79. พระพรที่ได้รับจากความเจ็บป่วย
ค.ศ. 2014 พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยคดีจ้าวหยวน 28 พฤษภาคม และจับกุมพี่น้องชายหญิงไปทั่ว ผู้นำคริสตจักรส่วนใหญ่ในพื้นที่ของเราถูกจับกุม พี่น้องชายหญิงใหม่บางคนใช้ชีวิตด้วยความกลัวและความคิดลบ ในช่วงเวลาวิกฤตินี้เองที่ฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ดูแลงานหลายคริสตจักร ฉันคิดในใจ ว่าการเป็นผู้นำในยามวิกฤตเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวง และฉันต้องไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ดังนั้น ฉันจึงทุ่มเททำหน้าที่ เผชิญอันตรายจากการถูกจับกุมทุกเมื่อ ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าจะทรงเห็นชอบให้ฉันปกป้องงานของคริสตจักรผ่านช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ และฉันจะสมควรได้รับการทรงช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ แต่ต่อมาฉันก็ล้มป่วยหนัก โดยที่ฉันก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
เย็นวันหนึ่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ขณะทานอาหารเย็น จู่ๆ ฉันก็ทำชามข้าวตกพื้น ฉันคิดว่าเป็นเพราะตัวเองไม่ระวัง จึงรีบหยิบชามขึ้นจากพื้น และพยายามหยิบทิชชู่มาเช็ดมือ ตอนนั้นเองฉันถึงรู้ตัวว่าฉันควบคุมมือ และหยิบทิชชู่ไม่ได้ ไม่นานมือและเท้าของฉันก็หมดความรู้สึก และฉันได้แต่นั่งบนเก้าอี้ ขยับตัวไม่ได้ ครอบครัวรีบวัดความดันโลหิตของฉัน ซึ่งสูงกว่า 200 ฉันทานยาลดความดันโลหิตซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันรู้สึกสับสนมากและสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันไม่รู้ว่านี้เป็นอาการร้ายแรงหรือเปล่า แต่แล้วฉันก็นึกได้ ว่าฉันได้ทุ่มเททำหน้าที่อย่างมากตลอดหลายปีแห่งความเชื่อที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าจะได้รับพระคุณ และอาการไม่น่าจะร้ายแรง แม้จะเจ็บป่วย ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าจะทรงอารักขาและรักษาแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นมาก เมื่อฉันตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ฉันเริ่มพยายามขยับมือและเท้าเบาๆ และพบว่าร่างกายซีกขวาเป็นปกติดี แต่แขนและขาซ้ายชา แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันวิตกในทันที ทำไมฉันไม่หายขาด? ฉันเป็นอัมพาตบางส่วนหรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่มีทางทำหน้าที่ได้อีกแล้ว ฉันสงสัยว่าได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์และถูกกำจัดทิ้งแล้วหรือ และฉันมีโอกาสได้รับความรอดไหม? แต่แล้วฉันก็คิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมาก จนการฟื้นตัวได้ครึ่งทางในชั่วข้ามคืน ต้องเป็นพระพรจากพระเจ้าแน่ หากพระเจ้าทรงรักษาฉัน การฟื้นฟูร่างกายก็ควรจะเรียบง่ายใช่ไหม? รู้สึกเหมือนมีการทรงอารักขา และไม่ต้องกังวลอะไรมาก
