองค์ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ขอเว้าวอนให้พระองค์ประทานความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถนบนอบต่อพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ และยอมรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์อย่างกล้าหาญ”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความดีงามของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับการทดสอบอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน และฉันพร้อมจะนบนอบ ไม่ว่าอะไรอาจจะมาตกแก่ฉันหรือฉันอาจจะก้าวผ่านความทุกข์มากแค่ไหนก็ตาม ฉันก็จะไม่ติเตียนพระเจ้าแต่อย่างใดเลย ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์  สองเดือนต่อมา ฉันถูกย้ายไปค่ายแรงงาน  พอฉันได้รับและเซ็นเอกสารคำพิพากษา ฉันก็พบว่า โทษสามปีได้ลดเหลือหนึ่งปี  ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในใจ  พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ และภายในนั้น ฉันสามารถมองเห็นความรักอันมหาศาลและการทรงอารักขาที่พระองค์ทรงมีให้ฉัน

ในค่ายแรงงาน ฉันเห็นด้านที่ร้ายกาจและโหดเหี้ยมยิ่งขึ้นของพวกตำรวจชั่ว  ตอนเช้ามืด พวกเราจะลุกขึ้นไปทำงาน และพวกเรามีงานต้องทำล้นมือมากในแต่ละวัน  พวกเราต้องใช้แรงงานยาวนานหลายชั่วโมงในทุกๆ วัน และบางครั้งก็จะทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งวันทั้งคืนนานติดกันหลายวัน  นักโทษบางคนล้มป่วยและจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ และอัตราการหยดก็ถูกปรับให้อยู่ในระดับที่เร็วที่สุด เพื่อที่ทันทีที่ให้น้ำเกลือเสร็จ พวกเธอจะได้สามารถกลับไปที่ห้องทำงานอย่างรวดเร็วและกลับไปทำงานต่อ  นี่นำไปสู่การที่ผู้ต้องขังส่วนใหญ่เกิดความเจ็บป่วยที่ยากจะรักษาตามมา  บางคนก็ถูกพวกผู้คุมด่าทออยู่บ่อยๆ เพราะพวกเธอทำงานช้า ภาษาสกปรกหยาบคายของพวกเขานั้นทนฟังไม่ได้เลย  บางคนฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ในขณะที่ทำงาน พวกเธอจึงถูกลงโทษ  ตัวอย่างเช่น พวกเธอจะถูก “มัดด้วยเชือก” ซึ่งแปลว่า พวกเธอต้องคุกเข่ากับพื้นและถูกมัดมือไพล่หลัง แขนของพวกเธอถูกจับยกขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกับคออย่างเจ็บปวด  คนอื่นถูกล่ามกับต้นไม้ด้วยโซ่เหล็กเหมือนสุนัขและถูกแส้เฆี่ยนอย่างไม่มีความกรุณา  บางคนไม่สามารถทนการทรมานผิดมนุษย์นี้ได้ ก็จะพยายามอดอาหารฆ่าตัวตาย เพื่อที่จนแล้วจนรอดก็จะถูกพวกผู้คุมชั่วใส่กุญแจทั้งที่ข้อเท้าและข้อมือของพวกเธอ แล้วกดตรึงร่างของพวกเธอลง บังคับสอดท่อให้อาหารและกรอกของเหลวลงท้องพวกเธอก็เท่านั้นเอง  พวกเขากลัวว่านักโทษพวกนี้อาจจะตาย ไม่ใช่เพราะพวกเขาทะนุถนอมชีวิต แต่เป็นเพราะพวกเขาเป็นห่วงว่าจะเสียแรงงานราคาถูกที่พวกเธอมีให้ต่างหาก  ความประพฤติชั่วที่พวกผู้คุมเรือนจำก่อขึ้นนั้น ช่างมากมายเกินกว่าจะนับจริงๆ เหตุการณ์นองเลือดรุนแรงน่าสยดสยองทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน  ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันเห็นชัดเจนมากว่า รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นร่างจำแลงบนแผ่นดินโลกของซาตานซึ่งอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ  มันชั่วที่สุดในบรรดามารทั้งหมด และเรือนจำที่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองของมันก็คือนรกบนดินนั่นเอง—ไม่ใช่แค่ในนาม แต่เป็นในความเป็นจริง  ฉันจำได้ถึงคำพูดบนกำแพงในสำนักงานที่ฉันถูกสอบปากคำที่ว่า “ห้ามไม่ให้ซ้อมประชาชนตามอำเภอใจหรือลงโทษพวกเขาอย่างผิดกฎหมาย และการได้มาซึ่งคำสารภาพโดยผ่านทางการทรมานยิ่งเป็นสิ่งต้องห้าม”  แต่กระนั้น ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำของพวกเขาท้าทายกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเปิดเผย  พวกเขาเมามันกับการทุบตีฉันซึ่งเป็นเด็กสาวที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ และให้ฉันอยู่ภายใต้การลงโทษที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยิ่งกว่านั้น พวกเขาได้ตัดสินโทษฉันแค่เพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉัน  ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ฉันสามารถเห็นอย่างชัดเจนถึงเล่ห์กลที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ใช้เพื่อตบตาประชาชนในขณะที่นำเสนอภาพลักษณ์เทียมเท็จของสันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง  นั่นเหมือนกันไม่มีผิดกับที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันควักดวงตาสองข้างของเขาออก และปิดผนึกริมฝีปากของเขาแน่น ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยสามารถมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเคยได้ชื่นชมความทรงค่าและความดีงามของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขามีความซึ้งคุณค่าใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์? พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่กระตือรือร้นของพระเจ้าได้? เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องกับการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ขี้ข้าพวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))

