โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี
การที่คนเราสามารถบรรลุความจริงผ่านทางการเชื่อของตนในพระเจ้าได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้หรือไม่ พวกเขาสามารถปฏิบัติเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรมได้หรือไม่ และพวกเขาสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้หรือไม่—นี่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่สำคัญว่าพระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการสิ่งใดให้เจ้าทำ หรือพระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตรงไหน เจ้าย่อมสามารถยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า การยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าคือความเชื่อที่แท้จริง และเป็นการปฏิบัติแง่มุมหนึ่ง แล้วคนเรายอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าอย่างไร? เจ้ากล่าวว่า “แม้ว่าผู้คนเป็นผู้ที่จัดการเตรียมการเรื่องนี้ แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของฉัน หน้าที่ใดก็ตามที่คริสตจักรจัดการเตรียมการให้ฉันปฏิบัติมาจากความยินยอมของพระเจ้า ฉันควรยอมรับและนบนอบ เช่นนั้นแล้วฉันควรปฏิบัติต่อหน้าที่ของฉันอย่างไร?” พระเจ้าทรงมีข้อพึงประสงค์ใดหรือไม่ในเรื่องวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของตน? ความจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนนำไปปฏิบัติคืออะไร? (การอุทิศหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และความพยายามของคนเราที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี) เมื่อปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ในยามที่เจ้าเกียจคร้านและไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือในยามที่เจ้ามีข้อพร่ำบ่น เจ้าควรแสวงหาว่า “ในที่นี้ปัญหานั้นอยู่ตรงไหน? ฉันไม่ได้ปฏิบัติดังที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์! ฉันต้องปล่อยมือจากแนวคิดของฉัน ปล่อยมือจากข้อเรียกร้องและความอยากได้อยากมีของฉัน ฉันต้องพลิกสภาวะภายในที่ไม่ถูกต้องของฉันกลับมา” เจ้าต้องสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ แต่บางครั้งก็มีบางสิ่งที่กีดกันไม่ให้ผู้คนปล่อยวาง สิ่งจำพวกใดหรือ? ตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกอิจฉาตลอดเวลาที่หน้าที่ของคนอื่นน่าดึงดูดใจมากกว่า หน้าที่ของคนอื่นอำนวยให้คนเหล่านั้นปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย พวกเขาคิดเสมอว่าหน้าที่ของตนเองไม่มีนัยสำคัญ คนที่พวกเขาพบขณะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีน้อยเกินไป และนี่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ นอกจากนี้เพราะความรับผิดชอบในหน้าที่ในขอบเขตที่เล็กน้อยของพวกเขารวมทั้งผู้คนจำนวนน้อยที่พวกเขาต้องบริหาร พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่มีสถานะ นี่เป็นความคิดประเภทใด? ต้นตอของแนวคิดเหล่านี้คืออะไร? (อุปนิสัยอันเสื่อมทราม) สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม สิ่งเหล่านี้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เกิดขึ้นคืออะไร? สิ่งเหล่านี้คือโครงการ แผนการ ความอยากได้อยากมี และความมักใหญ่ใฝ่สูงส่วนบุคคล ควรแก้ไขสิ่งเหล่านี้อย่างไร? อันดับแรกเลยก็คือ เจ้าต้องปล่อยวาง จากนั้นผ่านทางการชำแหละก็ตระหนักว่าในหัวใจของเจ้านั้น เจ้ายังคงแสวงหาสถานะแทนที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างตั้งใจจริงเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เจ้ายังคงมีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมี เจ้าละโมบผลประโยชน์แห่งสถานะ เจ้ามีข้อเรียกร้องที่เกินเลย และเจ้าก็ยังไม่ได้นบนอบพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า สภาวะของข้าพระองค์ไม่ถูกต้อง ได้โปรดทรงบ่มวินัยและสั่งสอนข้าพระองค์ ได้โปรดทรงยอมให้การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์บังเกิดขึ้นกับข้าพระองค์เพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้รู้จักตัวเองและกลับใจด้วยเถิด” หากเจ้ามีหัวใจที่กลับใจ เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงติติงและบ่มวินัยเจ้า พระองค์จะทรงตอบสนองตามวุฒิภาวะของเจ้า พระองค์อาจทรงบ่มวินัยเจ้า หรือบางทีพระองค์ก็อาจทรงนำเจ้าไปทีละน้อย หากพระองค์ทรงบ่มวินัยเจ้า นั่นย่อมเป็นเพราะเจ้ามีวุฒิภาวะอยู่บ้าง แต่พระองค์อาจไม่ทรงบ่มวินัยเจ้า และนั่นเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอ ซึ่งในกรณีนี้พระองค์อาจทรงสนับสนุนและทรงนำทางเจ้าไปทีละน้อย เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถนบนอบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน ต้องมีความพร้อมพื้นฐานใดเพื่อที่พระเจ้าจะได้ทรงทำการนี้? มีเพียงเมื่อเจ้ามีหัวใจที่กลับใจ หัวใจที่นบนอบและให้ความร่วมมือกับพระเจ้า และหัวใจที่โหยหาและใฝ่หาความจริงเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงพิพากษา ตีสอน และชำระเจ้าให้บริสุทธิ์ หากเจ้าขาดพร่องความตั้งใจแน่วแน่สำหรับการนี้และไม่อธิษฐาน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับทำตามเนื้อหนังของตนและไม่ปล่อยมือจากโครงการ ความอยากได้อยากมี และความมักใหญ่ใฝ่สูงของตน พระเจ้าจะยังทรงทำการนี้เพื่อเจ้าหรือไม่? พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า พระเจ้าจะทรงปิดบังพระองค์เองจากเจ้า พระองค์จะทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้า ในการชุมนุม ทุกคนจะรู้สึกถูกยกขึ้นสูงโดยคำเทศนา แต่เจ้าจะรู้สึกเซื่องซึมตลอดเวลา โดยไม่มีทางทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าได้เลย ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าจะไม่สามารถซึมซับการนี้ได้เลย และสภาวะนี้จะอยู่ยืนนานอย่างยืดยาด ถึงขั้นอยู่ได้เป็นเวลาหนึ่งหรือสองปี หรือแม้กระทั่งสามถึงห้าปี นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้าแล้ว พระองค์ทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้า และนี่เป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง บางคนจะพูดว่า “นั่นเป็นภัยอันตรายอย่างไร? ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันยังไม่ได้ผละจากพระเจ้าไปเลย ฉันยังคงอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฟังเพลงสรรเสริญ และมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ฉันยังคงเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า” นี่เป็นเพียงแค่ความเป็นตัวแทนภายนอกที่ไม่ชี้ขาดอะไรเลย ในทางกลับกัน อะไรมีผลชี้ขาด? เป็นเรื่องที่ว่าพระเจ้ากำลังทรงเฝ้ามองเจ้าและทรงนำเจ้าหรือไม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจกับเจ้าและบ่มวินัยเจ้าหรือไม่ นี่คือประเด็นสำคัญ แล้วการทรงนำของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับสิ่งใด? (สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับหัวใจของผู้คน) ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า หัวใจของตน การโหยหาและการใฝ่หาของตน และสิ่งที่ตนแสวงหา สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ผู้คนเดิน นี่คือแง่มุมที่สำคัญที่สุด และพระเจ้าก็ทรงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติที่พระองค์มีต่อผู้คน
ประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดที่จะต้องแก้ไขในขณะนี้คือวิธีปฏิบัติต่อหน้าที่ของคนเรา เพราะการปฏิบัติหน้าที่คือสิ่งที่เผยให้เห็นดีที่สุดว่าการเชื่อของคนคนหนึ่งแท้จริงหรือเทียมเท็จ พวกเขารักความจริงหรือไม่ พวกเขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้องหรือผิด และพวกเขามีหรือขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผล ประเด็นปัญหาทั้งหมดนี้สามารถเผยให้เห็นได้ในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อหน้าที่ของคนเรา เจ้าต้องเข้าใจเสียก่อนเป็นอันดับแรกว่าหน้าที่คืออะไร ตลอดจนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างไรและจะต้องทำสิ่งใดเมื่อเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็นขณะปฏิบัติหน้าที่—จะติดตามและปฏิบัติตามหลักธรรมใดโดยสอดคล้องกับความจริงใด เจ้าต้องเข้าใจว่าต้องทำสิ่งใดเมื่อเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดและเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากโครงการของตนได้ นอกจากนี้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าต้องทบทวนความคิดที่ไม่ถูกต้องในหัวใจของตนอยู่เนืองนิจ ซึ่งก็คือความคิดและทรรศนะที่เป็นของซาตาน ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางและมีอิทธิพลต่อการลุล่วงหน้าที่ของตน ซึ่งสามารถเป็นเหตุให้เจ้าทรยศและกบฏต่อพระเจ้าขณะทำหน้าที่ และซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าล้มเหลวกับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า—เจ้าต้องรู้เรื่องทั้งหมดนี้ หน้าที่สำคัญกับคนคนหนึ่งหรือไม่? สำคัญอย่างที่สุด วิสัยทัศน์นี้ต้องชัดเจนสำหรับพวกเจ้าในตอนนี้ กล่าวคือ การปฏิบัติหน้าที่มีความสำคัญสูงสุดสำหรับการเชื่อในพระเจ้า แง่มุมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าในตอนนี้คือการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ย่อมไม่สามารถมีความเป็นจริงได้ ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมทั้งสามารถค่อยๆ สร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ ผู้คนค่อยๆ ระบุปัญหาของตน และมาตระหนักถึงอุปนิสัยและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนด้วยการปฏิบัติหน้าที่ ในเวลาเดียวกันผู้คนก็สามารถค่อยๆ ค้นพบว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใดจากพวกเขากันแน่ด้วยการทบทวนตัวเอง ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเจ้าเชื่อสิ่งใดกันแน่เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า? ในข้อเท็จจริงนั้น นั่นคือการเชื่อในความจริง การบรรลุความจริง การปฏิบัติหน้าที่อำนวยให้มีการบรรลุความจริงและชีวิต ความจริงและชีวิตไม่สามารถบรรลุได้หากปราศจากการปฏิบัติหน้าที่ สามารถมีความเป็นจริงได้หรือไม่หากคนเราเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ปฏิบัติหน้าที่? (ไม่) ไม่สามารถมีความเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้ หากเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เจ้าย่อมจะไม่สามารถบรรลุความจริงได้ ทันทีที่เจ้าถูกกำจัดออกไป นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่สามารถเชื่อในพระเจ้า แม้ว่าเจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระองค์ แต่การเชื่อของเจ้าก็สิ้นไร้ซึ่งความหมายอยู่แล้ว นี่คือบางสิ่งที่ต้องจับความเข้าใจโดยถ้วนทั่ว
หลักธรรมทั้งหลายที่เจ้าต้องเข้าใจและความจริงทั้งหลายที่เจ้าต้องนำไปปฏิบัตินั้นเหมือนกัน โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะถูกขอให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือไม่ว่าเจ้าจะกำลังทำอาหารในฐานะเจ้าภาพ หรือไม่ว่าเจ้าจะถูกขอให้ดูแลกิจธุระภายนอกบางเรื่องหรือทำงานที่ออกแรงกายหรือไม่ก็ตาม หลักธรรมความจริงที่ควรถือปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่ที่แตกต่างกันเหล่านี้ก็เหมือนกันในเรื่องที่ว่าต้องมีพื้นฐานอยู่ในความจริงและในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอะไรคือหลักธรรมที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดท่ามกลางหลักธรรมเหล่านี้? นั่นคือการอุทิศหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และความพยายามของคนเราที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้ การจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและให้ได้มาตรฐานนั้น เจ้าต้องรู้ว่าหน้าที่คืออะไร แล้วหน้าที่คืออะไรกันแน่? หน้าที่คืออาชีพการงานของเจ้าเองกระนั้นหรือ? (ไม่ใช่) หากเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าดังเช่นอาชีพการงานของเจ้าเอง เต็มใจทุ่มเทความพยายามของเจ้าทั้งหมดเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี เพื่อที่ผู้อื่นจะได้มองเห็นว่าเจ้าประสบความสำเร็จและโดดเด่นเพียงใด โดยคิดว่าเรื่องนี้ให้ความหมายของชีวิตของเจ้า นั่นจะเป็นทรรศนะที่ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ทรรศนะนี้เกิดการผิดพลาดตรงไหน? เกิดการผิดพลาดในการรับพระบัญชาของพระเจ้าเป็นการประกอบการของตนเอง ขณะที่การนี้ดูดีสำหรับมนุษย์ สำหรับพระเจ้าแล้วนั่นคือการเดินบนเส้นทางที่ผิด ละเมิดหลักธรรมความจริง และพระองค์ก็ทรงกล่าวโทษการนี้ หน้าที่ต้องได้รับการปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า การขัดขืนหลักธรรมความจริงและการกระทำการตามความชอบใจของมนุษย์แทนเป็นเรื่องบาปหนา การนี้ต่อต้านพระเจ้าและพึงต้องมีการลงโทษ นี่คือชะตากรรมของพวกคนโง่เขลาและไม่รู้ความที่ไม่ยอมรับความจริง บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้คน วิสัยทัศน์นี้ต้องเป็นที่ชัดเจน ก่อนอื่นพวกเรามาพูดคุยกันเถิดว่าหน้าที่คืออะไร หน้าที่ไม่ใช่การดำเนินการของเจ้าเอง อาชีพของเจ้าเอง หรืองานของเจ้าเอง นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ความร่วมมือของเจ้า ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ของเจ้าขึ้นมา พระราชกิจของพระเจ้าในส่วนซึ่งมนุษย์ต้องร่วมมือก็คือหน้าที่ของเขา หน้าที่คือส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้า ไม่ใช่กิจธุระในครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวในชีวิตของเจ้าด้วย ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเกี่ยวข้องกับกิจธุระภายนอกหรือภายในก็ตาม ไม่ว่าจะใช้แรงใจหรือแรงกาย นี่คือหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ นี่คืองานของคริสตจักร ก่อเกิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเป็นภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า นี่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าควรปฏิบัติกับหน้าที่ของเจ้าอย่างไร? อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางใดก็ได้ตามแต่เจ้าจะพอใจ เจ้าต้องไม่กระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น ตัวอย่างเช่น หากเจ้าควบคุมดูแลการทำอาหารให้กับพี่น้องชายหญิงของเจ้า นั่นคือหน้าที่ของเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อกิจนี้อย่างไร? (ข้าพระองค์ควรแสวงหาหลักธรรมความจริง) เจ้าแสวงหาหลักธรรมความจริงอย่างไร? เรื่องนี้สัมพันธ์กับความเป็นจริงและความจริง เจ้าต้องคิดถึงวิธีนำความจริงไปปฏิบัติ วิธีปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดี และหน้าที่นี้เกี่ยวข้องกับความจริงแง่มุมใด ขั้นตอนที่หนึ่งก็คืออันดับแรกเลยเจ้าต้องรู้ว่า “ฉันไม่ได้กำลังทำอาหารให้ตัวเอง ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันอยู่” แง่มุมที่เกี่ยวข้องในที่นี้คือนิมิต แล้วขั้นตอนที่สองล่ะ? (ข้าพระองค์ต้องคิดถึงวิธีทำมื้ออาหารให้ดี) เกณฑ์กำหนดสำหรับการทำอาหารให้ดีคืออะไร? (ข้าพระองค์ต้องแสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า) ถูกต้อง มีเพียงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง มาตรฐาน และหลักธรรม การทำอาหารตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าคือความจริงแง่มุมหนึ่ง อันดับแรกเลยก็คือเจ้าต้องพิจารณาความจริงแง่มุมนี้ แล้วจึงใคร่ครวญว่า “พระเจ้าประทานหน้าที่นี้ให้ฉันปฏิบัติ มาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์คืออะไร?” รากฐานนี้เป็นสิ่งจำเป็น เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำอาหารอย่างไรเพื่อที่จะให้ได้มาตรฐานของพระเจ้า? อาหารที่เจ้าทำควรถูกสุขอนามัย มีรสชาติ สะอาด และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย—นี่คือรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ตราบที่เจ้าทำอาหารตามหลักธรรมนี้ อาหารที่เจ้าทำย่อมจะทำขึ้นตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะเจ้าแสวงหาหลักธรรมเกี่ยวกับหน้าที่นี้และไม่ได้ทำเกินขอบเขตที่พระเจ้าได้วาดเค้าโครงไว้ นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการทำอาหาร เจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดี และเจ้าทำหน้าที่นั้นอย่างน่าพึงพอใจ
ไม่ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รู้ว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับหน้าที่ดังกล่าวคืออะไร และเข้าใจว่าเจ้าควรทำให้สิ่งใดสำเร็จลุล่วงผ่านทางหน้าที่นั้น ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถดำเนินงานของเจ้าจนเสร็จสิ้นตามหลักธรรมได้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้ามีความสุขที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี นี่คือการกระทำตามเจตจำนงของคนเราเอง หากเจ้าพึ่งพาความชอบส่วนตัวของเจ้าเองในการปฏิบัติหน้าที่ คิดไปว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้พระเจ้าเบิกบาน และหากเจ้าบังคับให้พระเจ้าเลือกชอบตามความชอบส่วนตัวของเจ้าหรือปฏิบัติตามความชอบส่วนตนราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง ถือปฏิบัติตามความชอบส่วนตัวราวกับเป็นหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นความผิดพลาดมิใช่หรือ? นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่รู้ว่าการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงไปด้วยดีนั้นหมายถึงสิ่งใด พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามและทุ่มเทหัวใจให้กับการทำหน้าที่นั้น ขัดขืนเนื้อหนังของพวกเขาและทนทุกข์ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้อย่างน่าพึงพอใจ? เหตุใดพระเจ้าจึงไม่พึงพอพระทัยอยู่เสมอ? ผู้คนเหล่านี้ได้ทำผิดไปตรงไหนหรือ? ความผิดของพวกเขาก็คือการไม่แสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตนเอง—นี่คือเหตุผล พวกเขาปฏิบัติต่อความอยากได้อยากมี การเลือกชอบ และสิ่งจูงใจแบบเห็นแก่ตัวทั้งหลายของพวกเขาเองประหนึ่งเป็นความจริง และพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรัก ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขามองสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ดีงาม และสวยงามว่าเป็นความจริง การนี้ผิด ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้บางคราวผู้คนอาจจะคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูก และว่ามันสอดคล้องกับความจริง นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า มันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ยิ่งผู้คนคิดว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร พวกเขาก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาควรแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นบรรจบกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่ หากมันวิ่งสวนทางกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์และสวนทางกับพระวจนะของพระองค์อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วนั่นก็ยอมรับไม่ได้ต่อให้เจ้าคิดว่ามันถูก มันก็เป็นแค่เพียงความคิดแบบมนุษย์ และมันจะสอดคล้องกับความจริงโดยไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่ามันถูกต้องเพียงใดก็ตาม การที่บางสิ่งถูกและผิดนั้นต้องพิจารณาบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องเพียงใดก็ตาม มันไม่ถูกต้องและเจ้าต้องทิ้งขว้างมันไป เว้นเสียแต่ว่ามีมูลฐานสำหรับมันอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า การนี้สามารถยอมรับได้เฉพาะเมื่อตรงตามความจริงเท่านั้น และมีเพียงการค้ำจุนหลักธรรมความจริงในหนทางนี้เท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงจะได้มาตรฐาน หน้าที่คืออะไรกันแน่? คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนทำ เป็นส่วนหนึ่งของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรแบกรับ หน้าที่คืออาชีพของเจ้าใช่หรือไม่? เป็นเรื่องในครอบครัวของใครหรือไม่? เป็นธรรมหรือไม่ที่จะพูดว่า ทันทีที่เจ้าได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ก็กลายเป็นกิจธุระส่วนบุคคลของเจ้า? ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอนที่สุด ดังนั้นแล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงอย่างไร? โดยการทำตามข้อพึงประสงค์ พระวจนะและมาตรฐานของพระเจ้า และโดยการประพฤติตนตามหลักธรรมความจริงมากกว่าความอยากได้อยากมีส่วนตัวของมนุษย์ ผู้คนบางคนพูดว่า “ทันทีที่ฉันได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ? หน้าที่ของฉันคือการควบคุมดูแลของฉัน แล้วสิ่งที่ฉันได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลนั้นไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ? หากฉันจัดการรับมือกับหน้าที่ของฉันดังกิจธุระของตัวฉันเอง นั่นไม่หมายความว่าฉันจะทำหน้านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสมหรอกหรือ? หากฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อหน้าที่นั้นเสมือนเป็นกิจธุระของฉันเอง ฉันจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกระนั้นหรือ?” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือผิด? คำพูดเหล่านี้ผิด คำพูดเหล่านี้ไม่ลงรอยกันกับความจริง หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า แต่เป็นกิจการของพระเจ้า หน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า และเจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ มีเพียงเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่นบนอบพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถทำได้ถึงมาตรฐาน หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าเอง และตามความอยากทำของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีวันทำได้ตามมาตรฐาน การทำหน้าที่ตามอำเภอใจของเจ้าเท่านั้นหาใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่ เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นไม่อยู่ในขอบเขตแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า นั่นไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ากำลังดำเนินงานของเจ้าเองต่างหาก ดำเนินกิจของเจ้าเอง และนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงรำลึกถึง ตอนนี้มโนทัศน์เกี่ยวกับหน้าที่เป็นที่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรือไม่? ความจริงที่เป็นพื้นฐานที่สุดและเป็นรากฐานที่สุดที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่คืออะไร? คือการอุทิศหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และความพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เหตุใดคนมากมายเหลือเกินจึงยังคงทำความชั่วทุกรูปแบบรวมทั้งขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักรในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน จนกระทั่งในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกกำจัดออกไป? เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างตั้งใจจริง พวกเขาพยายามต่อรองกับพระเจ้าตลอดเวลาและไม่ยอมรับความจริงแม้เพียงเล็กน้อย ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผยความเสื่อมทรามของตนออกมามากเพียงใดหรือพวกเขาทำชั่วมากเพียงใด พวกเขาไม่เคยแสวงหาการแก้ปัญหาผ่านทางความจริง พวกเขาไม่กลับใจอย่างแท้จริงแม้หลังจากถูกตัดแต่งหลายครั้ง แต่กระทำสิ่งที่ผิดต่อไปโดยปราศจากศีลธรรมจรรยาและและทำความชั่วทุกรูปแบบ เปิดโปงแก่นแท้ที่ชั่วของตนอย่างถึงที่สุด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมองการนี้ออก และคนเหล่านั้นก็ถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป การเฝ้าดูวิธีที่คนเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะทนจริงๆ พวกเขาไม่ใช่แค่ต่ำกว่ามาตรฐาน พวกเขาไม่เพียงพอเหมาะสมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะล้างจานโดยไม่ทำถ้วยชามแตก การลงแรงของพวกเขาก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับความจริงอย่างไร พวกเขาไม่สามารถยอมรับการสามัคคีธรรมนั้นได้ และพวกเขาก็ไม่กลับใจแม้หลังจากถูกตัดแต่ง หากใช้คนเยี่ยงนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะกลายเป็นอุปสรรคกีดขวางในเส้นทาง เครื่องสะดุดที่เป็นอุปสรรคและขัดขวางงานทั้งหมดของคริสตจักร จงบอกเราที คนเหล่านี้ไม่ควรถูกแทนที่และกำจัดออกไปหรอกหรือ? (พวกเขาควรถูกแทนที่และกำจัดออกไป) ตราบที่ใครบางคนมีมโนธรรมและเหตุผลแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถใส่ใจกิจที่ถูกต้องเหมาะสมของตน ปฏิบัติกิจธุระที่ถูกต้องเหมาะสมของตน และสามารถทบทวนตัวเองขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ เมื่อสังเกตเห็นความผิดพลาดของตนและระบุปัญหาของตน พวกเขาจะสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องได้โดยทันที หลังจากมีประสบการณ์เรื่องนี้มานานสามหรือห้าปี การเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะเกิดขึ้น ในหนทางนี้ พวกเขาจะมีรากฐานและค่อนข้างมั่นคง ถ้าไม่มีสภาพการณ์พิเศษใด ๆ ไม่มีทางที่บุคคลนี้จะถูกกำจัดออกไป แต่พวกที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีโดยไม่ยอมรับความจริงแต่น้อยไม่มีทางที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ และพวกเขาอาจถึงขั้นทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการรบกวน คนประเภทนี้จะถูกกำจัดออกไปเป็นธรรมดา เพราะคนเหล่านี้คงจะตายในไม่ช้าเสียดีกว่ากลับใจ พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปีแต่ก็ไม่แตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อมากนัก พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อ
การมีโครงการส่วนบุคคลมากเกินไปเป็นเครื่องกีดกั้นขัดขวางที่ใหญ่หลวงที่สุดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา เช่นนั้นแล้วอะไรคือเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดี? นั่นก็คือว่าเจ้าต้องปล่อยมือจากโครงการนานาสารพันของตน ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นที่ทำให้เจ้าหัวเสียจริงๆ แต่เจ้าก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติด้วย เจ้าย่อมเผชิญกับทางเลือก นี่คือชั่วขณะที่วิกฤติ ชั่วขณะที่สำคัญมาก แม้ว่าเจ้าอาจหัวเสียและรู้สึกมีอารมณ์ หรือเจ้าอาจมีเรื่องส่วนบุคคลบางอย่างที่ดำเนินไปอยู่ เจ้าต้องสามารถละวางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเสียก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงควรพิจารณาประเด็นปัญหาของตนเองภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่กระทบต่อหน้าที่ของตน เวลาที่เจ้าให้ความสำคัญกับหน้าที่ของตนก่อนอยู่เป็นนิตย์เรียกว่าอะไร? เรียกว่าการเคารพหน้าที่ของตน และนี่คือการจงรักภักดีต่อพระเจ้า การปล่อยมือจากโครงการและความอยากได้อยากมีของตน การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์และกิจธุระส่วนบุคคลของตน การทำหน้าที่ของตนให้ดีโดยไม่ถูกตีกรอบ และการทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น—นี่เองคือความหมายของการปล่อยมือ นี่เองคือความหมายของการขัดขืนเนื้อหนัง เมื่อบางคนยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้ายังไม่ได้ประทานหน้าที่ให้ฉันปฏิบัติ แต่หัวใจของฉันจริงใจอย่างแน่นอน เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงเห็นเรื่องนี้เลย?” แต่แล้วเมื่อคริสตจักรจัดแจงหน้าที่ให้พวกเขาปฏิบัติ พวกเขากลับต้องการเลือกเฟ้นเอาแต่ที่ถูกใจ มีบางคนที่ไม่สามารถปฏิบัติบทบาทของผู้นำหรือคนทำงาน หรือเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาก็ไม่มีทักษะพิเศษอื่นใด ดังนั้นคริสตจักรจึงจัดแจงให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับ และพวกเขาก็คิดว่า “แน่นอนว่าการเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเป็นบางสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ แต่เมื่อพิจารณาถึงขีดความสามารถและพรสวรรค์ของฉันแล้ว คริสตจักรไม่ได้กำลังประเมินฉันต่ำเกินไปด้วยการมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับฉันหรอกหรือ? ฉันไม่มีคุณสมบัติมากเกินไปสักหน่อยสำหรับหน้าที่นี้หรอกหรือ?” ภายนอกนั้นพวกเขายอมรับการจัดการเตรียมการของคริสตจักร แต่ภาวะอารมณ์ต่อต้านของพวกเขาขวางกั้นไม่ให้พวกเขาทำงานหนักในหน้าที่ของตน พวกเขาทำหน้าที่ของตนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่ออารมณ์ดี และไม่ปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นเมื่ออารมณ์ไม่ดี เพิกเฉยพี่น้องชายหญิง เหตุใดพวกเขาจึงมีภาวะอารมณ์และการตอบสนองเหล่านี้? นี่ใช่ท่าทีที่คนเราควรมีต่อหน้าที่ของตนหรือไม่? คนเหล่านี้ไม่พอใจกับหน้าที่ของตน ต้นตอของความไม่พอใจนี้คืออะไร? (หน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบไม่ตอบสนองความชอบทางเนื้อหนังของตน) และหากพวกเขาพึงพอใจ เช่นนั้นพวกเขาจะมีความสุขหรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเขาอาจจะไม่มีความสุขต่อให้พวกเขาพึงพอใจ เพราะนี่คือคนที่หัวใจของพวกเขาไม่สามารถรู้จักความพอใจได้เลย ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างนี้นี่เอง ผู้คนต้องการปฏิบัติหน้าที่ที่มีศักดิ์ศรีและทำให้พวกเขาดูดีอยู่เสมอ และพวกเขาก็ต้องการให้หน้าที่เหล่านั้นง่ายและสุขสบายทางกายด้วย พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทนต่อลมและแดดหรือสู้ทนความทุกข์ใดๆ ในหน้าที่ของตนแต่อย่างใดเลย หนำซ้ำพวกเขายังต้องการที่จะสามารถเข้าใจความจริงและรับพระคุณและพรของพระเจ้าผ่านทางหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาถึงขั้นต้องการให้พระเจ้าตรัสบอกตนว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี นี่ไม่ใช่การเพ้อฝันในส่วนของพวกเขาหรอกหรือ? หากเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากการเพ้อฝันนี้ เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี ในอดีต เรากล่าวอย่างเรียบง่ายบ่อยครั้งว่าคนประเภทนี้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ตอนนี้ พูดอย่างชัดเจนมากขึ้นก็คือ เราพูดว่าพวกเขาละโมบและเป็นกบฏมากเกินไป พวกเขาไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนแม้สักนิด และพวกเขาก็ไม่นบนอบพระบัญชาของพระเจ้าอย่างแท้จริง แล้วเจ้าควรปฏิบัติการปล่อยมือจากโครงการของตนอย่างไร? ในแง่มุมหนึ่งเจ้าต้องสำรวมและขัดขืนโครงการเหล่านั้น ในอีกแง่มุมหนึ่งเจ้าต้องอธิษฐานและมีความพึงปรารถนาที่จะนบนอบ เจ้าต้องพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการหน้าที่นี้ให้กับข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์มีทางเลือกทางเนื้อหนัง และข้าพระองค์ไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่นี้ แต่ในเจตจำนงส่วนตนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบพระองค์ เพียงแต่ข้าพระองค์เสื่อมทรามและเป็นกบฏมากเกินไป และคุณภาพของความเป็นมนุษย์ของข้าพระองค์ก็ไม่ดี ได้โปรด ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด!” นี่จะไม่อำนวยให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความไร้ราคีที่มากขึ้นหรอกหรือ? หากใครบางคนยืนกรานที่จะยึดมั่นในความอยากได้อยากมีของตนเองและไม่ยอมปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีดังกล่าว หากพวกเขามองเห็นสง่าราศีของผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำอยู่เสมอ รวมทั้งการที่ผู้ที่ได้รับเลือกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นได้พบกับผู้คนมากมายและได้รับความรู้และประสบการณ์ จากนั้นก็ไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนเอง นี่ใช่ท่าทีของการนบนอบหรือไม่? นี่ใช่ท่าทีของการยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ใช่) เจ้าไปทางทิศตะวันตกเมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าไปทางทิศตะวันออก และเจ้าก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิดเพราะพระองค์ไม่ได้ทรงอนุญาตให้เจ้าไปทางทิศตะวันตก เจ้าดิ้นรนต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะยังทรงพระราชกิจในตัวเจ้าหรือไม่? พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด สภาวะและการสำแดงใดอุบัติขึ้นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวใครบางคน? คนเช่นนั้นจะไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะเหล่านั้น เวลาที่รับฟังสามัคคีธรรมและคำเทศนา ไม่มีสิ่งใดที่จะฟังเข้าทีสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็จะถึงขั้นเคลิ้มหลับอยู่เรื่อย พวกเขาจะไม่สามารถมองสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาจะใคร่ครวญและกังขาเสมอว่า “คนอื่นสามารถจับใจความพระวจนะของพระเจ้าได้ดีมาก เหตุใดฉันจึงไม่ได้รับความสว่างจากการอ่านพระวจนะเหล่านั้นบ้างเลย? สภาวะของพวกเขาปราศจากราคีและเป็นอิสระเสมอ เหตุใดฉันจึงรู้สึกคับข้องใจ มีอารมณ์ และรู้สึกไม่สบายใจมากตลอดเวลา? ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นมากสำหรับพวกเขา พวกเขามีการทรงนำของพระเจ้า เหตุใดฉันจึงไม่มี?” พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาไม่มีท่าทีของการนบนอบพระเจ้า พวกเขาเรียกร้องให้พระเจ้าทรงสนองความอยากได้อยากมีของตนตลอดเวลาก่อนที่ตนจะพยายามให้มากในหน้าที่ของตน หากพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการ พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ ขัดขืน และไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในตัวบุคคลเยี่ยงนี้หรือไม่? พวกเขาขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริง และเต็มไปด้วยความเป็นกบฏและการขัดขืน พระเจ้าทรงสามารถทำได้เพียงพักวางพวกเขาไว้ก่อนเท่านั้น
ผู้คนควรปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างไร? พวกเขาควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และปล่อยมือจากโครงการทั้งหมดของตนเอง ผู้คนมีโครงการใด? (เจตนา แผนการ และความชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา) ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีครอบครัวอุปถัมภ์ที่เจ้าเพลิดเพลินกับการแวะไปเยี่ยมเยียนจริงๆ พวกเขาทำอาหารรสเลิศ บ้านของพวกเขาสวยงาม และพวกเขาก็มีระบบปรับอากาศและทำความร้อน เจ้าคิดในใจว่า “ฉันได้แต่หวังว่าฉันจะได้อยู่ที่นั่น!” แล้วเจ้าก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์นั้นได้ไหม? ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์กำลังละโมบความสบายและความชูใจ แต่ข้าพระองค์ไม่สามารถขัดขืนความอยากนี้ได้ ได้โปรดคำนึงถึงวุฒิภาวะที่น้อยของข้าพระองค์และทรงยอมให้ข้าพระองค์ไปที่นั่นด้วยเถิด! ข้าพระองค์สัญญาว่าข้าพระองค์จะทำงานหนักในหน้าที่ของข้าพระองค์ จงรักภักดี และไม่ทรยศพระองค์หรือทำให้พระองค์โทมนัส” เจ้าอธิษฐานเช่นนี้เป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ แล้วก็มีการจัดแจงให้เจ้าไปยังที่ไหนสักแห่งที่มีสภาวะที่เลวร้าย แล้วเจ้าก็กลายเป็นหัวเสีย เจ้าบ่นในใจว่า “พระเจ้าไม่ควรที่จะต้องทรงพินิจพิเคราะห์ห้วงลึกของหัวใจของพวกเราหรอกหรือ? พระเจ้าไม่ทรงมีเบาะแสแม้แต่น้อยว่าอะไรอยู่ในหัวใจของฉัน ฉันร้องขอบางสิ่งที่ดีและพระองค์ก็ประทานบางสิ่งที่เน่าเฟะให้ฉัน เป็นเสมือนพระองค์กำลังทรงจงใจตั้งพระองค์เองต่อต้านฉัน” แล้วการขัดขืนก็เกิดขึ้นในตัวเจ้า แล้วเจ้าก็กล่าวว่า “หากพระองค์จะไม่ทรงสนองข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่ทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ข้าพระองค์จะไม่ทำงานหนักในหน้าที่ของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็จะไม่ทำงานหนักในหน้าที่ของข้าพระองค์จนกว่าข้าพระองค์จะได้สิ่งที่ข้าพระองค์ต้องการ” นี่ใช่การเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? นี่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่? นี่คือการกบฏต่อพระเจ้า เป็นอุปนิสัยอันดื้อแพ่ง เจ้ากล่าวว่า “หากพระเจ้าจะไม่ทรงสนองฉัน ฉันก็จะไม่ทำให้พระองค์พึงพอพระทัย นี่จะเป็นท่าทีที่ฉันมีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน หากฉันจะทำหน้าของฉัน พระเจ้าทรงต้องประทานความสำราญให้ฉันบ้าง เป็นไปได้อย่างไรที่คนอื่นได้อาศัยอยู่ในบ้านที่สวย แต่ฉันไม่? เป็นไปได้อย่างไรที่คนอื่นได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในสภาพแวดล้อมที่ดี แต่ฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันในสภาพแวดล้อมที่โกโรโกโส? เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงสนองข้อเรียกร้องของฉันแม้ว่าฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็ตาม?” นี่คือเหตุผลจำพวกที่เจ้าทวนซ้ำกับตัวเองเรื่อยไป ในการนี้มีท่าทีของการนบนอบพระเจ้าหรือไม่? นี่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? ก่อนหน้านี้เราได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ว่า “เจ้าต้องไม่แข่งขันกับพระเจ้าเป็นอันขาด” นี่เป็นการแข่งขันกับพระเจ้า เมื่อเจ้าแข่งขันกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงนำท่าทีใดมาใช้กับเจ้า? (พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจ พระองค์จะทรงละวางข้าพระองค์) พระเจ้าจะทรงพักวางเจ้าและทรงเพิกเฉยเจ้า พระเจ้าจะทรงจริงจังกับเจ้าขึ้นมาหรือไม่? พระองค์จะไม่ทรงจริงจังกับเจ้าขึ้นมา หากเจ้าได้ทำความชั่วเล็กน้อยมาบ้างแล้วและความชั่วนั้นไม่รุนแรง พระองค์ย่อมจะทรงเก็บเจ้าเอาไว้และทรงให้เจ้าลงแรงอีกสักพักหนึ่ง แต่หากเจ้าได้กระทำความชั่วมากเกินไปและได้ขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะถูกเอาตัวออกไป เมื่อเจ้าถูกเก็บไว้ให้ลงแรง หาก ณ จุดหนึ่ง เจ้ากลับใจ พระเจ้าย่อมจะทรงให้ความรู้แจ้งเจ้า หากเจ้าไม่เคยกลับใจและแข่งขันกับพระเจ้าตลอดเวลา เช่นนั้นเจ้าก็เลวเกินไปและดื้อด้านเกินไปจริงๆ—แล้วใครจะเป็นผู้ที่ทนทุกข์กับความสูญเสียในท้ายที่สุด? ย่อมจะเป็นเจ้านั่นเอง เจ้าต้องมองเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า การแข่งขันกับพระเจ้าเป็นเรื่องที่เดือดร้อนที่สุด และเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ผู้คนย่อมคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เมื่อความวิบัติหรือโชคร้ายบังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็เริ่มมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า มากเสียจนพวกเขาถึงขั้นพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์และอาจหาญที่จะขึ้นเสียงกับพระองค์ว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่? พระองค์สถิตอยู่ตรงไหน? ฉันเป็นผู้ปกครองสูงสุด ฉันคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และฉันก็อาจหาญที่จะแข่งขันกับพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงสามารถทำอะไรกับฉันได้บ้าง?” พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใดกับเจ้าเลย แต่เป็นที่เผยออกมาว่าเจ้าโสโครก ดื้อแพ่ง และยุ่งยาก การที่เจ้าเป็นคนยุ่งยากหมายถึงสิ่งใด? นั่นหมายความว่าเจ้าไม่รักสิ่งที่เป็นบวก เจ้าไม่เต็มใจนบนอบพระเจ้า และแม้ในยามที่เจ้ารู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถนบนอบพระองค์ได้ การที่เจ้ายอมรับความจริงเป็นเรื่องยากมาก เจ้าดื้อแพ่ง ไม่รู้ความ และดื้อด้าน พระเจ้าไม่โปรดคนเยี่ยงนี้อย่างยิ่ง การที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปจะเป็นเรื่องยากมาก และเจ้าอาจจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปก่อนที่เจ้าจะสามารถลงแรงจนถึงที่สุด นี่คือจุดจบ เป็นที่ชัดเจนมากอยู่แล้วที่ได้เห็น นี่ไม่เป็นภัยอันตรายหรอกหรือ? (เป็นภัยอันตราย) เมื่อรู้ว่านี่เป็นภัยอันตราย ผู้คนควรทำสิ่งใด? อันดับแรกเลยก็คือ พวกเขาต้องรู้ว่าตนเป็นใคร พวกเขาต้องรู้จักตำแหน่งของตนและยังรู้ว่าตนเป็นอะไรด้วย มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แน่นอนที่สุดว่าต้องไม่แข่งขันกับพระเจ้า การทำเช่นนั้นจะไม่ให้ผลลัพธ์ใด หากพระเจ้าต้องประสงค์ประทานบางสิ่งให้กับเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ต้องการสิ่งนั้นและไม่ได้ร้องขอสิ่งนั้น แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็จะประทานสิ่งนั้นให้กับเจ้า—นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงวางแผนในการประทานบางสิ่งให้กับเจ้า หากพระองค์ไม่ทรงพิจารณาเจ้าด้วยความโปรดปราน เช่นนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะร้องขอสิ่งนั้นจากพระองค์ หากพระองค์ทรงวางแผนในการประทานบางสิ่งให้กับเจ้า หากพระองค์ทรงมองว่าเจ้าควรได้รับการชี้นำ การช่วยเหลือ และการอวยพร เช่นนั้นพระองค์ย่อมจะประทานสิ่งนั้นให้กับเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันได้ร้องขอด้วยซ้ำ หากพระองค์ทรงวางแผนทดสอบหรือเผยเจ้าออกมา เช่นนั้นพระองค์ย่อมจะทรงจงใจทำเช่นนั้น และไม่มีประโยชน์ในการวิงวอนพระองค์ นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ผู้คนต้องไม่ตัดสินใจวิธีที่ตนปฏิบัติต่อพระเจ้าโดยมีพื้นฐานอยู่บนท่าทีของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรทำอย่างไร? (นบนอบพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง) ถูกต้อง พวกเขาควรนบนอบ การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าคือปัญญาสูงสุด และผู้ที่ทำเช่นนี้คือผู้ที่มีเหตุผลมากที่สุด บุคคลที่โอหังและคิดว่าตนถูกเหล่านั้นคิดว่าตนฉลาดหลักแหลมมากและคิดคำนวณมาก การลองใช้กลอุบายกับคนอื่นเป็นสิ่งหนึ่ง—นี่คือการเผยให้เห็นความเสื่อมทรามของเจ้า—แต่แน่นอนที่สุดว่าแต่เจ้าต้องไม่ดิ้นรนต่อต้านพระเจ้าด้วยการใช้กลอุบายเล็กๆ เจ้าต้องไม่วางอุบายต่อต้านพระเจ้า ด้วยเหตุที่ทันทีที่เจ้าก่อให้เกิดพระพิโรธของพระองค์ ความตายย่อมลงมายังเจ้า
ผู้คนต้องจัดการกับหน้าที่ของตนและพระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ หากพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า คนที่มีหัวใจที่ซื่อสัตย์มีท่าทีประเภทใดต่อพระเจ้า? อย่างน้อยที่สุดพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง พวกเขาไม่ถามเรื่องพระพรหรือโชคร้าย พวกเขาไม่พูดถึงภาวะทั้งหลาย พวกเขายอมอยู่ภายใต้อำนาจการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า—นี่คือคนที่มีหัวใจที่ซื่อสัตย์ พวกที่กังขาเรื่องพระเจ้าอยู่เสมอ พินิจพิเคราะห์พระองค์ตลอดเวลา พยายามทำข้อตกลงกับพระองค์อยู่เป็นนิตย์—พวกเขาใช่คนที่มีหัวใจที่ซื่อสัตย์หรือไม่? (ไม่ใช่) สิ่งใดอยู่ภายในหัวใจของคนเช่นนั้น? ความหลอกลวงและความเลวร้าย พวกเขาพินิจพิเคราะห์ตลอดเวลา แล้วพวกเขาพินิจพิเคราะห์อะไร? (ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน) พวกเขาพินิจพิเคราะห์ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนตลอดเวลา นี่คือปัญหาใด? แล้วเหตุใดพวกเขาจึงพินิจพิเคราะห์เรื่องนี้? เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันสำคัญยิ่งของตน ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาพูดกับตัวเองในใจว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพการณ์เหล่านี้ให้กับฉัน พระองค์ได้ทรงเป็นเหตุให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉัน เหตุใดพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น? เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอื่น—เหตุใดเรื่องนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับฉัน? แล้วผลที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร?” นี่คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพินิจพิเคราะห์ พวกเขาพินิจพิเคราะห์ผลตอบแทนและความสูญเสีย พร และโชคร้ายของตน แล้วขณะที่พินิจพิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถ แล้วธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นจากการตรึกตรองของหัวใจของพวกเขาเป็นอย่างไร? โดยธรรมชาติแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อการคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่สำคัญว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใด คนเหล่านี้พินิจพิเคราะห์เป็นอันดับแรกว่า “ฉันจะทนทุกข์หรือไม่เมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่นี้? ฉันต้องทำงานและเดินทางไปข้างนอกบ่อยครั้งหรือไม่? ฉันจะกินและพักผ่อนได้ตามปกติหรือไม่? ฉันจะต้องคอยตื่นเช้าอยู่เรื่อยหรือไม่? ฉันจะได้พบกับคนประเภทใด? ฉันจะได้พบกับผู้ไม่มีความเชื่อบ่อยครั้งหรือไม่? ในตอนนี้โลกภายนอกค่อนข้างไม่เป็นมิตร หากฉันต้องทำงานและเดินทางไปข้างนอกเรื่อยไปตลอดเวลา ฉันจะทำอย่างไรหากถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม?” แม้พวกเขาดูเหมือนยอมรับหน้าที่ของตน แต่ก็มีความหลอกลวงในหัวใจของตน พวกเขาพินิจพิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา ที่จริงแล้ว พวกเขาก็แค่กำลังพิจารณาความสำเร็จในอนาคตและชะตากรรมของตนเองด้วยการพินิจพิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่นึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า แล้วจุดจบเป็นอย่างไรเมื่อคนพิจารณาเพียงแค่ความสำเร็จในอนาคต ชะตากรรม และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น? ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบพระเจ้า และแม้ในยามที่พวกเขาปรารถนาจะนบนอบ พวกเขาก็ไม่สามารถ คนที่เห็นคุณค่าของความสำเร็จในอนาคต ชะตากรรม และผลประโยชน์ของตนเองเป็นพิเศษ พินิจพิเคราะห์ตลอดเวลาว่าพระราชกิจของพระเจ้าเป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จในอนาคตของตน ต่อชะตากรรมของตน และต่อการที่ตนได้มาซึ่งพรหรือไม่ ในท้ายที่สุดแล้ว จุดจบของการพินิจพิเคราะห์ของพวกเขาเป็นอย่างไร? ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า แม้ในยามที่พวกเขายืนกรานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็ทำเช่นนั้นอย่างสุกเอาเผากิน ด้วยอารมณ์ของความคิดลบ ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาคิดถึงวิธีฉวยประโยชน์รวมทั้งการไม่อยู่ข้างที่กำลังพ่ายแพ้เรื่อยไป เช่นนั้นเองที่เป็นแรงจูงใจของพวกเขาเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน และในการนี้พวกเขาก็กำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า นี่คืออุปนิสัยใด? นี่คือความหลอกลวง นี่คืออุปนิสัยที่เลวอย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามธรรมดาอีกต่อไป แต่ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นความเลวทรามแล้ว แล้วเมื่อมีอุปนิสัยที่เลวอย่างนี้ในหัวใจของคนคนหนึ่ง นี่ย่อมเป็นการดิ้นรนต่อต้านพระเจ้า! เจ้าควรเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้ หากผู้คนพินิจพิเคราะห์พระเจ้าตลอดเวลาและพยายามทำข้อตกลงเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอนที่สุด พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจของตนและด้วยความซื่อสัตย์ พวกเขาไม่มีหัวใจที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเฝ้าดูขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยจำใจเสมอ—แล้วจุดจบเป็นอย่างไร? พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพวกเขาก็กลายเป็นเลอะเลือนและสับสน พวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และพวกเขาก็กระทำการตามความอยากทำของตนเอง และผิดเพี้ยนไปเสมอ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงผิดเพี้ยนไปเสมอ? เพราะหัวใจของพวกเขาขาดพร่องความชัดเจนมากเกินไป และเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาไม่ทบทวนตัวเองหรือแสวงหาความจริงเพื่อหาการแก้ปัญหา และพวกเขายืนกรานในการทำสิ่งทั้งหลายตามแต่พวกเขาจะปรารถนา ตามความชอบของตนเอง—ผลลัพธ์ของการนี้ก็คือพวกเขาผิดเพี้ยนไปเสมอเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาไม่เคยคิดถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์ของตนเองเสมอ พวกเขาวางแผนเพื่อผลประโยชน์ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตนเองตลอดเวลา และไม่เพียงแต่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังถ่วงและส่งผลต่องานของคริสตจักรด้วย นี่ไม่ใช่การนอกลู่นอกทางและการละเลยหน้าที่ของตนหรอกหรือ? หากใครบางคนวางแผนเพื่อผลประโยชน์และความสำเร็จในอนาคตของตนเองตลอดเวลาเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่นึกถึงงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นนี่ย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ นี่คือความคิดฉวยโอกาส เป็นการทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตนเองและเพื่อให้ได้มาซึ่งพรสำหรับตัวเอง ในหนทางนี้ ธรรมชาติเบื้องหลังการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับการทำข้อตกลงกับพระเจ้า รวมทั้งการต้องการใช้การปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้มีแววอย่างมากที่จะขัดขวางงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากนั่นเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียเล็กน้อยต่องานของคริสตจักรเท่านั้น เช่นนั้นก็ยังคงมีห้องว่างสำหรับการไถ่และพวกเขาก็อาจยังได้รับโอกาสปฏิบัติหน้าที่ของตน แทนที่จะถูกเอาตัวออกไป แต่หากนั่นเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักรและก่อให้เกิดพระพิโรธของพระเจ้าและความโกรธของผู้คนไม่ต่างกัน เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป โดยไม่มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ของตนเพิ่มเติม บางคนถูกปลดและกำจัดออกไปในหนทางนี้ เหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป? พวกเจ้าพบสาเหตุรากเหง้าหรือยัง? สาเหตุรากเหง้าก็คือพวกเขาพิจารณาผลตอบแทนและความสูญเสียของตนเองอยู่เสมอ หลงลืมตัวไปกับผลประโยชน์ของตนเอง และไม่สามารถขัดขืนเนื้อหนัง และไม่มีท่าทีที่นบนอบพระเจ้าแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มประพฤติตนอย่างหุนหันพลันแล่น พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อได้มาซึ่งกำไร พระคุณ และพรเท่านั้น และไม่ใช่เพื่อได้รับความจริงแม้แต่น้อย ดังนั้นการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจึงล้มเหลว นี่คือรากเหง้าของปัญหา พวกเจ้าคิดว่าการที่พวกเขาถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปนั้นไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่? ไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย การนี้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของพวกเขาทั้งสิ้น ใครก็ตามที่ไม่รักความจริงหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปในที่สุด แต่สำหรับบรรดาผู้ที่รักความจริงนั้นแตกต่างออกไป เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา ก่อนอื่นพวกเขาคิดว่า “ฉันสามารถกระทำการโดยอดคล้องกับความจริงได้อย่างไร? ฉันควรกระทำการอย่างไรเพื่อไม่ไปสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า? สิ่งใดจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย?” ใครบางคนที่คิดเช่นนี้กำลังแสวงหาความจริง ความคิดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารักความจริง พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับแรก แต่คำนึงถึงบรรดาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่คำนึงถึงความพึงพอใจของตนเอง พวกเขาคำนึงถึงว่าพระเจ้าพึงพอพระทัยหรือไม่ นี่คือความคิดและวิธีคิดของคนที่รักความจริง และนี่คือคนที่พระเจ้าทรงรัก เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับคนคนหนึ่ง หากพวกเขาสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า โดยมีพระเจ้าอยู่เบื้องหลังพวกเขาที่ทรงกระทำการในฐานะผู้รับประกัน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีแววว่าจะทำความผิดพลาดขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และการที่พวกเขาลุล่วงหน้าที่ดังกล่าวโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าย่อมจะเป็นเรื่องง่าย หากใครบางคนกระทำการด้วยการริเริ่มของตนเอง และวางอุบาย วางแผน และวางแผนร้ายเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ หากพวกเขาไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และขาดพร่องเจตจำนงที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแม้แต่น้อย—หากพวกเขาขาดพร่องแม้กระทั่งความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนี้—จุดจบสุดท้ายจะเป็นอย่างไร? พวกเขาย่อมจะขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักรอยู่เนืองนิจ พวกเขาจะก่อให้เกิดความแค้นเคืองท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาจะถูกผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรดูหมิ่นและรังเกียจ และในกรณีที่ร้ายแรง พวกเขาจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป การที่คนที่มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีจะล้มเหลวและสะดุดนั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังที่มีคำกล่าวว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” สิ่งนี้เรียกว่าอะไร? เรียกว่าการถูกเผยออกมา สิ่งนี้ไม่สมควรหรอกหรือ? คนประเภทนี้ควรค่ากับความเห็นใจหรือไม่? พวกเขาไม่ควรค่า นี่คือจุดจบสุดท้ายของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่วางแผนการเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตน บางคนพูดว่า “แต่ฉันก็วางแผนการเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เป็นไปได้อย่างไรที่เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับฉัน?” นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้ส่งผลต่องานของคริสตจักร ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงจริงจังกับเจ้าขึ้นมา พระเจ้าไม่ทรงจริงจังกับเจ้าขึ้นมา—นี่เป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่? (สิ่งที่แย่) เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น? (หากข้าพระองค์จะทำเช่นนี้ต่อไป ข้าพระองค์ก็คงจะไม่สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์) ถูกต้อง หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา เรื่องนี้เป็นจริงเป็นพิเศษสำหรับคนเหล่านั้นที่พระเจ้าไม่ทรงบ่มวินัยไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งที่แย่ใด สำหรับพวกเขาเรื่องนี้จบแล้วอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าไม่ต้องประสงค์คนเหล่านี้อย่างแน่นอน พระองค์ทรงละวางพวกเขา หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมไม่มีชีวิต ก็เป็นเหมือนคนเหล่านั้นที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่เสมอ คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และคนที่เจ้าไม่เคยเห็นว่าปฏิบัติความจริง—คนเช่นนี้มีการเติบโตในชีวิตบ้างหรือไม่? ในเมื่อพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง พวกเขาย่อมจะไม่มีการเติบโตในชีวิต ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี ทุกวันนี้มีบางคนที่ยังคงพูดถึงสิ่งเดียวกันกับที่พวกเขาพูดเมื่อสามปีก่อน ยังคงกล่าวคำพูดและคำสอนเดียวกัน คนเหล่านั้นจบเห่แล้ว ไม่อาจมองเห็นการเติบโตในวุฒิภาวะหรือการรู้จักตัวเองของพวกเขาได้ ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขายังเป็นเหมือนเดิม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาแม้แต่น้อย ความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาที่ต้านทานพระเจ้าก็กลายเป็นรุนแรงขึ้น นี่ไม่เป็นภัยอันตรายมากขึ้นหรอกหรือ? นี่เป็นภัยอันตรายมากขึ้นอย่างแท้จริง และพวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน
โดยปกติแล้ว เมื่อพวกเจ้ามีประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตนหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเจ้าสามารถค้นพบประเด็นปัญหาที่มีอยู่ภายในตัวเจ้าเองผ่านทางการการพินิจภายในได้หรือไม่? (ข้าพระองค์สามารถค้นพบประเด็นปัญหาเหล่านั้นได้เล็กน้อยในขณะนี้ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องการควบคุมดูแลและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายเสมอ และข้าพระองค์ก็พยายามโอ้อวดเพื่อที่คนอื่นจะได้เคารพนับถือข้าพระองค์ แต่หลังจากพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์ชี้ให้ข้าพระองค์เห็นการนี้ ข้าพระองค์ก็ทบทวนตัวเองและได้รับความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติอันโอหังของข้าพระองค์บางส่วน) เจ้าสามารถตระหนักถึงความโอหังของตน—แล้วการนบนอบพระเจ้าของเจ้าล่ะ นั่นเพิ่มขึ้นหรือไม่? เจตนาและความพึงปรารถนาที่จะนบนอบของเจ้าเพิ่มขึ้นหรือไม่? ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเพิ่มขึ้นหรือไม่? (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย) การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่แสวงหาความจริงนั้นใช้งานไม่ได้ เมื่อเผชิญกับปัญหา เจ้าต้องใช้ความจริงแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามเจตจำนงของตนเองและปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่เสมอ เจ้าจะไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเผยความเสื่อมทรามของเจ้าได้เท่านั้น แต่ความเชื่อในพระเจ้า การนบนอบพระเจ้า และความรักแด่พระเจ้าของเจ้าก็จะไม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงและไม่ใช้ความจริงแก้ไขปัญหาของตน เจ้าย่อมจะไม่มีวันเติบโตในชีวิตและเจ้าย่อมจะไม่มีวันสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนได้ พวกเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในตอนนี้? ราคีของมนุษย์แบบใดยังคงเหลืออยู่? เจ้าต้องเข้าร่วมการทบทวนตัวเองบ่อยครั้งเพื่อค้นพบปัญหาเหล่านี้ ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถรับรู้ได้โดยปราศจากทบทวนตัวเอง ในบางครั้งมีเพียงเมื่อเจ้าได้ยินคนอื่นพูดถึงการรู้จักตัวเองของตนเท่านั้น เจ้าจึงจะรู้สึกว่าเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน หากเจ้าไม่ได้ยินคนอื่นเปิดโปงสภาวะของตน เจ้าย่อมจะไม่สามารถค้นพบปัญหาของเจ้าเองได้ มีคนมากมายที่พร้อมรับฟังคำพยานจากประสบการณ์ของผู้อื่นเพราะพวกเขาได้ประโยชน์จากคำพยานนั้นและได้รับบางสิ่งจากคำพยานนั้นอย่างชัดเจน ยิ่งเจ้าตรวจสอบอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเท่าใดและยิ่งเจ้าเรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองรวมทั้งเจตนาและโครงการของตนเองอย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้มากขึ้นเท่านั้น และความเชื่อสำหรับการปฏิบัติความจริงของเจ้าก็ยิ่งจะกลายเป็นแรงกล้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งความเชื่อสำหรับการปฏิบัติความจริงของเจ้ากลายเป็นแรงกล้ามากขึ้นเท่าใด การที่เจ้านำความจริงไปปฏิบัติก็ยิ่งจะง่ายขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงอยู่เนืองนิจ เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ด้วยความไร้ราคีที่มากขึ้นและอย่างเพียงพอมากขึ้น นี่คือกระบวนการของการเติบโตในชีวิต นี่คือดอกผลแห่งการทบทวนตัวเองและการรู้จักตัวเอง มีบางคนที่คิดว่าเพราะพวกเขารับฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายปีและเข้าใจคำพูดและคำสอนมากมาย พวกเขาจึงไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องทบทวนตัวเองและได้รับการรู้จักตัวเอง พวกเขาเชื่ออยู่เสมอว่านี่คือสิ่งทั้งหลายที่เฉพาะผู้เชื่อรายใหม่ๆ เท่านั้นที่ต้องมุ่งความสนใจ และการเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีและมีพฤติกรรมที่ดีมากมายหมายความว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงแล้ว และไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่คือความเห็นผิดอย่างสาหัส หากเจ้าคิดว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงแล้ว เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้มากเพียงใด? เจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงมากเพียงใด? เจ้าสามารถพูดถึงคำพยานเหล่านั้นได้หรือไม่? เจ้าสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าผู้อื่นได้หรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถพูดถึงคำพยานเหล่านั้นได้ นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่มีคำพยานจากประสบการณ์และเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วใครบางคนเช่นเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ได้หรือไม่? เจ้าใช่ใครบางคนที่กลับใจแล้วอย่างแท้จริงหรือไม่? คนเราย่อมอดไม่ได้ที่จะกังขาเรื่องนี้ ใครบางคนที่ไม่เคยทบทวนตัวเองหรือพยายามที่จะได้รับการรู้จักตัวเองจะสามารถมีการเข้าสู่ชีวิตได้หรือไม่? ใครบางคนที่ไม่เคยพูดถึงการรู้จักตัวเองจะสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลย หากใครบางคนเชื่อว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริงและไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวเอง อาจพูดได้ว่าคนคนนี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด บางคนแค่ทำอย่างขอไปทีเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยเชื่อว่าการทำแค่เพียงพอสามารถยอมรับได้ การดูเหมือนผ่านไปได้เพียงผิวเผินนั้นหมายความว่าหน้าที่ของตนได้มาตรฐาน การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้เป็นการสุกเอาเผากินมิใช่หรือ? ใครบางคนเช่นนี้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? คนประเภทนี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยปราศจากหลักธรรมความจริงอันใด พอใจที่จะเพียงแค่ดำเนินงานให้เสร็จสิ้นและตรากตรำ แล้วพวกเขาก็คิดว่าหน้าที่ของตนได้มาตรฐาน ที่จริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงคนลงแรงที่เพียงพอเหมาะสมเท่านั้น พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเพียงพอเหมาะสม พวกที่พอใจกับการเพียงแค่ลงแรงอย่างเพียงพอเหมาะสมจะไม่มีวันได้รับความจริงหรือสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของพระเจ้า ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง กระทำการตามเจตจำนงของตนเองเรื่อยไป เพียงแค่กำลังลงแรงและตรากตรำ พวกเจ้าอยู่ในช่วงระยะใดในขณะนี้? (ข้าพระองค์ยังคงอยู่ในช่วงระยะการลงแรง) ส่วนใหญ่แล้วเจ้ากำลังลงแรง บางครั้งเจ้าก็สามารถเพียรพยายามไปสู่ความจริงเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนและมีการนบนอบเล็กน้อย แต่เจ้าเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งหรือไม่? (ไม่ ไม่บ่อย) เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการแก้ไขปัญหานี้ เจ้าต้องมานะพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้มากขึ้นเรื่อยๆ และลงแรงให้น้อยลงเรื่อยๆ โดยเพียรพยายามที่จะเปลี่ยนการลงแรงทั้งหมดของตนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตน อะไรคือความแตกต่างระหว่างการลงแรงกับการปฏิบัติหน้าที่? คนที่ลงแรงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ คิดว่าตราบที่พวกเขาไม่ขัดขืนพระเจ้าหรือก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ก็คงพอได้อยู่ คิดว่าตราบที่พวกเขาสามารถเพียงแค่อยู่ไปวันๆ และไม่มีใครตรวจดูสิ่งนั้นก็สามารถยอมรับได้ พวกเขาไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการได้รับการรู้จักตัวเอง การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ การทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง หรือการนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พวกเขาไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย นี่คือการลงแรง การลงแรงเป็นการตรากตรำอันไม่หยุดหย่อน เป็นการตรากตรำเยี่ยงทาส ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ เป็นการตรากตรำเช่นนี้เอง หากเจ้าถามคนลงแรงว่าทำไมพวกเขาจึงทำงานเยี่ยงม้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็จะตอบว่า “เพื่อรับพร!” หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี หากเจ้าถามว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ พวกเขาได้รับการยืนยันอันใดถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาได้รับความรู้ที่แท้จริงและประสบการณ์อันใดเกี่ยวกับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างหรือไม่ พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้เลย และพวกเขาก็จะไม่สามารถพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้เลย พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่หรือพัฒนาเกี่ยวกับตัวบ่งชี้สารพันนานาอันใดซึ่งเกี่ยวข้องกับการเติบโตในชีวิตและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย พวกเขาเพียงแค่ลงแรงต่อไปโดยไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคืออะไร บางคนลงแรงเป็นเวลาหลายปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย พวกเขายังคงกลายเป็นคิดลบ พร่ำบ่น และเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาอยู่บ่อยครั้งเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็หันไปพึ่งการโต้แย้งและการพูดเล่นลิ้น ไม่สามารถยอมรับความจริงแม้เพียงเล็กน้อยและไม่นบนอบพระเจ้าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน บางคนทำให้งานยุ่งเหยิงเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่ยอมรับมีคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่กลับพูดอย่างไร้ยางอายว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่กลับใจแม้แต่น้อย และในที่สุดแล้วเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าถอนคืนหน้าที่ของพวกเขาและส่งพวกเขาไปตามทาง พวกเขาก็ทิ้งตำแหน่งในหน้าที่ของตนโดยคร่ำครวญและพร่ำบ่น พวกเขาถูกจำกัดออกไปอย่างนี้นี่เอง นี่คือหนทางซึ่งหน้าที่ทั้งหลายเผยผู้คนถูกเผยออกมาอย่างถ้วนทั่ว โดยปกติแล้วผู้คนพูดถึงเกมที่ดีและตะโกนคำขวัญด้วยเสียงอันดัง แต่เหตุใดเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ประพฤติตนดังเช่นมนุษย์แต่กลับกลายเป็นมาร? นี่เป็นเพราะคนที่ขาดพร่องความเป็นมนุษย์คือมารไม่ว่าพวกเขาไปที่ใดก็ตาม และเมื่อปราศจากการยอมรับความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถตั้งมั่นได้ไม่ว่า ณ ที่แห่งหนใด บางคนมักจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน และพวกเขาก็พยายามโต้แย้งและให้เหตุผลเมื่อถูกตัดแต่ง หลังจากถูกตัดแต่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็รู้สึกถึงความพึงปรารถนาที่จะกลับใจอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มนำวิธีการของความยับยั้งชั่งใจมาใช้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองได้ และแม้ว่าพวกเขาอาจจะสบถคำปฏิญาณและสาปแช่งตัวเองได้ แต่นั่นไม่ช่วยเลย และพวกเขาก็ยังคงไม่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความสุกเอาเผากินของตนและปัญหาเกี่ยวกับการที่พวกเขาโต้แย้งและพูดเล่นลิ้น เฉพาะหลังจากทุกคนเกิดรังเกียจบุคคลนี้และวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาในที่สุดเท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกถูกบังคับให้ยอมรับในที่สุดว่า “ฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจริงๆ ฉันต้องการกลับใจแต่ไม่สามารถทำได้ เมื่อฉันทำหน้าที่ของฉัน ฉันคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ความภาคภูมิใจและความมีหน้ามีตาของตนเองตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันกบฏต่อพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ฉันต้องการปฏิบัติตามความจริงแต่ก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้อยากมีของฉันได้ ฉันไม่สามารถขัดขืนสิ่งเหล่านั้นได้ ฉันต้องการทำสิ่งทั้งหลายตามเจตจำนงของตนเองเสมอ ฉันออกอุบายเพื่อหลีกเลี่ยงงาน และฉันก็ละโมบความสบายและความสุขสำราญ ฉันไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่งและพยายามโต้แย้งให้ตัวเองพ้นจากเรื่องนั้นอยู่เสมอ ฉันคิดว่าการที่ฉันตรากตรำและสู้ทนความยากลำบากมานั้นก็ดีมากพอแล้ว ดังนั้นฉันจึงหันไปพึ่งการโต้แย้งและการพูดเล่นลิ้นเมื่อมีใครพยายามตัดแต่งฉัน โดยรู้สึกไม่เชื่อถือในหัวใจ การรับมือฉันเป็นเรื่องยากมากจริงๆ! ฉันควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร?” พวกเขาเริ่มครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้ นี่หมายความว่าพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนควรประพฤติตนอยู่บ้าง ตลอดจนเหตุผลบางอย่าง หาก ณ จุดหนึ่งคนลงแรงเริ่มใส่ใจงานที่ถูกต้องเหมาะสมของตนและมุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน และตระหนักว่าพวกเขาก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นกัน พวกเขาก็โอหังและไม่สามารถนบนอบพระเจ้าเช่นกัน และการดำเนินต่อไปในหนทางนี้ย่อมจะใช้ไม่ได้—เมื่อพวกเขาเริ่มคิดถึงและพยายามหยั่งลึกสิ่งเหล่านี้ เมื่อพวกเขาสามารถแสวงหาความจริงเพื่อเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาค้นพบ—เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่เริ่มเปลี่ยนทิศทางของตนหรอกหรือ? หากพวกเขาเริ่มเปลี่ยนทิศทางของตน ย่อมมีความหวังที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่หากพวกเขาไม่เคยตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาขาดพร่องความพึงปรารถนาที่จะเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริงและรู้เพียงแค่การตรากตรำและทำงานเท่านั้น โดยเชื่อว่าการทำงานที่พวกเขามีอยู่ในมือให้เสร็จสิ้นก็คือการสำเร็จลุล่วงงานของตนและการทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้น—หากพวกเขาเชื่อว่าการทุ่มเทความพยายามอยู่บ้างหมายความว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนแล้ว โดยไม่เคยคำนึงถึงเลยว่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าคืออะไรหรือความจริงคืออะไร หรือพวกเขาเป็นคนที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่ และไม่เคยพยายามหาคำตอบให้กับสิ่งเหล่านี้เลย—หากนี่คือหนทางที่พวกเขาจัดการกับหน้าที่ของตน พวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่? พวกเขาจะไม่สามารถ พวกเขายังไม่ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอด พวกเขายังไม่ได้ไปอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็ยังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่ยังคงกำลังตรากตรำและลงแรงในพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงคอยเฝ้าดูและทรงคุ้มครองคนเช่นนั้นเช่นกันเมื่อพวกเขาลงแรงในพระนิเวศของพระองค์ แต่พระองค์ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะช่วยพวกเขาให้รอด พระเจ้าไม่ทรงตัดแต่ง พิพากษา ตีสอน ทดสอบ หรือถลุงพวกเขา พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาได้มาซึ่งพรอยู่บ้างในชีวิตนี้เท่านั้น และทั้งหมดก็เท่านั้น เมื่อคนเหล่านี้รู้จักการทบทวนตัวเองและได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเอง และรู้ความสำคัญของการปฏิบัติความจริง นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาเข้าใจคำเทศนาที่พวกเขารับฟังมาและได้รับผลลัพธ์บางอย่างแล้วในที่สุด เมื่อนั้นพวกเขาจึงคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าช่างวิเศษนัก พระวจนะของพระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้จริงๆ! สิ่งเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้สำหรับฉันคือการเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความจริง หากฉันไม่มุ่งความสนใจไปที่การรู้จักตัวเองหรือไม่สลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยังคงพอใจกับการเพียงแค่ลงแรง ฉันก็จะไม่ได้รับอะไรเลย” ดังนั้นบุคคลนี้จึงเริ่มครุ่นคิดว่า “ฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใด? ฉันมาเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้อย่างไร? ฉันควรแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้อย่างไร?” การครุ่นคิดของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้สัมพันธ์กับการเข้าใจความจริงและการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย จากนั้นจึงมีความหวังสำหรับความรอดของพวกเขา หากคนคนหนึ่งสามารถทบทวนและรู้จักตัวเองผ่านทางหน้าที่ของตน แสวงหาความจริง ทำงานหนักเพื่อสนองข้อเรียกร้องของพระเจ้า และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง พวกเขาย่อมไปอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้าแล้ว ด้วยการครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้และพยายามให้ได้ความจริงอยู่เป็นนิตย์ พวกเขาย่อมจะรับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระเจ้า ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะสามารถยอมรับการถูกตัดแต่งจากพระเจ้า และต่อมาหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็อาจถูกพิพากษาและตีสอน ทดสอบ และถลุง พระเจ้าจะทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์กับพวกเขา โดยเปลี่ยนแปลงพวกเขาและชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์
บางคนพูดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของฉันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยถูกตัดแต่ง และฉันก็ยังไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างอันใด นับประสาอะไรที่จะตกอยู่ภายใต้บททดสอบและการถลุง” คนเช่นนี้กำลังรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? หากพวกเขาสามารถปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้จริงๆ พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างได้อย่างไร? หากพวกเขาเผยความเสื่อมทรามของตนออกมาบ่อยครั้ง พวกเขาย่อมจะถูกตัดแต่งอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่กลับใจหลังจากถูกตัดแต่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่มีความเป็นมนุษย์ และพวกเขาย่อมเป็นคนที่ควรถูกกำจัดออกไป บางคนพูดว่า “ฉันรับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งบ่อยครั้ง และฉันก็รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้าและได้รับความสว่างใหม่บ่อยครั้ง” เกิดอะไรขึ้นตรงนี้? (พระเจ้ากำลังทรงนำพวกเขา) คนอื่นๆ พูดว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันไม่เป็นดังเช่นคนอื่นเหล่านั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น? พวกเขามีพรของพระเจ้าและใช้ชีวิตดังเช่นทารกในเปลตลอดเวลา โดยไม่ต้องเผชิญภัยอันตรายใดๆ เหตุใดฉันจึงถูกทดสอบและถลุงอยู่เสมอ?” การถูกทดสอบและถลุงอยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่? (นั่นเป็นสิ่งที่ดี) นั่นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่แย่ พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการทดสอบและการถลุงผู้คนคืออะไร? (เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถทำความเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้) พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้นเพื่อทรมานผู้คนหรือทำให้ผู้คนเจ็บปวด พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถทำความเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและมองเห็นแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของตนได้อย่างชัดเจน และเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถปล่อยมือจากเจตนาและโครงการของตนและสัมฤทธิ์การนบนอบพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ได้เพียงแค่กำลังลงแรง แต่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างจริงใจและอย่างเป็นทางการ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าย่อมกลายเป็นปกติ ส่งผลต่อการพลิกผันของสัมพันธภาพที่ไม่ปกติก่อนหน้าของเจ้ากับพระองค์ หากสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าคือสัมพันธภาพของพนักงานกับนายจ้างของตน เจ้าย่อมไม่สามารถรับความรอดได้ หากเจ้ายอมรับพระบัญชาของพระเจ้า สามารถเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า และรับความรับผิดชอบอย่างจริงจังสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะเป็นปกติ เจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าจะสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และยอมรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะเป็นเป้าหมายของความรอดของพระองค์ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์จะอยู่ที่ระดับนี้ แต่หากเจ้าเพียงแค่ลงแรงอยู่เสมอ หากไม่สำคัญว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชาใดให้แก่เจ้า เจ้าปฏิบัติพระบัญชานั้นด้วยท่าทีแบบสุกเอาเผากินเสมอ โดยไม่ยอมรับหลักธรรมความจริงและโดยปราศจากการนบนอบที่จริงแท้ รู้เพียงแค่การตรากตรำและทำงานเท่านั้น โดยทำอย่างขอไปทีเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นคนลงแรงอย่างแท้จริง เพราะพวกที่เป็นคนลงแรงไม่ยอมรับความจริง และพวกเขาไม่เคยก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงแม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าย่อมเป็นสัมพันธภาพของพนักงานกับนายจ้างของตนไปตลอดกาล พวกเขาจะไม่มีวันนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงระลึกถึงพวกเขาในฐานะผู้เชื่อหรือในฐานะบรรดาผู้ที่เป็นของพระองค์ นี่คือผลที่ตามมาจากการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการไล่ตามเสาะหาความจริง การนี้ตัดสินจากเส้นทางที่พวกเขาเดิน หากเจ้าต้องการปรับปรุงสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? (เดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง) ถูกต้อง เจ้าต้องเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ก้าวแรกของเจ้าควรเป็นอย่างไร? (ข้าพระองค์ต้องเข้าใจวิธีปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์) ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่—นี่คือข้อเรียกร้องของพระเจ้า การติดตามพระเจ้าอ้างอิงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา พวกที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้กำลังติดตามพระเจ้า หากเจ้าต้องการติดตามพระเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี แง่มุมใดของความจริงควรปฏิบัติเป็นอันดับแรกเมื่อปฏิบัติหน้าที่? (ความจริงแห่งการนบนอบ) ถูกต้อง บางคนพูดว่า “นี่คือหน้าที่ของฉันในตอนนี้ ฉันต้องศึกษาอย่างหนักและสำเร็จในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง แล้วจึงสอบ TOEFL หรือรับปริญญาเอกในสองปี เมื่อนั้นฉันจะสามารถทำตัวเองให้โดดเด่นในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ หรือบางทีอาจจะทำได้ดีในพระนิเวศของพระเจ้าและในอนาคตอาจจะกลายเป็นผู้นำ” คนเหล่านั้นไม่ใช่เพียงแค่กำลังวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรอกหรือ? (ใช่) การวางแผนและการจัดการเตรียมการเพื่อประโยชน์แห่งเนื้อหนังของตัวเองเสมอ โดยจัดการเตรียมการไม่เพียงแค่เรื่องของชีวิตของคนเรา แต่สำหรับหลังจากความตายของคนเราเช่นกัน—นี่คือกรอบความคิดของผู้ไม่มีความเชื่อ เป็นเรื่องปกติที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะทำกิจวัตรประจำวันของตนโดยคิดในหนทางนี้ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำได้เพียงคิดถึงเนื้อหนังของตน และคำนึงถึงการอยู่รอดของตนเท่านั้น เหมือนพวกสัตว์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม คนที่เชื่อในพระเจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวันและเข้าใจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงควรรู้นัยสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่และเหตุผลสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว พวกเขาต้องเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ โดยสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับเส้นทางที่คนเราเดินในการเชื่อในพระเจ้าของตนโดยตรง คนเราควรนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอย่างไร แง่มุมใดของความจริงต้องบรรลุให้ได้เพื่อที่จะทำหน้าที่ของคนเราให้ดีและนบนอบพระเจ้า และผู้คนควรยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าอย่างไรเพื่อที่จะสามารถชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์ได้—การที่พวกเขาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีก นี่คือเส้นทางที่คนเราควรเดินในการเชื่อในพระเจ้าของตน มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้น คนเราจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและรับความรอดของพระเจ้าได้ พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นนี้ให้รอดและทำให้พวกเขาเหล่านี้เพียบพร้อม พระเจ้าต้องประสงค์จะได้รับบุคคลเช่นนี้ไม่กี่คนด้วยการทำให้พระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์เสร็จสิ้น หากใครบางคนคิดถึงเพียงแค่ว่าจะแซงหน้าอย่างไร จะกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นอย่างไร และพวกเขาจะบริหารจัดการคนกี่คน และในที่สุดพวกเขาอาจจะปกครองเมืองกี่เมือง นี่ย่อมเป็นความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี บุคคลนี้เป็นลูกหลานของศัตรูของพระคริสต์—ศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมดสมรู้ร่วมคิดเพื่อสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ การสมรู้ร่วมคิดเพื่อสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่? (ไม่) เมื่อรู้ว่าการสมรู้ร่วมคิดนี้ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม พวกเขาสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่? (นั่นย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่าย) ในสภาพการณ์ปกติธรรมดา คนกระทำการตามเจตนาของตนเองเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ในทุกๆ สิ่งที่เจ้าทำ เจ้ากระทำการเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง หรือเจ้าทบทวนตัวเอง แสวงหาความจริง ขัดขืนเป้าหมายและการวางเล่ห์เพทุบายของตน แล้วจึงเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง? เส้นทางที่ถูกต้องคือสิ่งใดกันแน่? (การขัดขืนตัวเองและการกระทำตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์) การไล่ตามเสาะหาของคนประเภทใดสามารถสัมฤทธิ์เส้นทางนี้ได้? มีเพียงใครบางคนที่มีหัวใจอันดีและหัวใจที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมเท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์เส้นทางนี้ได้ ผู้คนหลอกลวง ดื้อแพ่ง และชั่วเหล่านั้นที่ไม่รักความจริงไม่สามารถสัมฤทธิ์เส้นทางนี้ได้ เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขารู้ว่าเส้นทางที่ตนเดินไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง—นั่นเป็นเส้นทางที่ผิดพลาดของเปาโล—และพวกเขาจะไม่รับความรอดไว้อย่างแน่นอน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เริ่มเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง? เพราะพวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การนี้ตัดสินโดยธรรมชาติของพวกเขาทั้งสิ้น นั่นก็เป็นเหมือนเวลาที่คนสองคนมีขีดความสามารถอย่างเดียวกัน เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีเท่ากัน รับฟังคำเทศนาเดียวกัน และปฏิบัติหน้าที่เดียวกัน แต่เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะไปสู่เส้นทางที่แยกจากกันและคนหนึ่งถูกกำจัดออกไปขณะที่อีกคนถูกเก็บเอาไว้ คนหนึ่งมีหัวใจที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม รักความจริง และเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ต่อให้ใครบางคนพยายามชักพาบุคคลนี้ให้หลงผิดและชักนำพวกเขาให้เดินบนเส้นทางแห่งความชั่ว พวกเขาจะทำตามหรือไม่? พวกเขาคงจะไม่ แน่นอนว่าพวกเขาคงจะปฏิเสธคนเหล่านั้น พวกเขาสามารถแสวงหาความจริง กระทำการตามข้อเรียกร้องของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนค่อนข้างชั่วและหลอกลวง พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าสถานะและความทะเยอทะยานของพวกเขาก็แรงกล้าเกินไป ไม่สำคัญว่าคนเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาจะไม่ละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของตน นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขา แล้ววาระสุดท้ายสำหรับบุคคลนี้ที่ไม่ยอมรับความจริงและไม่สามารถละทิ้งสถานะได้เลยเป็นอย่างไร? พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป จุดจบของคนสองคนนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน คนที่ซื่อสัตย์ในหัวใจของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงค่อยๆ ทำความเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความชัดเจนที่มากขึ้นตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถทำได้เพียงเข้าใจคำสอนเท่านั้น และไม่สามารถนำคำสอนนั้นไปปฏิบัติได้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนำคำสอนนั้นไปปฏิบัติได้? ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาแรงกล้าเกินไป และพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาจัดลำดับความสำคัญกับผลประโยชน์ ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี ชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะของตนเอง พวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ และหลงลืมตัวไปกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็สนองเนื้อหนังของตนและความอยากได้อยากมีของตนเองเป็นอันดับแรก พวกเขากระทำการตามความอยากได้อยากมีของตนเองในทุกสิ่ง ไล่ตามเป้าหมายนี้และพักวางความจริงไว้ก่อน ผลก็คือ พวกเขาไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและทำให้งานยุ่งเหยิง และในที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกกำจัดออกไป นี่ไม่ใช่คนที่พระนิเวศของพระเจ้ากำจัดออกไปอย่างชัดเจนหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วไม่มีความหวังใดเลยหรือสำหรับพวกเขา? หากพวกเขาสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง พวกเขาย่อมสามารถหลีกเลี่ยงการถูกกำจัดออกไป และย่อมจะมีความหวังสำหรับความรอดของพวกเขา แต่หากหัวใจของพวกเขายังคงดื้อแพ่งและพวกเขายึดมั่นในความอยากได้อยากมีของตนอย่างสุดชีวิต เหมือนสุนัขดุร้ายที่หวงกระดูก เช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีความหวังแม้แต่น้อยที่พวกเขาจะรับความรอดไว้ ผู้คนไม่สามารถบรรลุความจริงได้หากพวกเขาไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง! มีเพียงเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง มีเพียงการเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น คนเราจึงสามารถบรรลุความจริงได้ มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถมีความหวังที่จะบรรลุความรอดของพระเจ้าได้
หัวใจของผู้คนที่เลวทรามและหลอกลวงนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยาน แผนการ และกลอุบายส่วนตัวของพวกเขา สิ่งเหล่านี้วางลงได้ง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) เจ้าควรทำเช่นไรหากเจ้ายังคงปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่ไม่สามารถวางสิ่งเหล่านี้? ตรงนี้มีเส้นทางอยู่ กล่าวคือ เจ้าต้องชัดเจนในธรรมชาติของสิ่งที่เจ้ากำลังทำ หากมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้าและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องไม่วางพักสิ่งนั้นไว้ก่อน ทำความผิดพลาด ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือหลักธรรมที่เจ้าควรทำตามในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงการทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้รับความเสียหาย ก่อนอื่นเจ้าต้องละจงวางความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของเจ้าเอาไว้ก่อน ผลประโยชน์ของเจ้าต้องถูกกระทบกระเทือนบ้าง ต้องถูกละวาง และในไม่ช้าเจ้าจะทนทุกข์กับความยากลำบากนิดหน่อยดีกว่าที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งเป็นเส้นตายเจ้าไม่ควรข้าม หากเจ้าทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายเพื่อที่จะสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงและความถือดีอันน่าสมเพชของเจ้า ในท้ายที่สุดผลสืบเนื่องสำหรับเจ้าจะเป็นเช่นใด? เจ้าจะถูกเปลี่ยนตัวและอาจถูกกำจัดออกไป เจ้าจะยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอาจไม่มีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกเลย จำนวนครั้งของโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนนั้นมีจำกัด ผู้คนได้รับโอกาสที่จะถูกพระเจ้าทรงทดสอบกี่ครั้งกัน? การนี้กำหนดพิจารณาไปตามแก่นแท้ของพวกเขา หากเจ้าทำให้โอกาสที่เจ้าได้รับนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด หากเจ้าสามารถปล่อยวางความหยิ่งยโสและความถือดีของเจ้าเอง และให้ความสำคัญสูงสุดกับการงานของคริสตจักรให้ดีได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีวิธีคิดที่ถูกต้อง หัวใจของเจ้าต้องเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปทางซ้ายและไม่เอนเอียงไปทางขวา เมื่อเจ้ามีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง เจ้าต้องอธิษฐานโดยทันทีและแก้ไขเจตนาเหล่านั้น เจ้าควรพิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในชั่วขณะที่วิกฤติและสำเร็จลุล่วงงานของตน ผู้ที่ทำเช่นนี้คือคนที่ถูกต้อง บางครั้งบางคราวหลังจากสำเร็จลุล่วงบางสิ่งหากเจ้าด่วนพูดว่า “เป็นฉันนั่นเองที่ทำสิ่งนี้” เพียงเพื่อสนองความถือดีของตนเท่านั้น นั่นก็คงพอได้อยู่ พระเจ้าจะทรงอนุญาตการนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจจะคิดอย่างไร เนื่องจากเจ้าทำงานเสร็จแล้ว พระองค์ย่อมจะทรงจดจำการนั้น นี่ไม่เป็นธรรมหรอกหรือ? เพราะจริงๆ แล้วนี่คือบางสิ่งที่เจ้าสำเร็จลุล่วงด้วยหัวใจและความซื่อสัตย์ เจ้าขัดขืนเนื้อหนังของตัวเองและความทะเยอทะยานของตัวเอง ลุล่วงหน้าที่ของตน และทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้นโดยไม่ยอมให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์ได้รับความเสียหาย พระทัยของพระเจ้าได้รับความชูใจ และในเวลาเดียวกันเจ้าก็รู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดีในหัวใจของตน นี่คือความสุขที่เงินไม่สามารถซื้อได้ เจ้าได้รับความสุขด้วยความจริงใจของตน นี่คือผลลัพธ์จากการไล่ตามเสาะหาความจริง หลังจากนั้น หากเจ้าอวดตัวว่า “นี่แน่ะ พวกคุณรู้ว่าฉันทำสิ่งนี้ใช่ไหม?” พระเจ้าจะไม่ทรงโต้แย้ง แต่ในระหว่างชั่วขณะที่วิกฤติ เจ้าต้องค้ำจุนเส้นฐาน เจ้าไม่สามารถยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้าหรือก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ หากเจ้าสามารถยึดปฏิบัติตามการนี้ได้ โดยมั่นใจว่าในระหว่างชั่วขณะที่วิกฤติเจ้าคว้าเส้นฐานนั้นไว้ รีบฉวยโอกาสที่จะลุล่วงหน้าที่ของตน เมื่อนั้นย่อมจะมีความหวังสำหรับความรอดของตน หากเจ้าใช้ความระมัดระวังในสภาพการณ์ที่ปกติ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง—ชั่วขณะที่วิกฤติเหล่านั้นที่เจ้าจำเป็นต้องกระทำการอย่างเป็นการชี้ขาดและสุขุมรอบคอบ—เจ้าไม่ควบคุมความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนแต่กลับกระทำตามอำเภอใจ ทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและไม่สามารถค้ำจุนเส้นฐานสูงสุดได้ เช่นนั้นนี่ย่อมจะยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ไม่สมควรได้รับการลงโทษหรอกหรือ? อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องไม่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่คือเส้นฐาน เจ้าต้องรู้ว่าเส้นฐานของพระเจ้าคืออะไรและเส้นฐานที่เจ้าควรค้ำจุนคืออะไร หากเจ้าค้ำจุนเส้นฐานนี้ในระหว่างชั่วขณะที่วิกฤติ และหลังจากลุล่วงหน้าที่ของตนแล้วเจ้าไม่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และทรงกล่าวโทษเจ้าแต่กลับทรงจดจำและทรงยอมรับเจ้า นี่คือความดี พระเจ้าไม่ทรงมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เจ้าคิด ไม่ว่าเจ้าอาจหลงตัวเองหรือภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนอย่างไร พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับสิ่งเหล่านี้และจะไม่ทรงจริงจังกับเจ้าขึ้นมา ทั้งหมดที่เหลือเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของตัวเจ้าเอง เพราะเจ้าสามารถฉวยสายชูชีพไว้ได้ในทุกสถานการณ์ สามารถกระทำการตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า สามารถยังคงจงรักภักดีและตอบสนองพระทัยของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง และสามารถค้ำจุนเส้นฐานของตนได้ นี่พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด? นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีท่าทีแห่งการนบนอบพระเจ้า ในขอบข่ายหนึ่งนั้น อาจพูดได้ว่าเจ้าทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้วบางส่วน พระเจ้าทรงเห็นการนั้นอย่างนี้นั่นเอง พระเจ้าทรงชอบธรรมมิใช่หรือ? (ใช่) ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงคนที่ปฏิบัติในลักษณะนี้เท่านั้นที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม จงอย่าคิดว่า “คราวนี้ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีมากพอที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ยังคงมีข้อตำหนิบางอย่าง พระองค์จะไม่ทรงยอมรับการนั้นหรอกหรือ?” พระเจ้าจะไม่ทรงจับผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น พระองค์ก็แค่จะทรงเฝ้าสังเกตว่าเจ้ามีเส้นฐานหรือไม่เมื่อทำงานนี้ ตราบที่เจ้าไม่ล้ำเส้นเส้นฐานและเจ้าทำงานเสร็จ พระองค์ย่อมจะทรงจดจำการนั้น หากเจ้าสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงอยู่เสมอไม่สำคัญว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใดหรือเจ้าทำสิ่งใด และแม้ในสถานการณ์ที่ลำบากยากเย็นเป็นพิเศษเจ้าก็ไม่ข้ามเส้นฐาน เช่นนั้นเจ้าย่อมมีหลักธรรมในหนทางที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลายและหนทางที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ อาจพูดได้ว่าการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าโดยแก่นสารแล้วได้มาตรฐาน
ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแต่ละบุคคลไม่ได้ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ในแง่มุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของแต่ละบุคคล ในอีกแง่มุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของตน บางคนไม่มีปัญหาในการกล่าวอย่างซื่อสัตย์ แต่สำหรับผู้อื่นต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่หลังจากมีประสบการณ์การถูกตัดแต่งมาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็สามารถกล่าวบางสิ่งที่ซื่อสัตย์จากหัวใจของตนได้ในที่สุด พระเจ้าทรงมองเรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? นี่ใช่ผลลัพธ์จากพระราชกิจของพระองค์หรือไม่? นี่คือผลสุดท้ายที่พึงปรารถนาจากพระราชกิจของพระเจ้า หลังจากทำงานนี้มาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี เมื่อในที่สุดแล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นผลลัพธ์ที่พึงปรารถนานี้ พระองค์ก็ทรงทะนุถนอมผลลัพธ์นี้ ดังนั้นไม่สำคัญว่าเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งใดในอดีต ไม่ว่าเจ้าทำความผิดพลาดใดหรือเจ้าล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม จงอย่าวิตกกังวลไปเลย เจ้าต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม จงเชื่อว่าการนบนอบพระเจ้านั้นถูกต้อง จงเชื่อว่าการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้านั้นถูกต้อง นี่คือความจริงสูงสุด จงเดินตามเส้นทางนี้ในการปฏิบัติและการกระทำของตน แล้วเจ้าจะไม่เกิดการผิดพลาด จงอย่ากังขาหรือค้นคว้าเรื่องนั้น บางคนพูดว่า “ฉันไม่ได้รับมากมายนักจากการพลีอุทิศที่ฉันทำก่อนหน้านี้ หากฉันทำการพลีอุทิศมากขึ้นในตอนนี้ ฉันจะพลาดโอกาสอีกหรือไม่?” คือว่า เจ้าปฏิบัติความจริงหรือไม่เมื่อเจ้าทำการพลีอุทิศเหล่านั้น? เจ้าทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริงหรือไม่? เจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? หากเจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บรรลุความจริงหรือขาดพร่องคำพยาน แต่หากการพลีอุทิศก่อนหน้านี้ของเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งสถานะ ชื่อเสียง และผลตอบแทนทั้งสิ้น เจ้าอาจสามารถได้รับสิ่งใด? ทั้งหมดที่เจ้าน่าจะได้รับคือการถูกตัดแต่ง และหากเจ้าไม่ได้กลับใจ เจ้าย่อมน่าจะได้รับการลงโทษและการทำลายล้างเท่านั้น เจ้าทำการพลีอุทิศเพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ และเจ้าก็คาดหวังจะบรรลุความจริง—นี่ไม่ใช่การคิดอันเต็มไปด้วยปรารถนาหรอกหรือ? ใครบางคนจะได้รับสิ่งใดจากการวางอุบายและพยายามชนะพระเจ้าด้วยสติปัญญาตลอดเวลา? หลังจากการคิดคำนวณและการวางอุบายทั้งหมด ก็เป็นตัวพวกเขานั่นเองที่พวกเขาชนะด้วยสติปัญญา พวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย แล้วนี่ไม่สมควรหรอกหรือ? อย่างน้อยที่สุดอะไรคือเส้นฐานสำหรับการเชื่อในพระเจ้า? นั่นไม่ใช่การทำชั่ว ไม่ใช่การก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่การทำให้พระองค์กริ้ว ไม่ใช่การแข่งขันกับพระองค์ นั่นเป็นการปล่อยมือจากโครงการ ความทะเยอทะยาน และความอยากได้อยากมีของตนเองในระหว่างชั่วขณะที่วิกฤติ อันที่จริงแล้วเมื่อผู้คนวางอุบายในหนทางนี้หนทางนั้น พวกเขาย่อมลงเอยด้วยการหลอกตัวเองให้หลงกลในท้ายที่สุด หากเรื่องนี้ชัดเจนสำหรับทุกคน เหตุใดผู้คนจึงยังวางอุบายอยู่ต่อไป? นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของพวกเขา มนุษย์มีสมอง ความคิด และแนวคิด พวกเขายังมีความรู้และการเรียนรู้ด้วย เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ผู้คนจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นี่คือกฎที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ หากเจ้ารักที่จะวางอุบาย การวางอุบายกับคนอื่นอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก แต่หากเจ้ายืนกรานในการวางอุบายกับพระเจ้า ทำให้พระองค์เป็นเป้าหมายของการวางเล่ห์เพทุบายของตน เจ้าจะได้แต่ออกอุบายจุดจบของตัวเองและวางอุบายให้โอกาสที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเจ้าหลุดลอยไปเท่านั้น เรื่องนี้ไม่คุ้มค่าหรอก เจ้าไม่สามารถปล่อยให้การวางอุบายของตนไปถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่สำคัญว่าเจ้าวางอุบายอย่างไร ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและสร้างผลลัพธ์ และผลลัพธ์เหล่านี้ต้องดีและเป็นเรื่องบวก หากใครบางคนวางอุบายในหนทางนี้หนทางนั้นและในท้ายที่สุดแล้วไม่บรรลุความจริง แต่กลับลงเอยด้วยการถูกลงโทษ เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นผลที่ตามมาสำหรับผู้ที่รักที่จะวางอุบายและวางอุบายอยู่เป็นนิตย์ คนเช่นนั้นไม่ฉลาดแยบยล พวกเขาเป็นคนโง่เง่าที่สุดในบรรดาคนโง่เขลาทั้งหลาย
ทุกคนมีราคีเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงมาหลายปี เจ้าอาจสลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้บางส่วน ยังมีช่วงเวลาที่พวกเจ้าวางอุบายและวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์แห่งผลประโยชน์ของตัวเองหรือไม่? (มี) พวกเจ้ามักจะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าควรปฏิบัติต่อสภาวะเหล่านี้อย่างไร? มีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติใดหรือไม่? การนี้พึงต้องมีการแสวงหามากมาย เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังไม่ซื่อสัตย์และพบว่าตัวเองติดอยู่ในสภาวะที่เลวทรามและหลอกลวง โดยหัวใจของเจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและขัดขืนเนื้อหนังของตน จงอย่าหันไปพึ่งเหตุผลหรือวิเคราะห์และปฏิบัติต่อเรื่องนี้ตามมโนคติอันหลงผิดของตน หากเจ้าถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนควบคุมและความอยากได้อยากมีของตัวเองก็เข้าควบคุม นั่นย่อมจะเป็นปัญหา เจ้ารู้ในหัวใจของตนว่ามือที่มืดมิดแห่งบาปกำลังจะเอื้อมออกไปเมื่อใด เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เจ้าต้องควบคุมตัวเอง หักห้ามใจตัวเองไม่ให้กระทำการ เจ้าจะต้องสงบจิตใจของตน มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐาน อันที่จริงแล้วเจ้าจะไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตัวเอง เมื่อได้มาถึงช่วงระยะนี้ในการเชื่อในพระเจ้าของตน เมื่อได้ยินคำเทศนามามากมายแล้ว เจ้าก็ควรเข้าใจอย่างค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตน และรู้ถูกรู้ผิด กุญแจสำคัญก็คือเจ้าต้องขัดขืนเนื้อหนังของตนและไม่ถูกเนื้อหนังของตนนำทาง เช่นนั้นเจ้าควรทำอย่างไร? (นบนอบ) แล้วถ้าเกิดเจ้าไม่สามารถนบนอบได้ในทันทีล่ะ? ถ้าเกิดเจ้ายังคงต้องการโต้แย้ง พินิจพิเคราะห์ และวิเคราะห์ล่ะ? เช่นนั้นเจ้าต้องปล่อยให้ความทะเยอทะยานของตนเย็นลงและสงบลง และในเวลาเดียวกันก็มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน หรือสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของตน เจ้ายังจะต้องเปิดใจและตีแผ่ตัวเองรวมทั้งชำแหละสถานการณ์โดยใช้ความจริงด้วย และหลังจากหนึ่งหรือสองวันสภาวะของเจ้าก็จะดีขึ้นมาก นี่คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การปล่อยมือจากโครงการของตัวเองในแง่มุมหนึ่งนั้นหมายถึงการที่สามารถขัดขืน ละทิ้ง และแก้ไขความคิดและแนวคิดที่ผิดพลาดของตน ในอีกแง่มุมหนึ่ง หากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของใครบางคนแรงกล้าเป็นพิเศษและพวกเขาต้องการกระทำการกับสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ทั้งที่รู้ว่าการกระทำในหนทางนี้จะไม่ตรงตามความจริงและจะไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นการนี้ย่อมพึงต้องมีคำอธิษฐาน พวกเขาต้องอธิษฐานอย่างมีศรัทธาแก่กล้าเพื่อทำให้ความทะเยอทะยานของตนเย็นลง ตัวอย่างเช่น อาจจะมีบางสิ่งที่เจ้าต้องการทำ และเมื่อความอยากได้อยากมีนั้นแรงกล้าที่สุด เจ้าย่อมรู้สึกว่าเจ้าต้องทำเช่นนั้นให้จงได้ ราวกับว่าเจ้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้หากไม่ทำเช่นนั้น แต่หลังจากรอสองหรือสามวัน เจ้าก็จะเห็นว่าท่าทีก่อนหน้านี้ไร้ยางอาย ไม่มีเหตุผล และไร้มโนธรรม นี่หมายความว่าเจ้ากลับลำแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เรื่องนี้เกิดขึ้นผ่านทางการอธิษฐาน อีกทั้งความรู้แจ้งและการตำหนิของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ประทานความรู้ความเข้าใจเชิงลึกหรือความรู้สึกบางอย่างที่ช่วยเจ้าพิจารณาปัญหาจากมุมมองที่แตกต่างออกไป สิ่งที่เจ้าได้มองว่าถูกควรและรู้สึกทุรนทุรายหากไม่ได้ทำ จู่ๆ เจ้าก็ตระหนักว่าผิดและการทำเช่นนั้นน่าจะเป็นการว่ากล่าวจากมโนธรรมของเจ้า นี่บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของสภาวะ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิด หากใครบางคนแก้ไขสภาวะที่ผิดพลาดของตน นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่ายังคงมีความหวังสำหรับคนคนนั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและรับการคุ้มครองจากพระเจ้าไว้ แต่หากพวกเขาไม่เคยแก้ไขสภาวะที่ผิดพลาดของตน โดยยืนกรานแม้รู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นั้นผิดและไม่รับฟังคำแนะนำจากใครเลย เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และจะไม่รับการบ่มวินัยจากพระเจ้าไว้หรือได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่สำคัญว่าผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเผชิญกับสิ่งใด หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ พวกเขาก็ได้แต่ต้องอธิษฐานเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน อ่านพระวจนะของพระเจ้า รับฟังคำเทศนา หรือเข้าร่วมในการสามัคคีธรรมเท่านั้น—ไม่ว่าพวกเขาใช้วิธีการใด พวกเขาจะค่อยๆ ทำความเข้าใจสถานการณ์และสามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้ได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วและได้รับการทรงนำโดยพระองค์ ผลลัพธ์นั้นเด่นชัด และหลักธรรมซึ่งคนคนนี้ใช้ทำสิ่งทั้งหลายก็จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วย หากเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ย่อมมีปัญหากับการไล่ตามเสาะหาและท่าทีของเจ้า หากเจ้าเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้ามองดูสิ่งทั้งหลาย เจ้าย่อมจะพบว่าการปฏิบัติความจริงนั้นค่อนข้างง่าย ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าเห็นอาหารบางอย่างที่อร่อยแต่ไม่ใช่ชนิดที่เจ้าชอบหรือเจ้าไม่ต้องการกินอาหารนั่น ณ ชั่วขณะนั้น การหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กินอาหารนั่นง่ายหรือไม่? (ง่าย) และหากเจ้าต้องการกินอาหารนั่นจริงๆ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้กิน การยอมรับเรื่องนี้จะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) เจ้าต้องขัดขืนเรื่องนี้ ขัดขืนความอยากอาหารของตัวเอง ความอยากได้อยากมีของตัวเอง หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันชอบกินอาหารนั่นและปักใจที่จะกินอาหารนั่น ใครหรือจะมาบอกฉันว่าฉันไม่ควรกินอาหารนั่น?” และเจ้าก็เถียงคำไม่ตกฟากและทำไปอย่างหัวดื้อ เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถปล่อยมือได้ เจ้าจะไม่สามารถขัดขืนความอยากอาหารของตัวเองได้ เช่นนั้นเจ้าสามารถขัดขืนเรื่องนั้นได้อย่างไร? ก่อนอื่นเจ้าต้องสงบใจลงและทบทวนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จากนั้น จงไปอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนในหัวข้อนี้แล้วคิดทบทวนพระวจนะเหล่านี้ให้รอบคอบว่า “ฉันละโมบขนาดนั้นได้อย่างไร? การปักใจที่จะกินอาหารนั่นขนาดนั้น นั่นไม่ใช่ความไร้ยางอายของฉันเองหรอกหรือ? แล้วฉันจะได้อะไรจากการกินอาหารนั่น? ฉันดื้อรั้นมิใช่หรือ?” การปักใจที่จะกิน—นี่คืออุปนิสัยใด? นั่นเกี่ยวข้องกับความดื้อรั้นและความดื้อแพ่ง ตลอดจน การยืนกรานเอาแต่ใจและความไม่มีเหตุผล นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง นี่คืออุปนิสัยที่เป็นเหตุให้เจ้าเป็นคนยืนกรานเอาแต่ใจ แข็งขืน และไม่สามารถนบนอบได้ หากเจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้ เจ้าจะตระหนักว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนค่อนข้างรุนแรงและล้วนสามารถเป็นเหตุให้ตนขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้าได้ง่ายเกินไป หากเจ้าทำชั่ว ผลที่ตามมาจะมิอาจจินตนาการได้ หากเจ้าสามารถทบทวนตัวเองในลักษณะนี้ได้ หัวใจของเจ้าจะสดใสขึ้นเป็นธรรมดา และเจ้าจะจับความเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาอย่างง่ายดาย ณ จุดนี้ เมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าอีก วิธีคิดของเจ้ายังจะเป็นปกติด้วย และผลย่อมจะแตกต่างออกไป สภาวะนี้ค่อนข้างแตกต่างจากสภาวะที่เป็นกบฏเริ่มแรกไม่ใช่หรือ? เจ้าจะคิดอย่างไรในเวลานี้? เจ้าจะสามารถตระหนักว่าตนดื้อแพ่งและดื้อรั้นเพียงใด เจ้าจะรู้สึกว่าตนไร้ยางอายและไร้คุณความดี ความเข้าใจนี้ในตัวเจ้าเองจะถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และเจ้าจะเข้าร่วมในการปฏิบัติอย่างมีเหตุผลมากขึ้น เราได้ยินบางคนพูดอยู่บ่อยครั้งว่า “ก่อนหน้านี้ฉันกระทำการอย่างโง่เขลาขนาดนั้นไปได้อย่างไร? ฉันพูดสิ่งที่โง่เง่าเช่นนั้นไปได้อย่างไร? เหตุใดฉันจึงเป็นกบฏขนาดนั้น? เหตุใดฉันจึงไม่รู้ดีไปกว่านั้น?” สำหรับบางคนการกล่าวสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นแล้วอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เพียงเพราะเจ้าไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้อยู่ชั่วระยะหนึ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอดชั่วชีวิตของตน ตามที่กล่าวมานี้เราหมายถึงสิ่งใด? ไม่ว่าใครบางคนหลอกลวง ดื้อรั้น ดื้อแพ่ง หรือโอหังหรือไม่ การไม่เปลี่ยนแปลงเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยบางครั้งก็ต้องใช้เวลา บางครั้งก็พึงต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมหรือการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้าอาจจะพูดว่า “ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ฉันยอมแพ้ ฉันเลิกใส่ใจแล้ว” และนี่เป็นภัยอันตราย นี่ไม่ใช่การที่พระเจ้าทรงกำจัดเจ้าออกไป แต่เป็นการที่เจ้ากำจัดตัวเองออกไป เจ้าไม่เลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงแต่กลับเลือกเส้นทางแห่งการละทิ้งตัวเอง นี่เป็นการทรยศพระเจ้า และหากทำเช่นนี้เจ้าจะเสียโอกาสที่จะรับความรอดไว้ไปตลอดกาล หากใครบางคนต้องการบรรลุความจริง หากพวกเขาต้องการให้อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนเปลี่ยนแปลง พวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่เนืองนิจ พวกเขาต้องตรวจสอบและทบทวนตัวเองภายในพระวจนะของพระเจ้าตลอดเวลาและในแง่มุมนานาเพื่อค่อยๆ แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจตนา และมลทินของตน นี่คือวิธีที่คนต้องให้ความร่วมมือ แต่ก็พึงต้องมีพระราชกิจของพระเจ้าด้วย พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนานาและทรงพระราชกิจของพระองค์ในตัวเจ้าตามเวลาของพระองค์ ในแง่มุมหนึ่ง พระองค์ทรงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมา ทรงอนุญาตให้เจ้าเข้าใจและทบทวน ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แก้ไขสภาวะของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือภาวะอารมณ์หดหู่และคิดลบ ย่อมมีกระบวนการในแก้ไขและการกลับใจอยู่เสมอ ในระหว่างกระบวนการนี้หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง สภาวะที่เป็นลบของเจ้าย่อมจะได้รับการแก้ไขและเจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติ หากเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้หลังจากได้รับโอกาสในการกลับใจมาแล้วหลายครั้ง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับยึดมั่นในหนทางเก่าๆ ของตน โดยเก็บอุปนิสัยอันดื้อรั้นและดื้อแพ่งของตนเอาไว้ เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมมีปัญหา และพวกเขาย่อมไม่สามารถบรรลุความรอดได้ จงประเมินวัดตัวเองว่า เมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากเพียงใด? เจ้ากลับตัวกลับใจแล้วหรือยัง? หากเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว ย่อมมีความหวังสำหรับการรับความรอดไว้ แต่หากเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ย่อมจะไม่มีความหวังเช่นนั้น
บางคนไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาสุกเอาเผากินเสมอ เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการรบกวน และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกแทนที่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ถูกขับไล่จากคริสตจักร ซึ่งก็คือการที่พวกเขาได้รับโอกาสในการกลับใจ ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และทุกคนมีช่วงเวลาที่ตนเลอะเลือนหรือสับสน ช่วงเวลาที่ตนมีวุฒิภาวะน้อย จุดมุ่งหมายในการมอบโอกาสแก่เจ้าก็เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถพลิกฟื้นทั้งหมดนี้ แล้วเจ้าสามารถพลิกฟื้นทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? เจ้าต้องทบทวนและทำความเข้าใจความผิดพลาดในอดีตของตน จงอย่าแก้ตัว และอย่าเริ่มทำการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด หากเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดและส่งต่อความเข้าใจผิดเหล่านี้ไปให้ผู้อื่นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เพื่อที่พวกเขาก็จะได้ตีความพระเจ้าแบบผิดๆ กับเจ้าด้วย และหากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและเที่ยวไปแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้มีมโนคติอันหลงผิดกับเจ้าและพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าเคียงข้างเจ้า นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ? แล้วอะไรสักอย่างที่ดีสามารถมาจากการต่อต้านพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่? เจ้าหวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด แต่เจ้าไม่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าก็ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะยังทรงช่วยเจ้าให้รอดหรือไม่? ลืมความหวังเหล่านี้ไปได้เลย เมื่อเจ้าทำความผิดพลาด พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เจ้าต้องรับผิดชอบ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงกำจัดเจ้าออกไปเพราะความผิดพลาดครั้งเดียวนี้ พระนิเวศของพระเจ้าได้มอบโอกาสแก่เจ้า และได้อนุญาตให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป รวมทั้งกลับใจ ซึ่งเป็นโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า หากเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผล เจ้าก็ควรหวงแหนโอกาสนี้ราวสมบัติล้ำค่า บางคนสุกเอาเผากินอยู่เสมอเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาก็ถูกแทนที่ บางคนถูกโยกย้าย นี่หมายความว่าพวกเขาถูกกำจัดออกไปแล้วหรือไม่? นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าตรัส เจ้ายังคงมีโอกาส แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าควรทบทวนและรู้จักตนเอง และบรรลุการกลับใจที่แท้จริง นี่คือเส้นทาง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บางคนทำ พวกเขาสู้กลับ และเที่ยวไปพูดจนทั่วว่า “ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่นี้เพราะฉันพูดสิ่งที่ผิดและล่วงเกินบางคน” พวกเขาไม่มองหาปัญหาในตัวเอง ไม่ทบทวน ไม่แสวงหาความจริง ไม่นบนอบการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และต่อต้านพระเจ้าด้วยการแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด พวกเขาไม่กลายเป็นซาตานไปแล้วหรอกหรือ? เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลายที่ซาตานทำ เจ้าย่อมไม่ใช่ผู้ติดตามพระเจ้าอีกต่อไป เจ้ากลายเป็นศัตรูของพระเจ้า—พระเจ้าจะทรงช่วยศัตรูของพระองค์ให้รอดได้หรือไม่? ไม่ได้ พระเจ้าทรงช่วยคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้รอด คนจริง—ไม่ใช่มาร ไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ เมื่อเจ้าต่อต้านพระเจ้า และพร่ำบ่นต่อพระเจ้า และตีความพระเจ้าแบบผิดๆ และทำการตัดสินพระเจ้า แพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เจ้ากำลังส่งเสียงโวยวายคัดค้านพระเจ้า เจ้ากำลังแสดงบทบาทใดในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ก็ส่งเสียงโวยวายคัดค้านพระเจ้าด้วย? เจ้ากำลังแสดงบทบาทของซาตาน พวกเจ้าเคยทำสิ่งเช่นนี้มาก่อนหรือไม่? (เคยทำ) แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากทำสิ่งเช่นนี้? (หัวใจของข้าพระองค์มืดมนลง และสภาวะของข้าพระองค์ก็กลายเป็นแย่ลง) นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง พวกเจ้าล้วนตระหนักรู้ถึงการนี้ แต่บางคนก็ไม่มีการตระหนักรู้ เหตุใดบางคนจึงขาดพร่องการตระหนักรู้? (พวกเขาไม่มีหัวใจและไม่มีจิตวิญญาณ) พวกที่ไม่มีหัวใจและจิตวิญญาณไม่ได้เป็นเหมือนสัตว์ร้ายหรอกหรือ? คนที่ขาดพร่องการตระหนักรู้ถึงมโนธรรมย่อมไม่แคล้วที่จะไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง พวกเขาเป็นคนชั่วที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าโดยเสาะแสวงที่จะทำกำไรจากพรของพระองค์ ใครก็ตามที่มีหัวใจและจิตวิญญาณมีการตระหนักรู้ หากพวกเขาถูกแทนที่หรือโยกย้าย พวกเขาจะสามารถทบทวนตัวเองและรู้จักตนเองได้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าตนได้ทำพลาดไปตรงไหน พวกเขาย่อมสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ ยังคงมีความหวังสำหรับคนประเภทนี้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด
การลุล่วงหน้าที่ของคนเราเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง คนเราต้องกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และไม่เคยวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์ของตนเองเลย ด้วยเหตุที่ยิ่งคนเราวางแผนร้ายเพื่อประโยชน์ของตนเองมากขึ้นเท่าใด การเติบโตในชีวิตของตนก็ยิ่งถูกทำให้ล่าช้ามากขึ้นเท่านั้น บางคนวางแผนร้ายอยู่เสมอว่า “วันของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด? ฉันยังไม่พบคู่ครองเลย ฉันจะได้แต่งงานเมื่อใด? ฉันจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองเมื่อใด?” ภายในตัวแต่ละคนมีข้อกังวลที่หยุมหยิมมากมาย เมื่อพวกเขามีการสุขสบายฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาก็เริ่มวางแผนสำหรับชีวิตในอนาคต ความสำเร็จในอนาคต โชคชะตา และบั้นปลายของตน หากเจ้าสามารถมองทั้งหมดนี้ออกและปล่อยมือ เจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ถูกตีกรอบหรือเหนี่ยวรั้ง ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเจ้าได้รับการร้องขอให้ทำอาหารหรือส่งจดหมายให้กับพี่น้องชายหญิงของตน หากเจ้าสามารถมองงานง่ายๆ เหล่านี้ดังเช่นหน้าที่ของตนและปฏิบัติต่องานเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยปฏิบัติงานเหล่านี้ตามหลักธรรมความจริง เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ—นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน การตั้งมั่นในตำแหน่งของตนและลุล่วงหน้าที่ของตนคือแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งก็คือเจ้าต้องรู้ด้วยว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไรและจะปฏิบัติตามหลักธรรมใด ทันทีที่เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมเหล่านี้ในงานประจำวันของตน ตลอดจนเมื่อเจ้าได้รับมอบหน้าที่หรือในระหว่างขั้นตอนของการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เจ้าจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงภายในโดยไม่ทันได้รู้ตัว นั่นก็เป็นเหมือนกินยาเวลาที่เจ้ามีอาการป่วย บางคนพูดว่า “ทำไมฉันจึงไม่รู้สึกดีขึ้นมากเลยหลังจากกินยาเป็นเวลาสองวันแล้ว?” ทำไมถึงต้องรีบล่ะ? ความเจ็บป่วยไม่ได้มีขึ้นในไม่กี่วัน และก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในไม่กี่วันด้วย พึงต้องใช้เวลา บางคนพูดว่า “ฉันปฏิบัติความจริงและกระทำการในลักษณะที่มีหลักธรรมมาเป็นเวลานานแล้ว เหตุใดฉันจึงยังไม่ได้รับพรของพระเจ้า? เหตุใดฉันจึงไม่รู้สึกเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์?” เจ้าไม่สามารถพึ่งพาความรู้สึกสำหรับการนี้ได้ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ขึ้น? หลังจากเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าจะรู้เมื่อการนบนอบกลายเป็นง่ายขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกนั้นต้องใช้ความพยายามที่จะนบนอบ เจ้าใช้เหตุผล พินิจพิเคราะห์ และวิเคราะห์ตลอดเวลา ต้องการท้าทายและขัดขืน และเจ้าก็คงจะนำความยับยั้งชั่งใจออกมาใช้ แต่ในตอนนี้เจ้าไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าไม่พินิจพิเคราะห์สิ่งนั้น เมื่อเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดหรือแนวคิดบางอย่าง เจ้าอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อปัดเป่าสิ่งเหล่านั้นและปล่อยมือ เจ้าแก้ไขปัญหาของตนอย่างรวดเร็วขึ้นและง่ายดายขึ้น นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจความจริงและเปลี่ยนแปลงแล้ว ตอนแรกนั้นนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม แต่ก็ค่อยๆ กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตและอุปนิสัย การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้ากลายเป็นง่ายขึ้นเรื่อยๆ ที่มากกว่านั้น เจตนา โครงการ และแผนการของเจ้าก็กลายเป็นน้อยลงเรื่อยๆ ค่อยๆ ลดลง อย่างไรก็ตาม หากสิ่งเหล่านี้ไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าในระหว่างช่วงระยะเวลานี้เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่แค่ทุ่มเทตัวเอง พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงรู้สึกว่ายิ่งพวกเขาทุ่มเทความพยายามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะได้รับคุณความดีมากขึ้นเท่านั้น และมงกุฎที่พวกเขาจะได้รับในอนาคตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาเดินตามเส้นทางของเปาโลโดยไม่รู้ตัว พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงกังวลสนใจเรื่องขนาดของมงกุฎหรือรัศมีบนศีรษะตนตลอดเวลา การมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความอยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและได้รับผลประโยชน์แบบทันด่วน พวกเขาต้องการทุ่มเทความพยายามมากขึ้นตลอดเวลา คิดว่ายิ่งพวกเขาทุ่มเทตัวเองมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะรับพรไว้มากขึ้นเท่านั้น ความพยายามที่ยิ่งใหญ่จะนำพาพรที่ยิ่งใหญ่มา การปฏิบัติหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่จะรวบรวมคุณความดีและบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่หากนี่คือสิ่งที่พวกเขามุ่งความสนใจตลอดเวลา? พวกที่ไม่ยอมรับความจริงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้
มีตัวบ่งชี้ถึงการสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าสามารถรู้สึกถึงการนั้นในหัวใจของเจ้าได้เช่นกัน ความคิดและมุมมองของคนก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างหลังจากได้รับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เจ้าอาจจะพูดว่า “ฉันไม่ใส่ใจผลประโยชน์ส่วนตัวและการสูญเสียอีกต่อไป การที่พระเจ้าประทานบำเหน็จหรือไม่นั้นดูเหมือนไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ และการที่ฉันรับพรไว้ในท้ายที่สุดหรือไม่นั้นดูเหมือนไม่สำคัญมากเช่นกัน ข้อกังวลเหล่านี้ไม่มีที่ในหัวใจของฉันอีกต่อไป ตอนนี้ หากพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงอวยพรฉัน พระองค์ต้องประสงค์จะถลุงฉัน ลิดรอนบางสิ่งไปจากฉัน ฉันก็ดูเหมือนสามารถนบนอบได้ ในหัวใจของฉันย่อมจะมีความเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ย่อมจะมีการนบนอบอยู่บ้างเช่นกัน” การนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด? ตอนนี้เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง เจ้าทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปมากทีเดียว และเจ้าก็เปลี่ยนแปลงแล้วอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ในอดีตหากเจ้าได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่ที่พึงต้องมีการทนทุกข์ทางกายบางอย่าง เจ้าอาจจะร่ำไห้เรื่องนี้เป็นเวลาสองคืน แต่ในตอนนี้เจ้าสามารถนบนอบได้หลังจากหลั่งน้ำตาไม่กี่หยด การนบนอบกลายเป็นง่ายขึ้น และเจ้าก็ไม่กลัวความยากลำบากอีกต่อไป การนบนอบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่เกิดขึ้นจากการสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า และจากการค่อยๆ ยอมรับการถูกตัดแต่งจากพระเจ้า ตลอดจนการยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ หลังจากสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ ความอยากได้อยากมี แผนการ เจตนา และความทะเยอทะยานส่วนตัวของเจ้าก็กลายเป็นปรากฏชัดน้อยลง และเจ้าก็หยุดคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวและการสูญเสีย ในอดีตเจ้าทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นลำดับความสำคัญลำดับที่สอง ลำดับที่สาม หรือลำดับที่สี่ของตน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไป เจ้าไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย ความพึงปรารถนาที่จะนบนอบพระเจ้าของเจ้าแรงกล้ามากขึ้นและเจ้าก็สามารถค่อยๆ พูดได้ว่า “ฉันพอใจกับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าประทานแก่ฉันและสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ต้องประสงค์จะเอาไป” โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำที่ว่างเปล่า เหมือนดังที่โยบกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ตอนนี้เจ้าก็สามารถกล่าวอย่างเดียวกันได้เช่นกัน แต่เจ้ามีวุฒิภาวะของโยบหรือไม่? (ไม่มี) เจ้าจะอาจหาญที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงทดสอบเจ้าดังเช่นที่พระองค์ทดสอบโยบหรือไม่? เจ้าคงจะไม่ เจ้าไม่มีความเชื่อหรือวุฒิภาวะสำหรับการนั้น เมื่อเจ้าจินตนาการถึงโยบที่ปกคลุมไปด้วยฝีร้าย ขูดฝีร้ายของตนด้วยเศษภาชนะดินเผา เจ้ารู้สึกกลัวและตัวสั่นเทา คิดในใจว่า “นั่นต้องเจ็บปวดมากเหลือเกิน ฉันหวังว่านั่นจะไม่เกิดขึ้นกับฉันเลย ฉันจะไม่สามารถทนได้เลย! ฉันไม่มีความเชื่อแบบนั้น” นี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ดังนั้นจงอย่ารับเอาสิ่งที่เจ้าไม่เชื่อว่าจะทำได้ตลอดรอดฝั่ง จงอย่าใจร้อนกับผลลัพธ์และจงอย่าคิดว่าเจ้ามีวุฒิภาวะ จงปล่อยให้เท้าของเจ้าสื่อถึงเจ้าด้วยก้าวที่สม่ำเสมอ เรียนรู้ที่จะปล่อยให้สิ่งทั้งหลายดำเนินไปตามธรรมชาติ และทำให้ประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งไปทีละน้อย เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถรับรู้สิ่งที่เสื่อมทรามที่มีอยู่ภายในตัวเจ้าได้อย่างชัดเจน และเจ้าจะปล่อยมือจากความคิด โครงการ แผนการ และเจตนาส่วนตัวของเจ้าอย่างง่ายดาย สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นปกติของสัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงเพื่อสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ ในเรื่องของการนบนอบ นั่นหมายถึงการเชื่อฟัง การยอมรับ และการปฏิบัติโดยตรงและโดยสมบูรณ์ โดยปราศจากการพินิจพิเคราะห์หรือการพูดเล่นลิ้นใดๆ การพินิจพิเคราะห์ไม่ใช่การเชื่อฟัง แล้วการพูดเล่นลิ้นล่ะ? ยิ่งเป็นเช่นนั้นน้อยเข้าไปอีก หากเจ้าพูดว่า “พระเจ้าต้องประสงค์ให้ฉันทำเรื่องนั้นในหนทางนี้ แต่ฉันจะทำเรื่องนั้นในหนทางของฉันไม่ว่าจะอย่างไร” นั่นพอได้อยู่หรือไม่? (ไม่ได้) นั่นแย่ยิ่งกว่าไม่เป็นการดี นั่นไม่ใช่การนบนอบ เจ้าต้องรู้จักการสำแดงถึงการนบนอบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และหากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การสำแดงดังกล่าวได้ เช่นนั้นก็จงอย่าพูดว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงพูดตามระดับที่เจ้าบรรลุ จงพูดข้อเท็จจริงที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จงอย่าพูดเกินจริงและจงอย่าโกหกเป็นอันขาด หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจบางสิ่งได้ ก็แค่ระบุว่าเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้น จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจสิ่งนั้น จะมีเวลาให้เจ้าพูดถึงสิ่งนั้นในภายหลังเสมอ เป็นที่ชัดเจนว่าบางคนไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้และยังคงคุยโต กล่าวอ้างว่าตนนบนอบพระเจ้า นี่ไม่ใช่การเป็นคนโอหังและไม่มีเหตุผลหรอกหรือ? นี่คือบางสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เข้าใจความจริงชอบพูด เมื่อพวกเขาเห็นว่าใครบางคนละทิ้งครอบครัวและงานของตนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาพูดว่า “ดูสิว่าคนคนนั้นรักพระมากแค่ไหน” นี่คือคำพูดของคนโง่ และพวกเขาก็ขาดพร่องความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงใดๆ อย่างสิ้นเชิง ในตอนนี้พวกเจ้าอาจหาญที่จะกล่าวประกาศว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่นบนอบและรักพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นเจ้าย่อมมีเหตุผลบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง พวกคนโง่ที่โอหังและไม่มีเหตุผลเหล่านั้นพูดเสมอว่าพวกเขารักและนบนอบพระเจ้า และเวลาที่พวกเขาทำการพลีอุทิศแม้เพียงเล็กน้อยหรือสู้ทนความยากลำบากเล็กน้อย พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าประทานบำเหน็จแก่ฉันหรือไม่? ครอบครัวของฉันได้รับพรหรือไม่? ลูกๆ ของฉันจะได้เข้ามหาวิทยาลัยที่พวกเขาต้องการหรือไม่? มีความหวังที่สามีของฉันจะได้รับการเลื่อนขั้นและการขึ้นเงินเดือนหรือไม่? ฉันได้รับอะไรจากหน้าที่ที่ฉันลุล่วงตลอดสองปีที่ผ่านมานี้หรือยัง? ฉันได้รับพรหรือยัง? ฉันจะได้มาซึ่งมงกุฎหรือไม่?” การออกอุบายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา—นี่ใช่การสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเจ้าเป็นอย่างไร? (ในการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเราต้องตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเรา และใช้ชีวิตดังเช่นคนที่แท้จริง) ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องประเมินวัดสิ่งอื่นเลย และการนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนขนาดนั้น แค่เฝ้าสังเกตว่าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้ามีการนบนอบและความจงรักภักดีอันใดหรือไม่ เจ้าทำหน้าที่นั้นด้วยสุดหัวใจและเรี่ยวแรงของตนหรือไม่ และเจ้ากระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือไม่ กฎเกณฑ์เหล่านี้สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ หากใครบางคนทุ่มเทความพยายามมากมายให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่ขัดขืนและไม่ชอบการปฏิบัติความจริง เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง บางคนพูดถึงทุกสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อคริสตจักรอยู่เสมอ พูดถึงว่าการมีส่วนร่วมแบ่งปันของพวกเขาต่อพระนิเวศของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขายังคงพูดถึงสิ่งเหล่านี้แม้หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี—นี่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) คนเยี่ยงนี้น่าสงสาร! วุฒิภาวะของพวกเขาเล็กน้อยมากและไม่เคยเติบโตเลย พวกเขาไม่มีชีวิต เหตุใดคนที่ไม่มีชีวิตจึงยังคงทุ่มเทความพยายามมากขนาดนั้น? (เพื่อรับพรไว้) ถูกต้อง พวกเขาถูกชี้นำโดยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีส่วนตัวของพวกเขา หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้เลย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาก็เข้าร่วมการเทศนาและรับฟังผู้อื่นสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงในการชุมนุมด้วย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้? วันแล้ววันเล่าพวกเขาไตร่ตรองกับตัวเองว่า “ฉันจะรับฟังให้มากขึ้น อ่านให้มากขึ้น จดจำให้มากขึ้น จากนั้นจึงพูดให้มากขึ้นได้อย่างไรเวลาที่ฉันทำงาน? เช่นนั้นฉันย่อมจะได้ปฏิบัติความดีและสามารถเป็นที่จดจำได้โดยพระเจ้า แล้วฉันก็สามารถรับพรไว้ได้” ในท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดนั้นทำไปเพื่อรับพรไว้ และคนคนนี้ก็เชื่อว่าการรับพรไว้จะมีเหตุผลอันชอบธรรม ทันทีที่คนคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเข้าใจและบรรลุความจริง พวกเขาย่อมไม่ไล่ตามไขว่คว้าพรอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนั้นไม่มีเหตุผล เจ้าสามารถรับพรใดได้หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและเจ้าไม่มีการนบนอบพระเจ้าแต่อย่างใดเลย? ใครจะมอบพรแก่เจ้า? พรเกิดขึ้นได้อย่างไร? (พระเจ้าเป็นผู้ประทานพร) แล้วถ้าพระองค์ไม่ประทานพรแก่เจ้า เจ้าสามารถฉกฉวยพรไปจากพระองค์ด้วยตัวเองได้หรือไม่? (ไม่ได้) บางคนถึงขั้นต้องการเอาพรไปโดยใช้กำลัง นี่ไม่โง่เง่าหรอกหรือ? คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตนค่อนข้างฉลาดหลักแหลม แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริงให้มากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่กระทำการตามหลักธรรม แบบนี้พวกเขาจะสามารถรับพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาฉลาดหลักแหลมเกินไปสำหรับประโยชน์ของตัวเอง!
28 สิงหาคม ค.ศ. 2018