ฉันไปหาคุณหมอเช้าวันนั้นค่ะ หลังซีทีสแกน คุณหมอก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณมีเลือดออก ในกะโหลกศีรษะด้านขวาประมาณ 10 มล. หากจุดที่มีเลือดออกสูงขึ้นไปอีกแค่นิดเดียว จะเป็นตำแหน่งควบคุมการพูด คุณจะสูญเสียความสามารถในการพูด และคงจะมีสภาพเป็นผัก เห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อคืน คุณโชคดีมาก ที่รอดมาได้ คุณต้องได้รับการรักษาในทันที” หมอพูดต่อว่า จะเริ่มที่เจาะเส้นเลือด และรักษาแบบดั้งเดิม หากลิ่มเลือดในสมองไม่ละลาย พวกเขาจะต้องผ่าตัดสมอง ฉันพอได้ยินว่าเลือดออกในสมอง ในหัวฉันก็ขาวโพลนไปหมด ฉันไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่แย่ขนาดนี้ ฉันยังอายุไม่ถึง 50 ปี ถ้ารักษาไม่สำเร็จ และต้องเป็นอัมพาตบางส่วน หรือเป็นศพมีชีวิตเป็นอัมพาตทั้งตัว ชีวิตแบบนั้นจะเลวร้ายขนาดไหน? และการผ่าตัดสมองมีความเสี่ยงมาก จนอาจทำให้ฉันเสียชีวิตได้ แล้วจะถูกทรงช่วยให้รอด และเข้าไปสู่ราชอาณาจักรพระเจ้าได้ไหม? ฉันเต็มที่มาตลอดหลายปีแห่งความเชื่อจึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงเช่นนี้? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงอารักขา? ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ แม้แต่อาหารกลางวันก็กลืนไม่ลง ประมาณวันที่ห้าในโรงพยาบาล จู่ๆ หญิงชราที่อยู่เตียงข้างๆ ก็อาการทรุดหนัก และต้องถูกย้ายไปโรงพยาบาลอื่น เห็นแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกกังวลอีกครั้ง เราถูกรับเข้าโรงพยาบาลในวันเดียวกัน เธอเดินเหินได้สะดวกอยู่เลย แต่ตอนนี้ พวกเขาต้องเข็นเธอไปแล้ว เหมือนกับว่า เราบอกไม่ได้เลยว่าใครจะรอดจากอะไรแบบนี้บ้าง และฉันก็สงสัยว่าอาการฉันอาจจะแย่ลงกะทันหันด้วยหรือเปล่า
แม้จะอยู่โรงพยาบาลเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ก็ยังไม่มีความรู้สึกอะไร ที่ขาซ้ายเลย ฉันคิดว่า “ทำไมพระเจ้าไม่ทรงอารักขา? ฉันไม่สามารถทำหน้าที่อะไรในช่วงเวลาวิกฤตินี้ได้เลย ฉันสูญเสียโอกาสรับความรอดไปแล้วหรือ?” ความคิดนี้ ทำให้หัวใจฉันรู้สึกหนาวสะท้าน และฉันก็เริ่มร้องไห้ไม่หยุด ฉันทำงานหนักตลอดเก้าปีแห่งความเชื่อ ไม่เคยปล่อยให้อะไรมาขวางทาง ไม่เคยลังเลที่จะเผชิญความยากเย็นหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักร และไม่ถอยกลับแม้เผชิญกับอันตรายจากการถูกจับ ฉันยังคงทำหน้าที่อยู่เสมอ ตลอดหลายปีในฐานะผู้นำ ฉันได้ทนทุกข์และใช้ความคิดมากกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ฉันคิดว่าเมื่อให้ไปมาก และการพลีอุทิศเช่นนั้น พระเจ้าควรทรงอวยพรฉัน แล้วทำไมจู่ๆ ฉันถึงป่วยหนักแบบนี้? พระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉันไปได้อย่างไร? หากฉันไม่ดีขึ้นและทำหน้าที่ไม่ได้ จะยังได้รับการช่วยให้รอดไหม? ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น การเสียสละและทำงานหนักตลอดหลายปีก็สูญเปล่าน่ะสิ? ฉันรู้สึกว่าไม่น่าทุ่มเทขนาดนั้นถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ฉันรู้สึกทุกข์ระทมขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากอธิษฐานหรือไตร่ตรองพระวจนะอีกด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจจริงๆ ฉันไม่รู้ตัวใช้แขนข้างที่เจาะเข้าเส้นเลือดรองใต้หัวตัวเอง ทำให้เข็มเคลื่อน ทำให้มือฉันบวม เมื่อเห็นมือที่บวมก็ทำให้ฉันรู้สึกทุกข์ระทม ฉันนึกถึงพี่น้องชายหญิงที่มีกำลังวังชา กำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตน ขณะที่ฉัน ได้แต่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ทำหน้าที่อะไรไม่ได้เลย นี่ฉันไร้ประโยชน์สิ้นดีไม่ใช่หรือ? และเพราะนี่คือเวลาเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คนอื่นๆ ทำหน้าที่ของตนได้และมีความประพฤติดี ขณะที่ฉันน่าจะถูกกำจัดทิ้งก็ได้ รู้สึกเหมือน ท้ายที่สุดพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด คืนนั้น ฉันพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงและนอนไม่หลับเลย จมอยู่ในความทุกข์ระทมโดยสิ้นเชิง ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยน้ำตาและอธิษฐานว่า “พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์ทนทุกข์จริงๆ ข้าพระองค์รู้ว่าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดกับข้าพระองค์ และไม่ควรเข้าใจพระองค์ผิด โปรดทรงนำ ให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยพระองค์ นบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระองค์”
ตอนอยู่ในโรงพยาบาล พี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งเครื่องเล่นเอ็มพี 5 มาให้ฉัน และเมื่อคนอื่นๆ หลับแล้ว ฉันก็ใส่หูฟังและฟังพระวจนะของพระเจ้า มีบทตอนหนึ่งเป็นประโยชน์ต่อฉันมากๆ ค่ะ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์ กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา กระบวนการถลุงคือบททดสอบจริงของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจริง และมีเพียงในระหว่างกระบวนการถลุงเท่านั้นที่ความรักของเขาจะสามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) เมื่อฉันครุ่นคิดเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนัก ว่าเมื่อพระเจ้าทรงทดสอบและทรงถลุงผู้คน นั่นไม่ใช่เพื่อกำจัดพวกเขาทิ้ง แต่เพื่อชำระให้บริสุทธิ์และแปลงสภาพพวกเขา แต่ฉันไม่ได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือพยายามเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ ตั้งแต่มีอาการเส้นโลหิตในสมองแตก ฉันเฝ้าแต่เข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้า ฉันช่างโง่มากค่ะ! ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันเต็มใจที่จะนบนอบ อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อไตร่ตรองและรู้จักตนเอง และเรียนรู้บทเรียน
ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของมวลมนุษย์ก็คือ การที่มนุษย์ดำเนินการบริหารจัดการของตัวเองท่ามกลางพระราชกิจของพระเจ้า และกระนั้นก็ยังไม่มีความใส่ใจทั้งสิ้นต่อการบริหารจัดการของพระเจ้า ในเวลาเดียวกับที่กำลังพยายามที่จะนบนอบต่อพระเจ้าและนมัสการพระองค์นั้น ความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์อยู่ตรงที่วิธีที่มนุษย์กำลังก่อร่างสร้างบั้นปลายในอุดมคติของเขาเองขึ้นมา และวาดโครงร่างว่าจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดและบั้นปลายที่ดีที่สุดอย่างไร ต่อให้มีคนเข้าใจว่าพวกเขานั้นน่าสงสาร น่ารังเกียจ และน่าสมเพชอย่างไร จะมีสักกี่คนเล่าที่จะสามารถละทิ้งอุดมคติและความหวังเหล่านั้นได้โดยไม่ลังเล? และใครเล่าที่จะสามารถยับยั้งย่างก้าวของพวกเขาเองและหยุดคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นได้? พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะให้ความร่วมมือกับพระองค์อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะทำให้การบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสิ้น พระองค์ทรงจำเป็นต้องมีบรรดาผู้ที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยการอุทิศจิตใจและร่างกายทั้งหมดทั้งสิ้นของพวกเขาให้กับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีผู้คนซึ่งยื่นมือออกมาขอรับจากพระองค์ทุกวัน นับประสาอะไรกับพวกที่ให้มาเล็กน้อยแล้วรอรับรางวัลตอบแทนยิ่งแล้วใหญ่ พระเจ้าทรงดูหมิ่นพวกที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเพียงน้อยนิดแล้วก็หยุดพักอย่างพอใจในความสำเร็จของตัวเอง พระองค์ทรงเกลียดชังพวกผู้คนเลือดเย็นที่ไม่พอใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และพูดคุยแต่เรื่องการไปสวรรค์และการได้รับพระพรเท่านั้น พระองค์ยิ่งทรงมีความเกลียดต่อพวกซึ่งฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่พระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงกระทำในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนำมาเสนอให้นั้นอย่างมากมายกว่าด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะผู้คนเหล่านี้ไม่เคยเลยที่จะใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลและได้มาโดยผ่านทางพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ พวกเขาเพียงเป็นห่วงวิธีที่พวกเขาจะสามารถได้รับพระพรโดยอาศัยโอกาสที่จัดเตรียมโดยพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับพระหทัยของพระเจ้า ด้วยความที่หมกมุ่นเต็มที่อยู่กับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของพวกเขาเอง พวกที่คับแค้นใจในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าและขาดแม้กระทั่งความสนใจอันแผ่วบางที่สุดในวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และน้ำพระทัยของพระองค์นั้น ก็แค่กำลังทำในสิ่งที่พวกเขาพอใจ ในวิถีทางที่แยกออกจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น พฤติกรรมของพวกเขานั้นไม่ได้รับการจดจำหรือรับรองโดยพระเจ้า—ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงมองอย่างโปรดปราน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันอย่างถูกต้อง แรกเริ่มที่ฉันกลายเป็นผู้เชื่อ ฉันเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับมนุษย์และคิดว่า ตราบใดที่เราทำงานหนักและพลีอุทิศเพื่อพระเจ้า เราจะถูกช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ฉันจึงทำหน้าที่สุดใจ ผ่านสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย เมื่อสมาชิกคนอื่นเผชิญความลำบาก ฉันจะรีบค้ำชูและช่วยเหลือ ฉันยังทำหน้าที่ต่อไปแม้ว่าเสี่ยงจะถูกจับกุม โดยคิดว่าการพลีอุทิศแบบนี้จะได้รับการทรงคุ้มครองและพระพรแน่นอน จะมีที่ในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เมื่อฉันป่วยและอาจเป็นอัมพาตบางส่วน ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองหรือทรงอวยพร ฉันพลาดโอกาสอนาคตและบั้นปลายที่ดี ฉันเปี่ยมด้วยคำร้องทุกข์ ถึงกับอยากคิดบัญชี คำนวณทุกอย่างที่ทำมา ฉันสู้ความและโต้เถียงกับพระเจ้า ใช้การพลีอุทิศทั้งหมดขอความโปรดปราน ฉันเข้าใจผิด และต้านทานพระเจ้า ฉันเป็นเหมือนที่พระเจ้าตรัสว่า “พวกที่ให้มาเล็กน้อยแล้วรอรับรางวัลตอบแทนยิ่งแล้วใหญ่” และ “พวกที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเพียงน้อยนิดแล้วก็หยุดพักอย่างพอใจในความสำเร็จของตัวเอง” เมื่อเจ็บป่วยครั้งใหญ่ แรงจูงใจซ่อนเร้น และมุมมองแบบแลกเปลี่ยนกันเบื้องหลังการพลีอุทิศในความเชื่อของฉัน ก็ปรากฏออกมา ฉันไม่ได้ทำ หน้าที่เพื่อไล่ตามความจริง และทิ้งความเสื่อมทราม แต่อยากใช้ลักษณะการทำงานหนักแลกเปลี่ยนกับพระคุณและพระพรของพระเจ้า แลกกับพระพรแห่งราชอาณาจักร ฉันทำข้อตกลงกับพระเจ้า ใช้พระองค์ โกงพระองค์ คนฉวยโอกาสอย่างฉัน