มีเพียงการรู้จักตนเองเท่านั้นที่ช่วยในการไล่ตามเสาะหาความจริง

มีผู้คนบางคนที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เล็กน้อยหลังจากที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีและได้เข้าร่วมการเทศนามาหลายครั้งแล้ว  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถท่องคำพูดและคำสอนบางคำที่ฟังดูเหมือนล้วนแต่คล้อยตามความจริง  แต่ถึงกระนั้นเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริง พวกเขาไม่สามารถทำแม้แต่หนึ่งสิ่งที่ตรงตามความจริงได้  อาจพูดได้อีกด้วยว่าในช่วงหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ พวกเขายังไม่ได้ทำแม้แต่สิ่งเดียวเพื่อคุ้มครองงานของคริสตจักรหรือกระทำการที่เป็นธรรมแม้แต่อย่างเดียว  เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไร?  แม้ว่าพวกเขาสามารถพ่นคำพูดและคำสอนบางคำได้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมการรู้จักตนเองของตน สิ่งแรกที่ออกจากปากของพวกเขาคือ “ฉันเป็นมาร เป็นซาตานที่มีชีวิต เป็นใครบางคนที่ขัดขืนพระเจ้า  ฉันกบฏต่อพระองค์และทรยศพระองค์ ฉันเป็นงูพิษ เป็นคนชั่วที่ควรถูกสาปแช่ง”  นี่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริงหรือไม่? พวกเขาได้แต่พูดสรุปแบบเหมารวมเท่านั้น  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยกตัวอย่าง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เปิดเผยสิ่งที่น่าละอายที่พวกเขาเคยทำออกมาเพื่อการชำแหละ?  ผู้คนบางคนที่ไม่รู้จักแยกแยะได้ยินสิ่งเหล่านี้แล้วก็คิดว่า “เอาละ นั่นคือการรู้จักตนเองที่แท้จริง!  การรู้จักตนเองว่าเป็นมาร และถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง—พวกเขาช่างประสบความสำเร็จมากเสียจริง!”  ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชื่อรายใหม่ๆ โน้มเอียงที่จะถูกการสนทนานี้ชักพาให้หลงผิด  พวกเขาคิดว่าผู้พูดปราศจากราคีและมีความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ คิดว่านี่คือใครบางคนที่รักความจริง และมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้สักชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น บุคคลผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาเคยจินตนาการเอาไว้ แต่กลับเทียมเท็จและหลอกลวงเป็นพิเศษ มีทักษะในการปลอมแปลงตนและการเสแสร้งแกล้งทำ ซึ่งถือเป็นความผิดหวังอันใหญ่หลวง  ผู้คนสามารถถือว่ารู้จักตนเองอย่างแท้จริงบนพื้นฐานใด?  เจ้าจะพิจารณาแต่สิ่งที่พวกเขาพูดไม่ได้—กุญแจสำคัญคือการพิจารณาว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติและยอมรับความจริงได้หรือไม่  สำหรับบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาไม่เพียงแค่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริง  พวกเขาไม่เพียงแค่พูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงของตนเท่านั้น แต่ยังสามารถทำสิ่งที่พวกเขาพูดได้อย่างแท้จริงด้วย  กล่าวคือ คำพูดและการกระทำของพวกเขาตรงกันอย่างสมบูรณ์  หากสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูสอดคล้องกันและน่าพอใจ แต่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่ดำเนินชีวิตตามสิ่งนั้น เช่นนั้นแล้วในการนี้พวกเขาย่อมกลายเป็นพวกฟาริสีไปแล้ว พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด และแน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ผู้คนมากมายดูเหมือนพูดจาสอดคล้องกันเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมความจริง แต่กลับไม่ตระหนักเวลาที่พวกเขามีการเปิดเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เหล่านี้ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองหรือไม่?  หากผู้คนไม่รู้จักตนเอง พวกเขาใช่ผู้คนที่เข้าใจความจริงหรือไม่?  ทุกคนที่ไม่รู้จักตนเองคือผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริง และทุกคนที่กล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่าเกี่ยวกับการรู้จักตนเองก็มีความเป็นจิตวิญญาณที่เทียมเท็จ พวกเขาเป็นคนโกหก  ผู้คนบางคนดูเหมือนพูดจาสอดคล้องกันมากเวลาที่พวกเขากล่าวคำพูดและคำสอน แต่สภาวะในจิตวิญญาณของพวกเขาด้านชาและปัญญาทึบ พวกเขาไม่รับรู้ และพวกเขาก็ไม่ตอบสนองต่อประเด็นปัญหาใดๆ  อาจพูดได้ว่าพวกเขาด้านชา แต่บางครั้งเมื่อรับฟังพวกเขาพูด จิตวิญญาณของพวกเขาก็ดูเหมือนเฉียบแหลมทีเดียว  ตัวอย่างเช่น ทันทีหลังจากอุบัติการณ์ พวกเขาก็สามารถรู้จักตนเองได้ทันทีว่า “เพิ่งตะกี้นี้เองที่แนวคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในตัวฉัน  ฉันคิดเรื่องนั้นแล้วก็ตระหนักว่านั่นเป็นการหลอกลวง ตอนนั้นฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้า”  ผู้คนบางคนที่ไม่รู้จักแยกแยะอิจฉาเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้และพูดว่า “คนคนนี้ตระหนักในทันทีในเวลาที่พวกเขามีการเปิดเผยถึงความเสื่อมทราม และสามารถเปิดอกสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้เช่นกัน  พวกเขาตอบสนองเร็วมาก จิตวิญญาณของพวกเขาเฉียบแหลม พวกเขาเก่งกว่าพวกเรามาก  นี่คือใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง”  นี่ใช่หนทางที่ถูกต้องแม่นยำในการประเมินวัดผู้คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วสิ่งใดควรเป็นพื้นฐานสำหรับการประเมินวัดว่าผู้คนรู้จักตนเองจริงๆ หรือไม่?  นั่นต้องไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาเท่านั้น  เจ้ายังต้องดูที่สิ่งที่สำแดงในตัวพวกเขาจริงๆ ด้วย  วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดคือการดูว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด  ความสามารถของพวกเขาในการปฏิบัติความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง เพราะบรรดาผู้ที่รู้จักตนอย่างแท้จริงสำแดงการกลับใจใหม่ และมีเพียงเมื่อผู้คนสำแดงการกลับใจใหม่แล้วเท่านั้นพวกเขาจึงจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งอาจรู้ว่าเขาเป็นคนหลอกลวง เขาเต็มไปด้วยกลอุบายและแผนร้ายอันต่ำช้า และพวกเขายังอาจสามารถบอกได้อีกด้วยเวลาที่ผู้อื่นเผยให้เห็นความหลอกลวง  ดังนั้นเจ้าจึงควรดูว่าพวกเขากลับใจและสลัดทิ้งความหลอกลวงของตนอย่างแท้จริงหรือไม่หลังจากยอมรับว่าตนเป็นคนหลอกลวง  และหากพวกเขาเผยให้เห็นความหลอกลวงอีกครั้ง จงดูว่าพวกเขารู้สึกถึงการตำหนิและสำนึกของความละอายด้วยเหตุที่ได้ทำเช่นนั้นไปหรือไม่ ดูว่าพวกเขารู้สึกผิดอย่างจริงใจหรือไม่  หากพวกเขาไม่มีสำนึกของความละอายเลย นับประสาอะไรกับการกลับใจใหม่ เช่นนั้นแล้วการรู้จักตนเองของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ลวกๆ ผ่านๆ  พวกเขาก็แค่ทำอย่างขอไปที ความรู้ของพวกเขาไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง  พวกเขาไม่รู้สึกว่าการหลอกลวงเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายนักหรือว่าเป็นสิ่งเยี่ยงปีศาจ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่าการหลอกลวงช่างเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความละอายและสามานย์  พวกเขาคิดว่า “ผู้คนล้วนแต่หลอกลวง  คนพวกเดียวเท่านั้นที่ไม่หลอกลวงก็คือคนโง่เขลา  การหลอกลวงเล็กน้อยไม่ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี  ฉันยังไม่ได้ทำชั่วเลย ฉันไม่ใช่คนที่หลอกลวงที่สุดข้างนอกนั่น”  บุคคลเช่นนั้นสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่สามารถ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันหลอกลวงของตนเลย พวกเขาไม่ชิงชังการหลอกลวง และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการรู้จักตนเองก็คือการเสแสร้งแกล้งทำและการพูดคุยที่ว่างเปล่า  การไม่สำนึกถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  เหตุผลที่ผู้คนที่หลอกลวงไม่สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงก็คือ สำหรับพวกเขาแล้วการยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาสามารถพ่นคำพูดและคำสอนได้มากเพียงใด พวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

คนเราสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งรักความจริงหรือไม่?  ในแง่มุมหนึ่ง คนเราต้องดูว่าบุคคลนี้สามารถทำความเข้าใจตนเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ พวกเขาสามารถทบทวนตัวเองและรู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ในอีกแง่มุมหนึ่ง คนเราก็ต้องดูว่าพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่  หากพวกเขายอมรับและปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่รักความจริงและสามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  หากพวกเขาเพียงแค่รู้จักความจริง แต่ไม่เคยยอมรับหรือปฏิบัติความจริงอย่างที่คนบางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด แต่ฉันไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้” นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่รักความจริง  ผู้คนบางคนยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยังพูดอีกด้วยว่าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจและเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หลังจากนั้นกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  คำพูดและการกระทำของพวกเขายังคงเป็นเหมือนก่อน  เวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง ดูราวกับพวกเขากำลังเล่าเรื่องตลกหรือโห่ร้องคำขวัญ  พวกเขาไม่ทบทวนหรือทำความเข้าใจตัวเองในห้วงลึกของหัวใจตนเลยแม้แต่น้อย ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือพวกเขาไม่มีท่าทีของการสำนึกผิด  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ยอมเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อทบทวนตัวเองอย่างแท้จริง  ตรงกันข้าม พวกเขากลับกำลังเสแสร้งแกล้งทำเป็นรู้จักตนเองด้วยการทำเป็นขั้นเป็นตอนอย่างขอไปที  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองหรือยอมรับความจริงโดยแท้จริง  เมื่อผู้คนเช่นนั้นพูดถึงการรู้จักตนเอง พวกเขากำลังทำอย่างขอไปที พวกเขากำลังทำการอำพรางตนและหลอกลวง รวมทั้งมีความเป็นฝ่ายวิญญาณเทียมเท็จ  ผู้คนบางคนเป็นคนหลอกลวง และเมื่อพวกเขาเห็นผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเอง พวกเขาก็คิดว่า “คนอื่นเปิดเผยและชำแหละการหลอกลวงของตนเองกันทุกคน  หากฉันไม่พูดอะไรเลย ทุกคนก็จะคิดว่าฉันไม่รู้จักตัวเอง  เช่นนั้นฉันก็จะต้องทำพอเป็นพิธี!”  หลังจากนั้นพวกเขาก็บรรยายถึงการหลอกลวงของตนเองว่าร้ายแรงอย่างมหันต์ แสดงให้เห็นการหลอกลวงของตนเองอย่างเร้าใจ และการรู้จักตนเองของพวกเขาก็ดูลุ่มลึกอย่างยิ่ง  ทุกคนที่ได้ยินย่อมรู้สึกว่าพวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง ฉะนั้นจึงมองพวกเขาด้วยความอิจฉา ซึ่งส่งผลให้พวกเขารู้สึกราวกับตนเองน่าสรรเสริญ ราวกับพวกเขาเพิ่งประดับประดาตนเองด้วยรัศมี  การรู้จักตนเองในลักษณะที่สัมฤทธิ์ได้โดยการทำอย่างขอไปที ควบคู่กับไปการอำพรางตนและการหลอกลวงของพวกเขานี้ ชักพาผู้อื่นให้หลงเชื่อ  เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ มโนธรรมของพวกเขาจะผ่อนคลายได้หรือไม่?  นี่ไม่ใช่แค่การหลอกลวงอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ?  หากผู้คนเพียงพูดอย่างไร้ความหมายเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง ไม่สำคัญว่าความรู้นั้นจะสูงส่งหรือดีเพียงใด หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่อไป เหมือนที่พวกเขาเคยทำมาก่อน โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  หากผู้คนสามารถจงใจเสแสร้งแกล้งทำและหลอกลวงในหนทางนี้ได้ นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และเป็นเหมือนพวกผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีผิด  ด้วยการพูดถึงการรู้จักตนเองของพวกเขาในหนทางนี้ พวกเขาก็แค่กำลังทำตามกระแสนิยมและพูดอะไรก็ตามที่เหมาะสมกับรสนิยมของทุกคนอยู่เท่านั้น  การรู้จักและการชำแหละตัวเองของพวกเขาไม่เป็นการหลอกลวงหรอกหรือ?  นี่ใช่การรู้จักตนเองอันจริงแท้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้กำลังเปิดเผยและชำแหละตัวเองจากหัวใจ และพวกเขาก็แค่กำลังพูดถึงการรู้จักตนเองในหนทางเทียมเท็จและหลอกลวงเพื่อทำอย่างขอไปทีเท่านั้น  ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาจงใจพูดเกินจริงเพื่อทำให้ปัญหาของตนดูร้ายแรงยิ่งขึ้นยามที่เสวนาเรื่องการรู้จักตนเอง โดยรวมเจตนาและเป้าหมายส่วนตัวเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและอิจฉาพวกเขา  ในเวลาที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาไม่รู้สึกเป็นหนี้ มโนธรรมของพวกเขาไม่ถูกตำหนิติเตียนหลังจากที่พวกเขาอำพรางตนและกระทำการหลอกลวง พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหลังจากหลอกลวงและเป็นกบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตน  ผู้คนเช่นนี้ไม่ดื้อแพ่งหรอกหรือ?  หากพวกเขาไม่รู้สึกเป็นหนี้ พวกเขาจะรู้สึกสำนึกผิดได้หรือ?  ใครบางคนที่ปราศจากการสำนึกผิดที่แท้จริงสามารถขัดขืนเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงได้หรือ?  ใครบางคนที่ปราศจากการสำนึกผิดที่แท้จริงสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้  หากพวกเขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด การพูดถึงการรู้จักตนเองไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่แค่การอำพรางตนและการหลอกลวงหรอกหรือ?  หลังจากโกหกและหลอกลวงแล้ว ผู้คนบางคนสามารถตระหนักถึงการนั้นและรู้สึกสำนึกผิด  เพราะพวกเขามีสำนึกของความละอาย พวกเขาจึงรู้สึกอับอายที่จะยอมรับกับผู้อื่นถึงความเสื่อมทรามของตนอย่างเปิดเผย แต่พวกเขาสามารถอธิษฐานและเปิดใจตนเองต่อพระเจ้า  พวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ และหลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง  นี่ก็เป็นบุคคลที่รู้จักตนเองและกลับใจได้อย่างแท้จริงเช่นกัน  ใครก็ตามที่กล้าพอที่จะยอมรับกับผู้อื่นว่าพวกเขาโกหกและหลอกลวงเรื่อยมา ทั้งยังสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและเปิดเผยตนเอง ยอมรับการเผยความเสื่อมทรามของตน ย่อมเป็นใครบางคนที่สามารถรู้จักตนเองและกลับใจได้อย่างแท้จริง  หลังจากการอธิษฐานและการแสวงหาความจริงผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็พบเส้นทางของการปฏิบัติและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง  แม้ทุกคนมีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกัน และทุกคนก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงจึงมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนบางคนชื่นชมการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมุ่งความสนใจไปที่การทบทวนตัวเองหลังจากเชื่อในพระเจ้า  เมื่อพวกเขามองเห็นการเผยความเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็รู้สึกว่าตนติดค้างพระเจ้าและมักจะรับวิธีการต่างๆ ในการยับยั้งชั่งใจมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโกหกและการหลอกลวงของตน  แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงโกหกและทำการหลอกลวงอยู่เนืองนิจโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้  ตอนนั้นนั่นเองที่พวกเขาตระหนักว่าปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการยับยั้งชั่งใจ  ดังนั้นพวกเขาจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า อธิบายความลำบากยากเย็นของตนต่อพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากข้อจำกัดควบคุมของธรรมชาติที่เป็นบาปและอิทธิพลของซาตาน เพื่อที่จะบรรลุความรอดของพระเจ้า  หลังจากผ่านไปสักพักก็จะมีผลลัพธ์บางอย่าง แต่ไม่มีการแก้ปัญหาอันเป็นรากฐานของการโกหกและการหลอกลวงของพวกเขา  แล้วในที่สุดพวกเขาจึงตระหนักว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้หยั่งรากลงในหัวใจของพวกเขามานานแล้ว โดยเจาะทะลุเข้าไปถึงแก่นของพวกเขา  ธรรมชาติของมนุษย์คือธรรมชาติเยี่ยงซาตาน  ด้วยการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าและการได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการผูกมัดและข้อจำกัดควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้  เมื่อพระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งและนำทางพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงจะมองเห็นห้วงลึกของความเสื่อมทรามของตน และระลึกรู้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจริงๆ แล้วก็คือผู้สืบสันดานของซาตาน และหากไม่เป็นเพราะพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้า ทุกคนก็คงจะทนทุกข์กับความพินาศและการทำลายล้าง  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมองเห็นว่าการที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดโดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร  หลังจากได้รับประสบการณ์กับการนี้ พวกเขาย่อมสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าจากหัวใจของตน และเริ่มเกิดความสำนึกผิดอย่างแท้จริงในหัวใจ  บัดนี้พวกเขามีการตระหนักรู้และเริ่มที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ส่วนพวกที่ขาดพร่องการตระหนักรู้ในหัวใจของตนนั้นอาจเรียนรู้ที่จะกล่าวคำพูดฝ่ายวิญญาณบางคำและคำพูดที่มีเหตุผลบางคำได้เช่นกัน  พวกเขาเก่งกาจเป็นพิเศษในการท่องวลีเด็ดที่พวกที่เรียกกันว่า “คนเคร่งศรัทธา” ทวนซ้ำอยู่เนืองนิจ และคำพูดเหล่านี้ก็ฟังดูจริงใจมาก หลอกลวงผู้ที่รับฟังตนจนเสียน้ำตาได้  ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงชอบและเคารพนับถือพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้มีมากมายหรือไม่?  นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกัน?  นี่ไม่ใช่พวกฟาริสีหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนที่หลอกลวงที่สุด  เมื่อพบเจอใครบางคนที่เป็นเช่นนี้ครั้งแรก ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงอาจคิดว่าคนคนนี้มีความเป็นฝ่ายวิญญาณสูง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกคนคนนี้เป็นผู้นำ  ผลลัพธ์คือในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี คนคนนี้ก็ทำให้ผู้คนที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะทั้งหมดนี้มาอยู่ข้างเดียวกับเขา  พวกเขาห้อมล้อมคนคนนี้ แสดงความเห็นชอบและความชื่นชมของตน ขอคำแนะนำจากเขาเมื่อใดก็ตามที่เกิดบางสิ่งขึ้น และถึงขั้นเลียนแบบน้ำเสียงในการพูดของเขา  บรรดาผู้ที่ติดตามเขาเรียนรู้วิธีพ่นคำพูดและคำสอน พวกเขาเรียนรู้การหลอกลวงผู้คนและพระเจ้า แต่ผลก็คือเมื่อบททดสอบมาถึงจริงๆ พวกเขาล้วนแต่คิดลบและอ่อนแอ  พวกเขากังขาและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของตน ไม่แสดงให้เห็นความเชื่อแม้แต่น้อยนิด  นี่เป็นผลลัพธ์จากการเคารพบูชาและทำตามคนคนหนึ่ง  ทั้งๆ ที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีและสามารถพูดคำสอนฝ่ายวิญญาณได้มากมาย พวกเขากลับไม่มีความเป็นจริงความจริงใดเลย  พวกเขาล้วนถูกพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดคนหนึ่งชักพาให้หลงผิดและทำให้หลงใหล  พวกที่ไม่สามารถแยกแยะย่อมถูกหลอกลวงและเลือกเส้นทางที่ผิดได้โดยง่ายมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ย่อมเลอะเลือน และพวกเขาก็ล้วนแต่ถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่ายเกินไป!

ในการเรียนรู้การมีวิจารณญาณ คนเราต้องเรียนรู้วิธีทบทวนและแยกแยะปัญหาของตนเองเป็นอันดับแรก  ในตัวทุกคนมีความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก และการมีอำนาจแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การปฏิบัติตนตามอำเภอใจได้  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนเห็นว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งทีเดียว และสิ่งนี้ก็อาจรับรู้ได้ในชั่วพริบตา แต่อะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นที่ไม่ง่ายที่จะสังเกตเห็น หรือเป็นอุปนิสัยที่ผู้คนรับรู้ได้ไวน้อยกว่า และอุปนิสัยใดยากที่จะตรวจพบในตัวเองหรือในตัวผู้อื่น?  (ฉันไม่รับรู้ไวต่อการหลอกลวง)  ความไม่รับรู้ไวต่อการหลอกลวง แล้วอะไรอีก?  (ความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ)  ความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ  ตัวอย่างเช่น มีผู้คนบางคนที่ทำบางสิ่งบางอย่างและกล่าวอ้างว่าพวกเขาทำสิ่งนั้นเพราะคำนึงถึงผู้อื่น โดยใช้การนี้เป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน  แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาทำสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์ของการไม่ให้ตัวเองต้องเดือดร้อนลำบาก ซึ่งเป็นเหตุจูงใจที่ผู้อื่นไม่ตระหนักรู้ และเป็นสิ่งที่ยากที่จะตรวจพบ  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอื่นใดที่ตรวจพบได้ยากที่สุด?  (การเป็นคนหน้าซื่อใจคด)  นั่นคือการทำบางสิ่งที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เพื่อได้รับการสรรเสริญโดยที่ภายนอกนั้นดูว่าเป็นคนดี แต่ภายในนั้นซ่อนเร้นปรัชญาเยี่ยงซาตานและเหตุจูงใจแอบแฝง  นี่คืออุปนิสัยอันหลอกลวงอย่างหนึ่ง  การนี้ง่ายที่จะแยกแยะหรือไม่?  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำและผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่สามารถแยกแยะบุคคลจำพวกนี้ได้  มีผู้นำและคนทำงานบางคนพูดอย่างชัดเจนและมีตรรกะในตอนที่แก้ปัญหา ราวกับพวกเขามองทะลุปรุโปร่งถึงประเด็นปัญหานั้นแล้ว แต่เมื่อพวกเขาพูดเสร็จแล้วปัญหานั้นก็ยงคงไม่ได้รับการแก้ไข  พวกเขาถึงขั้นทำให้เจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขแล้ว นี่ไม่ใช่การหลอกลวงและการชักพาผู้คนให้หลงผิดหรอกหรือ?  พวกที่ไม่ลงมือกระทำการจริงๆ เวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน รวมทั้งพวกที่กล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่าและสละสลวยอย่างท่วมท้นล้วนแต่เป็นคนหน้าซื่อใจคด  พวกเขาฉลาดแกมโกงและเคี้ยวคดมากเกินไป  หลังจากสมาคมกับบุคคลประเภทนี้เป็นเวลานาน พวกเจ้าสามารถแยกแยะพวกเขาได้หรือไม่?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี?  อะไรคือสาเหตุรากเหง้า?  พูดอย่างชัดเจนก็คือ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้คนที่รังเกียจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง  พวกเขาชอบที่จะใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานมากกว่า คิดว่านี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาดูสว่างสุกใสและน่าดึงดูดใจ และทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาด้วย  ผู้คนเช่นนี้ไม่กลิ้งกลอกและหลอกลวงหรอกหรือ?  ในไม่ช้าพวกเขาก็คงจะตายมากกว่าที่จะยอมรับความจริง ใครบางคนเช่นนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ?  ผู้คนบางคนสามารถยอมรับการกระทำผิดของตนด้วยวาจาเมื่อเผชิญหน้ากับการถูกตัดแต่ง แต่กลับขัดขืนในหัวใจของตนว่า “ต่อให้สิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่นั้นถูกต้อง ฉันก็จะไม่ยอมรับสิ่งนั้น  ฉันจะสู้กับคุณไปจนถึงที่สุด!”  พวกเขาปลอมแปลงตัวเองดีทีเดียว พูดว่าพวกเขายอมรับ แต่ในหัวใจของตนนั้นพวกเขากลับไม่ยอมรับ  นี่ก็เป็นอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงเช่นกัน  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอื่นใดอีกยากที่จะตรวจพบและสังเกตเห็น?  การดื้อแพ่งไม่ยากที่จะพบเห็นหรอกหรือ?  การดื้อแพ่งคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ค่อนข้างซ่อนเร้นเช่นกัน  การดื้อแพ่งมักจะสำแดงเป็นความดึงดันที่ดื้อด้านในทรรศนะและความลำบากยากเย็นของคนเราเองในการยอมรับความจริง  ไม่สำคัญว่าผู้อื่นพูดโดยเป็นไปตามความจริงอย่างไร คนที่ดื้อแพ่งก็ยังคงยึดมั่นในหนทางของตนเองอยู่ดี  คนที่มีอุปนิสัยอันดื้อแพ่งมีแววที่จะยอมรับความจริงน้อยที่สุด  ผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงมักจะซ่อนเร้นอุปนิสัยอันดื้อแพ่งจำพวกนี้ไว้ภายในตัวพวกเขาเอง  เมื่อผู้คนยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างภายในตัวพวกเขาเองอย่างดื้อด้านหรือมีท่าทีของการยืนกรานกับความปรารถนาส่วนตนของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบ  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือ?  การไม่รักความจริงและการรังเกียจความจริงยากที่จะตรวจพบ  ความเลวทรามยากที่จะตรวจพบ  สิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะตรวจพบคือความโอหังและการหลอกลวง แต่สิ่งอื่นๆ—การดื้อแพ่ง การรังเกียจความจริง ความเลวทราม ความชั่ว—ล้วนแต่ยากที่จะตรวจพบ  สิ่งที่ยากที่สุดที่จะตรวจพบคือความชั่ว เพราะความชั่วได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้วและพวกเขาก็เริ่มที่จะเชิดชูความชั่ว และแม้แต่ความชั่วที่มากขึ้นก็จะไม่ดูเหมือนชั่วสำหรับพวกเขา  ดังนั้นอุปนิสัยอันชั่วจึงตรวจพบได้ยากกว่าอุปนิสัยอันดื้อแพ่งมากขึ้นไปอีก  ผู้คนบางคนพูดว่า “นั่นไม่ง่ายที่จะตรวจพบได้อย่างไร?  ผู้คนล้วนแต่มีตัณหาที่ชั่ว  นั่นไม่ใช่ความชั่วหรอกหรือ?”  นั่นเป็นเรื่องผิวเผิน  อะไรคือความชั่วที่แท้จริง?  สภาวะใดคือสภาวะที่ชั่วเวลาที่สภาวะเหล่านั้นสำแดงออกมา?  เวลาที่ใช้ผู้คนคำกล่าวที่ฟังดูสูงส่งเพื่อซ่อนเร้นเจตนาที่ชั่วและน่าละอายซึ่งฝังอยู่ในห้วงลึกของหัวใจของตน แล้วจึงทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าคำกล่าวเหล่านี้ดีมาก ไม่มีลับลมคมใน และถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และในท้ายที่สุดแล้วก็สัมฤทธิ์เหตุจูงใจแอบแฝงของตน นั่นใช่อุปนิสัยอันชั่วหรือไม่?  เหตุใดจึงเรียกการนี้ว่าการเป็นคนชั่วและไม่เรียกว่าการเป็นคนหลอกลวง?  ในแง่ของอุปนิสัยและแก่นแท้ ความหลอกลวงไม่ได้แย่ขนาดนั้น  การเป็นคนชั่วร้ายแรงกว่าการเป็นคนหลอกลวง การเป็นคนชั่วเป็นพฤติกรรมที่เคลือบแฝงและสามานย์กว่าความหลอกลวง และเป็นเรื่องยากที่บุคคลปกติทั่วไปจะมองทะลุปรุโปร่งถึงเรื่องนี้  ตัวอย่างเช่น งูใช้คำพูดประเภทใดเพื่อชักนำเอวา?  คำพูดสร้างภาพตบตาที่ฟังดูถูกต้องและดูเหมือนพูดเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เจ้าไม่ตระหนักรู้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติกับคำพูดเหล่านี้หรือมีเจตนาอันมุ่งร้ายใดๆ เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ และในเวลาเดียวกันเจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากคำแนะนำเหล่านี้ที่เอ่ยโดยซาตาน  นี่เป็นการทดลอง  เมื่อเจ้าถูกทดลองและเจ้ารับฟังคำพูดประเภทเหล่านี้ เจ้าย่อมอดไม่ได้ที่จะถูกชักนำและมีแววว่าเจ้าจะตกหลุมพราง ด้วยการนั้นจึงเป็นการสัมฤทธิ์เป้าหมายของซาตาน  นี่เรียกว่าความชั่ว  งูใช้วิธีการนี้เพื่อชักนำเอวา  นี่ใช่อุปนิสัยประเภทหนึ่งหรือไม่?  (ใช่)  อุปนิสัยประเภทนี้มาจากไหน?  อุปนิสัยประเภทนี้มาจากงู จากซาตาน  อุปนิสัยอันชั่วประเภทนี้ดำรงอยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์  ความชั่วนี้ไม่แตกต่างจากตัณหาที่ชั่วของผู้คนหรอกหรือ?  ตัณหาที่ชั่วเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง  ความชั่วที่แท้จริงคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างดิ่งลึก ซึ่งไม่สามารถแยกแยะได้อย่างสิ้นเชิงสำหรับผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่ามกลางอุปนิสัยของมนุษย์เรื่องนี้จึงยากที่สุดที่จะตรวจพบ  อุปนิสัยที่ชั่วร้ายแรงที่สุดในตัวบุคคลประเภทใด?  พวกที่ชอบฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่น  พวกเขาเป็นเลิศในการบงการมากเหลือเกินกระทั่งผู้คนที่พวกเขาบงการไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น  บุคคลประเภทนี้มีอุปนิสัยอันชั่ว  ผู้คนที่ชั่วใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อปิดบังการหลอกลวงของตน ปกปิดบาปของตน และซ่อนเร้นเจตนาแอบแฝง เป้าหมาย และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนบนพื้นฐานของความหลอกลวง  นี่เป็นความเลว  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะใช้วิธีการนานาสารพันเพื่อชักนำ ทดลอง และล่อลวง ทำให้เจ้าติดตามความปรารถนาของพวกเขาและตอบสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขา  นี่ล้วนแต่ชั่ว  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานแท้ๆ  พวกเจ้าเคยแสดงพฤติกรรมใดแบบนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยแสดงอุปนิสัยอันชั่วแง่มุมใดมากกว่ากัน กล่าวคือ การทดลอง การชักนำ หรือการใช้คำโกหกเพื่อปิดบังคำโกหกอื่นๆ?  (ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนเคยแสดงทั้งหมดนั้นเล็กน้อย)  เจ้ารู้สึกเหมือนเคยแสดงทั้งหมดนั้นเล็กน้อย  กล่าวคือในระดับทางอารมณ์เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้าทั้งเคยแสดงและไม่เคยแสดงพฤติกรรมเหล่านี้  เจ้าไม่สามารถคิดหาหลักฐานได้  เช่นนั้นแล้วในชีวิตประจำวันของเจ้า หากเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันชั่วเมื่อเผชิญกับบางสิ่งบางอย่าง เจ้าตระหนักถึงสิ่งนั้นหรือไม่?  อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ภายในอุปนิสัยของทุกคน  ตัวอย่างเช่น มีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้น ดังนั้นเจ้าจึงใช้วิธีการนานาสารพันเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิดคิดว่าเจ้าเข้าใจ  นี่เป็นการฉ้อโกง  การฉ้อโกงแบบนี้คือการสำแดงถึงความชั่ว  ยังมีการทดลองและการชักนำอีกด้วย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสำแดงถึงความชั่ว  พวกเจ้าทดลองผู้อื่นบ่อยครั้งหรือไม่?  หากพวกเจ้ากำลังพยายามที่จะเข้าใจใครบางคนอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต้องการสามัคคีธรรมกับพวกเขา และนั่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานของตนและเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสม นี่ไม่นับเป็นการทดลอง  แต่หากพวกเจ้ามีเจตนาและจุดประสงค์ส่วนตัว และพวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเข้าใจอุปนิสัย การไล่ตามเสาะหา และความรู้ของบุคคลนี้จริงๆ แต่ในทางกลับกันต้องการที่จะสกัดความคิดส่วนที่อยู่ลึกที่สุดและความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขาออกมา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเรียกว่าความชั่ว การทดลอง และการชักนำ  หากเจ้าทำเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีอุปนิสัยอันชั่ว นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเร้นหรอกหรือ?  อุปนิสัยประเภทนี้ง่ายที่จะเปลี่ยนหรือไม่?  หากเจ้าสามารถแยกแยะได้ว่าอุปนิสัยแต่ละแง่มุมของเจ้ามีการสำแดงใด อุปนิสัยเหล่านั้นมักจะทำให้เกิดสภาวะใด และทำให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับตัวเจ้าเอง รู้สึกว่าอุปนิสัยประเภทนี้เลวร้ายและเป็นภัยอันตรายเพียงใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกมีภาระที่จะเปลี่ยนแปลงในแง่มุมนี้ และเจ้าย่อมจะสามารถกระหายพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้  ตอนนั้นเองที่เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงและรับความรอดไว้ได้  แต่หากหลังจากทำให้สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องต้องกันแล้วเจ้าก็ยังคงไม่กระหายความจริง ไม่มีการเป็นหนี้หรือการกล่าวหาใดเลย—นับประสาอะไรกับการกลับใจใหม่ใดๆ—และไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเปลี่ยนแปลง  และความเข้าใจก็จะไม่ช่วย เพราะทั้งหมดที่เจ้าจะเข้าใจเป็นแค่เพียงคำสอนเท่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใดของความจริง หากความเข้าใจของเจ้าหยุดอยู่ที่ระดับของคำสอนและไม่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ของเจ้า ย่อมจะไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับคำสอนที่เจ้าเข้าใจ  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะไม่ตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนรวมทั้งไม่กลับใจต่อพระเจ้าและสารภาพ และเจ้าก็จะไม่รู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าและไม่เกลียดตัวเอง ดังนั้นเจ้าย่อมจะมีโอกาสเป็นศูนย์ที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าตระหนึกถึงว่าปัญหาของตนร้ายแรงเพียงใด แต่เจ้าไม่ใส่ใจและไม่เกลียดตัวเอง ยังคงรู้สึกค่อนข้างด้านชาและนิ่งดูดายอยู่ข้างใน ไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และไม่อธิษฐานถึงพระองค์หรือพึ่งพาพระองค์เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง และจะไม่ได้รับความรอด

อะไรคือเงื่อนไขสำหรับการได้รับการช่วยให้รอด?  อันดับแรกเลยก็คือ คนเราต้องเข้าใจความจริงและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าอย่างเต็มใจ  จากนั้นพวกเขาต้องมีเจตจำนงที่จะให้ความร่วมมือ และสามารถขัดขืนตัวเองและเต็มใจที่จะปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวเอง  ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวรวมถึงอะไรบ้าง?  ความมีหน้ามีตา สถานะ ความฟุ้งเฟ้อ แง่มุมนานาสารพันของผลประโยชน์ของตัวเอง ตลอดจนแผน ความอยากได้อยากมี ความสำเร็จในอนาคต บั้นปลายของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนหรืออนาคต—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ถูกรวมไว้ในที่นี้  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ สัมฤทธิ์การฝ่าพ้นในอุปนิสัยเหล่านั้นทีละอย่าง ละทิ้งอุปนิสัยเหล่านั้นไปทีละน้อย เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติความจริงย่อมจะง่ายขึ้นทุกทีสำหรับเจ้า และเจ้าย่อมจะไปถึงสภาวะแห่งการนบนอบพระเจ้า  วุฒิภาวะของเจ้าย่อมจะค่อยๆ เติบโต  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถละทิ้งและรู้เท่าทันถึงความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวเหล่านี้ทีละน้อย อุปนิสัยของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลง  พวกเจ้าไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่ระดับใดแล้วในขณะนี้?  จากการเฝ้าสังเกตของเรา ในแง่ของความเป็นจริงความจริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  แล้ววุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าคืออะไร และพวกเจ้ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะใด?  พวกเจ้าส่วนใหญ่ถูกหยุดไว้ที่ระดับของการปฏิบัติหน้าที่ และยังคงเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ช่วงระยะนี้ว่า “ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันหรือไม่?  ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีได้อย่างไร?  การปฏิบัติหน้าที่ของฉันในหนทางนี้เป็นแบบสุกเอาเผากินหรือไม่?”  บางครั้งเวลาที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นแบบสุกเอาเผากินเป็นพิเศษ เจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิในหัวใจของตน  เจ้าจะรู้สึกเหมือนเจ้าติดค้างพระเจ้า รู้สึกว่าเจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ถึงขั้นร้องไห้คร่ำครวญและแสดงความปรารถนาของตนกับพระเจ้าในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อชดใช้คืนให้กับความรักของพระองค์  แต่อีกสองวันถัดมา เจ้าก็กลายเป็นคิดลบอีกครั้ง ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป  เจ้าไม่สามารถผ่านช่วงระยะนี้ไปได้เลย  นี่ใช่การมีวุฒิภาวะหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างจงรักภักดี ความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยสุดใจและสุดความคิดของพวกเจ้า และความจำเป็นที่จะต้องนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเจ้าสามารถรับเอาหน้าที่ของพวกเจ้าไว้เป็นภารกิจของตัวเอง ทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีโดยปราศจากข้อเรียกร้อง โดยปราศจากการพร่ำบ่น และโดยปราศจากการทำการเลือกของตัวเอง เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมสัมฤทธิ์วุฒิภาวะบางอย่างแล้ว  พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีอยู่เสมอ  เหตุใดพวกเราจึงต้องสามัคคีธรรมการนี้่อยู่ต่อไป?  เพราะผู้คนไม่รู้วิธีปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรม พวกเขายังไม่เข้าใจความจริงนานาสารพันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถ้วนทั่ว อีกทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจความจริงและยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริง  ผู้คนบางคนเข้าใจเพียงแค่คำสอนบางคำเท่านั้น แต่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหรือเข้าสู่คำสอนเหล่านั้น ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์และความเหนื่อยล้า ละโมบต่อการสุขสบายฝ่ายเนื้อหนังอยู่เสมอ ยังคงมีทางเลือกของตัวเองมากเกินไป ไม่สามารถปล่อยวางได้ และไม่วางใจมอบหมายตัวเองในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างสุดใจ  พวกเขายังคงมีแผนและข้อเรียกร้องของตัวเอง ความปรารถนา ความคิด และความสำเร็จในอนาคตส่วนตัวของพวกเขายังคงครอบงำและสามารถควบคุมพวกเขา กล่าวคือ “หากฉันปฏิบัติหน้าที่นี้ ฉันจะมีความสำเร็จในอนาคตที่ดีในเบื้องหน้าหรือไม่?  มีทักษะใดที่ฉันสามารถเรียนรู้จากการนี้ได้หรือไม่?  ในอนาคตฉันจะสัมฤทธิ์สิ่งใดในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?”  การไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ การพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเมื่อการปฏิบัติหน้าที่ยากลำบากเล็กน้อย เหน็ดเหนื่อย หรือขาดพร่องความชื่นชมยินดี รู้สึกไม่ชูใจเมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นคิดลบและยังคงต้องการการสามัคคีธรรมความจริงและงานเกี่ยวกับแนวคิดทางศาสนา นี่คือการขาดพร่องวุฒิภาวะ  นี่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่?  ยังเร็วเกินไปสำหรับการนั้น  ทันทีที่พวกเจ้าจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงที่ควรเป็นที่เข้าใจสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตน เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนี้ พวกเจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ที่เพียงพอเหมาะสม  เมื่อนั้นการเคลื่อนไปข้างหน้าย่อมจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือการรับใช้พระเจ้า ทั้งหมดนั้นพึงต้องมีการทบทวนตัวเองบ่อยครั้ง  ไม่สำคัญว่าคนเราเผยให้เห็นทรรศนะที่ผิดหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใด พวกเขาต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานและรับความรอดของพระเจ้า  คนเราต้องสามารถแยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้นได้  ผู้คนบางคนไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งว่าสิ่งใดเป็นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสิ่งใดไม่เป็นของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ตัวอย่างเช่น สิ่งที่ผู้คนชอบกินหรือสวมใส่ ความเคยชินในรูปแบบการดำเนินชีวิตที่พวกเขามี ตลอดจนมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษและมโนทัศน์ดั้งเดิม—สิ่งเหล่านี้มีบางส่วนที่เกิดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมดั้งเดิม บางส่วนเกิดจากการเลี้ยงดูและมรกดตกทอดในครอบครัว และบางส่วนเกิดจากการขาดพร่องความรู้และความเข้าใจเชิงลึก  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาหลักและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความดีหรือความไม่ดีของความเป็นมนุษย์ของคนเรา และบางอย่างก็สามารถแก้ไขได้ผ่านทางการเรียนรู้และการได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเพิ่มเติม  อย่างไรก็ตาม มโนคติอันหลงผิดหรือทรรศนะที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องได้รับการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผ่านทางการศึกษาแบบมนุษย์ได้  ไม่ว่าในกรณีใด ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าจะมาจากไหน หากสิ่งเหล่านี้ไม่ตรงกับความจริง เจ้าต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  การไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของคนเราได้  ประเด็นปัญหามากมายที่ไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับความจริงสามารถแก้ไขได้โดยอ้อมด้วยการเข้าใจความจริง  นั่นไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่สามารถแก้ไขได้โดยใช้ความจริง แต่ยังเป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่น พฤติกรรม วิธีการ มโนคติอันหลงผิด และความเคยชินบางอย่างของมนุษย์ด้วย—สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขโดยสมบูรณ์ได้โดยใช้ความจริงเท่านั้น  ความจริงไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเป้าหมายในชีวิต รากฐานของชีวิต และหลักธรรมในการดำรงชีวิตด้วย และความจริงก็สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาทั้งหมดของคนเราได้  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด  อะไรคือกุญแจสำคัญในตอนนี้?  นั่นก็คือการมองเห็นว่าจุดเริ่มต้นของปัญหามากมายสัมพันธ์โดยตรงกับการไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนมากมายไม่รู้วิธีปฏิบัติเมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับพวกเขา และนี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้และรากเหง้าของสิ่งทั้งหลายมากมายนัก และนี่ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเช่นกัน  แต่พวกเขายังคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่เข้าใจความจริงได้อย่างไร?  (ทั้งหมดนั้นเป็นแค่คำพูดและคำสอน)  เช่นนั้นแล้วปัญหาเกี่ยวกับการพูดคำสอนนี้ย่อมต้องได้รับการแก้ไข  จงพูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า ท่องคำสอน และโห่ร้องคำขวัญให้น้อยลง จงพูดอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง ปฏิบัติความจริง พูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองและการชำแหละตนเอง และยอมให้ผู้อื่นได้ยินคำพูดซึ่งพวกเขาพบว่าให้ความเจริญใจและเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น  มีเพียงผู้ที่ทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะครองความเป็นจริงความจริง  จงอย่าพ่นคำสอนและพูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า จงอย่าพูดถ้อยคำที่หน้าซื่อใจคดและหลอกลวง และจงอย่าพูดถ้อยคำที่ไม่ให้ความเจริญใจ  เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงถ้อยคำประเภทนี้ได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องระลึกถึงและมองทะลุปรุโปร่งถึงความน่าเกลียด ความโง่เง่า และความไร้เหตุผลของสิ่งเหล่านี้ จากนั้นเจ้าจึงจะสามารถขัดขืนเนื้อหนังได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังต้องมีเหตุผลด้วย  ยิ่งบุคคลหนึ่งมีเหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะพูดอย่างถูกต้องแม่นยำและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ยิ่งจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น คำพูดของพวกเขาก็ยิ่งจะกลายเป็นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะพูดเรื่องไร้สาระน้อยลงเท่านั้น  และในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาย่อมจะรังเกียจถ้อยคำที่ว่างเปล่า คำพูดที่เกินจริง และการโป้ปดมดเท็จเหล่านั้น  ผู้คนบางคนมีความทะนงตัวมากเกินไปและต้องการที่จะพูดสิ่งที่ดีเพื่อปลอมแปลงตนเองอยู่เสมอ ต้องการที่จะได้มาซึ่งสถานะในหัวใจของผู้อื่นและได้รับการเคารพนับถือจากผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าดีมาก เป็นคนดี และควรค่ากับความเลื่อมใสเป็นพิเศษ  พวกเขามีเจตนาที่จะปลอมแปลงตนเองนี้อยู่เสมอ พวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุม  ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ซึ่งเป็นรากเหง้าของการทำชั่วของผู้คนเพื่อต่อต้านพระเจ้า เป็นปัญหาที่ยากที่สุดที่จะแก้ไข  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่สามารถชำระให้บริสุทธิ์ได้ และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็ไม่สามารถบรรลุได้ เว้นเสียแต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจและพระเจ้าพระองค์เองจะทรงทำให้ใครบางคนเพียบพร้อม  มิฉะนั้นก็ย่อมจะไม่มีทางที่บุคคลหนึ่งจะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นได้  หากเจ้าเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องทบทวนและเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้า ประเมินวัดตัวเองโดยอิงทุกประโยคของพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการเปิดโปงและการพิพากษา และขุดค้นอุปนิสัยและสภาวะอันเสื่อมทรามทั้งหมดของตนไปทีละน้อย  จงเริ่มต้นด้วยการขุดคุ้ยเจตนาและจุดประสงค์ของคำพูดและการกระทำของเจ้า ชำแหละและแยกแยะทุกคำที่เจ้าพูด และไม่มองข้ามสิ่งใดก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในความคิดและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค้นพบผ่านทางการชำแหละและวิจารณญาณที่เพิ่มขึ้นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้มีแค่เล็กน้อย แต่ค่อนข้างมีเหลือล้น และว่าพิษของซาตานไม่ได้มีจำกัด แต่ค่อนข้างมีมาก  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค่อยๆ มองเห็นอุปนิสัยและแก่นแท้ตามธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนอย่างชัดเจน และตระหนักว่าซาตานทำให้เจ้าเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด  ในเวลานี้เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าล้ำค่าอย่างที่สุดเพียงใด  ความจริงดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยและธรรมชาติของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามได้  ยาชนิดนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง มีคุณค่ามากกว่ายาอายุวัฒนะใดๆ เสียด้วยซ้ำ  ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะรับความรอดของพระเจ้าไว้ เจ้าจึงไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเต็มใจ ทะนุถนอมทุกแง่มุมของความจริงมากขึ้นทุกที ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นทุกที  เมื่อคนเรามีความรู้สึกนี้ในหัวใจของตน นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงบางอย่างไว้แล้ว และได้หยั่งรากในหนทางที่แท้จริงแล้ว  หากพวกเขาสามารถมีประสบการณ์กับความจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้นและรักพระเจ้าจากหัวใจของตนอย่างแท้จริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนย่อมจะเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพฤติกรรมเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  การแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องเริ่มด้วยการรู้จักตนเอง  การนี้พึงต้องมีความใส่ใจ การมุ่งความสนใจไปที่การตรวจสอบเจตนาและสภาวะของคนเราทีละน้อย โดยตรวจสอบเจตนาและแบบอย่างในการพูดอันเป็นนิสัยอยู่เป็นนิตย์  จากนั้นอยู่มาวันหนึ่งย่อมจะมีการตระหนักโดยกะทันหันว่า “ฉันพูดสิ่งที่ดีเพื่อปลอมแปลงตนอยู่เสมอ โดยหวังว่าจะได้รับสถานะในหัวใจของผู้อื่น  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วอย่างหนึ่ง  นี่ไม่ใช่การเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่คล้อยตามความจริง  แบบอย่างในการพูดและเจตนาที่ชั่วนี้ไม่ถูกต้อง และต้องมีการเปลี่ยนแปลงและถูกกำจัดทิ้ง”  หลังจากมีการตระหนักเช่นนี้แล้ว เจ้าจะรู้สึกถึงความรุนแรงสาหัสของอุปนิสัยที่ชั่วของตนอย่างชัดเจนขึ้น  เจ้าได้คิดว่าความชั่วก็แค่หมายถึงการดำรงอยู่ของตัณหาชั่วเล็กน้อยระหว่างชายและหญิง และรู้สึกว่าแม้ว่าเจ้าแสดงให้เห็นความชั่วในแง่มุมนี้ แต่เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่มีอุปนิสัยที่ชั่ว  การนี้บ่งชี้ว่าเจ้าขาดพร่องความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยที่ชั่ว เจ้าดูเหมือนรู้ความหมายผิวเผินของคำว่า “ชั่ว” แต่ไม่สามารถระลึกรู้หรือแยกแยะอุปนิสัยที่ชั่วได้อย่างแท้จริง และในข้อเท็จจริงนั้นเจ้ายังคงไม่เข้าใจว่าคำว่า “ชั่ว” หมายความว่าอย่างไร  เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้เผยให้เห็นอุปนิสัยประเภทนี้แล้ว เจ้าก็เริ่มที่จะทบทวนตัวเองและระลึกถึงอุปนิสัยดังกล่าว และขุดคุ้ยลึกลงไปในจุดเริ่มต้นของอุปนิสัยนั้น และเจ้าก็จะมองเห็นว่าเจ้ามีอุปนิสัยเช่นนั้นจริงๆ  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป?  เจ้าต้องตรวจสอบเจตนาของตนภายในแบบอย่างในการพูดที่คล้ายกันของตนเองอย่างต่อเนื่อง  โดยผ่านทางการขุดคุ้ยอันสม่ำเสมอนี้ เจ้าจะระบุแยกแยะด้วยความจริงแท้และความแม่นยำถูกต้องที่มากขึ้นว่าเจ้ามีอุปนิสัยและแก่นแท้ประเภทนี้อย่างแท้จริง  มีเพียงในวันที่เจ้ายอมรับอย่างแท้จริงว่าจริงๆ แล้วเจ้ามีอุปนิสัยที่ชั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะเริ่มมีความเกลียดชังและการรังเกียจต่ออุปนิสัยที่ชั่วนี้  คนเราเปลี่ยนจากการคิดว่าตนเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม มีสำนึกของความยุติธรรม เป็นคนที่มีความสัตย์สุจริตทางศีลธรรม เป็นคนที่ไร้เล่ห์มายา ไปสู่การระลึกถึงว่าตนมีแก่นแท้ตามธรรมชาติ อย่าง ความโอหัง การดื้อแพ่ง การหลอกลวง ความชั่ว และการรังเกียจความจริง  ที่จุดนั้น พวกเขาจะประเมินวัดตัวเองอย่างถูกต้องแม่นยำแล้วและรู้ว่าตนเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง  การเพียงแค่ยอมรับด้วยวาจาหรือระลึกรู้อย่างลวกๆ ว่าเจ้ามีการสำแดงและสภาวะเหล่านี้จะไม่สร้างความเกลียดชังอันจริงแท้ขึ้นมา  โดยการระลึกรู้ว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือลักษณะที่น่าคลื่นเหียนของซาตานเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง  การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงจนถึงจุดที่เกลียดชังตนเองพึงต้องมีความเป็นมนุษย์จำพวกใด?  คนเราต้องรักสิ่งที่เป็นบวก รักความจริง รักความเที่ยงธรรมและความชอบธรรม มีมโนธรรมและการตระหนักรู้ มีจิตใจดี และสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้—ผู้คนทุกคนเช่นนี้สามารถรู้จักตนเองและเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง  พวกที่ไม่รักความจริงและพวกที่พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริงย่อมจะไม่มีวันรู้จักตนเอง  ต่อให้พวกเขาอาจพูดคำบางคำเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จริงแท้ใดๆ  การรู้จักตนเองเป็นงานที่ลำบากยากเย็นที่สุด  ตัวอย่างเช่น อาจมีใครบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำที่คิดว่า “ขีดความสามารถของฉันนั้นแย่  โดยธรรมชาติแล้วฉันขี้ขลาดและกลัวว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง  ฉันอาจจะถึงขั้นเป็นคนที่ไร้เล่ห์มายาและขี้ขลาดที่สุดในโลก  ดังนั้นนั่นจึงทำให้ฉันเป็นผู้รับความรอดของพระเจ้าที่ควรค่าที่สุด”  นี่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริงหรือไม่?  เหล่านี้คือคำพูดของผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง  การมีขีดความสามารถแย่หมายความว่าคนเราไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยอัตโนมัติหรือไม่?  คนที่ขี้ขลาดไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วด้วยหรอกหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น มีอุปนิสัยที่ชั่วและโอหังมากพอๆ กันในผู้คนเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นอุปนิสัยดังกล่าวก็ถูกซ่อนเร้นอย่างดิ่งลึกทีเดียว ทั้งยังฝังรากมากกว่าของบุคคลปกติทั่วไป  เหตุใดเราจึงพูดว่าอุปนิสัยดังกล่าวถูกซ่อนเร้นอย่างดิ่งลึก?  (เพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นคนดี)  ถูกต้อง  พวกเขาเองถูกลวงให้หลงผิดและถูกชักพาให้หลงผิดโดยภาพลวงตานี้ ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับความจริง  พวกเขาคิดว่าตนค่อนข้างดีอยู่แล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการพิพากษาผู้คนและการเปิดโปงความเสื่อมทรามของพวกเขามุ่งตรงไปยังผู้อื่น ผู้คนที่มีความสามารถเหล่านั้นซึ่งมีอุปนิสัยอันโอหัง ผู้คนเหล่านั้นที่ชั่ว และพวกที่ชักพาให้หลงผิด—พวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่พระวจนะเหล่านั้นไม่ได้มุ่งตรงไปยังผู้คนเช่นพวกเขา  พวกเขาดีมากพออยู่แล้ว มือของพวกเขาสะอาด และพวกเขาเองก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ซึ่งจุดด่างพร้อยทั้งหมด  เมื่อพวกเขาให้นิยามตัวเองแบบนี้ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง?  (เป็นไปไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถรู้จักตนเองได้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาไม่อาจสามารถเข้าใจความจริงทั้งหลายอย่างเช่นเหตุผลที่พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนผู้คน วิธีที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด หรือวิธีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  บุคคลหนึ่งที่ไม่รู้จักตนเองแม้แต่น้อยแน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจความจริง  ทรรศนะที่ผิดเหล่านี้ซึ่งพวกเขาเผยให้เห็นนั้นมากพอที่จะแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่วิปลาสและไร้เหตุผล  ความเข้าใจของพวกเขาไร้เหตุผล และพวกเขาก็ยัดเยียดการเชื่อของตนเองให้พระเจ้า นี่คืออุปนิสัยของความชั่วเช่นกัน  ความชั่วคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ไม่เพียงแค่สำแดงในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติระหว่างชายและหญิงเท่านั้น ตัณหาที่ชั่วเล็กน้อยไม่ควรถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นความชั่วอันเป็นอุปนิสัย  แต่หากตัณหาที่ชั่วของคนเราแรงกล้าเกินไป และพวกเขาเข้าร่วมในความสำส่อนหรือรักร่วมเพศแบบไม่ลดละอยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือชั่ว  ผู้คนบางคนไม่สามารถจำแนกความต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้ ติดป้ายกำกับตัณหาที่ชั่วว่าความชั่วอยู่เสมอ และอธิบายความชั่วในแง่ของตัณหาที่ชั่ว พวกเขาขาดพร่องวิจารณญาณ  อุปนิสัยอันชั่วยากที่สุดที่จะระลึกรู้  การกระทำของใครก็ตามที่หลอกลวงและมุ่งร้ายเกินไปล้วนแต่ชั่ว  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนหลังจากโกหกแล้วก็พูดกับตัวเองในใจว่า “หากฉันไม่แบ่งปันความเข้าใจของฉัน ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร?  ฉันต้องเปิดอกและสามัคคีธรรมเล็กน้อย ทันทีที่ฉันแบ่งปันความเข้าใจของฉันแล้ว นั่นย่อมจะเป็นทั้งหมดที่มีให้กับการนั้น  ฉันจะยอมให้คนอื่นรู้เจตนาที่แท้จริงของฉันและคิดว่าฉันหลอกลวงไม่ได้”  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  การเปิดใจของตัวเองในหนทางที่หลอกลวง—นี่เรียกว่าความชั่ว  และหลังจากโกหกแล้ว พวกเขาก็จะเฝ้าสังเกตว่า “มีใครรู้หรือไม่ว่าฉันโกหก?  มีใครมองธาตุแท้ของฉันออกไหม?”  พวกเขาเริ่มที่จะหว่านล้อมเอาข้อมูลจากผู้อื่นและสืบค้นข้อมูลเหล่านั้น นี่ก็ชั่วเช่นกัน  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับเค้าอุปนิสัยอันชั่ว  ผู้ใดก็ตามที่ทำสิ่งต่างๆ ในหนทางที่มุ่งร้ายและหลอกลวงเป็นพิเศษ ทำให้เป็นเรื่องยากที่ผู้อื่นจะมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งเหล่านั้น ผู้นั้นเป็นคนชั่ว  ผู้ใดก็ตามวางอุบายและวางแผนร้ายเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเป็นคนชั่ว  ผู้ใดก็ตามที่หลอกลวงผู้คนด้วยการทำสิ่งที่แย่ภายใต้การสร้างภาพตบตาว่ากำลังทำสิ่งที่ดี ทำให้ผู้อื่นทำงานรับใช้พวกเขา เป็นคนที่ชั่วที่สุดในบรรดาคนชั่วทั้งปวง  พญานาคใหญ่สีแดงเป็นผู้ที่ชั่วที่สุด ซาตานเป็นผู้ที่ชั่วที่สุด พวกกษัตริย์ปีศาจเหล่านั้นผู้ที่ชั่วที่สุด มารทั้งหมดนั้นชั่ว

ในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คนเราต้องสามารถระลึกถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเป็นอันดับแรก  การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงเกี่ยวข้องกับการมองทะลุปรุโปร่งและการชำแหละแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนอย่างถ้วนทั่ว ตลอดจนการระลึกรู้สภาวะนานาสารพันที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เกิดขึ้น  มีเพียงเมื่อใครบางคนเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจนเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเกลียดชังเนื้อหนังของตนและเกลียดชังซาตานได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเมื่อนั้นเท่านั้น  หากพวกเขาไม่สามารถระลึกถึงสภาวะเหล่านี้ และไม่สามารถทำการเชื่อมโยงและทำให้สภาวะเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับตัวเอง อุปนิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ?  เปลี่ยนแปลงไม่ได้  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยพึงต้องให้คนเราระลึกถึงสภาวะต่างๆ ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาสร้างขึ้นมา พวกเขาต้องไปให้ถึงจุดที่ไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและนำความจริงไปปฏิบัติ—เมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยของพวกเขาจึงจะสามารถเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงได้  หากพวกเขาไม่สามารถระลึกถึงจุดเริ่มต้นของสภาวะที่เสื่อมทรามของตน และจำกัดควบคุมตัวเองตามคำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขามีพฤติกรรมบางอย่างที่ดีและเปลี่ยนแปลงภายนอกเล็กน้อย การนั้นย่อมไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  เนื่องจากการนั้นไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วอะไรคือบทบาทที่ผู้คนส่วนใหญ่แสดงในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นก็คือบทบาทของคนลงแรง พวกเขาเพียงแค่ทุ่มเทตัวเองและยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ต่างๆ  แม้ว่าพวกเขาก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามุ่งความสนใจไปที่การทำให้สิ่งต่างๆ ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่แค่ทุ่มเทตัวเอง  ในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ดี พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามเป็นพิเศษ และในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะจำใจเล็กน้อย  แต่หลังจากนั้นพวกเขาจะตรวจสอบตัวเองและรู้สึกผิด ดังนั้นพวกเขาก็จะทุ่มเทความพยายามมากขึ้นอีกครั้ง เชื่อว่านี่เป็นการกลับใจใหม่  อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง อีกทั้งไม่ใช่การกลับใจใหม่ที่แท้จริง  การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการรู้จักตนเอง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม  ทันทีที่พฤติกรรมของใครบางคนเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเขาสามารถขัดขืนเนื้อหนังของตน นำความจริงไปปฏิบัติ และปรากฏว่าตรงกับหลักธรรมในแง่ของพฤติกรรม นี่ย่อมหมายความว่ามีการกลับใจใหม่ที่จริงแท้  เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไปถึงจุดที่สามารถพูดและกระทำการตามหลักธรรมได้ทีละน้อย คล้อยตามความจริงโดยสมบูรณ์  นี่คือเวลาที่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเริ่มต้น  พวกเจ้าไปถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของตนในตอนนี้?  (โดยผิวเผินแล้วข้าพระองค์มีพฤติกรรมบางอย่างที่ดี)  นี่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งการทุ่มเทความพยายาม  ผู้คนบางคนทุ่มเทความพยายามเล็กน้อยแล้วก็คิดว่าพวกเขามีส่วนร่วมสนับสนุนแล้วและสมควรได้รับพระพรของพระเจ้า  ภายในนั้นพวกเขาไตร่ตรองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  ฉันทุ่มเทความพยายามไปมากเหลือเกินและสู้ทนความยากลำบากมากยิ่งนัก ฉันจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่?”  การพยายามไปให้ถึงก้นบึ้งของสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ—นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่เป็นความหลอกลวง ความชั่ว และความโอหัง  ยิ่งไปกว่านั้น การหวังว่าจะได้รับพระพรจากการทุ่มเทความพยายามบางส่วนในขณะที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ในที่นี้ไม่มีอุปนิสัยอันดื้อแพ่งหรอกหรือ?  การไม่เคยละทิ้งผลประโยชน์แห่งสถานะเลย นี่ไม่ใช่การดื้อแพ่งด้วยหรอกหรือ?  พวกเขาเป็นกังวลอยู่เสมอว่า “พระเจ้าจะทรงจดจำได้หรือไม่ว่าฉันได้ทนทุกข์กับความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่นี้?  พระองค์จะประทานพระพรให้ฉันบ้างหรือไม่?”  ในจิตใจของพวกเขานั้นพวกเขาทำการคิดคำนวณเหล่านี้อยู่เสมอ  ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำข้อตกลงอยู่ แต่ในข้อเท็จจริงนั้นในที่นี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่กำลังส่งผลอยู่หลายประเภท  การต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ การต้องการรับพระพรไว้จากการเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอ การต้องการฉวยประโยชน์และไม่ทนทุกข์กับการสูญเสียอยู่เสมอ การเข้าร่วมในวิถีทางที่คดโกงและซ่อนเร้นทุจริตอยู่เสมอ—นี่กำลังถูกอุปนิสัยที่ชั่วครอบงำ  ในแต่ละครั้งที่บุคคลเช่นนั้นทุ่มเทความพยายามบางส่วนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการรู้ว่า “ฉันจะรับพระพรไว้จากความพยายามทั้งหมดที่ฉันทุ่มเทออกไปหรือไม่?  ฉันจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่หลังจากทนทุกข์มากมายเหลือเกินเพื่อเชื่อในพระเจ้า?  พระเจ้าจะตรัสชมเชยฉันหรือไม่ด้วยเหตุที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉัน?  พระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวฉันหรือไม่?”  พวกเขาไตร่ตรองคำถามเหล่านี้ตลอดทั้งวัน  หากพวกเขาขบคิดคำถามเหล่านี้ไม่ออกเป็นเวลาหนึ่งวัน พวกเขาจะกลายเป็นไม่สบายใจในวันนั้น ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือยอมลำบาก และถึงขั้นเต็มใจน้อยลงที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อถูกจำกัดควบคุมและพันธนาการโดยเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ พวกเขาจึงขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริงใดๆ  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริง  พวกเขาไม่เชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงจะนำพระพรของพระเจ้ามาอย่างแน่นอน  ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขารังเกียจความจริง  ต่อให้พวกเขาต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ขาดพร่องพลังที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริง  บุคคลนี้เผชิญกับปัญหาในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เนืองนิจ และพวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอบ่อยครั้ง  พวกเขาคร่ำครวญคำพร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น และเมื่อความวิบัติบังเกิดขึ้นกับพวกเขาหรือพวกเขาถูกจับกุม พวกเขาก็พิจารณาว่าพระเจ้าไม่ได้กำลังทรงคุ้มครองพวกเขาและไม่ต้องประสงค์พวกเขา และส่งตัวเองไปสู่ความท้อแท้สิ้นหวัง  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่ไม่ใช่ความเลวทรามหรอกหรือ?  บุคคลนี้จะทำสิ่งใดทันทีที่พวกเขารู้สึกถึงความคับแค้นใจ?  พวกเขาจะคิดลบและเกียจคร้านอย่างแน่นอนที่สุด พวกเขาจะชูมือยอมแพ้ด้วยความสิ้นหวัง  และพวกเขาจะกล่าวหาพวกผู้นำและคนทำงานว่าเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์อยู่เนืองนิจ  พวกเขาอาจจะถึงขั้นพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและทำการตัดสินเกี่ยวกับพระองค์โดยตรง  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น?  พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเลวทราม  พวกเขาเชื่อตามทรรศนะปุถุชนและตรรกะเยี่ยงซาตานว่าต้องมีผลตอบแทนจากการลงทุนทุกครั้ง  หากปราศจากค่าตอบแทนดังกล่าว พวกเขาจะไม่ลงทุนอีกต่อไป  พวกเขามีกรอบความคิดแบบตอบแทนและเสาะแสวงที่จะละทิ้งความรับผิดชอบของตน ไม่ยอมทำหน้าที่ของตน และเรียกร้องค่าตอบแทน  การนี้ไม่เลวทรามหรอกหรือ?  การนี้คล้ายกับเปาโลในแบบใด?  (เปาโลเชื่อว่าทันทีที่เขาได้เสร็จสิ้นการแข่งขันครั้งนี้และได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว มงกุฎแห่งความชอบธรรมจะถูกสงวนไว้เพื่อเขา)  วิธีที่สิ่งเหล่านี้เข้ากันได้กับเปาโลเป็นเช่นนี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน  พวกเจ้าเองแสดงการสำแดงใดแบบนี้ของเปาโลออกมาให้เห็นหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าร่วมในการเปรียบเทียบตนเองเช่นนี้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถรู้จักตนเองได้  โดยการระลึกถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าระลึกรู้เพียงแค่สิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิดแบบผิวเผินเท่านั้น หรือเพียงแค่ยอมรับว่าพวกเจ้าเป็นมารและซาตาน การนี้ก็มีลักษณะทั่วไปและว่างเปล่าเกินไป  การนี้เป็นการแสร้งทำเป็นลึกซึ้ง เป็นการปลอมแปลงตน เป็นการฉ้อโกง  การพูดถึงการรู้จักตนเองในหนทางนี้เป็นความเป็นฝ่ายจิตวิญญาณแบบจอมปลอม เป็นการชักพาให้หลงเชื่อ

พวกเจ้าเคยเห็นวิธีที่คนที่หลอกลวงพยายามที่จะรู้จักตนเองหรือไม่?  พวกเขาพยายามทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ พูดถึงว่าพวกเขาเป็นมารและซาตานอย่างไร และถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง แต่ถึงกระนั้นพวกเขากลับไม่พูดถึงความประพฤติที่อำมหิตและชั่วที่พวกเขาได้ทำลงไป ทั้งพวกเขาไม่ชำแหละความโสโครกและความเสื่อมทรามในหัวใจของตน  พวกเขาแค่พูดว่าตนเป็นมารและซาตาน ว่าตนขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้า ใช้คำพูดที่ว่างเปล่าและคำกล่าวกว้างๆ มากมายเพื่อกล่าวโทษตัวเอง ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า “เอาล่ะ นี่คือใครบางคนที่รู้จักตนเองจริงๆ พวกเขาช่างมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกเสียจริง”  พวกเขาปล่อยให้ผู้อื่นมองเห็นว่าพวกเขามีความเป็นฝ่ายจิตวิญญาณเพียงใด ทำให้ผู้อื่นทุกคนอิจฉาพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริง  แต่หลังจากรู้จักตนเองในหนทางนี้มาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็ยังคงไม่ได้กลับใจอย่างจริงแท้ และคนเราก็มองไม่เห็นสถานการณ์ใดๆ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นนำความจริงไปปฏิบัติหรือทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมจริงๆ  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโปงปัญหาที่ว่า นี่ไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  นี่เป็นการปลอมแปลงตนและการฉ้อโกง และบุคคลนี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด  ไม่สำคัญว่าใครบางคนพูดถึงการรู้จักตนเองอย่างไร จงอย่ามุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่ว่าคำพูดของพวกเขาฟังดูดีเพียงใดหรือความรู้ของพวกเขาลุ่มลึกเพียงใด  อะไรคือกุญแจสำคัญที่จะเฝ้าสังเกต?  จงสังเกตว่าพวกเขาสามารถนำความจริงมากเพียงใดไปปฏิบัติ และจงสังเกตว่าพวกเขาสามารถยึดมั่นในหลักธรรมความจริงเพื่อค้ำจุนงานของคริสตจักรได้หรือไม่  ตัวบ่งชี้สองอย่างนี้มากพอที่จะบอกว่าใครบางคนได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงแล้วหรือยัง  นี่คือหลักธรรมสำหรับการประเมินวัดและแยกแยะผู้คน  จงอย่ารับฟังสิ่งดีๆ ที่ออกมาจากปากของพวกเขา จงเฝ้าสังเกตว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาทำสิ่งใด  มีบางคนที่ภายนอกนั้นดูเหมือนถือจริงจังกับการรู้จักตนเองเวลาที่เสวนาเรื่องนี้  พวกเขาพูดกับผู้อื่นถึงแนวคิดที่เข้าใจกันผิดหรือความคิดที่ผิดใดๆ ที่พวกเขามี โดยเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาพูดจบแล้วพวกเขาก็ยังคงไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริงอยู่ดี  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ยังคงไม่ปฏิบัติความจริง ทั้งพวกเขาไม่ยึดมั่นในหลักธรรม ไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักร และไม่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ  การรู้จักตนเอง การเปิดกว้าง และการสามัคคีธรรมประเภทนี้ไม่มีความหมายใดๆ  บางทีบุคคลประเภทนี้อาจจะคิดว่าการรู้จักตนเองในหนทางนี้หมายความว่าพวกเขาได้กลับใจอย่างแท้จริงแล้วและกำลังปฏิบัติความจริง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากเข้าใจการนี้หลายปี  การรู้จักตนเองในหนทางนี้ไม่ใช่แค่การทำอย่างขอไปทีและทำตามขั้นตอนหรอกหรือ?  ไม่มีผลพวงตามจริงอันใด พวกเขาไม่ได้แค่กำลังหยอกตัวเองเล่นหรอกหรือ?  ครั้งหนึ่งเราไปยังที่ไหนสักแห่งและเมื่อเราไปถึง ใครบางคนกำลังตัดหญ้าด้วยเครื่องตัดหญ้า  เครื่องจักรส่งเสียงดังและทำเสียงอึกทึกครึกโครม  สองหรือสามครั้งที่เราไปที่นั่น ในแต่ละครั้งเราได้พบพานกับสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้นเราจึงถามบุคคลนั้นว่า “พวกเจ้าไม่มีเวลาตามกำหนดสำหรับการตัดหญ้าบ้างหรอกหรือ?”  เขาตอบกลับว่า “อ้า ข้าพระองค์ตัดหญ้าเวลาที่ข้าพระองค์เห็นว่าพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว  เรื่องนี้ก็ไม่น่ายินดีสำหรับข้าพระองค์เช่นกัน”  ผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะได้อาจจะได้ยินเรื่องนี้และคิดว่าเขากำลังเป็นคนซื่อสัตย์ พูดอะไรก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตน  ผู้คนเหล่านั้นอาจจะคิดว่าเขากำลังยอมรับความผิดพลาดของตนและได้รับการรู้จักตนเอง และด้วยเหตุนี้ผู้คนเหล่านั้นจึงถูกชักพาให้หลงผิด  แต่ใครบางคนที่เข้าใจความจริงจะมองเรื่องนี้แบบนั้นหรือ?  อะไรคือมุมมองที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับเรื่องนี้?  บรรดาผู้ที่สามารถมองสถานการณ์นี้ออกจะคิดว่า “คุณไม่ได้กำลังมีความรับผิดชอบขณะที่ทำหน้าที่ของตน คุณไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อสร้างภาพแค่นั้นหรอกหรือ?”  แต่คนตัดหญ้ากลัวว่าผู้อื่นจะคิดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นหยุดพูด  นี่เป็นวาทศิลป์ที่ค่อนข้างมีทักษะใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในข้อเท็จจริงนั้น เขาได้ขบคิดให้ออกมานานแล้วถึงวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้ ชักพาเจ้าให้หลงผิดไว้ก่อนล่วงหน้า และทำให้เจ้าคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อตรงเปิดเผย ว่าเขาสามารถพูดอย่างเปิดอกและยอมรับความผิดพลาดของตนได้  สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ก็คือ “ฉันเข้าใจความจริง ฉันไม่จำเป็นต้องให้คุณบอกฉัน  ฉันจะยอมรับเรื่องนั้นก่อน  พวกเรามาดูกันเถิดว่าคุณสามารถพูดอะไรที่ขัดกับการใช้ถ้อยวลีอันชาญฉลาดของฉันได้บ้าง  นี่เองคือสิ่งที่ฉันจะทำ แล้วคุณจะทำอะไรฉันได้?”  ในที่นี้อุปนิสัยใดกำลังทำงานอยู่?  อันดับแรกเลยก็คือ เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อเขาทำความผิดพลาด เขารู้จักการกลับใจ  นี่คือภาพจำที่เขาให้กับผู้อื่น โดยใช้การปลอมแปลงตนและคำโกหกเพื่อสร้างภาพลวงตาและทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องเขา  เขากำลังคิดคำนวณเป็นพิเศษ รู้ว่าคำพูดของตนจะชักพาผู้อื่นให้หลงผิดในระดับใดและการตอบสนองของผู้คนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร  เขาได้ประเมินวัดทั้งหมดนี้ล่วงหน้าแล้ว  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวอย่างหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาสามารถพูดสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เพิ่งตระหนักเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ได้รู้มานานแล้วว่าการกระทำการในหนทางนี้เป็นการสุกเอาเผากิน ว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้ในตอนนี้ ว่าเขาไม่ควรเสแสร้งปั้นฉากหน้าเช่นนั้น และเขาไม่ควรกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งความภาคภูมิใจของตนเอง  เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงยังคงทำเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่การดื้อแพ่งหรอกหรือ?  มีการวางท่า การดื้อแพ่ง และความเลวทรามด้วย  พวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  บางคนสามารถทำได้เพียงแยกแยะผู้อื่นเท่านั้น แต่แยกแยะตัวเองไม่ได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  หากคนเราสามารถแยกแยะตนเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วในทำนองเดียวกันพวกเขาก็ย่อมสามารถแยกแยะผู้อื่นได้  หากพวกเขาสามารถทำได้เพียงแยกแยะผู้อื่นเท่านั้น แต่แยกแยะตัวเองไม่ได้ นั่นก็หมายความว่ามีปัญหากับอุปนิสัยและลักษณะนิสัยของพวกเขา  การเห็นว่าผู้อื่นสอดคล้องต้องกันกับความจริงอย่างไร แต่ไม่เห็นในส่วนของตนเอง—แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ใครบางคนที่รักความจริง นับประสาอะไรที่จะเป็นผู้ที่ยอมรับความจริง

เมื่อใครบางคนสามารถค้นพบว่าความเสื่อมทรามของตนเป็นปัญหาที่ร้ายแรงเพียงใด นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่?  นั่นเป็นสิ่งที่ดี  ยิ่งเจ้าสามารถค้นพบความเสื่อมทรามของตนและเข้าใจความเสื่อมทรามนั้นอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าสามารถระลึกรู้แก่นแท้ของตัวเองมากขึ้นเท่าใด เมื่อนั้นเจ้าก็ยิ่งสามารถได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งจะอยู่ใกล้การรับความรอดไว้มากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าไร้ความสามารถที่จะค้นพบปัญหาของตนมากขึ้นเท่าใด โดยเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้านั้นดีและน่าพอใจ เมื่อนั้นเจ้าก็ยิ่งอยู่ห่างออกไปจากเส้นทางแห่งความรอดมากขึ้นเท่านั้น—เจ้ายังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่มาก  หากเจ้ามองเห็นใครบางคนที่อวดตัวอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนดีเพียงใด รวมทั้งความสามารถของตนในการสามัคคีธรรมความจริงและปฏิบัติความจริง นี่ย่อมพิสูจน์ว่าวุฒิภาวะของบุคคลนั้นเล็กน้อยมาก  พวกเขาเหมือนเด็ก และชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่โตเต็มที่  บุคคลประเภทใดมีความหวังที่จะรับความรอดไว้มากกว่าและสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการได้รับการช่วยให้รอดได้?  คือบุคคลประเภทที่ระลึกรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างแท้จริงนั่นเอง  ยิ่งพวกเขาเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งอยู่ใกล้กับการได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น  การเข้าใจว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองล้วนแต่มีจุดกำเนิดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตาน โดยมองเห็นว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ว่าพวกเขาไม่สามารถนำความจริงใดๆ ไปปฏิบัติ ว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้นและขาดพร่องความเป็นมนุษย์ใดๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ว่าพวกเขาคือมารที่มีชีวิตและซาตานที่มีชีวิต—นี่คือการระลึกรู้แก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนเองอย่างแท้จริง  การเข้าใจเรื่องนี้ในหนทางนี้ทำให้ปัญหานี้ดูค่อนข้างร้ายแรง แต่นี่คือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  (สิ่งที่ดี)  แม้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้คนบางคนก็กลายเป็นคิดลบเมื่อพวกเขามองเห็นด้านที่เป็นเยี่ยงมารและเยี่ยงซาตานของตนโดยคิดว่า “ฉันจบเห่แล้วตอนนี้  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน  ฉันจะถูกส่งไปนรกอย่างแน่นอน  ไม่มีทางที่ฉันจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า”  นี่ใช่บางสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่?  จงบอกเราทีว่า มีผู้คนที่เมื่อพวกเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น ก็กลายเป็นคิดลบมากขึ้นหรือไม่?  พวกเขาคิดว่า “ฉันย่อยยับโดยสิ้นเชิง  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าบังเกิดแก่ฉัน  นี่เป็นการลงโทษ เป็นการลงทัณฑ์อันสาสม  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน  ฉันไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด”  ผู้คนมีความเห็นผิดเหล่านี้หรือไม่?  (มี)  อันที่จริงแล้วยิ่งคนเราระลึกรู้ความสิ้นหวังของตนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความหวังสำหรับคนคนนั้นมากขึ้นเท่านั้น  จงอย่าคิดลบ จงอย่าเลิกล้ม  การรู้จักตนเองเป็นสิ่งที่ดี เป็นเส้นทางที่จำเป็นในการรับความรอดไว้  หากคนเราไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและแก่นแท้ของการต้านทานพระเจ้าของตนในแง่มุมนานาสารพัน และพวกเขาไม่แม้กระทั่งวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นปัญหา  บุคคลประเภทนี้ด้านชา พวกเขาตายแล้ว  การชุบชีวิตคนตายเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว การชุบชีวิตพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