หลังผ่านประสบการณ์กับการข่มเหงของพวกตำรวจชั่ว ฉันก็เชื่อมั่นอย่างที่สุดในบทตอนนี้ของพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ และตอนนี้ก็มีความรู้และประสบการณ์จริงในเรื่องนี้ว่า รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นกองทหารเยี่ยงปีศาจอย่างแท้จริงที่เกลียดและต่อต้านพระเจ้า และที่ออกตัวสนับสนุนความชั่วและความรุนแรง และการมีชีวิตอยู่ภายใต้การปราบปรามของระบอบเยี่ยงซาตานก็ไม่ต่างจากการมีชีวิตอยู่ในนรกของมนุษย์  ในขณะเดียวกัน ในค่ายแรงงาน ฉันก็ได้เห็นกับตาตัวเองถึงความอัปลักษณ์ของผู้คนทุกประเภท อย่างเช่น ใบหน้าชวนสะอิดสะเอียนของพวกงูชอบฉวยโอกาสที่ปากหวานประจบประแจงพวกหัวหน้าผู้คุม ใบหน้าเยี่ยงมารของพวกที่รุนแรงเกรี้ยวกราดซึ่งระรานกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ เป็นต้น  สำหรับฉันซึ่งยังไม่ได้เริ่มชีวิตในฐานะผู้ใหญ่ ในระหว่างปีนี้ของชีวิตในเรือนจำ ในที่สุดฉันก็ได้เห็นชัดเจนถึงความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ  ฉันได้รู้เห็นเป็นพยานความคิดคดทรยศในหัวใจของผู้คน และตระหนักว่า โลกมนุษย์สามารถส่อแววร้ายได้อย่างไร  ฉันยังได้เรียนรู้ที่จะแยกความต่างระหว่างบวกกับลบ ดำกับขาว ถูกและผิด ดีและเลว และระหว่างสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสิ่งที่น่าดูหมิ่นอีกด้วย  ฉันได้เห็นอย่างชัดเจนว่าซาตานนั้นอัปลักษณ์ ชั่ว โหดเหี้ยม และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความชอบธรรม  พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความดี พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นความรักและความรอด  ได้รับการทรงเฝ้าดูและทรงอารักขาโดยพระเจ้า หนึ่งปีที่ลืมไม่ลงนั้นผ่านไปรวดเร็วมากสำหรับฉัน  ถึงตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันก็มองเห็นว่า แม้ว่าฉันจะก้าวผ่านความทุกข์ทางกายมาบ้างระหว่างชีวิตในเรือนจำหนึ่งปีนั้น แต่พระเจ้าก็ได้ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงนำและทรงชี้แนะฉัน นั่นจึงเป็นการทำให้ชีวิตของฉันสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้  ความทุกข์และบททดสอบนี้คือพระพรพิเศษของพระเจ้าสำหรับฉัน  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เทอญ!

ก่อนหน้า: 79. พระพรที่ได้รับจากความเจ็บป่วย

ถัดไป: 81. ความทุกข์คือพระพรของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger