พระวจนะว่าด้วยการแสวงหาและปฏิบัติความจริง
บทตัดตอน 10
ทันทีที่หน้าที่ของพวกเขาเกิดยุ่งขึ้นมา มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถรับประสบการณ์กับสภาวะที่ปกติและไม่สามารถดำรงสภาวะที่ปกติเอาไว้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขากำลังร้องขอตลอดเวลาให้มีการชุมนุมและการสามัคคีธรรมถึงความจริง เกิดอะไรขึ้นตรงนี้? พวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่มีรากฐานในหนทางที่แท้จริง ผู้คนเช่นนี้ถูกความกระตือรือร้นขับเคลื่อนในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และไม่สามารถอดทนได้นาน เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมไม่มีหลักธรรมในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ หากมีการจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำบางสิ่ง พวกเขาย่อมทำให้ยุ่งเหยิง พวกเขาประมาทในสิ่งที่ตนทำและพวกเขาไม่แสวงหาหลักธรรม รวมทั้งไม่มีการนบนอบในหัวใจพวกเขาเลย—ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด ก่อนอื่นเจ้าควรเข้าใจว่าเหตุใดเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เป็นความตั้งใจอันใดที่ชี้นำเจ้าให้ทำสิ่งนี้ มีนัยสำคัญใดอยู่ในการที่เจ้าทำสิ่งนี้ อะไรคือธรรมชาติของเรื่องนี้ และสิ่งที่เจ้ากำลังทำเป็นสิ่งด้านบวกหรือสิ่งด้านลบ เจ้าต้องมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ นี่ค่อนข้างจำเป็นสำหรับเจ้าในการที่จะสามารถลงมือกระทำด้วยหลักธรรม หากเจ้ากำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่สามารถจำแนกชั้นได้ว่าเป็นการทำหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไตร่ตรองว่า ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงไปด้วยดีอย่างไร เพื่อที่ฉันจะไม่เพียงแค่กำลังทำหน้าที่นั้นอย่างขอไปที? เจ้าควรอธิษฐานและเข้าใกลชิดพระเจ้าในเรื่องนี้ การอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นก็เพื่อที่จะแสวงหาความจริงแสวงหาหนทางที่จะปฏิบัติ แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และวิธีที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย การอธิษฐานนั้นก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลพวงเหล่านี้ การอธิษฐานถึงพระเจ้า เข้าใกล้พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำภายนอก นั่นทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงหลังจากการแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้าพูดเสมอว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดเลย และเจ้าอาจจะดูเป็นฝ่ายวิญญาณและเปี่ยมความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอย่างมาก แต่หากว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือกระทำ เจ้าก็ยังคงทำไปตามที่เจ้าต้องการอยู่ดี โดยไม่มีการแสวงหาความจริงแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้วคำ “ขอขอบคุณพระเจ้า” นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าบทสวด เป็นความเป็นฝ่ายวิญญาณแบบเทียมเท็จ ยามที่เจ้าทำหน้าที่ของตน เจ้าควรคิดเสมอว่า ฉันควรทำหน้าที่นี้อย่างไร? สิ่งใดคือน้ำพระทัยของพระเจ้า? การอธิษฐานถึงพระเจ้าและเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมและความจริงสำหรับการกระทำของเจ้า แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และไม่ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริงในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ—นี่เท่านั้นคือใครคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนที่ไม่รักความจริงไม่อาจบรรลุทั้งหมดนี้ได้ มีผู้คนมากมายที่ทำตามแนวคิดของตนเองไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม และพิจารณาสิ่งทั้งหลายในแบบที่เรียบง่ายเกินจริงอย่างมาก และไม่แสวงหาความจริงด้วย ไม่มีหลักธรรมอย่างสิ้นเชิง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หรือในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขารู้เพียงแต่จะทำไปตามเจตจำนงของตนเองอย่างดื้อรั้นดันทุรังเท่านั้น พระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจของผู้คนเช่นนี้ ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการนี้มีผลพวงอันใด—ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่มีประโยชน์” พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ในเวลาปกติ พวกเขาเพียงแค่ทำตามแนวคิดของตนเองเท่านั้น ดังนั้นแล้วการกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน พวกเขามองทุกสิ่งอย่างเรียบง่าย แม้ในเวลาที่ผู้คนสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นได้ เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยมีหลักธรรมอันใดเลย พระเจ้าไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีใครเลยนอกจากตนเอง พวกเขารู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหลายของตนนั้นดี ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังกระทำความชั่ว ว่าความตั้งใจทั้งหลายของพวกเขาไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการละเมิดความจริง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนไปตามความตั้งใจของตนเองควรจะเป็นการปฏิบัติความจริง ว่าการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการนบนอบต่อพระเจ้า อันที่จริง พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่กระทำการตามความรู้สึกชั่วแล่น ตามเจตนาอันแรงกล้าของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบต่อพระเจ้า ความปรารถนาเช่นนี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติของผู้คน หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรอกหรือ? และความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าสามารถส่งผลพวงใดได้เล่า? เจ้าสามารถได้รับสิ่งใดกันแน่? และสิ่งใดหรือที่เป็นประเด็นของความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?
เวลาเจ้าทำบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า เจ้าควรทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองอย่างไร? ตอนที่เจ้ากำลังจะทำสิ่งนั้น เจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่? เจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่า “การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ตรงตามความจริงหรือไม่? พระเจ้าจะทรงมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไรหากมันถูกนำพาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์? พระองค์จะทรงเป็นสุขหรือจะทรงฉุนเฉียว หากพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับการนี้? พระองค์จะทรงเกลียดชังหรือดูหมิ่นสิ่งนั้นหรือไม่?” เจ้าไม่ได้เสาะแสวงสิ่งนั้น ใช่หรือไม่? ต่อให้ผู้อื่นได้เตือนความจำเจ้า เจ้าก็จะยังคงคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และว่าสิ่งนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักธรรมใดและไม่ได้เป็นบาป ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยั่วยุให้พระองค์กริ้ว กระทั่งถึงจุดที่ทำให้พระองค์ทรงเกลียดเจ้า นี่เกิดขึ้นจากความเป็นกบฏของผู้คน เพราะเหตุนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม หากเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจเพื่ออธิษฐานเสียก่อน แล้วจึงแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดพลาด เจ้าอาจมีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง แต่การนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง และเจ้าจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์มาบ้าง อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารู้วิธีกระทำการตามความจริง แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริง ปัญหาย่อมเป็นว่าเจ้าไม่ชอบความจริง ผู้ที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันแสวงหาความจริงไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เฉพาะผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้วิธีปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้คนบางคนที่เข้าใจความจริง หากเจ้าไม่สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงได้ เจ้าก็ควรหาผู้คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้สักสองสามคนมาร่วมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยจิตใจและหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาจากพระเจ้า รอเวลาของพระเจ้า และคอยให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เจ้า ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนโหยหาความจริง แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงด้วยกัน เวลาที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งคิดหาหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาออกก็อาจมาถึง หากเจ้าทุกคนพบทางออกที่เหมาะสมและหนทางที่ดี เช่นนั้นแล้ว นี่อาจเป็นเพราะความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นหากเจ้ายังคงสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไปเพื่อคิดหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น นี่ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน ในการปฏิบัติของเจ้า หากเจ้าพบว่าหนทางปฏิบัติของเจ้ายังคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว หากเจ้าทำผิดพลาดเล็กน้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะเจตนาของเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง และเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง เจ้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักธรรมและทำผิดพลาดในการปฏิบัติของตน ซึ่งให้อภัยได้ แต่เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาทำไปตามวิธีที่พวกเขาคิดว่าควรทำ พวกเขาไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการใคร่ครวญว่าควรปฏิบัติตามความจริงอย่างไรหรือทำเช่นไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดแต่เพียงว่าจะทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างไร จะทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตนอย่างไร และจะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสตนอย่างไร พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเองทั้งสิ้นและเพื่อทำให้ตนเองพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งก่อความเดือดร้อน ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง และพระเจ้าจะทรงเกลียดชังพวกเขาเสมอ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา สามารถตรวจสอบเหตุจูงใจและการปลอมปนในการกระทำของเจ้าอย่างจริงจังได้ สามารถกำหนดได้ว่าตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งใดเหมาะสมที่จะทำ และชั่งน้ำหนักและใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าการกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงยินดี การกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงขัดเคือง และการกระทำใดได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้าต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้ในใจของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน หากเจ้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุจูงใจของตนเองในการทำบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคิดทบทวนว่าเหตุจูงใจของเจ้าคืออะไร เป็นการทำให้ตนเองพึงพอใจหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเองหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร… หากเจ้าแสวงหาและใคร่ครวญเช่นนี้มากขึ้นในการอธิษฐานของเจ้า และตั้งคำถามกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วความเบี่ยงเบนในการกระทำของเจ้าก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เฉพาะผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นผู้คนที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้ากำลังแสวงหาตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและด้วยหัวใจที่นบนอบ และบทสรุปปิดตัวที่เจ้าบรรลุจากการแสวงหาในหนทางนี้ย่อมจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริง
หากการกระทำของผู้เชื่อไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อ นี่คือบุคคลจำพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน และเป็นผู้ที่ไถลห่างจากพระเจ้า และบุคคลเช่นนี้เป็นเหมือนคนทำงานที่ได้รับการว่าจ้างในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานจิปาถะให้แก่เจ้านายของพวกเขา ได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยแล้วก็จากไป นี่คือบุคคลหนึ่งผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าคือสิ่งแรกที่เจ้าควรตรวจสอบและทำงานเพื่อให้ได้มาเมื่อเจ้าลงมือทำสิ่งต่างๆ นั่นควรเป็นหลักธรรมและวงเขตของการกระทำของเจ้า เหตุผลที่เจ้าควรกำหนดว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่คือว่า หากสิ่งนั้นลงรอยกับความจริงแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นก็คล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเจ้าควรประเมินวัดว่าเรื่องนั้นถูกหรือผิดหรือไม่ หรือสิ่งนั้นสอดคล้องกับรสนิยมของคนอื่นทุกคนหรือไม่ หรือสิ่งนั้นอยู่ในแนวเดียวกับความอยากของเจ้าเองหรือไม่ ตรงกันข้าม เจ้าควรกำหนดพิจารณาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ และสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่องานและประโยชน์ของคริสตจักรหรือไม่ หากเจ้าให้การพิจารณาต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย หากเจ้าไม่พิจารณาแง่มุมเหล่านี้ และเพียงพึ่งพาเจตจำนงของเจ้าเองเมื่อกระทำสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องเพราะเจตจำนงของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงและแน่นอนว่าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องปฏิบัติไปตามความจริงมากกว่าปฏิบัติไปตามเจตจำนงของเจ้าเอง ผู้คนบางคนมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลบางเรื่องเพื่อเห็นแก่การทำหน้าที่ของพวกเขา จากนั้นบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเขาก็มองเห็นการนี้ว่าไม่เหมาะสม และตำหนิพวกเขาเพราะการนั้น แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการติเตียน พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน การเงิน หรือผู้คนของคริสตจักร และไม่ใช่การทำชั่ว ดังนั้นผู้คนจึงไม่ควรแทรกแซง สิ่งทั้งหลายบางอย่างอาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือความจริงใดๆ อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูสิ่งที่เจ้าได้ทำ เจ้านั้นเห็นแก่ตัวยิ่งนัก เจ้าไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงว่านี่จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าเพียงพิจารณาแต่ประโยชน์ของเจ้าเอง การนี้เกี่ยวข้องกับความสมควรของเหล่าวิสุทธิชนไปแล้ว รวมทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง แม้ว่าสิ่งที่เจ้าได้กำลังทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของคริสตจักร อีกทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความจริง การมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลขณะที่ทำการกล่าวอ้างว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น ไม่อยู่ในแนวเดียวกับความจริง โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของเจ้าในครอบครัวของพระเจ้าหรือกิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง เจ้าต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ รวมทั้งเป็นบางสิ่งที่บุคคลหนึ่งควรทำกับสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หากเจ้าปฏิบัติอย่างจริงจังต่อทุกเรื่องและทุกความจริงในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า มีผู้ที่คิดว่า “การให้ฉันปฏิบัติความจริงเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ก็สมควรอยู่ แต่ในเวลาที่ฉันกำลังดูแลกิจธุระส่วนตัว ฉันไม่สนใจว่าความจริงมีอะไรจะพูด—ฉันจะทำตามใจชอบ อะไรก็ได้ที่ต้องทำให้เป็นประโยชน์กับฉัน” ในถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง ไม่มีหลักธรรมในสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาจะทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ ผลก็คือเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งลงไป พระเจ้ามิได้สถิตอยู่ในตัวพวกเขา และพวกเขาก็รู้สึกมืดมนและกลัดกลุ้ม และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่การลงโทษพวกเขาอย่างสาสมหรอกหรือ? หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงในการกระทำของเจ้าและทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำบาปต่อพระองค์ หากมีบางคนไม่รักความจริงและกระทำการตามเจตจำนงของพวกเขาเองเป็นนิจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะล่วงเกินพระเจ้าเป็นนิจ พระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา และวางพวกเขาไว้ข้างทาง สิ่งที่บุคคลเช่นนี้ทำมักจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และหากพวกเขาไม่รู้จักกลับใจ เช่นนั้นแล้วการลงโทษก็อยู่ไม่ไกล
บทตัดตอน 11