จะมีค่าควรกับราชอาณาจักรได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะโรคหลอดเลือดสมอง ฉันคงถูกความพยายามผิวเผินของตนหลอกโดยสมบูรณ์ คงจะไม่เห็นแรงจูงใจน่ารังเกียจที่จะไล่ตามพระพร หรือการเจือปนในความเชื่อ ฉันคงต้านทานพระเจ้าต่อไปโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น ฉันก็เฝ้าทบทวนตัวเอง ไตร่ตรองว่าทำไมถึงทำข้อตกลงกับพระเจ้าในหน้าที่อยู่ตลอด ฉันได้อ่าน พระวจนะในการแสวงหาว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเผยถึง รากเหง้าของท่าทีแบบแลกเปลี่ยนกันในความเชื่อของฉัน คำพูดที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” เป็นแนวคิดเยี่ยงซาตานที่ฝังรากลึกในหัวใจของฉัน และได้กลายเป็นกฎในการอยู่รอดของฉัน ฉันทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงรู้สึกว่าควรได้รับการปูนบำเหน็จ แม้แต่ในงานเพื่อพระเจ้า ฉันก็ทำข้อตกลงกับพระองค์ และฉันคิดว่า การไล่ตามพระพร เป็นเรื่องปกติธรรมชาติ พอมาป่วยหลังจากทำงานมาหนัก และพลีอุทิศมามากมาย และรู้ตัวว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ ฉันหมดหวังจะถูกช่วยให้รอดหรือมีจุดจบและบั้นปลายที่ดี ฉันจึงยืนต้านและติเตียนพระเจ้า ในทันที คิดคำนวณทุกสิ่งที่ทำมา ลุกขึ้นโต้เถียงพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันใช้ชีวิตอยู่ด้วยพิษของซาตาน ไม่ใช่สภาพเสมือนมนุษย์เลย หากไม่กลับใจ จะถูกกำจัดทิ้งและลงโทษ ไม่ช้าก็เร็ว
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะสองบทตอน ที่ให้ความเข้าใจถึงมุมมองที่ผิดในการไล่ตามเสาะหา ในความเชื่อของฉันค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อมนุษย์ประเมินผู้อื่น เขาทำเช่นนั้นโดยสอดคล้องกับการมีส่วนร่วมสนับสนุนของพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงประเมินมนุษย์ พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดยสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ท่ามกลางบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิต เปาโลเป็นใครบางคนที่ไม่ได้รู้จักแก่นแท้ของเขาเอง เขาไม่ได้ถ่อมใจหรือเชื่อฟังโดยวิถีทางใดเลย อีกทั้งเขาไม่ได้รู้จักธาตุแท้ของเขา ซึ่งก็คือการกบฏต่อพระเจ้า และดังนั้นแล้ว เขาจึงเป็นใครบางคนที่ไม่ได้ก้าวผ่านประสบการณ์โดยละเอียด และเป็นใครบางคนที่ไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติ เปโตรนั้นแตกต่างออกไป เขาได้รู้จักความไม่เพียบพร้อม จุดอ่อน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาในฐานะสิ่งที่รงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และดังนั้นแล้วเขาจึงได้มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติซึ่งใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเขา เขาไม่ใช่หนึ่งในพวกที่มีเพียงคำสอนแต่ไม่ได้ครองความเป็นจริง บรรดาผู้ที่เปลี่ยนแปลงคือผู้คนใหม่ๆ ที่ได้รับการช่วยให้รอดแล้ว พวกเขาคือบรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือพวกที่ล้าสมัยโดยธรรมชาติ พวกเขาคือพวกที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด นั่นคือ พวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจและทรงปฏิเสธ พวกเขาจะไม่เป็นที่จดจำโดยพระเจ้าโดยไม่สำคัญว่างานของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อเจ้าเปรียบเทียบการนี้กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะเป็นบุคคลประเภทเดียวกับเปโตรหรือเปาโลก็ควรจะมีหลักฐานชัดเจนอยู่ในตัวเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) “หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือพระพรของเนื้อหนัง และสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริงแห่งมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า และเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าในเนื้อหนังเลย และเจ้ายังคงใช้ชีวิตในความคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าแสวงหาก็จะนำเจ้าไปสู่นรกอย่างแน่นอน เพราะเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นคือเส้นทางแห่งความล้มเหลว การที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือถูกกำจัดทิ้งนั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ซึ่งก็เป็นการกล่าวอีกด้วยว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) เมื่อลองคิดดู มันก็ให้ ความรู้แจ้งแก่ฉันจริงๆ ค่ะ พระเจ้าไม่ได้ทรงประเมินบุคคลจากสิ่งที่แบ่งปันภายนอก แต่ทรงดูจากท่าทีและมุมมองเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ จุดยืนของพวกเขา การปฏิบัติความจริงและการนบนอบต่อพระเจ้า แต่ฉันคิดว่าถ้าเราพลีอุทิศและทำงานหนัก จะทรงชื่นบานและทรงอวยพร เราก็จะมีบั้นปลายที่ดี นั่นไม่ขัดแย้งกับพระวจนะชัดเจนเหรอคะ? ในยุคพระคุณนั้น เปาโลไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ จนเกือบทั่วยุโรป เขาทนทุกข์มาก เสร็จงานมากมาย และตั้งคริสตจักรหลายแห่ง แต่ทุกอย่างที่เขาได้ทำไปนั้น ไม่ใช่เพราะนบนอบต่อพระเจ้า หรือทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เพื่อให้ตนได้รับพระพรและการปูนบำเหน็จ หลังจากเดินทางไปหลายที่และทำงานหนักมากมาย เขาถึงได้พูดว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) เปาโลเรียกร้องมงกุฎจากพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง การพลีอุทิศของเขาไม่จริงใจ และไม่ใช่เพราะนบนอบต่อพระเจ้า สุดท้าย เขาไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร และยังถูกลงโทษอีกด้วย ฉันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ จากความจริงและหลักธรรมในพระวจนะ แต่วัดงานของพระเจ้า ตามตรรกะของซาตาน และท่าทีแบบแลกเปลี่ยน ฉันช่างไร้สาระเหลือเกิน พระวจนะกล่าวว่า “หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) ฉันตระหนักว่า ฉันต้องไล่ตามความจริงและมุ่งเน้นการรู้จักตัวเอง ผ่านการทำหน้าที่ เพื่อแก้ไขมุมมองผิดๆ แรงจูงใจผิดๆ และอุปนิสัยเสื่อมทราม เชื่อฟังพระเจ้า และทำหน้าที่โดยนึกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะถูกช่วยให้รอด พอเข้าใจทั้งหมด ฉันก็อธิษฐานว่า “ไม่ว่าสุขภาพจะเป็นอย่างไร ข้าพระองค์พร้อมนบนอบ หากมีชีวิตรอดออกไป จะขอทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักพระเจ้า ทุกลมหายใจ!”
วันที่ 12 ในโรงพยาบาล ฉันขอตรวจ ว่ากลับบ้านได้ไหม และหลังจากการตรวจ หมอพูดว่า “การตกเลือดหยุดแล้ว แต่ลิ่มเลือด ยังละลายหายไปไม่หมด รักษามาแค่สิบสองวัน ถือว่าอาการดีมากนะ” พอได้ยินฉันก็ตื่นเต้นมาก และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองฉันค่ะ หมอบอกด้วยว่า ออกจากโรงพยาบาลแล้วให้เน้นพักฟื้น ไม่หักโหม หลอดเลือดสมองฉันเปราะบางมาก จึงห้ามลื่นล้มเด็ดขาด ไม่งั้น หากเส้นเลือดแตกเป็นครั้งที่สอง ผลสืบเนื่องจะร้ายแรงมาก