พระเจ้ายังคงทรงให้โอกาสแก่บุคคลประเภทใดในการกลับใจใหม่?  บุคคลประเภทใดยังคงมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด?  ผู้คนเหล่านี้ควรแสดงการสำแดงแบบใดออกมาให้เห็น?  อันดับแรกเลยก็คือ พวกเขาต้องมีสำนึกรับรู้ถึงมโนธรรม  ไม่สำคัญว่าจะบังเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า โดยเข้าใจในหัวใจของตนว่าเป็นพระเจ้านั่นเองที่กำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด  พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทั้งฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งจำพวกนี้จึงเกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันก็วางใจว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งนี้เพื่อช่วยฉันให้รอด  ฉันไม่สามารถกบฏต่อพระองค์หรือสร้างบาดแผลให้พระหทัยของพระองค์ได้  ฉันต้องนบนอบและขัดขืนตัวเอง”  พวกเขามีมโนธรรมนี้  ที่มากกว่านั้น ในแง่ของเหตุผล พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง  ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนฉันเพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันให้บริสุทธิ์  ไม่ว่าพระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์อย่างไรก็สมเหตุสมผลและถูกต้องเหมาะสมทั้งสิ้น”  นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้คนควรมีหรอกหรือ?  ผู้คนไม่ควรสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าโดยพูดว่า “ข้าพระองค์เป็นมนุษย์  ข้าพระองค์มีบุคลิกภาพและศักดิ์ศรี  ข้าพระองค์จะไม่ยอมให้พระองค์ปฏิบัติต่อข้าพระองค์เช่นนี้”  นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อุปนิสัยเช่นนี้ขาดพร่องเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติ และพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด พระองค์ไม่ทรงยอมรับพวกเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สมมติว่าเจ้าได้พูดว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างฉันขึ้นมา ไม่ว่าพระองค์ต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อฉันอย่างไรก็ไม่เป็นไร  พระองค์ทรงสามารถปฏิบัติต่อฉันดังเช่นลาหรือม้าหรือสิ่งอื่นใดก็ได้ทั้งนั้น  ฉันไม่มีทางเลือกหรือข้อกำหนดใดของตัวเองเลย”  หากเจ้าได้พูดเช่นนั้น หากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าลำบากยากเย็นและน่าเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เจ้าจะยังคงต้องการเลือกเฟ้นเอาแต่ที่ถูกใจหรือไม่?  (ไม่)  ถูกต้อง  เจ้าต้องนบนอบ  เจ้านบนอบอย่างไร?  ตอนแรกนั้น เป็นเรื่องหนักและลำบากยากเย็นที่จะทนการนบนอบ  เจ้าต้องการหลีกหนีและไม่ยอมอยู่เสมอ  แล้วเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน แสวงหาความจริง มองเห็นแก่นแท้ของปัญหาอย่างชัดเจน แล้วจึงค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  เจ้าควรเพียงแค่ทุ่มเทหัวใจและความพากเพียรในการปฏิบัติความจริง นบนอบไปทีละน้อย  นี่คือการมีเหตุผล  เจ้าต้องมีเหตุผลประเภทนี้เสียก่อน  เมื่อคนเรามีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาต้องการอะไรอีก?  สำนึกละอายแก่ใจ  คนเราจำเป็นต้องมีสำนึกละอายแก่ใจในสถานการณ์ใดบ้าง?  เมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นความเป็นกบฏ ความคดโกง และความหลอกลวงของตน เมื่อพวกเขาโกหกและเข้าร่วมในการฉ้อโกง—นั้นคือเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องมีการตระหนักรู้และสำนึกละอายแก่ใจ  พวกเขาต้องรู้ว่าการทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ไม่คล้อยตามความจริงและไม่มีศักดิ์ศรี พวกเขาต้องรู้จักรู้สึกสำนึกผิด  ผู้ที่ไม่มีสำนึกละอายแก่ใจเป็นคนหน้าทนและหน้าด้านที่ไม่ควรค่ากับการถูกเรียกว่ามนุษย์  การนั้นจบสิ้นโดยสมบูรณ์แล้วสำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง  ไม่สำคัญว่าความจริงได้รับการสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาไม่รับความจริงนั้นเอาไว้ และไม่สำคัญว่าจะมีการพูดสิ่งใด พวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับการตระหนักรู้อยู่ดี  นี่เรียกว่าการขาดพร่องสำนึกละอายแก่ใจ  ผู้คนที่ปราศจากสำนึกละอายแก่ใจรู้สึกสำนึกผิดได้หรือไม่?  หากปราศจากสำนึกละอายแก่ใจ คนเราย่อมไม่มีศักดิ์ศรี และใครบางคนเช่นนี้ย่อมไม่รู้จักการสำนึกผิด  ผู้คนที่ไม่รู้จักการสำนึกผิดจะกลับตัวได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกที่ไม่สามารถกลับตัวได้ย่อมจะไม่ละทิ้งความชั่วที่อยู่ในมือของตน  “ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ” (โยนาห์ 3:8)  คนเราต้องมีสิ่งใดจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้?  พวกเขาต้องมีสำนึกละอายแก่ใจ สำนึกรับรู้ถึงมโนธรรม  เมื่อพวกเขาทำความผิดพลาด พวกเขาจะตำหนิตัวเองและรู้สึกสำนึกผิด และพวกเขาจะละทิ้งหนทางที่ผิดของตน  คนประเภทนี้สามารถกลับตัวได้  นี่คือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ของคนเราควรมีอย่างขั้นต่ำที่สุด  นอกจากมโนธรรม เหตุผล และสำนึกละอายแก่ใจแล้ว จำเป็นต้องมีอะไรอีก?  (ความรักในสิ่งที่เป็นบวก)  ถูกต้อง  ความรักในสิ่งที่เป็นบวกหมายถึงการรักความจริง  มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่เป็นคนมีจิตใจปรานี  คนชั่วรักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  คนชั่วรักสิ่งที่ชั่ว เลวทราม และมุ่งร้าย พวกเขารักทุกอย่างที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นลบ  เมื่อเจ้าพูดคุยกับพวกเขาเรื่องสิ่งที่เป็นบวก หรือเรื่องที่ว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและมาจากพระเจ้าอย่างไร พวกเขาไม่ยินดีและไม่สนใจที่จะได้ยินเรื่องเหล่านั้น—พวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ไม่สำคัญว่าคนเราสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาดีเพียงใดหรือมีคนพูดกับพวกเขาอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร พวกเขาเพียงแค่ไม่สนใจ และอาจจะถึงขั้นแสดงความไม่เป็นมิตรและความเป็นปรปักษ์เสียด้วยซ้ำ  แต่สายตาของพวกเขาก็เปล่งประกายเมื่อพวกเขาได้ยินใครบางคนพูดถึงความสำราญทางเนื้อหนัง และพวกเขาก็กลายเป็นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง  นี่คืออุปนิสัยที่เลวทรามและชั่ว และพวกเขาก็ไม่ได้มีจิตใจดี  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจสามารถรักสิ่งที่เป็นบวกได้  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาคำนึงถึงสิ่งที่เป็นบวกอย่างไร?  พวกเขาดูหมิ่นและดูแคลนสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาเย้ยหยันสิ่งเหล่านี้  เมื่อเป็นเรื่องของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาคิดว่า “การเป็นคนที่ซื่อสัตย์มีแต่ทำให้คุณตกอยู่ในความเสียเปรียบ  ฉันขอผ่านก็แล้วกัน!  หากคุณซื่อสัตย์ คุณก็คือคนโง่เขลา  ดูคุณสิ สู้ทนความยากลำบากและทำงานหนักเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่เคยคำนึงถึงอนาคตของตัวเองหรือสุขภาพของตัวเองเลย  ใครจะไปใส่ใจหากคุณหมดแรงล้มลงจากความเหนื่อยล้า?  ฉันทำให้ตัวเองเหนื่อยมากไม่ได้หรอก”  คนอื่นอาจจะพูดว่า “พวกเรามาเตรียมทางหนีปัญหาให้ตัวเองกันเถิด  พวกเราจะทำงานหนักเหมือนคนโง่ไม่ได้หรอก  พวกเราต้องตระเตรียมแผนสำรองของพวกเราเอาไว้ แล้วก็แค่ทุ่มเทความพยายามมากขึ้นอีกเล็กน้อย”  พวกที่ชั่วเหล่านั้นจะมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขาตระหนักเรื่องนี้ดี  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์และการสละตนเองเพื่อหน้าที่ของคนเราอย่างจงรักภักดี พวกเขากลับรู้สึกถึงความน่าคลื่นเหียนและการรังเกียจ และจะไม่เข้าใจความหมายของการนั้น  ใครบางคนเช่นนี้ไม่เลวทรามหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ล้วนมีอุปนิสัยอันเลวทราม  ตราบที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริงและพูดถึงหลักธรรมของการปฏิบัติกับพวกเขา พวกเขาย่อมกลายเป็นคลื่นเหียนและไม่เต็มใจที่จะรับฟัง  พวกเขาจะคิดว่าเรื่องนี้สร้างความบาดเจ็บให้ความภาคภูมิใจของตน สร้างบาดแผลให้ศักดิ์ศรีของตน และพวกเขาก็ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้  ภายในนั้นพวกเขาจะพูดว่า “การพูดเกี่ยวกับความจริง เกี่ยวกับหลักธรรมของการปฏิบัติเรื่อยไป  การพูดถึงการเป็นคนซื่อสัตย์อยู่ตลอด—ความซื่อสัตย์ให้อาหารคุณกินได้หรือ?  การพูดอย่างซื่อสัตย์ทำเงินให้คุณได้หรือ?  การฉ้อโกงคือวิธีที่ฉันจะทำกำไร!”  นี่คือตรรกะแบบใด?  นี่คือตรรกะของโจร  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเลวทรามหรอกหรือ?  คนคนนี้มีจิตใจปรานีหรือไม่?  (ไม่)  คนประเภทนี้ไม่สามารถบรรลุความจริงได้  สิ่งเล็กน้อยที่พวกเขากระทำ สละ และละทิ้งจริงๆ นั้นล้วนแต่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายหนึ่ง เป้าหมายที่พวกเขาคิดคำนวณล่วงหน้าอย่างดี  พวกเขาคิดเพียงว่าการเสนอบางสิ่งบางอย่างเป็นข้อตกลงที่ดีหากพวกเขาได้รับกลับคืนมามากกว่า  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วและเลวทรามอย่างหนึ่ง

คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้าไม่แสวงหาความจริง  พวกเขาชอบคิดกลอุบายและการจัดการเตรียมการของตนเองอยู่เสมอ  ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ได้รับมากมายหลังจากหลายปีของการนี้—พวกเขาจะไม่เข้าใจความจริงอันใดและไม่สามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้  ในเวลานี้พวกเขาจะรู้สึกเสียใจ และคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์  พวกเขาได้รู้สึกค่อนข้างฉลาดแยบยลในเวลานั้น คิดแผนตามเจตจำนงของตัวเอง แต่ด้วยการที่ยังไม่ได้บรรลุความจริง พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด  ผู้คนทำความเข้าใจความจริงและตื่นขึ้นผ่านทางความล้มเหลวเหล่านี้เท่านั้น  เฉพาะหลังจากที่ชีวิตของพวกเขาทนทุกข์กับความสูญเสียระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงไปอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และเริ่มใช้ทางลัด  หากพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขาคงจะหลีกเลี่ยงทางอ้อมมากมายเหลือเกินตามเส้นทาง  คนบางคนเกิดความเข้าใจความจริงบางประการหลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมายและเผชิญกับความล้มเหลวและความพลั้งพลาดบางอย่าง  พวกเขามองทะลุปรุโปร่งถึงเรื่องเหล่านี้ และสามารถวางใจมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่พระเจ้า นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์อย่างเต็มใจ  ที่จุดนั้น พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  แต่คนที่มีอุปนิสัยที่ชั่วและเลวทรามย่อมไม่ยอมมอบตัวเองให้กับพระเจ้า  พวกเขาต้องการพึ่งพาความพยายามของตนเองอยู่เสมอ ตั้งคำถามอยู่เสมอว่า “ชะตากรรมควบคุมโดยพระเจ้าจริงๆ หรือ?  พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งจริงๆ หรือ?”  บางคนเมื่อรับฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมเดียวกันในพระนิเวศของพระเจ้า ยิ่งรับฟังมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกขะมักเขม้นมากขึ้น  ยิ่งรับฟังมากขึ้นสภาวะของพวกเขาก็ดีขึ้นและพวกเขาก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง  แต่ผู้อื่นบางคนคิดเพียงว่าการนี้ฟังดูซับซ้อนมากขึ้นทุกที ไม่สามารถบรรลุไปถึงได้มากขึ้น  เหล่านี้คือคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  และยังมีคนอื่นอื่นที่รับฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมแล้วรู้สึกรังเกียจและไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง  นี่เผยให้เห็นความแตกต่างในธรรมชาติของผู้คน แยกแกะออกจากแพะ แยกบรรดาผู้ที่รักความจริงออกจากผู้ที่ไม่รักความจริง  กลุ่มหนึ่งยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริง และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  อีกกลุ่มไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าพวกเขาจะรับฟังคำเทศนาอย่างไร  พวกเขาคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่ศัพท์แสง และต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงนั้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถละทิ้งแผน ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว และผลประโยชน์ของตนเองได้  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงแม้หลังจากหลายปีแห่งการเชื่อแล้วก็ตาม  ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ภายในคริสตจักรไม่ค่อนข้างประจักษ์ชัดหรอกหรือ?  บรรดาผู้ที่ต้องการพระเจ้าอย่างแท้จริงไม่ได้รับอิทธิพลไม่ว่าผู้อื่นพูดอย่างไร พวกเขายืนกรานในการสละตนเองเพื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้อง และเชื่อว่าการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมสูงสุด  พวกที่ชั่วและไม่รักความจริงมีความคิดที่กระตือรือร้นอยู่เสมอ  หากในวันนี้พวกเขามองเห็นความหวังริบหรี่ที่จะได้รับพระพร พวกเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถและทำความดีเพื่อให้ทุกคนเห็น โดยหวังว่าจะเอาชนะใจทุกคน  อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสักพักเมื่อพระเจ้ายังไม่ได้ทรงอวยพรพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นเสียใจและพร่ำบ่น และนี่คือข้อสรุปที่พวกเขามาถึง กล่าวคือ “พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ทรงแสดงให้เห็นความลำเอียง—ฉันไม่แน่ใจนักว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่สัตย์จริง”  พวกเขาไม่สามารถมองพ้นผลประโยชน์ปัจจุบันทันด่วนของตนเองไปได้ หากการนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่กระดิกนิ้ว  นี่ไม่เลวทรามหรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด พวกเขาย่อมพยายามที่จะทำข้อตกลงกับผู้นั้น และพวกเขาก็ถึงขั้นอาจหาญที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า  พวกเขาคิดว่า “ฉันจำเป็นต้องเห็นกำไรอยู่บ้าง แล้วก็ในตอนนี้เลย  ฉันต้องทำกำไรทันที!”  เป็นการใช้กำลังบังคับเสียจริง—จะมากเกินไปไหมที่จะพูดว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเลวทราม?  (ไม่)  จะพิสูจน์ความเลวทรามของพวกเขาได้อย่างไร?  เมื่อพวกเขาเผชิญกับบททดสอบและความวิบัติเล็กน้อย พวกเขาจะไม่สามารถรับมือได้และจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาจะรู้สึกว่าตนได้ประสบกับความสูญเสีย กล่าวคือ “ฉันลงทุนไปมากมายเหลือเกินและพระเจ้าก็ยังคงไม่ได้ทรงอวยพรฉัน  มีพระเจ้าจริงๆ ด้วยหรือ?  นี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่?”  หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนด้วยความกังขา  พวกเขาต้องการที่จะเห็นกำไร และนี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ทำการพลีอุทิศอย่างเต็มใจและตั้งใจจริง พวกเขาถูกเผยให้เห็นในหนทางนี้  ภรรยาของโยบพูดอะไรเมื่อโยบกำลังได้รับประสบการณ์กับบททดสอบของตน?  (“เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9))  ภรรยาของโยบเป็นผู้ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเจ้าและละทิ้งพระองค์เมื่อภัยพิบัติโหมกระหน่ำ  เมื่อพระเจ้าประทานพระพร เธอพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่!  พระองค์ประทานทรัพย์สินให้กับข้าพระองค์มากมายเหลือเกินรวมทั้งทรงอวยพรข้าพระองค์  ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์!”  และเมื่อพระเจ้าทรงเอาทรัพย์สินของเธอไปเสีย เธอก็พูดว่า “พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของข้าพระองค์”  เธอถึงขั้นบอกกับโยบว่า “อย่าไปเชื่อเลย  ไม่มีพระเจ้าหรอก!  หากมีพระเจ้า พระองค์จะทรงปล่อยให้พวกโจรเอาทรัพย์สินของพวกเราไปได้อย่างไรกัน?  ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงคุ้มครองพวกเรา?”  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวทรามอย่างหนึ่ง  ทันทีที่ผลประโยชน์ของพวกเขามีความเสี่ยง และไม่เป็นไปตามเป้าหมายและความอยากได้อยากมีของตัวเอง พวกเขาก็เดือดดาล ขัดขืน และกลายเป็นยูดาส ทรยศและละทิ้งพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้มีมากมายหรือไม่?  คนชั่วและผู้ไม่เชื่อที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเช่นนั้นอาจยังคงมีอยู่ภายในคริสตจักรในขอบข่ายหนึ่ง  แต่บางคนก็มีเพียงแค่สภาวะประเภทนี้เท่านั้น กล่าวคือ พวกเขามีอุปนิสัยนี้ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนประเภทนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ามีอุปนิสัยประเภทนี้ นั่นจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  (จำเป็น)  หากเจ้ามีอุปนิสัยประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วย่อมหมายความว่าธรรมชาติของเจ้าก็เลวทรามด้วย  ด้วยอุปนิสัยอันเลวทรามประเภทนี้ เจ้าสามารถต่อต้านพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และกระทำการกับพระองค์อย่างเป็นอริได้ทุกชั่วขณะ  ทุกๆ วันที่เจ้าไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือวันที่เจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  เมื่อเจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าย่อมไม่มีหนทางที่จะได้รับความรอด

โยบเป็นมนุษย์ที่มีความเชื่อที่แท้จริง  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเขา เขาขอบคุณพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยและทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน  เมื่อสิ้นสุดประสบการณ์ของเขา ตอนที่เขาแก่ชราและพระเจ้าได้ทรงเอาทั้งหมดที่เขามีไปเสีย โยบมีปฏิกิริยาอย่างไร?  ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้พร่ำบ่นเท่านั้น แต่เขายังสรรเสริญพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าด้วย  ในที่นี้มีอุปนิสัยที่ชั่วหรือไม่?  มีอุปนิสัยที่เลวทรามหรือไม่?  (ไม่มี)  โยบต่อต้านหลังจากเสียทรัพย์สินไปมากมายเหลือเกินหรือไม่?  เขาพร่ำบ่นหรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่ได้พร่ำบ่น เขาสรรเสริญพระเจ้า  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่รวมหลายสิ่งหลายอย่างที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี กล่าวคือ มโนธรรม เหตุผล และความรักที่มีให้กับสิ่งที่เป็นบวก  อันดับแรกเลยคือ โยบมีมโนธรรม  ในหัวใจของเขานั้นเขารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานทุกสิ่งที่เขามี และเขาก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนี้  นอกจากนี้เขาก็มีเหตุผล  คำกล่าวใดของเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีเหตุผล?  (เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21))  คำกล่าวนี้เป็นพยานให้ประสบการณ์ที่แท้จริงและความเข้าใจของโยบเกี่ยวกับบททดสอบของพระเจ้า คำกล่าวนี้สื่อวุฒิภาวะและความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา  โยบมีอะไรอีก?  (ความรักในความจริง)  เรื่องนี้ประเมินวัดอย่างไร?  พวกเราจะมองเห็นความรักที่เขามีให้กับความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงทำให้เขาสูญเสียได้อย่างไร?  (เมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับเขา เขาสามารถแสวงหาความจริงได้)  การแสวงหาความจริงคือการสำแดงถึงการรักความจริง  เวลาที่สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา ไม่สำคัญว่าโยบรู้สึกไม่ชูใจหรือเจ็บปวดเพียงใด เขาก็ไม่ได้พร่ำบ่น—นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการรักความจริงหรอกหรือ?  แล้วอะไรคือการสำแดงถึงการรักความจริงที่สำคัญอีกประการ?  (ความสามารถที่จะนบนอบ)  พวกเรารู้ได้อย่างไรว่านี่คือการสำแดงถึงการรักความจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและถูกต้องแม่นยำ?  ผู้คนมักจะพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนเป็นประโยชน์และมาพร้อมกับน้ำพระทัยอันดีของพระองค์”  นี่คือความจริงหรือ?  (ใช่)  แต่เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงเอาไปเสีย เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถ แต่โยบสามารถ  เขาถือว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง—เขาไม่ได้รักความจริงหรอกหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงเอาทั้งหมดที่เขามีไปเสีย ทำให้เขาต้องสูญเสียอย่างสาหัส และเมื่อโยบทนทุกข์จากความเจ็บป่วยร้ายแรงเช่นนั้น เพราะคำกล่าวเดียวนี้—“ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและมาพร้อมกับน้ำพระทัยอันดีของพระองค์”—และเนื่องจากโยบเข้าใจในหัวใจของตนว่านี่คือความจริง ไม่สำคัญว่าเขาทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงเพียงใด เขายังคงสามารถยืนกรานว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราจึงกล่าวว่าโยบรักความจริง  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการใดเพื่อทดสอบโยบ เขายอมรับวิธีการนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอาสิ่งทั้งหลายไปเสียหรือการให้พวกโจรเอาสิ่งเหล่านั้นไป หรือแม้กระทั่งการทำให้โยบเจ็บป่วยด้วยฝีร้าย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดสวนทางกลับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—แต่โยบปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  เขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  เขาไม่ได้กล่าวคำติเตียนพระเจ้าสักคำ  นี่คือการรักความจริง การรักความเที่ยงธรรม และการรักความชอบธรรม  เขาพูดกับตัวเองในใจว่า “พระเจ้าทรงเที่ยงธรรมต่อผู้คนอย่างพวกเรายิ่งนักและทรงชอบธรรมยิ่งนัก!  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำย่อมถูกต้อง!”  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถสรรเสริญพระเจ้าโดยพูดว่า “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ฉันจะไม่พร่ำบ่น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นเพียงแค่หนอนแมลง  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรก็ย่อมดีและมีเหตุผลอันชอบธรรม”  เขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง เป็นบางสิ่งที่เป็นบวก  ทั้งที่เขามีความเจ็บปวดและความไม่สบายรุนแรง แต่เขาก็ไม่ได้พร่ำบ่น  นี่คือความรักอันแท้จริงในความจริงที่ทุกคนต้องชื่นชม และนี่ล้วนแต่แสดงให้เห็นอย่างเป็นไปในทางปฏิบัติ  ไม่ว่าเขาสูญเสียไปมากเพียงใดหรือรูปการณ์แวดล้อมของเขาลำบากยากเย็นเพียงใด โยบก็ไม่ได้พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เขากลับนบนอบ  นี่คือการสำแดงถึงการรักความจริง  เขาสามารถเอาชนะความลำบากยากเย็นของตัวเองได้ เขาไม่ได้พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าเนื่องด้วยความลำบากยากเย็นเหล่านั้นหรือสร้างข้อเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า  นี่คือการรักความจริง เป็นการนบนอบอันแท้จริง  มีเพียงผู้ที่มีการนบนอบอันแท้จริงเท่านั้นที่เป็นคนที่รักความจริง  คนบางคนเป็นเลิศในการพ่นคำสอนและโห่ร้องคำขวัญในเวลาปกติ แต่เมื่อบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากลับมีข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เสมอ และอ้อนวอนพระองค์อย่างไม่ลดละว่า “โอ พระเจ้า ได้โปรดทรงนำเอาความเจ็บป่วยของข้าพระองค์ไปเสียเถิด!  ได้โปรดทรงกู้ความอุดมด้วยโภคทรัพย์ของข้าพระองค์คืนด้วยเถิด!”  นี่ใช่การนบนอบหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่คนที่รักความจริง  พวกเขาชอบโกหกและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด รวมทั้งรักความอุดมด้วยโภคทรัพย์และผลประโยชน์ในหัวใจของตน  โยบคำนึงถึงผลประโยชน์ทางวัตถุและสิ่งครอบครองทั้งหมดของเขาอย่างไม่สลักสำคัญ มีความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงสามารถนบนอบได้  ในหัวใจของเขานั้นโยบสามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้  เขาพูดว่า “ไม่สำคัญว่าคนเราหาเงินได้มากเพียงใดในชีวิตนี้ ทั้งหมดนั่นมาจากพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าหาเงินได้ เจ้าย่อมจะหาไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว  หากพระองค์ทรงอนุญาตการนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีมากเท่าที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า”  เขามองเห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งอย่างชัดเจน ความจริงนี้หยั่งรากลงในหัวใจของเขา  “พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง”—ประโยคนี้ไม่ได้มาพร้อมเครื่องหมายคำถามสำหรับโยบ แต่มาพร้อมเครื่องหมายอัศเจรีย์  ประโยคนี้ได้กลายมาเป็นชีวิตของเขาและลงหลักปักฐานในหัวใจของเขา  มีอะไรอีกที่เป็นลักษณะประจำตัวในความเป็นมนุษย์ของโยบ?  เหตุใดเขาจึงสาปแช่งวันเกิดของตัวเอง?  เขาสู้ตายเสียดีกว่าที่จะให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเจ็บปวดและระทมพระทัยให้กับเขา  นี่เป็นคุณลักษณะแบบใด เป็นแก่นแท้แบบใด?  (ความใจดี)  อะไรคือการสำแดงหลักถึงความใจดีของโยบ?  เขาคำนึงถึงและมีความเข้าใจในพระเจ้า และเขาก็รักความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  หากใครบางคนมีคุณลักษณะเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีบุคลิกลักษณะ  บุคลิกลักษณะก่อร่างอย่างไร?  มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริง ผู้ที่สามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนในระหว่างบททดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตาน ผู้ที่สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ ไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และผู้ที่ครองความจริงประมาณหนึ่งเท่านั้นที่มีบุคลิกลักษณะ  ในแง่ของแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ เป็นเพราะโยบมีหัวใจอันดีเท่านั้นเขาจึงสามารถสาปแช่งวันเกิดของตัวเองได้ และสู้ตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเจ็บปวด ทำให้พระเจ้าระทมพระทัยและทรงเป็นกังวล  นี่คือความเป็นมนุษย์ของโยบ  คนคนหนึ่งจะรักและใส่ใจในพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขามีความเป็นมนุษย์และแก่นแท้อันดีเท่านั้น  หากพวกเขาไม่มีทั้งสองอย่างนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะด้านชาและมึนชา  ลองเทียบเคียงการนี้กับเปาโลซึ่งตรงกันข้ามกับโยบอย่างสิ้นเชิง  เปาโลดูแลเอาใจใส่ตัวเองอยู่เสมอ และถึงขั้นต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้า  เขาต้องการได้มาซึ่งมงกุฎ เขาต้องการเป็นพระคริสต์และแทนที่พระคริสต์  และเมื่อเขาไม่สามารถได้รับมงกุฎของตน เขาก็พยายามที่จะโต้เถียงกับพระเจ้าและโต้แย้งพระองค์  ช่างเป็นการไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง!  นี่แสดงให้เห็นว่าเปาโลขาดพร่องสำนึกละอายแก่ใจ  คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานต้องเปลี่ยนแปลง  หากคนเราเข้าใจความจริง และสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถนบนอบพระเจ้า  พวกเขาจะไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไปและจะกลายเป็นเข้ากันได้กับพระองค์  คนเช่นนี้เป็นผู้ที่ได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  นี่คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างประเภทที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา

13 กรกฎาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้

ถัดไป: โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger