พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า

บทตัดตอน 1

บางคนเชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเอาไว้เป็นความจริงโดยแท้  อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขามาถึงพระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในหัวใจ ไม่ยับยั้งวาจาและการกระทำของตน ประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม และพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ตัดสินและว่าร้ายตามที่ตนเห็นควร  นี่คือการที่คนชั่วเยี่ยงนั้นถูกเปิดเผย สิ่งทรงสร้างที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์เหล่านี้มักจะทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร และย่อมจะไม่มีเรื่องดีบังเกิดแก่พวกเขา!  พวกเขาต้านทาน ว่าร้าย ตัดสิน และจาบจ้วงพระเจ้าอย่างเปิดเผย หมิ่นประมาทพระองค์และตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์อย่างเปิดเผย  ผู้คนเยี่ยงนี้ต้องได้รับโทษอย่างร้ายแรง  บางคนเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จ และหลังจากที่ถูกปลดก็รู้สึกเคืองพระเจ้าตลอดเวลา  พวกเขาฉวยโอกาสเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายคำพร่ำบ่นของตนอยู่ร่ำไปตามการชุมนุมต่างๆ พวกเขาอาจถึงขั้นโพล่งถ้อยคำที่เกรี้ยวกราดหรือวาจาที่ระบายความเกลียดชังของตนออกมา  ผู้คนเยี่ยงนี้คือปีศาจมิใช่หรือ?  หลังจากถูกนำตัวออกจากพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้ว พวกเขาก็สำนึกเสียใจ อ้างว่าชั่วขณะที่โง่เขลานั้น ตนพูดผิดไป  บางคนแยกแยะคนเหล่านี้ไม่ออก จึงกล่าวว่า “พวกเขาออกจะน่าสงสารและสำนึกผิดจากหัวใจแล้ว  พวกเขาบอกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าและไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น มาให้อภัยพวกเขากันเถอะ”  การให้อภัยสามารถทำได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ?  ผู้คนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง นับประสาอะไรกับพระเจ้า!  หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้หมิ่นประมาทและว่าร้ายเสร็จแล้ว พวกเขาก็ดูจะสำนึกผิดในสายตาของคนบางคนที่ยอมอภัยให้และกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นกระทำการในชั่วขณะที่โง่เขลา—แต่นั่นเป็นชั่วขณะที่โง่เขลาหรือไม่?  พวกเขามีเจตนาบางอย่างอยู่ในคำพูดของตนเสมอ และถึงกับกล้าตัดสินพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าจึงสลับตำแหน่งพวกเขา แล้วพวกเขาก็สูญเสียผลประโยชน์จากสถานะ และด้วยความกลัวว่าจะถูกกำจัดออกไป พวกเขาจึงเอ่ยปากพร่ำบ่นมากมาย ร้องไห้อย่างขมขื่น และสำนึกผิดในภายหลัง  เช่นนี้มีประโยชน์อันใด?  เมื่อเจ้ากล่าววาจาออกมาแล้ว ก็เหมือนน้ำที่เทลงพื้น ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้  พระเจ้าจะทรงอดกลั้นต่อผู้คนที่ต้านทาน ตัดสิน และหมิ่นประมาทพระองค์ตามใจชอบกระนั้นหรือ?  พระองค์จะทรงมองข้ามไปเสียเฉยๆ กระนั้นหรือ?  หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าย่อมจะทรงไร้ซึ่งศักดิ์ศรี  หลังจากต้านทานพระองค์แล้ว บางคนก็กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ไถ่ข้าพระองค์  พระองค์ทรงให้พวกเราอภัยแก่ผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง—พระองค์ก็ควรที่จะประทานอภัยแก่ข้าพระองค์เช่นเดียวกัน!”  ช่างไร้ยางอายเสียจริง!  บางคนแพร่กระจายข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและเกิดความเกรงกลัวขึ้นมาหลังจากว่าร้ายพระองค์  พอกลัวการถูกลงโทษ พวกเขาก็รีบคุกเข่าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า!  ขออย่าได้เสด็จไปจากข้าพระองค์ ขออย่าทรงลงโทษข้าพระองค์  ข้าพระองค์ขอสารภาพ ข้าพระองค์สำนึกผิดแล้ว ข้าพระองค์เป็นหนี้บุญคุณพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำผิดไปแล้ว”  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนเช่นนี้อภัยได้หรือไม่?  ไม่ได้!  ทำไมจึงไม่ได้?  สิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบาปที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่มีวันได้รับการอภัยไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือในโลกที่จะมาถึง!  พระเจ้าย่อมรักษาพระดำรัสของพระองค์  พระองค์ทรงมีศักดิ์ศรี พระพิโรธ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรม  เจ้าคิดหรือว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนมนุษย์ ที่หากมีใครดีต่อพระองค์มากขึ้นอีกสักหน่อย พระองค์ก็จะทรงมองข้ามการฝ่าฝืนที่ผ่านมาของคนเหล่านั้น?  หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!  หากเจ้าต้านทานพระเจ้า สิ่งต่างๆ จะกลับกลายเป็นดีสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ?  ถ้าเจ้าทำความผิดบางอย่างด้วยความโง่เขลาชั่วขณะ หรือเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเล็กน้อยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้าเจ้าต้านทาน กบฏต่อพระเจ้า และตั้งตนต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และถ้าเจ้าว่าร้าย หมิ่นประมาทและแพร่กระจายข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จบสิ้นโดยสิ้นเชิง  ไม่มีความจำเป็นที่คนเช่นนี้จะต้องอธิษฐานอีกต่อไป พวกเขาควรรอรับการลงโทษเท่านั้น  เป็นผู้คนที่อภัยให้ไม่ได้!  เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าพูดอย่างไร้ยางอายว่า “พระเจ้า โปรดอภัยให้ข้าพระองค์ด้วย!”  ไม่ว่าเจ้าจะวิงวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ น่าเสียใจที่พูดไป  เมื่อเข้าใจความจริงบางส่วนแล้ว เช่นนั้นถ้าผู้คนยังฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ก็ไม่อาจอภัยให้พวกเขาได้  ก่อนหน้านี้มีคำกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของคนเรา  นั่นหมายถึงผู้เยาว์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกฎการปกครองของพระเจ้าและมิได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ไม่รวมถึงการหมิ่นประมาทและว่าร้ายพระเจ้า แต่หากเจ้าจะหมิ่นประมาท ตัดสิน หรือว่าร้ายพระเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว นี่ย่อมจะเป็นจุดด่างพร้อยถาวรที่ไม่อาจลบออกได้  ผู้คนนึกอยากจะหมิ่นประมาทและหยาบหยามพระเจ้าตามใจชอบ แล้วจากนั้นก็เอาเปรียบพระองค์เพื่อให้ได้รับพร  ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาง่ายๆ เช่นนั้น!  ผู้คนคิดเสมอว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและใจดี พระองค์ทรงเมตตา พระหทัยของพระองค์นั้นไพศาลและไม่อาจประมาณได้ พระองค์ไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของผู้คน และทรงปล่อยให้การฝ่าฝืนและการกระทำในอดีตของผู้คนเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไป  การปล่อยสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้แล้วกันไปย่อมเกิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  พระเจ้าจะไม่มีวันอภัยให้ผู้ที่ต้านทานและหมิ่นประมาทพระองค์อย่างเปิดเผย

แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่พวกเขาก็มิได้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  นี่แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ถ้าผู้คนไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่ได้เกรงกลัวพระองค์ในการเชื่อของพวกเขา และพูดจาตามใจชอบเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของตน เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาพูดจบ เรื่องจะจบลงตรงนั้นกระนั้นหรือ?  พวกเขาต้องรับผลจากคำพูดของตน และนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า เมื่อพวกเขาตัดสินพระเจ้า พวกเขารู้แก่ใจหรือไม่ว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่?  ทุกคนที่กล่าวสิ่งเหล่านี้รู้แก่ใจดีว่าตนพูดอะไรออกไป  นอกเหนือจากคนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำและเป็นผู้ที่มีเหตุผลผิดปกติแล้ว คนทั่วไปย่อมรู้อยู่ในหัวใจของตนว่าตนกำลังพูดอะไร  ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังโกหก  เวลาที่พวกเขาพูด พวกเขาก็คิดว่า “ฉันรู้ว่าท่านคือพระเจ้า  และฉันก็กำลังพูดอยู่ว่าท่านทำไม่ถูก แล้วท่านจะทำอะไรฉันได้?  ท่านจะทำอย่างไรเมื่อฉันพูดจบ?”  พวกเขาเจตนาทำเช่นนี้เพื่อก่อความไม่สงบแก่ผู้อื่น เพื่อดึงผู้อื่นมาอยู่ฝั่งตน เพื่อให้ผู้อื่นพูดอะไรที่คล้ายๆ กัน ทำให้ผู้อื่นทำอะไรคล้ายๆ กัน  พวกเขารู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นการต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผย เป็นการต่อต้านพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า  หลังจากใคร่ครวญแล้ว พวกเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด “ฉันพูดอะไรออกไป?  นั่นเป็นชั่วขณะที่ผลีผลามและฉันก็เสียใจจริงๆ!”  ความเสียใจของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้ชัดว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้  หากเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่รู้เท่าทันและสับสนไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด  ผู้คนอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องมีสามัญสำนึกขั้นต่ำอยู่แล้ว  การที่จะเชื่อในพระเจ้านั้น เจ้าควรเกรงกลัวพระเจ้าและยำเกรงพระองค์  เจ้าไม่อาจหมิ่นประมาทพระเจ้า ตัดสิน หรือว่าร้ายพระองค์ตามใจชอบ  เจ้ารู้ไหมว่า “การตัดสิน” “การหมิ่นประมาท” และ “การว่าร้าย” หมายความว่าอย่างไร?  เมื่อเจ้าพูดอะไรสักอย่าง เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังตัดสินพระเจ้าอยู่หรือไม่?  บางคนพูดตลอดเวลาถึงข้อเท็จจริงที่พวกเขารับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับพระเจ้า มักจะพบเจอพระเจ้า และได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าโดยตรง  พวกเขาพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมา อย่างละเอียด และมีแต่เรื่องของผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น พวกเขาไม่รู้อะไรที่แท้จริงเลย เวลาที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอาจไม่มีเจตนาร้าย  พวกเขาอาจมีเจตนาดีกับพี่น้องชายหญิงและปรารถนาที่จะให้กำลังใจทุกคน  แต่ทำไมพวกเขาจึงเลือกหยิบสิ่งเหล่านี้มาพูด?  ถ้าพวกเขาขวนขวายที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องมีเจตนาบางอย่าง โดยมากแล้วก็เพื่ออวดตัวและทำให้ผู้คนยอมรับนับถือตนเอง  ถ้าพวกเขาจะทำให้ผู้คนมั่นใจและให้กำลังใจผู้คนในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อาจจะอ่านพระวจนะของพระองค์ซึ่งเป็นความจริงให้คนเหล่านั้นฟังมากขึ้น  เหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานที่จะพูดถึงสิ่งภายนอกดังกล่าว?  ต้นตอของการที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ก็คือพวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยแท้  พวกเขาไม่กลัวพระเจ้า  พวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมและพูดจาพล่อยๆ ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีศักดิ์ศรี!  ถ้าผู้คนตระหนักถึงข้อนี้ พวกเขาจะยังทำเช่นนั้นอีกหรือไม่?  ผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาพูดตามอำเภอใจว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรและกล่าวถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นตามแรงจูงใจของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน และเพื่อให้ผู้อื่นมองตนอย่างยกย่อง  นี่คือการตัดสินพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยแท้  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจแม้แต่น้อย  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ต้านทานและ หมิ่นประมาทพระเจ้า  พวกเขาทุกคนคือพวกวิญญาณชั่วและปีศาจ  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาสองสามปี แต่หลังจากที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับตัวไป พวกเขาก็กลายเป็นยูดาส ถึงขั้นหมิ่นประมาทพระเจ้าตามพญานาคใหญ่สีแดง  บางคนประกาศข่าวประเสริฐ กล่าวถ้อยคำต่างๆ ที่เป็นการตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าและกล่าวโทษพระเจ้าตามผู้เคร่งศาสนา พวกเขารู้ว่าการพูดในลักษณะนี้เป็นการต้านทานพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้า แต่พวกเขาหาได้กังวลไม่  การพูดในลักษณะนี้ย่อมไม่เหมาะสม ไม่ว่าอะไรจะเป็นแรงจูงใจของเจ้าก็ตาม  เจ้าแค่พูดอย่างอื่นไม่ได้หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงต้องพูดสิ่งเหล่านี้?  นี่ไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ?  ถ้าถ้อยคำเยี่ยงนี้ออกมาจากปากของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า  การที่เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำไปโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นการไม่นับถือพระเจ้า เจ้าไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  เจ้าเออออไปกับคนอื่นๆ และกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทเพื่อให้คนอื่นพอใจและได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา  เจ้าช่างไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปร่วมขบวนกับมาร!  เจ้าสามารถล้อเล่น ตัดสิน ตีกรอบ และหมิ่นประมาทพระเจ้าตามใจชอบกระนั้นหรือ?  การทำเช่นนั้นช่างเลวร้ายนัก!  ถ้าเจ้าพูดอะไรผิดไปและเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นแล้ว  นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย!  บางคนคิดว่า “ผู้คนในศาสนาถูกพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิด และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้พูดสิ่งต่างๆ ที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์  บางคนยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและกลับใจแล้ว  แบบนี้พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดไหม?  ถ้าพวกเขาล้วนถูกพระเจ้าทอดทิ้ง คนที่จะได้รับการช่วยให้รอดก็จะมีน้อยเกินไป แทบจะไม่มีใครได้รับการช่วยให้รอดเลย”  เจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความชอบธรรม และพระองค์ก็ทรงชอบธรรมกับทุกคน  ในยุคของโนอาห์ มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่ได้รับการช่วยให้รอดในเรือใหญ่ ส่วนที่เหลือก็ถูกทำลายล้าง  เจ้ากล้าพูดหรือว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม?  มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนัก  พวกเขาล้วนเป็นของซาตาน พวกเขาล้วนต้านทานพระเจ้า และพวกเขาล้วนต่ำช้าและไร้ค่า  ถ้าพวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ พวกเขาจะถูกทำลายล้างเหมือนเคยมา  บางคนอาจคิดในใจว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยพวกเราสักคนให้รอด เช่นนั้นพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดถ้าไม่มีมนุษย์  ถ้าพระเจ้าไปจากมนุษย์ การบริหารจัดการของพระเจ้าก็จะหมดไปด้วย”  เจ้าผิดแล้ว  พระเจ้าจะทรงดำเนินแผนการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปเช่นเดิมแม้จะไม่มีมนุษย์ก็ตาม  ผู้คนตีค่าตนเองสูงเกินไป  ผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาไม่มีใจศรัทธาต่อหน้าพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่มีท่าทีใดๆ ของการประพฤติตัวให้ดี  เนื่องจากผู้คนมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานและเป็นของซาตาน พวกเขาจึงสามารถตัดสินพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้าเมื่อใดก็ได้และที่ใดก็ได้  นี่เป็นสิ่งที่เลวร้าย—เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า!

บทตัดตอน 3

ผู้เชื่อจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับการแปลงสภาพในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต แต่กลับมุ่งเน้นและห่วงกังวลเรื่องตัวเองกับท่าทีของพระจ้าที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาครอบครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้าหรือไม่  พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะคาดเดาว่าพวกเขาดูเป็นอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า และว่าพวกเขาครองตำแหน่งในพระหทัยของพระองค์หรือไม่  ผู้คนมากมายเก็บงำความคิดประเภทนี้ และหากพวกเขามาเผชิญหน้ากับพระเจ้า พวกเขาจะสังเกตเสมอว่าพระองค์ทรงมีความสุขหรือมีโทสะในยามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา  แล้วก็มีบรรดาผู้ที่ชอบตั้งคำถามกับผู้อื่นว่า “พระเจ้าทรงเอ่ยถึงความลำบากยากเย็นของฉันหรือเปล่า?  จะว่าไป พระองค์ทรงคิดกับฉันอย่างไรหรือ?  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความห่วงกังวลที่มีต่อฉันหรือไม่?”  บางคนถึงกับมีประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำ—หากพระเจ้าแค่ชายพระเนตรมองพวกเขานิดเดียว นั่นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจับสังเกตเห็นปัญหาใหม่เข้าแล้วว่า “โอ ไม่นะ พระเจ้าเพิ่งชำเลืองทอดพระเนตรฉัน และแววพระเนตรของพระองค์ก็ไม่ได้ดูมีความสุขนัก นี่ไม่ใช่สัญญานที่ดีเลย”  ผู้คนให้ความสำคัญใหญ่หลวงกับสิ่งเช่นนั้น  คนบางคนกล่าวว่า “พระเจ้าที่พวกเราเชื่อคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ ดังนั้นถ้าพระองค์ไม่ทรงใส่ใจในตัวพวกเรา นั่นไม่ส่อจุดจบสำหรับพวกเราหรอกหรือ?”  การนี้ที่พวกเขาหมายถึงคือ “ถ้าพวกเราไม่มีที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า ทำไมพวกเราควรยุ่งยากกับการเชื่อเล่า?  พวกเราควรหยุดเชื่อแค่นั้นเอง!”  นี่ไม่ใช่การขาดสำนึกหรอกหรือ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนควรเชื่อในพระเจ้า?  ผู้คนไม่เคยไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงมีที่ทางในหัวใจพวกเขาหรือไม่ และถึงกระนั้นพวกเขาก็ต้องการที่ทางในพระหทัยพระเจ้า  พวกเขาช่างโอหังและทะนงตนอะไรเช่นนี้!  นี่คือส่วนของพวกเขาที่ขาดพร่องเหตุผลที่สุด  มีแม้แต่บรรดาผู้ที่ขาดพร่องเหตุผลจนถึงขนาดที่เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบถึงผู้อื่นและไม่พูดถึงชื่อของพวกเขาเลย หรือแสดงความห่วงกังวลและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นแทนที่จะเป็นพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกไม่พึงพอใจ อีกทั้งเริ่มโอดครวญและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม รวมทั้งไม่เป็นธรรมและไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ  นี่คือปัญหาตรงเหตุผลของพวกเขา และพวกเขาก็ค่อนข้างผิดปกติทางจิตอีกด้วย  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ ผู้คนอ้างอยู่เสมอว่าพวกเขาจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจับวางเรียบเรียงของพระเจ้า ว่าพวกเขาจะไม่มีวันพร่ำบ่นไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร และว่าพวกเขาสบายดีกับการที่พระเจ้าทรงจัดการกับพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา หรือทรงพิพากษาและตีสอนพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวในความเป็นจริง พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น  ผู้คนมีเหตุผลหรือไม่?  ผู้คนคิดถึงตัวเองอย่างสูงส่งและเชื่อว่าตัวเองสำคัญมากจนถึงขั้นที่ว่า หากพวกเขาล่วงรู้สักนิดว่าพระเจ้าได้ทรงมองพวกเขาในทางที่ผิด พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะบรรลุความรอดเสียแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงลงมือจัดการและตัดแต่งพวกเขาจริงๆ  หรือไม่เช่นนั้น หากประเจ้าตรัสกับพวกเขาในพระกระแสเสียงที่ดุดันขึ้น และนั่นทิ่มแทงเข้าไปหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ และเริ่มคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย  พวกเขาคิดว่า “ฉันจะสามารถเชื่อพระเจ้าต่อไปได้อย่างไรหากพระองค์ทรงเพิกเฉยฉัน?”  บางคนขาดวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คนประเภทนี้และคิดว่า “ดูสิว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นแท้จริงแค่ไหน  พระเจ้าทรงสำคัญต่อพวกเขายิ่งนัก  พวกเขาถึงขั้นสามารถตีความความหมายของพระเจ้าได้โดยการตวัดตามองแวบเดียว  พวกเขาจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง—พวกเขามองพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าบนสวรรค์”  เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้ช่างสับสนมึนงงนัก ช่างขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทุกเรื่อง วุฒิภาวะของพวกเขานั้นด้อยเกินไป และพวกเขากำลังเผยให้เห็นความอัปลักษณ์ทุกประเภทจริงๆ  ผู้คนมีเหตุผลต่ำเช่นนั้น—พวกเขามีข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป และพวกเขาร้องขอจากพระองค์มากเกินไป พวกเขาถึงกับขาดเหตุผลแม้เพียงน้อยนิดด้วยซ้ำ  ผู้คนกำลังเรียกร้องเสมอให้พระเจ้าทรงทำนี่นั่น และไม่สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์หรือนมัสการพระองค์อย่างครบบริบูรณ์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาสร้างข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลต่อพระเจ้าบนพื้นฐานของการเลือกชอบของพวกเขาเอง โดยเรียกร้องให้พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างมาก ให้ไม่มีวันมีสิ่งใดบันดาลพระโทสะของพระองค์ และเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้คน พระองค์ควรทรงแย้มพระสรวลเสมอและควรทรงเสวนากับพวกเขาเสมอ รวมทั้งทรงจัดหาความจริงให้พวกเขา และสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา  พวกเขายังเรียกร้องด้วยเช่นกันให้พระองค์ทรงอดทนเสมอ และให้พระองค์ทรงแสดงความชื่นบานเสมอยามอยู่ใกล้พวกเขา  ผู้คนมีข้อพึงประสงค์มากเกินไป พวกเขาเรื่องมากเกินไป!  พวกเจ้าควรคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้  เหตุผลของมนุษย์ต่ำเหลือเกินใช่หรือไม่?  ผู้คนไม่เพียงแต่ไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หรือยอมรับทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พวกเขาบังคับใช้ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมกับพระเจ้า  ผู้คนที่มีข้อพึงประสงค์เช่นนี้สามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถรักพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้คนล้วนมีข้อพึงประสงค์สำหรับการที่พระเจ้าควรทรงรักพวกเขา ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา ทรงเฝ้าดูและทรงปกป้องพวกเขา รวมทั้งทรงดูแลพวกเขาอย่างไร ทว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาเลยที่มีข้อพึงประสงค์สำหรับการที่พวกเขาเองควรรักพระเจ้า คิดถึงพระเจ้า เกรงใจพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และนมัสการพระเจ้าอย่างไร  สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คนหรือไม่?  เหล่านี้เป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนควรสำเร็จลุล่วง ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ดั้นด้นต่อไปอย่างขยันขันแข็งในสิ่งเหล่านี้เล่า?  ผู้คนบางคนสามารถมีใจกระตือรือร้นสักพักหนึ่ง และสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเองได้พอสมควร แต่นั่นก็ไม่คงทน การไปเจอกับความพลาดพลั้งเล็กน้อยสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นหมดกำลังใจ สูญสิ้นความหวัง และพร่ำบ่น  ผู้คนมีความลำบากยากเย็นมากมายเหลือเกิน และมีผู้คนน้อยเกินไปที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เหล่ามนุษย์ขาดเหตุผลอย่างถึงที่สุด พวกเขายืนในตำแหน่งที่ผิด และมองตัวพวกเขาเองว่ามีค่าเป็นพิเศษ  มีพวกที่กล่าวด้วยว่า “พระเจ้าทรงมองพวกเราเป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงลังเลที่จะอนุญาตให้พระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์ถูกตอกตรึงติดกับกางเขน เพื่อที่จะไถ่มวลมนุษย์  พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาอย่างหนักเพื่อซื้อพวกเราคืนมา—พวกเรามีค่าอย่างเหลือเชื่อ และทุกคนล้วนครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า  พวกเราเป็นกลุ่มคนพิเศษ และมีสถานะสูงกว่าพวกผู้ไม่เชื่อมากมาย—พวกเราเป็นประชากรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์”  พวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งและยิ่งใหญ่ทีเดียว  ในอดีต ผู้นำมากมายมีวิธีคิดแบบนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาได้มีสถานะและตำแหน่งบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าหลังจากได้รับการเลื่อนขั้น  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงนับถือฉันและคิดถึงฉันในแง่ดี และพระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำ  ฉันต้องวิ่งวุ่นไปทั่วและทำงานเพื่อพระองค์ให้ดีที่สุด”  พวกเขายินดีกับตัวเองอย่างน่ากลัว  อย่างไรก็ตามที หลังผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาได้ทำบางสิ่งที่แย่และตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็แสดงออกมาให้เห็น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ถูกแทนที่ และพวกเขากลายเป็นหดหู่และคอตก  เมื่อพฤติกรรมอันไม่สมควรของพวกเขาถูกเปิดโปงและจัดการ พวกเขากลับกลายเป็นคิดลบมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถที่จะเชื่อต่อไป  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า “พระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความรู้สึกของฉันเลย พระองค์ไม่ทรงสนใจเกี่ยวกับการรักษาความภาคภูมิใจของฉันเอาเสียเลย  พวกเขาพูดว่าพระเจ้าทรงเห็นใจในความอ่อนแอของมนุษย์ แล้วทำไมฉันถึงถูกปลดออกหลังการฝ่าฝืนเล็กๆ?”  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นหมดกำลังใจและต้องการทิ้งความเชื่อของตน  ผู้คนเช่นนั้นมีความเชื่อที่เที่ยงแท้ในพระเจ้าหรือไม่?  หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่ยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่ง เช่นนั้นวุฒิภาวะของพวกเขาก็น้อยเกินไป และนั่นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงในภายหน้าได้หรือไม่  ผู้คนดังกล่าวอยู่ในภาวะอันตราย

ผู้คนไม่สร้างข้อเรียกร้องสูงจากตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาสร้างข้อเรียกร้องสูงจากพระเจ้า  พวกเขาขอให้พระองค์ทรงแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความใจดีมีเมตตาพิเศษ และให้ทรงอดทนและโอนอ่อนผ่อนตามต่อพวกเขา ทรงทะนุถนอมพวกเขา ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเขา และทรงแย้มพระสรวลกับพวกเขา ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา ทรงอนุญาตให้พวกเขาทำบางสิ่งที่เคยไม่ทรงเห็นชอบ และทรงดูแลพวกเขาในหนทางมากมาย  พวกเขาคาดหวังให้พระองค์ไม่ทรงเข้มงวดกับพวกเขาเลย หรือทรงทำสิ่งใดก็ตามซึ่งจะทำให้พวกเขาหัวเสียแม้แต่เพียงเล็กน้อย และพวกเขาพึงพอใจก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงปากหวานกับพวกเขาทุกๆ วันเท่านั้น  เหล่ามนุษย์มีเหตุผลต่ำเช่นนั้นเอง!  พวกเขาไม่ชัดเจนในเรื่องที่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด พวกเขาควรสำเร็จลุล่วงสิ่งใด พวกเขาควรมีทัศนคติใด พวกเขาควรยืนในตำแหน่งใดเพื่อรับใช้พระเจ้า และตัวพวกเขาเองเหมาะสมที่จะวางอยู่ในตำแหน่งใด  ผู้คนที่พอจะมีสถานะสักเล็กน้อยนั้น มีความคิดเห็นที่สูงมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และพวกที่ไม่มีสถานะก็ยังคิดกับตัวพวกเขาเองอย่างค่อนข้างสูงส่งด้วยเช่นกัน  เหล่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักตัวพวกเขาเองเลย  พวกเจ้าต้องมาสู่จุดหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าซึ่งเป็นจุดที่เจ้าสามารถเชื่อต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และยังคงลุล่วงหน้าที่ของเจ้าต่อไปตามปกติ โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์ตรัสกับเจ้าอย่างไร พระองค์ทรงเคร่งครัดกับพวกเจ้าอย่างไร และพระองค์อาจจะทรงเพิกเฉยกับพวกเจ้ามากเพียงใด  เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์คนหนึ่ง และเจ้าย่อมจะมีวุฒิภาวะอยู่บ้างและมีเหตุผลของบุคคลปกติอยู่นิดหน่อยอย่างแท้จริง  เจ้าย่อมจะไม่สร้างข้อเรียกร้องจากพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่มีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้ออีกต่อไป และเจ้าย่อมจะไม่ทำการร้องขอจากผู้อื่นหรือจากพระเจ้าบนพื้นฐานของการเลือกชอบของเจ้าเองอีกต่อไป  นี่จะแสดงให้เห็นว่า เจ้าครองสภาพเสมือนของมนุษย์ถึงขอบเขตเฉพาะหนึ่ง  ในปัจจุบันนี้ พวกเจ้ามีข้อพึงประสงค์มากเกินไป และข้อพึงประสงค์เหล่านี้ก็เกินเลยไปไกลเกินไป และเจ้ามีความตั้งใจแบบมนุษย์มากเกินไป  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้าไม่ได้กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตำแหน่งที่เจ้ากำลังยืนอยู่นั้นสูงเกินไป และเจ้าได้มีทรรศนะต่อตัวเจ้าเองว่าทรงเกียรติมากเกินไป—ราวกับว่าเจ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าพระเจ้ามากนัก  เพราะฉะนั้น จึงเป็นการลำบากยากเย็นที่จะจัดการกับเจ้า และแน่นอนว่านี่ก็คือธรรมชาติของซาตาน  หากสภาวะเช่นนั้นดำรงอยู่ภายในตัวเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจะยิ่งคิดลบบ่อยขึ้นและเป็นปกติน้อยครั้งลง ดังนั้นความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า  ในทางตรงข้าม พวกที่มีหัวใจอันผ่องแผ้วและเรื่องมากน้อยกว่าจะยอมรับความจริงง่ายกว่าและสร้างความก้าวหน้าได้เร็วกว่า  บรรดาผู้ที่มีหัวใจผ่องแผ้วไม่ได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากขนาดนั้น แต่เจ้ามีความรู้สึกที่รุนแรงมาก เจ้าเรื่องมากเกินไป และเจ้าสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าเสมอ ดังนั้นเจ้าจึงเผชิญสิ่งกีดขวางอันใหญ่โตต่อการยอมรับความจริง และความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าก็คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า  คนบางคนไล่ตามเสาะหาเหมือนกันไม่มีผิดไม่ว่าผู้อื่นโจมตีหรือตัดพวกเขาออกอย่างไร และการนี้ก็ไม่ส่งผลต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเช่นนี้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พวกเขาจึงทนทุกข์น้อยกว่าเล็กน้อยและเผชิญหน้ากับอุปสรรคกีดขวางน้อยกว่าเล็กน้อยต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  เจ้าเรื่องมากและได้รับผลกระทบไม่จากสิ่งใดก็สิ่งหนึ่งเสมอ—ใครที่มองเจ้าในทางที่ผิด ใครที่ดูแคลนเจ้า ใครที่เพิกเฉยต่อเจ้า หรือสิ่งใดที่พระเจ้าตรัสแล้วสะกิดใจเจ้า หรือพระวจนะดุดันใดที่พระเจ้าตรัสแล้วทิ่มแทงหัวใจของเจ้าและทำร้ายความเคารพนับถือตนเองของเจ้า หรือสิ่งดีใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่ผู้อื่นและไม่ให้แก่เจ้า—และจากนั้นเจ้าก็กลายเป็นคิดลบและถึงกับเข้าใจพระเจ้าผิด  ผู้คนเช่นนี้เรื่องมากและไม่สะทกสะท้านต่อเหตุผลไปหน่อย  ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเอาเลยและปัญหาของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป  ผู้คนเหล่านี้จัดการยากที่สุด

เราได้ยินพวกเจ้าสามัคคีธรรมกันบ่อยครั้งในหนทางนี้ที่ว่า “ฉันสะดุดตอนที่กำลังทำบางอย่างอยู่แล้วต่อมา หลังจากที่ก้าวผ่านการทนทุกข์ไปบ้าง ฉันก็ได้รับความเข้าใจมานิดหน่อย” ผู้คนส่วนใหญ่ได้มีประสบการณ์ประเภทนี้—ประสบการณ์นี้ผิวเผินนัก  ความเข้าใจน้อยนิดนี้อาจได้มาถึงหลังผ่านประสบการณ์มาเป็นปีๆ และผู้คนก็อาจได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากมายและล้มลุกคลุกคลานผ่านความลำบากยากเย็นมาอย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อได้รับความเข้าใจและการแปลงสภาพเล็กน้อยนี้เท่านั้น  ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้!  ในความเชื่อของผู้คนมีราคีอยู่มากมายเหลือเกิน การเชื่อในพระเจ้านั้นช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับพวกเขา!  จนทุกวันนี้ก็ยังคงมีราคีมากมายอยู่ภายในทุกตัวบุคคล และพวกเขายังคงสร้างข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้า—เหล่านี้ล้วนเป็นราคีของมนุษย์  การมีราคีทั้งหลายเช่นนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีปัญหา และเป็นการเปิดเผยของอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขา  ระหว่างข้อเรียกร้องที่ถูกควรกับไม่ถูกควรที่มนุษย์มีต่อพระเจ้านั้นมีความแตกต่างอยู่ประการหนึ่ง—นี่ต้องถูกแยกแยะอย่างชัดเจน  คนเราต้องชัดเจนว่า มนุษย์ควรที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งใดและมนุษย์ควรมีเหตุผลใด  เราได้สังเกตเห็นว่าคนบางคนกำลังมุ่งเน้นอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีการแสดงออกประเภทใดเมื่ออยู่รอบตัวผู้คน รวมทั้งศึกษาอยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติดีต่อใครและพระองค์ทรงปฏิบัติแย่ต่อใคร  หากพวกเขาเห็นว่าพระเจ้าทรงมองพวกเขาด้วยสีพระพักตร์ในเชิงลบ หรือได้ยินพระองค์ทรงเปิดโปงและกล่าวโทษพวกเขา พวกเขาก็ปล่อยวางไม่ได้—ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล และไม่สำคัญว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถกลับตัวได้  พวกเขาให้คำตัดสินแก่ตัวเอง ยึดติดอยู่กับการที่คนเราเปล่งวลีออกมาและใช้วลีนั้นกำหนดพิจารณาท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาเกลือกกลั้วอยู่ในความคิดลบ และไม่ว่าใครก็ตามสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ  นี่ไม่มีเหตุผลจริงๆ  ชัดเจนว่ามนุษย์ขาดความรู้แม้สักนิดเกี่ยวกับอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และก็ไม่เข้าใจอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเอาเสียเลย  ตราบที่ผู้คนสามารถกลับใจและแปลงสภาพได้ ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน  หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลง หนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนไปด้วย แต่หากเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนเช่นกัน  คนบางคนยังคงไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง สิ่งที่พระองค์ทรงชอบ ความชื่นบานยินดี พระโทสะ ความเศร้า และความสุขของพระองค์ พระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ รวมทั้งพระปัญญาของพระองค์ และพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดเกี่ยวกับความรู้ในเชิงประสาทสัมผัสรับรู้ด้วยซ้ำ—นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ช่างลำบากยากเย็นที่จะรับมือ  มนุษย์ลืมพระวจนะซึ่งมีเจตนาดีทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขา แต่หากพระองค์แค่ทรงให้ข้อคิดที่ดุดันหนึ่งข้อ หรือตรัสประโยคของการจัดการ การตัดแต่ง หรือการพิพากษาหนึ่งประโยค นั่นก็ทิ่มแทงหัวใจมนุษย์  เหตุใดหรือผู้คนจึงไม่จริงจังกับพระวจนะแห่งการทรงนำในเชิงบวก พลางหงุดหงิด คิดลบ และไม่สามารถที่จะฟื้นฟูเมื่อได้ยินพระวจนะแห่งการพิพากษา การตัดแต่ง และการจัดการ?  ในท้ายที่สุดแล้ว อาจต้องใช้ช่วงเวลานานสำหรับการไตร่ตรองก่อนที่พวกเขาจะกลับตัว และพวกเขาจะตื่นขึ้นก็หลังจากที่ผสานการนี้เข้ากับบางพระวจนะที่ชูใจของพระเจ้าแล้วเท่านั้น  หากปราศจากพระวจนะที่ชูใจเหล่านี้ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะปีนป่ายออกมาจากความคิดลบของพวกเขาได้  เมื่อผู้คนแค่กำลังเริ่มมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็มีความรู้ที่ผิดพลาดและความเข้าใจที่ผิดๆ มากมายเกี่ยวกับพระเจ้า  พวกเขาเชื่อเสมอว่าพวกเขาถูก ยึดติดอยู่กับแนวคิดของตัวเองเสมอ และพวกเขาไม่รับสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นพูดเลย  หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มาสามถึงห้าปีแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ระลึกรู้ว่าพวกเขาผิด และสำนึกว่าตัวพวกเขานั้นจัดการได้ลำบากยากเย็นแค่ไหน  ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งเติบโตเมื่อถึงตอนนั้นนั่นเอง  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็เริ่มเข้าใจพระเจ้า และความเข้าใจผิดทั้งหลายของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าก็น้อยลง พวกเขาไม่พร่ำบ่นอีกต่อไป และพวกเขาเริ่มมีความเชื่อในพระเจ้าที่เป็นปกติ  เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต วุฒิภาวะของเขาคล้ายคลึงกับวุฒิภาวะของผู้ใหญ่มากขึ้น  พวกเขาเคยเป็นเหมือนเด็ก—หมิ่นเหม่ที่จะโกรธขึ้ง กลายเป็นคิดลบ และแยกตัวเองห่างจากพระเจ้าเป็นบางครั้ง  พวกเขาอาจพร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับบางเรื่อง พระวจนะบางคำของพระเจ้าอาจได้กลายเป็นมูลเหตุของมโนคติอันหลงผิดใหม่ล่าสุดของพวกเขา และพวกเขาอาจจะได้เริ่มกังขาเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นบางครั้ง—นี่คือวิธีที่เป็นไปเมื่อวุฒิภาวะของใครบางคนนั้นน้อยเกินไป  ถึงตอนนี้ที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ไปมากเหลือเกินแล้ว และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาได้สร้างความก้าวหน้าแล้ว และกลายเป็นมั่นคงกว่าที่พวกเขาเป็นในอดีต  ทั้งหมดล้วนเป็นผลลัพธ์ของการเข้าใจความจริง—นี่คือการที่ความจริงส่งผลภายในตัวพวกเขา  ดังนั้นตราบที่ผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถยอมรับความจริง ย่อมไม่มีความลำบากยากเย็นใดเลยที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ และพวกเขาจะได้รับบางสิ่งเสมอ ไม่ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์อยู่นานเท่าไร  แน่นอนว่านั่นจะใช้ไม่ได้เลยหากพวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์มานานมากพอ แต่ตราบที่พวกเขาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากแต่ละประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะเติบโตในชีวิตอย่างรวดเร็ว

ข้อเท็จจริงที่ว่าบัดนี้พวกเจ้ากำลังได้รับการบ่มเพาะให้กลายเป็นผู้นำ คนทำงานหรือผู้ตรวจการณ์ หรือให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญนั้นไม่พิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะที่สูงกว่า  ทั้งหมดนั้นหมายความว่าพวกเจ้ามีขีดความสามารถดีกว่าบุคคลทั่วไปเล็กน้อย ว่าพวกเจ้าตั้งใจจริงในการไล่ตามเสาะหามากกว่าเล็กน้อย และการบ่มเพาะเจ้านั้นมีคุณค่ามากกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง  แน่นอนว่า นั่นมิใช่หมายความว่าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้า หรือวางตัวเองไว้ในความกรุณาแห่งการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และนี่ไม่ใช่หมายความว่า พวกเจ้าได้ละวางความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ของเจ้าแล้ว  ผู้คนยังไม่มีเหตุผลประเภทนี้  พวกเจ้ายังคงพกพาความคิดลบ ตลอดจนความตั้งใจและความทะเยอทะยานที่จะได้รับพระพร และแม้แต่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของมนุษย์ไว้กับตัวขณะที่พวกเจ้ากำลังทำงาน  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็พกพาสัมภาระบางอย่างขณะกำลังทำงานของเจ้า ราวกับว่า เจ้ากำลังลบมลทินให้กับบาปในอดีตผ่านทางความประพฤติดี มากกว่าที่จะกำลังทำงานเพราะความเต็มใจแบบมีความสุขที่จะทำ  เจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดที่เจ้าเพียงห่วงกังวลกับการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้าไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร  พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้หรือไม่?  ผู้คนไม่มีเหตุผลนี้  พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริของพระเจ้าออก โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงมีท่าทีประเภทใดต่อฉันกันแน่?  พระองค์กำลังทรงใช้ฉันทำงานปรนนิบัติ หรือกำลังทรงช่วยฉันให้รอดและทำให้ฉันเพียบพร้อม?”  พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริในหนทางนี้ พวกเขาก็แค่ไม่กล้าพอที่จะพูด  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดนั้น พิสูจน์ว่ายังคงมีแนวคิดหนึ่งกำลังครอบงำพวกเขาอยู่ที่ว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนี้—นั่นก็แค่ธรรมชาติของฉัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง  ตราบที่ฉันกันตัวเองจากการทำสิ่งใดที่ไม่ดี นั่นก็มากพอแล้ว—ฉันไม่เรียกร้องมากเกินไปสำหรับตัวเอง”  พวกเขาจำกัดเขตตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ และในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สร้างความก้าวหน้าใดเลยที่ปลายทาง ในขณะที่พกพาวิธีการคิดแบบสะเพร่าและขอไปทีไปกับพวกเขาด้วยเช่นกันในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  เพียงหลังจากที่ได้รับการสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้งเท่านั้น พวกเจ้าทุกคนก็เริ่มเข้าใจความจริงนิดหน่อยและเริ่มรู้ความเป็นจริงของความจริงเล็กน้อย  ไม่ว่าเจ้ากำลังถูกใช้หรือไม่ หรือพระเจ้าทรงมีท่าทีใดต่อเจ้า—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ  กุญแจสำคัญอยู่ในความพยายามเชิงรุกทั้งหลายของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน และอยู่ตรงที่ว่าเจ้าสามารถแปลงสภาพได้ในท้ายที่สุดหรือไม่—เหล่านี้คือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด  ไม่สำคัญว่าท่าทีของพระเจ้าที่อาจทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามสักเพียงใด นั่นก็ใช้ไม่ได้หากเจ้าไม่แปลงสภาพ  หากเจ้าสะดุดเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งตกมาถึงเจ้า และเจ้าก็ขาดพร่องแม้แต่ความจงรักภักดีที่เล็กน้อยที่สุด เช่นนั้นไม่ว่าทัศนคติที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามเพียงใด นั่นก็จะไร้ประโยชน์  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน  ในอดีตนั้น พระเจ้าอาจจะได้ทรงสาปแช่งเจ้าและตรัสพระวจนะแห่งความเกลียดชังและขยะแขยงต่อเจ้า แต่หากเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในตอนนี้ เช่นนั้นท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน  ผู้คนเกรงกลัว ไม่สบายใจ และขาดความเชื่อที่เที่ยงแท้อยู่เสมอ ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า  บัดนี้ที่พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่บ้าง เจ้าจะยังคงกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่?  เจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงและตั้งมั่นในคำพยานหรือไม่?  เจ้าจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ เจ้าจะมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บัดนี้พวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ รวมทั้งความรอดและน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้างแล้วใช่หรือไม่?  อย่างน้อยพวกเจ้าก็มีแนวคิดคร่าวๆ  วันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงบางอย่างของทุกแง่มุมของความจริง เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างครบบริบูรณ์