วันที่ฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันได้รับข้อความ บอกว่าพี่จางที่ฉันเคยร่วมงานด้วย ออกไปสี่วันแล้ว แต่ยังไม่กลับบ้านเจ้าบ้านเลย เป็นไปได้ว่าเธอถูกจับแล้ว พอได้ยินฉันก็กังวลมาก นี่แปลว่าที่ชุมนุมที่เธอเคยไป และบ้านที่เก็บของถวายของคริสตจักร อยู่ในอันตราย พวกเขาต้องได้รับการแจ้งเตือน เพื่อเฝ้าระวังในทันที แต่ว่า นั่นก็มีหลายที่มากค่ะ ฉันเพิ่งได้กลับบ้าน ร่างกายยังไปนั่นมานี่ไม่ไหว ทำไมไม่เกิดก่อนหรือหลังจากนี้? ทำไมเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่วิกฤตแบบนี้? ถ้าเส้นเลือดสมองแตกอีกรอบ อาจถึงกับทำให้ฉันยืนไม่ได้อีกเลย อีกอย่าง การออกไปบอกพวกเขาก็อันตรายมาก ถ้าฉันถูกจับกุมล่ะ ร่างกายฉันจะทนการทรมานโหดๆ ของตำรวจได้เหรอ? ฉันอาจถึงตายเลยก็ได้ แต่ว่ามีแค่ฉันกับพี่จาง ที่รู้จักที่พักของพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ ดังนั้นถ้าฉันไม่ไปบอกให้รู้ แล้วพวกเขาถูกจับ และตำรวจยึดของถวายไป ก็จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ฉันคิดไม่ตก นึกถึงคำอธิษฐานก่อนออกจากโรงพยาบาล ว่าถ้ามีชีวิตรอดออกจากไป ฉันจะทำหน้าที่ และตอบแทนความรักของพระเจ้า จนลมหายใจสุดท้าย ตอนนี้มีเรื่องเกิดขึ้น ฉันจะลืมสัญญาไปอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันหมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าทรงเฝ้าสังเกตท่าทีของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะค้ำชูงานแห่งพระนิเวศและทำหน้าที่ของตน โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วย” ฉันยังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน ซึ่งทำให้ฉันตื้นตันใจมาก องค์พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่ตรึงกางเขน ไม่ทอดพระเนตรกลับหลัง ทั้งหมดก็เพื่อไถ่มวลมนุษย์ ทรงเจ็บปวดและอับอาย ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ทรงพลีชีวิตเพื่อเรา แล้วทำไมฉันถึงปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัว และอารักขางานของคริสตจักร เพื่อตอบแทนความรักไม่ได้? ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันแค่ชื่นชมพระคุณและคิดถึง แต่พระพรไม่ได้ ถ้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ไม่ควรค่าให้เรียกว่ามนุษย์ เมื่อได้กำลังใจจากพระวจนะ ฉันก็เริ่มเตรียมตัวจัดการเรื่องนี้ ระหว่างทางไปยังบ้านพักหลังที่สอง ก็ได้รู้ว่าพี่จางไม่ได้ถูกจับ ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ฉันมีสันติสุขมากขึ้น เพราะได้แก้ไขแรงจูงใจและมุมมองให้ถูกต้อง และปฏิบัติความจริง
หกปีผ่านไปเร็วมากค่ะ ฉันไม่ได้อาการดีขึ้นเต็มร้อย มือกับเท้าซ้ายยังชาอยู่บ้างค่ะ แต่ฉันรู้ว่า สุขภาพฉันอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า การไม่หายขาดกลับเป็นเครื่องคุ้มครองฉัน ย้ำเตือนฉันว่าอย่าพยายามอยากได้พระพร อย่าลงเอยบนเส้นทางที่ผิดเหมือนเปาโล ฉันทนทุกข์ ผ่านเรื่องทั้งหมดเหล่านี้มา แต่มันก็ช่วยให้ฉันเข้าใจความเสื่อมทรามของฉันเองมากขึ้น แก้ไขมุมมองผิดๆ ที่ฉันอยากได้พร ฉันเข้าใจแล้วว่า ควรไล่ตามเสาะหาความจริง นบนอบ ทำหน้าที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ตอนนี้ฉันไล่ตามเสาะหาถูกสิ่งค่ะ การป่วยคือพระพรอย่างหนึ่งค่ะ ฉันไม่มีทางได้รับสิ่งเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมที่สุขสบายค่ะ ขอบคุณความรอดของพระเจ้า!