ในการที่จะทำสิ่งใดให้ดีนั้น จำเป็นจะต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง คนเราควรคิดด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวถึงวิธีที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้ดีในขณะที่กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และจำเป็นที่จะต้องทำให้ตัวเองสงบเงียบเพื่ออธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ก่อนจะทำบางสิ่งบางอย่าง จำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และหากไม่มีผู้ใดที่จะสามัคคีธรรมด้วย คนเราก็ต้องใคร่ครวญและอธิษฐานด้วยตัวเอง และแสวงหาหนทางที่จะทำสิ่งนี้ให้ดี นี่เองคือสิ่งที่เป็นการทำให้ตัวเองสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งใดเพื่อที่จะสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าต้องลงมือทำและใคร่ครวญไปในเวลาเดียวกัน โดยแสวงหาหนทางอันสมควรเพื่อที่จะรับมือกับเรื่องนี้ด้วยท่าทีแห่งการแสวงหาและการรอคอยในหัวใจของเจ้า หากเจ้าไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว จงหาใครบางคนเพื่อที่จะถามและซักถามด้วย เจ้าควรมีท่าทีอย่างไรระหว่างห้วงเวลาแห่งการซักถามนี้? โดยแท้จริงแล้ว เจ้าควรแสวงหาและรอคอย โดยเฝ้าดูว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งหรือทรงนำเจ้าราวกับว่าพระองค์กำลังทรงเปิดไฟที่ให้ความกระจ่างแก่หัวใจของเจ้าอย่างฉับพลันทันใด พระเจ้าทรงใช้บุคคลหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งเพื่อกระตุ้นเตือนเจ้าและทำให้เจ้าเข้าใจอยู่เป็นนิจ มีหนทางมากมายในการแสวงหานอกเหนือจากการคุกเข่าลงอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่ออธิษฐานและอยู่ตรงนั้นเป็นหลายชั่วโมง การทำเช่นนั้นทำให้เรื่องอื่นทั้งหมดล่าช้า บางครั้งคนเราอาจจะไตร่ตรองเรื่องหนึ่งระหว่างเดินไปตามทาง บางครั้งเมื่อเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น คนเราอาจจะรีบสามัคคีธรรมเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องนั้น บางครั้งคนเราอาจแสวงหาจากเบื้องบน บางครั้งคนเราอาจจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเอง หากเรื่องนั้นเร่งด่วน คนเราอาจเร่งร้อนที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์ จากนั้นก็แสวงหาความจริง รับมือกับเรื่องนั้นตามหลักธรรมพลางทำการอธิษฐานและแสวงหาในหัวใจของตน นี่คือหนทางที่พวกเจ้าต้องทำสิ่งทั้งหลาย—แบบผู้ใหญ่! หากเจ้ารู้สึกกระสับกระส่าย ตื่นตระหนกมากขึ้นทุกที และกลายเป็นเกินจะรับไหวเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เช่นนั้นแล้ว วุฒิภาวะของเจ้าก็น้อยเกินไป เจ้าไม่ได้รับประสบการณ์อันใดมาก่อน และเจ้าจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์ในสิ่งทั้งหลาย และฝึกฝนตนเองเพื่อให้วุฒิภาวะเติบโตขึ้น พวกเจ้าต้องเรียนรู้หนทางทั้งหลายของการแสวงหา เมื่อพวกเจ้ายุ่งอยู่กับหน้าที่ จงแสวงหาไปโดยสอดคล้องกับความยุ่งของเจ้า เมื่อพวกเจ้ามีเวลา จงแสวงหาและรอคอยให้สอดคล้องกับรูปการณ์ของการมีเวลา มีหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไป หากมีเวลามากพอให้รอคอย เช่นนั้นแล้วก็จงรอคอยสักพัก เจ้าไม่สามารถเร่งรีบในเรื่องใหญ่ๆ ผลสืบเนื่องของการทำผิดพลาดประการหนึ่งด้วยความรีบเร่งนั้นอาจคิดไม่ถึงเลยทีเดียว เพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เจ้าต้องรอ เฝ้ามองสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หรือดูว่าเจ้าจะถูกกระตุ้นเตือนโดยผู้ที่มีความรู้เรื่องสถานการณ์นั้นหรือไม่ ทั้งหมดนี้คือหนทางในการที่จะแสวงหา พระเจ้ามิได้ทรงใช้วิธีการเดียวในการให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน พระองค์มิได้ทรงใช้พระวจนะเพียงอย่างเดียวในการให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า พระองค์มิได้ทรงใช้บรรดาสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้าเสมอในการให้การทรงนำแก่เจ้า พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลาย นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญของเจ้า เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เคยพบพานมาก่อนอย่างไร? บางครั้งพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าผ่านผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ในกรณีเช่นนี้ เจ้าต้องแสวงหาผู้เชี่ยวชาญหรือใครสักคนที่เข้าใจในด้านนั้นเพื่อแนะนำเจ้า เจ้าควรรีบหาใครก็ตามที่เข้าใจในด้านนี้ ขอคำชี้นำจากพวกเขาเล็กน้อย จากนั้นก็ทำสิ่งนั้นไปตามหลักธรรมทั้งหลาย และพระเจ้าก็จะทรงนำเจ้าในขณะที่เจ้าทำสิ่งนั้น กระนั้น เจ้าก็ต้องเข้าใจสักเล็กน้อยเกี่ยวกับทักษะเชิงวิชาชีพหรือความชำนาญพิเศษที่มีอยู่เฉพาะหน้า และมีแนวคิดในสิ่งนั้นอยู่บ้าง นี่ตั้งอยู่บนรากฐานนี้ที่ว่า พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าในสิ่งที่เจ้าสมควรทำ
ไม่ว่าคนเราทำสิ่งใด คนเราสามารถคิด ออกแบบ วางแผน ปรึกษา และซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลากหลายแหล่งเพื่อกำหนดสักเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ แต่ความสำเร็จก็ยังคงขึ้นอยู่กับพระเจ้า คำกล่าวที่ว่า “มนุษย์วางแผน พระเจ้าตัดสิน” นั้นเป็นจริง เหลือเชื่อที่ผู้ไม่มีความเชื่อได้สรุปคำกล่าวนี้ผ่านประสบการณ์ และหากผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ช่างไม่รู้เท่าทันเสียเหลือเกินและไม่เข้าใจความจริงอันใดเลยตลอดมา ผู้คนต้องเชื่ออย่างหนักแน่นในหัวใจของพวกเขาว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และสิ่งที่มนุษย์ต้องการทำก็จะได้รับการอวยพรหากสิ่งนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าต้องครองกฎเกณฑ์นี้ในหัวใจของเจ้า รู้ว่าพระเจ้าคืออธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และรู้ว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนเราจะทำอะไร คนเราต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนเพื่อดูว่าหัวใจของคนเราหวั่นไหวหรือไม่ จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อดูว่าครรลองแห่งการกระทำนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่และเป็นไปได้หรือไม่ หากเรื่องนี้ไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที เจ้าก็ต้องรอ จงอย่าลงมือกระทำโดยเร่งรีบ จงรอจนกระทั่งเจ้าได้เข้าใจเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว จนกระทั่งเจ้ารู้สึกว่าถึงเวลาที่สุกงอม ที่ไม่จำเป็นต้องรอคอยอีกต่อไปและเจ้าสมควรทำสิ่งนั้น และมีความแน่ใจมากพอในหัวใจของเจ้าที่จะทำสิ่งนั้น—เช่นนั้นเจ้าจึงจะสามารถลงมือทำได้ หากเจ้าไม่สามารถได้รับความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วน ไม่สนใจในเรื่องนั้นหลังจากรอคอยมาสองสามวัน และเจ้าไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จ นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้มีต้นตอมาจากเจตจำนงของมนุษย์ และพระเจ้ามิได้ทรงอนุญาตในเรื่องนั้น ดังนั้นเจ้าควรล้มเลิกเรื่องนั้นโดยเร็ว เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างมาจากพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกถึงความเชื่อในสิ่งนั้นเสมอ และความเชื่อนั้นจะไม่ลดน้อยลงไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้นก็ตาม ในท้ายที่สุด หัวใจของเจ้าก็จะได้รับความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเจ้าได้มองเห็นเรื่องนั้นอย่างชัดเจน เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างมาจากพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้ พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนรอคอย และนี่หมายถึงการรอคอยการเปิดเผยจากพระเจ้า หลังจากเรื่องนั้นเริ่มชัดเจนต่อเจ้า ดังนั้นการรอคอยนี้จึงจำเป็นยิ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับหนทางทั้งหลายที่เจ้าควรให้ความร่วมมือนั้น เจ้าต้องลงมือกระทำและซักถาม และในกระบวนการของการซักถาม พระเจ้าอาจตรัสบอกข้อเท็จจริงกับเจ้าผ่านบุคคลหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่ง หากเจ้าไม่ซักถาม และเจ้าสับสนและไม่แน่ใจในหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นคืออะไร แต่หากเจ้าซักถาม เจ้าจะค้นพบข้อเท็จจริงเหล่านั้น และพระเจ้าจะเป็นผู้ทำให้เจ้าได้รู้ข้อเท็จจริงเหล่านั้นเอง การกระทำของพระเจ้าไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ? พระเจ้าทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าผ่านผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย และพระองค์ทรงชี้ทางเจ้าให้เข้าใจและได้รับความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องทั้งหลายในกระบวนการประสบการณ์ของเจ้า ชี้ให้เจ้าเห็นวิธีลงมือกระทำ พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ถ้อยแถลง ความคิด หรือแนวคิดให้แก่เจ้าโดยไม่มีที่มาที่ไป พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น เมื่อเจ้าได้ซักถามและข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นถูกเปิดเผยออกมา เจ้าจะรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมีความคิดและความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน เจ้าจะเข้าใจสิ่งนี้ในหัวใจของเจ้า ผลลัพธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีที่เจ้าเสร็จสิ้นการซักถามหรอกหรือ? เมื่อเจ้ารู้ว่าเจ้าควรกระทำเช่นไร พระเจ้าก็จะไม่ทรงเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เจ้าจะรู้แล้วว่าต้องกระทำอย่างไร นี่คือวิธีการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงนำผู้คนในหนทางที่ทั้งวิเศษและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งไม่ได้เหนือธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย ผู้คนที่เกียจคร้านต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยวิถีทางที่เหนือธรรมชาติเสมอ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าตรัสบอกกับพวกเขาโดยตรงว่าต้องทำอะไร พวกเขาต้องการใช้ทางลัดและให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนั้นเพื่อพวกเขา และพวกเขาไม่ขวนขวายค้นหาและแสวงหา และพวกเขาไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใดเลย ดังนั้นความปรารถนาของพวกเขาจึงไม่เป็นผล ผู้คนที่เปี่ยมศรัทธา ผู้คนที่รักในความจริงนั้น ดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกสรรพสิ่งและสงบหัวใจของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่อบางสิ่งตกมาถึงพวกเขาและพวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำเช่นใด พวกเขาสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาจากพระเจ้าและดูว่าพระเจ้าทรงปรารถนาสิ่งใด พวกเขามีหัวใจที่แสวงหา ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงนำพวกเขาในเรื่องนี้ และสุดท้ายเมื่อผลลัพธ์ถูกเปิดเผย พวกเขาจึงสามารถเห็นการจัดวางเรียบเรียงในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งจึงมิใช่วลีอันว่างเปล่า เพราะฉะนั้น จากการที่มีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านั้นมากขึ้น เจ้าจะได้มารู้ว่าพระเจ้ามิใช่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา พระองค์มิใช่นิทานปรัมปรา และพระองค์มิใช่ความกลวงเปล่า พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตรงนั้น เจ้าจะสามารถรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ รู้สึกถึงการทรงนำของพระองค์ และรู้สึกถึงการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการในพระหัตถ์ของพระองค์ ในหนทางนี้ เจ้าจะรับรู้ความจริงแท้และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี หากเจ้าไม่สามารถได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ เจ้าก็จะไม่มีวันสามารถสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้เลย เจ้าจะคิดว่า “มีพระเจ้าหรือเปล่านะ? พระองค์อยู่ไหนล่ะ? ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้วและทุกคนพูดว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ แล้วทำไมฉันไม่เคยได้เห็นพระองค์ล่ะ? พวกเขาทุกคนพูดว่าพระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ดังนั้นเหตุใดฉันถึงสัมผัสไม่ได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจต่อผู้คนอย่างไร?” เจ้าจะไม่มีวันสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้เลย ดังนั้นเจ้าจึงจะไม่มีวันรู้สึกผ่อนคลายในหัวใจของเจ้า เพียงรู้สึกสิ่งเหล่านั้นเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้าก็จะสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวและมีประสบการณ์นั้นสำเร็จลุล่วงได้โดยพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้านั้นน่าอัศจรรย์และยากที่จะหยั่งถึง กระนั้นก็ยังคงสัมพันธ์กับชีวิตจริง เจ้าต้องจับความเข้าใจแง่มุมทั้งสองนี้ ว่าความน่าอัศจรรย์และยากจะหยั่งถึงนั้นหมายความว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นทรงพระปัญญา และมนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึง นี่กำหนดโดยพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระองค์ กระนั้น ก็ยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งก็คือการกระทำของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างเหลือเชื่อ “สัมพันธ์กับชีวิตจริง” นี้หมายถึงอะไร หมายความว่ามนุษย์สามารถจับความเข้าใจการกระทำของพระเจ้าได้ หมายความว่าการคิดอ่าน จิตใจ ความคิด เชาว์ปัญญาของมนุษย์ รวมไปถึงสัญชาตญาณทั้งหลายและขีดความสามารถที่มนุษย์ครองอยู่นั้น สามารถจับความเข้าใจการกระทำของพระเจ้าได้—การกระทำของพระเจ้าไม่ได้เหนือธรรมชาติหรือกลวงเปล่า เมื่อเจ้าทำบางสิ่งอย่างถูกต้อง พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ารู้ว่านั่นถูกต้องแล้ว และเจ้าจะได้รับการยืนยัน เมื่อเจ้าทำบางสิ่งผิด พระเจ้าจะค่อยๆ ทำให้เจ้าเข้าใจ พระองค์จะให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทำให้เจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำสิ่งนี้ผิดไป และรู้ว่านี่คือการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมา แล้วเมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า นี่คือความหมายของ “สัมพันธ์กับชีวิตจริง”
บทตัดตอน 12
การแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญเรื่องราวต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากเจ้าแสวงหาความจริง ไม่เพียงเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น แต่เจ้าจะสามารถปฏิบัติและรับความจริงได้ด้วย หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง แต่ยืนกรานในการให้เหตุผลของตนเอง และกระทำตามความคิดเห็นของตัวเจ้าเองเสมอ เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถแก้ปัญหาความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง แต่เจ้าจะกระทำบาปอย่างรู้อยู่แก่ใจ และนี่เองที่เป็นเส้นทางสู่การต่อต้านพระเจ้า ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าถูกตัดแต่งในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าไม่แสวงหาความจริง หากเอาแต่ดื้อดึงฝืนย้ำถึงเหตุผลของตัวเจ้าเอง เจ้าอาจคิดว่า “ฉันทำงานของตัวเองแล้ว และฉันไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ให้เห็น แต่ไม่เพียงฉันจะถูกตัดแต่งเพียงเพราะข้อผิดพลาดสองสามประการเท่านั้น มิหนำซ้ำฉันยังถูกเปิดโปงและไม่เห็นหัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบพอในตัวฉัน ความรักของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? เหตุใดฉันจึงมองไม่เห็นความรักนั้น? มีการกล่าวไว้ว่าพระเจ้ารักผู้คน ดังนั้นเป็นเช่นใดที่พระเจ้าจึงรักผู้อื่นแต่ไม่รักฉัน?” ความคับข้องใจทั้งหมดพรั่งพรูออกมา ผู้คนในสภาวะดังกล่าวสามารถได้รับความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาในความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้า และแทนที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ กลับตัวกลับใจใหม่ และละทิ้งทรรศนะที่คลาดเคลื่อน รวมทั้งความคิดที่ดื้อรั้นของเจ้า เจ้ากลับต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อดึง เหตุนี้ยังผลให้พระเจ้าทรงทอดทิ้งเจ้าเท่านั้น อีกทั้งในตัวเจ้าเจ้าก็ยังหันหลังให้พระองค์ด้วย เจ้าจะมีแต่ความคับข้องใจเต็มอกต่อพระเจ้า เกิดความสงสัยเคลือบแคลงและปฏิเสธอธิปไตยของพระองค์ รวมทั้งไม่เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการของพระองค์ แย่ไปกว่านั้นคือเจ้าจะปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่ความจริงและความชอบธรรม และนี่เป็นรูปแบบหนึ่งที่ร้ายแรงที่สุดของการต่อต้านพระเจ้า แต่หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง เจ้าย่อมจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปแล้ว และเจ้าจะได้รับเส้นทางที่เจ้าสามารถก้าวย่ำไป ในการทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในพระองค์นั้นคือความจริง เป็นหนทาง เป็นชีวิต และเป็นความรัก ทั้งจะยังเป็นการยืนยันอีกด้วยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำคือความถูกต้อง การทดสอบและกระบวนการถลุงมนุษย์ของพระองค์คือความถูกต้อง และมีจุดประสงค์เพื่อความรอดและการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เจ้าจะได้รับรู้ถึงความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และในขณะเดียวกันเจ้าจะได้รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและแลเห็นความยิ่งใหญ่ของความรักของพระองค์ ช่างเป็นบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่! เจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวบำเหน็จเช่นที่ว่านี้โดยปราศจากการแสวงหาความจริง แต่เข้าถึงพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์โดยยึดตามมโนอคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเจ้าเองได้กระนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ เพราะมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของเขาและทั้งหมดที่เขาเปิดเผยจึงเป็นอุปนิสัยของซาตานทั้งสิ้น และล้วนตรงกันข้ามกับความจริงและไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า มนุษย์ไม่เหมาะที่จะได้ชื่นชมความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่ทว่าพระเจ้าก็ยังคงกังวลสนพระทัยในมนุษย์ ประทานพระคุณแก่เขาในแต่ละวัน และจัดการเตรียมผู้คน เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบให้เขาเพื่อทดสอบและถลุงเขา เพื่อให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าทรงเปิดเผยมนุษย์ด้วยการใช้สภาพแวดล้อมทุกชนิด ให้เขาทบทวนตัวเองและรู้จักตนเอง เข้าใจความจริงและได้รับชีวิต พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเหลือเกิน และความรักของพระองค์ก็เป็นจริงมากเสียจนมนุษย์สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ หากเจ้ามีประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ เจ้าจะรู้สึกได้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์ และนี่คือความรักที่แท้จริงที่สุด หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนั้น ก็ไม่มีใครจะสามารถบอกได้ว่ามนุษย์จะตกลงไปลึกเพียงใด! แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่มองไม่เห็นความรักที่แท้จริงของพระเจ้า ยังคงไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เพียรพยายามที่จะอยู่เหนือผู้อื่น ปรารถนาที่จะดักจับและควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้กำลังตั้งตนเป็นคู่แข่งกับพระเจ้าหรอกหรือ? หากพวกเขายังเดินบนเส้นทางนั้นต่อไป ผลสืบเนื่องก็จะมิอาจคาดคิดได้! พระเจ้าทรงเปิดโปงความเสื่อมทรามของมนุษย์ด้วยพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์เพื่อให้เขาได้รู้จักความเสื่อมทรามนั้น พระองค์ทรงยุติการไล่ตามไขว่คว้าที่ผิดพลาดของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำได้อย่างดีเลิศ! แม้สิ่งที่พระเจ้าทรงทำจะเผยมนุษย์ออกมาและพิพากษาเขา แต่ก็ช่วยเขาให้รอดด้วย นี่คือความรักที่แท้จริง เมื่อเจ้าได้ตระหนักการนี้ด้วยตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เจ้าจะไม่ได้รับความจริงในแง่มุมนี้หรือ? เมื่อบุคคลหนึ่งได้ตระหนักการนี้ด้วยตัวพวกเขาเองและได้มาถึงความเข้าใจนี้แล้ว และเมื่อพวกเขาได้เข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเขายังคงรู้สึกขุ่นข้องหมองใจต่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่ – ความขุ่นข้องหมองใจหายไปสิ้น จากนั้นพวกเขาจะสามารถนบนอบอย่างเต็มใจและแน่วแน่ต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า ครั้งต่อไปที่มีบททดสอบหรือกระบวนการถลุงเกิดขึ้น หรือเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาจะตระหนักอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือความถูกต้อง และพระเจ้ากำลังเปิดเผยพวกเขาและช่วยพวกเขาให้รอด ในไม่ช้าพวกเขาจะสามารถยอมรับและนบนอบ เป็นการนบนอบพระเจ้าโดยไม่เน้นหตุผลของตัวเอง ปราศจากมโนคติอันหลงผิดและการพร่ำบ่น หากผู้คนสามารถนบนอบมาได้จนถึงขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ผ่านประสบการณ์กระบวนการถลุงมามากมาย และได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง
บทตัดตอน 13
ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถแสวงหาความจริงเมื่อมีสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่ตน หากเจ้าปรารถนาที่จะแก้ไขเหตุจูงใจที่ผิดและสภาวะที่ผิดปกติในตัวเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อที่จะทำเช่นนั้น ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจในการสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้า แน่นอนว่าเจ้าควรเลือกผู้รับที่ถูกต้องสำหรับการสามัคคีธรรมที่เปิดกว้าง—อย่างน้อยเจ้าควรเลือกใครบางคนที่รักและยอมรับความจริง ใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี เป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม แน่นอนว่าย่อมจะดีกว่าหากเจ้าสามารถเลือกใครบางคนที่เข้าใจความจริง ที่เจ้าอาจได้รับความช่วยเหลือจากการสามัคคีธรรมของพวกเขา การพบเจอบุคคลจำพวกที่เจ้าจะเปิดใจของเจ้าในการสามัคคีธรรมกับพวกเขาและแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าร่วมกับพวกเขานี้สามารถเกิดประสิทธิผล หากเจ้าเลือกคนผิด ใครบางคนที่ไม่รักความจริง แต่มีเพียงพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ พวกเขาก็จะเย้ยหยันและดูหมิ่นเจ้า และพวกเขาจะด้อยค่าเจ้า นี่ย่อมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า ในแง่หนึ่ง การเปิดใจและเปิดเผยตนเองเป็นแนวทางที่คนเราควรใช้ในการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ และยังเป็นวิธีที่คนเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแก่ผู้อื่นอีกด้วย จงอย่าเก็บงำสิ่งทั้งหลายไว้โดยคิดว่า “ฉันมีเหตุจูงใจและความลำบากยากเย็น สภาวะภายในของฉันไม่ดี—เป็นลบ ฉันจะไม่บอกใคร ฉันจะเก็บงำเอาไว้” หากเจ้าเก็บงำสิ่งต่างๆ ไว้ตลอดเวลาโดยไม่แก้ไข เจ้าก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้นทุกทีและสภาวะของเจ้าก็จะยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เต็มใจอธิษฐานถึงพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ยากจะพลิกกลับ และดังนั้น ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบหรืออยู่ในความลำบากยากเย็น ไม่ว่าแรงจูงใจหรือแผนการส่วนตัวของเจ้าเองจะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญว่าเจ้าได้มารู้หรือตระหนักสิ่งใดโดยผ่านทางการตรวจสอบ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสามัคคีธรรม และขณะที่เจ้าสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงพระราชกิจ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร? พระองค์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นความร้ายแรงของปัญหา พระองค์ทรงทำให้เจ้าตระหนักรู้ถึงรากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหา จากนั้นก็ทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย และให้เจ้ามองเห็นเส้นทางปฏิบัติและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง เมื่อบุคคลสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผย นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขามีท่าทีที่ซื่อสัตย์ต่อความจริง การที่บุคคลหนึ่งจะซื่อสัตย์หรือไม่นั้นประเมินวัดจากท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง เมื่อบุคคลที่ซื่อสัตย์ประสบความลำบากยากเย็น ไม่ว่าพวกเขาจะติดลบหรืออ่อนแอมากแค่ไหน พวกเขาจะอธิษฐานถึงพระเจ้าและมองหาผู้อื่นที่จะสามัคคีธรรมด้วยเสมอ พยายามค้นหาทางแก้ปัญหา และหาคำตอบว่าจะแก้ไขปัญหาหรือความลำบากยากเย็นของตนอย่างไร เพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มองหาคนที่จะร้องบ่นด้วยเนื่องจากความรู้สึกอึดอัดใจ หากแต่พวกเขามองหาวิธีแก้ปัญหาความลำบากยากเย็นในการเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงและออกจากสิ่งนั้น การซ่อนสิ่งต่าง ๆ ด้านลบและความเลวร้ายที่ยังไม่ได้แก้ไขในจิตใจของคนเราจะส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของตน การไม่บริสุทธิ์และไม่เปิดเผยต่อพระเจ้าแต่กลับเก็บงำความหลอกลวงเอาไว้ในหัวใจของตนนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ผู้คนที่เสแสร้งเก่งในเรื่องการใส่หน้ากากจอมปลอม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามัคคีธรรมไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกมีมโนคติอันหลงผิดหรือมีความขัดเคืองใจอะไร ภายนอกพวกเขาดูเหมือนเป็นปกติ แต่ความเป็นจริงนั้นภายในหัวใจกลับคุกรุ่นไปด้วยสิ่งลบที่แทบจะยกทิ้งไม่ไหว ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถบอกได้เลย ต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่บอกความจริงกับเจ้า พวกเขาจะไม่บอกใครๆ ว่าพวกเขานั้นเต็มด้วยคำร้องบ่น ความเข้าใจผิด และมโนคติอันหลงผิดขนาดไหน พวกเขาแทบจะไม่ปริปากถึงสิ่งต่างๆ เด็ดขาด เพราะกลัวว่าคนอื่นๆ จะดูถูกและปฏิเสธตนเองเมื่อพวกเขามองเห็นตัวตนของตนแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริงในอะไรก็ตามที่พวกเขาทำ ภายนอกพวกเขาดูเหมือนเมินเฉย ไม่มีพลังที่จะเดินหน้า อีกทั้งยังไม่ตามหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณบอกวิกฤต ในหัวใจของคนเหล่านั้นที่ไม่แสวงหาความจริง จะมีความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยนั้นอยู่ในหัวใจ และพวกเขากลัวการถูกเปิดเผยสู่ความสว่าง พวกเขาเก็บทุกอย่างไว้แน่นหนาไม่กล้าเปิดใจกับผู้อื่น ไม่มีการหมุนเวียนของชีวิต นำไปสู่การที่ความเจ็บป่วยในหัวใจของพวกเขาที่กลายเป็นเนื้อร้าย และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย หากผู้คนไม่สามารถบริสุทธิ์และเปิดใจยอมรับความจริง และหากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาผ่านทางการสามัคคีธรรมถึงความจริง เช่นนี้แล้วผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่สามารถดำเนินหน้าที่ของตนได้อย่างเหมาะสม และในไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป
บทตัดตอน 15
หากผู้คนมีหัวใจที่รักความจริง พวกเขาจะมีความเข้มแข็งที่จะแสวงหาความจริง และสามารถทำงานหนักในการปฏิบัติความจริง พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งที่ควรละทิ้ง และปล่อยวางสิ่งที่ควรปล่อยวาง โดยเฉพาะสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับชื่อเสียง ผลกำไรหรือสถานะของเจ้าเอง ซึ่งควรที่จะปล่อยวาง หากเจ้าไม่ยอมปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป นั่นหมายความว่าเจ้าไม่รักความจริง และไม่มีความเข้มแข็งที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริง หากในเวลาเหล่านั้นที่เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติความจริง เจ้ามีจิตใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ และไม่สามารถปล่อยวางจากผลประโยชน์ส่วนตน พวกเจ้าก็จะไม่สามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้ หากเจ้าไม่เคยแสวงหาหรือปฏิบัติความจริงในรูปการณ์แวดล้อมใด พวกเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริง ไม่ว่าพวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งความจริง บางคนกำลังแสวงหาชื่อเสียง ผลกำไรและผลประโยชน์ส่วนตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคริสตจักรจัดการเตรียมงานอะไรให้แก่พวกเขา พวกเขาก็คิดตรึกตรองเสมอว่า “ฉันจะได้ประโยชน์หรือไม่? หากจะได้ ฉันจึงจะทำ หากจะไม่ได้ ฉันก็จะไม่ทำ” คนแบบนี้ไม่ปฏิบัติความจริง—แล้วพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ต่อให้เจ้าไม่เคยทำความชั่วมาก่อน เจ้าก็ยังไม่ใช่บุคคลที่ปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และไม่ว่าอะไรตกมาถึงเจ้า เจ้าก็สนใจเพียงความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง ผลประโยชน์ส่วนตนและสิ่งที่ดีงามต่อเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น และเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและต่ำทราม คนแบบนี้เชื่อในพระเจ้าเพื่อได้รับบางสิ่งที่ดีหรือเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ไม่ใช่เพื่อได้มาซึ่งความจริงหรือความรอดของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจำพวกนี้คือผู้ปราศจากความเชื่อ ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริง เมื่อพวกเขาตระหนักในหัวใจว่าพระคริสต์คือความจริง และว่าพวกเขาควรที่จะรับฟังพระวจนะของพระเจ้า และเชื่อในพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเรียกร้อง หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า แต่คำนึงถึงความมีหน้ามีตาและสถานะของเจ้าเอง และคำนึงถึงหน้าตาของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติความจริงก็จะลำบากยากเย็น ในสถานการณ์เช่นนั้น คนเหล่านั้นที่รักความจริงก็จะสามารถปล่อยวางสิ่งที่อยู่ในผลประโยชน์ของตนเองหรือดีต่อตนเอง ปฏิบัติความจริง และนบนอบต่อพระเจ้าได้ โดยผ่านทางการอธิษฐาน การแสวงหา และการทบทวนตัวเอง รวมไปถึงการตระหนักถึงตัวตน ผู้คนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและรักความจริงอย่างแท้จริง และเมื่อผู้คนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพยายามปกป้องความเย่อหยิ่งและความถือดีของตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น ผลสืบเนื่องคืออะไร? คือการที่พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต คือการที่พวกเขาขาดคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง และนี่ย่อมเป็นอันตรายมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป ผู้คนที่ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์มีประโยชน์อะไรหรือในพระนิเวศของพระเจ้า? พวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะทำหน้าที่ใดได้ไม่ดี และไม่สามารถทำสิ่งใดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาเป็นเพียงขยะมิใช่หรือ? หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี หากผู้คนไม่เคยปฏิบัติความจริง พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นคนชั่ว หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากการฝ่าฝืนของเจ้าเพิ่มจำนวนครั้งมากขึ้นทุกที เช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าการฝ่าฝืนทั้งหมดของเจ้า เส้นทางผิดพลาดที่เจ้าเดินและการที่เจ้าไม่ยอมกลับใจ—ทั้งหมดนี้เพิ่มพูนเข้าไปในความประพฤติชั่วมากมาย และดังนั้นจุดจบของเจ้าก็คือว่าเจ้าจะไปนรก—เจ้าจะถูกลงโทษ พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญกระนั้นหรือ? หากเจ้ายังไม่ถูกลงโทษ เจ้าจะไม่สำนึกว่านี่น่าหวาดกลัวเพียงใด เมื่อวันนั้นมาถึงตรงที่เจ้าเผชิญหายนะเข้าจริงๆ และเจ้าเผชิญหน้าความตาย นั่นย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ หากในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับความจริง และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้า ผลสุดท้ายย่อมเป็นว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป และถูกทอดทิ้ง ทุกคนมีการฝ่าฝืน กุญแจสำคัญในการแก้ไขการฝ่าฝืนเหล่านั้นก็คือการแสวงหาความจริง และนี่จะทำให้แน่ใจได้ว่าการฝ่าฝืนเหล่านั้นลดน้อยลงทุกที หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเปิดเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าสามารถอธิษฐานถึงและพึ่งพาพระเจ้า แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข และชำระล้างอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าให้บริสุทธิ์ได้เสมอ เมื่อนั้นเจ้าก็จะไม่ได้ทำความชั่ว นี่คือวิธีที่ผู้มีความเชื่อควรแก้ไขปัญหาการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนี่คือวิธีการที่จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้าไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าและไม่เคยแสวงหาความจริงเมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า หรือหากเจ้าเข้าใจความจริงแต่ไปไม่เคยนำไปปฏิบัติ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง? สิ่งนี้ประจักษ์ชัดในตัวเอง ต่อให้เจ้าอาจเป็นนักพูดที่ลื่นไหลและฉลาดแกมโกง เจ้าสามารถหลบพ้นการพินิจพิเคราะห์ด้วยดวงเนตรของพระเจ้าได้หรือ? พวกเจ้าสามารถหลีกหนีจากการจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตของพระองค์ได้หรือไม่? เป็นไปไม่ได้ ผู้คนที่มีปัญญาจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจ ฝากความหวังไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และปฏิบัติความจริง เมื่อนั้นเจ้าจึงจะได้ชนะเนื้อหนัง และชนะการทดลองของซาตานได้ ต่อให้เจ้าล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเจ้าต้องพากเพียร เมื่อเจ้าพากเพียรฟันฝ่าผ่านโอกาสเพียงน้อยนิดนี้ ย่อมถึงเวลาที่เจ้าจะประสบความสำเร็จ และเจ้าจะได้รับพระคุณของพระเจ้า ความกรุณาของพระองค์ และพระพรของพระองค์ และเจ้าก็จะสามารถเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย
เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงพวกเจ้า บ่อยแค่ไหนที่เจ้าเลือกที่จะปฏิบัติความจริง และดำรงพระราชภารกิจของพระเจ้าเอาไว้? (ไม่บ่อย โดยมากข้าพเจ้าเลือกที่จะดำรงภาพลักษณ์หรือผลประโยชน์ส่วนตัว และข้าพเจ้ารู้สึกตัวในภายหลัง แต่มันยากที่จะกบฏต่อตัวเอง หากมีใครซักคนที่สามัคคีธรรมกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับความจริง นั่นจะทำให้ข้าพเจ้าเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง และข้าพเจ้าก็สามารถกบฏต่อตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อไม่มีผู้ใดมาสามัคคีธรรมกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับความจริง ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นคนที่เหินห่างจากพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะนี้ตลอดมา) การที่จะกบฏต่อเนื้อหนังนั้นยากลำบาก และการที่จะปฏิบัติความจริงก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้ามีธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่รั้งเจ้าเอาไว้ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่รบกวนเจ้า และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้หากไม่เข้าใจความจริง พวกเจ้าสามารถใช้เวลาอย่างสงบนิ่งในการทรงสถิตของพระเจ้าได้นานเท่าไรต่อวัน? เจ้าสามารถไปต่อได้กี่วันโดยไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าก่อนที่จะรู้สึกแห้งเหี่ยวทางจิตวิญญาณ? (ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถไปต่อได้แม้แต่วันเดียวหากไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ข้าพเจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักหนึ่งบทตอนในตอนเช้าและเพ่งพิจารณาบทตอนนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น หากมีวันใดที่ข้าพเจ้าสาละวนมีธุระยุ่งกับการทำงาน ไม่กินหรือดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่ค่อยอธิษฐาน ข้าพเจ้าก็รู้สึกห่างไกลจากพระเจ้าอย่างมาก) หากพวกเจ้าสำนึกได้ว่าพวกเจ้าจะห่างเหินจากพระองค์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ยังมีความหวังสำหรับเจ้า หากเจ้าเป็นผู้เชื่อและต้องการได้มาซึ่งความจริง เจ้าไม่สามารถนิ่งเฉยและรอให้ใครมาสามัคคีธรรมกับเจ้าเกี่ยวกับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างแข็งขัน อธิษฐานถึงพระเจ้า และแสวงหาความจริง หากเจ้ารอจนจิตวิญญาณของเจ้ามืดมน และเจ้าไม่สามารถสัมผัสถึงพระเจ้าก่อนที่จะกินหรือดื่มพระวจนะของพระองค์ หรืออธิษฐานต่อพระองค์ เจ้าก็ทำได้เพียงดำรงสภาวะที่เป็นอยู่เอาไว้เท่านั้น แม้ว่าการดำรง “ความเชื่อ” อันน้อยนิดเอาไว้เป็นสิ่งที่ดี แต่ชีวิตของเจ้าจะไม่มีการเติบโต และเมื่อใดที่จิตวิญญาณของเจ้ากลายเป็นแห้งเหือดและด้านชา และเจ้าได้กลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้ามากเกินไป เมื่อนั้นเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย การทดลองตกมาถึงเจ้าครั้งเดียวเจ้าก็ล้มคว่ำลงแล้ว เจ้าจะถูกซาตานจับเป็นเชลยอย่างง่ายดาย หากเจ้าไม่มีประสบการณ์เลย ไม่เข้าใจความจริง ไม่มุ่งเน้นทั้งการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่ฟังบทเทศน์ทั้งหลาย และขาดชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เป็นปกติ เช่นนั้นก็จะลำบากยากเย็นที่เจ้าจะเติบโตในวุฒิภาวะ และแน่นอนว่า เจ้าจะก้าวหน้าเชื่องช้าเกินไป อะไรเป็นเหตุผลของความก้าวหน้าที่เชื่องช้านี้? และผลสืบเนื่องของมันคืออะไร? เจ้าต้องชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คนในลักษณะใด พวกเขาควรนบนอบและยอมรับมัน พวกเขาควรทบทวนตัวเองและเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาอาจสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง และค่อยๆ เข้าใจความจริง นี่เป็นที่ยินดีที่สุดต่อพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำงานในตัวพวกเขาอย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าต้องเก็บพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไว้ในหัวใจของพวกเจ้าตลอดเวลา เพื่อยามที่เจ้าเผชิญกับปัญหาหนึ่งในชีวิตจริง เจ้าก็สามารถเชื่อมโยงและเปรียบเทียบปัญหานั้นกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง เมื่อนั้นปัญหาจะง่ายในการแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนล้วนอยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย นั่นเป็นบางสิ่งที่ทุกคนใฝ่ถึง แต่เจ้าควรปฏิบัติเพื่อการนี้อย่างไรในชีวิตประจำวัน? อย่างแรกคือเจ้าต้องมีกิจวัตรประจำ เช่น ไม่กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือต้องห้าม และควรออกกำลังกายในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เมื่อผสมผสานวิธีการเหล่านี้เข้าด้วยกันและทุกสิ่งที่เจ้าปฏิบัติวนเวียนอยู่กับเป้าหมายของการมีสุขภาพกายที่ดี เจ้าก็จะเห็นผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่กี่ปีให้หลัง เจ้าก็จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้อื่นและจะได้รับผลลัพธ์ที่ดี เจ้าได้ผลลัพธ์เหล่านั้นมาอย่างไรหรือ? นั่นก็เป็นเพราะการกระทำและเป้าหมายของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกัน และการปฏิบัติและทฤษฎีของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกัน นี่ก็เหมือนกันกับการที่เชื่อในพระเจ้า หากเจ้าเสาะแสวงที่จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริงและปฏิบัติความจริง และเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป เช่นนั้นแล้ว เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า เจ้าต้องเชื่อมโยงเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ากับเป้าหมายที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาและความจริงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหาอาจเป็นอะไรก็ตาม ตราบที่เป้าหมายเหล่านั้นเป็นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ เป้าหมายเล่านั้นก็เป็นทิศทางและเป้าหมายที่ต้องไล่ตามเสาะหาในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การติดตามทางแห่งพระเจ้า การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หลังจากที่เจ้ามีทิศทางนี้ เป้าหมายนี้ เจ้าต้องมีหนทางที่จะนำไปปฏิบัติในทันที เมื่อเราพูดว่า “ติดตามทางแห่งพระเจ้า” คำว่า “ทางแห่งพระเจ้า” อ้างอิงถึงอะไร? คำนั้นหมายถึงการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว และอะไรหรือคือการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว? ยกตัวอย่างตอนที่เจ้าประเมินใครบางคน—นี่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว เจ้าประเมินพวกเขาอย่างไรหรือ? (เราต้องซื่อสัตย์ ยุติธรรม และเป็นธรรม และคำพูดของพวกเราต้องไม่เป็นไปตามความรู้สึกของพวกเรา) เมื่อเจ้าพูดตรงไม่มีผิดในสิ่งที่เจ้าคิดและตรงไม่มีผิดในสิ่งที่เจ้าเห็น เจ้าก็มีความซื่อสัตย์ อย่างแรกเลยคือ การปฏิบัติการมีความซื่อสัตย์นั้นอยู่ในแนวเดียวกับการติดตามทางแห่งพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน นี่คือทางของพระเจ้า อะไรหรือคือทางของพระเจ้า? การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว การมีความซื่อสัตย์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรอกหรือ? และไม่ใช่การติดตามทางแห่งพระเจ้าหรอกหรือ? (เป็นส่วนหนึ่ง) หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าเห็นและสิ่งที่เจ้าคิดย่อมไม่เหมือนกับสิ่งที่ออกมาจากปากเจ้า ใครบางคนถามเจ้าว่า “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับคนคนนั้น? เขารับผิดชอบงานของคริสตจักรดีอยู่หรือไม่?” และคำตอบของเจ้าคือ “เขาดีมาก เขารับผิดชอบดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ขีดความสามารถของเขาดีกว่าของข้าพเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาก็ดี เขาเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง” แต่นี่เป็นสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในหัวใจหรือเปล่า? อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือ แม้ว่าบุคคลดังกล่าวมีขีดความสามารถก็จริง แต่เขาไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้ ค่อนข้างหลอกลวง และชอบคำนวนหาประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในใจจริงๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องพูด เจ้านึกขึ้นได้ว่า “ฉันไม่สามารถบอกความจริงได้ ฉันต้องไม่ล่วงเกินใคร” เจ้าจึงพูดอย่างอื่นออกไปอย่างรวดเร็วและเลือกพูดแต่สิ่งที่ดีเกี่ยวกับเขา แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่เจ้าพูดตรงกับที่เจ้าคิด ทั้งหมดคือคำโกหกและความจอมปลอม นี่บ่งชี้ว่าเจ้าติดตามทางแห่งพระเจ้าหรือ? ไม่ เจ้าได้ไปในทางของซาตานแล้ว ทางของพวกปีศาจ อะไรคือทางแห่งพระเจ้า? ทางแห่งพระเจ้าคือความจริง คือพื้นฐานที่ผู้คนควรวางตัวไปตามนั้น และคือการยำเกรงในพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว แม้เจ้ากำลังคุยกับคนอื่น แต่พระเจ้าก็กำลังทรงสดับฟังอยู่ด้วยเช่นกัน พระองค์กำลังทรงเฝ้าดูหัวหัวใจของเจ้าและพินิจพิเคราะห์มัน ผู้คนฟังสิ่งที่เจ้าพูด แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของเจ้า ผู้คนมีความสามารถในการพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์หรือไม่? อย่างดีที่สุด ผู้คนก็สามารถมองเห็นว่าเจ้าไม่ได้กำลังพูดความจริง พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวภายนอก แต่พระเจ้าทรงสามารถมองเห็นเข้าไปในห้วงลึกของหัวใจเจ้า มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมองเห็นได้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้ากำลังวางแผนอะไร และอะไรคือกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ หนทางอันคิดคดทรยศ และความคิดโลดแล่นที่เจ้ามีอยู่ภายในหัวใจ เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าไม่ได้กำลังพูดความจริง พระองค์ทรงมีความคิดเห็นและการประเมินค่าต่อเจ้าอย่างไรหรือ? ที่เจ้าไม่ได้ติดตามทางแห่งพระเจ้าในเรื่องนี้ก็เพราะเจ้าไม่ได้พูดความจริง หากเจ้ากำลังปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เจ้าควรได้พูดความจริงไปว่า “เขาเป็นคนหนึ่งที่มีขีดความสามารถ แต่เขาพึ่งพาไม่ได้” ไม่สำคัญว่าการประเมินของเจ้านั้นจะถูกต้องแม่นยำหรือไม่ แต่นั่นย่อมเป็นความซื่อสัตย์และมาจากใจ และเป็นทัศนคติและจุดยืนที่เจ้าควรแสดงออกมา หากแต่เจ้าไม่ได้ทำ--เช่นนั้นแล้ว เจ้าได้กำลังติดตามหนทางแห่งพระเจ้าอยู่หรือไม่? (ไม่) หากเจ้าไม่พูดความจริง การเน้นย้ำว่าเจ้ากำลังติดตามทางแห่งพระเจ้าและกำลังทำให้พระองค์พึงพอพระทัยนั้นมีประโยชน์อะไรต่อเจ้าหรือ? พระเจ้าใส่ใจคำขวัญทั้งหลายที่เจ้าโห่ร้องหรือ? พระเจ้าทรงมองหรือว่าเจ้าโห่ร้องอย่างไร เจ้าโห่ร้องอย่างหนักแค่ไหน และเจตจำนงของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด? พระองค์ทรงมองหรือไม่ว่าเจ้าโห่ร้องกี่ครั้ง? เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมอง พระเจ้าทรงมองว่าเจ้าปฏิบัติความจริงหรือไม่ ทรงมองถึงสิ่งที่เจ้าเลือกและวิธีปฏิบัติความจริงเมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า หากเจ้าเลือกที่จะดำรงสัมพันธภาพ ดำรงผลประโยชน์ส่วนตนและภาพลักษณ์ของตัวเจ้าเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการรักษาตัวรอด และพระเจ้าทรงเห็นว่านี่คือทัศนคติและท่าทีของเจ้าเมื่อเหตุการณ์หนึ่งตกมาถึงเจ้า เมื่อนั้นพระองค์จะทรงประเมินเจ้า พระองค์จะตรัสว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ติดตามทางแห่งพระเจ้า เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามทางแห่งพระเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่นำไปปฏิบัติเมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า? วาจาที่เจ้ากล่าวอาจออกมาจากหัวใจ และวาจาเหล่านั้นอาจสื่อถึงเจตจำนงและความปรารถนาของเจ้า หรือสามารถเป็นได้ว่าเจ้าสะเทือนใจ และเจ้าก็ร้องตะโกนคำที่จริงใจเหล่านั้นไปพลางในขณะที่เจ้าร่ำไห้อย่างขมขื่น ว่าแต่การกล่าวอย่างจริงใจหมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือ? หมายความว่าเจ้ามีคำพยานที่แท้จริงหรือ? ไม่จำเป็น หากเจ้าเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง เจ้าก็จะแค่กล่าวสิ่งทั้งหลายที่รื่นหูและจบลงแค่นั้น พวกฟาริสีเก่งที่สุดในการประกาศคำสอนและท่องคำขวัญ พวกเขามักยืนอยู่ตามมุมถนนและร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” หรือ “พระเจ้าผู้ควรนมัสการ!” ในสายตาผู้อื่น พวกเขาดูเหมือนเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ และไม่ได้ทำสิ่งใดที่ขัดต่อกฎหมาย ว่าแต่พระเจ้าได้ทรงเห็นชอบพวกเขาหรือเปล่า? เปล่าเลย พระองค์ได้กล่าวโทษพวกเขาอย่างไร? โดยการให้ฉายานามพวกเขาว่า พวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด ในกาลก่อนนั้น พวกฟาริสีเป็นชนชั้นที่ได้รับความเคารพในประเทศอิสราเอล แล้วเหตุใดหรือชื่อนี้จึงกลายเป็นสิ่งตราหน้าในปัจจุบัน? นี่เป็นเพราะพวกฟาริสีได้กลายเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่ง สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลชนิดนี้? พวกเขามีทักษะในการเทียมเท็จ ในการประดับตบแต่ง ในการเสแสร้ง และพวกเขาแสร้งแสดงความสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์และความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ และความดีพร้อมที่โปร่งใสและคำขวัญที่พวกเขาโห่ร้องก็ฟังดูดี แต่ตามที่ผลปรากฏออกมาก็คือพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย พวกเขามีพฤติกรรมดีอะไรหรือ? พวกเขาก็อ่านบทคัมภีร์ และประกาศ พวกเขาสอนผู้อื่นให้ค้ำจุนธรรมบัญญัติและข้อบังคับทั้งหลาย และไม่ขัดขืนพระเจ้า ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูดี แต่ทว่า เมื่อผู้อื่นหันหลังให้ พวกเขาก็แอบขโมยของถวาย องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่าพวกเขา “กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” (มัทธิว 23:24) นี่หมายความว่าพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาดูดีที่ผิวภายนอก—พวกเขาสวดท่องคำขวัญอย่างโอ้อวด พวกเขาพูดถึงทฤษฎีที่สูงส่ง และคำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดี แต่ทว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นความรกรุงรังที่ไร้ระเบียบ และเป็นการขัดขืนต่อพระเจ้าทั้งสิ้น พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาล้วนเป็นการเสแสร้ง ล้วนเป็นการต้มตุ๋น ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรักแม้แต่น้อยสำหรับความจริงหรือสำหรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาชิงชังความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า พวกเขารักสิ่งใดหรือ? พวกเขารักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือไม่? (ไม่) เจ้าสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้? (องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมที่จะยอมรับเท่านั้น แต่ยังกล่าวโทษอีกด้วย) หากพวกเขาไม่ได้กล่าวโทษการนั้น เราจะบอกได้หรือ? ไม่ได้หรอก การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยพวกฟาริสีทั้งหมดแล้ว และเพียงเพราะการกล่าวโทษกับการขัดขืนต่อองค์พระเยซูเจ้านั่นเองที่ทำให้ผู้อื่นสามารถเห็นถึงความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา หากไม่ได้เป็นเพราะการทรงปรากฎตัวและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ก็คงจะไม่มีใครรู้ทันพวกฟาริสี และหากผู้คนมองพวกฟาริสีแค่การประพฤติปฏิบัติภายนอก ก็คงจะทำให้พวกเขาถึงกับรู้สึกอิจฉา การที่พวกฟาริสีใช้พฤติกรรมดีที่เทียมเท็จเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้คนนั้นไม่จริงใจและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมิใช่หรือ? ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้สามารถรักความจริงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถอย่างแน่นอน อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังการอวดแสดงการประพฤติปฏิบัติที่ดีของพวกเขา? อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือเพื่อหลอกให้ผู้อื่นหลงกล อีกอย่างคือเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเอาชนะใจเพื่อให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งและเทิดทูนพวกเขา และท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต้องการที่จะได้รับบำเหน็จ ช่างเป็นกลฉ้อฉลอะไรเช่นนั้น! เหล่านี้เป็นกลอุบายอันแยบคายหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนั้นได้รักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือ? แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รัก สิ่งที่พวกเขารักคือสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือบำเหน็จกับมงกุฎ พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนผู้คน และพวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนกำลังปลอมแปลงตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติดี หลอกให้ผู้คนหลงกลและเอาชนะใจผู้คนโดยหนทางแบบหน้าซื่อใจคด เพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเอง ซึ่งจากนั้นพวกเขาก็ได้ใช้ในการหาเงินทุนและหาเลี้ยงชีพต่อไป นั่นไม่น่าดูหมิ่นหรือ? จากการประพฤติปฏิบัตินี้ทั้งหมดของพวกเขา เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าโดยแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่ได้รักความจริง เพราะพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง อะไรหรือคือบางสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง? สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อพระราชกิจแห่งการไถ่ และการที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าทุกคำเป็นความจริงและมีสิทธิอำนาจ พวกฟาริสีมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการนี้เล่า? ถึงแม้พวกเขาได้รับรู้ว่าพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ามีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับพระวจนะเท่านั้น แต่พวกเขายังกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระวจนะเหล่านั้นอีกด้วย นั่นมันเกี่ยวกับอะไรเล่า? นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริงและในหัวใจของพวกเขา พวกเขาชิงชังและเกลียดความจริง พวกเขารับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้านั้นถูกต้องในทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส รับรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ รับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดเลย และพวกเขาไม่มีอะไรมางัดข้อกับพระองค์เลย แต่พวกเขาก็ต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจึงปรึกษาและรวมหัวกัน และพูดว่า “ตรึงกางเขนเขา เพราะไม่เขาก็เราที่จะต้องตาย” และนี่คือวิธีที่พวกฟาริสีท้าทายองค์พระเยซูเจ้า ณ เวลานั้นไม่มีใครเข้าใจความจริงและไม่มีใครสามารถระลึกได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ แม้ว่าจากมุมมองแบบมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้มากมาย ทรงขับไล่ปีศาจ และช่วยรักษาคนป่วย พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ไปมากมาย ทรงเลี้ยงอาหารผู้คน 5000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ทรงทำกิจการที่ดีงามไปนับไม่ถ้วน และประทานพระคุณมากมายเหลือเกินให้กับผู้คน มีผู้คนน้อยเหลือเกินที่ดีและชอบธรรมเช่นนี้ แล้วเหตุใดพวกฟาริสีจึงต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า? เหตุใดพวกเขาจึงมีเจตนาแรงกล้าเหลือเกินที่จะตรึงกางเขนพระองค์? การที่พวกเขาเลือกที่จะปล่อยอาชญากรให้เป็นอิสระมากกว่าจะปล่อยพระองค์ไปแสดงให้เห็นว่าพวกฟาริสีแห่งโลกศาสนานั้นชั่วและมุ่งร้ายเพียงไร พวกเขาช่างเลวเหลือเกิน! ระหว่างโฉมหน้าชั่วที่พวกฟาริสีปิดไว้ไม่มิด กับความเมตตากรุณาภายนอกที่พวกเขาแสร้งตีสีหน้าไว้นั้นช่างแตกต่างกันใหญ่หลวงเสียจนผู้คนมากมายไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนแท้จริงอันไหนเท็จ แต่การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้น โดยปกติแล้วพวกฟาริสีมักปลอมแปลงตัวเองไว้เป็นอย่างดีเหลือเกินและปรากฏให้เห็นภายนอกว่าตนเป็นเสมือนพระเจ้ามากเสียจนไม่มีใครจะจินตนาการไปว่าพวกเขาสามารถขัดขืนและข่มเหงองค์พระเยซูเจ้าอย่างโหดร้ายเหลือเกินหากข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ก็จะไม่มีใครสามารถได้มองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเลย การแสดงความจริงของพระเจ้าผู้ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ช่างเป็นการเปิดเผยเกี่ยวกับมนุษย์จริงๆ!
บทตัดตอน 16
จุดประสงค์ของการให้ผู้คนเข้าใจและปฏิบัติความจริงก็เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความจริงมา ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และทำให้ความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้นั้นเป็นชีวิตของพวกเขา การทำให้ความจริงเหล่านั้นเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งหมายความว่าอย่างไรหรือ? นั่นหมายความว่าความจริงเหล่านั้นกลายเป็นรากฐานและเป็นแหล่งที่มาของการกระทำ ชีวิต การวางตัวและการดำรงอยู่ของคนคนนั้น—ความจริงเหล่านั้นเปลี่ยนทางที่คนคนนั้นดำรงชีวิต ผู้คนใช้ชีวิตโดยสิ่งใดหรือก่อนหน้านี้? ไม่ว่าพวกเขาได้มีความเชื่อมั่นหรือไม่ พวกเขาก็ได้ดำรงชีวิตโดยการพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และพวกเขาไม่ได้ดำรงชีวิตโดยความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือทางซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรดำรงชีวิตอยู่ในนั้นหรือ? (ไม่) สิ่งใดหรือที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์? (ให้ผู้คนดำรงชีวิตอยู่โดยพระวจนะของพระองค์) การดำรงชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้า—นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้คนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงควรมีหรอกหรือ? (ใช่) สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีรูปแบบการดำรงชีวิตที่พึ่งพาพระวจนะของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ผู้คนเช่นนั้นคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องไตร่ตรองอยู่เป็นนิตย์ว่าคำพูดของเจ้า การกระทำของเจ้า และหลักธรรมในพฤติกรรมของเจ้า จุดมุ่งหมายแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า หนทางที่เจ้าใช้จัดการกับโลกนั้น อันใดที่เข้ากันได้กับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์ และอันใดในสิ่งเหล่านั้นที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า หากเจ้าใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ให้บ่อย เจ้าจะค่อยๆ สัมฤทธิ์การเข้าสู่ หากเจ้าไม่ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมไม่มีประโยชน์ในการแค่ทำความพยายามอันผิวเผิน การแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และการเข้าร่วมในพิธีการนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ย่อมจะไม่นำพาสิ่งใดมาให้เจ้าเลย ดังนั้น ความเชื่อในพระเจ้าคืออะไรกันแน่? ความเชื่อในพระเจ้านั้น อันที่จริงแล้วก็คือ กระบวนการแห่งการบรรลุความรอดของพระเจ้า และเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ไปสู่สิ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า หากใครบางคนยังคงพึ่งพาอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนในการดำรงชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณวุฒิในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) เจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้ายอมรับรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เจ้ายอมรับรู้อธิปไตยของพระเจ้าและยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้า แต่เจ้านำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้ชีวิตตามหรือไม่? เจ้าใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่? เจ้าติดตามทางแห่งพระเจ้าหรือไม่? สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเจ้ามีความสามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่? เจ้าสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับพระเจ้าหรือไม่? เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? สิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามและเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าคือความหมายของความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า? เจ้าได้เข้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแล้วหรือยัง? ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นเพียงคำพูดและรูปแบบเท่านั้น เจ้าเชื่อและยอมรับรู้พระนามของพระเจ้า และเจ้ายอมรับรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและเป็นองค์อธิปไตยของเจ้า แต่ในแก่นแท้แล้ว เจ้าไม่ได้ยอมรับรู้อธิปไตยของพระเจ้าหรือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้อย่างพร้อมสรรพกับพระเจ้า กล่าวคือ ความหมายของความเชื่อของเจ้าในพระเจ้ายังไม่ได้ถูกทำให้เป็นจริงโดยครบถ้วนบริบูรณ์ แม้ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้ายังไม่ได้สลัดทิ้งความเสื่อมทรามของเจ้าและยังไม่ได้บรรลุความรอด และเจ้าก็ยังไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงที่เจ้าควรได้เข้าไปสู่ในความเชื่อของเจ้าในพระเจ้า นี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง เมื่อมองดูการนี้ในหนทางนี้ ความเชื่อในพระเจ้านั้นมิใช่สิ่งที่เรียบง่ายเลย
บัดนี้ พวกเจ้ารู้สึกในหัวใจหรือไม่ว่าการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งสำคัญ? (พวกเรารู้สึก) เจ้าทุกคนรู้ว่าการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายแต่รุมเร้าด้วยความลำบากยากเย็นสารพัด การนี้จะแก้ไขได้อย่างไรหรือ? เจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยการอธิษฐานทุกครั้งที่ความลำบากยากเย็นตกมาถึงเจ้า และเจ้าต้องแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง แก้ไขจุดอ่อนของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง และแก้ไขความลำบากยากเย็นของสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมทั้งสัมฤทธิ์การปฏิบัติแห่งความจริง ในการรับประสบการณ์นี้ เจ้าจะมีความหวังที่จะได้มาซึ่งความเห็นชอบของพระองค์ หากเจ้าได้เข้าใจความจริงมากขึ้นและสามารถปฏิบัติความจริงได้ด้วย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถกลายเป็นคนคนหนึ่งซึ่งติดตามทางของพระเจ้า และในการทำเช่นนั้น ความเชื่อของพวกเจ้าก็จะมาบรรจบกับความเห็นชอบของพระเจ้า หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ายอมรับรู้พระนามของพระเจ้าและเจ้าเชื่อว่าพระองค์มีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งปวง แต่ไม่มีสักหยดเดียวในชีวิตของเจ้าที่สัมพันธ์กับความจริง กับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือกับสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งควรทำ เช่นนั้นแล้ว จุดจบของเจ้าจะไม่สร้างความเดือดร้อนในท้ายที่สุดหรอกหรือ? คนคนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้สามารถมาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้หรือ? เจ้ากล่าวว่าเจ้าสามารถมาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบต่อความเชื่ออย่างความเชื่อของเจ้าหรือ? พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบและนั่นหมายความว่าอะไร? นั่นหมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้และไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่ทรงสร้างอย่างเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้และไม่ทรงเห็นชอบต่อความเชื่อของเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระองค์สามารถทรงเห็นชอบต่อเจ้าในฐานะบุคคลหนึ่งหรือไม่? (พระองค์ไม่สามารถทรงทำได้) ท้ายที่สุด พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด และจุดจบของเจ้าย่อมจะถูกตัดสินแล้ว! นี่ใช่จุดจบที่พวกเจ้าต้องการสำหรับตัวเองหรือไม่? (ไม่ใช่) จุดจบประเภทใดหรือที่พวกเจ้าต้องการ? (เพื่อที่จะบรรจบกับความเห็นชอบของพระเจ้า) เพื่อที่จะให้พระเจ้าทรงเห็นชอบ เจ้าต้องเข้าใจอะไรเสียก่อน? เจ้าต้องเข้าไปสู่สิ่งใดเสียก่อน? อันดับแรกนั้นเจ้าต้องทราบว่าสิ่งใดที่พระเจ้าทรงยินดีให้ผู้คนทำและสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงยินดีให้ผู้คนทำ สรุปรวบยอดสิ่งเหล่านี้เสียก่อนเพื่อให้เจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ จากนั้นเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าก็จะรู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร? การนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง ง่ายหรือไม่เล่าที่จะสรุปรวบยอดสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? การนี้ง่ายดายมาก ส่วนพวกที่เคยทำชั่วและเคยถูกขับออกในอดีต จงสรุปรวบยอดสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยง จงสรุปรวบยอดบทเรียนที่เรียนรู้จากความล้มเหลวของพวกเขา และจงอย่าทำสิ่งใดในบรรดาสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น จากนั้น จงสรุปรวบยอดพฤติกรรมที่ดีของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบและทำสิ่งเหล่านั้นให้มากขึ้น ในหนทางนี้ เจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ความเห็นชอบของพระเจ้า เจ้าต้องวางแผนโดยละเอียดถึงสิ่งที่ควรทำและปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และเจ้าจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในหัวใจว่า ผู้คนใดและและสิ่งใดที่พระเจ้าทรงชิงชังที่สุด และผู้คนใดและและสิ่งใดที่พระเจ้าทรงยินดีด้วยที่สุด เจ้าต้องรู้วิธีแยกแยะระหว่างสิ่งเหล่านี้ และเป็นการดีที่สุดที่จะจำแนกชั้นและสรุปรวบยอดสิ่งเหล่านี้เพื่อให้มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีมาตรฐานและขอบเขตนี้อยู่ในหัวใจของเจ้า ด้วยหลักธรรมนี้ มาตรฐานนี้ ขอบเขตนี้ เจ้าจะมีหลักธรรมเพื่อทำสิ่งทั้งหลาย และเจ้าจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมได้ หากเจ้าไม่มีหลักธรรมและมาตรฐานนี้ เจ้าก็จะไม่มีความแน่นอนเมื่อทำสิ่งทั้งหลาย และเจ้าจะไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดที่เจ้าทำเป็นความชั่ว และสิ่งใดเป็นความดี เจ้าอาจจะรู้สึกว่าบางสิ่งนั้นไม่ใช่ความชั่ว แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันใช่ หรือเจ้าอาจรู้สึกว่าบางสิ่งนั้นดี ขณะที่ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันชั่ว หากเจ้าทำสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ นั่นไม่น่าเดือดร้อนหรอกหรือ? หากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบอย่างจงใจและไม่มีที่สิ้นสุด และเจ้าทำเพียงไม่กี่สิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบแต่คิดว่าเจ้าทำมามากมายนักแล้ว เจ้าจะไม่รู้สึกมึนงงสับสนหรอกหรือ? หากสิ่งที่เจ้าทำส่วนใหญ่ถูกถือว่าชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์จะยังสามารถทรงเห็นชอบกับเจ้าหรือไม่? (พระองค์ไม่สามารถ) หากรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในบางสิ่ง เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว เจ้าควรทำหรือเจ้าไม่ควรทำ? (ข้าพเจ้าไม่ควรทำ) การทำสิ่งนี้ของเจ้าเป็นความประพฤติชั่วหรือความประพฤติดี? (ความประพฤติชั่ว) นั่นเรียกว่าอะไรหรือหากเจ้าระลึกได้ว่า นี่เป็นความประพฤติชั่วแล้วหลังจากนั้นไม่ทำอีก? จงละทิ้ง ความรุนแรงในมือของเจ้าอันเป็นการสำแดงถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง หากเจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำความชั่วลงไปและแน่ใจว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในสิ่งนั้น เจ้าก็ควรมีหัวใจที่กลับใจ หากเจ้าไม่ทบทวนตัวเอง แต่กลับปกป้องและหาเหตุผลเข้าข้างตนเองในการทำชั่วของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เดือดร้อนแล้ว เจ้าจะถูกขับออกอย่างแน่นอน และเจ้าจะไม่มีคุณวุฒิที่จะทำหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป ดังนั้นหลักธรรมที่จะนำมาเรียนรู้ให้แตกฉานและเส้นทางที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของคนคนหนึ่งคืออะไร? เจตนาที่คนคนหนึ่งควรดำเนินต่อไปเพื่อให้บรรจบกับความเห็นชอบของพระเจ้าได้แก่อะไร? (แสวงหาความจริงและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง) ทุกคนรู้สิ่งนี้ แต่เมื่อรู้แล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่? ทันทีที่เจ้าเข้าใจแล้ว เจ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่? (พวกเราไม่สามารถ) แล้วเจ้าสามารถจะทำอะไรได้เล่า? เจ้าต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าต้องทนทุกข์เพื่อความจริง และละวางความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากได้อยากมี เจตนา และสิ่งชูใจทั้งหลายของเนื้อหนัง หากเจ้าไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านั้นแต่ยังต้องการได้มาซึ่งความจริง ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังปรนเปรอตัวเองอยู่ในความเพ้อฝันหรอกหรือ? ผู้คนบางคนต้องการทั้งเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง พวกเขาต้องการสละตนเองเพื่อพระเจ้า แต่พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งใดได้ พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากอนาคตของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือสิ่งชูใจทั้งหลายของเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากการอยู่รวมกันในครอบครัว บุตรหลานและบิดามารดาของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถละเจตนา วัตถุประสงค์ หรือความอยากได้อยากมีของพวกเขาได้เช่นกัน ไม่ว่าอะไรจะตกมาถึงพวกเขา พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับตัวเอง กิจการงานทั้งหลายของตนเอง และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเองเป็นอันดับแรก และให้ความสำคัญกับความจริงเป็นอันดับสุดท้าย กล่าวคือ การสนองผลประโยชน์ทั้งหลายของเนื้อหนังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขามาเป็นอันดับหนึ่ง และการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอยู่ในอันดับรองและได้ที่สุดท้าย ผู้คนเช่นนั้นสามารถมาบรรจบกับความเห็นชอบของพระเจ้าได้ไหม? พวกเขาสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือไม่? (พวกเขาไม่เคยทำได้) ดูจากสิ่งที่ปรากฏ หากเจ้าได้ทำหน้าที่ของตนและไม่เกียจคร้าน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขแม้แต่น้อย นั่นใช่การติดตามทางแห่งพระเจ้าหรือไม่? (นั่นไม่ใช่) พวกเจ้าทุกคนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อต้องนำความจริงมาปฏิบัติ นั่นเป็นงานหนัก ความทุกข์ทนและการจ่ายราคาของเจ้าจะต้องใช้ไปกับการปฏิบัติความจริงไม่ใช่กับการยึดปฏิบัติตามกฎระเบียบและการทำตามกระบวนการทั้งหลาย นั่นคุ้มค่าโดยไม่สำคัญว่าเจ้าทนทุกข์เพื่อความจริงมากแค่ไหน และความทุกข์ที่เจ้าสู้ทนสำหรับการปฏิบัติความจริงเพื่อสนองน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นเป็นที่ยอมรับสำหรับพระองค์และได้รับความเห็นชอบจากพระองค์
ปัญหาตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้มีอะไรบ้าง? หนึ่งคือพวกเจ้าไม่เข้าใจรายละเอียดของความจริงหลายประการ และเจ้าไม่มีมาตรฐานในหัวใจที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นความลำบากยากเย็นที่จะปฏิบัติความจริงที่เจ้าเข้าใจ จงสมมุติว่าการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งลำบากยากเย็นในตอนแรก แต่ยิ่งปฏิบัติมากเท่าไรก็ยิ่งง่ายดายขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าปฏิบัติความจริงมากขึ้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะยิ่งเป็นต่อน้อยลง ความจริงย่อมถือไพ่เหนือกว่าขึ้นทุกที เจตจำนงที่จะปฏิบัติความจริงก็เช่นเดียวกัน สภาวะของเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเนื้อหนังและแนวคิดเยี่ยงมนุษย์ของเจ้าจะครอบงำน้อยลงเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องปกติ และมีความหวังว่าเจ้าจะได้มาซึ่งความเห็นชอบของพระเจ้า แต่สมมติว่าเจ้าปฏิบัติความจริงเป็นระยะเวลานานแล้ว ทว่าความสนใจ ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายของเจ้ายังคงนำทางอยู่ในทุกแง่มุมและรายละเอียดของชีวิตของเจ้า การปฏิบัติความจริงยังคงเป็นงานหนักทีเดียวสำหรับเจ้า และแม้ว่าเจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้า แต่สิ่งที่เจ้าทำส่วนใหญ่ไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติแห่งความจริง พวกเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นความเดือดร้อนหรอกหรือ? มันจะเป็นอย่างแน่นอน! ไม่สำคัญว่าเจ้าอยู่ในคริสตจักรไหนหรือสภาพแวดล้อมของเจ้าเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญคือ สภาวะในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากำลังเป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ มโนธรรม เหตุผล และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้ากำลังกลายเป็นปกติมากขึ้นหรือไม่ และการอุทิศตนและการเชื่อฟังของเจ้าต่อพระเจ้ากำลังเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกในตัวเจ้ากำลังเพิ่มขึ้นและกำลังเป็นต่อ ก็มีความหวังว่าเจ้าจะได้มาซึ่งความจริง หากไม่มีสัญญาณใดก็ตามของสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้สร้างความก้าวหน้าแม้สักเศษเสี้ยว และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าเลยสักอย่างเดียว เจ้าสามารถเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไรหากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงเลย? คนบางคนกล่าวว่า “ฉันได้ปฏิบัติความจริงและทุ่มเทตัวเองแล้ว เป็นได้อย่างไรที่ฉันไม่เห็นผลลัพธ์อะไรเลย?” การขาดผลลัพธ์นี้หมายถึงอะไร? นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ได้ปฏิบัติความจริง ไม่ว่าเจ้าพยายามมากี่ครั้งกี่หนที่จะปฏิบัติความจริง ผลสุดท้ายที่ตามมาก็คือเจ้าก็ยังคงถูกเอาชนะโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า อันหมายความว่าเจ้าไม่ได้กำลังใช้ความเป็นจริงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเอาชนะอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า สามารถกล่าวเช่นนั้นได้หรือไม่? (สามารถ) ดังนั้นแล้วเจ้าเป็นผู้ชนะหรือผู้ล้มเหลว? (ผู้ล้มเหลว) นี่คือการเป็นผู้ล้มเหลวไม่ใช่ผู้ชนะ เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง ย่อมมีการสู้รบในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่สามารถละวางเจตนาของเจ้าได้ แต่เจ้าเข้าใจถึงสิ่งที่ความจริงกล่าวและสิ่งที่เป็นข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ในกระบวนการสู้รบ เจ้าละวางความจริงไป เจ้าไม่ปฏิบัติความจริง ในท้ายที่สุด เจ้าก็สนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และสิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามคือธรรมชาติเยี่ยงซาตานโดยปราศจากการปฏิบัติความจริง แล้วผลสุดท้ายที่ตามมาคืออะไรเล่า? (ความล้มเหลว) สมมติว่าในตอนท้าย การสู้รบไม่ชนะ และเจ้าดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเช่นเมื่อก่อน เจ้าเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้ามาก่อน เจ้าสนองความอยากได้อยากมีและความเห็นแก่ตัวของเจ้า แต่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเจ้าไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายความจริง ซึ่งหมายความว่าเจ้าล้มเหลวตั้งแต่หัวจรดเท้า และนี่คือผลที่ตามมาของการสู้รบชนิดหนึ่ง ผลที่ตามมาของการสู้รบอีกชนิดคืออะไร? เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงพวกเขา ผู้คนก็มีการสู้รบอยู่ภายในเช่นกัน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เจ็บปวด และอ่อนแอ แม้กระทั่งศักดิ์ศรีและบุคลิกลักษณะของพวกเขาก็ยังถูกท้าทาย และไม่สมอารมณ์หมายในความถือดีของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องเผชิญกับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ หรือไม่พวกเขาก็ถูกผู้อื่นดูแคลน หรือถูกหยามหยัน สูญเสียทั้งศักดิ์ศรีและบุคลิกลักษณะของพวกเขา แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ประเภทนี้ พวกเขาสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ และเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว หัวใจของพวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น และพวกเขาก็มองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจนโดยการแสวงหาความจริง พวกเขาจะปฏิบัติความจริงด้วยความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งและหนักแน่นในความแน่วแน่ของตน “ฉันไม่ต้องการทั้งภาพลักษณ์และสถานะและความถือดี ต่อให้ฉันถูกผู้อื่นดูแคลนและเข้าใจผิด บัดนี้ ฉันเลือกที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเลือกปฏิบัติความจริง เพื่อให้พระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวฉัน และทรงยินดีกับฉันในเรื่องนี้ และเพื่อให้ฉันไม่ทำร้ายพระหทัยของพระเจ้า” ในที่สุด พวกเขาจะละวางภาพลักษณ์และความถือดี เจตนา ความมักใหญ่ใฝ่สูง และความเห็นแก่ตัวของพวกเขา จากนั้นพวกเขาจะยืนอยู่ฝ่ายของพระเจ้า ของความจริง และของความยุติธรรม หลังจากปฏิบัติความจริงแล้ว หัวใจของพวกเขารู้สึกพึงพอใจ สงบสุข และเต็มไปด้วยความเบิกบาน พวกเขารู้สึกถึงการทรงอวยพรของพระเจ้าและรู้สึกว่าเป็นการดีที่ปฏิบัติความจริง โดยการปฏิบัติความจริง หัวใจของพวกเขาก็ได้รับความพึงพอใจและการบำรุงเลี้ยง และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ แทนที่จะถูกควบคุมและจับเป็นเชลยโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา เมื่อได้เป็นพยานแด่พระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยานและในตำแหน่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ พวกเขารู้สึกถึงสันติสุขของจิตใจ ความชื่นชมยินดี และความสุขในหัวใจของพวกเขา นี่เป็นผลที่ตามมาอีกชนิดหนึ่ง ผลที่ตามมาเช่นแบบนี้เป็นอย่างไรเล่า? (เป็นการดี) แต่ “ดี” นี้ง่ายที่จะสัมฤทธิ์ หรือไม่? (ไม่) “ดี” นี้ต้องชนะโดยผ่านกระบวนการสู้รบ และเป็นไปได้ว่าในการสู้รบ ผู้คนอาจล้มเหลวสักครั้งหรือสองครั้ง แต่ความล้มเหลวนำมาซึ่งบทเรียน นั่นทำให้ผู้คนรู้สึกหนักหน่วงในมโนธรรมของตนเองกับการที่ไม่ปฏิบัติความจริง ที่พวกเขาเป็นหนี้พระเจ้า และที่หัวใจของพวกเขาสู้ทนความทุกข์และความเจ็บปวด ในเวลาต่อมาเมื่อเผชิญกับรูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว ผู้คนจะค่อยๆ ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวในการเอาชนะอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตน พวกเขาจะเลือกปฏิบัติความจริงอย่างสมบูรณ์ไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อสนองพระหทัยของพระเจ้า นี่เป็นกระบวนการปกติในการเอาชนะอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และการปฏิบัติความจริงเพื่อลุล่วงเจตนารมณ์ของพระเจ้า
บัดนี้ พวกเจ้าพบว่าการปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องลำบากยากเย็นหรือไม่? หรือว่า ลำบากยากเย็นที่จะทำตามที่เจ้ายินดีโดยไม่ปฏิบัติความจริง? (การปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องลำบากยากเย็น) แล้วการทำตามที่เจ้ายินดีล่ะเป็นเช่นไร? (นั่นง่ายดาย) นี่เปิดเผยวุฒิภาวะจริงของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่มีใครเปลี่ยนไปเลยสักนิด และเจ้ายังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ วุฒิภาวะเช่นนี้ช่างน่าสมเพชนัก! พวกเจ้าทุกคนรู้สึกว่าปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบาก และการทำตามที่เจ้ายินดีนั้นง่ายดาย ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเจ้ายังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ กลายเป็นธรรมชาติไปแล้วสำหรับพวกเจ้าที่จะทำตามการเลือกชอบทั้งหลายของเนื้อหนัง เจ้ากลายเป็นคุ้นชินกับการนั้นราวกับนั่นคือกฎเกณฑ์ และด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงรู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นลำบากยากเย็นเกินไป เจ้าเกรงกลัวอยู่เป็นนิจถึงการทนทุกข์กับความเสียหายที่มีต่อความนับถือตนเองและสถานะของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่ปฏิบัติความจริง แต่กลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตนเองแทน ด้วยความคิดเดียว คนคนหนึ่งก็กลายเป็นคนขี้ขลาด เป็นคนล้มเหลวที่ถูกจับเป็นเฉลยโดยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และทำให้สูญเสียคำพยานของคนคนนั้น และความเห็นชอบของพระเจ้า นั่นง่ายดายเช่นนี้เอง แต่ง่ายพอกับการที่จะกลายเป็นผู้ที่ปฏิบัติความจริงและเป็นพยานแด่พระเจ้าหรือไม่? จำเป็นต้องมีกระบวนการหนึ่งไปสู่การนี้ เมื่อคนคนหนึ่งยอมรับความจริง ย่อมมีการสู้รบในจิตใจของคนคนนั้นเสมอกับสิ่งทั้งหลายที่อึดใจหนึ่งตกอยู่ในหนทางนี้ และพออึดใจถัดไปก็ตกอยู่ในอีกหนทาง มีการสู้รบภายในอยู่ตลอดเวลา และในที่สุด การสู้รบนั้นก็มาถึงบทสรุป บรรดาผู้ที่รักความจริงก็ปฏิบัติความจริง และเป็นพยาน รวมทั้งกลายเป็นผู้ชนะ ส่วนพวกที่ไม่รักความจริงมีความเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป ขาดสภาวะความเป็นมนุษย์มากเกินไป จะเป็นผู้มีบุคลิกลักษณะต่ำและน่าเหยียดหยาม—ผู้คนเช่นคนเหล่านี้เลือกที่จะสนองความเห็นแก่ตัวและความอยากได้อยากมีของตนเอง และถูกควบคุมเบ็ดเสร็จโดยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เจ้าจะมีชัยชนะเหนืออุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้าหรือไม่? หรือว่าเจ้าถูกอุปนิสัยนั้นควบคุมและจับเป็นเชลย? ส่วนใหญ่เจ้าอยู่ในสภาวะประเภทใดหรือ? ดูจากการนี้เป็นพื้นฐาน เจ้าย่อมสามารถคะเนได้ว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ปฏิบัติความจริงหรือไม่ หากเจ้าสามารถเอาชนะอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้าได้เป็นส่วนใหญ่และกลายเป็นคนคนหนึ่งซึ่งเป็นพยานได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือผู้ที่ปฏิบัติความจริงและรักความจริง หากส่วนใหญ่แล้วเจ้าสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง และเจ้าไม่สามารถเอาชนะอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานและยืนอยู่ฝ่ายความจริงเพื่อที่จะปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงและไม่มีความเป็นจริงความจริง เห็นได้ชัดว่า พวกที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงก็คือพวกที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้เข้าสู่ชีวิต ดังนั้นจงประเมินวัดตัวเองว่า พวกเจ้ายืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนังเป็นส่วนใหญ่หรือไม่? หรือเจ้ายืนอยู่ฝ่ายความจริง? สิ่งเล็กน้อยทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงนั้นไม่นับ แต่เมื่อมีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นที่เจ้าพึงต้องเลือก เจ้ายืนอยู่ฝ่ายความจริง หรือเจ้ายืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง? (ตอนแรก พวกเรายืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง แต่หลังการสู้รบ พวกเรายืนอยู่ฝ่ายความจริง เมื่อพวกเราเข้าใจความจริงบางประการผ่านการอธิษฐานและการแสวงหาแล้ว) เป็นสิ่งถูกต้องที่กล่าวว่า คนคนหนึ่งสามารถยืนอยู่ฝ่ายความจริงเมื่อคนคนนั้นเข้าใจความจริงแล้ว แต่การกบฏต่อเนื้อหนังไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงโดยการกบฏต่อเนื้อหนังและไม่ทำสิ่งที่เจ้าต้องการ ในทางกลับกัน นั่นก็คือ เพื่อปฏิบัติความจริง เจ้าต้องปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งความจริง ดังนั้น สถานการณ์ปกติของพวกเจ้าคืออะไร? (สิ่งที่พวกเราเรียกว่าการกบฏต่อเนื้อหนังนั้นไม่ใช่การปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง แต่จริงแล้วมันคือการควบคุมตนเอง) ดูเหมือนเป็นกรณีนั้นสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่หรือ? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว จนถึงตอนนี้ พวกเจ้าอยู่ในสภาวะไหนกันเล่า? เจ้ายังจะไม่เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงหรอกหรือ? (พวกเราจะเข้าแล้ว) การที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่เข้าไปสู่ชีวิตหมายความว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง นั่นคือสภาวะที่เจ้าอาศัยอยู่ ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่พวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้เล่า? เป็นเพราะเจ้าเข้าใจเพียงบางคำพูดและบางคำสอนเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่เข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริง ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับสภาวะหลากหลายที่กำลังอภิปรายกันอยู่ พวกเจ้ายังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน นั่นก็เป็นเช่นนั้นแล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องรับประสบการณ์ด้วยตัวเองและเมื่อได้รับประสบการณ์แล้ว เจ้าจะรู้ว่ารายละเอียดคืออะไร ความรู้สึก ความคิด และกระบวนการของประสบการณ์ของเจ้าล้วนมีรายละเอียด และรายละเอียดเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เป็นความเป็นจริง เมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้ เจ้ามีเพียงความรู้ระดับผิวเผินเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงทำซ้ำเหมือนนกแก้ว ความรู้ระดับผิวเผินหมายความว่าเจ้าได้หยุดอยู่ที่ความเข้าใจตามตัวอักษร ยังไม่ได้ทำให้เป็นของเจ้าเอง และยังคงห่างไกลจากการเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง สามารถกล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่? (สามารถ) พวกเจ้าต้องปฏิบัติไปตามสามัคคีธรรมของวันนี้ และเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะไตร่ตรอง การปฏิบัติความจริงนั้น เจ้าต้องไตร่ตรองเช่นกัน และในการไตร่ตรองขณะปฏิบัติ และการปฏิบัติขณะไตร่ตรอง เจ้าจะเข้าใจรายละเอียดของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เกี่ยวกับความจริงของเจ้าจะกลายเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกที และในหนทางนี้ เจ้าสามารถรับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไร ครั้นเจ้าได้เรียนรู้และรับประสบการณ์นั่นแล้วเท่านั้น เจ้าจึงสามารถครอบครองความเป็นจริงความจริงได้
บทตัดตอน 17
ผู้คนคิดว่าการปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องยาก แต่เหตุใดจึงมีผู้ที่สามารถปฏิบัติได้ล่ะ? ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นั้นรักความจริงหรือไม่ มีบางคนกล่าวว่าผู้ที่ปฏิบัติความจริงคือผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง บางคนมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและสามารถปฏิบัติความจริงได้บางส่วน อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่ขาดแคลนสภาวะความเป็นมนุษย์และทำให้การปฏิบัติความจริงเป็นเรื่องยาก ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องประสบกับความทุกข์บ้างเพื่อที่จะปฏิบัติ เราขอถามว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะแสวงหาความจริงในการกระทำของตนเองหรือไม่? ไม่เลย เขาไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย เขาตั้งเจตจำนงของตนเองและคิดว่าการกระทำตามเจตจำนงนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์กับตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงกระทำตามเจตจำนงเหล่านั้น เหตุผลที่เขาไม่แสวงหาความจริงเป็นเพราะมีบางสิ่งผิดปกติในหัวใจของเขา หัวใจของเขาไม่ถูกต้อง เขาไม่แสวงหา ไม่ตรวจสอบ อีกทั้งไม่อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เขาเพียงแค่ดื้อรั้นที่จะกระทำตามความประสงค์ของตนเอง คนประเภทนี้ก็แค่ไม่มีความรักให้แก่ความจริง แต่แม้ว่าในใจของพวกเขาจะไม่ไม่มีความรักให้แก่ความจริง พวกเขาก็อาจทำสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมและสิ่งที่ไม่ละเมิดหลักธรรม อย่างไรก็ตามการไม่ละเมิดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า อาจกล่าวได้เพียงว่านี่เป็นความบังเอิญเท่านั้น บางคนกระทำสิ่งต่างๆด้วยความสับสนและตามอำเภอใจโดยปราศจากการแสวงหา แต่พวกเขาก็สามารถตรวจสอบตนเองในภายหลัง หากพวกเขาพบว่าการกระทำนั้นขัดแย้งกับความจริง พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการกระทำเช่นนั้นในครั้งถัดไป นี่อาจพิจารณาได้ว่าเป็นการมีการกระทำแห่งการรักความจริงอยู่บ้าง ผู้คนประเภทนี้สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ในระดับหนึ่ง ผู้ที่ปราศจากการรักในความจริงจะไม่แสวงหาความจริงในชั่วขณะนั้นและไม่ตรวจสอบตนเองภายหลัง พวกเขาไม่เคยพินิจพิเคราะห์ว่าการกระทำของตนเองในท้ายที่สุดแล้วเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงละเมิดหลักธรรมและความจริงอยู่เสมอ แม้ว่าพวกเขาจะกระทำสิ่งที่ไม่ละเมิดหลักธรรม การกระทำนั้นก็ไม่สอดคล้องกับความจริง และสิ่งที่เรียกว่าการไม่ละเมิดหลักธรรมนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของวิธีการ เช่นนั้นแล้วผู้คนประเภทนี้อยู่ในสภาวะใดเมื่อกระทำตามความประสงค์ของตนเอง? พวกเขาไม่ได้กระทำด้วยสภาวะที่มึนงงหรือโง่ และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าการกระทำนี้จะสอดคล้องกับความจริงจริงๆ หรือไม่ พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ แต่พวกเขายืนกรานอย่างดื้อรั้นที่จะกระทำตามความประสงค์ของตนเอง พวกเขาตั้งใจที่จะกระทำเช่นนั้น โดยไม่มีเจตจำนงที่จะแสวงหาความจริง หากพวกเขาแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ก่อนที่จะเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ พวกเขาจะกระทำดังนี้: “ฉันจะเดินหน้าทำตามนี้ หากมันสอดคล้องกับความจริง ฉันจะทำต่อไป หากมันไม่สอดคล้องกับความจริง ฉันจะรีบแก้ไขและหยุดการกระทำในลักษณะนั้น” หากพวกเขาสามารถแสวงหาความจริงด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงในอนาคต หากปราศจากเจตจำนงนี้ พวกเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง คนที่มีหัวใจจะสามารถทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวเมื่อกำลังรับภาระกระทำการอย่างหนึ่ง มากที่สุดก็สองครั้ง—หนึ่งหรือสองครั้ง ไม่ใช่สามหรือสี่ครั้ง นี่คือสำนึกที่เป็นปกติ หากพวกเขาสามารถทำผิดพลาดแบบเดิมสามหรือสี่ครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความรักให้กับความจริง อีกทั้งไม่แสวงหาความจริง คนประเภทนี้เป็นบุคคลที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน หากหลังจากทำผิดพลาดหนึ่งครั้งหรือสองครั้งแล้ว พวกเขาไม่มีการตอบสนองในหัวใจของตนเอง ไม่มีการกระตุ้นมโนธรรมของตนเอง เมื่อนั้นพวกเขาจะกระทำผิดพลาดแบบเดิมสามหรือสี่ครั้ง และคนประเภทนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง นี่คือตัวตนของพวกเขา—ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง หากหลังจากทำผิดพลาดหนึ่งครั้งแล้วพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนได้กระทำไปมีบางสิ่งผิด และพวกเขาดูหมิ่นตัวเองอย่างมากและรู้สึกผิดในหัวใจ หากพวกเขามีสภาวะเช่นนี้ พวกเขาจะกระทำให้ดีขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมในเรื่องทำนองเดียวกันอีกครั้ง และพวกเขาจะค่อยๆ ไม่กระทำผิดพลาดแบบเดิมอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาต้องการกระทำเช่นนั้นในหัวใจ พวกเขาก็จะไม่กระทำตามนั้น นี่คือแง่มุมหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง เจ้าอาจจะกล่าวว่า “อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” อุปนิสัยเสื่อมทรามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ? เจ้าแค่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงต่างหาก หากเจ้าเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง เจ้าจะยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือไม่? ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้ขาดกำลังใจ พวกเขาล้วนเป็นผู้ต่ำช้าที่น่าเหยียดหยาม พวกเขาไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์ พวกเขาไม่ประสงค์ที่จะปฏิบัติความจริง แต่พวกเขากลับกล่าวว่าความจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขา คนเช่นนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่ใช่หรือ? การนี้คือพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริง สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาบกพร่อง และพวกเขากลับไม่เคยรู้จักธรรมชาติของตนเอง พวกเขามักสงสัยว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถทำให้มนุษย์สมบูรณ์หรือไม่ คนเช่นนี้ไม่เคยมีเจตจำนงที่จะมอบหัวใจของตนเองให้แก่พระเจ้า ไม่เคยวางแผนที่จะสู้ทนความทุกข์ยาก เหตุผลเดียวที่พวกเขายังคงอยู่ที่นี่ก็คือโอกาสอันน้อยนิดที่ว่าพวกเขาอาจได้รับโชคลาภความสำเร็จที่ดีในอนาคต คนประเภทนี้ถูกคร่าสภาวะความเป็นมนุษย์ไป หากพวกเขาเป็นคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ แม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาอย่างชัดแจ้ง และพวกเขาเข้าใจถึงความจริงเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะสามารถประพฤติผิดหรือไม่? คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่สามารถเข้าทำความประพฤติผิด คนบางคนที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์สามารถกระทำความประพฤติดีบางอย่างภายใต้เงื่อนไขว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาเท่านั้น หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาแล้ว ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดเผยออกมา มีใครที่สามารถมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาตลอดเวลาหรือไม่? ผู้ไม่เชื่อบางคนมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี อีกทั้งพวกเขายังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขาด้วย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายใดๆ เป็นการเฉพาะ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะสามารถกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้อย่างไร? นี่แสดงให้เห็นถึงปัญหาของธรรมชาติของมนุษย์ หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขา ธรรมชาติของผู้คนก็ถูกเปิดเผยออกมา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงดลใจพวกเขา ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างให้กับผู้คน เสริมพลังที่แตกปะทุให้แก่พวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความประพฤติดีบ้าง ในกรณีนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าธรรมชาติของพวกเขาดี แต่เป็นเรื่องของผลสำเร็จที่เกิดจากการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เมื่อปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเหนือพวกเขา ผู้คนก็ชอบทำตามความประสงค์ของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การที่พวกเขากระทำชั่วบางอย่างได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อนั้นเท่านั้นที่ธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาถูกเปิดเผยออกมา
จะแก้ไขธรรมชาติของผู้คนได้อย่างไร? เริ่มต้นด้วยการเข้าใจถึงแก่นแท้ของธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งคนเราต้องชำแหละตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดูว่าเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ และแก่นแท้นั้นต่อต้านพระเจ้าหรือนบนอบต่อพระเจ้า คนเราต้องทำสิ่งนี้จนพวกเขาตระหนักถึงแก่นแท้ธรรมชาติของตนเอง และจากนั้นพวกเขาก็สามารถดูหมิ่นตนเองและละทิ้งเนื้อหนังของตนเองอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน คนเราต้องเข้าใจน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า เป้าหมายของเจ้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร? เจ้าต้องสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า เมื่ออุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงแล้ว เจ้าจะได้รับความจริง ด้วยวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถหยุดตนเองไม่ให้กระทำชั่ว ต่อต้านพระเจ้า หรือกระทำสิ่งทั้งหลายที่ละเมิดความจริงได้อย่างไร? เจ้าต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ เหล่านี้หากเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลง เพื่อต้านปัญหาการมีธรรมชาติที่ไม่ดี เจ้าต้องจับความเข้าใจว่าเจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามใดและเจ้าสามารถกระทำสิ่งใดได้ เจ้าต้องจับความเข้าใจว่าจะใช้มาตรการใดและจะนำมาตรการเหล่านั้นไปปฏิบัติอย่างไรเพื่อควบคุมธรรมชาติที่ไม่ดีของตนเอง นี่คือประเด็นหลัก เมื่อมีความสับสนในความคิดของเจ้าหรือความมืดมนในดวงจิตของเจ้า เจ้าต้องรู้วิธีการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานั้น วิธีทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างสมควร และวิธีการเลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้อง เจ้าต้องกำหนดหลักธรรมสำหรับตนเอง การนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของแต่ละคนและการที่พวกเขาเป็นคนที่ต้องการพระเจ้าหรือไม่ มีคนคนหนึ่งที่มักโมโห เขาทำแผ่นจารึกและเขียนคำบนแผ่นจารึกว่า “กุมบังเหียนอารมณ์โกรธของตนเอง” จากนั้นเขาก็แขวนแผ่นจารึกนั้นไว้บนผนังห้องอ่านหนังสือของเขาเพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมตนเองและเป็นเครื่องเตือนสติตนเอง วิธีนี้อาจเป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่วิธีนี้แก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้คนก็ควรควบคุมตนเอง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่มีกับธรรมชาติของตนเอง พวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักตนเอง มีเพียงแค่การเห็นถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองได้อย่างชัดเจนเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาจะสามารถดูหมิ่นตนเองและละทิ้งเนื้อหนัง การละทิ้งเนื้อหนังก็ต้องการหลักธรรมทั้งหลายเช่นกัน คนเราสามารถละทิ้งเนื้อหนังขณะที่มึนหัวอยู่ได้หรือ? ทันทีที่เจ้าเผชิญปัญหา เจ้าก็ยอมอ่อนข้อต่อเนื้อหนัง พี่น้องบางคนอาจหยุดชะงักอย่างทันทีทันใดเมื่อเห็นสาวสวย หากเจ้าทำการนี้ด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องสร้างภาษิตสำหรับตัวเจ้าเอง เมื่อสาวสวยเข้ามาหาเจ้า เจ้าก็ควรจากไปหรือไม่? เจ้าควรทำสิ่งใดหากเธอยื่นมือออกมาจับมือของเจ้า? หากเจ้าไม่มีหลักการ การเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เจ้าสะดุด เจ้าควรทำสิ่งใดหากดวงตาของเจ้าลุกร้อนด้วยความริษยาเมื่อเห็นเงินและความอุดมโภคทรัพย์? เจ้าควรคำนึงถึงปัญหานี้เป็นพิเศษ และมุ่งเน้นที่การฝึกฝนตัวเจ้าเองเพื่อแก้ไขปัญหานี้ และเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังทีละเล็กทีละน้อยได้ มีหลักการหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งยวดมาก และนั่นคือเจ้าควรนำปัญหาของเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหามากขึ้น นอกจากนั้น ทุกเย็นเจ้าต้องตรวจดูสภาพเงื่อนไขของเจ้า และพินิจพิเคราะห์พฤติกรรมของเจ้าเอง กล่าวคือ การกระทำใดของเจ้าได้ถูกทำโดยสอดคล้องกับความจริง และการกระทำใดได้ฝ่าฝืนหลักการ? นี่เป็นอีกหลักการหนึ่ง สองข้อนี้มีความสำคัญมากที่สุดกล่าวคือ ข้อแรกคือเจ้าต้องทบทวนตนเองเมื่อความเสื่อมทรามของเจ้าถูกเปิดเผย ข้อที่สองคือเจ้าต้องทบทวนตนเองหลังจากเกิดเหตุเพื่อแสวงหาความจริง ข้อที่สามคือเจ้าต้องมีความชัดเจนว่าการปฏิบัติความจริงและการกระทำด้วยหลักธรรมหมายความว่าอย่างไร หากเจ้าสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถกระทำสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมสามข้อนี้ เจ้าจะสามารถควบคุมตนเอง ป้องกันตนเองจากการเปิดเผยหรือการสำแดงธรรมชาติที่เสื่อมทรามของเจ้า เหล่านี้คือหลักธรรมพื้นฐานเพื่อแก้ไขธรรมชาติของเจ้า ด้วยการมีหลักธรรมเหล่านี้ หากเจ้าพยายามปฏิบัติเพื่อไปสู่ความจริงและอยู่ในภาวะปกติแม้แต่เวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจเหนือเจ้าหรือหากเจ้าดำเนินชีวิตยาวนานโดยไม่มีใครให้การสามัคคีธรรมแก่เจ้า เมื่อนั้นเจ้าคือผู้ที่รักความจริงและละทิ้งเนื้อหนัง ผู้ที่พึ่งพาผู้อื่นเป็นนิจเพื่อสามัคคีธรรมความจริงและตัดแต่งและจัดการตัวพวกเขาเองเป็นทาส คนเช่นนี้มีความพิการและไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง ผู้ที่กระทำโดยไร้หลักธรรมจะกระทำโดยไม่ยั้งคิดและเสียการควบคุมตนเองหากพวกเขาไม่ได้ถูกตัดแต่งและจัดการหรือได้รับการสามัคคีธรรมมาระยะเวลาหนึ่ง คนเช่นนี้จะสามารถทำให้พระเจ้าวางพระทัยขึ้นได้อย่างไร? ดังนั้นเจ้าต้องปฏิบัติตามหลักธรรมสามข้อนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของธรรมชาติ นี่จะป้องกันเจ้าไม่ให้กระทำการฝ่าฝืนใหญ่ๆ และรับประกันว่าเจ้าจะไม่ต่อต้านหรือทรยศพระเจ้า
บทตัดตอน 18
มีผู้คนมากมายที่ได้กล่าวถึงปัญหาเดียวกันนี้ หลังจากที่ได้รับฟังการสามัคคีธรรมที่มอบให้โดยเบื้องบน พวกเขารู้สึกชัดเจนและมีพลัง และไม่คิดลบอีกต่อไป อย่างไรก็ตามสภาวะเช่นนี้คงอยู่เป็นเวลาประมาณสิบวันวันจากนั้นและก็กลับมาอยู่ในสภาวะไม่ปกติอีกครั้ง และพวกเขาขาดพลัง พวกเขาไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรและจะทำอย่างไร ปัญหานี้คืออะไร? อะไรคือรากเหง้าของปัญหา? พวกเจ้าเคยพิจารณาถึงเรื่องนี้หรือไม่? มีบางคนกล่าวว่ารากเหง้าของปัญหาคือผู้คนไม่จดจ่อกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีสภาวะที่ปกติหลังจากรับฟังการสามัคคีธรรมได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกมีความสุขและปลดปล่อยเป็นพิเศษหลังจากที่ได้รับฟังความจริง? บางคนกล่าวว่านี่คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไปหลังจากไม่กี่สิบวันจากนั้น? บางคนกล่าวว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มุ่งมั่นที่จะดีขึ้นและได้กลายเป็นคนเกียจคร้าน เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงไม่ทรงพระราชกิจเหนือผู้คนที่มุ่งมั่นที่จะดีขึ้น? เจ้าเองก็ไม่มุ่งมั่นที่จะดีขึ้นเช่นกันใช่หรือไม่? เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจ? เหตุผลที่ผู้คนมีให้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ปัญหาก็คือไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจหรือไม่ก็ตาม ความร่วมมือของมนุษย์ไม่สามารถที่จะละเลยได้ เมื่อใดที่คนที่รักความจริงสามารถเข้าใจความจริงได้อย่างชัดเจน พวกเขาจะรักษาสภาพปกติไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจหรือไม่ก็ตาม ในทางกลับกัน คนที่ไม่รักความจริง แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจความจริงได้อย่างชัดเจนอย่างยิ่งและแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจอย่างมีนัยสำคัญ ความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้ยังคงถูกจำกัด พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้เพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเขามีความสุข ในเวลาส่วนใหญ่พวกเขาจะยังคงกระทำตามความพึงใจของตนเอง และมักจะเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเอง ดังนั้นไม่ว่าภาวะของบุคคลหนึ่งจะเป็นปกติและไม่ว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยทั้งหมด นอกจากนี้ยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความจริงนั้นชัดเจนสำหรับบุคคลนั้นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นรักความจริงและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงหรือไม่ โดยปกติคนที่ฟังเทศน์และการสามัคคีธรรมจะมีสภาพที่ค่อนข้างปกติในช่วงเวลาหนึ่ง นี่คือผลของการที่ได้เข้าใจความจริง ความจริงจะทำให้เจ้าตระหนักถึงธรรมชาติที่เสื่อมทรามของตนเอง หัวใจของเจ้ามีความสุขและปลดปล่อยเป็นอิสระ และสภาวะของเจ้าเริ่มดีขึ้น แต่หลังจากช่วงเวลาหนึ่ง เจ้าอาจเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่เจ้าไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นอย่างไร หัวใจของเจ้ามืดมนกว่าเดิมและเจ้าเก็บความจริงไว้ในส่วนลึกของความคิดโดยไม่รู้ตัว เจ้าไม่พยายามที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในการกระทำของตนเอง เจ้าเลือกกระทำทุกอย่างตามอำเภอใจของเจ้า และเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะสูญเสียความจริงที่เจ้าเคยเข้าใจ เจ้าจะเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองอย่างต่อเนื่อง เจ้าไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่างๆ แม้ว่าเจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้า เจ้าก็ทำอย่างไม่ตั้งใจ ในชั่วขณะที่เจ้าตระหนักถึงเรื่องนี้ ห้วใจของเจ้าได้ออกห่างจากพระเจ้า และเจ้าได้ต่อต้านพระเจ้าในหลายๆเรื่องไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า เรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างมาก ยังคงมีการไถ่บาปสำหรับคนที่ไม่ได้เดินตามเส้นทางนี้มาจนไกลเกินไป แต่ไม่มีการไถ่บาปสำหรับคนที่ไปไกลถึงขนาดหมิ่นประมาทพระเจ้าและต่อสู้กับพระเจ้า แข่งขันแย่งชิงตำแหน่ง อาหารและเสื้อผ้า จุดมุ่งหมายของการสามัคคีธรรมถึงความจริงให้ชัดเจนคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้ นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อนำความสว่างและความสุขเล็กน้อยมาสู่หัวใจของพวกเขาทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริงเท่านั้น หากเจ้าเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วการสามัคคีธรรมและเข้าใจความจริงก็ไร้ประโยชน์ สิ่งใดคือปัญหาเมื่อผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำไปปฏิบัติ? นี่คือบทพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริง ว่าในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ซึ่งในกรณีนี้พวกเขาย่อมจะไม่ได้รับพรจากพระเจ้าและพลาดโอกาสที่จะได้รับความรอด ส่วนผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งคือพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ หากเจ้านำความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ เจ้าย่อมจะได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริงที่ลึกซึ้งขึ้น และจะได้รับความจริง และได้รับความรอดของพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาพร่ำบ่นตลอดเวลาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ประทานความรู้แจ้งหรือความกระจ่างแก่พวกเขา ว่าพระเจ้าไม่ประทานเรี่ยวแรงแก่พวกเขา นี่ไม่ถูกต้อง นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด ความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์สร้างขึ้นบนรากฐานแห่งการให้ความร่วมมือของผู้คน ผู้คนต้องจริงใจและเต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่ว่าความเข้าใจของพวกเขาจะลุ่มลึกหรือผิวเผิน พวกเขาก็ต้องสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ—หากพวกเขาเพียงรอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำการและบังคับให้พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ—พวกเขาก็กำลังนิ่งเฉยอย่างที่สุดมิใช่หรือ? พระเจ้าไม่มีวันบังคับให้ผู้คนทำสิ่งใด หากผู้คนเข้าใจความจริง แต่ไม่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง หรือสภาวะของพวกเขาผิดปกติและมีสิ่งกีดขวางบางประการอยู่ แต่หากผู้คนสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงกระทำการเช่นกัน เฉพาะเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจปฏิบัติความจริงและไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าอีกด้วยเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะไร้วิถีทางที่จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะมีความลำบากยากเย็นประการใด ก็สามารถแก้ไขได้เสมอ สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่ วันนี้ปัญหาความเสื่อมทรามในตัวพวกเจ้าไม่ใช่มะเร็งอย่างหนึ่ง ไม่ใช่โรคบางอย่างที่รักษาไม่หาย หากพวกเจ้าสามารถมุ่งมั่นปฏิบัติความจริง พวกเจ้าก็จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และย่อมจะเป็นไปได้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติความจริงหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ หากเจ้าปฏิบัติความจริง หากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งก้าวที่ผิดจะก่อเกิดอีกก้าวหนึ่งที่ผิด และทุกอย่างก็จะจบสิ้นสำหรับเจ้า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่อต่อไปอีกกี่ปีก็ตาม เจ้าจะไม่สามารถบรรลุความรอด ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขากำลังทำงาน ผู้คนบางคนไม่เคยคิดถึงวิธีทำงานในหนทางที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า—ส่งผลให้พวกเขาทำหลายสิ่งที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม น่าดูหมิ่นและน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า และเมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาจึงถูกเปิดเผยและขับออกไป หากในทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้คนสามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าแล้ว และดังนั้นจึงมีหวังที่จะกลายเป็นใครบางคนที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้คนบางคนเข้าใจความจริง แต่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ แทนที่จะทำเช่นนั้นพวกเขากลับเชื่อว่าความจริงก็มีเท่านี้ และไม่สามารถแก้ไขแนวโน้มและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้พวกเขาได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ? พวกเขาไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่คนอวดรู้หรอกหรือ? หากผู้คนสามารถกระทำการตามความจริงได้ เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากการเชื่อและการปรนนิบัติพระเจ้าของพวกเขาเป็นไปตามบุคลิกภาพโดยธรรมชาติของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีพวกเขาสักคนเดียวที่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้ มีผู้คนบางคนที่ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากตัวเลือกที่ผิดของตนเอง เมื่อได้รับมอบความจริงที่พร้อมให้ใช้โดยสะดวก พวกเขากลับไม่นึกถึงหรือพยายามนำไปปฏิบัติ แต่ยืนกรานที่จะเลือกเส้นทางของตนเอง นี่คือหนทางของการประพฤติตัวที่ไร้สาระยิ่งนัก แท้จริงแล้วพวกเขาไม่สามารถชื่นชมพระพรเมื่อพวกเขามีสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ และถูกลิขิตให้มีชีวิตที่ยากลำบาก การปฏิบัติความจริงนั้นเรียบง่ายมาก เจ้าจะลงมือปฏิบัติหรือไม่คือทั้งหมดที่สำคัญ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มุ่งมั่นปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วความคิดลบ ความอ่อนแอ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลง นี่ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของเจ้ารักความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถยอมรับความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อให้ได้รับความจริงหรือไม่ หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถทุกข์ทนกับความเจ็บปวดทุกชนิดเพื่อให้ได้รับความจริง ไม่ว่านี่จะเป็นการถูกผู้คนกล่าวโจมตี ตัดสิน หรือปฏิเสธผู้คน เจ้าก็ควรทนรับทั้งหมดนี้เอาไว้ด้วยความอดทนและอดกลั้น แล้วพระเจ้าจะทรงอวยพรและปกป้องเจ้า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งหรือละเลยเจ้า—นี่แน่นอนที่สุด หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้าและยอมรับนับถือพระเจ้า ก็จะไม่มีสิ่งใดที่เจ้าไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ เจ้าอาจมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าอาจฝ่าฝืน แต่หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และหากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างละเอียดรอบคอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย และจะได้รับการนำและการปกป้องจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
มีผู้คนบางคนที่เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพียงเพื่อที่จะทำงานและประกาศ เพื่อที่จะจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง และยิ่งไม่นำความจริงไปปฏิบัติ การสามัคคีธรรมของพวกเขาอาจมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ และสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขาไม่เอาความจริงมาประเมินวัดตนเอง และพวกเขาไม่ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับความจริง ปัญหาในที่นี้คืออะไร? พวกเขายอมรับความจริงเสมือนเป็นชีวิตของตนอย่างแท้จริงแล้วหรือ? ไม่เลย พวกเขาไม่เคยยอมรับ คำสอนที่คนเราประกาศ ไม่ว่าจะถ่องแท้เพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าคนเรามีความเป็นจริงความจริง การที่จะถึงพร้อมด้วยความจริงนั้น คนเราต้องเข้าสู่ความจริงด้วยตนเองเสียก่อน และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว ก็นำความจริงไปปฏิบัติ หากคนเราไม่มุ่งเน้นที่การเข้าสู่ของตนเอง แต่มุ่งที่จะอวดตนด้วยการประกาศความจริงแก่ผู้อื่น เจตนาของพวกเขาย่อมผิด มีผู้นำเทียมเท็จมากมายที่ทำงานเช่นนี้ สามัคคีธรรมกับผู้อื่นไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับความจริงที่ตนเข้าใจ จัดเตรียมให้แก่ผู้เชื่อใหม่ สอนผู้คนให้ปฏิบัติความจริง ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ไม่คิดลบ คำพูดเหล่านี้ล้วนดีงาม—เปี่ยมรักด้วยซ้ำไป—แต่เหตุใดผู้ที่กล่าวคำพูดเหล่านี้จึงไม่ปฏิบัติความจริง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีการเข้าสู่ชีวิต? แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในที่นี้? อันที่จริงบุคคลเช่นนี้รักความจริงหรือไม่? เรื่องนี้พูดยาก นี่คือวิธีที่พวกฟาริสีในอิสราเอลขยายความพระคัมภีร์ให้แก่ผู้อื่น แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยตนเองได้ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ก็ต้านทานองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าและถูกพระเจ้าสาปแช่ง เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งหมดที่ไม่ยอมรับความจริงหรือปฏิบัติความจริง ย่อมจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาช่างเลวร้าย! หากคำพูดและคำสอนที่พวกเขาประกาศสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เหตุใดจึงช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้? พวกเราควรเรียกบุคคลเช่นนี้ว่าคนหน้าซื่อใจคดที่ไม่มีความเป็นจริง พวกเขาจัดเตรียมความหมายตามตัวอักษรเกี่ยวกับความจริงให้แก่ผู้อื่น พวกเขาให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติความจริงด้วยตนเองแม้แต่น้อย บุคคลเช่นนี้ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง แต่ทว่าในการประกาศคำพูดและคำสอนแก่ผู้อื่น พวกเขากลับแสร้งทำเป็นว่ามี นี่คือการจงใจหลอกลวงและทำร้ายมิใช่หรือ? หากบุคคลเช่นนี้ถูกเปิดโปงและขับออกไป พวกเขาย่อมจะมีแต่ตัวเองให้ติเตียนเท่านั้น พวกเขาไม่ควรค่าที่จะได้รับความสงสาร ผู้ที่เพียงเทศนาพระวจนะและคำสอนแต่ไม่ปฏิบัติความจริงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้หรือไม่? พวกเขาไม่ได้คดโกงผู้อื่นและทำร้ายตนเองอยู่หรือ? การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องของการปฏิบัติทั้งสิ้น จุดประสงค์ของการปฏิบัติความจริงคือการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง แต่พวกเขาไม่หมายรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองหรือใช้ความจริงเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของตนเอง ไม่ว่าพวกเขาจะให้น้ำ จัดเตรียมหรือสนับสนุนผู้อื่น พวกเขาจะไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลที่แท้จริงเพราะว่าพวกเขาไม่มีเส้นทางเข้าสู่ชีวิตหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเอง หากว่าการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงไม่ช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นหรือปัญหาของผู้คน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็แค่เอ่ยคำพูดและคำสอนที่น่าฟังแต่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ? หากเจ้าต้องการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เจ้าต้องจดจ่อกับการปฏิบัติและรับประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าก่อน ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงในด้านใด เจ้าต้องจดจ่อกับการนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ การปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่เจ้าจะค้นพบปัญหา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าจะสามารถหมายรู้เมื่อเจ้าเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าออกมา หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนแปลง จากนั้นเจ้าจะมีเส้นทางเมื่อเจ้าพูดคุยถึงการปฏิบัติความจริง และเจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง นี่แสดงให้เห็นว่าหากเจ้าตั้งใจที่จะปฏิบัติความจริง เจ้าจะมีความเป็นจริงความจริง หากเจ้าตั้งใจที่จะปฏิบัติความจริง เจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะจัดเตรียมให้ผู้อื่น จากนั้น พระเจ้าจะทรงชื่นชมเจ้า และผู้คนจะเห็นชอบในตัวเจ้า