บทตัดตอน 4

ส่วนที่สำคัญที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการมุ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้า  คนคนหนึ่งจะสามารถรับได้เท่าใดจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจของตน  แม้ว่าทุกคนจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่มีบางคนที่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงและพบความรู้แจ้งในพระวจนะเหล่านั้น และตราบใดที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะได้รับบางสิ่ง  อย่างไรก็ตาม คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น  พวกเขามุ่งเน้นแต่การเข้าใจคำสอนเท่านั้นเวลาที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า  ผลก็คือหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาประสบปัญหา พวกเขากลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาไม่มีประโยชน์สักอย่าง  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่าง  ผู้ที่รักความจริงสามารถยอมรับความจริงได้ ส่วนผู้ที่ไม่รักความจริง ต่อให้พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ  พวกเขาจะไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใด  ผู้คนที่มีประสบการณ์อยู่บ้างสามารถหารือบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามารถพูดคุยถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริง—นี่คือการเข้าใจความจริง  ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และพวกเขาไม่มีความรู้และประสบการณ์แม้แต่น้อย—นี่ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการเข้าใจความจริง  ผู้นำบางคนมักจะบอกผู้อื่นว่าพวกเขาไปที่คริสตจักรเพื่อให้ความจริงโดยเฉพาะ  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  คำว่า “ให้ความจริง” ไม่ควรกล่าวออกมาโดยง่าย  ผู้ใดมีความจริง?  ผู้ใดกล้ากล่าวอ้างว่าพวกเขาให้ความจริง?  คำกล่าวอ้างนี้ไม่ใหญ่โตเกินไปหรอกหรือ?  เมื่อพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ พวกเจ้าก็เป็นเพียงคนที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นก็ดีมากแล้ว  ต่อให้คนคนหนึ่งสามารถเข้าใจความจริงบางอย่าง และพูดถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความจริงได้ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาให้ความจริงเพราะไม่มีผู้ใดมีความจริง  จะเรียกการพูดคุยถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างว่าเป็นการให้ความจริงได้อย่างไร?  เพราะฉะนั้นจึงบรรยายได้เพียงว่าผู้นำและคนทำงานกำลังปฏิบัติงานให้น้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังรับผิดชอบช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรให้เข้าสู่ชีวิต  ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริง  ต่อให้คนคนหนึ่งมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง ก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น  พูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  มีกี่คนที่เข้าใจความจริง?  วุฒิภาวะของคนคนหนึ่งทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงกระนั้นหรือ?  ต่อให้บางคนมีประสบการณ์และความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความจริง ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาสามารถให้ความจริงได้  พูดเช่นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด นั่นไร้เหตุผลเกินไป  บางคนภาคภูมิใจในการให้น้ำคริสตจักรและให้ความจริง ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากมาย และผลก็คือพวกเขาไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้  นี่ขัดแย้งกันมิใช่หรือ?  หากบางคนถามเจ้าว่าความจริงคืออะไร และเจ้าตอบว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ความจริงคือพระวจนะของพระเจ้า” เจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่?  เจ้ากล่าวได้แต่เพียงถ้อยคำและวลีในคำสอนเท่านั้น และเจ้าขาดประสบการณ์และความรู้ว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงแก่ผู้อื่น  ขณะนี้คนที่ทำหน้าที่ผู้นำทั้งหมดล้วนขาดประสบการณ์ พวกเขาแค่มีขีดความสามารถเล็กน้อยและเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเหมาะที่จะเลี้ยงดูและฝึกฝน และพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในการลุล่วงหน้าที่ได้  ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างได้ แต่จะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาให้ความจริง?  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่สามารถพูดคุยถึงความรู้บางอย่างได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง  จะว่าไปแล้ว พวกเขาฟังคำเทศนามาหลายปีและมีความรู้ที่ผิวเผินอยู่บ้าง พวกเขาเต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงและพอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาให้ความจริง  ผู้นำและคนทำงานสามารถให้ความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  ผู้นำและคนทำงานประกาศและให้น้ำคริสตจักร ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องสามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นั่นคือหนทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถให้น้ำคริสตจักรได้อย่างแท้จริง  ขณะนี้ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหามากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับความจริงได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเพียงถ้อยคำและวลีในคำสอน  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงของความจริงได้อย่างชัดเจน แล้วพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ?  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเขายังไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก  สามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากกว่าผู้อื่นและมีความเป็นจริงความจริงมากกว่าผู้อื่น?  ไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ พวกเขายังไปไม่ถึงจุดนั้น  ผู้นำและคนทำงานบางคนได้เลื่อนตำแหน่งก็เพื่อจุดประสงค์ของการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว พวกเขาได้รับโอกาสให้ฝึกฝนปฏิบัติเพราะพวกเขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง มีศักยภาพที่จะเข้าใจอยู่บ้าง และสภาพแวดล้อมในครอบครัวของพวกเขาก็เหมาะสม  การส่งเสริมใครสักคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงและสามารถให้ความจริงได้  เพียงแต่ว่าผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างก่อนผู้อื่น แต่ความสว่างเล็กน้อยนี้ยังห่างไกลจากความจริง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความจริง เพียงแต่เป็นไปตามความจริงเท่านั้น  มีเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกมาโดยตรงเท่านั้นที่เป็นความจริง  ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมยึดตามความจริงเท่านั้น เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบความรู้แจ้งให้ผู้คนตามวุฒิภาวะของพวกเขา  พระองค์ไม่ตรัสความจริงกับผู้คนโดยตรง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงมอบความสว่างที่พวกเขาสามารถบรรลุได้ให้แก่พวกเขา  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้  หากคนคนหนึ่งพอที่จะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้าง และมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์อยู่บ้าง นี่นับว่าเป็นความจริงหรือไม่?  ไม่  อย่างมากพวกเขาก็พอจะเข้าใจความจริงบ้าง  ถ้อยคำที่เป็นความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวแทนของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวแทนของความจริง และไม่ใช่ความจริง  อย่างมากคนคนนั้นก็มีความเข้าใจความจริงอยู่บ้าง และได้รับความรู้แจ้งเล็กน้อยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากคนคนหนึ่งมีความเข้าใจบางอย่างในความจริง แล้วมอบความจริงให้แก่ผู้อื่น สิ่งที่พวกเขากำลังทำย่อมเป็นเพียงการมอบความเข้าใจและประสบการณ์ของตนแก่ผู้อื่น  เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น  ไม่เป็นไรหากเจ้าพูดว่าพวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริง นี่คือคำบรรยายที่เหมาะสม  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังสามัคคีธรรมคือความเข้าใจที่เจ้ามีในความจริงและไม่เทียบเท่ากับตัวความจริงเอง  เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่าเจ้ากำลังสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจและประสบการณ์บางอย่าง เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังให้ความจริง?  การให้ความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ผู้ใดคู่ควรที่จะกล่าวประโยคนี้?  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ความจริงแก่ผู้คนได้  ผู้คนสามารถทำได้หรือ?  เพราะฉะนั้นเจ้าต้องมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน  นี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการใช้คำผิดเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเจ้ากำลังละเมิดและบิดเบือนข้อเท็จจริง  สิ่งที่เจ้ากล่าวอ้างคือการกล่าวเกินจริง  ผู้คนอาจมีความเข้าใจบางอย่างและมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีความจริง หรือว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายความจริง  เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  ไม่ว่าผู้คนจะได้รับความเข้าใจมากเพียงใดจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีชีวิตที่เป็นความจริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะอยู่ฝ่ายความจริง  เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด  ผู้คนเข้าใจความจริงเพียงเล็กน้อย มีความสว่างเล็กน้อย และมีหนทางปฏิบัติอยู่บ้าง  พวกเขาแค่มีความเป็นจริงของการเชื่อฟังอยู่บ้าง และมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางอย่าง  แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีความจริงแล้ว  พระเจ้าทรงให้ชีวิตแก่ผู้คนด้วยการแสดงความจริง  พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงและมีความจริงอีกด้วยเพื่อที่จะรับใช้พระองค์และทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  ต่อให้มีสักวันที่ผู้คนผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจนถึงจุดที่พวกเขามีความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าผู้คนอยู่ฝ่ายความจริง นับประสาอะไรที่จะพูดได้ว่าผู้คนมีความจริง  นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนมีประสบการณ์ยาวนานกว่านี้อีกหลายปี ก็มีขีดจำกัดว่าพวกเขาจะได้รับความจริงมากน้อยเท่าใด และย่อมได้รับน้อยมาก  ความจริงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและล้ำลึกที่สุด เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  ความจริงที่ผู้คนสามารถได้รับในชั่วชีวิตหนึ่งนั้นจำกัดมาก  ผู้คนจะไม่มีวันสามารถได้รับความจริงทั้งหมด เข้าใจความจริงได้หมด หรือดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างสมบูรณ์  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสว่าผู้คนจะเป็นเด็กอ่อนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์

บางคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ และเข้าใจความจริงทุกแง่มุมอย่างถ่องแท้ สามารถกระทำการตามความจริงได้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถแสดงความจริงได้  พวกเขาคิดว่าโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ไม่มีผิดว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” (ฟีลิปปี 1:21)  มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่คือการสนับสนุนข้อโต้แย้งเรื่อง “มนุษย์พระเจ้า” อีกแล้วมิใช่หรือ?  นี่ผิดอย่างแน่นอนที่สุด!  ผู้คนต้องเข้าใจสิ่งหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์และความรู้มากเพียงใดเกี่ยวกับความจริง หรือต่อให้เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า สามารถนบนอบพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะสูงส่งหรือลุ่มลึกเพียงใด ชีวิตของเจ้าก็ยังคงเป็นชีวิตมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้าได้  นี่คือข้อเท็จจริงเบ็ดเสร็จที่ผู้คนต้องเข้าใจ  ต่อให้ในท้ายที่สุดเจ้ามีประสบการณ์และความเข้าใจในทุกแง่มุมของความจริง และเจ้านบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและกลายเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม ก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าเจ้าอยู่ฝ่ายความจริง  ต่อให้เจ้าสามารถกล่าวคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ได้ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถแสดงความจริง  ในอดีตนั้น เป็นเรื่องปกติที่ภายในกลุ่มศาสนาจะกล่าวว่าคนเรามี “ชีวิตของพระคริสต์อยู่ภายใน”  นี่คือถ้อยแถลงที่ผิดและคลุมเครือ  แม้ว่าผู้คนจะไม่พูดเช่นนี้กันแล้ว แต่ความเข้าใจของพวกเขาในเรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน  บางคนคิดว่า “ในเมื่อพวกเราได้รับความจริงแล้วและความจริงก็อยู่ภายในตัวพวกเรา พวกเราย่อมครองความจริง และมีความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเรา และพวกเราก็สามารถแสดงความจริงได้เช่นกัน”  นี่ก็ผิดเหมือนกันมิใช่หรือ?  ผู้คนมักจะคุยกันว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงว่าพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่  ทุกคนผ่านประสบการณ์กับความจริง แต่สภาวะที่แต่ละคนมีประสบการณ์ด้วยนั้นแตกต่างกัน  สิ่งที่แต่ละคนได้รับจากความจริงก็แตกต่างเช่นกัน  หากเจ้านำประสบการณ์และความเข้าใจของทุกคนมารวมกัน ก็จะไม่สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของความจริงอย่างครบถ้วนอยู่ดี  นั่นคือระดับความลึกซึ้งและล้ำลึกของความจริง!  เหตุใดเราจึงพูดว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้รับมาและความเข้าใจทั้งหมดของเจ้าไม่สามารถแทนที่ความจริงได้?  หลังจากที่ผู้คนได้ฟังเจ้าสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความเข้าใจบางอย่างของเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมจะเข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าว และพวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์เป็นเวลานานเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมอย่างถ่องแท้และได้ทั้งหมดนั้นไว้  ต่อให้นั่นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผ่านประสบการณ์นานหลายปี  แต่สำหรับความจริงแล้ว ผู้คนจะไม่ผ่านประสบการณ์กับความจริงทุกประการในชั่วชีวิตของพวกเขา  ต่อให้เจ้ารวมทุกคนเข้าด้วยกัน พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งมวล  อย่างที่เจ้ามองเห็นได้ ความจริงนั้นลึกซึ้งและล้ำลึกเกินไป  ถ้อยคำไม่สามารถอธิบายความจริงได้อย่างถี่ถ้วน  ความจริงที่แสดงออกมาเป็นภาษามนุษย์คือแก่นแท้ของมนุษย์อย่างแท้จริง  มนุษย์จะไม่มีวันสามารถผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งหมดได้ และไม่มีวันสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างครบถ้วน  นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนใช้เวลาหลายพันปี พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงประการหนึ่งอย่างครบถ้วน  ไม่ว่าผู้คนจะผ่านประสบการณ์มากี่ปี ความจริงที่พวกเขาเข้าใจและได้รับจะยังคงมีจำกัด  อาจกล่าวได้ว่าความจริงคือน้ำพุนิรันดร์แห่งชีวิตของมนุษยชาติ  พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลายก็เป็นกิจที่ไม่จบสิ้น

ความจริงคือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  หากเจ้ากล่าวว่าด้วยเหตุที่มีประสบการณ์และความรู้อยู่บ้าง เจ้าย่อมมีความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์แล้วกระนั้นหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงยังคงแสดงอวดความเสื่อมทราม?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า?  ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงอยู่บ้าง เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้หรือ?  เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  เจ้าอาจจะพอมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงแง่มุมหนึ่ง และคำพูดของเจ้าอาจให้ความกระจ่างได้บ้าง แต่สิ่งที่เจ้าสามารถจัดเตรียมให้ผู้คนนั้นมีจำกัดอย่างที่สุดและไม่สามารถคงอยู่ได้นาน  นี่เป็นเพราะความเข้าใจของเจ้าและความสว่างที่เจ้าได้มาไม่ใช่ตัวแทนแห่งแก่นแท้ของความจริง และไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริงทั้งมวล  นี่เป็นเพียงตัวแทนของด้านหนึ่งหรือแง่มุมเล็กๆ ของความจริง เป็นเพียงระดับหนึ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น และยังคงห่างไกลจากแก่นแท้ของความจริง  ความสว่าง ความรู้แจ้ง ประสบการณ์ และความรู้อันน้อยนิดนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงได้  ต่อให้ผู้คนทั้งหมดสัมฤทธิ์ผลบ้างแล้วผ่านทางการมีประสบการณ์กับความจริงอย่างหนึ่ง แล้วประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดของพวกเขาถูกนำมารวมกัน ก็ย่อมจะมีไม่ถึงทั้งหมดทั้งมวลและแก่นแท้ของความจริงนี้แม้เพียงบรรทัดเดียว  ได้มีการกล่าวไว้ในอดีตว่า “เราสรุปเรื่องนี้ด้วยคำกล่าวถึงโลกมนุษย์ว่า ในหมู่มนุษย์ ไม่มีผู้ใดรักเรา” ประโยคนี้คือความจริง เป็นแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต เป็นสิ่งลุ่มลึกที่สุดอย่างหนึ่ง และเป็นการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง  หลังจากมีประสบการณ์ได้สามปี เจ้าอาจมีความเข้าใจที่ผิวเผินอยู่บ้าง และหลังจากเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็อาจมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ความเข้าใจนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  หลังจากสองปี ผู้อื่นบางคนอาจมีความเข้าใจเล็กน้อย หรือมีความเข้าใจมากขึ้นบ้างหลังจากสิบปี หรือมีความเข้าใจที่ค่อนข้างสูงหลังจากชั่วชีวิตหนึ่ง แต่ความเข้าใจร่วมของพวกเจ้าทั้งคู่ไม่สามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  ไม่ว่าความคิดความเข้าใจเชิงลึก ความสว่าง ประสบการณ์ หรือความรู้ที่พวกเจ้าทั้งสองอาจมีร่วมกันแล้วจะมีมากเพียงใด ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  กล่าวคือ ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ และไม่ว่าความรู้ของเจ้าจะสอดคล้องกับความจริง น้ำพระทัยของพระเจ้า หรือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเช่นไร ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงได้  การกล่าวว่าผู้คนมีความจริงหมายความว่าผู้คนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงบางส่วนแห่งพระวจนะของพระเจ้า รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงอยู่บ้าง และสามารถยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้  อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนครองความจริงอยู่แล้ว เพราะความจริงลุ่มลึกเกินไป  พระวจนะของพระเจ้าเพียงบรรทัดเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อที่จะมีประสบการณ์ด้วย และต่อให้มีประสบการณ์มาหลายชีวิตหรือหลายพันปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดเดียวได้อย่างสมบูรณ์  เป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนการของการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ และมีขีดจำกัดว่าผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้มากเพียงใดในประสบการณ์ชั่วชีวิตหนึ่ง  ผู้คนบางคนพูดว่าพวกเขามีความจริงทันทีที่พวกเขาเข้าใจความหมายตามข้อความในพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องเหลวไหลมิใช่หรือ?  ทั้งในแง่ของความสว่างและความรู้ย่อมมีเรื่องของความลึกซึ้ง  ความเป็นจริงความจริงที่บุคคลสามารถเข้าสู่ในช่วงชีวิตหนึ่งของความเชื่อนั้นมีจำกัด  เพราะฉะนั้น เพียงเพราะเจ้าครองความรู้และความสว่างอยู่บ้างไม่ได้หมายความว่าเจ้าครองความเป็นจริงความจริง  เรื่องหลักที่เจ้าต้องพิจารณาก็คือว่าความสว่างและความรู้นี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้ของความจริงหรือไม่  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ผู้คนบางคนรู้สึกว่าพวกเขาครองความจริงเมื่อพวกเขาสามารถให้ความสว่างหรือให้ความเข้าใจที่ผิวเผินได้เล็กน้อย  นี่ทำให้พวกเขาเป็นสุข ดังนั้นพวกเขาจึงกระหยิ่มยิ้มย่องและหยิ่งทะนง  ในข้อเท็จจริงนั้นพวกเขายังคงห่างไกลจากการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ความจริงอันใดที่ผู้คนครอง?  ผู้คนที่ครองความจริงสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อและทุกที่หรือไม่?  เมื่อผู้คนครองความจริง พวกเขาจะยังคงสามารถเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าและทรยศพระเจ้าได้อย่างไร?  หากเจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าครองความจริง นั่นก็พิสูจน์ว่าภายในตัวเจ้ามีชีวิตของพระคริสต์—นั่นคือแย่มาก!  เจ้ากลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว เจ้ากลายเป็นพระคริสต์ไปแล้วกระนั้นหรือ?  นี่คือถ้อยแถลงที่ไร้สาระ และเป็นสิ่งที่ผู้คนอนุมานขึ้นมาทั้งสิ้น นี่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และฟังไม่ขึ้นสำหรับพระเจ้า

เมื่อพูดถึงการที่ผู้คนเข้าใจความจริง และดำรงชีวิตอยู่กับความจริงดั่งเป็นชีวิตของตน “ชีวิต” ในที่นี้อ้างอิงถึงสิ่งใด?  นี่หมายความว่าความจริงเป็นใหญ่ที่สุดในหัวใจของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และหมายความว่าพวกเขามีความรู้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และมีความเข้าใจจริงแท้ประการหนึ่งเกี่ยวกับความจริง  เมื่อผู้คนครองชีวิตใหม่นี้ภายในตัวพวกเขา นี่ย่อมสัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะ  สร้างขึ้นบนรากฐานของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  และบรรลุได้ด้วยการที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรแห่งความจริง ทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของผู้คนคือการได้รู้จักและมีประสบการณ์กับความจริง  นั่นคือรากฐานของชีวิต และไม่ออกนอกวงเขตนั้น นี่เองคือชีวิตที่กำลังถูกอ้างอิงถึงเมื่อพูดถึงการได้รับความจริงและชีวิต  การที่สามารถดำรงชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่ามีชีวิตของความจริงอยู่ในตัวผู้คน และไม่ได้หมายความว่าหากพวกเขาครองความจริงประดุจชีวิตของตนแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นความจริง และชีวิตภายในของพวกเขาจะกลายเป็นชีวิตของความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาคือชีวิตและความจริง  ในท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของพวกเขายังคงเป็นชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง  หากเจ้าดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และครองความรู้เกี่ยวกับความจริง หากความรู้นี้หยั่งรากภายในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และความจริงที่เจ้าได้รับผ่านทางประสบการณ์ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า หากเจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ย่อมจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และซาตานก็ไม่สามารถหลอกลวงหรือทำให้เจ้าเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมได้รับความจริงและชีวิตแล้ว ซึ่งหมายถึงความเข้าใจ ประสบการณ์ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้ามีเกี่ยวกับความจริง และไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ออกนอกวงเขตของสิ่งเหล่านี้  นี่คือความหมายของการครองความเป็นจริงความจริง และผู้คนเช่นนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะได้มาด้วยพระราชกิจของพระองค์  แต่ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจความจริงดีเพียงใด แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติ และไม่อาจเปรียบเทียบได้กับแก่นแท้ของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  นี่เป็นเพราะประสบการณ์ที่พวกเขามีกับความจริงนั้นดำเนินอยู่ตลอดกาล และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้ชีวิตตามความจริงโดยบริบูรณ์ พวกเขาเพียงสามารถใช้ชีวิตไปตามเศษเสี้ยวอันจำกัดสุดขั้วของความจริงที่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์เท่านั้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถกลายเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?  หากพระเจ้าพระองค์เองทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อมโดยแยกออกเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าและพระเจ้าที่ด้อยกว่า นั่นจะไม่กลายเป็นความอลหม่านหรอกหรือ?  นอกจากนี้ เรื่องเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้และไร้สาระ—เป็นแนวคิดที่น่าหัวร่อของมนุษย์  พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และจากนั้นพระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้มนุษย์เชื่อฟังและนมัสการพระองค์  การสร้างมนุษย์ของพระเจ้าคือกิจการที่มีความหมายที่สุด  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เท่านั้น  พระองค์ไม่ได้สร้างพระเจ้าทั้งหลาย  พระเจ้าทรงพระราชกิจในรูปแบบของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่นี่กับการสร้างพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน  พระเจ้าไม่ได้สร้างพระองค์เองขึ้นมา พระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระองค์เอง และนี่ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  ผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาแสวงหาความจริงบ่อยๆ เท่านั้น  ผู้คนไม่ควรพูดเรื่องเหลวไหลตามจินตนาการของตน  หากเจ้ามีประสบการณ์นิดหน่อยกับพระวจนะของพระเจ้า และกำลังดำรงชีวิตตามประสบการณ์และความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าจะค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเจ้า  อย่างไรก็ดี เจ้าก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า หรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังแสดงออกนั้นเป็นความจริง หากเช่นนี้คือข้อคิดเห็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ผิดเสียแล้ว  หากเจ้าเพียงมีประสบการณ์กับแง่มุมหนึ่งของความจริงโดยเฉพาะ สิ่งนี้ในตัวเองแล้วสามารถแสดงว่าเจ้าครองความจริงได้หรือไม่?  นี่สามารถถือว่าเป็นการได้รับความจริงหรือไม่?  เจ้าสามารถอธิบายความจริงได้อย่างทั่วถึงหรือไม่?  เจ้าสามารถค้นพบพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น จากความจริงได้หรือไม่?  หากไม่มีการสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ นี่ก็พิสูจน์ว่าการมีประสบการณ์กับความจริงเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถถือได้ว่าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง หรือรู้จักพระเจ้า ยิ่งไม่สามารถพูดได้ว่าได้รับความจริงแล้ว  ทุกคนมีประสบการณ์กับเพียงหนึ่งแง่มุมและวงเขตของความจริงเท่านั้น  พวกเขาผ่านประสบการณ์กับความจริงภายในวงเขตอันจำกัดของตน และไม่สามารถไปสัมผัสทุกแง่มุมที่นับไม่ถ้วนของความจริงได้  ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามความหมายดั้งเดิมของความจริงได้หรือไม่?  ประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ของเจ้านับรวมได้เป็นจำนวนมากเพียงใด?  ทรายเพียงเม็ดเดียวบนชายหาด น้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทร  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความรู้และความรู้สึกที่เจ้าได้รับจากประสบการณ์ของเจ้านั้นจะล้ำค่าเพียงใด ก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นความจริง  สามารถพูดได้เพียงว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริงเท่านั้น  ความจริงมาจากพระเจ้า แล้วความหมายเชิงลึกและความเป็นจริงของความจริงก็ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างมาก และไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกถึงหรือหักล้างได้  ตราบใดที่เจ้ามีความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับความจริงและพระเจ้า เจ้าก็จะเข้าใจความจริงบางประการ จะไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างความเข้าใจที่เป็นจริงเหล่านี้ได้ และคำพยานที่บรรจุความเป็นจริงความจริงไว้ย่อมจะเชื่อถือได้ตลอดไป  พระเจ้าทรงสรรเสริญผู้ที่ครองความเป็นจริงความจริง  ตราบใดที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และสามารถยอมรับความจริงว่าเป็นชีวิตของเจ้าได้ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ตราบนั้นเจ้าก็จะมีเส้นทาง สามารถอยู่รอด และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ถึงแม้ว่าสิ่งน้อยนิดที่ผู้คนได้รับจะสอดคล้องกับความจริง ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่านี่คือความจริง ยิ่งไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับความจริงแล้ว  ความสว่างน้อยนิดที่ผู้คนได้รับมานั้นเพียงเหมาะสมกับตัวพวกเขาเองหรือผู้อื่นบ้างภายในวงเขตหนึ่งๆ เท่านั้น  แต่จะไม่เหมาะสมภายในวงเขตที่ต่างออกไป  ไม่สำคัญว่าประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งลุ่มลึกเพียงใด ประสบการณ์นั้นก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่มาก และประสบการณ์ของพวกเขาย่อมจะไม่มีวันลึกซึ้งเท่าความจริง  ความสว่างของบุคคลหนึ่งและความเข้าใจของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับความจริงได้เลย

เมื่อผู้คนพอจะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบ้าง เข้าใจความจริงบางอย่างและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าสักหน่อย เมื่อพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง และอุปนิสัยของพวกเขาก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงสักนิดและได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว ก็ยังคงพูดได้แต่เพียงว่าพวกเขาคือคนคนหนึ่งและเป็นมนุษย์ทรงสร้าง แต่แน่นอนว่านี่คือคนปกติอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้  ดังนั้นตัวเจ้าเป็นคนประเภทใด?  บางคนบอกว่า “ฉันเป็นคนที่มีความจริง”  การพูดเช่นนี้ย่อมจะไม่เหมาะ  เจ้าพูดได้แต่เพียงว่า “ฉันคือคนที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้ามาแล้ว  ในที่สุดฉันก็เข้าใจความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ได้รับการชำระให้สะอาด  ฉันเป็นเพียงคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด”  หากเจ้าจะพูดว่า “ฉันคือคนที่มีความจริง  ฉันได้ผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดและเข้าใจพระวจนะทุกคำ  ฉันรู้ความหมายของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส รวมทั้งบริบทและรูปการณ์แวดล้อมที่มีการตรัสพระวจนะเหล่านั้น  ฉันรู้ทั้งหมด  นี่หมายความว่าฉันมีความจริงไม่ใช่หรือ?” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะผิดอีกครั้ง  การมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามาบ้างและได้รับความสว่างจากพระวจนะอยู่บ้าง ไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นคนที่มีความจริง  ผู้ที่แค่สามารถเข้าใจและหารือถึงคำสอนบางอย่างได้ก็ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวอ้างเช่นนั้น  ผู้คนต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าคนคนหนึ่งควรมีฐานะใดต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้าความจริง ผู้คนคืออะไร ชีวิตในตัวมนุษย์คืออะไร และชีวิตของพระเจ้าคืออะไร  ผู้คนต้องเข้าใจว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร  หลังจากผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาไม่กี่วัน พอจะเข้าใจถ้อยคำและวลีในคำสอนบ้างแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าพวกเขามีความจริง  นี่คือผู้คนที่โอหังที่สุด และพวกเขาไร้ซึ่งเหตุผล  มีความจำเป็นที่จะต้องชำแหละเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจตนเองและมารู้จักมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจได้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคืออะไร หลังจากที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้ถึงระดับใด และอะไรคือวิธีที่เหมาะสมในการจัดการแก้ไขและตั้งชื่อให้กับสิ่งเหล่านี้  ผู้คนควรรู้จักสิ่งเหล่านี้และไม่ควรหลงระเริงไปกับแนวคิดเพ้อฝันทั้งหลาย  เป็นการดีกว่าที่ผู้คนจะมีวิธีวางตัวที่อยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ในหนทางนั้นพวกเขาย่อมจะมั่นคงมากขึ้นอีกนิด  คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตนเองเสมอและปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามชีวิตและภาพลักษณ์ของพระเจ้าตลอดเวลา  นี่อยู่กับความเป็นจริงหรือไม่?  ผู้คนอยากจะมีชีวิตอย่างพระเจ้าเสมอ—นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมิใช่หรือ?  นี่คือความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของมนุษย์ และเหมือนกับความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของซาตานไม่มีผิด  หลังจากทำงานในคริสตจักรมาระยะหนึ่ง บางคนก็เริ่มครุ่นคิดว่า “หลังจากที่พญานาคใหญ่สีแดงร่วงจากอำนาจ พวกเราควรจะเป็นกษัตริย์และใช้อำนาจหรือไม่?  พวกเราควรควบคุมเมืองใหญ่กันคนละกี่เมือง?”  หากคนคนหนึ่งสามารถพรั่งพรูเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ นั่นก็เลวร้ายยิ่ง  ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมชอบพูดคุยถึงคำสอนและหลงระเริงอยู่กับเรื่องเพ้อฝัน  และขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกฉลาด ราวกับว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า ราวกับว่าพวกเขากำลังดำรงชีวิตเป็นพระคริสต์และพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดคือสาวกของเปาโล และพวกเขาก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล  หากพวกเขาดึงดันไม่ยอมกลับใจ ผู้คนทั้งหมดนี้ย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และทุกข์ทนกับการลงโทษที่ร้ายแรง

บทตัดตอน 5

สำหรับพระวจนะเหล่านี้ที่ตรัสโดยพระเจ้า เมื่อพวกเจ้าฟัง พวกเจ้าได้นำพระวจนะเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับตัวเองหรือไม่ หรือเพียงฟังในฐานะคำสอน คิดทบทวนสักหนหนึ่งเพื่อให้เข้าใจความหมายของพระวจนะเหล่านี้เพียงเท่านั้นเอง?  ขณะที่ฟังอยู่นั้น พวกเจ้ามีท่าทีและเจตนาแบบใด?  หากพวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างแท้จริง—ว่าพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดออกไป พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า—เช่นนั้นเจ้าก็ควรทบทวนตัวเองและดูว่าการกระทำใดของเจ้าที่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง อีกทั้งวิธีการและท่าทีใดของเจ้าที่พระเจ้าทรงมองว่าเป็นการสำแดงถึงการไม่ปฏิบัติความจริง  พวกเจ้าเคยพยายามหยั่งถึงเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยทบทวนตัวเองบ้างหรือไม่?  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าแบบผ่านตานั้นไม่เพียงพอ พวกเจ้าต้องใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้น ทบทวนตนเอง รวมถึงเปรียบเทียบความคิดและการกระทำของตัวเองกับพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้า และสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเจ้าจะสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่นำมาไตร่ตรองและไม่ทบทวนตัวเอง แต่กลับมุ่งเน้นที่การเข้าใจคำสอนเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าย่อมจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และพวกเจ้าจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพที่แท้จริงแต่อย่างใด  ด้วยเหตุนั้นการไตร่ตรอง แสวงหาความจริง และทบทวนตนเองขณะอ่านพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น  พระวจนะของพระเจ้าคืออะไร?  พระวจนะคือความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวก คือความจริง คือหนทาง และเป็นชีวิตที่พระเจ้าประทานแด่มนุษย์  พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่คำสอน พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่คำขวัญ ไม่ใช่ทฤษฎีประเภทหนึ่ง และไม่ใช่ความรู้เชิงปรัชญา ในทางกลับกัน พระวจนะเหล่านี้คือความจริงที่ผู้คนต้องเข้าใจและบรรลุ ทั้งยังเป็นชีวิตที่พวกเขาต้องได้รับ  เพราะฉะนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับชีวิตของผู้คนและชีวิตเอง สัมพันธ์กับเส้นทางที่ผู้คนควรเดิน รวมถึงจุดจบและบั้นปลายของผู้คน  หากใครบางคนเข้าใจความจริงโดยแท้จริงและได้รับความจริงแล้ว ทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น  หากใครบางคนไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้เลย พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  จุดจบและบั้นปลายสำหรับคนคนนั้นมีเพียงการทนทุกข์กับความพินาศและการถูกทำลายล้าง  นี่คือความสำคัญของพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงต่อผู้คน  หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่ใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้น ไม่ทบทวนตนเอง หรือไม่เชื่อมโยงพระวจนะเหล่านั้นกับปัญหาและความยากลำบากที่แท้จริงของตัวเอง เช่นนั้นทั้งหมดที่เจ้าสามารถเข้าใจได้ย่อมเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน และเจ้าจะไม่อาจเข้าใจความจริงหรือจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้เลย  ด้วยเหตุนั้น เจ้าต้องเรียนรู้วิธีใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เข้าใจความจริง  การนี้สำคัญยิ่งยวด  มีหลายวิธีที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าอาจจะอ่านพระวจนะอย่างเงียบๆ และอธิษฐานในหัวใจของเจ้า โดยแสวงหาความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอาจสามัคคีธรรมและอ่าน-อธิษฐานด้วยกันกับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย และแน่นอนว่าเจ้าอาจผสมกลมกลืนการสามัคคีธรรมและคำเทศนาเข้าไว้ในการใคร่ครวญของเจ้าเพื่อทำให้ความเข้าใจและการจับใจความของเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น  หนทางมีมากมายและหลากหลาย  โดยสังเขปแล้ว หากในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า คนคนหนึ่งปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระวจนะ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมสำคัญยิ่งยวดที่จะใคร่ครวญและอ่าน-อธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า  วัตถุประสงค์ของการอ่าน-อธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อสามารถสวดท่องพระวจนะได้ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อท่องจำพระวจนะ หากแต่เพื่อได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำในพระวจนะเหล่านี้หลังจากที่ได้อ่าน-อธิษฐานและใคร่ครวญพระวจนะ และเพื่อรู้ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ที่ตรัสโดยพระเจ้า รวมทั้งเจตนารมณ์ของพระองค์เสียมากกว่า  เพื่อหาในที่นั้นให้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ และเพื่อหลีกเลี่ยงการหันเข้าหาหนทางของตนเอง  นอกจากนี้ยังเพื่อให้สามารถมีวิจารณญาณต่อสภาวะนานาชนิดกับผู้คนนานาจำพวกที่ล้วนได้รับการเปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้า และเพื่อให้สามารถปฏิบัติต่อบุคคลแต่ละจำพวกตามหลักธรรม รวมถึงหลีกเลี่ยงการหลงผิดได้ในเวลาเดียวกัน  เมื่อเจ้าเรียนรู้วิธีอ่านอธิษฐานและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และทำการนั้นบ่อยครั้ง เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถหยั่งรากในหัวใจของเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า

บทตัดตอน 6

ในยุคสุดท้าย พระผู้สร้างได้ดำรัสพระวจนะทั้งหมดนี้และทรงเผยตัวผู้คนทุกประเภทให้เป็นที่ประจักษ์  ในยามนี้ ผู้คนทุกประเภทได้เผชิญกับความจริง หนทางที่แท้จริง และพระดำรัสของพระผู้สร้าง และสรรพเสียงและทัศนะทุกชนิดก็ถูกเปิดเผย ซึ่งบางความคิดและบางทัศนะก็เอนเอียงไปในทางที่บิดเบี้ยว บ้างก็เอนเอียงไปทางคนที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  บ้างก็หัวโบราณ ยึดติดกับวัฒนธรรมตามประเพณี และเน่าเฟะ หลายคนก็โง่เขลาและไม่รู้เรื่องรู้ราว  นอกจากนั้นยังถึงกับมีบางคนที่เกลียดและตั้งตนเป็นอริกับความจริง ไล่กัดคนอื่นราวกับสุนัขบ้า ทั้งยังตัดสินและกล่าวโทษความจริง รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกอย่างไม่สนใจใยดีและไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนอีกด้วย  พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษอย่างมัวเมาสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวกและการแสดงความจริง และไม่พยายามที่จะแยกแยะว่าสิ่งนั้นถูกต้องหรือผิด หรือสิ่งนั้นมีความจริงอยู่หรือไม่  คนพวกนี้เป็นดั่งเช่นพวกสัตว์และพวกมาร  เมื่อเหล่ามนุษย์เผชิญหน้ากับความจริงและหนทางที่แท้จริง พวกเขาย่อมมีทัศนะต่างๆ มากมายที่เผยและเปิดโปงความอัปลักษณ์เยี่ยงซาตานออกมาซึ่งก็คือ ความใจแคบ ดึงดัน ดื้อแพ่ง และโอหังของพวกเขา  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณและขยายความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของตนเองจากการนี้โดยแสวงหาความจริงบางอย่างไปพลางเช่นกัน  หากสิ่งเหล่านี้เผยออกมาในตัวผู้ที่ไม่เชื่อ และคนที่ยังไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย แล้วพวกเจ้าก็แสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นเสียเองหรือไม่?  บางครั้งหนทางที่พวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นนั้นแตกต่างกันออกไป และหนทางที่พวกเจ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน แต่อันที่จริงพวกเจ้าก็แสดงอุปนิสัยเดียวกันกับพวกผู้ไม่มีความเชื่อ  นั่นคล้ายกับเวลาที่บางคนยอมรับองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาก็เชื่อว่าทุกคนภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้านั้นด้อยกว่า  พวกเขาเชื่ออย่างนั้นเพราะพวกเขาได้ยอมรับความรอดแห่งกางเขนขององค์พระเยซูเจ้าแล้ว พวกเขาจึงเป็นบุคคลที่เหนือกว่า และพวกเขาก็ดูถูกทุกคน  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใดหรือ?  พวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก พวกเขาใจแคบเกินไป และพวกเขาก็โอหังอย่างสุดขั้วและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  พวกเขามองเห็นว่าผู้อื่นกำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นว่าตนเองก็กำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบเดียวกันด้วย  ดังนั้นพวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นหรือไม่?  พวกเจ้าทำแน่นอน เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนนั้นล้วนเหมือนกันไม่มีผิด และนั่นเป็นเพียงเพราะพระราชกิจและความรอดของพระเจ้า ความจำเป็นแห่งพระราชกิจของพระองค์ หรือการที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าบุคคลทุกประเภทมีแก่นแท้ธรรมชาติ การไล่ตามเสาะหา และความโหยหาที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง  บางคนไม่มีหัวใจหรือวิญญาณ  พวกเขาจึงเป็นดั่งคนตายและสัตว์ร้ายที่ไม่เข้าใจความเชื่อ  ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกต่ำช้าที่สุดในมวลมนุษย์ทั้งปวงและไม่สามารถนับเป็นมนุษย์ได้เลย  บรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าย่อมมีความเข้าใจในความจริงที่มากกว่า ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจในพระเจ้าของพวกเขาก็ดีกว่า ทฤษฎีและทัศนะของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า  ก็เหมือนกับการที่บรรดาผู้ที่เชื่อในศาสนาคริสต์มีความเข้าใจในพระเจ้าและความรู้เกี่ยวกับการทรงสร้างและพระราชกิจของพระผู้สร้างมากกว่าพวกผู้เชื่อในพระยาห์เวห์แบบยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ บรรดาผู้ที่ยอมรับช่วงระยะที่สามของพระราชกิจย่อมมีความเข้าใจในพระเจ้ามากกว่าพวกผู้เชื่อในศาสนาคริสต์ เนื่องจากแต่ละช่วงระยะในพระราชกิจของพระเจ้านั้นสูงส่งกว่าช่วงระยะสุดท้ายแน่นอนว่านั่นจึงตามด้วยการที่ความเข้าใจของผู้คนก็กลายเป็นมากขึ้นทุกทีอย่างแน่นอนเช่นกัน  แต่หากเจ้ามองการนี้ในอีกหนทางหนึ่ง แก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเผยให้เห็นหลังจากที่เจ้ายอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจก็เป็นแบบเดียวกับแก่นแท้ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกคนในศาสนาเผยให้เห็นนั่นเอง  ความแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือว่าพวกเจ้าได้ยอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแล้ว ได้ฟังบทเทศน์ไปมากมายแล้ว ได้เข้าใจความจริงมากมายแล้ว ได้รับความเข้าใจในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว และได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริงบ้างแล้วโดยการยอมรับและปฏิบัติความจริง  ดังนั้นเมื่อพวกเจ้ามองพฤติกรรมที่พวกคนในศาสนาแสดงออกมาอีกครั้ง พวกเจ้าจึงคิดว่าพวกเขาเสื่อมทรามกว่าพวกเจ้า  แต่ในข้อเท็จจริง หากพวกเจ้าถูกจับไปวางข้างกับพวกเขา พวกเจ้าก็จะเห็นว่าท่าทีของผู้คนที่มีต่อพระเจ้าและความจริงนั้นเหมือนกัน  พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่กระทำไปตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความชอบส่วนตัวของพวกเจ้าเองทั้งสิ้น และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าก็เหมือนกัน  หากพวกเขาได้ยอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ ได้ฟังบทเทศน์เหล่านี้ และได้เข้าใจความจริงเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว พวกเขาก็คงไม่ต่างไปจากพวกเจ้าเท่าไร  พวกเจ้ามองเห็นอะไรได้จากเรื่องนี้หรือ?  พวกเจ้ามองเห็นได้ว่าความจริงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของผู้คน ว่าพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและ บทเทศน์เหล่านี้ที่พระองค์ทรงประกาศนั้นคือความรอดสำหรับมนุษยชนทั้งปวง และเป็นสิ่งที่มนุษยชนทั้งปวงจำเป็นต้องมี  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หมายเพียงสนองความพึงพอใจให้ผู้คนเฉพาะกลุ่มหนึ่ง เฉพาะชาติพันธุ์หนึ่ง เฉพาะหมวดหมู่หนึ่ง หรือเฉพาะสีผิวหนึ่งเท่านั้น  มนุษยชนทั้งปวงได้ถูกทำให้เสื่อมทรามโดยซาตานและมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอยู่ก่อนแล้ว  ในแง่ของแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นไม่มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่เลย ก็แค่ว่าพวกเขาเติบโตมาในสีผิว ชาติพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมกับระบบทางสังคมที่ไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในด้านวัฒนธรรมตามประเพณีของพวกเขา ภูมิหลัง และการศึกษาที่พวกเขาได้รับ  แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก—มนุษยชนทั้งปวงได้ถูกทำให้เสื่อมทรามด้วยฝีมือของซาตานตนเดียว และแก่นแท้ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เป็นแบบเดียวกัน  เพราะฉะนั้น พระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจนี้ที่พระองค์ทรงทำไม่ใช่มุ่งเป้าไปที่ผู้คนเฉพาะจากชาติพันธุ์ใดหรือประเทศใดเท่านั้น แต่มุ่งเป้าไปที่มนุษยชนทั้งปวงเสียมากกว่า  แม้ในยามที่มีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรมและภูมิหลังทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน หรือความแตกต่างในด้านการศึกษาที่พวกเขาได้รับมาก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกันไม่มีผิด  ดังนั้น แม้พระราชกิจระยะหนึ่งของพระองค์จะเพิ่งเสร็จสิ้นไปในที่แห่งหนึ่งก่อน ในฐานะต้นแบบที่จะใช้เผยแผ่พระราชกิจของพระองค์ในที่แห่งอื่น แต่ก็สามารถใช้ได้กับมนุษยชนทั้งปวง สามารถช่วยมนุษยชนทั้งปวงให้รอดและจัดเตรียมให้กับพวกเขาได้  บางคนพูดว่า “ชาวยุโรปและผู้คนจากประเทศอื่นไม่ใช่พงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง ดังนั้นที่พระเจ้าตรัสว่ามนุษยชนทั้งปวงช่างเสื่อมทรามดิ่งลึกนั้นย่อมไม่เหมาะสมไม่ใช่หรือ?”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง  มนุษยชนทั้งปวงมีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกันจากการถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้วโดยซาตาน)  นั่นถูกต้อง—“พงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง” เป็นเพียงชื่อหนึ่งสำหรับผู้คนชาติพันธุ์เดียว ไม่ใช่หมายความว่าผู้คนที่มีชื่อนี้กับผู้คนที่ไม่มีชื่อนี้มีแก่นแท้ที่ต่างกัน ในข้อเท็จจริงแล้ว แก่นแท้ของพวกเขายังคงเหมือนกัน  มนุษยชนทั้งปวงนั้นตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของคนชั่ว พวกเขาทุกคนล้วนแต่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว และแก่นแท้ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกันไม่มีผิด  ในยามนี้ เมื่อชาวจีนได้ยินพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัส พวกเขาก็กบฏและขัดขืน เพราะพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน สิ่งเหล่านี้เองคือสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็น  เมื่อพระวจนะเหล่านี้ถูกพูดซ้ำไปถึงผู้คนในอีกชาติพันธุ์ พวกเขาก็แสดงความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความเป็นกบฏ ความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และแม้กระทั่งการขัดขืนออกมาเช่นกัน—นั่นคือสิ่งเดียวกันไม่มีผิด  มนุษยชนทั้งปวง ไม่ว่าชาติพันธุ์และภูมิหลังทางวัฒนธรรมเป็นอย่างไร ต่างก็ไม่แสดงออกมาให้เห็นซึ่งสิ่งอื่นใดนอกจากพฤติธรรมของเหล่ามนุษย์ผู้เสื่อมทรามที่พระเจ้าทรงเปิดโปง

