มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้
ผู้คนไม่เข้าใจความจริงเมื่อพวกเขาเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก และมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระองค์มากมาย เมื่อพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี อ่านพระวจนะของพระองค์มามากมาย และรับฟังคำเทศนามาหลายครั้ง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ได้รับการแก้ไขไปมากเพียงใดแล้ว? แม้หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี บางคนก็ยังคงมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งของพระเจ้า ในขณะที่ผู้อื่นอาจมีมโนคติอันหลงผิดเมื่อพวกเขาเห็นความรุนแรงของพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้สามารถได้รับการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริงหรือไม่? หากพวกเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง และใช้ความจริงแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เจ้าเผชิญ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตอนนี้พวกเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้หรือไม่? เมื่อพวกเจ้าเผชิญสิ่งใดๆ ที่ทำให้มโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้น หรือเมื่อพวกเจ้ากระทำผิด พวกเจ้าแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร? ใครสามารถพูดถึงประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้บ้าง? (เมื่อข้าพระองค์เป็นผู้นำ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำงานใดๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทำเพียงงานที่ทำให้ข้าพระองค์ดูดี และข้าพระองค์ก็ต่อสู้เพื่อเกียรติยศและสถานะอยู่เสมอ การนี้ได้ขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร และเมื่อข้าพระองค์เผชิญกับการถูกตัดแต่ง ข้าพระองค์ก็ยังคงพยายามแก้ต่างให้ตัวเองและไม่ได้มีการทบทวนและการตระหนักรู้ที่แท้จริง หรือการกลับใจและการเปลี่ยนแปลง ต่อมาภายหลังคริสตจักรก็ปลดข้าพระองค์ แต่หัวใจของข้าพระองค์ยังคงแข็งขืนและไม่พึงพอใจ และข้าพระองค์ก็พร่ำบ่นและระบายความคิดลบออกมาตลอดเวลา บรรดาผู้นำตัดแต่งข้าพระองค์ด้วยเหตุที่ข้าพระองค์ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยและขัดขืนพระเจ้า ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ และบอกข้าพระองค์ว่าหากข้าพระองค์ยังคงไม่กลับใจ ข้าพระองค์ก็จะถูกเอาตัวออกไปและถูกกำจัดออกไป ในเวลานั้นข้าพระองค์ไม่เข้าใจความจริง และเข้าใจพระเจ้าผิดอย่างร้ายแรง แม้ว่าข้าพระองค์ไม่เคยพูดว่าข้าพระองค์ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ข้าพระองค์ก็คิดว่าเนื่องจากข้าพระองค์ได้ล่วงเกินพระองค์ พระองค์คงจะไม่ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดอย่างแน่นอนที่สุด ดังนั้นข้าพระองค์จึงเพียงแค่ลงแรง หลังจากนั้นข้าพระองค์ก็ไม่ได้ใส่ใจกับการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก และจนกระทั่งข้าพระองค์ได้ยินสามัคคีธรรมของพระเจ้าในวันหนึ่ง ข้าพระองค์จึงกลับตัวในที่สุด) หลังจากเจ้ากลับตัวแล้ว เจ้ามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่? เจ้าจะทำอย่างไรหากสิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง? (ขณะนี้ข้าพระองค์ไม่มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติสำหรับแง่มุมนี้) อันที่จริงแล้วปัญหาทั้งหมดนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยความจริง หากผู้คนต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วในแง่มุมหนึ่งพวกเขาต้องตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองรวมทั้งชำแหละและเข้าใจความผิดพลาด เส้นทางที่ผิด การกระทำผิด และความประมาทเลินเล่อก่อนหน้านั้นของตน ในหนทางนี้พวกเขาจะสามารถเข้าใจและมองเห็นธรรมชาติของตนเองได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้พวกเขาต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเหตุใดผู้คนจึงหลงออกนอกลู่นอกทางและทำสิ่งต่างๆ มากมายที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและธรรมชาติของการกระทำเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องเข้าใจอย่างชัดเจนถึงเจตนารมณ์และข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถกระทำการตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเสมอ และเหตุใดพวกเขาจึงขัดกับเจตนารมณ์ของพระองค์และทำสิ่งที่ตนชอบอยู่เป็นนิตย์ จงนำสิ่งเหล่านี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน เข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน แล้วเจ้าก็จะสามารถพลิกฟื้นสภาวะของตน เปลี่ยนกรอบความคิดของตน และแก้ไขความเข้าใจผิดของตนเกี่ยวกับพระเจ้าได้ บางคนเก็บงำเจตนาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเอาไว้เสมอไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใดก็ตาม มีแนวคิดชั่วอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสภาวะภายในของตนถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งไม่สามารถแยกแยะสภาวะดังกล่าวตามพระวจนะของพระเจ้า คนเหล่านี้เลอะเลือน ลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของคนที่เลอะเลือนก็คือ หลังจากที่พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่ดี พวกเขายังคงคิดลบเมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง ถึงขั้นยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังและลงความเห็นว่าตนจบสิ้นแล้วและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่น่าเวทนาที่สุดของคนที่เลอะเลือนหรอกหรือ? พวกเขาไม่สามารถทบทวนตัวเองได้ตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น นี่ไม่ใช่การเป็นคนเลอะเลือนอย่างยิ่งหรอกหรือ? การยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือ? การดิ้นรนอยู่ในความคิดลบอยู่เสมอสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือ? ผู้คนควรเข้าใจว่าหากตนทำความผิดพลาดหรือมีปัญหา เช่นนั้นแล้วตนก็ควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความผิดพลาดหรือปัญหาดังกล่าว ก่อนอื่นพวกเขาจำเป็นต้องทบทวนและเข้าใจว่าเหตุใดตนจึงกระทำชั่ว เจตนาและจุดเริ่มต้นในการทำเช่นนั้นของตนคืออะไร เหตุใดตนจึงต้องการทำเช่นนั้นและเป้าหมายของตนคือสิ่งใด และมีใครบางคนหนุนใจ ยุยง หรือชักพาตนให้หลงผิดไปทำเช่นนั้นหรือไม่ หรือตนทำเช่นนั้นไปโดยรู้ตัว คำถามเหล่านี้ต้องได้รับการทบทวนและทำความเข้าใจอย่างชัดเจน แล้วพวกเขาจึงจะสามารถรู้ได้ว่าตนทำความผิดพลาดอะไรและตนเองนั้นเป็นอะไร หากเจ้าไม่สามารถตระหนักรู้แก่นแท้ของการทำชั่วของตนหรือเรียนรู้บทเรียนจากการทำชั่วดังกล่าว เช่นนั้นแล้วปัญหาย่อมไม่สามารถได้รับการแก้ไข คนมากมายทำสิ่งที่ไม่ดีและไม่เคยทบทวนตัวเองเลย แล้วคนเช่นนั้นสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือ? มีความหวังใดสำหรับความรอดของพวกเขาหรือไม่? มวลมนุษย์คือผู้สืบสำดานของซาตาน และไม่ว่าพวกเขาได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่ แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็เหมือนกัน พวกเขาควรทบทวนตัวเองและทำความเข้าใจตนเองให้มากขึ้น ควรมองเห็นอย่างชัดเจนว่าตนขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้าในระดับใด และตนยังสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ หากพวกเขามองเห็นการนี้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะรู้ว่าตนตกอยู่ในอันตรายมากเพียงใด ในข้อเท็จจริงแล้ว มนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดตกอยู่ในอันตรายตามแก่นแท้ธรรมชาติของตน พวกเขาจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยอมรับความจริง และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา บางคนได้กระทำชั่วและเผยแก่นแท้ธรรมชาติของตนออกมา ในขณะที่บางคนยังไม่เคยกระทำชั่วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องดีกว่าผู้อื่นนัก—พวกเขาก็แค่ยังไม่มีสถานการณ์หรือโอกาสที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากเจ้ามีการกระทำผิดเหล่านี้ เจ้าต้องมีความชัดเจนในหัวใจของตนเกี่ยวกับท่าทีที่เจ้าควรมีในขณะนี้ สิ่งที่เจ้าควรอธิบายเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ต้องประสงค์จะทอดพระเนตร เจ้าต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจนผ่านทางคำอธิษฐานและการแสวงหา เมื่อนั้นเจ้าจึงจะรู้ว่าเจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไรในอนาคต และความผิดพลาดที่เจ้าเคยทำในอดีตก็จะไม่ตีกรอบหรือมีอิทธิพลต่อเจ้าอีกต่อไป เจ้าต้องเดินบนเส้นทางข้างหน้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนดังที่เจ้าควรทำ และไม่ยอมแพ้ให้กับความท้อแท้สิ้นหวังอีกต่อไป เจ้าต้องออกมาจากความคิดลบและการเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง ในแง่มุมหนึ่ง หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในตอนนี้เพื่อชดเชยการกระทำผิดและความผิดพลาดในอดีตของตน นั่นย่อมเป็นลบและไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่อย่างน้อยที่สุดนี่คือกรอบความคิดที่เจ้าควรมี ในอีกแง่มุมหนึ่ง เจ้าต้องให้ความร่วมมือในเชิงบวกและในเชิงรุก พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติให้ดี ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ ไม่สำคัญว่าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือไม่ว่าเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาหรือได้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ก็ตาม ทั้งหมดนี้ต้องแก้ไขด้วยการทบทวนตัวเองและแสวงหาความจริง จงเรียนรู้จากความล้มเหลวของตน และออกมาจากเงาแห่งความคิดลบโดยสมบูรณ์ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงและเป็นอิสระ ไม่ถูกบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดจำกัดอีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะมีความมั่นใจที่จะเดินบนเส้นทางข้างหน้า หลังจากเจ้าได้ทำผลตอบแทนบางส่วนและความก้าวหน้าในชีวิตบ้างแล้ว และไม่มีมโนคติอันหลงผิดใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป เจ้าย่อมจะค่อยๆ เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า
ใครบางคนอาจกระทำผิดในอดีต หรือหลงออกนอกลู่นอกทางไป แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนฉลาดแกมโกงหรือชั่วมากเท่าไรนัก เพียงแต่พวกเขาโอหังเกินไป โอหังจนถึงขั้นที่กลายเป็นคนไม่มีเหตุผล สูญเสียการยับยั้งชั่งใจ ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเกลียดและทรงดูหมิ่น รวมทั้งสิ่งที่ถึงขั้นขยะแขยงตัวเอง แต่เมื่อได้ติดตามมาจนกระทั่งบัดนี้ พวกเขาต้องมีความก้าวหน้าไปบ้างแล้ว เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าในท้ายที่สุดแล้วพวกเขายังคงอยู่ได้หรือไม่ พระเจ้าจะทรงกำหนดเรื่องนี้ตามพฤติกรรมปัจจุบันของพวกเขา ตลอดจนท่าทีปัจจุบันที่พวกเขามีต่อพระองค์และต่อหน้าที่ของตน ใครบางคนอาจจะกล่าวว่า “ฉันได้กระทำผิดร้ายแรงในอดีต แต่หลังจากนั้นฉันก็ทำความเข้าใจความจริง ฉันเสียใจกับการกระทำผิดของฉันจริงๆ แต่ก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ต่อให้ฉันนำความจริงไปปฏิบัติในตอนนี้ก็ตาม ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าฉันแปดเปื้อน และหัวใจของฉันก็ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าต้องประสงค์ฉันหรือไม่” นี่คือเจ้ากำลังจำกัดขอบเขตตัวเอง ไม่ใช่พระเจ้า คำวินิจฉัยของเจ้าไม่ใช่พระวินิจฉัยของพระเจ้า และท่าทีของเจ้าก็ไม่ใช่ท่าทีของพระองค์ เจ้าต้องเข้าใจว่าท่าทีของพระเจ้าเป็นอย่างไร รวมทั้งบทสรุปของพระองค์ต่อมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนและต่อบรรดาผู้ที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร พวกเจ้าเข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจนหรือไม่? สิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรคือท่าที ความมุ่งมั่น และความตั้งใจแน่วแน่ในการไล่ตามเสาะหาความจริงของคนคนหนึ่ง พระองค์ไม่ใส่พระทัยว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นใคร การกระทำผิดของเจ้าคืออะไร หรือเจ้าได้สละ ถวาย หรือทนทุกข์มามากเพียงใด พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ ใครบางคนอาจกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและถูกคุมขังมาแล้วแปดครั้ง และพระเจ้าก็ตรัสว่า “เราไม่มองสิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับตัวเจ้า เราแค่ดูว่าตอนนี้เจ้าประพฤติตนอย่างไร เจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ขณะที่อยู่ในคุกเจ้าเป็นพยานหรือไม่ เจ้าได้รับสิ่งใดมาแล้วบ้าง เจ้ารู้จักพระเจ้าหรือไม่ และเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่” นี่คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ บางคนพูดว่า “ฉันได้กระทำผิดและหลงออกนอกลู่นอกทางไป แต่ตอนนี้ฉันตระหนักรู้เรื่องนี้ และเมื่อผ่านการทบทวนอย่างลึกซึ้ง ฉันเริ่มเต็มใจที่จะกลับใจและตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี ไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน และทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ตอบแทนความรักของพระองค์ และชดเชยความผิดพลาดในอดีตของฉัน ฉันต้องการไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน ฉันจะไม่เพียงแค่ทุ่มเทตัวเองหรือลงแรง ฉันจะพยายามนำความจริงไปปฏิบัติ ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี” ด้วยท่าทีนี้ พระเจ้าจะยังคงทอดพระเนตรการกระทำผิดของเจ้าหรือไม่? พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น ดังนั้นในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องมั่นใจในเรื่องนี้ เพื่อที่การกระทำผิดในอดีตจะได้ไม่จำกัดเจ้าไว้อีกต่อไป บางคนถูกการกระทำผิดในอดีตจำกัดเอาไว้เสมอ และคิดว่า “พระเจ้าไม่ทรงสามารถยกโทษให้กับอะไรก็ตามที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ พระทัยของพระองค์รังเกียจเดียดฉันท์ฉันมานานแล้ว และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็ไร้ประโยชน์สำหรับฉัน” นี่เป็นท่าทีแบบใด? นี่เรียกว่าการสงสัยในพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิด ที่จริงแล้ว เจ้ามีท่าทีที่ไม่นับถือ ไม่เคารพ และท่าทีสุกเอาเผากินต่อพระองค์ ก่อนที่เจ้าจะทำสิ่งที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยซ้ำ และเจ้าก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า ผู้คนเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนออกมาเพราะการไม่รู้ความและความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะหนึ่ง และหากไม่มีใครบ่มวินัยหรือหยุดพวกเขา พวกเขาก็กระทำผิด หลังจากที่การกระทำผิดของพวกเขานำไปสู่ผลที่ตามมา พวกเขาไม่รู้จักการกลับใจและยังคงรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาวิตกกังวลเกี่ยวกับจุดจบและบั้นปลายในอนาคต และเก็บสิ่งทั้งหมดนี้ไว้ในหัวใจของตน โดยคิดเสมอว่า “ฉันจบสิ้นและย่อยยับแล้ว ดังนั้นฉันก็แค่ยอมรับว่าตัวเองหมดหวังแล้ว หากวันหนึ่งพระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉันและทรงเกลียดฉันอย่างยิ่ง สิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือฉันจะตาย ฉันยอมอยู่ภายใต้อำนาจการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า” ภายนอกนั้นพวกเขาพูดถึงการยอมอยู่ภายใต้อำนาจการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและการนบนอบการจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระองค์ แต่สภาวะที่เป็นจริงของพวกเขาเป็นอย่างไร? สภาวะดังกล่าวนั้นเป็นการขัดขืน ดื้อแพ่ง ไม่กลับใจ การไม่กลับใจหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขายึดมั่นในแนวคิดของตนเอง ไม่เชื่อหรือยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัส โดยคิดอยู่เสมอว่า “พระวจนะแห่งการเตือนสติและความชูใจของพระเจ้าไม่ได้มีเพื่อฉัน แต่เพื่อคนอื่น ในเรื่องของฉันนั้น ฉันจบสิ้นแล้ว ฉันถูกตัดออกไปแล้ว ฉันไร้ประโยชน์—พระเจ้าทรงละทิ้งฉันมานานแล้ว และไม่ว่าฉันสารภาพบาปของฉัน อธิษฐาน หรือร่ำไห้ด้วยความสำนึกผิดอย่างไร พระองค์จะไม่มีวันประทานโอกาสให้กับฉันอีกครั้ง” นี่คือท่าทีเช่นไร ในยามที่พวกเขาประเมินวัดและคาดเดาพระเจ้าในหัวใจของตน? เป็นท่าทีของการสารภาพและการกลับใจหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ท่าทีแบบนี้แสดงถึงอุปนิสัยประเภทหนึ่ง—การดื้อแพ่ง การดื้อแพ่งอย่างเหลือเชื่อ ภายนอกดูเหมือนพวกเขาคิดว่าตนถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่รับฟังใครเลย เข้าใจทุกคำสอนแต่ก็ไม่ปฏิบัติสิ่งใดเลย แท้จริงแล้ว พวกเขามีอุปนิสัยอันดื้อแพ่ง จากมุมมองของพระเจ้า การดื้อแพ่งคือการนบนอบหรือความเป็นกบฏ? การดื้อแพ่งคือความเป็นกบฏอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่าตนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมยิ่งนัก “ฉันเคยรักพระเจ้ามากเหลือเกิน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงสามารถปล่อยมือจากความผิดพลาดเล็กน้อยประการหนึ่งที่ฉันได้ทำลงไป และตอนนี้จุดจบของฉันก็สูญสิ้น พระเจ้าได้ทรงตัดสินคนอย่างฉันแล้ว ฉันคือเปาโล” พระเจ้าตรัสว่าเจ้าคือเปาโลกระนั้นหรือ? พระเจ้าไม่ได้ตรัสเช่นนั้น เจ้าบอกว่าเจ้าคือเปาโล—คำกล่าวนี้มาจากไหน? เจ้ากล่าวว่าเจ้าจะถูกพระเจ้าคร่าชีวิต ลงโทษ และส่งไปนรก ใครตัดสินจุดจบนี้? เจ้าตัดสินจุดจบนี้ด้วยตัวเองอย่างชัดเจน เนื่องจากพระเจ้าไม่เคยตรัสว่าเจ้าจะถูกส่งไปนรกเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นลง และเจ้าไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ ตราบที่พระเจ้าไม่ตรัสว่าพระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีโอกาสและสิทธิ์ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าก็ควรเพียงแค่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องมีท่าทีประเภทนี้ เนื่องจากนี่คือท่าทีแห่งการยอมรับความจริงและความรอดของพระเจ้า รวมทั้งการกลับใจที่แท้จริง เจ้ายึดมั่นในมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความเข้าใจผิดของตนเองอยู่เสมอ เจ้าเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้และถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำแล้ว และถึงขั้นตัดสินใจแล้วว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด แล้วในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ได้เก็บงำกรอบความคิดแบบสุกเอาเผากินไว้ กรอบความคิดของการยอมรับว่าตนหมดหวัง กรอบความคิดที่เป็นลบและนิ่งเฉย กรอบความคิดในการใช้ชีวิตไปวันๆ กรอบความคิดของการไม่เป็นระบบระเบียบ เจ้าสามารถได้รับความจริงหรือไม่? เจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงด้วยความรู้สึกนึกคิดนี้ และเจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด คนเช่นนั้นไม่น่าสงสารหรอกหรือ? (ใช่ พวกเขาน่าสงสาร) อะไรเป็นเหตุให้พวกเขาน่าสงสารขนาดนั้น? เป็นเพราะการไม่รู้ความ เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแต่ศึกษาและคาดเดาอยู่เสมอ และถึงขั้นต้องการขุดเข้าไปในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดูว่าพระวจนะใดกล่าวถึงสถานการณ์ของพวกเขา ท่าทีของพระเจ้าคืออะไร พระองค์ทรงจำกัดขอบเขตเอาไว้อย่างไร และจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร—และด้วยการกำหนดเช่นนี้ จุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร วิธีการนี้ใช่การแสวงหาความจริงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเขาแขวนพระวจนะแห่งการกล่าวโทษและการสาปแช่งของพระเจ้าไว้เหนือศีรษะตนเอง ใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบ—ซึ่งดูเป็นความเปราะบาง ความโรยแรง และความคิดลบ แต่อันที่จริงแล้วเป็นการขัดขืนประเภทหนึ่ง อุปนิสัยเบื้องหลังการขัดขืนคืออะไร? นั่นก็คือการดื้อแพ่ง ในสายพระเนตรของพระเจ้า การดื้อแพ่งประเภทนี้คือความเป็นกบฏประเภทหนึ่ง และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจมากที่สุด หากพระเจ้าไม่ได้ต้องประสงค์ที่จะช่วยเจ้าให้รอด เหตุใดพระองค์จึงตรัสบอกความจริงกับเจ้ามากมาย ประทานเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้กับเจ้ามากมาย หรือทรงเตือนสติเจ้าด้วยพระวจนะที่จริงใจเช่นนั้น? แต่เจ้าก็ยังคงกล่าวว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด พื้นฐานสำหรับการนี้คือสิ่งใด? พระทัยของพระเจ้าหวังให้ผู้คนกลับใจเสมอ แต่กลับเป็นผู้คนที่ไม่ให้โอกาสกับตัวเองเลย อะไรคือประเด็นปัญหาในที่นี้? ปัญหาคือธรรมชาติของมนุษย์หลอกลวงเกินไป ผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์ และนี่คือท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์ ใครบางคนอาจจะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และการพิพากษา การเปิดโปง การกล่าวโทษ การสาปแช่ง ความกรุณา และการให้อภัยก็อยู่ภายในพระวจนะของพระองค์ ฉันรู้ว่าพระวจนะเหล่านี้ล้วนแสดงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่ฉันไม่รู้ว่าส่วนใดมุ่งเป้ามาที่สถานการณ์ของฉัน ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าพระวจนะแห่งการกล่าวโทษและคำสาปแช่งของพระเจ้ามีไว้สำหรับฉัน ในขณะที่พระวจนะแห่งพระพรและความเห็นชอบของพระองค์มีไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันจบสิ้นแล้วไม่ว่าในกรณีใด” พวกเขามีท่าทีบังอาจแบบนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และใช้ท่าทีนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกล่าวว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาจะคิดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ในเมื่อพระองค์จะไม่ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เช่นนั้นข้าพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างสุกเอาเผากินก็แล้วกัน หากพระองค์จะไม่ประทานบำเหน็จอันใดให้กับข้าพระองค์ เหตุใดข้าพระองค์จึงควรทำงานหนักขนาดนั้น?” กรอบความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไป และกลายเป็นไม่มีเหตุผล พวกเขาไม่ยอมรับความจริง แต่กลับนำเจตนา สภาวะที่เป็นลบ และความคิดฝันของมนุษย์ การคาดเดา และข้อแก้ตัวของตนเองมาต่อต้านและขับเคี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบ ไม่สนใจแสวงหาความจริงหรือสามัคคีธรรมความจริง และไม่แยแสต่อการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขานำท่าทีของการหลบเลี่ยงมาใช้กับเรื่องนี้ และแม้ในขณะนี้ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ พระเจ้าตรัสว่าคนจำพวกเหล่านี้น่าเวทนาที่สุด นั่นก็คือผู้คนที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้า คนที่คาดเดาและเข้าใจพระองค์ผิด และทรมานตัวเองไปสู่ความคิดลบผ่านทางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบมนุษย์ของตนเสมอตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขากลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้า ทว่ายังคงต้องการฉวยผลประโยชน์จากพระองค์และทำข้อตกลงกับพระองค์ โดยปราศจากการกลับตัวแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่การทำตัวเองหรอกหรือ? ก็เหมือนกับเนื้อเพลงเหล่านั้นที่กล่าวว่า พวกเขา “อดอยากอยู่ในงานเลี้ยงใหญ่” เรื่องนี้น่าเวทนาที่สุด พระเจ้าประทานความอุดมให้กับมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยังคงเที่ยวไปขอทานด้วยชามแตก นี่ไม่ใช่ขอทานที่สมควรทนทุกข์หรอกหรือ?
ตั้งแต่แรกเริ่มนั้น บ่อยครั้งที่เราได้เตือนสติพวกเจ้าว่า พวกเจ้าแต่ละคนต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ตราบเท่าที่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น จงอย่าล้มเลิก ทั้งนี้ การไล่ตามเสาะหาความจริงคือภาระผูกพัน ความรับผิดชอบ และหน้าที่ของแต่ละบุคคล และเส้นทางที่แต่ละบุคคลควรเดิน ตลอดจนเส้นทางที่ทุกคนที่จะได้รับการช่วยให้รอดต้องเดิน กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเลยใส่ใจกับการนี้—ไม่มีผู้ใดเลยคิดว่าการนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเชื่อว่าการนี้เป็นเพียงแค่การพูดอย่างไม่จริงใจ โดยแต่ละบุคคลคิดสิ่งที่พวกเขาจะคิด ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนวันนี้ แม้ว่าจะมีหลายคนที่กำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไว้ในมือของพวกเขาและอ่านหนังสือเหล่านั้น ผู้ซึ่งฟังคำเทศนา คนทั้งหมดนั้นดูเหมือนได้ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์ในครรลองของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงนั้น สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ายังไม่ได้ถูกสถาปนาขึ้นเลย และผู้คนทั้งหมดก็ใช้ชีวิตตามความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความเข้าใจผิด และการคาดเดาของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาดำรงชีวิตในแต่ละวันอยู่ในความกังขาและความคิดลบในเรื่องวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ตลอดจนการทรงนำของพระองค์ หากเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้น เจ้าจะสามารถสลัดทิ้งความคิดลบได้อย่างไร? เจ้าสามารถสลัดทิ้งความเป็นกบฏได้อย่างไรเล่า? เจ้าสามารถทิ้งกรอบความคิดและท่าทีของการหลอกลวงและความเลวร้าย หรือการคาดเดาและความเข้าใจผิดซึ่งเจ้าใช้ในการเข้าหาพระบัญชาและหน้าที่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าได้อย่างไร? แน่นอนว่า สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถสลัดทิ้งได้ เพราะฉะนั้น หากเจ้าปรารถนาที่จะเริ่มเข้าสู่เส้นทางของการไล่ตามเสาะหา และการปฏิบัติตามความจริงและการเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง เจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทันที อธิษฐานถึงพระองค์ และแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์—และการค้นหาความปรารถนาของพระองค์ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอยู่เสมอไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะทบทวนตัวเองในทุกเรื่อง และตระหนักรู้ว่าเจ้ายังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่จำเป็นต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์ สิ่งใดกำลังกีดกันไม่ให้เจ้านำความจริงไปปฏิบัติ เจ้ามีความเข้าใจผิดหรือมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับพระเจ้า และพระองค์ทรงทำสิ่งใดที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้า แต่เป็นเหตุให้เจ้ากังขาและไม่เข้าใจ หากเจ้าทบทวนตัวเองในหนทางนี้ เจ้าย่อมสามารถค้นพบว่าเจ้ายังคงมีปัญหาใดที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง และหากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าย่อมจะเติบโตอย่างรวดเร็ว หากเจ้าไม่ทบทวนตัวเองแต่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ในหัวใจของตนเสมอ ยืนกรานในแนวคิดของตนเองตลอดเวลา คิดว่าพระเจ้าทรงทำให้เจ้าผิดหวังหรือไม่ทรงเป็นธรรมกับเจ้า และยึดมั่นในเหตุผลของตนเองอยู่เป็นนิจ เช่นนั้นแล้วความเข้าใจผิดของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมมีแต่จะดิ่งลึกมากขึ้นเท่านั้น และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์ก็จะมีระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความเป็นกบฏและการต่อต้านพระองค์ในหัวใจของเจ้าก็จะแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ หากสภาวะของเจ้าแย่ถึงขนาดนี้ย่อมเป็นเรื่องอันตราย เนื่องจากนั่นจะส่งผลอย่างร้ายแรงต่อประสิทธิผลของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าสามารถทำได้เพียงปฏิบัติต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของตนด้วยท่าทีที่หละหลวม สุกเอาเผากิน ไม่มีความเคารพ เป็นกบฏ และขัดขืน แล้วผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร? นั่นจะนำเจ้าไปสู่การทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน หลอกลวง และขัดขืนพระเจ้า เจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริง อีกทั้งไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ อะไรคือสาเหตุรากเหง้าของผลลัพธ์นี้? เป็นเพราะผู้คนยังคงมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของตน และปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นจึงมีความแตกต่างระหว่างผู้คนกับพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นหากผู้คนต้องการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ก่อนอื่นพวกเขาต้องทบทวนว่าตนมีความเข้าใจผิด มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความกังขา หรือความคาดเดาใดเกี่ยวกับพระองค์ ต้องตรวจสอบสิ่งทั้งหมดนี้ การมีมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจผิดอย่างแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเรื่องนี้สัมพันธ์กับท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าตลอดจนแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา หากผู้คนไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเพียงหายสาบสูญไปกับสายลม ต่อให้สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นหรืออยู่ภายใต้รูปการณ์พิเศษ สิ่งเหล่านี้ก็จะยังคงดูเหมือนรบกวนความรู้สึกนึกคิดของเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นหากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเอง แสวงหาความจริง และเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสาเหตุรากเหง้าและแก่นแท้ของเหตุผลว่าทำไมมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในตัวผู้คน เมื่อนั้นเท่านั้นสิ่งเหล่านี้จึงจะสามารถปลาสนาการไปได้ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะสามารถเป็นปกติได้ และชีวิตของเจ้าจะสามารถค่อยๆ เติบโตได้ การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากเกินไปพิสูจน์ให้เห็นว่ามวลมนุษย์ขัดขืนพระองค์และเข้ากันไม่ได้กับพระองค์ มีเพียงการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ความแตกต่างกันระหว่างผู้คนกับพระเจ้าจึงจะค่อยๆ ลดลงได้ พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้า รวมทั้งมีความเชื่อในพระองค์มากขึ้น ด้วยความเชื่อที่มากขึ้น การปฏิบัติความจริงของพวกเขาย่อมจะมีสิ่งเจือปนน้อยลง และจะมีสิ่งเจือปนและอุปสรรคกีดขวางในการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาน้อยลงมาก
ผู้คนแบบไหนที่ไม่ค่อยมีการปลอมปนในยามปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่ค่อยวางอุบายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง? (ผู้คนที่เรียบง่าย ผู้ที่ไม่เข้าใจพระเจ้าผิด) นี่คือประเภทหนึ่ง แต่ยังมีคนที่ซื่อสัตย์ คนที่มีจิตใจดี บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้นอีกด้วย—คนเหล่านี้มีสิ่งปลอมปนน้อยในยามปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกที่มีความเข้าใจผิดหรือความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าหรือมีความอยากได้อยากมีหรือข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระองค์ ย่อมมีสิ่งปลอมปนอย่างสูงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการเกียรติยศ สถานะ และบำเหน็จ หากบำเหน็จใหญ่บางอย่างยังคงอยู่ห่างไกล และมองไม่เห็น พวกเขาก็จะครุ่นคิดว่า “ในเมื่อไม่สามารถได้รับบำเหน็จนั้นในทันที ฉันก็แค่จะต้องรอและสู้ทนเท่านั้น แต่ตอนนี้ฉันควรได้รับผลประโยชน์สักเล็กน้อยเสียก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรได้รับสถานะบางอย่าง ก่อนอื่นฉันจะเพียรพยายามเป็นผู้นำในคริสตจักร รับผิดชอบผู้คนหลายสิบคน การมีคนวนเวียนรอบๆ ตัวคุณอยู่เสมอนั้นช่างน่าหลงใหลจริงๆ” และแล้วการปลอมปนในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น เมื่อเจ้ายังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อันใดหรือยังไม่ได้ทำสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าตนไม่มีคุณสมบัติพอ และสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นในตัวเจ้า แต่เมื่อเจ้าสามารถทำบางสิ่งบางอย่าง และรู้สึกว่าเจ้าเหนือกว่าคนส่วนใหญ่เล็กน้อย อีกทั้งเจ้าสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ เมื่อนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเลือกผู้นำ หากเจ้าเพิ่งเชื่อในพระเจ้าเพียงหนึ่งหรือสองปี เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าวุฒิภาวะของตนยังน้อย เจ้าไม่สามารถประกาศคำสอนใดๆ ได้ และเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นเจ้าจะถอยออกมาในระหว่างการคัดสรร หลังจากเชื่อมานานสามหรือห้าปี เจ้าย่อมจะสามารถประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณได้บ้าง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคัดสรรผู้นำอีกครั้ง เจ้าย่อมจะพยายามให้ได้ตำแหน่งนั้นมาอย่างกระตือรือร้นและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์แบกรับภาระ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นผู้นำในคริสตจักร และเต็มใจที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ แต่ไม่ว่าข้าพระองค์ได้รับคัดสรรหรือไม่ ข้าพระองค์ก็เต็มใจนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์เสมอ” เจ้าจะกล่าวว่าเจ้าเต็มใจนบนอบ แต่ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าย่อมจะคิดว่า “แต่คงจะดีมากหากพระองค์จะทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ได้ลองเป็นผู้นำสักครั้ง!” หากเจ้ามีข้อเรียกร้องเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ เพราะข้อเรียกร้องของเจ้าไม่ใช่การร้องขอที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่เป็นความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ ต่อให้เจ้ากล่าวว่าเจ้าต้องการที่จะเป็นผู้นำเพื่อที่เจ้าจะได้แสดงการคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า โดยใช้ข้ออ้างนี้เป็นเหตุผลของเจ้า และรู้สึกว่านี่เป็นไปตามความจริง เจ้าจะคิดอย่างไรเมื่อพระเจ้าไม่ทรงสนองข้อเรียกร้องของเจ้า? เจ้าจะแสดงการสำแดงใดออกมา? (ข้าพระองค์จะเข้าใจพระเจ้าผิด และสงสัยว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงสนองข้าพระองค์ในเมื่อข้าพระองค์เพียงแค่ต้องการแสดงให้เห็นการคำนึงถึงพระภาระของพระองค์ ข้าพระองค์จะกลายเป็นคิดลบ ขัดขืน และข้าพระองค์จะพร่ำบ่น) เจ้าจะกลายเป็นคิดลบ และคิดว่า “คนที่พวกเขาคัดสรรไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานเท่าที่ฉันเชื่อ พวกเขาไม่มีการศึกษาดีเท่าที่ฉันมี และขีดความสามารถของพวกเขาก็แย่กว่าของฉัน ฉันยังสามารถประกาศคำเทศนาได้ด้วย แล้วพวกเขาดีกว่าฉันตรงไหน?” เจ้าจะไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก แต่เจ้าจะไม่สามารถหาคำตอบได้ ดังนั้นมโนคติอันหลงผิดจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า และเจ้าจะตัดสินพระเจ้าว่าไม่ทรงชอบธรรม นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? เจ้าจะยังสามารถนบนอบได้หรือไม่? ไม่ได้ หากเจ้าไม่มีความอยากที่จะเป็นผู้นำ หากเจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และหากเจ้ามีการรู้จักตัวเอง เจ้าก็คงจะกล่าวว่า “ฉันพอใจกับการเป็นแค่ผู้ติดตามธรรมดา ฉันไม่มีความเป็นจริงความจริง ฉันมีความเป็นมนุษย์ทั่วไป และฉันก็ไม่ค่อยเจ้าคารมนัก ฉันมีประสบการณ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถพูดถึงประสบการณ์ดังกล่าวได้จริงๆ ฉันต้องการพูดถึงประสบการณ์ดังกล่าวมากขึ้นแต่ก็ไม่สามารถอธิบายตัวเองได้อย่างชัดเจน หากฉันพูดมากกว่านี้ ก็มีแววว่าผู้คนจะรู้สึกเอียนกับการรับฟังฉัน ฉันยังห่างไกลจากตำแหน่งนี้มากเกินไป ฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ และควรแค่เรียนรู้จากผู้อื่นต่อไป ปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างสุดความสามารถ และไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการอยู่กับความเป็นจริง วันหนึ่งเมื่อฉันมีวุฒิภาวะและเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ ฉันจะไม่ปฏิเสธหากได้รับการคัดสรรจากพี่น้องชายหญิงของฉัน” นี่คือสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง หากอยู่มาวันหนึ่งพี่น้องชายหญิงของเจ้ามองเจ้าว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำและคัดสรรเจ้า แน่นอนว่านี่ย่อมจะเป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต แล้วเจ้าจะเป็นผู้นำหรือไม่? (เป็น ข้าพระองค์จะเป็นผู้นำ ข้าพระองค์จะนบนอบ) เจ้าจะนบนอบอย่างไร? สมมติถ้าเจ้าคิดว่า “ฉันคิดว่าฉันทำได้ ไม่มีใครเก่งกว่าฉัน ดังนั้นฉันสามารถทำได้อย่างแน่นอน นี่คือการที่พระเจ้าทรงดลใจให้พี่น้องชายหญิงคัดสรรฉัน ในบรรดาคนเหล่านี้ ฉันเชื่อในพระเจ้ามายาวนานที่สุด ฉันอยู่ในวัยที่เหมาะสม มีประสบการณ์ในสังคมอยู่บ้างและมีความสามารถในเรื่องการงาน ฉันเจ้าคารมและมีการศึกษา ฉันปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ มาแล้วทุกประเภทและมีประสบการณ์อยู่บ้าง ฉันเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หากพี่น้องชายหญิงของฉันอยู่ภายใต้การเป็นผู้นำของฉัน เช่นนั้นแล้วชีวิตคริสตจักรย่อมจะเฟื่องฟูและดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน” เมื่อนั้นความโอหังย่อมเกิดขึ้นในตัวเจ้า มีเหตุผลในเรื่องนี้หรือไม่? เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป? เจ้าจะทำชั่วและทำสิ่งที่ไม่ดี จากนั้นเจ้าก็ต้องถูกตัดแต่ง และเผชิญกับการพิพากษาและการตีสอน สภาวะจิตใจของใครบางคนสำคัญหรือไม่? (สำคัญ) ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าต้องทบทวนและทำความเข้าใจแรงจูงใจของตน จุดกำเนิดของตน เจตนาของตน จุดมุ่งหมายของตน และความคิดทั้งหมดของตนตามความจริง และกำหนดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกหรือผิด ทั้งหมดนี้ต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานและพื้นฐาน เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ไปสู่เส้นทางที่ผิด ไม่ว่าเจ้าต้องการทำสิ่งใด หรือเจ้าแสวงหา อธิษฐาน หรือร้องขอสิ่งใดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งนั้นต้องถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและมีเหตุผล ต้องเป็นบางสิ่งที่สามารถนำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากทุกคน ไม่มีประโยชน์ในการแสวงหาและอธิษฐานเพื่อให้ได้สิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอธิษฐานเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมากเพียงใด นั่นก็จะไร้ประโยชน์
ผู้คนมีสิ่งปลอมปนขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเสมอ พวกเขามีสิ่งปลอมปนในเจตนาและความชอบของตนเองตลอดเวลา แล้วผู้คนจงใจยอมให้ตัวเองถูกปลอมปนหรือไม่? ไม่ เรื่องนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว จำนวนการปลอมปนที่คนคนหนึ่งมีขึ้นอยู่กับอุปนิสัยและการไล่ตามเสาะหาของตน หากคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะมีเจตนา แรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว ความอยากได้อยากมี และสภาวะที่เป็นลบน้อยลงเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะมีการปลอมปนมากขึ้น และย่อมมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนคิดลบเมื่อเผชิญกับความล้มเหลวหรืออุปสรรคขัดขวาง บางครั้งก็ถึงขั้นสะดุดล้มด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว พวกเจ้าพูดถึง “การรู้สึกทรมานกับความภาคภูมิใจ สถานะ และการรักใคร่เอ็นดู” อยู่เสมอ—พวกเจ้ารู้สึกทรมานกับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดทั้งวัน นี่ไม่มีเหตุผล ผู้คนมักถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนครอบงำ พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน และมีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อทุกประเภท แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาเผยให้เห็นความเสื่อมทรามประเภทใด พวกเขารู้สึกคิดลบและทรมานอยู่เสมอ หากเจ้ารู้สึกทรมาน เช่นนั้นเจ้าก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึงความรู้สึกทรมาน นั่นไม่เคยเป็นสิ่งที่ดีเลย เพราะเหตุใด? คำว่า “ทรมาน” เองก็ไม่สมเหตุสมผลนัก—ผู้คนรู้สึกทรมานเฉพาะภายใต้สภาพการณ์พิเศษเท่านั้น และนั่นไม่ใช่การสำแดงที่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมักแสดงให้เห็น มีบางสิ่งที่ผิดปกติกับการรู้สึกทรมานอยู่เสมอ มีปัญหากับคนอย่างนั้น—นั่นเป็นสภาวะของความคิดลบและการขัดขืน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คำว่า “ทรมาน” ในหนทางนี้ย่อมไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม เหตุใดผู้คนที่รู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลาจึงไม่เคยได้รับผลลัพธ์ใดจากการนั้นในท้ายที่สุด? เป็นเพราะพวกเขาไม่แสวงหาความจริง แต่กลับคิดลบและขัดขืน ต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ ผลลัพธ์จากการนี้ก็คือ พวกเขาทนทุกข์มากมายแต่ไม่ได้อะไรมาเลย ผู้คนที่รักความจริงจะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นหรือปัญหาใด พวกเขาจะยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อแสวงหาความจริง และเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง จงอย่ารู้สึกทรมานแบบไม่มีเหตุผลที่ดี เพราะนั่นจะไม่ทำให้เจ้าได้รับผลสำเร็จใดเลย ตัวอย่างเช่น เจ้ารู้สึกทรมานกับการรักใคร่ แต่เจ้าสามารถหลุดพ้นจากการรักใคร่นั้นได้หรือไม่? เจ้ารู้สึกทรมานกับสถานะ แต่เจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงเกี่ยวกับสถานะหรือไม่? เจ้ารู้สึกทรมานกับอนาคตและโชคชะตาของตน แต่เจ้าสามารถปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากข้อจำกัดของอนาคตและโชคชะตาของตนหรือไม่? เจ้าสามารถปล่อยมือจากความอยากได้พระพรของตนหรือไม่? (ไม่ ข้าพระองค์ไม่สามารถปล่อยมือได้) แล้วเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร? ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่ต้องแก้ไขด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่เสาะตามหาความจริงสามารถแก้ไขข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลและความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของผู้คน ตลอดจนความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของตน และความคิดฝัน การคาดเดา ความกังขา และความมุ่งมั่นของตนเกี่ยวกับพระองค์ ผู้คนจะยังคงรู้สึกทรมานหรือไม่เมื่อสภาวะทั้งหมดนี้ได้รับการแก้ไข? สภาวะของความรู้สึกทรมานทั้งหมดนี้จะแค่หายไปหรือไม่? ในเวลานั้น ความคิด ทรรศนะ ท่าที และสภาวะของเจ้าจะเป็นอย่างไร? เจ้าจะสามารถนบนอบและรอคอย และเจ้าจะไม่ต่อสู้กับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งจะไม่กบฏต่อพระองค์หรือตัดสินพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพระเจ้าประทานพระหัตถ์ให้เจ้า หรือพระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมให้กับเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันและนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระองค์แทนที่จะขัดขืนหรือหลบเลี่ยง และเจ้าย่อมจะไม่พยายามหลีกหนีอีก เจ้าจะมีสภาวะที่เป็นบวกเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ และนี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่เป็นลบเหล่านั้นยึดครองความรู้สึกนึกคิดของเจ้าและมีอิทธิพลต่อการกระทำ ความคิด และแนวคิดประจำวันของเจ้า และกระทบต่อสภาวะของเจ้าอยู่เป็นนิตย์ เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย และเจ้าย่อมจะถูกกำจัดออกไปในที่สุด
เวลาที่ผู้คนมากมายปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขามีสิ่งปลอมปนในเจตนาของตนเสมอ พวกเขาพยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาชอบที่จะได้รับการสรรเสริญและการหนุนใจอยู่เป็นนิตย์ และหากพวกเขาทำบางสิ่งให้ดี พวกเขาก็ต้องการผลตอบแทนหรือบำเหน็จบางอย่างเสมอ หากไม่มีบำเหน็จ พวกเขาก็ไม่แยแสต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน และหากไม่มีใครใส่ใจพวกเขาหรือหนุนใจพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนเด็กๆ เกิดอะไรขึ้น ณ จุดนี้—เหตุใดเจตนาในหน้าที่ของผู้คนจึงถูกปลอมปนเสมอและไม่เคยละวางได้เลย? หลักๆ แล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถละวางสิ่งเหล่านี้ได้ หากประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่เคยได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาย่อมกลายเป็นคิดลบได้อย่างง่ายดาย และไม่แยแสต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนมากขึ้น เมื่อเห็นพระวจนะจากพระเจ้าเกี่ยวกับการได้รับความเห็นชอบหรือการได้รับพระพร พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจและเริ่มกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย แต่หากไม่มีใครสามัคคีธรรมกับพวกเขา ไม่มีใครจูงใจหรือสรรเสริญพวกเขา พวกเขาก็จะไม่แยแส หากผู้คนยกย่อง กล่าวชม และสรรเสริญพวกเขาอยู่เนืองนิจ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าตนยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ และในหัวใจของพวกเขาก็มั่นใจว่าพระเจ้ากำลังทรงคุ้มครองและอวยพรตน ในเวลาเช่นนั้นความอยากที่จะโดดเด่นเหนือคนอื่นของพวกเขาถูกทำให้สัมฤทธิผลและลุล่วง เจตนาของพวกเขาที่จะได้รับพระพรจึงบรรเทาลงเป็นการชั่วคราว และมีการใช้ประโยชน์จากทักษะและความสามารถพิเศษของพวกเขา ซึ่งเป็นการให้เกียรติพวกเขา พวกเขามีความสุขมากจนกระโดดโลดเต้นไปตามท้องถนนพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า นี่คือผลจากการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) นี่เป็นเพียงความอยากได้อยากมีของพวกเขาที่ได้รับการทำให้ลุล่วง นี่คืออุปนิสัยใด? นี่คืออุปนิสัยอันโอหัง พวกเขาไม่มีการตระหนักรู้ในตนเองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากหรือความลำบากยากเย็นบางอย่าง หรือหากความภาคภูมิใจหรือความฟุ้งเฟ้อของพวกเขาไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง หรือหากผลประโยชน์ของตนถูกกระทบกระเทือนแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบและล้มลง ก่อนหน้านั้น พวกเขายืนสูงเหมือนยักษ์ แต่ในเวลาแค่ไม่กี่วันพวกเขาก็ได้แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นกองหนึ่ง—ความแตกต่างนั้นมากมายเหลือเกิน หากพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะล้มคว่ำเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร? เป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยมีพื้นฐานอยู่บนความกระตือรือร้น ความอยากได้อยากมี และความมักใหญ่ใฝ่สูงนั้นอ่อนแอมาก เมื่อเผชิญกับเรื่องติดขัดหรือความล้มเหลวบางอย่าง พวกเขาก็ล้มลง เมื่อเห็นว่าความคิดฝันของตนไม่เป็นผล ความอยากได้อยากมีของตนไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง และพวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้รับพระพร พวกเขาก็ล้มลงในทันที สิ่งที่การนี้แสดงให้เห็นก็คือ ไม่ว่าพวกเขากระตือรือร้นต่อหน้าที่ของตนในเวลานั้นเพียงใด ก็ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความอยากได้รับพระพรและเพราะความกระตือรือร้น ไม่ว่าผู้คนจะกระตือรือร้นเพียงใด หรือพวกเขาสามารถประกาศคำพูดหรือคำสอนมากเพียงใด หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริง หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรม หากพวกเขาเพียงพึ่งพาความกระตือรือร้นเพียงอย่างเดียว พวกเขาย่อมจะทนได้ไม่นานนัก และเมื่อเผชิญกับความทุกข์เข็ญและความวิบัติ พวกเขาจะไม่สามารถตั้งมั่นและจะล้มลง บางคนก็แค่หมดแรงล้มลงเมื่อเผชิญกับความล้มเหลวหรืออุปสรรคขัดขวาง บางคนหมดแรงล้มลงเมื่อถูกตัดแต่ง ในขณะที่คนอื่นหมดแรงล้มลงเมื่อเผชิญกับการบ่มวินัย พวกที่ไม่ครองความจริงย่อมล้มลงตั้งแต่พบอุปสรรคขวางกั้นแรกเช่นนี้เสมอ แล้วอะไรคือการสำแดงของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง? (ไม่ว่าพวกเขาเผชิญกับการถลุงประเภทใด แม้พวกเขาอาจจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่พวกเขาจะไม่กลายเป็นคิดลบ พวกเขาจะแสวงหาความจริงและนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า) การไม่กลายเป็นคนคิดลบคือการสำแดงอย่างหนึ่ง แต่พวกเจ้าไม่เคยมองทะลุถึงการสำแดงหลัก ซึ่งก็คือ คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ถูกขัดขวางหรือได้รับผลกระทบในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าพวกเขามีประสบการณ์กับความลำบากยากเย็น ความเจ็บปวด หรือความอ่อนแอใดๆ ก็ตาม พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีใจกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเมื่อตนมีความสุข ไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์มากเพียงใด พวกเขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าและสามารถพักวางเรื่องส่วนตัวทั้งหมดและไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไปเมื่อพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินควรแม้ทำงานเพียงเล็กน้อย และหากพวกเขาทนทุกข์เล็กน้อย พวกเขาก็จะพร่ำบ่น และคิดถึงการกลับบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสบายและร่ำรวย รวมทั้งคิดถึงทางออกสำหรับตัวเองเสมอ แต่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกลับคิดว่า “ไม่สำคัญว่าฉันทนทุกข์มากเพียงใด ฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีและตอบแทนความรักของพระเจ้า มีเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีเท่านั้น ฉันจึงจะมีมโนธรรมและเหตุผล และควรค่ากับการถูกเรียกว่ามนุษย์” นอกจากการมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีแล้ว พวกเขาสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกับพี่น้องชายหญิงของตน ไม่สำคัญว่าพวกเขาเผชิญความเดือดร้อนใด และพวกเขาก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของตน พวกเขาไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ฉันจะแก้ไขสภาวะนี้ได้อย่างไร? ปัญหานี้อยู่ตรงไหน? ทำไมฉันถึงรู้สึกคิดลบ? ทำไมฉันถูกตัดแต่ง? ฉันทำผิดอย่างไร? ความผิดพลาดของฉันอยู่ตรงไหน? นี่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยหรือไม่ ฉันไม่ช่ำชองในด้านนี้หรือฉันเก็บงำเจตนาบางอย่างของตัวเองเอาไว้?” พวกเขาได้ผลลัพธ์หลังจากตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เป็นเวลาสองสามวัน และพวกเขาตระหนักว่างานของคริสตจักรได้รับความเสียหายเพราะพวกเขาปิดบังเจตนาของตัวเอง กลัวว่าจะล่วงเกินผู้อื่น และไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าควรนำท่าทีใดมาใช้หลังจากได้ข้อสรุปเช่นนี้? เจ้าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? เจ้าต้องยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งของพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนตัวเองภายในพระวจนะของพระองค์ ยกสภาวะของตนมาเปรียบกับพระวจนะของพระองค์ และสัมฤทธิ์การเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ในหนทางนี้เจ้าจึงจะรู้ว่าตนเป็นคนที่รักความจริงและนบนอบพระเจ้าหรือไม่ การได้ข้อสรุปนี้มาเพียงพอหรือไม่? เจ้ายังจะต้องสารภาพและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าพระองค์ทำไปไม่สอดคล้องกับความจริง การกระทำของข้าพระองค์ถูกกำหนดโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ และข้าพระองค์จะไม่มีวันกบฏต่อพระเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระองค์จะแสวงหาความจริงและกระทำการตามข้อกำหนดของพระเจ้าเสมอ หากข้าพระองค์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ขอพระเจ้าทรงบ่มวินัยและลงโทษข้าพระองค์เถิด” นี่คือหัวใจที่กลับใจอย่างแท้จริง หากเจ้าสามารถอธิษฐานและตั้งปณิธานอันมั่นคงในหนทางนี้ได้ และหากเจ้าสามารถปฏิบัติเช่นนี้ได้ นี่ย่อมเป็นกรอบความคิดที่นบนอบ หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ เจ้าก็จะค่อยๆ มานบนอบพระราชกิจของพระเจ้า มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ มองเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ชอบธรรมและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และเริ่มมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบและจงรักภักดี และในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่าง และเจ้าจะได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง
บางคนทำตามเจตจำนงของตนเองในยามที่พวกเขาปฏิบัติตน พวกเขาละเมิดหลักธรรม และหลังจากถูกตัดแต่งแล้ว พวกเขาก็ยอมรับด้วยคำพูดเพียงว่าตนโอหัง และทำผิดพลาดไปเพียงเพราะตนไม่มีความจริง แต่ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาพร่ำบ่นว่า “ไม่มีใครหาเรื่องใส่ตัวเลย มีแต่ฉันเท่านั้น—แล้วสุดท้าย เมื่อบางสิ่งผิดพลาดไป พวกเขาก็ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมาที่ฉัน นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาของฉันเองหรอกหรือ? คราวหน้าฉันไม่สามารถหาเรื่องใส่ตัวเหมือนเช่นนี้อีก ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมามากที่สุดย่อมถูกค้อนตอกลงไป!” เจ้าคิดว่าท่าทีนี้เป็นอย่างไร? นี่เป็นท่าทีหนึ่งของการกลับใจหรือไม่? (ไม่) นี่คือท่าทีใด? พวกเขาไม่กลายเป็นคนปลิ้นปล้อนและหลอกลวงไปแล้วหรอกหรือ? พวกเขาคิดในหัวใจว่า “ฉันโชคดีที่คราวนี้ไม่กลายเป็นความวิบัติ ทุกความผิดพลาดคือบทเรียน จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ฉันจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังมากขึ้นในภายภาคหน้า” พวกเขาไม่แสวงหาความจริง โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมอันต่ำช้าและกลอุบายฉลาดแกมโกงของตนเพื่อจัดการและรับมือกับเรื่องนี้ พวกเขาสามารถได้รับความจริงในหนทางนี้หรือไม่? ไม่สามารถเพราะพวกเขายังไม่ได้กลับใจ สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับใจก็คือ ตระหนักรู้ว่าเจ้าทำอะไรผิดไป เพื่อดูว่าตรงไหนคือความผิดพลาดของเจ้า ตรงไหนคือแก่นแท้ของปัญหา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าได้เปิดเผยออกมา เจ้าต้องทบทวนสิ่งเหล่านี้และยอมรับความจริง จากนั้นจึงปฏิบัติไปตามความจริง นี่เท่านั้นจึงเป็นท่าทีของการกลับใจ ในทางกลับกัน หากเจ้าพิจารณาวิธีการฉลาดแกมโกงอย่างละเอียดถี่ถ้วน เจ้าจะยิ่งมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเดิม กลวิธีของเจ้าหลักแหลมและปิดบังมากขึ้น และเจ้าจะมีวิธีการจัดการกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น เช่นนั้นแล้ว ปัญหาจึงไม่ง่ายดายเหมือนแค่การหลอกลวง เจ้ากำลังใช้วิธีการที่ไม่ซื่อ และเจ้ามีความลับที่เจ้าไม่สามารถแพร่งพรายได้ นี่เป็นความเลวร้าย ไม่เพียงแต่เจ้ายังไม่ได้กลับใจเท่านั้น แต่เจ้ายังกลายเป็นปลิ้นปล้อนและหลอกลวงมากขึ้นด้วย พระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าว่าดื้อแพ่งและเลวเกินไป เจ้ายอมรับเพียงผิวเผินว่าตนผิด และยอมรับการถูกตัดแต่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าไม่มีท่าทีที่กลับใจเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะในขณะที่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นหรือในผลพวงที่ตามมาหลังจากนั้น เจ้าไม่ได้แสวงหาความจริงเลย เจ้าไม่ทบทวนและไม่พยายามที่จะรู้จักตัวเอง และเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามความจริง ท่าทีของเจ้าคือท่าทีของการใช้ปรัชญา ตรรกะ และวิธีการของซาตานเพื่อแก้ไขปัญหา ในความเป็นจริงแล้วเจ้ากำลังหลีกเลี่ยงปัญหา และห่อหุ้มปัญหานั้นไว้ในหีบห่ออันประณีตเพื่อที่ผู้อื่นจะมองไม่เห็นร่องรอยของปัญหานั้น ไม่ปล่อยให้สิ่งใดหลุดลอดออกมา สุดท้ายเจ้าย่อมรู้สึกว่าตนหลักแหลมเอาการเลยทีเดียว เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมองเห็น แทนที่จะเป็นการทบทวน สารภาพ และกลับใจในบาปของตนอย่างแท้จริงเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่บังเกิดขึ้นกับเจ้า จากนั้นก็แสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความจริงต่อไป ท่าทีของเจ้าไม่ใช่ท่าทีของการแสวงหาความจริงหรือการปฏิบัติความจริง อีกทั้งไม่ใช่ท่าทีของการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่เป็นท่าทีของการใช้กลวิธีและวิธีการของซาตานเพื่อแก้ไขปัญหาของตน เจ้าสร้างภาพประทับใจเทียมเท็จต่อผู้อื่นและขัดขืนการถูกพระเจ้าเผยออกมา และเจ้ามีท่าที่ปกป้องตัวเองและพร้อมเผชิญหน้ากับสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงให้เจ้า หัวใจของเจ้าปิดกั้นมากกว่าแต่ก่อนและแยกออกมาจากพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นได้บ้างหรือไม่? เจ้ายังสามารถดำรงชีวิตในความสว่าง ชื่นชมสันติสุขและความชื่นบานยินดีได้หรือไม่? ไม่สามารถ หากเจ้าหลบเลี่ยงความจริงและหลบเลี่ยงพระเจ้า เจ้าย่อมจะตกอยู่ในความมืดมิด ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแน่นอน สภาวะเช่นนั้นเป็นที่แพร่หลายในผู้คนหรือไม่? (เป็นที่แพร่หลาย) บางคนตักเตือนตัวเองอยู่เนืองๆ ว่า “ฉันถูกตัดแต่งคราวนี้ คราวต่อไป ฉันต้องคิดคำนวณมากขึ้น และระมัดระวังให้มากขึ้น ฉันจำเป็นต้องคอยระวังในทุกเรื่องเพื่อที่ฉันจะได้ไม่ลงเอยด้วยความล้มเหลว คนที่ไม่คิดคำนวณคือพวกคนโง่” หากเจ้าคอยชี้แนะและตักเตือนตัวเองแบบนั้นอยู่เสมอ เจ้าจะสามารถได้รับผลลัพธ์ที่ดีบ้างหรือไม่? เจ้าจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? หากประเด็นปัญหาหนึ่งบังเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจความจริงในแง่มุมหนึ่ง และได้รับความจริงในแง่มุมนั้น สิ่งใดสามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยการเข้าใจความจริง? เมื่อเจ้าเข้าใจแง่มุมหนึ่งของความจริง เจ้าย่อมเข้าใจแง่มุมหนึ่งของเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าย่อมเข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงทำสิ่งนี้กับเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนั้นต่อเจ้า เหตุใดพระองค์จึงจะทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์เพื่อสั่งสอนและบ่มวินัยเจ้าเช่นนั้น เหตุใดพระองค์จึงจะทรงใช้เรื่องนี้ตัดแต่งเจ้า และเหตุใดเจ้าจึงล้มลง ล้มเหลว และถูกเผยในเรื่องนี้ หากเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและจะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้ แต่ยืนกรานที่จะต่อต้านและต้านทานสิ่งเหล่านี้ ใช้กลวิธีของตัวเองเพื่ออำพรางตน เพื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่นและพระเจ้าด้วยโฉมหน้าเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงไปตลอดกาล หากเจ้ามีท่าทีที่ซื่อสัตย์ ท่าทีของการยอมรับและนบนอบความจริง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ามีความเจ็บปวดในหัวใจของเจ้ามากเพียงใด หรือเจ้ารู้สึกอัปยศอดสูเพียงใด เจ้าย่อมสามารถยอมรับและนบนอบความจริงได้เสมอ เจ้ายังคงสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าโดยกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องแล้ว และข้าพระองค์ต้องยอมรับการนั้น” เช่นนั้นแล้วนี่จึงเป็นท่าทีที่นบนอบ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างขั้นตอนของการยอมรับ เจ้าต้องทบทวนตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทบทวนว่าความผิดพลาดในการกระทำและพฤติกรรมของเจ้าอยู่ตรงไหน และเจ้าได้ละเมิดความจริงในแง่มุมใด เจ้ายังต้องชำแหละเจตนาของตนเองด้วย เพื่อที่เจ้าจะสามารถมองเห็นสภาวะและวุฒิภาวะที่แท้จริงของตนเองได้อย่างชัดเจน จากนั้นหากเจ้าแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะรู้วิธีปฏิบัติความจริงโดยสอดคล้องกับหลักธรรม หากเจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์ในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะก้าวหน้าก่อนที่เจ้าจะทันได้รู้ตัว ความจริงจะหยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงจะเบ่งบานออกผล และกลายเป็นชีวิตของเจ้า ปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับการเผยความเสื่อมทรามของเจ้าจะค่อยๆ ได้รับการแก้ไข เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น ท่าที ทรรศนะ และสภาวะของเจ้าจะมีแนวโน้มไปสู่สิ่งที่เป็นบวกมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้นเจ้าจะยังคงเหินห่างจากพระเจ้าอยู่หรือไม่? บางทีเจ้าอาจจะยังคงเหินห่างจากพระองค์อยู่ แต่ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ และข้อกังขา การคาดเดา ความเข้าใจผิด การพร่ำบ่น ความเป็นกบฏ และการขัดขืนที่เจ้าเก็บงำต่อพระเจ้าก็จะลดน้อยถอยลงด้วยเช่นกัน เมื่อสิ่งเหล่านี้ลดน้อยถอยลง การที่เจ้าจะอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น รวมทั้งอธิษฐานถึงพระองค์ แสวงหาความจริง และแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ย่อมจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อสิ่งเหล่านั้นบังเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้าสับสนอย่างสิ้นเชิง และยังคงไม่แสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมจะเป็นปัญหา เจ้ามั่นใจที่จะรับมือกับเรื่องทั้งหลายโดยใช้วิธีแก้ปัญหาแบบมนุษย์ และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของเจ้า วิธีการอันปลิ้นปล้อน และกลวิธีอันฉลาดแยบยลก็จะปรากฏออกมา นี่เป็นวิธีที่ผู้คนตอบสนองต่อสิ่งทั้งหลายในหัวใจของตนเป็นครั้งแรก บางคนไม่เคยทุ่มเทหัวใจให้กับการเพียรพยายามไปสู่ความจริงเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น และกลับคิดถึงการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีการของมนุษย์อยู่เสมอ ผลก็คือ พวกเขาดิ้นรนอยู่เป็นเวลานาน พวกเขาทรมานตัวเองจนกระทั่งใบหน้าของตนซีดเซียวด้วยความเหนื่อยล้า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่นำความจริงไปปฏิบัติ นี่คือความเวทนาของพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แม้ตอนนี้เจ้าอาจปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเต็มใจ และเจ้าอาจละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองด้วยความเต็มใจ แต่หากเจ้ายังคงมีความเข้าใจผิด การคาดเดา ข้อกังขา หรือการพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า หรือแม้กระทั่งความเป็นกบฏและการต้านทานพระองค์ หรือหากเจ้าใช้แนวทางและกลวิธีนานาเพื่อต่อต้านพระองค์และปฏิเสธอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือเจ้า—หากเจ้าไม่แก้ไขสิ่งเหล่านี้—เช่นนั้นแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความจริงจะมีอำนาจเหนือเจ้า และชีวิตของเจ้าก็จะเหนื่อยล้า บ่อยครั้งที่ผู้คนดิ้นรนต่อสู้และถูกทรมานในสภาวะที่เป็นลบเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาได้จมลงไปในปลักตม และพวกเขาก็หมกมุ่นอยู่กับแนวคิดเรื่องถูกและผิดอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถค้นพบและเข้าใจความจริงได้อย่างไร? ในการแสวงหาความจริงนั้น คนเราต้องนบนอบเสียก่อน จากนั้น หลังจากผ่านประสบการณ์ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง ซึ่ง ณ จุดนี้ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจความจริง หากคนเราพยายามที่จะไขคำตอบอยู่เสมอว่าสิ่งใดถูกและผิด และง่วนอยู่กับสิ่งที่แท้จริงและเทียมเท็จ พวกเขาย่อมไม่มีทางที่จะค้นพบหรือเข้าใจความจริงเลย แล้วจะได้อะไรขึ้นมาหากคนเราไม่มีวันเข้าใจความจริงได้? การไม่เข้าใจความจริงทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อคนเรามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาย่อมมีแววว่าจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เมื่อการพร่ำบ่นเหล่านี้ระเบิดออกมา ก็ย่อมกลายเป็นการต่อต้าน การต่อต้านพระเจ้าก็คือการต้านทานพระองค์และเป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง หากคนเราได้กระทำผิดมากมาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมได้กระทำชั่วนานาประการ และสมควรถูกลงโทษ นี่คือสิ่งที่เกิดจากการไม่สามารถเข้าใจความจริง ดังนั้นการไล่ตามเสาะหาความจริงจึงไม่เพียงแค่หมายให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ให้เชื่อฟัง ให้ประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ ให้ดูเหมือนเปี่ยมศรัทธา หรือให้มีสมบัติผู้ดีแบบธรรมิกชน ไม่เพียงหมายให้สัมฤทธิ์ในสิ่งเหล่านี้ โดยหลักแล้วนั่นหมายที่จะแก้ไขทรรศนะที่ไม่ถูกต้องนานาสารพันที่เจ้ามีต่อพระเจ้า จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงก็คือเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นได้รับการแก้ไข ผู้คนก็จะไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป ทั้งสองเรื่องนี้เชื่อมโยงกัน ในขณะที่ผู้คนแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน สัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้าก็จะค่อยๆ ดีขึ้นและกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการแก้ไข ความคลางแคลงใจ ความสงสัย การทดสอบ ความเข้าใจผิด คำถาม และความคับข้องใจทั้งหลายของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้า แม้กระทั่งการต้านทานของพวกเขา ล้วนแต่จะได้รับการแก้ไขทีละน้อย การสำแดงใดเกิดขึ้นทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่งได้รับการแก้ไข? ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าเปลี่ยนไป พวกเขาสามารถเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยหัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้า แล้วสัมพันธภาพของพวกเขากับพระองค์ก็จะดีขึ้น หากพวกเขาเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ พวกเขามีหัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน นับประสาอะไรที่พวกเขาจะหลอกลวงพระเจ้า ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าค่อยๆ ลดลง สัมพันธภาพของพวกเขากับพระองค์จะกลายเป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างเต็มเปี่ยมยามปฏิบัติหน้าที่ของตน หากพวกเขาไม่แก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พวกเขาย่อมจะไม่สามารถบรรลุสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า และไม่มีวันมีหัวใจที่นบนอบพระองค์ได้เลย พวกเขาจะเป็นกบฏเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย พวกเขาจะปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้าในหัวใจของตนอยู่เสมอ และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี นี่คือเหตุผลที่การไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก! เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ยังคงต้องการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน ความเข้าใจผิด และการพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า—เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ บางคนพูดว่า “ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันไม่มีสิ่งใดอย่างมโนคติอันหลงผิด ความเข้าใจผิด หรือการพร่ำบ่น ฉันไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้” เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าไม่มีมโนคติอันหลงผิดใดหากเจ้าไม่คิดถึงการนั้น? เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาด้วยการไม่คิดถึงการนั้นได้หรือไม่? ไม่ว่าใครบางคนเผยความเสื่อมทรามใดออกมา ความเสื่อมทรามดังกล่าวย่อมถูกกำหนดโดยธรรมชาติของพวกเขาเสมอ ผู้คนล้วนใช้ชีวิตตามธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตน อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาหยั่งรากลึกภายในตัวของพวกเขา และได้กลายเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาไปแล้ว ผู้คนไม่มีวิธีการที่จะใช้เพื่อถอนรากถอนโคนอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน มีเพียงการใช้ความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถค่อยๆ แก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้
การปรับปรุงสัมพันธภาพของคนคนหนึ่งกับพระเจ้าหรือการขาดพร่องสัมพันธภาพดังกล่าวสำแดงออกมาตรงไหน? การนี้สำแดงออกมาในท่าทีและทรรศนะที่เจ้ามีเมื่อเผชิญกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย หากท่าทีและทรรศนะของเจ้ามาจากปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเยี่ยงซาตาน หรือมาจากความรู้กับทฤษฎีต่างๆ และเจ้ายึดถือสิ่งเหล่านี้เป็นปรัชญาชีวิตและคติประจำใจของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? เจ้าได้รับความจริงแล้วหรือยัง? (ยัง) ไม่อาจพูดได้อย่างแน่ชัดว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง บางทีเจ้าอาจจะอยู่บนถนนไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริง แต่อย่างน้อยที่สุดนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง หากเจ้าโกรธขึ้นมาในทันทีเมื่อเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของตน ทุบโต๊ะและตะโกนใส่ผู้คน ปฏิเสธที่จะยอมรับการนั้น และไม่นบนอบ ในที่นี้อะไรคือปัญหา? นี่คือคนที่ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถแสวงหาความจริงได้? นี่แสดงให้เห็นว่าความจริงยังไม่ได้เข้าควบคุมดูแลหัวใจของเจ้า! หากเจ้าไม่สามารถสงบใจแม้แต่กับเรื่องสัพเพเหระเช่นนั้นได้ และเรื่องเล็กๆ เช่นนั้นก็เปิดโปงสภาวะที่น่าเกลียดของเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่เก่งในการใช้ความจริงแก้ไขปัญหา และเจ้าก็พักวางการแสวงหาความจริงเอาไว้ยามที่เจ้าหัวเสีย หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร? บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ประพฤติตนอย่างผู้ไม่มีความเชื่อ ใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและไม่เคยแสวงหาความจริงหรือเปลี่ยนมุมมองของตนเกี่ยวกับวิธีที่ตนปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและรับมือกับเรื่องทั้งหลาย แม้พวกเขายังไม่ได้กระทำการชั่วที่ชัดเจนหรือทำความผิดพลาดอย่างมหันต์ใดๆ และดูเหมือนเป็นคนดี พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติ คนเช่นนั้นสามารถบรรลุความรอดของพระเจ้าได้หรือไม่? เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะบรรลุความรอด บางคนเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี และไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขามักกล่าวอยู่เสมอว่า “ในความคิดเห็นของฉันเป็นเช่นนั้นเช่นนี้…” “ฉันวางแผนไว้อย่างนั้นอย่างนี้…” และ “ฉันคิดอย่างนั้นอย่างนี้…” หรือกล่าวว่า “ภาษิตโบราณนี้กล่าวไว้ดีแล้ว…” และ “ก็เหมือนอย่างคนที่มีชื่อเสียงคนนั้นกล่าวไว้…” คนที่พูดเช่นนี้เสมอมักมีปัญหา เนื่องจากนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่เป็นพวกของซาตาน ใครบางคนที่ไม่มีความจริงในหัวใจของตนเลยแม้แต่น้อย เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น หากเจ้ามักกล่าวอยู่เสมอว่า “ฉันจำได้ว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า…” “พระเจ้าเคยตรัสไว้ว่า…” หรือ “ในคำเทศนาแห่งพระนิเวศของพระเจ้าบทหนึ่ง มีการประกาศว่า…” “มีบรรทัดหนึ่งในบทเพลงนมัสการแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวไว้ว่า…” หากเจ้ามักคิดถึงปัญหาทั้งหลายและพูดเช่นนี้อยู่เสมอ นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่รักความจริงและมีความเป็นจริงความจริงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องไขคำตอบเสียก่อนว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงสิ่งใด เปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า และใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐาน พื้นฐาน และจุดเริ่มต้นของตน นี่ไม่ใช่ท่าทีที่พวกเขาควรมีเมื่อไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงหรอกหรือ? นี่คือขั้นต่ำที่สุดที่ควรมี ทุกวันนี้ แม้ผู้คนจะฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน แต่เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น พวกเขาก็ยังคงกล่าวว่า “แม่ฉันบอกว่า…” “มีภาษิตโบราณกล่าวว่า…” “คนที่มีชื่อเสียงคนนั้นคนนี้กล่าวว่า…” “สุภาษิตกล่าวไว้ว่า…” และ “ดังคติพจน์ทั่วไปที่ว่า…” พระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขากินและดื่มไปอยู่ที่ไหน? จากท่าทีและปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขายังไม่ได้รับความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ไม่มีความเชื่ออยู่เสมอ คนเช่นนี้มีสีหน้าที่ด้านชาและปัญญาทึบ อะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้? (การไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นสาเหตุของเรื่องนี้) ภายนอกผู้คนอาจดูด้านชาและปัญญาทึบ แต่ภายในของพวกเขาเป็นอย่างไร? ภายในของพวกเขาเหี่ยวเฉา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขายังคงไม่ได้รับการให้น้ำและเลี้ยงดูด้วยความจริง พวกเขายังคงหิวโหยและยังไม่ได้รับความจริง ดังนั้น พวกเขาจึงใช้ชีวิตอย่างด้านชาและเหนื่อยล้า พวกเขาตอบสนองช้า และเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้น พวกเขาก็อับจนหนทางเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวเป็นครั้งคราวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร!” “ข้าพระองค์สับสน!” หรือ “ข้าพระองค์ไร้หนทาง!” คำพูดเหล่านี้ติดปากพวกเขาเสมอ คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ดีหรือไม่? (ไม่ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่ดี) แล้วเหตุใดบางคนจึงเรียนรู้คำพูดเหล่านี้อยู่เสมอ? คำพูดเหล่านี้ถึงขั้นกลายเป็นคำศัพท์อันเป็นที่นิยม เหตุใดคำพูดเหล่านี้จึงฟังดูน่าอึดอัดเหลือเกินสำหรับเรา? คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่ดี และไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้คำพูดเหล่านี้ จงอย่าใส่ใจกับสิ่งทั้งหลายอันเป็นที่นิยม จงใส่ใจกับความจริงและการแก้ไขปัญหาซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงของตนเองแทน เจ้าต้องทบทวนว่า เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า ทรรศนะ ท่าที เจตนา และจุดเริ่มต้นของเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรือไม่ เจ้าต้องทบทวนเรื่องนี้ ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตานและใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อแก้ไขสิ่งนั้น หรือเจ้าแสวงหาความจริงและแก้ไขสิ่งนั้นตามพระวจนะของพระเจ้า หรือเจ้านำแนวทางประนีประนอมโอนอ่อนผ่อนปรนมาใช้? ตัวเลือกของเจ้าจะเผยให้เห็นได้อย่างดีที่สุดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ หากเจ้าเลือกที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตานและวิธีการของมนุษย์อยู่เสมอ ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นว่า เจ้าไม่สามารถได้รับความจริง อีกทั้งไม่สามารถได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่มากไปกว่านั้น มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าก็จะเกิดขึ้นในตัวเจ้า และพระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดเจ้าออกไปในท้ายที่สุด แต่หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในทุกสิ่งและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถบรรลุความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของเจ้าจะชัดเจนมากขึ้นทุกที และเจ้าย่อมจะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในหนทางนี้เจ้าจะสามารถนบนอบและรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง หลังจากปฏิบัติและได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าจะมีสถานการณ์ของการกบฏต่อพระเจ้าน้อยลงทุกที จนกระทั่งในที่สุดแล้วเจ้าจะสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระองค์โดยสมบูรณ์ หากเจ้าเลือกแนวทางประนีประนอมโอนอ่อนผ่อนปรนเสมอ นั่นหมายความว่าเจ้ายังคงพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตานเพื่อรับมือกับปัญหาทั้งหลาย การใช้ชีวิตเช่นนี้จะไม่มีวันทำให้เจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้ามีแต่จะถูกเผยและกำจัดออกไปเท่านั้น หากเจ้าเลือกหนทางที่ผิดในการเชื่อในพระเจ้า หนทางทางศาสนา เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีทางของเจ้าโดยเร็ว ก้าวถอยจากสถานการณ์ที่ล่อแหลมและนำหนทางที่ถูกต้องมาใช้ เมื่อนั้นอาจจะยังคงมีความหวังที่เจ้าจะบรรลุความรอด หากเจ้าต้องการได้มาซึ่งหนทางที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องแสวงหาและพยายามควานหาเพื่อให้ได้หนทางที่ถูกต้องด้วยตัวเอง ใครบางคนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณจะพบเส้นทางที่ถูกต้องหลังจากผ่านประสบการณ์ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แล้วพวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมอะไรกันไป? (พวกเราสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่การไล่ตามเสาะหาความจริงแก้ไขได้เป็นหลัก ซึ่งก็คือ ทรรศนะที่ผิดพลาดนานาประการที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน พวกเรายังสามัคคีธรรมถึงทรรศนะ ท่าที และเจตนาของผู้คนเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับพวกเขา และผู้คนจัดกับการสิ่งทั้งหลายโดยใช้ปรัชญาเยี่ยงซาตานกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ หรือแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยการแสวงหาความจริง) คำพูดเหล่านี้จดจำง่าย แต่กุญแจสำคัญคือเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นเจ้าสามารถนำมาเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ และเจ้าสามารถค้นพบหลักธรรมแห่งการปฏิบัติหรือไม่ หากเจ้าสามารถนำหลักธรรมมาใช้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ และหากเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าย่อมจะมีความเป็นจริงความจริง การเข้าใจความจริงไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว มีเพียงเมื่อเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง หากเจ้านำความจริงไปปฏิบัติบ่อยครั้งและทำตามหลักธรรมอย่างครบถ้วน นี่จึงเป็นการได้รับความจริง การสามารถพูดได้เพียงคำพูดและคำสอนไม่อาจถือได้ว่าเป็นขีดความสามารถที่ดี เจ้ามีความสามารถในการทำความเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อสิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้นกับเจ้า สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดคือการสามารถแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องชายหรือหญิงสักคนหนึ่ง และพวกเขาขอให้เจ้าชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีปัญหาตรงไหน เจ้าควรทำอย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแนวทางที่เจ้าใช้กับเรื่องนี้ แนวทางของเจ้าเป็นไปตามหลักธรรมความจริง หรือว่าเจ้าใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก? หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขามีปัญหา แต่กลับไม่บอกออกไปตามตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้าเสียหาย และเจ้าถึงกับแก้ตัวว่า “ตอนนี้ฉันมีวุฒิภาวะน้อยและฉันไม่เข้าใจปัญหาของคุณอย่างถ่องแท้ เมื่อฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วฉันจะบอก” เช่นนั้นปัญหาคืออะไร? การนี้เกี่ยวข้องกับปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก นี่คือการพยายามหลอกผู้อื่นไม่ใช่หรือ? เจ้าควรพูดเท่าที่เจ้ามองเห็นได้ชัดเจน และหากสิ่งใดไม่ประจักษ์ชัดสำหรับเจ้าก็จงพูดไปตามนั้น นี่คือการพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า หากเจ้ามีบางความคิดและมีบางสิ่งที่ประจักษ์ชัดสำหรับเจ้า แต่เจ้ากลัวที่จะล่วงเกินพวกเขา หวั่นใจว่าจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการใช้ชีวิตตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก หากเจ้าค้นพบว่าใครบางคนมีปัญหาหรือหลงผิดไป ต่อให้เจ้าไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ด้วยความรัก อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องชี้ให้เห็นถึงปัญหาเพื่อให้พวกเขาสามารถคิดทบทวนถึงปัญหานั้นได้ หากเจ้าเมินเฉยต่อเรื่องนั้น นี่ก็เป็นการสร้างความเสียหายต่อพวกเขาไม่ใช่หรือ? หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขาครั้งหนึ่ง และพบว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขาไม่มีเหตุผล มีอุปนิสัยอันเลวทราม และโดยพื้นฐานแล้วไม่รักความจริง เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะฉลาดพอที่จะไม่ชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหาของตน แต่หากเจ้าก็ไม่ชี้ให้ใครบางคนที่สามารถยอมรับความจริงมองเห็นปัญหาทั้งหลายด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความรัก หากเจ้าปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงของเจ้าเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็แค่กำลังเล่นเกม ใช้อุบายกับผู้คนด้วยคำพูดที่ชาญฉลาด และต้องการหัวเราะเยาะคนอื่นเสมอ ผู้คนที่ปฏิบัติตนเช่นนี้ไม่ใช่คนดี และมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่อยู่ภายในการกระทำนี้ ผู้คนเช่นนี้กำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่พูดหรือกระทำการจากเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาก็ไม่ประพฤติตนตามหลักธรรมความจริง ดังนั้นตามหลักธรรมความจริงแล้ว เจ้าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? การกระทำใดตรงตามความจริง? มีหลักธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกันกี่ประการ? ประการแรก อย่างน้อยที่สุดจงอย่าเป็นเหตุให้ผู้อื่นสะดุด ก่อนอื่นเจ้าต้องพิจารณาความอ่อนแอของผู้อื่น และพิจารณาวิธีพูดกับพวกเขาที่จะไม่เป็นเหตุให้พวกเขาสะดุด นี่เป็นสิ่งที่อย่างน้อยที่สุดก็ควรได้รับการพิจารณา ต่อมา หากเจ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าสังเกตเห็นว่าพวกเขามีปัญหา เจ้าก็ควรริเริ่มที่จะช่วยเหลือพวกเขา หากเจ้าไม่ทำอะไรเลยและหัวเราะเยาะพวกเขา นี่ย่อมถือเป็นการทำร้ายและสร้างความเสียหายให้แก่พวกเขา ใครบางคนที่ทำเช่นนั้นย่อมไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล และพวกเขาก็ไม่มีความรักให้แก่ผู้อื่น บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้างย่อมไม่อาจหัวเราะเยาะพี่น้องชายหญิงของตนได้ พวกเขาควรคิดถึงหนทางที่แตกต่างออกไปเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นแก้ปัญหาของตน พวกเขาควรปล่อยให้คนผู้นั้นเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและความผิดพลาดของตนอยู่ตรงไหน การที่พวกเขาสามารถกลับใจได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของพวกเขา แต่พวกเราย่อมจะได้ลุล่วงภาระหน้าที่ของพวกเรา ต่อให้พวกเขาไม่กลับใจในตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเขาตั้งสติได้ และพวกเขาจะไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับเจ้าหรือกล่าวหาเจ้า อย่างน้อยที่สุด วิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงของตนไม่อาจต่ำกว่ามาตรฐานของมโนธรรมและเหตุผล จงอย่าทำให้ตัวเองเป็นหนี้ผู้อื่น จงช่วยเหลือพวกเขาในขอบเขตที่เจ้าสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ ผู้คนที่สามารถปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงของตนด้วยความรักและสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงคือคนประเภทที่ดีที่สุด พวกเขายังมีจิตใจที่ดีที่สุดด้วย แน่นอนว่าพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงคือคนเหล่านั้นที่สามารถยอมรับและปฏิบัติความจริง หากคนคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อจะได้กินขนมปังจนอิ่มหรือเพื่อได้รับพระพร แต่ไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ใช่พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง เจ้าต้องปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงตามหลักธรรมความจริง ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างไรหรือพวกเขาอยู่บนเส้นทางใด เจ้าควรช่วยพวกเขาด้วยจิตวิญญาณแห่งความรัก ผลขั้นที่ต่ำที่สุดที่คนเราควรสัมฤทธิ์คืออะไร? ประการแรกคือไม่เป็นเหตุให้พวกเขาสะดุด รวมทั้งไม่ปล่อยให้พวกเขากลายเป็นคิดลบ ประการที่สองคือช่วยเหลือพวกเขา และทำให้พวกเขาหันกลับมาจากเส้นทางที่ผิด และประการสามก็คือทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ผลทั้งสามประการนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการช่วยเหลือพวกเขาด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักเท่านั้น หากเจ้าไม่มีความรักที่แท้จริง เจ้าย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลทั้งสามประการนี้ได้ และอย่างดีที่สุดเจ้าอาจสัมฤทธิ์ผลได้เพียงหนึ่งหรือสองประการเท่านั้น ผลทั้งสามประการนี้ยังเป็นหลักธรรมสามประการสำหรับการช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย เจ้ารู้จักหลักธรรมสามประการนี้และสามารถจัดการกับหลักธรรมเหล่านี้ได้ แต่จะนำหลักธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติจริงได้อย่างไร? เจ้าเข้าใจความยากลำบากของผู้อื่นอย่างแท้จริงหรือไม่? นี่ไม่ใช่อีกปัญหาหนึ่งหรอกหรือ? เจ้ายังต้องคิดด้วยเช่นกันว่า “จุดกำเนิดของความยากลำบากของพวกเขาคืออะไร? ฉันสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้หรือไม่? หากวุฒิภาวะของฉันน้อยเกินไปและไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ ทั้งพูดจาพล่อยๆ ฉันอาจชี้นำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด นอกจากนั้น ความสามารถในการทำความเข้าใจของคนคนนี้เป็นอย่างไร และขีดความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร? พวกเขายึดความเห็นของตนเป็นใหญ่หรือไม่? พวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่? พวกเขาสามารถยอมรับความจริงหรือไม่? พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? หากพวกเขาเห็นว่าฉันมีความสามารถมากกว่าพวกเขา และฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขา ความอิจฉาริษยาหรือความคิดลบจะเกิดขึ้นในตัวพวกเขาหรือไม่?” คำถามเหล่านี้ล้วนแต่ต้องได้รับการพิจารณา หลังจากเจ้าพิจารณาและได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้แล้ว จงไปสามัคคีธรรมกับคนคนนั้น อ่านพระวจนะของพระเจ้าหลายบทตอนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของพวกเขา และทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงในพระวจนะของพระเจ้าและค้นหาเส้นทางสู่การปฏิบัติ เมื่อนั้นปัญหานี้ย่อมจะได้รับการแก้ไข และพวกเขาย่อมจะออกจากความลำบากยากเย็นของตน นี่เป็นเรื่องง่ายหรือไม่? นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้ากล่าวมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ หากเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าย่อมสามารถให้ความรู้แจ้งและทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค กุญแจสำคัญในการช่วยเหลือผู้คนด้วยความรักคือการสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับปัญหาสองสามบทตอน และวิธีการนี้มีประสิทธิผลมากที่สุด หากเจ้าไม่สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า และพยายามใช้คำพูดของมนุษย์เพียงอย่างเดียว เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้ากล่าวคำพูดกี่คำ เจ้าก็จะไม่มีวันแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดได้ บางคนทำได้เพียงเตือนสติผู้อื่นและจะกล่าวว่า “จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและแสวงหาความจริงในพระวจนะเหล่านั้น เมื่อนั้นการแก้ไขปัญหาก็จะเป็นเรื่องง่าย” หรือ “คุณควรรักพระเจ้า และนั่นก็เพียงพอแล้ว คุณจะไม่มีวันคิดลบ เนื่องจากการรักพระเจ้าจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดของคุณ” เรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้น การรักพระเจ้าเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถปฏิบัติได้ในทันทีที่เจ้ากล่าวออกไปหรือไม่? ผู้คนรักพระเจ้าได้อย่างไรหากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง? ผู้คนสามารถรักพระเจ้าได้อย่างไรหากพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์? หากผู้คนรักพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีวันคิดลบ และจะไม่มีความยากลำบากใด การรักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย การรักพระเจ้าสำเร็จลุล่วงได้ด้วยการพูดถึงคำสอนเพียงไม่กี่คำหรือตะโกนคำขวัญเพียงไม่กี่คำเช่นนั้นหรือ? การนบนอบพระเจ้ายิ่งไม่ง่ายเลย และไม่ใช่ว่าการกล่าวคำเตือนสติไม่กี่คำสามารถทำให้ใครบางคนนบนอบพระเจ้าได้ ต่อให้การสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าสามารถนำประโยชน์เล็กน้อยมาให้ผู้คนในเวลานั้นได้ ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเป็นกบฏของพวกเขาและนำพวกเขามานบนอบพระเจ้าด้วยการสามัคคีธรรมความจริงเพียงครั้งเดียว และไม่ใช่ว่าผู้คนจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้ในทันทีเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจน ผู้คนต้องมีประสบการณ์การพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่ง เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ ผู้คนที่พูดถึงคำพูดและคำสอนเพื่อเตือนสติผู้อื่นอยู่เสมอเป็นคนที่ตื้นเขินที่สุด พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พึ่งพาการพูดถึงคำพูดและคำสอนเพื่อช่วยเหลือผู้คนอยู่เสมอ และพวกเขาก็ไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดเลย นี่เรียกว่าการเป็นคนสุกเอาเผากิน และไม่ใช่หนทางปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจ ดูจอมปลอมเกินไป ไม่ใช่การมีจิตใจดี โดยสรุปคือ คนประเภทนี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด หากเจ้าไม่มีหัวใจแห่งความเห็นอกเห็นใจและความรักต่อผู้อื่น เจ้าจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อย่างไร? การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องเข้าใจความจริง มองเห็นแก่นแท้ของปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจึงสามัคคีธรรมกับผู้อื่นอย่างชัดเจนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และสามารถสามัคคีธรรมถึงเส้นทางแห่งการปฏิบัติในหนทางที่ผู้อื่นเข้าใจ ในหนทางนี้ ผู้คนจะไม่เพียงแค่เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่ยังมีเส้นทางสำหรับการนำความจริงไปปฏิบัติด้วย เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถถือได้ว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขแล้ว เจ้าต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ ความเข้าใจจะมาจากประสบการณ์ตรงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า ยิ่งเจ้าสามัคคีธรรมความจริงมากขึ้นเท่าใด ความจริงก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น หัวใจของเจ้าจะยิ่งมั่นคงมากขึ้น เจ้าจะยิ่งมีเส้นทางที่มุ่งไปข้างหน้ามากขึ้น เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะรู้วิธีนำความจริงไปปฏิบัติ ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องมีประสบการณ์ในหนทางนี้ พวกเขาต้องแก้ไขปัญหาของตนไปทีละอย่าง และแต่ละครั้งที่พวกเขาแก้ไขปัญหา พวกเขาจำเป็นต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไปอย่างหนึ่งด้วย เมื่อพวกเขาแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปมากมาย อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะได้รับการแก้ไขไปแล้วไม่มากก็น้อยเช่นกัน ในลักษณะนี้ ยิ่งพวกเขาแก้ไขปัญหาไปมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามน้อยลงเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งครองความเป็นจริงแห่งการนบนอบพระเจ้ามากขึ้น ในหนทางนี้ ผู้คนจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ยิ่งผู้คนแก้ไขปัญหาไปมากเท่าใด และยิ่งพวกเขาเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะมีเส้นทางสู่การปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาแก้ไขปัญหามากขึ้นเท่าใด และพวกเขาชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้นเท่านั้น นี่คือกระบวนการของการเชื่อในพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าค้นพบปัญหาและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่เป็นนิตย์—ทันทีที่เจ้าแก้ไขปัญหาหนึ่ง เจ้าจะพบอีกปัญหาหนึ่งแล้วก็แก้ปัญหานั้น และในท้ายที่สุดเจ้าก็แก้ไขปัญหาไปมากมาย เจ้าย่อมเข้าใจความจริง และหากปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าย่อมจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว นี่คือวิธีที่เจ้าค่อยๆ เติบโตทางวุฒิภาวะ ด้วยปัญหาและความยากลำบากที่น้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะเผยความเสื่อมทรามออกมาน้อยลง นบนอบพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และมีคำพยานจากประสบการณ์มากขึ้น ในหนทางนี้ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทันได้รู้ตัว และในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้า เจ้าจะไม่มีความเป็นกบฏ และเจ้าจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและนบนอบพระเจ้าได้ในทุกเรื่อง นี่หมายความว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นทางวุฒิภาวะและสัมฤทธิ์ความรอดโดยบริบูรณ์แล้ว
การนำความจริงไปปฏิบัติจริงๆ แล้วง่ายดายมาก แต่หากเจ้าไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจที่เพียงพอ หรือเจ้าไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ และเจ้ามักฉาบฉวยและสุกเอาเผากินเสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีวันได้รับความจริง แล้วใครบางคนสามารถได้มาซึ่งความจริงได้อย่างไร? ด้วยเล่ห์เหลี่ยมน่าเคลือบแคลงหรือกำลังบังคับหรือไม่? ไม่ใช่ เป็นการค่อยๆ ได้รับมาทีละน้อย ผ่านการสั่งสม การแสวงหา และประสบการณ์ตรง รวมทั้งการมะงุมมะงาหราขณะที่เจ้าก้าวผ่านชีวิตจริง นี่ยังเป็นหนทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเจ้า บางครั้งก็ประทานพระวจนะเพียงไม่กี่คำแก่เจ้า ซึ่งเจ้าไม่เข้าใจ ณ เวลานั้น แต่มาเข้าใจหลังจากผ่านไปไม่กี่วันด้วยการแสวงหาความจริง แล้วหัวใจของเจ้าก็สว่างไสว และเจ้าย่อมมีเส้นทาง เจ้าได้รับความจริง แต่ผู้อื่นไม่ได้รับ และเจ้าเติบโตในแง่มุมนี้ของความจริง นั่นคือการได้รับความกรุณา รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับความจริงต้องมีการสัมผัสและได้รับประสบการณ์ และเมื่อประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งและมีรายละเอียดมากขึ้น เจ้าจะรู้สึกถึงเส้นทางของตนได้อย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น เจ้าจะเดินตามเส้นทางนี้ในการแสวงหาและปฏิบัติความจริงโดยไม่ทันได้รู้ตัว เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งมากยิ่งขึ้นบนรากฐานของความเข้าใจในความจริงของเจ้า รวมทั้งเข้าใจรายละเอียดของความจริงมากขึ้นและเข้าใจความเป็นจริงความจริงมากขึ้น นี่คือเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์และปฏิบัติเช่นนี้ได้ เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าการนำความจริงไปปฏิบัติไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเจ้าไม่ปฏิบัติในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะรู้สึกเสมอว่านั่นเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมและเป็นเรื่องยาก ยากกว่าการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหรือการวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูงใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นเป็นแค่เรื่องของการใช้หัวใจของเจ้า การเรียนรู้ความรู้เชิงวิชาชีพหรือทฤษฎีใดๆ อาศัยความจำ รวมทั้งการวิเคราะห์ด้วยความรู้สึกนึกคิดและการค้นคว้า มีแต่การได้รับความจริงเท่านั้นที่ต้องการให้เจ้าใช้หัวใจของเจ้า เจ้าต้องใช้หัวใจของตนในการมีประสบการณ์และลิ้มรสชาติของการได้รับความจริง และทุ่มเทความพยายามให้กับการคิดถึงวิธีที่จะได้รับประสบการณ์ในเรื่องนี้ เจ้าจะค่อยๆ ค้นพบและได้รับเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับการนำความจริงไปปฏิบัติ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะได้รับสมบัติล้ำค่า อะไรคือความลับในการได้รับความจริง? อันดับแรกเลยก็คือ จงอย่าใช้การคิด ตรรกะ ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเยี่ยงซาตาน หรือใช้กลวิธีต่างๆ รับมือสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเจ้า นั่นเป็นทางตัน เพราะหากเจ้าใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับความจริง เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น หากปฏิกิริยาแรกของเจ้าคือการรับมือและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นโดยใช้วิธีการและกลวิธีทั้งหลายของมนุษย์ และเจ้าก็ต้องการปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนและภาพลักษณ์ของตนเสมอ เพราะฉะนั้นนี่ย่อมจะนำไปสู่ทางตัน หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญกับปัญหาหนึ่ง หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ และรู้ว่าเจ้าควรเรียนรู้บทเรียนใด และเจ้าควรเข้าใจความจริงใดภายในการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขามักจะด้านชา งุ่มง่าม ลังเลใจ อับจนหนทาง และปราศจากเส้นทางเสมอ จริงๆ แล้ว พระเจ้าประทานโอกาสที่จะได้รับความจริงให้แก่ผู้คนมากมาย แต่พวกเขาเลือกเส้นทางที่ผิดและไม่สามารถได้รับความจริงเพราะพวกเขาไม่รักความจริง
ผู้คนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมีชีวิตเพื่อสถานะ ความฟุ้งเฟ้อ ผลตอบแทน และความอยากได้อยากมี ความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดเป็นเช่นนี้ แทบจะเหมือนกันโดยมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าคนคนหนึ่งมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากเพียงใด หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว บรรดาคนที่รักความจริงทั้งหมดก็สามารถทำความเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองผ่านการกิน การดื่ม และการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมายของพวกเขาก็จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไข และพวกเขาย่อมจะเผยความเสื่อมทรามให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาแตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง พวกเขาคือคนสองประเภทที่แตกต่างกัน และนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงหรอกหรือ? ผู้คนเหล่านี้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นมารที่ไม่มีความเชื่อไปสู่การเป็นผู้คนจริงๆ ที่ได้รับความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า นี่คือผลประโยชน์และดอกผลจากการเชื่อในพระเจ้า แต่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลยหลังจากมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว แม้เชื่อมานานหลายปีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ—คนประเภทนี้จะถูกกำจัดออกไป เหตุใดจึงมีความแตกต่างมากมายขนาดนั้นระหว่างคนที่เชื่อในพระเจ้าเหมือนกันและปฏิบัติหน้าที่เหมือนกัน? จุดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงนั้นแตกต่างกัน ยิ่งพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด หัวใจของบรรดาผู้ที่รักความจริงก็ยิ่งจะสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งพวกเขารับฟังคำเทศนามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น—พวกเขามักมีความก้าวหน้าเสมอ แต่พวกที่ไม่รักความจริงไม่ชื่นชมการอ่านพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ทุ่มเทความพยายามที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ ดังนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการแก้ไขหรือสลัดทิ้งได้ พวกเขาไม่สามารถอำพรางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้แม้พวกเขาพยายามแล้วก็ตาม และต่อให้พวกเขาต้องการปิดบัง พวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวได้ นี่เป็นเพราะมนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ไม่มีความเชื่อหรือเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาจริงๆ แล้วก็เหมือนกัน และพวกเขาก็ล้วนแต่ใช้ชีวิตเพื่อสถานะ ภาพลักษณ์ ผลตอบแทน และความอยากได้อยากมี ผู้คนโต้แย้งกันเพื่ออะไร? เหตุใดพวกเขาจึงทุบตีกันเองจนบาดเจ็บสาหัสเพื่อบางสิ่งบางอย่าง? ทั้งหมดนั้นก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ และไม่ว่าวิธีการ กลวิธี หรือรูปแบบจะเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วเป้าหมายก็เหมือนกัน เหตุใดซาตานจึงถูกโยนลงกลางเวหา? (เพราะมันแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อสถานะ) นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตาน ทุกวันนี้ “ยีน” ของซาตานถูกถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ทำให้พวกเขาเสื่อมทราม ดังนั้นผู้คนจึงกลายเป็นลูกหลานของซาตาน พวกเขาจึงดูเหมือนซาตาน และการใช้ชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับซาตาน หากเจ้าสามารถตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน แล้วจากนั้นก็แก้ไขอุปนิสัยดังกล่าวไปทีละอย่าง เจ้าย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดและสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานได้ การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นเรื่องยากหรือไม่? (ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ และเพียงกระทำการตามเจตจำนงของตนเองเท่านั้น เมื่อพวกเราถูกตัดแต่งพวกเราก็กลายเป็นคิดลบและเสียใจอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนปฏิบัติตามความจริงอย่างไม่เต็มใจนัก) พวกที่ไม่รักความจริงล้วนเป็นเช่นนี้ และต้องได้รับการกระตุ้น ฉุดดึง และผลักดันจากผู้อื่นเพื่อนำความจริงไปปฏิบัติแม้เพียงเล็กน้อย ความยากลำบากที่ใหญ่หลวงที่สุดในการนำความจริงไปปฏิบัติคืออะไร? ตอนนี้มีบางคนที่มองเห็นอย่างชัดเจนว่าความยากลำบากที่ใหญ่หลวงที่สุดหลักๆ แล้วคือสิ่งกีดขวางที่มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นั่นเป็นเพราะความรักชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ ความฟุ้งเฟ้อ และภาพลักษณ์ของผู้คน การสนทนา การพิพาท และการโต้แย้งระหว่างผู้คนล้วนแต่เป็นการแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครเหนือกว่า—ใครก็ตามที่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายหนึ่งได้ย่อมลงเอยด้วยการดูดี ทั้งหมดนี้เป็นการแข่งขันกันว่าใครมีความเข้าใจเชิงลึก มีความสามารถ หรือสิทธิอำนาจ และใครมีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาด การแข่งขันในเรื่องสิ่งเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งที่ถูกปกปิดไว้เบื้องหลังทั้งหมดนี้ก็คืออุปนิสัยของซาตาน ซึ่งใช้ชีวิตเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ จงมองการนี้ให้ออก แล้วปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดจงแก้ไขบรรดาสิ่งทั้งหลายในระดับผิวเผินที่แก้ไขง่ายเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ แก้ไขความเข้าใจผิด การคาดเดา ความกังขา และการพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าที่อยู่ในหัวใจส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของเจ้า ตลอดจนการต่อต้าน การทดสอบ และการแข่งขันที่ถูกปกปิดเอาไว้ตรงนั้น ทันทีที่สิ่งเหล่านี้ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ เจ้าก็จะเป็นเหมือนโยบ คนที่เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่าโยบเป็นคนที่เพียบพร้อม? พวกเราสามารถมองเห็นได้จากบททดสอบที่พระเจ้าประทานให้เขาว่า เขาไม่มีการต่อต้านหรือการทดสอบเมื่อเป็นเรื่องของพระเจ้า ในระหว่างช่วงชีวิตของเขา และระยะเวลาที่เขาได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่ง สิ่งทั้งหลาย เช่น ความเป็นกบฏและการขัดขืนของเขาล้วนถูกตัดแต่งและได้รับการแก้ไข ทันทีที่สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว พฤติกรรมของเขาก็แตกต่างไปจากพฤติกรรมของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาเผชิญกับบททดสอบของพระเจ้า สิ่งที่เขากล่าวไว้ในระหว่างบททดสอบของตนว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ใช่คำสอนหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่ คำพูดเหล่านี้มีน้ำหนัก และไม่มีใครเคยกล่าวคำพูดเหล่านี้มาก่อน คำพูดเหล่านี้กล่าวครั้งแรกโดยโยบ และมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา
พวกเจ้าวิตกกังวลหรือไม่เวลาที่เห็นตัวเองเผยความเสื่อมทรามออกมามากมายเหลือเกินในแต่ละวัน และยังใช้ชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเสมอโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก? (ข้าพระองค์วิตกกังวล และบางครั้งข้าพระองค์ก็รู้สึกทรมาน) การวิตกกังวลเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการรู้สึกทรมาน แต่ไม่สำคัญว่าเจ้ารู้สึกวิตกกังวลหรือทรมานมากเพียงใด เจ้าจำเป็นต้องสงบใจลงและแสวงหาวิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า นี่คือสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง หากเจ้ารู้สึกทรมานมาเป็นเวลาหลายปีและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แบบนี้ใช้ไม่ได้ และความรู้สึกของการทรมานนี้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าต้องไตร่ตรองว่า “ปัญหาใดของฉันได้รับการแก้ไขไปแล้วบ้าง? อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดของฉันได้รับการแก้ไขไปแล้ว? เรื่องใดบ้างที่ฉันไม่พร่ำบ่นต่อพระเจ้าอีกต่อไป?” เจ้าต้องถามตัวเองเช่นนี้เสมอ หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันเคยพร่ำบ่นพึมพำเสมอเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ และเก็บงำความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉันไม่พร่ำบ่นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้อีกครั้ง และฉันก็ไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า” เช่นนั้นนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้เสียเวลาของตนไปเปล่าๆ ทันทีที่เจ้าเข้าใจและได้รับความจริงแล้ว เจ้าจะมีท่าทีต่อพระเจ้าที่แตกต่างออกไป และจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและสภาวะจิตใจที่นบนอบเป็นธรรมดา นี่ไม่ใช่การมีสัมมาคารวะธรรมดาหรือการแสดงความเคารพจากระยะไกล หรือการโหยหา ความรัก ความผูกพัน หรือการพึ่งพิง ไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่เป็นความกลัวที่แท้จริง สำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามในปัจจุบัน ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการยำเกรงพระเจ้า ยังห่างไกลเกินไป ดังนั้นในเวลานี้พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาสิ่งใดเป็นอันดับแรก? การไม่สงสัยในพระเจ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าสามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้สงสัยได้อย่างไร? อันดับแรกคือ เจ้าต้องรู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร และความจริงคืออะไร อันดับที่สองก็คือ เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นซึ่งไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของเจ้า จงอย่าพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า หรือมีความเข้าใจผิดอันใดเกี่ยวกับพระองค์ เจ้าสามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้มีความเข้าใจผิดได้อย่างไร? เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริง จากนั้นจึงค่อยๆ ผ่านพ้นและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าไปทีละอย่าง วันนั้นจะมาถึง เมื่อเจ้าจะไม่ขัดขืนไม่ว่าเผชิญกับบททดสอบหรือความทุกข์ร้อนอันใหญ่หลวงเพียงใด แต่จะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และสามารถนบนอบได้ไม่ว่าพระองค์ทรงทดสอบเจ้าอย่างไรก็ตาม เมื่อนั้นเจ้าจะประสบความสำเร็จ ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในระยะใด? เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น เจ้าก็ไตร่ตรองว่า “นี่เป็นการกระทำของพระเจ้าหรือ? การที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่?” หรือในบางครั้งถึงขั้นคิดว่า “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน? มีพระเจ้าจริงๆ หรือ? ทำไมฉันไม่สามารถรู้สึกถึงพระองค์เลยเล่า?” มีความคิดและสภาวะเช่นนั้นมากมาย และนี่ไม่ดีเลย เนื่องจากเจ้ายังห่างไกลจากการเข้าสู่เส้นทางของการทำให้เพียบพร้อม เจ้าต้องทำงานหนักในการไล่ตามเสาะหาของตน เนื่องจากในปัจจุบันวุฒิภาวะของเจ้ายังน้อยเกินไป ไม่ถึงมาตรฐานที่จะครองความเป็นจริงความจริง จงอย่าคิดว่าเจ้าดีแล้วและครองความเป็นจริงบ้างแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงสามารถไปสวรรค์และกลายเป็นทูตสวรรค์ได้ ความเป็นจริงไม่กี่อย่างของเจ้ายังห่างไกลเกินไป ต่อให้เจ้ามีปีก เจ้าก็ยังคงไม่ใช่ทูตสวรรค์อยู่ดี จงอย่ามองตัวเองดีเกินไปหรือสูงส่งเกินไป เจ้าควรมีการตระหนักรู้ในตนเองเล็กน้อย เจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้หรือ? เหมาะสมสำหรับการใช้งานของพระเจ้าหรือไม่? เมื่อประเมินวัดตามมาตรฐานนี้ เจ้ายังคงอยู่ห่างจากข้อกำหนดของพระเจ้า และจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมอีกหลายปี
11 มีนาคม ค.ศ. 2018