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษยชนทั้งปวง พวกเขาทุกคนเป็นเหมือนกัน มีความคล้ายคลึงมากกว่าความแตกต่าง รวมถึงไม่มีข้อแตกต่างเด่นชัดที่เห็นได้ชัดเจน  พระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไม่เพียงช่วยชาติพันธุ์เดียว ประเทศเดียว หรือผู้คนกลุ่มเดียวให้รอดเท่านั้น—พระเจ้าทรงช่วยมนุษยชนทั้งปวงให้รอด  เรื่องนี้แสดงให้พวกเจ้าเห็นสิ่งใด?  มีใครในเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้างที่ไม่เคยก้าวผ่านกับการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน และมาจากหมวดหมู่หรือชนชั้นของผู้คนที่แตกต่างออกไป?  มีใครบ้างที่ไม่ใช่วัตถุแห่งอธิปไตยของพระเจ้า (ไม่มี)  ความหมายของคำเหล่านี้ที่เราพูดคืออะไร?  พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือมนุษยชนทั้งปวง และมนุษยชนทั้งปวงก็ถูกสร้างโดยพระเจ้าพระองค์เดียว  ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด เป็นมนุษย์ชนิดใด หรือมีสมรรถภาพเพียงไร พวกเขาทุกคนต่างก็ถูกสร้างโดยพระเจ้าเหมือนกันทั้งสิ้น  ในสายตามนุษย์ บางคนแตกต่างจากคนอื่นและเหนือกว่า แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกคนเหมือนกันหมด  มนุษย์ทุกคนเหมือนกันในสายพระเนตรของพระเจ้า  พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้จากที่ไหนหรือ?  ความแตกต่างของสีผิวและภาษาเป็นเพียงการปรากฏภายนอก แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนนั้นเหมือนกัน นี่คือความจริงของเรื่องนี้  เมื่อเผชิญกับมนุษย์คนใดก็ตามที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน พระวจนะของพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้  พระวจนะของพระเจ้ามุ่งเป้าไปยังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชนทั้งปวงได้  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทุกพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง ว่าพระวจนะสามารถจัดเตรียมให้มนุษยชน ชำระมนุษยชนให้สะอาด และช่วยมนุษยชนให้รอด นี่มิอาจปฏิเสธได้  ในยามนี้ พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้ายได้แพร่กระจายไปทั่วทุกประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วโลกแล้ว—นี่คือข้อเท็จจริง!  และที่ผ่านมาปฏิกิริยาของมนุษย์เป็นอย่างไร?  (มีปฏิกิริยามาแล้วทุกชนิด)  และปฏิกิริยาทุกชนิดนี้บ่งชี้หรือสะท้อนอะไรเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์ ปฏิกิริยาเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเหมือนกัน ปฏิกิริยาของพวกเขาเหมือนกับปฏิกิริยาของพวกฟาริสีและพวกยิวเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขาจงเกลียดจงชังความจริง เต็มไปด้วยความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และความเชื่อของพวกเขาที่มีต่อพระองค์ยังปรากฏอยู่ภายใต้ความคิดฝันที่ลวงตาและมโนคติอันหลงผิด  มนุษยชนทั้งปวงไม่รู้จักพระเจ้าและขัดขืนพระองค์  ทันทีที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ปฏิกิริยาแรกของพวกเขา หรือสิ่งที่อยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาซึ่งพวกเขาย่อมเผยออกมาเป็นปกติ ก็คือการขัดขืนและตั้งตนเป็นอริกับพระเจ้า นี่คือบางสิ่งที่พวกเขาทุกคนมีร่วมกัน  ทุกเสียงและทุกทัศนะในเชิงลบของพวกเขายามที่เผชิญกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นเกิดจากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษยชนอันเสื่อมทราม และเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มนี้  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเป็นแบบเดียวกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าที่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมีเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จถึงที่นั่น พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  พวกคนในศาสนาได้แบกกางเขนมานานถึงสองพันปี แต่พวกเขากลับยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  เมื่อผู้คนไม่เคยได้รับความจริง นี่จึงเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาแสดงออกมาโดยธรรมชาติซึ่งเกิดจากตัวของพวกเขาเองมาแต่กำเนิด และนี่คือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า  ดังนั้น หากบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้าแต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาแก้ไขได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานเท่าไร พวกเขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้เลยหากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อสองพันปีที่แล้ว พวกฟาริสีได้ขัดขืนและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างเกรี้ยวกราด แล้วได้ตอกตรึงพระองค์ติดกับกางเขน  ในยามนี้ เหล่าศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส ปิตาจารย์ และมุขนายกในโลกศาสนาเองก็ยังคงขัดขืนและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างเกรี้ยวกราดเหมือนอย่างที่พวกฟาริสีเคยทำ  หากคนคนหนึ่งต้องไปอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นและต้องเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คนคนนั้นก็อาจถูกจับตัวและทำร้ายจนเสียชีวิตได้ และหากพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ต้องเสด็จยังสถานที่นมัสการของศาสนาหลักแต่ละศาสนาเพื่อทรงประกาศ พวกเขาก็คงยังตอกตรึงพระองค์เข้ากับกางเขนหรือไม่ก็ส่งต่อพระองค์ให้พวกคนที่มีอำนาจอย่างแน่นอน  พวกเขาคงไม่ยอมใจดีกับพระองค์อย่างแน่นอน เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของเหล่ามนุษย์ผู้เสื่อมทรามนั้นเหมือนกันทั้งหมด  พวกเจ้ามีปฏิกิริยาอะไรอยู่ข้างในหรือเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้?  พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่กลับไม่เคยแสวงหาความจริงเลยแม้แต่น้อยค่อนข้างน่ากลัวหรือไม่?  (ค่อนข้าง)  นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน!  การถือพระคัมภีร์และกางเขน การพึ่งพาธรรมบัญญัติ การสวมเสื้อผ้าของพวกฟาริสีหรือเสื้อคลุมของพวกปุโรหิต และการขัดขืนและกล่าวโทษพระเจ้าในวิหารอย่างโจ่งแจ้ง—ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่พวกผู้เชื่อในพระเจ้าทำตอนกลางวันแสกๆ หรอกหรือ?  ผู้ที่กล่าวโทษและขัดขืนพระเจ้านั้นอยู่ที่ไหน  คนเราไม่จำเป็นต้องคิดไปไกล  ใครก็ตามท่ามกลางผู้เชื่อของพระเจ้าที่ไม่ยอมรับความจริงและรังเกียจความจริงถือเป็นผู้ขัดขืนพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง และเป็นฟาริสีคนหนึ่งนั่นเอง

หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่สามารถได้รับความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันได้รู้จักพระเจ้า  เมื่อผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาก็จะยังคงเป็นอริกับพระองค์เสมอ และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเข้ากันได้กับพระองค์  ไม่ว่าจากมุมของตนเองนั้น หัวใจของเจ้าอยากที่จะรักพระเจ้าและไม่ปรารถนาที่จะขัดขืนพระองค์มากเท่าไร นั่นก็เปล่าประโยชน์  เปล่าประโยชน์ที่จะมีเพียงความอยาก หรือต้องการหักห้ามใจตนเอง เพราะนี่คือเรื่องที่เป็นไปโดยควบคุมไม่ได้ซึ่งถูกกำหนดโดยธรรมชาติของผู้คน  ดังนั้นเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาเพื่อเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีความจริง ไล่ตามเสาะหาการปฏิบัติความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย และสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้า นี่คือเส้นทางที่ถูก  พวกเจ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่าส่วนที่สำคัญที่สุดของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าต้องจับความเข้าใจว่าความสัมพันธ์กับชีวิตจริงในแง่มุมใดบ้างที่พวกเจ้าควรเริ่มต้นเมื่อกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นเดียวกับการจับความเข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำ วิธีเข้าหาหน้าที่ของพวกเจ้า วิธีเข้าถึงบุคคลทุกชนิดรอบตัวพวกเจ้า วิธีเข้าหาเรื่องทั้งหลายและสิ่งทั้งหลายในทุกประเภท ทัศนะใดที่พวกเจ้าควรนำมาปรับใช้ขณะกำลังเข้าหาสิ่งเหล่านี้ และการเข้าถึงแบบไหนที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงหรือไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และเพียงแต่สามารถทำตามข้อบังคับและให้นิยามสิ่งทั้งหลายไปตามข้อบังคับเหล่านั้น รวมถึงไปตามหลักตรรกะ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝัน เช่นนั้นแล้วหนทางในการปฏิบัติของเจ้าก็ผิด และแค่พิสูจน์ว่าในการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานปีนั้น เจ้าเพียงแต่ทำตามข้อบังคับที่เป็นตัวอักษร แต่กลับไม่ได้เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริงอยู่เลย  การทำตามข้อบังคับและการดำรงชีวิตไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันนั้นเป็นเรื่องที่น่าอ่อนระโหยและลำบากตรากตรำสำหรับเจ้า แต่ทั้งหมดกลับเป็นความพยายามที่สูญเปล่า และพระเจ้าก็จะไม่ทรงให้ความเห็นชอบในตัวเจ้าแม้แต่น้อย ก็สมน้ำหน้าแล้วที่เจ้าต้องอ่อนระโหยเช่นนี้!  หากเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและการจับใจความที่ผ่องแผ้วในยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเทศน์ทั้งหลายและสามัคคีธรรม จากนั้นยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์มากเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจและได้รับมากเท่านั้น และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจก็จะสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสอดคล้องกับความจริงทุกประการ  แล้วก็เจ้าจะได้รับความจริงและชีวิต  หากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับและได้เข้าใจหลังจากเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปียังคงเป็นเรื่องคำสอนและข้อบังคับ ยังคงเป็นเรื่องมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และเป็นกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่ผูกมัดตัวเจ้าเอาไว้ เช่นนั้นเจ้าก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียแล้ว  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่เคยได้รับความจริงเลย และไม่มีชีวิต  ไม่ว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปี และไม่ว่าเจ้าสามารถประกาศพระวจนะหรือคำสอนได้กี่คำ เจ้าก็เป็นคนที่ไร้สาระและเลอะเลือนอยู่ดี  แม้การพูดเช่นนั้นอาจฟังดูไม่ดี แต่นั่นคือข้อเท็จจริง  มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่เห็นว่าความจริงและพระคริสต์ทรงเป็นผู้ถือครองอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า และว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความเข้าใจในเรื่องใดเลย และดีพอกันกับตาบอด  บางคนเห็นพระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน ทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งมีความเพียบพร้อม แต่กลับทรงกำจัดคนอื่นออกไปมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยในความรักของพระเจ้าหรือแม้แต่ความชอบธรรมของพระองค์  ผู้คนแบบนี้มีความสามารถในการจับใจความหรือไม่?  พวกเขามีความเข้าใจบ้างหรือไม่?  นั่นก็เป็นธรรมแล้วที่พูดว่าพวกเขาเป็นผู้คนไร้สาระที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย  คนไร้สาระมองสิ่งทั้งหลายในมุมที่วิปริตเสมอ มีเพียงบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถมีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องแม่นยำและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง

บทตัดตอน 7

ผู้คนบางคนที่ประกาศข่าวประเสริฐ คนที่เผยแผ่และเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้านั้นทำผิดพลาดมหันต์—พวกเขาตอบรับผู้คนในศาสนาที่มีแนวโน้มจะเกิดมโนคติอันหลงผิดด้วยการตัดทอนพระวจนะของพระเจ้า แล้วส่งมอบพระวจนะของพระเจ้ารูปแบบย่อและกระชับให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ  ข้อแก้ตัวของพวกเขาก็คือ พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด แต่การนี้ถูกต้องหรือไม่?  พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือความจริง  ไม่ว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขายอมรับหรือรักพระวจนะเหล่านี้หรือไม่ ความจริงก็คือความจริง บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงย่อมได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่พวกไม่ยอมรับความจริงจะพินาศ  ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธความจริงนั้นสมควรตายและพินาศไปเสีย  การนี้เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไร?  ผู้ที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐควรปล่อยให้ผู้คนได้อ่านพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าแทนที่จะตัดทอนพระวจนะเหล่านั้นให้สั้นลงเพราะกลัวผู้คนจะมีมโนคติอันหลงผิด  เมื่อผู้คนสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาต้องการดูว่าพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าว่าไว้อย่างไร ในพระวจนะเหล่านั้นมีเนื้อหาแบบใด และถ้อยแถลงดั้งเดิมที่สุดของพระเจ้าในบางเรื่องเป็นเช่นไร  ผู้คนต้องการที่จะรู้ว่า “พวกคุณบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง แล้วพระวจนะที่พระองค์ตรัสคืออะไร?  ลักษณะในการตรัสของพระองค์เป็นอย่างไร?”  พวกเจ้ายืนกรานที่จะดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เช่นเดียวกับเวลาที่คนในศาสนาอธิบายพระคัมภีร์แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาพูดล้วนสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เจ้ายืนกรานที่จะแสดงพระวจนะที่ถูกดัดแปลงของพระเจ้าแก่ผู้คน และไม่ยอมให้พวกเขาเห็นพระวจนะดั้งเดิมของพระองค์  ทั้งหมดนี้คืออะไร?  พวกเจ้าก็มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเชื่อเช่นเดียวกับคนในศาสนาใช่หรือไม่ว่าพระวจนะของพระองค์ที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้นไม่ใช่ความจริง และมีเพียงพระวจนะที่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง?  หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็คือความผิดพลาดของมนุษย์  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกตรัสอย่างไร และไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่ พระวจนะเหล่านั้นก็คือความจริง  เพราะมนุษย์ผู้เสื่อมทรามไม่มีและไม่รู้จักความจริงเท่านั้น พวกเขาจึงเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความของมนุษย์  พวกเจ้าไม่ได้เห็นโดยชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีผลกระทบบางอย่างที่เป็นรูปธรรมเป็นพิเศษ และเจ้าไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่ามนุษย์มีขีดความสามารถย่ำแย่เพียงใด และผู้คนจะเข้าใจยากแค่ไหนหากพระวจนะของพระเจ้านั้นรวบรัดและเป็นทฤษฎีมากเกินไป  นึกถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจ สาวกมากมายของพระองค์ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ และต้องขอให้พระองค์ทรงยกตัวอย่างและเปรียบเปรยให้ฟังเพื่อที่จะจับความเข้าใจความหมายของพระวจนะเหล่านั้น  มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  วันนี้ เมื่อเรากล่าวโดยให้รายละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากเกินไป พวกเจ้าก็พร่ำบ่นว่าสิ่งนั้นเยิ่นเย้อเกินไป  เมื่อเรากล่าวอย่างลึกซึ้งพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเราสรุปความและทำให้เป็นทฤษฎี พวกเจ้าก็มองว่าเป็นคำสอน  มนุษย์ช่างเอาใจยากในหนทางนี้  ทุกวันนี้ ในพระวจนะของพระเจ้ามีทั้งภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงภาษามนุษย์ มีทั้งความกระชับและความเฉพาะเจาะจง ทั้งยังมีตัวอย่างมากมายที่เปิดโปงสภาวะต่างๆ ของผู้คน  พระวจนะบางคำดูมีรายละเอียดมากเกินไปสำหรับคนที่เข้าใจความจริงอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้เชื่อใหม่ สิ่งนี้ย่อมถูกต้องพอดี และการที่จะสัมฤทธิ์ผลโดยไร้ซึ่งรายละเอียดและความเฉพาะเจาะจงในระดับนี้ก็เป็นเรื่องยาก  สิ่งนี้เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกๆ ตอนที่ลูกยังเล็ก พ่อแม่จำเป็นต้องทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เต็มไปด้วยรายละเอียด แต่เมื่อลูกของพวกเขาเริ่มรู้เหตุผลและสามารถดูแลตนเองได้แล้ว พวกเขาก็สามารถเลิกทำเช่นนั้นได้  นี่คือสิ่งที่ผู้คนเข้าใจ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจในเรื่องของพระราชกิจของพระเจ้า?  ผู้เชื่อใหม่ต้องอ่านพระวจนะที่ผิวเผินกว่าและมีตัวอย่างสนับสนุน พระวจนะที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและพิถีพิถัน  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและเข้าใจความจริงบางประการต้องอ่านพระวจนะที่ค่อนข้างลึกซึ้งและพวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสเช่นไร ทั้งหมดนั้นก็หมายที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจความจริง ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  พระองค์ตรัสเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้  ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์นั้นลึกซึ้งหรือผิวเผิน ไม่ว่าผู้คนจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้หรือไม่ การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ไม่ง่าย  จงอย่าคิดเพียงว่าเพราะเจ้ามีขีดความสามารถดีและสามารถจับความเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งได้ เจ้าก็ครองความจริงที่ผิวเผินและครองความเป็นจริงแล้ว  เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  ความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์เพียงอย่างเดียวนั้นเพียงพอแล้วสำหรับประสบการณ์ทั้งชีวิต  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผิวเผินเพียงไร ไม่ว่าพระองค์ทรงยกตัวอย่างมากมายเพียงไหน เจ้าก็อาจไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแม้จะมีประสบการณ์มาแปดหรือสิบปีแล้วก็ตาม  ดังนั้นเมื่อเข้าหาพระวจนะของพระเจ้า การมองดูพระวจนะในเชิงลึกย่อมไม่ถูกต้อง  ทัศนะนี้ไม่ถูกต้อง  การที่คนเราให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อความเป็นจริงนั้นดีที่สุด เจ้ามิได้มีความเป็นจริงเพียงเพราะเจ้ามีความสามารถในการจับใจความและสามารถเข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง สำหรับเจ้าแล้ว แม้แต่การจับใจความที่ดีที่สุดก็จะเป็นเพียงคำสอนอันว่างเปล่า  เจ้าต้องนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าต้องมีประสบการณ์และความรู้—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะมีการจับใจความที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ทุกคนที่พร่ำบ่นว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นละเอียดหรือสัพเพเหระมากเกินไปคือคนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก อีกทั้งไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย  มนุษย์สามารถหยั่งถึงพระปัญญาในพระวจนะของพระเจ้าและพระดำริของพระองค์ได้หรือ?  ผู้คนมากมายมีท่าทีที่โอหังและไม่รู้ความมากเกินไปต่อพระวจนะของพระเจ้า ทำตัวราวกับว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงมากมาย ซึ่งที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงและไม่สามารถกล่าวคำพยานที่จริงแท้ได้เลย  พวกเขาได้แต่เอ่ยคำพูดที่ว่างเปล่าในทางทฤษฎีเท่านั้น พวกเขาเป็นนักทฤษฎีและนักต้มตุ๋น  บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาควรแสวงหาความจริง  การแสวงหาความจริงครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับหลายสิ่ง ดังนั้นแล้วสิ่งนี้สามารถกล่าวโดยไร้ซึ่งรายละเอียดได้หรือไม่?  หากไร้ซึ่งการกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงและครอบคลุม จะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้หรือไม่?  หากไร้ซึ่งตัวอย่างมากมายมาสนับสนุน ผู้คนจะสามารถเข้าใจโดยแท้จริงได้หรือ?  ผู้คนมากมายคิดว่าพระวจนะบางส่วนของพระเจ้านั้นผิวเผินเกินไป—ถ้าเช่นนั้น เจ้าได้เข้าสู่พระวจนะที่ผิวเผินเหล่านี้มากแค่ไหนแล้ว?  เจ้าสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ใดได้บ้าง?  หากเจ้ายังไม่เข้าสู่พระวจนะอันผิวเผินเหล่านี้ด้วยซ้ำ เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจส่วนที่ลึกซึ้งกว่านี้ได้หรือ?  เจ้าจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้อย่างแท้จริงหรือ?  จงอย่านึกฝันไปว่าตนเองฉลาดเฉลียว อย่าเป็นคนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก!

กลับมาที่ประเด็นเรื่องการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้ากันเถิด  พระนิเวศของพระเจ้าได้ตีพิมพ์หนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ในรูปแบบเป็นมาตรฐาน และไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ดัดแปลงแก้ไขแม้แต่น้อย  ไม่มีใครสามารถดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นมาตรฐานได้ และหากใครบางคนดัดแปลงแก้ไขพระวจนะเหล่านั้นจริง การนั้นจะถือว่าเป็นการดัดแปลงพระวจนะของพระองค์  พวกที่ดัดแปลงพระวจนะของพระองค์ไม่มีความเข้าใจในความโหยหาของบรรดาผู้ที่ถวิลหาความจริงและเฝ้ารอที่จะได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  คนเหล่านี้ต้องการอ่านพระวจนะของพระองค์ในรูปแบบที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐาน ซึ่งก็คือพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้า คือการแสดงออกถึงความหมายและเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์นั่นเอง  ผู้คนที่รักความจริงล้วนเป็นเช่นนี้  ผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ จุดประสงค์ และความหมายดั้งเดิมของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจทั้งปวงและตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้ อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสโดยละเอียดเช่นนั้น  ผู้คนไม่เข้าใจ ทว่าพวกเขาก็ยังวิเคราะห์และสรุปพระวจนะด้วยความคิดของตน และลงเอยด้วยการดัดแปลงพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าในส่วนที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  ผลก็คือหลังจากที่ผู้อื่นอ่านพระวจนะที่ได้รับการดัดแปลงจบแล้ว ก็ยากที่พวกเขาจะเข้าใจความหมายดั้งเดิมของพระองค์  การนี้ไม่ส่งผลต่อความเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ?  ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  คือการที่บรรดาผู้ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้านั่นเอง  วิธีการของพวกเขาคือวิธีการของผู้ไม่เชื่อ ทันทีที่พวกเขาปฏิบัติตน อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็เผยตัว  พวกเขามีความคิดเห็นและแนวคิดบางอย่างกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและตรัสเสมอ และพวกเขาก็ต้องการจัดการและดำเนินการสิ่งเหล่านี้ ใช้กรงเล็บปีศาจสีดำของพวกเขาเอื้อมไปเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นคำกล่าวของพวกเขาเองอยู่ตลอดเวลา  นี่คือธรรมชาติของซาตาน—ความโอหังนั่นเอง  เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะที่แท้จริงบางอย่าง พระวจนะในชีวิตประจำวันบางประการที่ใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์ ผู้คนก็ดูถูกและเหยียดหยามพระวจนะเหล่านี้ เข้าหาพระวจนะเหล่านี้ด้วยท่าทีเย้ยหยัน  พวกเขาต้องการใช้ความรู้และความคิดฝันของมนุษย์เพื่อทำการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่เสมอ  สิ่งนี้ไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ?  (น่ารังเกียจ)  พวกเจ้าต้องไม่ทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด  เจ้าต้องปฏิบัติตนตามหน้าที่  พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์ตรัสเช่นไร พวกเขาก็ต้องรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้และไม่ทำการดัดแปลงแก้ไข  มีเพียงคำเทศนาแบบถ่ายทอดสดเท่านั้นที่สามารถจัดการใหม่ได้เล็กน้อย ตราบเท่าที่เป็นเพียงการปรับแต่งในส่วนน้อยและไม่เปลี่ยนแปลงความหมายดั้งเดิม  แน่นอนว่าความหมายดั้งเดิมต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลง  หากเจ้าไม่มีความจริง เช่นนั้นจงอย่าแก้ไขดัดแปลง ผู้ใดก็ตามที่กระทำการแก้ไขดัดแปลงจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ  พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายผู้คนหลายคนจัดระเบียบคำเทศนาและสามัคคีธรรม แต่พวกเขาต้องจัดระเบียบวจนะสิ่งเหล่านั้นตามหลักธรรม และต้องไม่ดัดแปลงสิ่งใดโดยเด็ดขาด  พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจความจริงนั้นไม่ควรก้าวก่าย พวกเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการลงโทษ  ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระองค์อย่างขะมักเขม้น มุ่งเน้นที่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริง อีกทั้งไม่กังขาในพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  เหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าใช้จิตใจและความรู้ของเจ้ามาพินิจพิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้า  การปฏิบัติชั่วอยู่เสมอไม่ใช่เรื่องดี ครั้นเจ้าก้าวล่างพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าก็ย่อมจะตกที่นั่งลำบาก  บางคนเข้าใจความรู้ทางพระคัมภีร์เล็กน้อย พวกเขาศึกษาเรื่องเทววิทยาอยู่สองสามวันและอ่านหนังสือสองสามเล่ม จากนั้นก็คิดว่าตนเองเข้าใจความจริงแล้วคิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริง เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้ และมีความสามารถ  แต่ความสามารถเพียงเล็กน้อยของเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?  เจ้าสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือ?  เจ้ามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  เจ้าสามารถนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่?  ทฤษฎีและความเชี่ยวชาญเพียงเล็กน้อยของเจ้าไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงแม้แต่น้อย  พระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ตรัสพระวจนะบางอย่างที่ทำให้ผู้คนจับความเข้าใจความหมาย พระวจนะบางอย่างที่ทำให้มวลมนุษย์เข้าใจง่ายขึ้น ทว่าผู้คนกลับไม่เชื่อ ต้องการเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระองค์อยู่เสมอ  พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระองค์ให้ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของตนเอง ให้เหมาะกับรสนิยมและความปรารถนาของพวกเขา ทำให้พระวจนะเหล่านั้นฟังได้อย่างสบายหู อีกทั้งดูได้อย่างสบายตาและสบายใจ  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  นี่คืออุปนิสัยอันโอหัง  การทำสิ่งทั้งหลายโดยไร้ซึ่งหลักธรรมความจริงและการปฏิบัติตนตามหนทางของซาตานย่อมจะขัดขวางและก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย  นี่เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง!  เมื่อเจ้าก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหามากทีเดียว และเจ้าก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป

บางคนรู้สึกรังเกียจเมื่อเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเส้นทางปฏิบัติสำหรับการเข้าสู่ชีวิตอย่างละเอียดมาก  ในกรณีนั้น หากพวกเขาได้เห็นธรรมบัญญัติ กฤษฎีกา และกฎระเบียบทั้งปวงที่พระเจ้าทรงประกาศในพันธสัญญาเดิม พวกเขาย่อมจะรู้สึกรังเกียจยิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ?  และต่อมาหากพวกเขาได้อ่านพระวจนะที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิมจากพระบัญญัติดั้งเดิมในพระคัมภีร์ พวกเขาจะไม่เกิดมโนคติอันหลงผิดหรือ?  พวกเขาจะคิดว่า “พระวจนะเหล่านี้หยุมหยิมเกินไป  สิ่งที่สามารถกล่าวให้ชัดเจนได้ในประโยคเดียวกลับถูกยืดออกไปเป็นสามหรือสี่ประโยค  ประโยคเหล่านั้นควรจะกระชับและตรงไปตรงมามากกว่านี้ ผู้คนจะได้เห็นทุกอย่างในทันทีและเข้าใจจากการฟังเพียงประโยคเดียว  หากพระวจนะเหล่านี้ไม่เยิ่นเย้อ แต่กลับเรียบง่าย เข้าใจง่าย และปฏิบัติได้ง่ายก็คงจะดีเยี่ยมทีเดียว  ประโยคเหล่านี้จะไม่เป็นพยานและถวายพระสิริให้พระเจ้าอย่างมีประสิทธิผลมากกว่าหรือ?”  ความคิดนี้ดูเหมือนถูกต้อง แต่เจ้าคิดว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าควรเหมือนการอ่านนิยายที่ยิ่งราบรื่นก็ยิ่งดีอย่างนั้นหรือ?  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง สิ่งเหล่านี้พึงต้องใช้การไตร่ตรอง อีกทั้งคนเราต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้เพื่อที่จะเข้าใจและได้รับความจริง  ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์น้อยเท่าไร ในพระวจนะเหล่านั้นก็ยิ่งมีความจริงมากขึ้น  อันที่จริงไม่มีความจริงแง่มุมใดเลยที่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เคยเห็นหรือมีประสบการณ์มาก่อน ทว่าเป็นคำพูดที่สดใหม่  อย่างไรก็ตาม หลังจากอ่านและมีประสบการณ์กับพระวจนะมาหลายปี เจ้าย่อมจะรู้ว่าพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าคือความจริง  บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ  ปัญหานี้เกิดมาจากไหน?  พวกเขาผิดพลาดอย่างไร?  ปัญหานี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่รู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระองค์  ทุกประโยคที่พระองค์ตรัสนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นข้อเท็จจริง โดยใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของมนุษย์และไม่อาศัยภาษาในทางทฤษฎีหรือภาษาเชิงความรู้  สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจความจริงของมนุษย์มากที่สุด  ไม่มีผู้ใดสามารถจับความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน—มีเพียงพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่สัมพันธ์กับชีวิตและเป็นจริงมากที่สุด  ผู้คนยอมรับด้วยวาจาว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้องทั้งหมด  พระวจนะของพระองค์เป็นประโยชน์ต่อผู้คน แต่ผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้า  พระองค์ทรงรู้ความต้องการของผู้คนดีที่สุด พระองค์ทรงรู้วิธีตรัสให้ผู้คนเข้าใจ  วิธีตักเตือนและบอกกล่าวผู้คนของพระองค์นั้นยอมรับได้ง่ายกว่า  พระเจ้าทรงรู้ถึงโครงสร้างภายในของผู้คนและทรงรู้ว่าพวกเขามีความคิดและมโนคติอันหลงผิดประเภทใด และพระองค์ก็ทรงยิ่งทรงทราบดีทีเดียวว่าผู้คนต้องการสิ่งใดมากที่สุด ในขณะที่พวกเขาเองไม่รู้เลย”  แต่เมื่อเจ้าดูที่พระวจนะของพระเจ้า เจ้ากลับต้องการแก้ไขพระวจนะเหล่านั้นให้ง่ายลงและเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและรสนิยมของมนุษย์  แล้วเช่นนั้นพระวจนะของพระเจ้าจะยังเป็นความจริงได้อยู่หรือ?  พระวจนะเหล่านั้นจะยังเป็นพระวจนะของพระองค์ได้อยู่หรือ?  พระวจนะเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นคำพูดมนุษย์ไปหรือ?  ความคิดประเภทนี้ไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกจนเกินไปหรือ?  ไม่ว่าตรงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าก็คือความจริง  ไม่ว่าพระองค์ตรัสพระวจนะมากมายเพียงใดและไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นละเอียดแค่ไหน พระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสไปโดยเปล่าประโยชน์  หากพระองค์ทรงเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งประโยค นั่นก็เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา  หากพระองค์ทรงตัดทิ้งไปหนึ่งประโยค ผู้คนจะไม่เข้าใจได้ดีนัก และซาตานจะหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้ง่ายขึ้น  ผู้คนส่วนมากมีขีดความสามารถต่ำ และพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจพระวจนะได้จนกว่าพระเจ้าจะทรงขยายความและตรัสโดยละเอียด  ผู้คนล้วนด้านชาและหัวทึบ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ควรตัดทิ้งแม้เพียงประโยคเดียว หากแง่มุมใดไม่ได้ถูกกล่าวถึงโดยละเอียดถี่ถ้วน ผู้คนย่อมจะไม่เข้าใจแง่มุมนั้น—เจ้าอาจจะเข้าใจ แต่คนอื่นไม่ กลุ่มของพวกเจ้าอาจจะเข้าใจ แต่อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่เข้าใจ  มีบรรดาผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่เสมอ  พระเจ้ามิได้ตรัสต่อเจ้าเพียงผู้เดียว พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ต่อทุกคนที่มีหูและสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสได้  ทัศนคติของเจ้าคับแคบเกินไปใช่หรือไม่?  ผู้คนสามารถเห็นได้เฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น พลางคิดว่า “ฉันเข้าใจประโยคนี้ ทำไมพระเจ้ายังต้องทรงอธิบายรายละเอียดมากมายอยู่อีก?”  หากพระวจนะนั้นเรียบง่ายเกินไป บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดีจะเข้าใจ แต่ผู้ที่มีขีดความสามารถปานกลางจะไม่สามารถเข้าใจได้ หากพระเจ้าทรงขยายความเพิ่มสองสามประโยคเพื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง เจ้าก็ไม่เห็นด้วย  การนั้นหมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ยอมรับความจริงอย่างนั้นหรือ?  การคัดค้านเหล่านี้ของเจ้ามาจากไหน?  สิ่งนี้คืออุปนิสัยอันโอหังของซาตานมิใช่หรือ?  ในยามที่พระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของเจ้าแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยเล็กน้อยถึงทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น—ซึ่งคือการหวงแหน การเข้าใจ การเอาใจใส่ การเป็นห่วงกังวล และการเฝ้าดูแลผู้คนโดยทั่วถึง—เจ้าก็คิดว่าพระเจ้าทรงยืดเยื้อ คิดว่าพระองค์ตรัสมากเกินไป ทรงเสียเวลากับเรื่องสัพเพเหระ คิดว่าพระองค์ไม่ทรงควรทำเช่นนั้น สิ่งนี้เองคือการที่เจ้าเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตนเอง  นี่คือภาพจำที่เจ้ามีต่อพระเจ้า คือความรู้ที่เจ้ามีต่อพระองค์ นี่คือวิธีที่เจ้ามองดูพระองค์  ดังนั้นความเชื่อของเจ้าที่ว่า “ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง พระเจ้าทรงเข้าใจมนุษย์มากที่สุด” จึงเป็นเพียงคำสอนใช่หรือไม่?  สำหรับเจ้า คำพูดนี้ได้กลายมาเป็นคำสอน ความรู้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผย ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย  ที่มากกว่านั้นคือ นั่นไม่ใช่วิธีที่เจ้าปฏิบัติตนต่อพระเจ้า เจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ตามอุปนิสัยอันโอหังของเจ้า  เจ้าคือใครบางคนที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่?  เจ้าไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง อีกทั้งไม่ใช่คนที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  เมื่อเผชิญกับพระวจนะและสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ เจ้าก็สามารถตัดสิน พร่ำบ่น คาดเดา กังขา ปฏิเสธ ขืนต้าน และมีตัวเลือกต่างๆ  เจ้าคือผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าใช่หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ เจ้าจะได้รับความจริงหรือไม่?  หากนี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้า ต่อพระราชกิจของพระองค์ ต่อความจริง ต่อทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และต่อทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดของพระองค์ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าย่อมจะอยู่ภายใต้การลงโทษ

ในการเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า จงอย่าวิเคราะห์หรือพินิจพิเคราะห์พระวจนะเหล่านั้น อย่าทำตัวฉลาดแกมโกง อย่ากังขา และอย่าเค้นสมองของเจ้า  จงปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้อย่างที่เจ้าจะปฏิบัติต่อความจริง—นี่คือวิธีเข้าหาที่ฉลาดที่สุด  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าพูดกับตนเองว่า “ฉันเป็นคนสมัยใหม่ ฉันมีความรู้และมีการศึกษาดี ฉันรู้หลักไวยากรณ์ ฉันร่ำเรียนภาควิชานั้นภาควิชานี้มา ฉันเชี่ยวชาญในทักษะหรือวิชาชีพบางอย่าง ฉันเข้าใจ ฉันจับใจความได้  พระเจ้าทรงไม่รู้สิ่งนี้  ถึงแม้พระเจ้าจะทรงเข้าใจมวลมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ก็ไม่ทรงมีสิ่งใดอื่นนอกจากความจริง พระองค์ไม่ทรงเข้าใจเรื่องทางวิชาชีพ พระองค์ไม่ทรงถนัดเรื่องใดเลย พระองค์รู้เพียงวิธีแสดงความจริงเท่านั้น”  นั่นก็ถูกต้อง  พระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงได้เพียงอย่างเดียว และพระองค์ก็ทรงมองทะลุได้ทุกอย่างเพราะพระองค์คือความจริง  พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงควบคุมโชคชะตาของเจ้า  ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปได้  ผู้คนควรมีท่าทีเช่นไรต่อพระวจนะของพระเจ้า?  พวกเขาควรเชื่อฟัง นบนอบ ยอมรับ และปฏิบัติตามด้วยการเชื่อฟังอย่างสุดความสามารถ—นี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมี  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าพินิจพิเคราะห์  เราได้กล่าวคำพูดมากมายกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าสามารถยอมรับได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  พวกเจ้าไม่ยอมรับคำพูดใดก็ตามที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—เจ้าขืนต้านและโต้แย้งคำพูดเหล่านั้นอยู่ในหัวใจของเจ้าเสียด้วยซ้ำ  พวกเจ้ายอมรับเพียงคำพูดที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และปฏิเสธคำพูดที่ไม่ตรงตามนั้น  ในหนทางนี้เจ้าจะได้รับความจริงหรือ?  คำพูดทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่ความจริงจริงหรือ?  เจ้ากล้ามั่นใจเรื่องนี้หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วเราต้องถามเจ้าว่า เจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใด?  เจ้าครองความจริงใด?  จงแบ่งปันคำพยานของความจริงทั้งปวงที่เจ้าเข้าใจ แล้วให้ทุกคนตัดสินเถิดว่าคำพยานเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่  หากเจ้ายอมรับได้ว่าเจ้าไม่มีความจริง นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีเหตุผล  หากเจ้ามีเหตุผลโดยแท้จริง เจ้าจะยังกล้าสรุปหรือไม่ว่าคำพูดที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่ความจริง?  เจ้ายังกล้าเดิมพันกับพระเจ้าอยู่หรือไม่?  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง จงอย่าทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกมากเกินไป อย่าคิดยกย่องตนเองมากนัก  เจ้าไม่รู้จักความจริงเลย เจ้าจะไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์แม้เพียงประโยคเดียวในชีวิตนี้  และเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ชีวิตตามความจริงเหล่านั้นได้ในชีวิตของเจ้า  หากเจ้าสามารถเข้าใจและนำความจริงเหล่านั้นมาปฏิบัติได้สักส่วนหนึ่ง นั่นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว  มนุษย์ช่างยากจนข้นแค้นและน่าเวทนายิ่งนัก—นี่คือความจริงของเรื่องนี้  ในเมื่อพวกเขาช่างยากจนข้นแค้นและน่าเวทนา เหตุใดพวกเขาจึงยังโอหังและคิดว่าตนเองถูกเหลือเกิน?  นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งน่าเวทนาและน่ารังเกียจ  เราขอแนะนำให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าในหนทางที่เชื่อฟัง ละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาทันทีที่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น อีกทั้งปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริงและใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ แล้วจึงมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจได้ว่าความจริงคืออะไร  จงอย่าใส่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าจะละเอียดและเยิ่นเย้อเพียงไหน  หากเจ้าสามารถเข้าใจและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น แล้วเป็นพยานยืนยันให้พระวจนะเหล่านั้นได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าถึงจะถูกมองว่ามีความสามารถ  สิ่งนี้คล้ายกับการที่ผู้คนมักจะเจาะจงอาหารที่พวกเขารับประทาน คิดไปว่าบางอย่างรสชาติดี และบางอย่างรสชาติไม่ดี  แล้วเกิดอะไรขึ้นจากการนี้?  อาหารที่รสชาติดีไม่จำเป็นจะต้องมีโภชนาการสมบูรณ์ และอาหารที่เจ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นจะต้องมีโภชนาการน้อยกว่า อาหารเหล่านั้นอาจมีโภชนาการมากกว่าและดีกว่าเสียด้วยซ้ำ  ผู้คนเกิดความยากลำบากในการแยกแยะว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดมิใช่ความจริง สิ่งใดมาจากพระเจ้า และสิ่งใดมาจากมนุษย์  หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง พวกที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  หากเจ้ารู้ว่าตนเองขาดพร่องการรับรู้ เจ้าก็ควรคงไว้ซึ่งการทำตัวถ่อมใจ เรียบง่าย และแสวงหาความจริงให้มากขึ้น  นี่คือสิ่งที่คนฉลาดทำ  หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่ายังคงแบกความโอหังที่มืดบอด กล้าตัดสินทุกอย่างและวิพากษ์วิจารณ์ใครก็ตามที่กล่าวความจริงนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไร้ซึ่งเหตุผลโดยสิ้นเชิง  พวกเจ้าไม่เห็นด้วยหรอกหรือว่าเป็นเช่นนี้?  ไม่ว่าคนเราทำสิ่งใด พวกเขาก็ต้องไม่โกรธเคืองเมื่อเผชิญหน้ากับความจริง  พวกเขาต้องรักษาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเอาไว้และแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง—คนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นคนปราดเปรื่องและมีปัญญาอย่างแท้จริง

บทตัดตอน 8

ธรรมชาติของปัญหาเรื่องการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้าและดัดแปลงแก้ไขสิ่งที่พระองค์ดำรัส นี่ก็เท่ากับการต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ร้ายแรงที่สุด  มีเพียงคนเหล่านั้นที่เป็นพวกของซาตานที่สามารถประพฤติชั่วเช่นนี้ได้ และพวกเขาก็เป็นเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์  หัวหน้าทูตสวรรค์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสามารถสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลาย—ข้าพระองค์ก็สามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน  พระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์ ข้าพระองค์ก็จะทำเช่นเดียวกัน  พระองค์ทรงปกครองทุกชนชาติ ข้าพระองค์ก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลายและข้าพระองค์บริหารจัดการพวกเขา!”  นี่คือความโอหังของหัวหน้าทูตสวรรค์ โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น  ธรรมชาติของการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับธรรมชาติของหัวหน้าทูตสวรรค์ หมายความว่านั่นเป็นการสำแดงถึงการต่อต้านพระเจ้าและการหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยตรง  ผู้คนที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าคือพวกที่ต่อต้านพระองค์มากที่สุด และพวกเขายังล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์โดยตรง  พระเจ้าไม่ทรงเกลียดผู้ใดมากไปกว่าพวกที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระองค์  สามารถกล่าวได้ว่าการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นบาปที่อภัยให้ไม่ได้  นอกจากผู้คนที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีก นั่นคือเมื่อผู้คนกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดการเตรียมงานทั้งหลายโดยไม่สนใจสิ่งใด แล้วส่งต่อไปยังคริสตจักรเพื่อชักพาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  นี่ยังเป็นการสำแดงถึงการต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และเป็นบางสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วย  บางคนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  พวกเขาเชื่อว่าการจัดการเตรียมงานถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ มาจากมนุษย์ และเมื่อใดก็ตามที่การจัดการเตรียมงานทั้งหลายไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงตามที่ตนเองต้องการ  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นการละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าข้อใด?  (7. “ในงานและเรื่องราวทั้งหลายของคริสตจักร นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว จงปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหลายของมนุษย์ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในทุกสิ่ง  แม้แต่การละเมิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้  จงเด็ดขาดในการปฏิบัติตามของเจ้า และจงอย่าวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ถูกหรือผิดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า  เจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองกังวลอยู่กับการเชื่อฟังอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง))  สิ่งทั้งหลายที่ละเมิดกฤษฎีกาบริหารคือสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พวกเจ้ายังมองไม่กระจ่างอีกหรือ?  บางคนมีท่าทีไม่เคารพอย่างยิ่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน  พวกเขาเชื่อว่า “เบื้องบนทรงทำการจัดการเตรียมงานทั้งหลายและพวกเราทำงานในคริสตจักร  พระวจนะและกิจธุระบางอย่างสามารถนำไปใช้อย่างยืดหยุ่นได้  เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพวกเราโดยเฉพาะว่าจะดำเนินการอย่างไร  เบื้องบนเพียงตรัสและทรงจัดการเตรียมการงานทั้งหลาย พวกเราคือผู้ลงมือกระทำการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ดังนั้นหลังจากเบื้องบนทรงมอบหมายงานให้กับพวกเราแล้ว พวกเราก็สามารถทำงานนั้นได้อย่างที่ต้องการ  ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรงานนั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว  ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงทั้งนั้น”  หลักธรรมที่พวกเขาปฏิบัติตามมีดังนี้ พวกเขารับฟังสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง และเพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าผิด พวกเขาถือว่าความเชื่อของตนเป็นความจริงและเป็นหลักธรรม พวกเขาแข็งขืนต่อสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอย่างยิ่งในเรื่องของสิ่งเหล่านั้น  เมื่อพระวจนะของเบื้องบนไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลงพระวจนะนั้น และส่งต่อเมื่อเห็นชอบในพระวจนะนั้นแล้ว  หากพวกเขาไม่เห็นชอบ พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ส่งต่อพระวจนะนั้น  ขณะที่พื้นที่อื่นส่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนไปตามจริง ผู้คนเหล่านี้กลับส่งต่อการจัดการเตรียมงานที่ไปยังคริสตจักรภายใต้การกำกับดูแลของตน  ผู้คนเช่นนี้ปรารถนาที่จะละวางพระเจ้าเอาไว้เสมอ พวกเขาประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะทำให้ทุกคนเชื่อพวกเขา ติดตามพวกเขา และนบนอบต่อพวกเขา  บางส่วนของจิตใจของพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงไม่ดีเท่ากับพวกเขา—พวกเขาควรจะเป็นพระเจ้าเสียเอง และผู้อื่นควรเชื่อพวกเขา  นั่นคือธรรมชาติของเรื่องนี้  หากพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ พวกเจ้าจะยังคงร่ำไห้เมื่อพวกเขาถูกปลดหรือไม่?  เจ้ายังจะรู้สึกเสียใจกับพวกเขาหรือไม่?  เจ้ายังจะคิดอยู่หรือไม่ว่า “เบื้องบนทรงกระทำการไม่เหมาะสม  ท่านทั้งหลายปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม  พวกท่านปลดผู้ที่ทำงานหนักเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”  พวกที่กล่าวเช่นนี้เป็นพวกไร้วิจารณญาณ  คนเหล่านั้นทำงานหนักเพื่อประโยชน์ของใครหรือ?  เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าหรือ?  เพื่องานของคริสตจักรหรือ?  พวกเขาทำงานหนักเพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคงขึ้น พวกเขากำลังทำงานหนักเพื่อก่อตั้งอาณาจักรอิสระ  พวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าหรือ?  พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  พวกเขาจงรักภักดีและนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้ข้าของซาตาน และเมื่อพวกเขาทำงาน ก็ย่อมเป็นมารที่ครองอำนาจ  พวกเขาทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้!  บางคนกล่าวว่า “ดูสิว่าพวกเขากำลังทำงานหนักขนาดไหน—ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเขียนเรื่องราวทั้งหมดนั้น และส่งต่อไปยังคริสตจักรทั้งหลาย”  เช่นนั้นแล้วเราขอถามพวกเจ้าว่า สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเขียนนั้นพาให้ผู้คนเจริญใจหรือไม่?  พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์เป้าหมายใดกันแน่?  เจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะในเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  หากเจ้าถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  เจ้าเคยคำนึงถึงเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  บางคนรู้สึกสงสารคนเหล่านี้ โดยกล่าวว่า “พวกเขาทำงานหนักเหลือเกินและไม่ง่ายเลยที่จะเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าก็ควรให้อภัยพวกเขาหากสิ่งที่พวกเขาเขียนมีความเบี่ยงเบนหรือบิดเบือนไปบ้าง”  ปัญหาในการที่พวกเขากล่าวเช่นนี้คืออะไร?  เพียงทำงานหนักคนเราก็สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าจริงหรือ?  คนเหล่านั้นทำงานหนักเพื่อผู้ใด?  หากพวกเขาไม่ได้กำลังทำงานหนักเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า แต่กลับทำเพื่อให้ตนเองได้รับสถานะ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาทำงานหนักเพียงใด การทำงานหนักนั้นมีนัยสำคัญหรือมีคุณค่าอยู่หรือ?  การทำงานหนักประเภทนี้ย่อมเห็นแก่ตัวและต่ำช้า  ชั่วร้ายและไร้ยางอาย!  หากศัตรูของพระคริสต์ประเภทนี้ไม่ถูกปลดออก ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด?  ผู้คนจะก่อกวนงานของคริสตจักรตามอำเภอใจและกลายเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ  นั่นเป็นการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้ามิใช่หรือ?  หากพวกเขาทำงานหนักเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง นั่นทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะต่อต้านพระเจ้าใช่หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรต่อต้านพระองค์และเป็นกบฏต่อพระองค์หรือ?  พวกเขาควรทำตัวตามอำเภอใจและบุ่มบ่ามอีกทั้งไม่ยอมนบนอบต่อพระองค์หรือ?  พวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการหรือไม่?  ผู้คนที่ไม่มีความจริง ผู้ที่ไม่นบนอบต่อพระเจ้า และเพียงต้องการกระทำการอย่างมืดบอด คิดว่าทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีเหตุผลและถูกต้องคือพวกมารและขี้ข้าของซาตานที่มาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรโดยแท้!  หากเจ้าไม่เพียงแต่ไม่สามารถหยั่งรู้ผู้คนเช่นนี้ แต่ยังเห็นใจพวกเขา หลั่งน้ำตาให้พวกเขา อีกทั้งมาปกป้องพวกเขา เช่นนั้นแล้ว เจ้าเองก็เป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเช่นกัน เจ้าเป็นคนที่สับสนเลอะเลือนและเป็นพวกสมองทึบ  เจ้าอาจยังคงคิดว่า “เบื้องบนไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา  บุคคลผู้นั้นทำงานหนักมากและเบื้องบนก็ปลดพวกเขาไปเสียดื้อๆ”  หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าเองก็เป็นขี้ข้าของซาตานและเป็นพวกของมารด้วย  มีคนมากมายที่ดำเนินชีวิตตามปรัชญาซาตาน ไม่เคยเปิดโปงหรือรายงานพวกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ จนกระทั่งวันหนึ่งศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำสิ่งวิบัติบางอย่าง และพวกเขาก็ตระหนักในที่สุดว่านี่คือศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิดโดยแท้จริง  บางคนยังคงมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทฤทธิ์ และเบื้องบนควรรู้ว่ามีศัตรูของพระคริสต์กี่คนอยู่ในคริสตจักร แล้วเราจำเป็นต้องรายงานเรื่องพวกเขาด้วยหรือ?”  คนที่กล่าวเช่นนี้เป็นพวกไร้สาระมิใช่หรือ?  ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้นำของเบื้องบนคือมนุษย์ ดังนั้นหากเขาไม่มาสื่อสารกับเรื่องทั้งหลายของคริสตจักรโดยตรง เขาจะรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  หลายครั้งเมื่อเกิดเรื่องเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อหลังมีคนรายงานและเปิดโปงพวกเขา และเบื้องบนทรงสั่งให้ทำการสืบค้น  ขณะที่ทรงพระราชกิจและทรงนำผู้คนในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกตินั้น พระเจ้ามิได้ทรงเหนือธรรมชาติเลย อีกทั้งทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง แต่พระองค์ทรงพิชิต ทรงเอาชนะและทำให้ซาตานอับอาย  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่สามารถเผยให้เห็นความทรงมหิทฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนี้ พระองค์ทรงจัดการเตรียมการบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรสามารถเรียนรู้บทเรียน ได้รับวิจารณญาณ และขยายความรู้ของพวกเขาให้กว้างขึ้น  เมื่อผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้รับวิจารณญาณแล้ว ผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วจะไม่สามารถหลบหนีไปจาก “เงื้อมมือแห่งธรรมบัญญัติ” ได้  พระเจ้าจะทรงใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเปิดเผยพวกเขา และทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรทั้งหมดเข้าใจและมองเห็นได้อย่างชัดเจน  ในอดีตคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มากมายก็ถูกเปิดเผยและถูกขับออกไปมิใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนเลยหรือ?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สับสนเลอะเลือนเกินไป!

แม้ว่าบางคนไม่เข้าใจบางส่วนของการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังสามารถนบนอบได้ โดยกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและมีความหมาย  หากพวกเราไม่เข้าใจการจัดการเตรียมงานทั้งหลายอย่างครบถ้วนแล้ว พวกเราก็ควรนบนอบเสียก่อน  พวกเราไม่สามารถตัดสินพระเจ้าได้!  พวกเรายังควรรับฟังการจัดการเตรียมงานทั้งหลายอยู่ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเราก็ตาม เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ แล้วจิตใจมนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งใดได้?  พวกเราควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้  แม้ว่าในยามที่พวกเราไปถึงวันนั้น แล้วยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน พวกเราก็ยังควรนบนอบด้วยความเต็มใจ  พวกเราคือผู้คน และพวกเราควรนบนอบต่อพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำ”  แต่บางคนแตกต่างออกไป และเมื่อพวกเขาเห็นการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะศึกษาสิ่งเหล่านี้ก่อน โดยกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าตรัส และสิ่งเหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ของพระองค์  ข้อแรกยอมรับได้ แต่ข้อสองนั้นไม่เหมาะสมอย่างมาก  ฉันจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้”  ผู้คนเช่นนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลงการจัดการเตรียมงานตามอย่างที่ใจเจ้าชอบ ธรรมชาติของปัญหานี้คืออะไร?  นี่ไม่เป็นการขัดขวางและก่อกวนทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักหรอกหรือ?  สิ่งที่เจ้าครองอยู่นี้คือความจริงหรือ?  หากเจ้ามีความจริงอยู่จริงๆ เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าไม่แสดงออกมาเล่า?  ทำไมเจ้าปรับเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้า?  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าเปิดเผยอุปนิสัยเช่นไรออกมา?  นี่คืออุปนิสัยโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เป็นอุปนิสัยที่ไม่เชื่อฟังผู้ใด  หากเจ้ากล้าเลือกเฟ้นเมื่อเป็นเรื่องของการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีปัญหาร้ายแรงกับกรอบความคิดและอุปนิสัยของเจ้า  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วควรมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนแบบนี้  ประการแรก คนพวกนี้ไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อว่าตนเข้าใจความจริงและจะไม่เชื่อฟังผู้ใด  ประการที่สอง เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงาน พวกเขาไม่เอ่ยสิ่งเหล่านั้นกับพระนิเวศของพระเจ้า แต่กลับพูดไปทั่ว  ประการที่สาม เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น แต่ยังยุยงผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้พัฒนามโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ และให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์อีกด้วย เพื่อบีบบังคับให้พระองค์ทรงกระทำการตามความปรารถนาของพวกเขา และทำให้พระองค์ทรงยอมจำนนในที่สุด  จากพฤติกรรมทั้งสามประการนี้ คนเราสามารถแน่ใจได้ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด  พวกเขาคือผู้คนที่แสวงหาความจริงและนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย แล้วพวกเขาก็ไม่พึงพอใจกับพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ทำให้ทุกคนพัฒนามโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ และลุกขึ้นมาต่อสู้และต่อต้านพระองค์  บนพื้นฐานนี้ จึงจัดได้ว่าพวกเขามีลักษณะเป็นพวกเจตนาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยสมบูรณ์  ผู้คนเช่นนี้ควรถูกจัดการอย่างไร?  พวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือด้วยความรักหรือไม่?  ไร้ประโยชน์เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  แล้วการตัดแต่งพวกเขาเล่าเป็นอย่างไร?  นี่ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  หากผู้เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นไม่สามารถยอมรับความจริง นี่ถือเป็นปัญหาร้ายแรงและเป็นสิ่งที่น่ากลัว!  หากเจ้ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาเกินไปและเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  เช่นนั้นแล้ว จะต้องมีสักวันที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้า  เราเห็นบางคนที่เป็นเช่นนี้มาแล้ว และแม้ว่าพวกเขายังไม่ถูกเอาออกไป แต่ที่จริงจุดจบของพวกเขาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาจะถูกขับออกไป

อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  และการยำเกรงพระเจ้าหมายถึงอะไร?  ผู้คนต้องเกรงกลัวพระเจ้า พวกเขาต้องทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบและเอาใจใส่ เหลือโอกาสให้กับตัวเองสำหรับการจัดการ และไม่เอาแต่ทำในสิ่งที่ตนต้องการ  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าไล่ผู้นำเทียมเท็จบางคนออกไป บางคนก็กล่าวว่า “ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันแน่ และแม้ว่าพวกเรารู้ แต่พวกเราก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำได้อย่างถี่ถ้วน  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง และจะมีวันที่พระองค์จะทรงทำสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนและอนุญาตให้พวกเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์เสมอ”  หากเจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ แต่เจ้าก็ยังสามารถนบนอบได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีความศรัทธา เป็นผู้ที่สามารถกล่าวได้ว่ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง  หากเจ้าไม่เข้าใจ ทั้งยังตั้งตนต่อต้านพระเจ้าและก่อความไม่สงบต่องานของคริสตจักร นั่นหมายถึงความเดือดร้อน  เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรไล่ผู้นำเทียมเท็จและขับไล่ไสส่งศัตรูของพระคริสต์บางคนออกไป ผู้ติดตามของคนพวกนั้นที่หัวรั้นบางคนจะลุกขึ้นมาปกป้องพวกเขา ตัดสินพระเจ้าต่อหน้าสาธารณชนเพราะเหตุนี้เสมอ โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ชอบธรรม และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยเรื่องนี้  สำหรับผู้คนเช่นนี้ แม้พวกเขาจัดเตรียมการปรนนิบัติเป็นพิเศษเมื่อเผยแผ่ข่าวอันประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเลย  การทรยศครั้งเดียวจะกำหนดชะตากรรมของเจ้าตลอดกาล  เจ้าต้องเห็นแก่นแท้ของการทรยศอย่างชัดเจน จงอย่าคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเจ้าทุกคนต่อต้านพระเจ้า พวกเจ้าทุกคนมีการฝ่าฝืน  อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติการต่อต้านและการฝ่าฝืนของพวกเจ้าก็แตกต่างกัน  ธรรมชาติของเรื่องที่เราเพิ่งพูดถึงนั้นร้ายแรงมากและประกอบด้วยการตัดสินและการต่อต้านพระเจ้าต่อหน้าธารกำนัล  ผู้คนบางคนรักที่จะเขียนจดหมาย เขียนอะไรบางอย่างที่พวกเขามักส่งต่อไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ใส่ใจอยู่เป็นนิจ  การทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่?  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเขียนเป็นคำพยานที่แท้จริงหรือไม่?  เป็นประสบการณ์ชีวิตหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสอนสั่งผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปในทางที่ดีหรือไม่?  หากไม่ใช่ แต่ผู้คนเหล่านี้ยังคงส่งต่อสิ่งเหล่านั้นไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ใส่ใจ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็กำลังชักพาผู้คนให้หลงผิด เผยแพร่เรื่องนอกรีตและเหตุผลวิบัติ บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความสับสนระหว่างถูกและผิด และพูดเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิงอย่างมากมายก่ายกอง  บางคนต้องการกระทั่งเขียนหนังสือของตนเอง แล้วส่งให้คริสตจักรและมีชื่อเสียงขึ้นมา  ผู้คนไม่ได้เรียนรู้บทเรียนอันลึกซึ้งจากตัวอย่างของเปาโลเลยหรือ?  เจ้ายังต้องการที่จะเขียนหนังสือ เขียน “อัตชีวประวัติคนดัง” และเขียน “บทสรุปของความจริง”  เจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!  หากเจ้ามีความสามารถ ก็จงเขียนคำพยานเชิงประสบการณ์ขึ้นมาหลายๆ ชิ้นเถิด  ในช่วงไม่กี่ปีที่เชื่อในพระเจ้า เจ้ายังไม่ถูกพิพากษาและยังไม่ทนทุกข์มากพออีกหรือ? เจ้ายังไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนอีกหรือ?  ผู้คนเข้าใจอะไรบ้าง?  คำพูดและคำสอนที่เจ้าพูดออกมาแม้แต่แก้ไขปัญหาของเจ้าเองก็ยังทำไม่ได้ และเจ้าก็ยังต้องการที่จะส่งต่อให้กับผู้อื่น  เจ้าไม่มีความรู้จักตัวเองเลยสักนิด!  เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงพิมพ์และส่งออกหนังสือในลักษณะเดียวกัน?  เพราะหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพระวจนะของพระเจ้า และส่วนที่เหลือล้วนประกอบขึ้นจากคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกซึ่งจำเป็นต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งสิ้น และหนังสือที่พระนิเวศของพระเจ้าเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอล้วนจำเป็นต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้ว  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ยังมีต้นกำเนิดมาจากการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกด้วย  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจว่าหนังสือทั้งหลายที่เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอโดยพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีคุณค่าและมีความจำเป็นสูงสุด  พวกเจ้าย่อมรู้ดีว่าตนได้รับประโยชน์อันใดจากการฟังคำเทศนา ดังนั้น หากพวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่เผยแพร่โดยผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลาย พวกเจ้าจะสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง  แต่ด้วยวุฒิภาวะของพวกเจ้าในปัจจุบัน พวกเจ้าทำได้เพียงเข้าใจคำสอนมากมายเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น และความจริงก็ยังคงไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้า  มีเรื่องสำคัญบางเรื่องที่พวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งดูคลุมเครือและพร่ามัวสำหรับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้ายังคงไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ และยังคงแยกแยะไม่ได้มากนัก  ไม่ว่าใครก็ตามในคริสตจักรประพฤติหรือพูดอย่างไร พวกเจ้าก็ขาดพร่องวิจารณญาณในการแยกแยะได้อย่างชัดเจน  บางคนเชื่อว่า ตราบใดที่คนเราพูดจาคมคาย พวกเขาสามารถเป็นพยานให้กับพระเจ้า และผู้ที่พูดจาไม่คมคายไม่สามารถพูดเกี่ยวกับคำพยานเชิงประสบการณ์แม้ว่าพวกเขาจะมีคำพยานเชิงประสบการณ์ก็ตาม  พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเขาเข้าใจผิดอย่างมหันต์ คำพยานเชิงประสบการณ์นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ว่าจะถูกพูดถึงอย่างไรก็ตาม และหากคนเราไม่มีคำพยานเชิงประสบการณ์ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถพูดเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายได้ดีขนาดไหนก็ตาม  ทำไมเป็นเช่นนี้?  การพูดเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนไม่ได้แสดงว่าบุคคลผู้หนึ่งครองความเป็นจริงความจริง และแม้พวกเขาเข้าใจความจริงบ้าง ความเข้าใจนี้ก็ยังคงตื้นเขินและจำกัดมาก และพวกเขาไม่สามารถเขียนคำพยานเชิงประสบการณ์ได้เลย  หากใครบางคนไม่มีคำพยานเชิงประสบการณ์ แต่พวกเขายังคงเอ่ยคำพูดและคำสอน และสั่งสอนผู้คนอย่างไร้ยางอายแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  พวกเขาทำได้เพียงสร้างคำพยานเท็จเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  ผู้ที่ทำเช่นนี้จะถูกพระเจ้าสาปแช่ง  การที่ใครบางคนจะสามารถเป็นพยานที่แท้จริงได้หรือไม่นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับคารมคมคาย  ดูสิว่าเปโตรครองคำพยานเชิงประสบการณ์มากเพียงใด—เขาเขียนจดหมายไปกี่ฉบับ?  เขาเขียนคำพยานไปกี่บท?  อาจมีไม่มากนัก แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบเปโตรในฐานะบุคคลผู้รู้จักพระองค์ดีที่สุด และเป็นผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริง  หากเจ้ามีคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนแปลงและมีความประพฤติดีขึ้นมากอย่างแน่นอน  เจ้าจะไม่ทำสิ่งที่น่ากระตือรือร้นเหล่านั้น ไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคิดว่าดีอีกต่อไป  เมื่อเจ้าตระหนักว่ามนุษย์ไม่มีนัยสำคัญ ขัดสนและน่าเวทนาเพียงใด เจ้าจะไม่กล้ากระทำการตามอำเภอใจ หรือเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติเลย  ผู้คนทั้งหมดที่ปรารถนาจะเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติ หรือสร้างความมีหน้ามีตาของพวกเขาในชื่อของการทำคุณูประการบางอย่าง ล้วนเป็นคนโอหัง ทะนงตน และมักใหญ่ใฝ่สูงที่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินจริงทั้งสิ้น เป็นผู้ที่ไม่ได้ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นผู้ที่ชอบกระทำการตามเจตจำนงของตนเอง  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงล้วนจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของตนให้ดี เข้าใจความจริง และกระทำการให้สอดคล้องกับหลักธรรม  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดี การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และการมีคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริงนั้นย่อมดีว่าสิ่งอื่นใด  ผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาในหนทางนี้เป็นผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด และพวกเขาคือผู้ที่ครองเหตุผลมากที่สุด

บทตัดตอน 9

สำหรับโนอาห์ อับราฮัม และโยบผู้ซึ่งได้รับการจารึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีลักษณะอย่างไร?  พวกเขามีลักษณะใดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งทำให้พระเจ้าทรงมองว่าพวกเขาเป็นที่ยอมรับได้?  (พวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง)  นั่นถูกต้องทั้งหมด  โยบมีชีวิตอยู่จนอายุยืนยาวโดยที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขาเป็นการส่วนพระองค์เลย และพระองค์ไม่ได้ทรงปรากฏให้เขาเห็นเป็นการส่วนพระองค์ แต่โยบก็สามารถเข้าใจและรู้สึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  ท้ายที่สุดเขาได้สรุปเป็นคำพูดบางอย่างเกี่ยวกับความรู้ของเขาที่มีต่อพระเจ้าว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  คำพูดเหล่านี้หมายถึงอะไร?  คำพูดเหล่านี้หมายถึง  “พระยาห์เวห์คือพระเจ้า พระองค์คือพระผู้สร้าง พระองค์คือพระเจ้าของฉัน และเวลาที่พระองค์ตรัส ต่อให้ฉันเข้าใจเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พระองค์ตรัส ฉันก็ต้องฟังและปฏิบัติตามที่พระองค์ตรัสอย่างเคร่งครัด”  พระเจ้าทรงเห็นว่าโยบเป็นที่ยอมรับได้ก็เมื่อความรู้ของโยบที่เกี่ยวกับพระองค์มาถึงระดับนี้แล้วเท่านั้น  โยบมีประสบการณ์และความเข้าใจเช่นนี้ และเขายังสามารถยอมรับและนบนอบบททดสอบที่พระองค์ทรงนำมาทดสอบกับเขาอีกด้วย  ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ได้บนพื้นฐานของการที่เขามีมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ไม่ว่าเขาได้เห็นพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใดแก่เขา และไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงทดสอบเขาหรือทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ เขาก็เชื่อเสมอว่า “พระยาห์เวห์คือพระเจ้าของฉัน และฉันต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน และสิ่งที่พระองค์ทรงปีติยินดี ไม่ว่าฉันเข้าใจเรื่องนั้นหรือไม่ก็ตาม ฉันต้องเดินตามหนทางของพระองค์ และฉันต้องฟังและนบนอบพระองค์”  ในหนังสือของโยบมีการบันทึกว่าบรรดาบุตรของโยบมักจะจัดงานเลี้ยง และโยบไม่เคยที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงเหล่านั้นเลย แต่กลับจะอธิษฐานและทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแทนพวกเขา  ข้อเท็จจริงที่ว่าโยบมักจะทำเช่นนี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเขารู้อยู่ในหัวใจว่าพระเจ้าทรงเกลียดการที่มวลมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการกิน ดื่ม และสรวลเสเฮฮา รวมถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงหรูหราของมวลมนุษย์  โยบเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่านี่คือความจริง และถึงแม้เขาไม่เคยได้ยินพระเจ้าตรัสเรื่องนี้โดยตรง แต่เขาก็รู้อยู่ในหัวใจของตนว่านี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา  เนื่องจากโยบรู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาสิ่งใด เขาจึงสามารถฟังและนบนอบพระองค์ได้ เขายึดถือสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา และเขาไม่เคยเข้าร่วมในการกิน ดื่ม และงานเลี้ยงเลย  โยบเข้าใจความจริงหรือไม่?  เขาไม่เข้าใจ  เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเขามีนโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  นอกจากมโนธรรมและเหตุผลแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือเขามีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  เขาตระหนักรู้จากก้นบึ้งของหัวใจตนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และสิ่งที่พระผู้สร้างตรัสคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  ในบริบทปัจจุบัน นี่คือความจริง คือคำสั่งสอนสูงสุด และคือสิ่งที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตาม  ไม่ว่ามนุษย์สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าหมายถึงหรือไม่ หรือเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเพียงบางส่วน มนุษย์ก็ควรยอมรับและปฏิบัติตามนั้น  นี่เองคือเหตุผลที่มนุษย์ทุกคนควรมี  เมื่อมนุษย์มีเหตุผลนี้ การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติ และการนบนอบต่อพระวจนะของพระองค์ย่อมเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นสำหรับมนุษย์  การทำเช่นนั้นย่อมจะไม่มีความยากลำบาก ไม่มีความทุกข์ และแน่นอนว่าจะไม่มีอุปสรรคประเภทใดก็ตาม  โยบเข้าใจความจริงมากพอหรือไม่?  เขารู้จักพระเจ้าหรือไม่?  เขามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น หรือแก่นนิสัยของพระองค์หรือไม่?  เมื่อเทียบกับผู้คนในปัจจุบัน เขาไม่รู้จักพระองค์ และเขาเข้าใจน้อยมาก  อย่างไรก็ตามสิ่งที่โยบมีจริงๆ ก็คือคุณสมบัติในการนำทุกสิ่งที่เขาเข้าใจไปปฏิบัติ  หลังจากเข้าใจบางสิ่งแล้ว เขาจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม  นี่คือด้านที่สูงส่งที่สุดของความเป็นมนุษย์ของเขา และยังเป็นสิ่งที่ผู้คนดูแคลนมากที่สุดด้วย  ผู้คนย่อมคิดว่า “โยบแค่ละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงหรูหรามิใช่หรือ?  เขาแค่ทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นประจำมิใช่หรือ?  ในบริบทปัจจุบัน เขาก็แค่ละเว้นจากการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสบายทางเนื้อหนังเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”  สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ามองดูที่แก่นนิสัยและความเป็นมนุษย์ของโยบที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย และไม่ง่ายเลยที่จะบรรลุผลสำเร็จ  หากคนธรรมดาคนหนึ่งต้องละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประหยัดเงิน นี่ย่อมจะเป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย  แต่โยบเป็นคนมั่งคั่งในเวลานั้น  มีคนร่ำรวยคนไหนที่จะเลือกไม่จัดงานเลี้ยงหรูหรา?  เช่นนั้นแล้วทำไมโยบจึงสามารถละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงหรูหราได้?  (เขารู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดสิ่งนั้น  เขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้)  ถูกต้อง  ในการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้น โยบปฏิบัติสิ่งใดเป็นพิเศษ?  เขารู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดนั้นล้วนเป็นสิ่งชั่ว เขาจึงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  เขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาดไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม  นี่คือความหมายของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  เหตุใดโยบจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้?  เขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจของตน  เขาสามารถที่จะไม่ทำสิ่งชั่วเหล่านี้ได้อย่างไร?  เขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  การมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหมายถึงอะไร?  นั่นหมายความว่าหัวใจของเขาเกรงกลัวพระเจ้า สามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ และมีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา  เขาไม่กลัวว่าพระเจ้าจะทรงเห็น และไม่กลัวว่าพระเจ้าจะพิโรธ  แต่ในหัวใจของเขา เขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่และเต็มใจที่จะตอบสนองพระเจ้า และเต็มใจที่จะยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ตอนนี้ทุกคนสามารถกล่าววลีที่ว่า “การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” แต่พวกเขาไม่รู้ว่าโยบทำให้ลุล่วงได้อย่างไร  ที่จริงแล้ว โยบถือว่า “การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” เป็นเรื่องพื้นฐานและสำคัญที่สุดในการเชื่อในพระเจ้า  ดังนั้น เขาจึงสามารถยึดมั่นในพระวจนะเหล่านี้ราวกับว่าเขากำลังยึดมั่นในพระบัญญัติ  เขาฟังพระวจนะของพระเจ้าเพราะหัวใจของเขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะดูธรรมดาแค่ไหนในสายตาของมนุษย์ ต่อให้พระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะธรรมดา แต่ในหัวใจของโยบ พระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าผู้สูงสุด เป็นพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด  ต่อให้พระวจนะเหล่านี้เป็นพระวจนะที่ผู้คนดูแคลน แต่ตราบใดที่เป็นพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนก็ควรปฏิบัติตาม—ต่อให้พวกเขาถูกเย้ยหยันหรือใส่ร้ายเพราะเรื่องนี้ก็ตาม  ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากหรือถูกข่มเหง พวกเขาก็ต้องยึดมั่นพระวจนะของพระองค์จนถึงปลายทาง พวกเขาไม่สามารถละทิ้งพระวจนะเหล่านั้นได้  นี่คือความหมายของการยำเกรงพระเจ้า  เจ้าต้องยึดมั่นในทุกพระวจนะที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับมนุษย์  สำหรับสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงห้ามหรือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด หากเจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านั้นย่อมไม่เป็นไร แต่หากเจ้ารู้เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้นโดยเด็ดขาด  เจ้าควรจะยึดมั่นให้ได้ ต่อให้ครอบครัวของเจ้าละทิ้งเจ้าไป พวกผู้ไม่มีความเชื่อเย้ยหยันเจ้า หรือพวกที่ใกล้ชิดกับเจ้าเยาะเย้ยและล้อเลียนเจ้า  ทำไมเจ้าจึงจำเป็นต้องยึดมั่น?  อะไรคือจุดเริ่มต้นของเจ้า?  อะไรคือหลักการของเจ้า?  หลักการก็คือ “ฉันต้องยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์  ฉันจะมั่นคงในการทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าโปรด และแน่วแน่ในการละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเกลียด  หากฉันไม่รู้ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นก็แล้วไป แต่หากฉันรู้และเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วฉันจะแน่วแน่ในการฟังและนบนอบพระวจนะของพระองค์  ไม่มีใครจะสามารถขัดขวางฉันได้ และฉันจะไม่หวั่นไหวต่อให้โลกมาถึงจุดจบก็ตาม”  นี่คือความหมายของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

เงื่อนไขเบื้องต้นที่ทำให้ผู้คนสามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้คือการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเกิดขึ้นได้ อย่างไร?  โดยการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่  การถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่หมายถึงอะไร?  หมายถึงเวลาที่คนเรารู้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และหัวใจของพวกเขายำเกรงพระเจ้า  ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าในการประเมินสถานการณ์ใดๆ และใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานและเกณฑ์ของพวกเขา  นี่คือความหมายของการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่  พูดง่ายๆ ก็คือการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่คือการมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า การที่หัวใจของเจ้าครุ่นคิดถึงพระเจ้า การไม่ลืมตนเองในสิ่งต่างๆ ที่เจ้าทำ และการไม่พยายามทำในหนทางของตนเอง แต่ให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมแทน  ในทุกสิ่ง เจ้าพึงคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าและทำตามพระเจ้า  ฉันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเล็กๆ ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้ว  ฉันควรปล่อยมือจากทัศนะ ข้อเสนอแนะ และการตัดสินใจที่มาจากเจตจำนงของตนเอง และให้พระเจ้าทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของฉัน  พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน ศิลาของฉัน และแสงสว่างอันสุกใสที่นำทางฉันในทุกสิ่งที่ฉันทำ  ฉันต้องทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่คำนึงถึงตัวเองก่อน”  นี่คือความหมายของการมีพระเจ้าในหัวใจของตน  เมื่อเจ้าต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง จงอย่ากระทำแบบหุนหันพลันแล่นหรือผลีผลาม  จงคิดเสียก่อนว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่าอย่างไร พระเจ้าจะทรงเกลียดการกระทำของเจ้าหรือไม่ และการกระทำของเจ้าตรงตามเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่  ในหัวใจของเจ้า จงถามตัวเอง คิด และไตร่ตรองเสียก่อน จงอย่าผลีผลาม  การผลีผลามคือการหุนหันพลันแล่น และการถูกกระตุ้นโดยความหัวร้อนและเจตจำนงของมนุษย์  หากเจ้าผลีผลามและหุนหันพลันแล่นอยู่เสมอ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในหัวใจของเจ้า  เช่นนั้นเวลาที่เจ้ากล่าวว่าเจ้าถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ คำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ?  ความเป็นจริงของเจ้าอยู่ที่ไหน?  เจ้าไม่มีความเป็นจริง และเจ้าไม่สามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่  เจ้าปฏิบัติตนราวกับเป็นเจ้าแห่งคฤหาสน์ในทุกเรื่อง ทำตามเจตจำนงของตนตลอดเวลา  ถ้าอย่างนั้นเมื่อเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ก็ย่อมเป็นเรื่องไร้สาระไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังหลอกลวงผู้คนด้วยคำพูดเหล่านี้  หากคนคนหนึ่งมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า จริงๆ แล้วการนี้จะสำแดงออกมาอย่างไร?  โดยการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่  การสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมของการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่คือการที่พระเจ้ามีที่สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเขา—เป็นที่ที่สำคัญที่สุด  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาให้พระเจ้าเป็นพระผู้เป็นเจ้าและมีสิทธิอำนาจ  เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาย่อมมีหัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้า  พวกเขาไม่ผลีผลาม ไม่หุนหันพลันแล่น และไม่ปฏิบัติตนอย่างมุทะลุ แต่พวกเขากลับสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอย่างสงบ และสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริง  สิ่งต่างๆ ที่เจ้าทำสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือเจตจำนงของตัวเอง และเจ้ายอมให้เจตจำนงของตนเองหรือพระวจนะของพระเจ้าเข้ามามีอำนาจ นั่นขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าหรือไม่  เจ้ากล่าวว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า แต่เวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เจ้ากลับกระทำการอย่างมืดบอด ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด และละเลยพระเจ้า  นี่คือการสำแดงของหัวใจที่มีพระเจ้าอยู่ในนั้นหรือ?  มีคนบางคนที่สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น แต่หลังจากอธิษฐานแล้ว พวกเขายังคงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ต่อไป โดยคิดว่า “ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ”  เจ้ามักทำตามเจตจำนงของตนเองเสมอ และไม่ฟังใครไม่ว่าพวกเขาสามัคคีธรรมกับเจ้าอย่างไรก็ตาม  นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรอกหรือ?  เพราะเจ้าไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง และไม่ปฏิบัติความจริง เวลาที่เจ้าพูดว่าเจ้าถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า คำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า  ผู้คนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และไม่สามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าว่ายิ่งใหญ่คือคนที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ผู้คนที่ไม่สามารถแสวงหาความจริงเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น และไม่มีหัวใจแห่งการนบนอบต่อพระเจ้าล้วนเป็นผู้คนที่ขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผล  หากคนเรามีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ  พวกเขาต้องคิดเสียก่อนว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันมาเพื่อแสวงหาการช่วยให้รอดของพระเจ้า  เพราะฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ฉันจึงปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในสิ่งใดก็แล้วแต่ที่ฉันทำเสมอ ฉันต่อต้านเจตนารมรณ์ของพระเจ้าตลอดเวลา  ฉันต้องกลับใจ  ฉันไม่สามารถกบฏต่อพระเจ้าด้วยวิธีนี้ได้อีกต่อไป  ฉันต้องเรียนรู้วิธีการนบนอบต่อพระเจ้า  ฉันต้องแสวงหาว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงอะไร และหลักธรรมความจริงคืออะไร”  เหล่านี้คือความคิดและปณิธานที่เกิดจากเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมและท่าทีที่เจ้าควรมีในการทำสิ่งต่างๆ  เมื่อเจ้ามีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าย่อมมีท่าทีเช่นนี้ หากเจ้าไม่มีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีท่าทีเช่นนี้  เพราะฉะนั้นการมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่ง  สิ่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผู้คนที่เข้าใจความจริงและสัมฤทธิ์การช่วยให้รอด

ก่อนหน้า: เฉพาะบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการแสวงหาและปฏิบัติความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger