พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า

บทตัดตอน 1

บางคนเชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเอาไว้เป็นความจริงโดยแท้  อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขามาถึงพระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในหัวใจ ไม่ยับยั้งวาจาและการกระทำของตน ประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม และพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ตัดสินและว่าร้ายตามที่ตนเห็นควร  นี่คือการเปิดโปงคนเลวเยี่ยงนั้น  สิ่งทรงสร้างที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์เหล่านี้มักจะทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร และย่อมจะไม่มีเรื่องดีบังเกิดแก่พวกเขา!  พวกเขาต้านทาน ว่าร้าย ตัดสิน และจาบจ้วงพระเจ้าอย่างเปิดเผย ลบหลู่พระองค์และตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์อย่างเปิดเผย  ผู้คนเยี่ยงนี้ต้องได้รับโทษอย่างร้ายแรง  บางคนเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จ และหลังจากที่ถูกปลดก็รู้สึกเคืองพระเจ้าตลอดเวลา  พวกเขาฉวยโอกาสเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายคำพร่ำบ่นของตนอยู่ร่ำไปตามการชุมนุมต่างๆ พวกเขาอาจถึงขั้นโพล่งถ้อยคำที่เกรี้ยวกราดหรือวาจาที่ระบายความเกลียดชังของตนออกมา  ผู้คนเยี่ยงนี้คือปีศาจมิใช่หรือ?  หลังจากถูกนำตัวออกจากพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้ว พวกเขาก็สำนึกเสียใจ อ้างว่าชั่วขณะที่โง่เขลานั้น ตนพูดผิดไป  บางคนดูคนเหล่านี้ไม่ออก จึงกล่าวว่า “พวกเขาออกจะน่าสงสารและสำนึกผิดจากหัวใจแล้ว  พวกเขาบอกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าและไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น มาให้อภัยพวกเขากันเถอะ”  การให้อภัยสามารถทำได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ?  ผู้คนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง นับประสาอะไรกับพระเจ้า!  หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้ลบหลู่และว่าร้ายเสร็จแล้ว พวกเขาก็ดูจะสำนึกผิดในสายตาของคนบางคนที่ยอมอภัยให้และกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นกระทำการในชั่วขณะที่โง่เขลา—แต่นั่นเป็นชั่วขณะที่โง่เขลาหรือไม่?  พวกเขามีเจตนาบางอย่างอยู่ในคำพูดของตนเสมอ และถึงกับกล้าตัดสินพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าจึงเปลี่ยนตัวพวกเขา แล้วพวกเขาก็สูญเสียผลประโยชน์จากสถานะ และด้วยความกลัวว่าจะถูกขับออกไป พวกเขาจึงเอ่ยปากพร่ำบ่นมากมาย ร้องไห้อย่างขมขื่น และสำนึกผิดในภายหลัง  เช่นนี้มีประโยชน์อันใด?  เมื่อเจ้ากล่าววาจาออกมาแล้ว ก็เหมือนน้ำที่เทลงพื้น ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้  พระเจ้าจะทรงอดกลั้นต่อผู้คนที่ต้านทาน ตัดสิน และลบหลู่พระองค์ตามใจชอบกระนั้นหรือ?  พระองค์จะทรงมองข้ามไปเสียเฉยๆ กระนั้นหรือ?  หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าย่อมจะทรงไร้ซึ่งศักดิ์ศรี  หลังจากต้านทานพระองค์แล้ว บางคนก็กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ไถ่ข้าพระองค์  พระองค์ทรงให้พวกเราอภัยแก่ผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง—พระองค์ก็ควรที่จะประทานอภัยแก่ข้าพระองค์เช่นเดียวกัน!”  ช่างไร้ยางอายเสียจริง!  บางคนแพร่กระจายข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและเกิดความเกรงกลัวขึ้นมาหลังจากว่าร้ายพระองค์  พอกลัวการถูกลงโทษ พวกเขาก็รีบคุกเข่าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า!  ขออย่าได้เสด็จไปจากข้าพระองค์ ขออย่าทรงลงโทษข้าพระองค์  ข้าพระองค์ขอสารภาพ ข้าพระองค์สำนึกผิดแล้ว ข้าพระองค์เป็นหนี้บุญคุณพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำผิดไปแล้ว”  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนเช่นนี้อภัยได้หรือไม่?  ไม่ได้!  ทำไมจึงไม่ได้?  สิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบาปที่ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่มีวันได้รับการอภัยไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า!  พระเจ้าย่อมรักษาพระดำรัสของพระองค์  พระองค์ทรงมีศักดิ์ศรี พระพิโรธ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรม  เจ้าคิดหรือว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนมนุษย์ ที่หากมีใครดีต่อพระองค์มากขึ้นอีกสักหน่อย พระองค์ก็จะทรงมองข้ามการฝ่าฝืนที่ผ่านมาของคนเหล่านั้น?  หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!  หากเจ้าต้านทานพระเจ้า สิ่งต่างๆ จะกลับกลายเป็นดีสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ?  ถ้าเจ้าทำความผิดบางอย่างด้วยความโง่เขลาชั่วขณะ หรือเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเล็กน้อยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้  แต่ถ้าเจ้าต้านทาน กบฏต่อพระเจ้า และตั้งตนต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และถ้าเจ้าว่าร้าย ลบหลู่ และแพร่กระจายข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จบสิ้นโดยสิ้นเชิง  ไม่มีความจำเป็นที่คนเช่นนี้จะต้องอธิษฐานอีกต่อไป พวกเขาควรรอรับการลงโทษเท่านั้น  เป็นผู้คนที่อภัยให้ไม่ได้!  เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าพูดอย่างไร้ยางอายว่า “พระเจ้า โปรดอภัยให้ข้าพระองค์ด้วย!”  ไม่ว่าเจ้าจะวิงวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ขอโทษด้วยที่ต้องกล่าวเช่นนี้  เมื่อเข้าใจความจริงบางส่วนแล้ว เช่นนั้นถ้าผู้คนยังฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ก็ไม่อาจอภัยให้พวกเขาได้  ก่อนหน้านี้มีคำกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของคนเรา  นั่นหมายถึงผู้เยาว์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าและมิได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ไม่รวมถึงการลบหลู่และว่าร้ายพระเจ้า  แต่หากเจ้าจะลบหลู่ ตัดสิน หรือว่าร้ายพระเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว นี่ย่อมจะเป็นจุดด่างพร้อยถาวรที่ไม่อาจลบออกได้  ผู้คนนึกอยากจะลบหลู่และหยาบหยามพระเจ้าตามใจชอบ แล้วจากนั้นก็เอาเปรียบพระองค์เพื่อให้ได้รับพร  ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาง่ายๆ เช่นนั้น!  ผู้คนคิดเสมอว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและใจดี พระองค์ทรงเมตตา หัวใจของพระองค์นั้นไพศาลและไม่อาจประมาณได้ พระองค์ไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของผู้คน และทรงปล่อยให้การฝ่าฝืนและการกระทำในอดีตของผู้คนเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไป  การปล่อยสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้แล้วกันไปย่อมเกิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  พระเจ้าจะไม่มีวันอภัยให้ผู้ที่ต้านทานและลบหลู่พระองค์อย่างเปิดเผย

แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่หัวใจของพวกเขามิได้ยำเกรงพระเจ้า  นี่แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ถ้าผู้คนไม่เคารพหรือยำเกรงพระเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และพูดจาตามใจชอบเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของตน เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาพูดจบ เรื่องจะจบลงตรงนั้นกระนั้นหรือ?  พวกเขาต้องรับผลจากคำพูดของตน และนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อบางคนลบหลู่พระเจ้า เมื่อพวกเขาตัดสินพระเจ้า พวกเขารู้แก่ใจหรือไม่ว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่?  ทุกคนที่กล่าวสิ่งเหล่านี้รู้แก่ใจดีว่าตนพูดอะไรออกไป  นอกเหนือจากคนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำและเป็นผู้ที่มีเหตุผลผิดปกติแล้ว คนทั่วไปย่อมรู้อยู่ในหัวใจของตนว่าตนกำลังพูดอะไร  ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังโกหก  เวลาที่พวกเขาพูด พวกเขาก็คิดว่า “ฉันรู้ว่าท่านคือพระเจ้า  และฉันก็กำลังพูดอยู่ว่าท่านทำไม่ถูก แล้วท่านจะทำอะไรฉันได้?  ท่านจะทำอย่างไรเมื่อฉันพูดจบ?”  พวกเขาเจตนาทำเช่นนี้เพื่อก่อความไม่สงบแก่ผู้อื่น เพื่อดึงผู้อื่นมาอยู่ฝั่งตน เพื่อให้ผู้อื่นพูดอะไรที่คล้ายๆ กัน ทำให้ผู้อื่นทำอะไรคล้ายๆ กัน  พวกเขารู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นการท้าทายพระเจ้าอย่างเปิดเผย เป็นการต่อต้านพระเจ้า ลบหลู่พระเจ้า  หลังจากใคร่ครวญแล้ว พวกเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด “ฉันพูดอะไรออกไป?  นั่นเป็นชั่วขณะที่ผลีผลามและฉันก็เสียใจจริงๆ!”  ความเสียใจของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้ชัดว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้  หากเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่รู้เท่าทันและสับสนไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด  ผู้คนอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องมีสามัญสำนึกขั้นต่ำอยู่แล้ว  การที่จะเชื่อในพระเจ้านั้น เจ้าควรยำเกรงพระเจ้าและเคารพพระองค์  เจ้าไม่อาจลบหลู่พระเจ้า ตัดสิน หรือว่าร้ายพระองค์ตามใจชอบ  เจ้ารู้ไหมว่า “การตัดสิน” “การลบหลู่” และ “การว่าร้าย” หมายความว่าอย่างไร?  เมื่อเจ้าพูดอะไรสักอย่าง เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังตัดสินพระเจ้าอยู่หรือไม่?  บางคนพูดตลอดเวลาถึงข้อเท็จจริงที่พวกเขารับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับพระเจ้า มักจะพบเจอพระเจ้า และได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าโดยตรง  พวกเขาพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมา อย่างละเอียด และมีแต่เรื่องของผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น พวกเขาไม่รู้อะไรที่แท้จริงเลย  เวลาที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอาจไม่มีเจตนาร้าย  พวกเขาอาจมีเจตนาดีกับพี่น้องชายหญิงและปรารถนาที่จะให้กำลังใจทุกคน  แต่ทำไมพวกเขาจึงเลือกหยิบสิ่งเหล่านี้มาพูด?  ถ้าพวกเขาขวนขวายที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องมีเจตนาบางอย่าง โดยมากแล้วก็เพื่ออวดตัวและทำให้ผู้คนยอมรับนับถือตนเอง  ถ้าพวกเขาจะทำให้ผู้คนมั่นใจและให้กำลังใจผู้คนในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อาจจะอ่านพระวจนะของพระองค์ซึ่งเป็นความจริงให้คนเหล่านั้นฟังมากขึ้น  เหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานที่จะพูดถึงสิ่งภายนอกดังกล่าว?  ต้นตอของการที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ก็คือพวกเขาไร้ซึ่งความยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  พวกเขาไม่กลัวพระเจ้า  พวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมและพูดจาพล่อยๆ ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีศักดิ์ศรี!  ถ้าผู้คนตระหนักถึงข้อนี้ พวกเขาจะยังทำเช่นนั้นอีกหรือไม่?  ผู้คนไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในตนเอง  พวกเขาพูดตามอำเภอใจว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรและกล่าวถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นตามแรงจูงใจของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน และเพื่อให้ผู้อื่นมองตนอย่างยกย่อง  นี่คือการตัดสินพระเจ้าและลบหลู่พระเจ้าโดยแท้  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความเคารพพระเจ้าในหัวใจแม้แต่น้อย  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ต้านทานและลบหลู่พระเจ้า  พวกเขาทุกคนคือพวกวิญญาณชั่วและปีศาจ  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาสองสามปี แต่หลังจากที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับตัวไป พวกเขาก็กลายเป็นยูดาส ถึงขั้นลบหลู่พระเจ้าตามพญานาคใหญ่สีแดง  บางคนประกาศข่าวประเสริฐ กล่าวถ้อยคำต่างๆ ที่เป็นการตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าและกล่าวโทษพระเจ้าตามผู้เคร่งศาสนา  พวกเขารู้ว่าการพูดในลักษณะนี้เป็นการต้านทานพระเจ้าและลบหลู่พระเจ้า แต่พวกเขาหาได้กังวลไม่  การพูดในลักษณะนี้ย่อมไม่เหมาะสม ไม่ว่าอะไรจะเป็นแรงจูงใจของเจ้าก็ตาม  เจ้าแค่พูดอย่างอื่นไม่ได้หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงต้องพูดสิ่งเหล่านี้?  นี่ไม่ใช่การลบหลู่พระเจ้าหรอกหรือ?  ถ้าถ้อยคำเยี่ยงนี้ออกมาจากปากของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังลบหลู่พระเจ้า  การที่เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำไปโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นการไม่นับถือพระเจ้า  เจ้าไม่มีความเคารพพระเจ้าในหัวใจของเจ้าแม้แต่น้อย  เจ้าเออออไปกับคนอื่นๆ และกล่าวถ้อยคำลบหลู่เพื่อให้คนอื่นพอใจและได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา  เจ้าช่างไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปร่วมขบวนกับมาร!  พระเจ้าจะปล่อยให้เจ้าล้อเล่นกับพระองค์ ตัดสินพระองค์ ตีกรอบพระองค์ และลบหลู่พระองค์ตามใจชอบกระนั้นหรือ?  การทำเช่นนั้นช่างเลวร้ายนัก!  ถ้าเจ้าพูดอะไรผิดไปและเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นแล้ว  นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย!  บางคนคิดว่า “ผู้คนในศาสนาถูกพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสหลอกลวง และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้พูดสิ่งต่างๆ ที่ลบหลู่พระเจ้า ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์  บางคนยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและกลับใจแล้ว  แบบนี้พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดไหม?  ถ้าพวกเขาล้วนถูกพระเจ้าทอดทิ้ง คนที่จะได้รับการช่วยให้รอดก็จะมีน้อยเกินไป แทบจะไม่มีใครได้รับการช่วยให้รอดเลย”  เจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความชอบธรรม และพระองค์ก็ทรงชอบธรรมกับทุกคน  ในยุคของโนอาห์ มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่ได้รับการช่วยให้รอดในเรือใหญ่ ส่วนที่เหลือก็ถูกทำลายล้าง  เจ้ากล้าพูดหรือว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรม?  มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนัก  พวกเขาล้วนเป็นของซาตาน พวกเขาล้วนต้านทานพระเจ้า และพวกเขาล้วนต่ำช้าและไร้ค่า  ถ้าพวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ พวกเขาจะถูกทำลายล้างเหมือนเคยมา  บางคนอาจคิดในใจว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยพวกเราสักคนให้รอด เช่นนั้นพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่สามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดถ้าไม่มีมนุษย์  ถ้าพระเจ้าไปจากมนุษย์ การบริหารจัดการของพระเจ้าก็จะหมดไปด้วย”  เจ้าผิดแล้ว  พระเจ้าจะทรงดำเนินแผนการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปเช่นเดิมแม้จะไม่มีมนุษย์ก็ตาม  ผู้คนตีค่าตนเองสูงเกินไป  ผู้คนไม่มีความเคารพพระเจ้าในหัวใจของตน พวกเขาไม่มีใจศรัทธาต่อหน้าพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่มีท่าทีใดๆ ของการประพฤติตัวให้ดี  เนื่องจากผู้คนมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของซาตานและเป็นของซาตาน พวกเขาจึงสามารถตัดสินพระเจ้าและลบหลู่พระเจ้าเมื่อใดก็ได้และที่ใดก็ได้  นี่เป็นสิ่งที่เลวร้าย—เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า!

บทตัดตอน 3

ผู้เชื่อจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับการแปลงสภาพในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต แต่กลับมุ่งเน้นและห่วงกังวลเรื่องตัวเองกับท่าทีของพระจ้าที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาครอบครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้าหรือไม่  พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะคาดเดาว่าพวกเขาดูเป็นอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า และว่าพวกเขาครองตำแหน่งในพระหทัยของพระองค์หรือไม่  ผู้คนมากมายเก็บงำความคิดประเภทนี้ และหากพวกเขามาเผชิญหน้ากับพระเจ้า พวกเขาจะสังเกตเสมอว่าพระองค์ทรงมีความสุขหรือมีโทสะในยามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา  แล้วก็มีบรรดาผู้ที่ชอบตั้งคำถามกับผู้อื่นว่า “พระเจ้าทรงเอ่ยถึงความลำบากยากเย็นของฉันหรือเปล่า?  จะว่าไป พระองค์ทรงคิดกับฉันอย่างไรหรือ?  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความห่วงกังวลที่มีต่อฉันหรือไม่?”  บางคนถึงกับมีประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำ—หากพระเจ้าแค่ชายพระเนตรมองพวกเขานิดเดียว นั่นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจับสังเกตเห็นปัญหาใหม่เข้าแล้วว่า “โอ ไม่นะ พระเจ้าเพิ่งชำเลืองทอดพระเนตรฉัน และแววพระเนตรของพระองค์ก็ไม่ได้ดูมีความสุขนัก นี่ไม่ใช่สัญญานที่ดีเลย”  ผู้คนให้ความสำคัญใหญ่หลวงกับสิ่งเช่นนั้น  คนบางคนกล่าวว่า “พระเจ้าที่พวกเราเชื่อคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ ดังนั้นถ้าพระองค์ไม่ทรงใส่ใจในตัวพวกเรา นั่นไม่ส่อจุดจบสำหรับพวกเราหรอกหรือ?”  การนี้ที่พวกเขาหมายถึงคือ “ถ้าพวกเราไม่มีที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า ทำไมพวกเราควรยุ่งยากกับการเชื่อเล่า?  พวกเราควรหยุดเชื่อแค่นั้นเอง!”  นี่ไม่ใช่การขาดสำนึกหรอกหรือ?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนควรเชื่อในพระเจ้า?  ผู้คนไม่เคยไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงมีที่ทางในหัวใจพวกเขาหรือไม่ และถึงกระนั้นพวกเขาก็ต้องการที่ทางในพระหทัยพระเจ้า  พวกเขาช่างโอหังและทะนงตนอะไรเช่นนี้!  นี่คือส่วนของพวกเขาที่ขาดพร่องเหตุผลที่สุด  มีแม้แต่บรรดาผู้ที่ขาดพร่องเหตุผลจนถึงขนาดที่เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบถึงผู้อื่นและไม่พูดถึงชื่อของพวกเขาเลย หรือแสดงความห่วงกังวลและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นแทนที่จะเป็นพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกไม่พึงพอใจ อีกทั้งเริ่มโอดครวญและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม รวมทั้งไม่เป็นธรรมและไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ  นี่คือปัญหาตรงเหตุผลของพวกเขา และพวกเขาก็ค่อนข้างผิดปกติทางจิตอีกด้วย  ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ ผู้คนอ้างอยู่เสมอว่าพวกเขาจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจับวางเรียบเรียงของพระเจ้า ว่าพวกเขาจะไม่มีวันพร่ำบ่นไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร และว่าพวกเขาสบายดีกับการที่พระเจ้าทรงจัดการกับพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา หรือทรงพิพากษาและตีสอนพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวในความเป็นจริง พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น  ผู้คนมีเหตุผลหรือไม่?  ผู้คนคิดถึงตัวเองอย่างสูงส่งและเชื่อว่าตัวเองสำคัญมากจนถึงขั้นที่ว่า หากพวกเขาล่วงรู้สักนิดว่าพระเจ้าได้ทรงมองพวกเขาในทางที่ผิด พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะบรรลุความรอดเสียแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงลงมือจัดการและตัดแต่งพวกเขาจริงๆ  หรือไม่เช่นนั้น หากประเจ้าตรัสกับพวกเขาในพระกระแสเสียงที่ดุดันขึ้น และนั่นทิ่มแทงเข้าไปหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ และเริ่มคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย  พวกเขาคิดว่า “ฉันจะสามารถเชื่อพระเจ้าต่อไปได้อย่างไรหากพระองค์ทรงเพิกเฉยฉัน?”  บางคนขาดวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คนประเภทนี้และคิดว่า “ดูสิว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นแท้จริงแค่ไหน  พระเจ้าทรงสำคัญต่อพวกเขายิ่งนัก  พวกเขาถึงขั้นสามารถตีความความหมายของพระเจ้าได้โดยการตวัดตามองแวบเดียว  พวกเขาจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง—พวกเขามองพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าบนสวรรค์”  เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้ช่างสับสนมึนงงนัก ช่างขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทุกเรื่อง วุฒิภาวะของพวกเขานั้นด้อยเกินไป และพวกเขากำลังเผยให้เห็นความอัปลักษณ์ทุกประเภทจริงๆ  ผู้คนมีเหตุผลต่ำเช่นนั้น—พวกเขามีข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป และพวกเขาร้องขอจากพระองค์มากเกินไป พวกเขาถึงกับขาดเหตุผลแม้เพียงน้อยนิดด้วยซ้ำ  ผู้คนกำลังเรียกร้องเสมอให้พระเจ้าทรงทำนี่นั่น และไม่สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์หรือนมัสการพระองค์อย่างครบบริบูรณ์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาสร้างข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลต่อพระเจ้าบนพื้นฐานของการเลือกชอบของพวกเขาเอง โดยเรียกร้องให้พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างมาก ให้ไม่มีวันมีสิ่งใดบันดาลพระโทสะของพระองค์ และเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้คน พระองค์ควรทรงแย้มพระสรวลเสมอและควรทรงเสวนากับพวกเขาเสมอ รวมทั้งทรงจัดหาความจริงให้พวกเขา และสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา  พวกเขายังเรียกร้องด้วยเช่นกันให้พระองค์ทรงอดทนเสมอ และให้พระองค์ทรงแสดงความชื่นบานเสมอยามอยู่ใกล้พวกเขา  ผู้คนมีข้อพึงประสงค์มากเกินไป พวกเขาเรื่องมากเกินไป!  พวกเจ้าควรคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้  เหตุผลของมนุษย์ต่ำเหลือเกินใช่หรือไม่?  ผู้คนไม่เพียงแต่ไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หรือยอมรับทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พวกเขาบังคับใช้ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมกับพระเจ้า  ผู้คนที่มีข้อพึงประสงค์เช่นนี้สามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถรักพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้คนล้วนมีข้อพึงประสงค์สำหรับการที่พระเจ้าควรทรงรักพวกเขา ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา ทรงเฝ้าดูและทรงปกป้องพวกเขา รวมทั้งทรงดูแลพวกเขาอย่างไร ทว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาเลยที่มีข้อพึงประสงค์สำหรับการที่พวกเขาเองควรรักพระเจ้า คิดถึงพระเจ้า เกรงใจพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และนมัสการพระเจ้าอย่างไร  สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คนหรือไม่?  เหล่านี้เป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนควรสำเร็จลุล่วง ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ดั้นด้นต่อไปอย่างขยันขันแข็งในสิ่งเหล่านี้เล่า?  ผู้คนบางคนสามารถมีใจกระตือรือร้นสักพักหนึ่ง และสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเองได้พอสมควร แต่นั่นก็ไม่คงทน การไปเจอกับความพลาดพลั้งเล็กน้อยสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นหมดกำลังใจ สูญสิ้นความหวัง และพร่ำบ่น  ผู้คนมีความลำบากยากเย็นมากมายเหลือเกิน และมีผู้คนน้อยเกินไปที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เหล่ามนุษย์ขาดเหตุผลอย่างถึงที่สุด พวกเขายืนในตำแหน่งที่ผิด และมองตัวพวกเขาเองว่ามีค่าเป็นพิเศษ  มีพวกที่กล่าวด้วยว่า “พระเจ้าทรงมองพวกเราเป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงลังเลที่จะอนุญาตให้พระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์ถูกตอกตรึงติดกับกางเขน เพื่อที่จะไถ่มวลมนุษย์  พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาอย่างหนักเพื่อซื้อพวกเราคืนมา—พวกเรามีค่าอย่างเหลือเชื่อ และทุกคนล้วนครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า  พวกเราเป็นกลุ่มคนพิเศษ และมีสถานะสูงกว่าพวกผู้ไม่เชื่อมากมาย—พวกเราเป็นประชากรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์”  พวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งและยิ่งใหญ่ทีเดียว  ในอดีต ผู้นำมากมายมีวิธีคิดแบบนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาได้มีสถานะและตำแหน่งบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าหลังจากได้รับการเลื่อนขั้น  พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงนับถือฉันและคิดถึงฉันในแง่ดี และพระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำ  ฉันต้องวิ่งวุ่นไปทั่วและทำงานเพื่อพระองค์ให้ดีที่สุด”  พวกเขายินดีกับตัวเองอย่างน่ากลัว  อย่างไรก็ตามที หลังผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาได้ทำบางสิ่งที่แย่และตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็แสดงออกมาให้เห็น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ถูกแทนที่ และพวกเขากลายเป็นหดหู่และคอตก  เมื่อพฤติกรรมอันไม่สมควรของพวกเขาถูกเปิดโปงและจัดการ พวกเขากลับกลายเป็นคิดลบมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถที่จะเชื่อต่อไป  พวกเขาคิดกับตัวเองว่า “พระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความรู้สึกของฉันเลย พระองค์ไม่ทรงสนใจเกี่ยวกับการรักษาความภาคภูมิใจของฉันเอาเสียเลย  พวกเขาพูดว่าพระเจ้าทรงเห็นใจในความอ่อนแอของมนุษย์ แล้วทำไมฉันถึงถูกปลดออกหลังการฝ่าฝืนเล็กๆ?”  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นหมดกำลังใจและต้องการทิ้งความเชื่อของตน  ผู้คนเช่นนั้นมีความเชื่อที่เที่ยงแท้ในพระเจ้าหรือไม่?  หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่ยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่ง เช่นนั้นวุฒิภาวะของพวกเขาก็น้อยเกินไป และนั่นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงในภายหน้าได้หรือไม่  ผู้คนดังกล่าวอยู่ในภาวะอันตราย

ผู้คนไม่สร้างข้อเรียกร้องสูงจากตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาสร้างข้อเรียกร้องสูงจากพระเจ้า  พวกเขาขอให้พระองค์ทรงแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความใจดีมีเมตตาพิเศษ และให้ทรงอดทนและโอนอ่อนผ่อนตามต่อพวกเขา ทรงทะนุถนอมพวกเขา ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเขา และทรงแย้มพระสรวลกับพวกเขา ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา ทรงอนุญาตให้พวกเขาทำบางสิ่งที่เคยไม่ทรงเห็นชอบ และทรงดูแลพวกเขาในหนทางมากมาย  พวกเขาคาดหวังให้พระองค์ไม่ทรงเข้มงวดกับพวกเขาเลย หรือทรงทำสิ่งใดก็ตามซึ่งจะทำให้พวกเขาหัวเสียแม้แต่เพียงเล็กน้อย และพวกเขาพึงพอใจก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงปากหวานกับพวกเขาทุกๆ วันเท่านั้น  เหล่ามนุษย์มีเหตุผลต่ำเช่นนั้นเอง!  พวกเขาไม่ชัดเจนในเรื่องที่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด พวกเขาควรสำเร็จลุล่วงสิ่งใด พวกเขาควรมีทัศนคติใด พวกเขาควรยืนในตำแหน่งใดเพื่อรับใช้พระเจ้า และตัวพวกเขาเองเหมาะสมที่จะวางอยู่ในตำแหน่งใด  ผู้คนที่พอจะมีสถานะสักเล็กน้อยนั้น มีความคิดเห็นที่สูงมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และพวกที่ไม่มีสถานะก็ยังคิดกับตัวพวกเขาเองอย่างค่อนข้างสูงส่งด้วยเช่นกัน  เหล่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักตัวพวกเขาเองเลย  พวกเจ้าต้องมาสู่จุดหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าซึ่งเป็นจุดที่เจ้าสามารถเชื่อต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และยังคงลุล่วงหน้าที่ของเจ้าต่อไปตามปกติ โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์ตรัสกับเจ้าอย่างไร พระองค์ทรงเคร่งครัดกับพวกเจ้าอย่างไร และพระองค์อาจจะทรงเพิกเฉยกับพวกเจ้ามากเพียงใด  เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์คนหนึ่ง และเจ้าย่อมจะมีวุฒิภาวะอยู่บ้างและมีเหตุผลของบุคคลปกติอยู่นิดหน่อยอย่างแท้จริง  เจ้าย่อมจะไม่สร้างข้อเรียกร้องจากพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่มีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้ออีกต่อไป และเจ้าย่อมจะไม่ทำการร้องขอจากผู้อื่นหรือจากพระเจ้าบนพื้นฐานของการเลือกชอบของเจ้าเองอีกต่อไป  นี่จะแสดงให้เห็นว่า เจ้าครองสภาพเสมือนของมนุษย์ถึงขอบเขตเฉพาะหนึ่ง  ในปัจจุบันนี้ พวกเจ้ามีข้อพึงประสงค์มากเกินไป และข้อพึงประสงค์เหล่านี้ก็เกินเลยไปไกลเกินไป และเจ้ามีความตั้งใจแบบมนุษย์มากเกินไป  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้าไม่ได้กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตำแหน่งที่เจ้ากำลังยืนอยู่นั้นสูงเกินไป และเจ้าได้มีทรรศนะต่อตัวเจ้าเองว่าทรงเกียรติมากเกินไป—ราวกับว่าเจ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าพระเจ้ามากนัก  เพราะฉะนั้น จึงเป็นการลำบากยากเย็นที่จะจัดการกับเจ้า และแน่นอนว่านี่ก็คือธรรมชาติของซาตาน  หากสภาวะเช่นนั้นดำรงอยู่ภายในตัวเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจะยิ่งคิดลบบ่อยขึ้นและเป็นปกติน้อยครั้งลง ดังนั้นความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า  ในทางตรงข้าม พวกที่มีหัวใจอันผ่องแผ้วและเรื่องมากน้อยกว่าจะยอมรับความจริงง่ายกว่าและสร้างความก้าวหน้าได้เร็วกว่า  บรรดาผู้ที่มีหัวใจผ่องแผ้วไม่ได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากขนาดนั้น แต่เจ้ามีความรู้สึกที่รุนแรงมาก เจ้าเรื่องมากเกินไป และเจ้าสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าเสมอ ดังนั้นเจ้าจึงเผชิญสิ่งกีดขวางอันใหญ่โตต่อการยอมรับความจริง และความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าก็คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า  คนบางคนไล่ตามเสาะหาเหมือนกันไม่มีผิดไม่ว่าผู้อื่นโจมตีหรือตัดพวกเขาออกอย่างไร และการนี้ก็ไม่ส่งผลต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเช่นนี้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พวกเขาจึงทนทุกข์น้อยกว่าเล็กน้อยและเผชิญหน้ากับอุปสรรคกีดขวางน้อยกว่าเล็กน้อยต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  เจ้าเรื่องมากและได้รับผลกระทบไม่จากสิ่งใดก็สิ่งหนึ่งเสมอ—ใครที่มองเจ้าในทางที่ผิด ใครที่ดูแคลนเจ้า ใครที่เพิกเฉยต่อเจ้า หรือสิ่งใดที่พระเจ้าตรัสแล้วสะกิดใจเจ้า หรือพระวจนะดุดันใดที่พระเจ้าตรัสแล้วทิ่มแทงหัวใจของเจ้าและทำร้ายความเคารพนับถือตนเองของเจ้า หรือสิ่งดีใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่ผู้อื่นและไม่ให้แก่เจ้า—และจากนั้นเจ้าก็กลายเป็นคิดลบและถึงกับเข้าใจพระเจ้าผิด  ผู้คนเช่นนี้เรื่องมากและไม่สะทกสะท้านต่อเหตุผลไปหน่อย  ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเอาเลยและปัญหาของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป  ผู้คนเหล่านี้จัดการยากที่สุด

เราได้ยินพวกเจ้าสามัคคีธรรมกันบ่อยครั้งในหนทางนี้ที่ว่า “ฉันสะดุดตอนที่กำลังทำบางอย่างอยู่แล้วต่อมา หลังจากที่ก้าวผ่านการทนทุกข์ไปบ้าง ฉันก็ได้รับความเข้าใจมานิดหน่อย” ผู้คนส่วนใหญ่ได้มีประสบการณ์ประเภทนี้—ประสบการณ์นี้ผิวเผินนัก  ความเข้าใจน้อยนิดนี้อาจได้มาถึงหลังผ่านประสบการณ์มาเป็นปีๆ และผู้คนก็อาจได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากมายและล้มลุกคลุกคลานผ่านความลำบากยากเย็นมาอย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อได้รับความเข้าใจและการแปลงสภาพเล็กน้อยนี้เท่านั้น  ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้!  ในความเชื่อของผู้คนมีราคีอยู่มากมายเหลือเกิน การเชื่อในพระเจ้านั้นช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับพวกเขา!  จนทุกวันนี้ก็ยังคงมีราคีมากมายอยู่ภายในทุกตัวบุคคล และพวกเขายังคงสร้างข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้า—เหล่านี้ล้วนเป็นราคีของมนุษย์  การมีราคีทั้งหลายเช่นนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีปัญหา และเป็นการเปิดเผยของอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขา  ระหว่างข้อเรียกร้องที่ถูกควรกับไม่ถูกควรที่มนุษย์มีต่อพระเจ้านั้นมีความแตกต่างอยู่ประการหนึ่ง—นี่ต้องถูกแยกแยะอย่างชัดเจน  คนเราต้องชัดเจนว่า มนุษย์ควรที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งใดและมนุษย์ควรมีเหตุผลใด  เราได้สังเกตเห็นว่าคนบางคนกำลังมุ่งเน้นอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีการแสดงออกประเภทใดเมื่ออยู่รอบตัวผู้คน รวมทั้งศึกษาอยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติดีต่อใครและพระองค์ทรงปฏิบัติแย่ต่อใคร  หากพวกเขาเห็นว่าพระเจ้าทรงมองพวกเขาด้วยสีพระพักตร์ในเชิงลบ หรือได้ยินพระองค์ทรงเปิดโปงและกล่าวโทษพวกเขา พวกเขาก็ปล่อยวางไม่ได้—ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล และไม่สำคัญว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถกลับตัวได้  พวกเขาให้คำตัดสินแก่ตัวเอง ยึดติดอยู่กับการที่คนเราเปล่งวลีออกมาและใช้วลีนั้นกำหนดพิจารณาท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาเกลือกกลั้วอยู่ในความคิดลบ และไม่ว่าใครก็ตามสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ  นี่ไม่มีเหตุผลจริงๆ  ชัดเจนว่ามนุษย์ขาดความรู้แม้สักนิดเกี่ยวกับอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และก็ไม่เข้าใจอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเอาเสียเลย  ตราบที่ผู้คนสามารถกลับใจและแปลงสภาพได้ ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน  หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลง หนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนไปด้วย แต่หากเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนเช่นกัน  คนบางคนยังคงไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง สิ่งที่พระองค์ทรงชอบ ความชื่นบานยินดี พระโทสะ ความเศร้า และความสุขของพระองค์ พระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ รวมทั้งพระปัญญาของพระองค์ และพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดเกี่ยวกับความรู้ในเชิงประสาทสัมผัสรับรู้ด้วยซ้ำ—นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ช่างลำบากยากเย็นที่จะรับมือ  มนุษย์ลืมพระวจนะซึ่งมีเจตนาดีทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขา แต่หากพระองค์แค่ทรงให้ข้อคิดที่ดุดันหนึ่งข้อ หรือตรัสประโยคของการจัดการ การตัดแต่ง หรือการพิพากษาหนึ่งประโยค นั่นก็ทิ่มแทงหัวใจมนุษย์  เหตุใดหรือผู้คนจึงไม่จริงจังกับพระวจนะแห่งการทรงนำในเชิงบวก พลางหงุดหงิด คิดลบ และไม่สามารถที่จะฟื้นฟูเมื่อได้ยินพระวจนะแห่งการพิพากษา การตัดแต่ง และการจัดการ?  ในท้ายที่สุดแล้ว อาจต้องใช้ช่วงเวลานานสำหรับการไตร่ตรองก่อนที่พวกเขาจะกลับตัว และพวกเขาจะตื่นขึ้นก็หลังจากที่ผสานการนี้เข้ากับบางพระวจนะที่ชูใจของพระเจ้าแล้วเท่านั้น  หากปราศจากพระวจนะที่ชูใจเหล่านี้ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะปีนป่ายออกมาจากความคิดลบของพวกเขาได้  เมื่อผู้คนแค่กำลังเริ่มมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็มีความรู้ที่ผิดพลาดและความเข้าใจที่ผิดๆ มากมายเกี่ยวกับพระเจ้า  พวกเขาเชื่อเสมอว่าพวกเขาถูก ยึดติดอยู่กับแนวคิดของตัวเองเสมอ และพวกเขาไม่รับสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นพูดเลย  หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มาสามถึงห้าปีแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ระลึกรู้ว่าพวกเขาผิด และสำนึกว่าตัวพวกเขานั้นจัดการได้ลำบากยากเย็นแค่ไหน  ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งเติบโตเมื่อถึงตอนนั้นนั่นเอง  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็เริ่มเข้าใจพระเจ้า และความเข้าใจผิดทั้งหลายของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าก็น้อยลง พวกเขาไม่พร่ำบ่นอีกต่อไป และพวกเขาเริ่มมีความเชื่อในพระเจ้าที่เป็นปกติ  เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต วุฒิภาวะของเขาคล้ายคลึงกับวุฒิภาวะของผู้ใหญ่มากขึ้น  พวกเขาเคยเป็นเหมือนเด็ก—หมิ่นเหม่ที่จะโกรธขึ้ง กลายเป็นคิดลบ และแยกตัวเองห่างจากพระเจ้าเป็นบางครั้ง  พวกเขาอาจพร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับบางเรื่อง พระวจนะบางคำของพระเจ้าอาจได้กลายเป็นมูลเหตุของมโนคติอันหลงผิดใหม่ล่าสุดของพวกเขา และพวกเขาอาจจะได้เริ่มกังขาเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นบางครั้ง—นี่คือวิธีที่เป็นไปเมื่อวุฒิภาวะของใครบางคนนั้นน้อยเกินไป  ถึงตอนนี้ที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ไปมากเหลือเกินแล้ว และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาได้สร้างความก้าวหน้าแล้ว และกลายเป็นมั่นคงกว่าที่พวกเขาเป็นในอดีต  ทั้งหมดล้วนเป็นผลลัพธ์ของการเข้าใจความจริง—นี่คือการที่ความจริงส่งผลภายในตัวพวกเขา  ดังนั้นตราบที่ผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถยอมรับความจริง ย่อมไม่มีความลำบากยากเย็นใดเลยที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ และพวกเขาจะได้รับบางสิ่งเสมอ ไม่ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์อยู่นานเท่าไร  แน่นอนว่านั่นจะใช้ไม่ได้เลยหากพวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์มานานมากพอ แต่ตราบที่พวกเขาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากแต่ละประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะเติบโตในชีวิตอย่างรวดเร็ว

ข้อเท็จจริงที่ว่าบัดนี้พวกเจ้ากำลังได้รับการบ่มเพาะให้กลายเป็นผู้นำ คนทำงานหรือผู้ตรวจการณ์ หรือให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญนั้นไม่พิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะที่สูงกว่า  ทั้งหมดนั้นหมายความว่าพวกเจ้ามีขีดความสามารถดีกว่าบุคคลทั่วไปเล็กน้อย ว่าพวกเจ้าตั้งใจจริงในการไล่ตามเสาะหามากกว่าเล็กน้อย และการบ่มเพาะเจ้านั้นมีคุณค่ามากกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง  แน่นอนว่า นั่นมิใช่หมายความว่าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้า หรือวางตัวเองไว้ในความกรุณาแห่งการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และนี่ไม่ใช่หมายความว่า พวกเจ้าได้ละวางความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ของเจ้าแล้ว  ผู้คนยังไม่มีเหตุผลประเภทนี้  พวกเจ้ายังคงพกพาความคิดลบ ตลอดจนความตั้งใจและความทะเยอทะยานที่จะได้รับพระพร และแม้แต่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของมนุษย์ไว้กับตัวขณะที่พวกเจ้ากำลังทำงาน  ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็พกพาสัมภาระบางอย่างขณะกำลังทำงานของเจ้า ราวกับว่า เจ้ากำลังลบมลทินให้กับบาปในอดีตผ่านทางความประพฤติดี มากกว่าที่จะกำลังทำงานเพราะความเต็มใจแบบมีความสุขที่จะทำ  เจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดที่เจ้าเพียงห่วงกังวลกับการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้าไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร  พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้หรือไม่?  ผู้คนไม่มีเหตุผลนี้  พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริของพระเจ้าออก โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงมีท่าทีประเภทใดต่อฉันกันแน่?  พระองค์กำลังทรงใช้ฉันทำงานปรนนิบัติ หรือกำลังทรงช่วยฉันให้รอดและทำให้ฉันเพียบพร้อม?”  พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริในหนทางนี้ พวกเขาก็แค่ไม่กล้าพอที่จะพูด  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดนั้น พิสูจน์ว่ายังคงมีแนวคิดหนึ่งกำลังครอบงำพวกเขาอยู่ที่ว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนี้—นั่นก็แค่ธรรมชาติของฉัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง  ตราบที่ฉันกันตัวเองจากการทำสิ่งใดที่ไม่ดี นั่นก็มากพอแล้ว—ฉันไม่เรียกร้องมากเกินไปสำหรับตัวเอง”  พวกเขาจำกัดเขตตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ และในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สร้างความก้าวหน้าใดเลยที่ปลายทาง ในขณะที่พกพาวิธีการคิดแบบสะเพร่าและขอไปทีไปกับพวกเขาด้วยเช่นกันในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  เพียงหลังจากที่ได้รับการสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้งเท่านั้น พวกเจ้าทุกคนก็เริ่มเข้าใจความจริงนิดหน่อยและเริ่มรู้ความเป็นจริงของความจริงเล็กน้อย  ไม่ว่าเจ้ากำลังถูกใช้หรือไม่ หรือพระเจ้าทรงมีท่าทีใดต่อเจ้า—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ  กุญแจสำคัญอยู่ในความพยายามเชิงรุกทั้งหลายของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน และอยู่ตรงที่ว่าเจ้าสามารถแปลงสภาพได้ในท้ายที่สุดหรือไม่—เหล่านี้คือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด  ไม่สำคัญว่าท่าทีของพระเจ้าที่อาจทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามสักเพียงใด นั่นก็ใช้ไม่ได้หากเจ้าไม่แปลงสภาพ  หากเจ้าสะดุดเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งตกมาถึงเจ้า และเจ้าก็ขาดพร่องแม้แต่ความจงรักภักดีที่เล็กน้อยที่สุด เช่นนั้นไม่ว่าทัศนคติที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามเพียงใด นั่นก็จะไร้ประโยชน์  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน  ในอดีตนั้น พระเจ้าอาจจะได้ทรงสาปแช่งเจ้าและตรัสพระวจนะแห่งความเกลียดชังและขยะแขยงต่อเจ้า แต่หากเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในตอนนี้ เช่นนั้นท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน  ผู้คนเกรงกลัว ไม่สบายใจ และขาดความเชื่อที่เที่ยงแท้อยู่เสมอ ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า  บัดนี้ที่พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่บ้าง เจ้าจะยังคงกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่?  เจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงและตั้งมั่นในคำพยานหรือไม่?  เจ้าจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ เจ้าจะมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บัดนี้พวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ รวมทั้งความรอดและน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้างแล้วใช่หรือไม่?  อย่างน้อยพวกเจ้าก็มีแนวคิดคร่าวๆ  วันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงบางอย่างของทุกแง่มุมของความจริง เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างครบบริบูรณ์

บทตัดตอน 4

ส่วนที่สำคัญที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการมุ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้า  คนคนหนึ่งจะสามารถรับได้เท่าใดจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจของตน  แม้ว่าทุกคนจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่มีบางคนที่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงและพบความรู้แจ้งในพระวจนะเหล่านั้น และตราบใดที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะได้รับบางสิ่ง  อย่างไรก็ตาม คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น  พวกเขามุ่งเน้นแต่การเข้าใจคำสอนเท่านั้นเวลาที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า  ผลก็คือหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาประสบปัญหา พวกเขากลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาไม่มีประโยชน์สักอย่าง  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่าง  ผู้ที่รักความจริงสามารถยอมรับความจริงได้ ส่วนผู้ที่ไม่รักความจริง ต่อให้พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ  พวกเขาจะไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใด  ผู้คนที่มีประสบการณ์อยู่บ้างสามารถหารือบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามารถพูดคุยถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริง—นี่คือการเข้าใจความจริง  ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และพวกเขาไม่มีความรู้และประสบการณ์แม้แต่น้อย—นี่ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการเข้าใจความจริง  ผู้นำบางคนมักจะบอกผู้อื่นว่าพวกเขาไปที่คริสตจักรเพื่อให้ความจริงโดยเฉพาะ  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  คำว่า “ให้ความจริง” ไม่ควรกล่าวออกมาโดยง่าย  ผู้ใดมีความจริง?  ผู้ใดกล้ากล่าวอ้างว่าพวกเขาให้ความจริง?  คำกล่าวอ้างนี้ไม่ใหญ่โตเกินไปหรอกหรือ?  เมื่อพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ พวกเจ้าก็เป็นเพียงคนที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นก็ดีมากแล้ว  ต่อให้คนคนหนึ่งสามารถเข้าใจความจริงบางอย่าง และพูดถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความจริงได้ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาให้ความจริงเพราะไม่มีผู้ใดมีความจริง  จะเรียกการพูดคุยถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างว่าเป็นการให้ความจริงได้อย่างไร?  เพราะฉะนั้นจึงบรรยายได้เพียงว่าผู้นำและคนทำงานกำลังปฏิบัติงานให้น้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังรับผิดชอบช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรให้เข้าสู่ชีวิต  ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริง  ต่อให้คนคนหนึ่งมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง ก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น  พูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  มีกี่คนที่เข้าใจความจริง?  วุฒิภาวะของคนคนหนึ่งทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงกระนั้นหรือ?  ต่อให้บางคนมีประสบการณ์และความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความจริง ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาสามารถให้ความจริงได้  พูดเช่นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด นั่นไร้เหตุผลเกินไป  บางคนภาคภูมิใจในการให้น้ำคริสตจักรและให้ความจริง ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากมาย และผลก็คือพวกเขาไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้  นี่ขัดแย้งกันมิใช่หรือ?  หากบางคนถามเจ้าว่าความจริงคืออะไร และเจ้าตอบว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ความจริงคือพระวจนะของพระเจ้า” เจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่?  เจ้ากล่าวได้แต่เพียงถ้อยคำและวลีในคำสอนเท่านั้น และเจ้าขาดประสบการณ์และความรู้ว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงแก่ผู้อื่น  ขณะนี้คนที่ทำหน้าที่ผู้นำทั้งหมดล้วนขาดประสบการณ์ พวกเขาแค่มีขีดความสามารถเล็กน้อยและเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเหมาะที่จะเลี้ยงดูและฝึกฝน และพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในการลุล่วงหน้าที่ได้  ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างได้ แต่จะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาให้ความจริง?  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่สามารถพูดคุยถึงความรู้บางอย่างได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง  จะว่าไปแล้ว พวกเขาฟังคำเทศนามาหลายปีและมีความรู้ที่ผิวเผินอยู่บ้าง พวกเขาเต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงและพอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาให้ความจริง  ผู้นำและคนทำงานสามารถให้ความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้  ผู้นำและคนทำงานประกาศและให้น้ำคริสตจักร ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องสามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นั่นคือหนทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถให้น้ำคริสตจักรได้อย่างแท้จริง  ขณะนี้ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหามากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับความจริงได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเพียงถ้อยคำและวลีในคำสอน  พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงของความจริงได้อย่างชัดเจน แล้วพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ?  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเขายังไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก  สามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากกว่าผู้อื่นและมีความเป็นจริงความจริงมากกว่าผู้อื่น?  ไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ พวกเขายังไปไม่ถึงจุดนั้น  ผู้นำและคนทำงานบางคนได้เลื่อนตำแหน่งก็เพื่อจุดประสงค์ของการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว พวกเขาได้รับโอกาสให้ฝึกฝนปฏิบัติเพราะพวกเขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง มีศักยภาพที่จะเข้าใจอยู่บ้าง และสภาพแวดล้อมในครอบครัวของพวกเขาก็เหมาะสม  การส่งเสริมใครสักคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงและสามารถให้ความจริงได้  เพียงแต่ว่าผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างก่อนผู้อื่น แต่ความสว่างเล็กน้อยนี้ยังห่างไกลจากความจริง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความจริง เพียงแต่เป็นไปตามความจริงเท่านั้น  มีเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกมาโดยตรงเท่านั้นที่เป็นความจริง  ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมยึดตามความจริงเท่านั้น เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบความรู้แจ้งให้ผู้คนตามวุฒิภาวะของพวกเขา  พระองค์ไม่ตรัสความจริงกับผู้คนโดยตรง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงมอบความสว่างที่พวกเขาสามารถบรรลุได้ให้แก่พวกเขา  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้  หากคนคนหนึ่งพอที่จะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้าง และมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์อยู่บ้าง นี่นับว่าเป็นความจริงหรือไม่?  ไม่  อย่างมากพวกเขาก็พอจะเข้าใจความจริงบ้าง  ถ้อยคำที่เป็นความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวแทนของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวแทนของความจริง และไม่ใช่ความจริง  อย่างมากคนคนนั้นก็มีความเข้าใจความจริงอยู่บ้าง และได้รับความรู้แจ้งเล็กน้อยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากคนคนหนึ่งมีความเข้าใจบางอย่างในความจริง แล้วมอบความจริงให้แก่ผู้อื่น สิ่งที่พวกเขากำลังทำย่อมเป็นเพียงการมอบความเข้าใจและประสบการณ์ของตนแก่ผู้อื่น  เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น  ไม่เป็นไรหากเจ้าพูดว่าพวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริง นี่คือคำบรรยายที่เหมาะสม  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังสามัคคีธรรมคือความเข้าใจที่เจ้ามีในความจริงและไม่เทียบเท่ากับตัวความจริงเอง  เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่าเจ้ากำลังสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจและประสบการณ์บางอย่าง เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังให้ความจริง?  การให้ความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ผู้ใดคู่ควรที่จะกล่าวประโยคนี้?  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ความจริงแก่ผู้คนได้  ผู้คนสามารถทำได้หรือ?  เพราะฉะนั้นเจ้าต้องมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน  นี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการใช้คำผิดเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเจ้ากำลังละเมิดและบิดเบือนข้อเท็จจริง  สิ่งที่เจ้ากล่าวอ้างคือการกล่าวเกินจริง  ผู้คนอาจมีความเข้าใจบางอย่างและมีประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีความจริง หรือว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายความจริง  เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  ไม่ว่าผู้คนจะได้รับความเข้าใจมากเพียงใดจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีชีวิตที่เป็นความจริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะอยู่ฝ่ายความจริง  เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด  ผู้คนเข้าใจความจริงเพียงเล็กน้อย มีความสว่างเล็กน้อย และมีหนทางปฏิบัติอยู่บ้าง  พวกเขาแค่มีความเป็นจริงของการเชื่อฟังอยู่บ้าง และมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางอย่าง  แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีความจริงแล้ว  พระเจ้าทรงให้ชีวิตแก่ผู้คนด้วยการแสดงความจริง  พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงและมีความจริงอีกด้วยเพื่อที่จะรับใช้พระองค์และทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  ต่อให้มีสักวันที่ผู้คนผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจนถึงจุดที่พวกเขามีความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าผู้คนอยู่ฝ่ายความจริง นับประสาอะไรที่จะพูดได้ว่าผู้คนมีความจริง  นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนมีประสบการณ์ยาวนานกว่านี้อีกหลายปี ก็มีขีดจำกัดว่าพวกเขาจะได้รับความจริงมากน้อยเท่าใด และย่อมได้รับน้อยมาก  ความจริงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและล้ำลึกที่สุด เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น  ความจริงที่ผู้คนสามารถได้รับในชั่วชีวิตหนึ่งนั้นจำกัดมาก  ผู้คนจะไม่มีวันสามารถได้รับความจริงทั้งหมด เข้าใจความจริงได้หมด หรือดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างสมบูรณ์  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสว่าผู้คนจะเป็นเด็กอ่อนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์

บางคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ และเข้าใจความจริงทุกแง่มุมอย่างถ่องแท้ สามารถกระทำการตามความจริงได้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถแสดงความจริงได้  พวกเขาคิดว่าโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ไม่มีผิดว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” (ฟีลิปปี 1:21)  มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่คือการสนับสนุนข้อโต้แย้งเรื่อง “มนุษย์พระเจ้า” อีกแล้วมิใช่หรือ?  นี่ผิดอย่างแน่นอนที่สุด!  ผู้คนต้องเข้าใจสิ่งหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์และความรู้มากเพียงใดเกี่ยวกับความจริง หรือต่อให้เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า สามารถนบนอบพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะสูงส่งหรือลุ่มลึกเพียงใด ชีวิตของเจ้าก็ยังคงเป็นชีวิตมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้าได้  นี่คือข้อเท็จจริงเบ็ดเสร็จที่ผู้คนต้องเข้าใจ  ต่อให้ในท้ายที่สุดเจ้ามีประสบการณ์และความเข้าใจในทุกแง่มุมของความจริง และเจ้านบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและกลายเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม ก็ยังคงไม่สามารถพูดได้ว่าเจ้าอยู่ฝ่ายความจริง  ต่อให้เจ้าสามารถกล่าวคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ได้ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถแสดงความจริง  ในอดีตนั้น เป็นเรื่องปกติที่ภายในกลุ่มศาสนาจะกล่าวว่าคนเรามี “ชีวิตของพระคริสต์อยู่ภายใน”  นี่คือถ้อยแถลงที่ผิดและคลุมเครือ  แม้ว่าผู้คนจะไม่พูดเช่นนี้กันแล้ว แต่ความเข้าใจของพวกเขาในเรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน  บางคนคิดว่า “ในเมื่อพวกเราได้รับความจริงแล้วและความจริงก็อยู่ภายในตัวพวกเรา พวกเราย่อมครองความจริง และมีความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเรา และพวกเราก็สามารถแสดงความจริงได้เช่นกัน”  นี่ก็ผิดเหมือนกันมิใช่หรือ?  ผู้คนมักจะคุยกันว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงว่าพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่  ทุกคนผ่านประสบการณ์กับความจริง แต่สภาวะที่แต่ละคนมีประสบการณ์ด้วยนั้นแตกต่างกัน  สิ่งที่แต่ละคนได้รับจากความจริงก็แตกต่างเช่นกัน  หากเจ้านำประสบการณ์และความเข้าใจของทุกคนมารวมกัน ก็จะไม่สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของความจริงอย่างครบถ้วนอยู่ดี  นั่นคือระดับความลึกซึ้งและล้ำลึกของความจริง!  เหตุใดเราจึงพูดว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้รับมาและความเข้าใจทั้งหมดของเจ้าไม่สามารถแทนที่ความจริงได้?  หลังจากที่ผู้คนได้ฟังเจ้าสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความเข้าใจบางอย่างของเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมจะเข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าว และพวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์เป็นเวลานานเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่เจ้าสามัคคีธรรมอย่างถ่องแท้และได้ทั้งหมดนั้นไว้  ต่อให้นั่นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผ่านประสบการณ์นานหลายปี  แต่สำหรับความจริงแล้ว ผู้คนจะไม่ผ่านประสบการณ์กับความจริงทุกประการในชั่วชีวิตของพวกเขา  ต่อให้เจ้ารวมทุกคนเข้าด้วยกัน พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งมวล  อย่างที่เจ้ามองเห็นได้ ความจริงนั้นลึกซึ้งและล้ำลึกเกินไป  ถ้อยคำไม่สามารถอธิบายความจริงได้อย่างถี่ถ้วน  ความจริงที่แสดงออกมาเป็นภาษามนุษย์คือแก่นแท้ของมนุษย์อย่างแท้จริง  มนุษย์จะไม่มีวันสามารถผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งหมดได้ และไม่มีวันสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างครบถ้วน  นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนใช้เวลาหลายพันปี พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงประการหนึ่งอย่างครบถ้วน  ไม่ว่าผู้คนจะผ่านประสบการณ์มากี่ปี ความจริงที่พวกเขาเข้าใจและได้รับจะยังคงมีจำกัด  อาจกล่าวได้ว่าความจริงคือน้ำพุนิรันดร์แห่งชีวิตของมนุษยชาติ  พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลายก็เป็นกิจที่ไม่จบสิ้น

ความจริงคือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  หากเจ้ากล่าวว่าด้วยเหตุที่มีประสบการณ์และความรู้อยู่บ้าง เจ้าย่อมมีความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์แล้วกระนั้นหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงยังคงแสดงอวดความเสื่อมทราม?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า?  ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงอยู่บ้าง เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้หรือ?  เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  เจ้าอาจจะพอมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงแง่มุมหนึ่ง และคำพูดของเจ้าอาจให้ความกระจ่างได้บ้าง แต่สิ่งที่เจ้าสามารถจัดเตรียมให้ผู้คนนั้นมีจำกัดอย่างที่สุดและไม่สามารถคงอยู่ได้นาน  นี่เป็นเพราะความเข้าใจของเจ้าและความสว่างที่เจ้าได้มาไม่ใช่ตัวแทนแห่งแก่นแท้ของความจริง และไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริงทั้งมวล  นี่เป็นเพียงตัวแทนของด้านหนึ่งหรือแง่มุมเล็กๆ ของความจริง เป็นเพียงระดับหนึ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น และยังคงห่างไกลจากแก่นแท้ของความจริง  ความสว่าง ความรู้แจ้ง ประสบการณ์ และความรู้อันน้อยนิดนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงได้  ต่อให้ผู้คนทั้งหมดสัมฤทธิ์ผลบ้างแล้วผ่านทางการมีประสบการณ์กับความจริงอย่างหนึ่ง แล้วประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดของพวกเขาถูกนำมารวมกัน ก็ย่อมจะมีไม่ถึงทั้งหมดทั้งมวลและแก่นแท้ของความจริงนี้แม้เพียงบรรทัดเดียว  ได้มีการกล่าวไว้ในอดีตว่า “เราสรุปเรื่องนี้ด้วยคำกล่าวถึงโลกมนุษย์ว่า ในหมู่มนุษย์ ไม่มีผู้ใดรักเรา” ประโยคนี้คือความจริง เป็นแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต เป็นสิ่งลุ่มลึกที่สุดอย่างหนึ่ง และเป็นการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง  หลังจากมีประสบการณ์ได้สามปี เจ้าอาจมีความเข้าใจที่ผิวเผินอยู่บ้าง และหลังจากเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็อาจมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ความเข้าใจนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  หลังจากสองปี ผู้อื่นบางคนอาจมีความเข้าใจเล็กน้อย หรือมีความเข้าใจมากขึ้นบ้างหลังจากสิบปี หรือมีความเข้าใจที่ค่อนข้างสูงหลังจากชั่วชีวิตหนึ่ง แต่ความเข้าใจร่วมของพวกเจ้าทั้งคู่ไม่สามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  ไม่ว่าความคิดความเข้าใจเชิงลึก ความสว่าง ประสบการณ์ หรือความรู้ที่พวกเจ้าทั้งสองอาจมีร่วมกันแล้วจะมีมากเพียงใด ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้  กล่าวคือ ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ และไม่ว่าความรู้ของเจ้าจะสอดคล้องกับความจริง น้ำพระทัยของพระเจ้า หรือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเช่นไร ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงได้  การกล่าวว่าผู้คนมีความจริงหมายความว่าผู้คนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงบางส่วนแห่งพระวจนะของพระเจ้า รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงอยู่บ้าง และสามารถยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้  อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนครองความจริงอยู่แล้ว เพราะความจริงลุ่มลึกเกินไป  พระวจนะของพระเจ้าเพียงบรรทัดเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อที่จะมีประสบการณ์ด้วย และต่อให้มีประสบการณ์มาหลายชีวิตหรือหลายพันปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดเดียวได้อย่างสมบูรณ์  เป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนการของการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ และมีขีดจำกัดว่าผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้มากเพียงใดในประสบการณ์ชั่วชีวิตหนึ่ง  ผู้คนบางคนพูดว่าพวกเขามีความจริงทันทีที่พวกเขาเข้าใจความหมายตามข้อความในพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นเรื่องเหลวไหลมิใช่หรือ?  ทั้งในแง่ของความสว่างและความรู้ย่อมมีเรื่องของความลึกซึ้ง  ความเป็นจริงความจริงที่บุคคลสามารถเข้าสู่ในช่วงชีวิตหนึ่งของความเชื่อนั้นมีจำกัด  เพราะฉะนั้น เพียงเพราะเจ้าครองความรู้และความสว่างอยู่บ้างไม่ได้หมายความว่าเจ้าครองความเป็นจริงความจริง  เรื่องหลักที่เจ้าต้องพิจารณาก็คือว่าความสว่างและความรู้นี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้ของความจริงหรือไม่  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ผู้คนบางคนรู้สึกว่าพวกเขาครองความจริงเมื่อพวกเขาสามารถให้ความสว่างหรือให้ความเข้าใจที่ผิวเผินได้เล็กน้อย  นี่ทำให้พวกเขาเป็นสุข ดังนั้นพวกเขาจึงกระหยิ่มยิ้มย่องและหยิ่งทะนง  ในข้อเท็จจริงนั้นพวกเขายังคงห่างไกลจากการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ความจริงอันใดที่ผู้คนครอง?  ผู้คนที่ครองความจริงสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อและทุกที่หรือไม่?  เมื่อผู้คนครองความจริง พวกเขาจะยังคงสามารถเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าและทรยศพระเจ้าได้อย่างไร?  หากเจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าครองความจริง นั่นก็พิสูจน์ว่าภายในตัวเจ้ามีชีวิตของพระคริสต์—นั่นคือแย่มาก!  เจ้ากลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว เจ้ากลายเป็นพระคริสต์ไปแล้วกระนั้นหรือ?  นี่คือถ้อยแถลงที่ไร้สาระ และเป็นสิ่งที่ผู้คนอนุมานขึ้นมาทั้งสิ้น นี่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และฟังไม่ขึ้นสำหรับพระเจ้า

เมื่อพูดถึงการที่ผู้คนเข้าใจความจริง และดำรงชีวิตอยู่กับความจริงดั่งเป็นชีวิตของตน “ชีวิต” ในที่นี้อ้างอิงถึงสิ่งใด?  นี่หมายความว่าความจริงเป็นใหญ่ที่สุดในหัวใจของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และหมายความว่าพวกเขามีความรู้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และมีความเข้าใจจริงแท้ประการหนึ่งเกี่ยวกับความจริง  เมื่อผู้คนครองชีวิตใหม่นี้ภายในตัวพวกเขา นี่ย่อมสัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะ  สร้างขึ้นบนรากฐานของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  และบรรลุได้ด้วยการที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรแห่งความจริง ทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของผู้คนคือการได้รู้จักและมีประสบการณ์กับความจริง  นั่นคือรากฐานของชีวิต และไม่ออกนอกวงเขตนั้น นี่เองคือชีวิตที่กำลังถูกอ้างอิงถึงเมื่อพูดถึงการได้รับความจริงและชีวิต  การที่สามารถดำรงชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่ามีชีวิตของความจริงอยู่ในตัวผู้คน และไม่ได้หมายความว่าหากพวกเขาครองความจริงประดุจชีวิตของตนแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นความจริง และชีวิตภายในของพวกเขาจะกลายเป็นชีวิตของความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาคือชีวิตและความจริง  ในท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของพวกเขายังคงเป็นชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง  หากเจ้าดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และครองความรู้เกี่ยวกับความจริง หากความรู้นี้หยั่งรากภายในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และความจริงที่เจ้าได้รับผ่านทางประสบการณ์ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า หากเจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ย่อมจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และซาตานก็ไม่สามารถหลอกลวงหรือทำให้เจ้าเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมได้รับความจริงและชีวิตแล้ว ซึ่งหมายถึงความเข้าใจ ประสบการณ์ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้ามีเกี่ยวกับความจริง และไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ออกนอกวงเขตของสิ่งเหล่านี้  นี่คือความหมายของการครองความเป็นจริงความจริง และผู้คนเช่นนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะได้มาด้วยพระราชกิจของพระองค์  แต่ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจความจริงดีเพียงใด แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติ และไม่อาจเปรียบเทียบได้กับแก่นแท้ของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  นี่เป็นเพราะประสบการณ์ที่พวกเขามีกับความจริงนั้นดำเนินอยู่ตลอดกาล และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้ชีวิตตามความจริงโดยบริบูรณ์ พวกเขาเพียงสามารถใช้ชีวิตไปตามเศษเสี้ยวอันจำกัดสุดขั้วของความจริงที่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์เท่านั้น  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถกลายเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?  หากพระเจ้าพระองค์เองทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อมโดยแยกออกเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าและพระเจ้าที่ด้อยกว่า นั่นจะไม่กลายเป็นความอลหม่านหรอกหรือ?  นอกจากนี้ เรื่องเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้และไร้สาระ—เป็นแนวคิดที่น่าหัวร่อของมนุษย์  พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และจากนั้นพระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้มนุษย์เชื่อฟังและนมัสการพระองค์  การสร้างมนุษย์ของพระเจ้าคือกิจการที่มีความหมายที่สุด  พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เท่านั้น  พระองค์ไม่ได้สร้างพระเจ้าทั้งหลาย  พระเจ้าทรงพระราชกิจในรูปแบบของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่นี่กับการสร้างพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน  พระเจ้าไม่ได้สร้างพระองค์เองขึ้นมา พระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระองค์เอง และนี่ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้  ผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาแสวงหาความจริงบ่อยๆ เท่านั้น  ผู้คนไม่ควรพูดเรื่องเหลวไหลตามจินตนาการของตน  หากเจ้ามีประสบการณ์นิดหน่อยกับพระวจนะของพระเจ้า และกำลังดำรงชีวิตตามประสบการณ์และความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าจะค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเจ้า  อย่างไรก็ดี เจ้าก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า หรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังแสดงออกนั้นเป็นความจริง หากเช่นนี้คือข้อคิดเห็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ผิดเสียแล้ว  หากเจ้าเพียงมีประสบการณ์กับแง่มุมหนึ่งของความจริงโดยเฉพาะ สิ่งนี้ในตัวเองแล้วสามารถแสดงว่าเจ้าครองความจริงได้หรือไม่?  นี่สามารถถือว่าเป็นการได้รับความจริงหรือไม่?  เจ้าสามารถอธิบายความจริงได้อย่างทั่วถึงหรือไม่?  เจ้าสามารถค้นพบพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น จากความจริงได้หรือไม่?  หากไม่มีการสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ นี่ก็พิสูจน์ว่าการมีประสบการณ์กับความจริงเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถถือได้ว่าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง หรือรู้จักพระเจ้า ยิ่งไม่สามารถพูดได้ว่าได้รับความจริงแล้ว  ทุกคนมีประสบการณ์กับเพียงหนึ่งแง่มุมและวงเขตของความจริงเท่านั้น  พวกเขาผ่านประสบการณ์กับความจริงภายในวงเขตอันจำกัดของตน และไม่สามารถไปสัมผัสทุกแง่มุมที่นับไม่ถ้วนของความจริงได้  ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามความหมายดั้งเดิมของความจริงได้หรือไม่?  ประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ของเจ้านับรวมได้เป็นจำนวนมากเพียงใด?  ทรายเพียงเม็ดเดียวบนชายหาด น้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทร  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความรู้และความรู้สึกที่เจ้าได้รับจากประสบการณ์ของเจ้านั้นจะล้ำค่าเพียงใด ก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นความจริง  สามารถพูดได้เพียงว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริงเท่านั้น  ความจริงมาจากพระเจ้า แล้วความหมายเชิงลึกและความเป็นจริงของความจริงก็ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างมาก และไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกถึงหรือหักล้างได้  ตราบใดที่เจ้ามีความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับความจริงและพระเจ้า เจ้าก็จะเข้าใจความจริงบางประการ จะไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างความเข้าใจที่เป็นจริงเหล่านี้ได้ และคำพยานที่บรรจุความเป็นจริงความจริงไว้ย่อมจะเชื่อถือได้ตลอดไป  พระเจ้าทรงสรรเสริญผู้ที่ครองความเป็นจริงความจริง  ตราบใดที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และสามารถยอมรับความจริงว่าเป็นชีวิตของเจ้าได้ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ตราบนั้นเจ้าก็จะมีเส้นทาง สามารถอยู่รอด และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ถึงแม้ว่าสิ่งน้อยนิดที่ผู้คนได้รับจะสอดคล้องกับความจริง ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่านี่คือความจริง ยิ่งไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับความจริงแล้ว  ความสว่างน้อยนิดที่ผู้คนได้รับมานั้นเพียงเหมาะสมกับตัวพวกเขาเองหรือผู้อื่นบ้างภายในวงเขตหนึ่งๆ เท่านั้น  แต่จะไม่เหมาะสมภายในวงเขตที่ต่างออกไป  ไม่สำคัญว่าประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งลุ่มลึกเพียงใด ประสบการณ์นั้นก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่มาก และประสบการณ์ของพวกเขาย่อมจะไม่มีวันลึกซึ้งเท่าความจริง  ความสว่างของบุคคลหนึ่งและความเข้าใจของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับความจริงได้เลย

เมื่อผู้คนพอจะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบ้าง เข้าใจความจริงบางอย่างและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าสักหน่อย เมื่อพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง และอุปนิสัยของพวกเขาก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงสักนิดและได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว ก็ยังคงพูดได้แต่เพียงว่าพวกเขาคือคนคนหนึ่งและเป็นมนุษย์ทรงสร้าง แต่แน่นอนว่านี่คือคนปกติอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้  ดังนั้นตัวเจ้าเป็นคนประเภทใด?  บางคนบอกว่า “ฉันเป็นคนที่มีความจริง”  การพูดเช่นนี้ย่อมจะไม่เหมาะ  เจ้าพูดได้แต่เพียงว่า “ฉันคือคนที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้ามาแล้ว  ในที่สุดฉันก็เข้าใจความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ได้รับการชำระให้สะอาด  ฉันเป็นเพียงคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด”  หากเจ้าจะพูดว่า “ฉันคือคนที่มีความจริง  ฉันได้ผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดและเข้าใจพระวจนะทุกคำ  ฉันรู้ความหมายของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส รวมทั้งบริบทและรูปการณ์แวดล้อมที่มีการตรัสพระวจนะเหล่านั้น  ฉันรู้ทั้งหมด  นี่หมายความว่าฉันมีความจริงไม่ใช่หรือ?” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะผิดอีกครั้ง  การมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามาบ้างและได้รับความสว่างจากพระวจนะอยู่บ้าง ไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นคนที่มีความจริง  ผู้ที่แค่สามารถเข้าใจและหารือถึงคำสอนบางอย่างได้ก็ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวอ้างเช่นนั้น  ผู้คนต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าคนคนหนึ่งควรมีฐานะใดต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้าความจริง ผู้คนคืออะไร ชีวิตในตัวมนุษย์คืออะไร และชีวิตของพระเจ้าคืออะไร  ผู้คนต้องเข้าใจว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร  หลังจากผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาไม่กี่วัน พอจะเข้าใจถ้อยคำและวลีในคำสอนบ้างแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าพวกเขามีความจริง  นี่คือผู้คนที่โอหังที่สุด และพวกเขาไร้ซึ่งเหตุผล  มีความจำเป็นที่จะต้องชำแหละเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจตนเองและมารู้จักมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจได้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคืออะไร หลังจากที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้ถึงระดับใด และอะไรคือวิธีที่เหมาะสมในการจัดการแก้ไขและตั้งชื่อให้กับสิ่งเหล่านี้  ผู้คนควรรู้จักสิ่งเหล่านี้และไม่ควรหลงระเริงไปกับแนวคิดเพ้อฝันทั้งหลาย  เป็นการดีกว่าที่ผู้คนจะมีวิธีวางตัวที่อยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ในหนทางนั้นพวกเขาย่อมจะมั่นคงมากขึ้นอีกนิด  คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตนเองเสมอและปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามชีวิตและภาพลักษณ์ของพระเจ้าตลอดเวลา  นี่อยู่กับความเป็นจริงหรือไม่?  ผู้คนอยากจะมีชีวิตอย่างพระเจ้าเสมอ—นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมิใช่หรือ?  นี่คือความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของมนุษย์ และเหมือนกับความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของซาตานไม่มีผิด  หลังจากทำงานในคริสตจักรมาระยะหนึ่ง บางคนก็เริ่มครุ่นคิดว่า “หลังจากที่พญานาคใหญ่สีแดงร่วงจากอำนาจ พวกเราควรจะเป็นกษัตริย์และใช้อำนาจหรือไม่?  พวกเราควรควบคุมเมืองใหญ่กันคนละกี่เมือง?”  หากคนคนหนึ่งสามารถพรั่งพรูเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ นั่นก็เลวร้ายยิ่ง  ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมชอบพูดคุยถึงคำสอนและหลงระเริงอยู่กับเรื่องเพ้อฝัน  และขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกฉลาด ราวกับว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า ราวกับว่าพวกเขากำลังดำรงชีวิตเป็นพระคริสต์และพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดคือสาวกของเปาโล และพวกเขาก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล  หากพวกเขาดึงดันไม่ยอมกลับใจ ผู้คนทั้งหมดนี้ย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และทุกข์ทนกับการลงโทษที่ร้ายแรง

บทตัดตอน 6

ในยุคสุดท้าย พระผู้สร้างได้ดำรัสพระวจนะทั้งหมดนี้และทรงเปิดโปงผู้คนทุกประเภทให้เป็นที่ประจักษ์  ในยามนี้ ผู้คนทุกประเภทได้เผชิญกับความจริง หนทางที่แท้จริง และพระดำรัสของพระผู้สร้าง และสรรพเสียงและทัศนะทุกชนิดก็ถูกเปิดเผย ซึ่งบางความคิดและบางทัศนะก็เอนเอียงไปทางพวกไร้สาระ บ้างก็เอนเอียงไปทางคนที่โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  บ้างก็หัวโบราณ ยึดติดกับวัฒนธรรมตามประเพณี และเน่าเฟะ หลายคนก็โง่เขลาและไม่รู้เรื่องรู้ราว  นอกจากนั้นยังถึงกับมีบางคนที่เกลียดและตั้งตนเป็นอริกับความจริง ไล่กัดคนอื่นราวกับสุนัขบ้า  ทั้งยังตัดสินและกล่าวโทษความจริง รวมถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกอย่างไม่สนใจใยดีและไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนอีกด้วย  พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษอย่างมัวเมาสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวกและการแสดงความจริง และไม่พยายามที่จะแยกแยะว่าสิ่งนั้นถูกต้องหรือผิด หรือสิ่งนั้นมีความจริงอยู่หรือไม่  คนพวกนี้เป็นดั่งเช่นพวกสัตว์และพวกมาร  เมื่อเหล่ามนุษย์เผชิญหน้ากับความจริงและหนทางที่แท้จริง พวกเขาจะมีทัศนะแตกต่างกันมากมายซึ่งจะเปิดเผยและเปิดโปงความอัปลักษณเยี่ยงซาตานของพวกเขาที่ใจแคบ ดื้อดึง แข็งข้อ และโอหัง  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณและขยายความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของตนเองจากการนี้โดยแสวงหาความจริงบางอย่างไปพลางเช่นกัน  หากสิ่งเหล่านี้แสดงออกมาให้เห็นในพวกที่ไม่เชื่อ และคนที่ยังไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย แล้วพวกเจ้าก็แสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นเสียเองหรือไม่?  บางครั้งหนทางที่พวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นนั้นแตกต่างกันออกไป และหนทางที่พวกเจ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน แต่อันที่จริงแล้วพวกเจ้าก็แสดงอุปนิสัยแบบเดียวกับที่ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นแสดงออกมา  นั่นคล้ายกับเวลาที่บางคนยอมรับองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาก็เชื่อว่าทุกคนภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้านั้นด้อยกว่า  พวกเขาเชื่ออย่างนั้นเพราะพวกเขาได้ยอมรับความรอดแห่งกางเขนขององค์พระเยซูเจ้าแล้ว พวกเขาจึงเป็นบุคคลที่เหนือกว่า และพวกเขาก็ดูถูกทุกคน  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใดหรือ?  พวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก พวกเขาใจแคบเกินไป และพวกเขาก็โอหังอย่างสุดขั้วและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังแสดงอุปนิสัยเสื่อมทราม แต่พวกเขากลับไม่เห็นเลยว่าตนเองก็กำลังแสดงอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบเดียวกันอยู่  ดังนั้นพวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เห็นหรือไม่?  พวกเจ้าทำแน่นอน เพราะอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนนั้นล้วนเหมือนกันไม่มีผิด และนั่นเป็นเพียงเพราะพระราชกิจและความรอดของพระเจ้า ความจำเป็นแห่งพระราชกิจของพระองค์ หรือการที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าบุคคลทุกประเภทมีแก่นแท้ธรรมชาติ การไล่ตามเสาะหา และความโหยหาที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง  บางคนไม่มีหัวใจหรือวิญญาณ  พวกเขาจึงเป็นดั่งคนตายและสัตว์ร้ายที่ไม่เข้าใจความเชื่อ  ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกต่ำช้าที่สุดในมวลมนุษย์ทั้งปวงและไม่สามารถนับเป็นมนุษย์ได้เลย  บรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าย่อมมีความเข้าใจในความจริงที่มากกว่า ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจในพระเจ้าของพวกเขาก็ดีกว่า ทฤษฎีและทัศนะของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า  ก็เหมือนกับการที่บรรดาผู้ที่เชื่อในศาสนาคริสต์มีความเข้าใจในพระเจ้าและความรู้เกี่ยวกับการทรงสร้างและพระราชกิจของพระผู้สร้างมากกว่าพวกผู้เชื่อในพระยาห์เวห์แบบยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ บรรดาผู้ที่ยอมรับช่วงระยะที่สามของพระราชกิจย่อมมีความเข้าใจในพระเจ้ามากกว่าพวกผู้เชื่อในศาสนาคริสต์  เนื่องจากแต่ละช่วงระยะในพระราชกิจของพระเจ้านั้นสูงส่งกว่าช่วงระยะสุดท้าย แน่นอนว่านั่นจึงตามด้วยการที่ความเข้าใจของผู้คนก็กลายเป็นมากขึ้นทุกทีอย่างแน่นอนเช่นกัน  แต่หากเจ้ามองการนี้ในอีกหนทางหนึ่ง แก่นแท้ของอุปนิสัยเสื่อมทรามที่พวกเจ้าแสดงออกมาให้เห็นหลังจากที่เจ้ายอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจก็เป็นแบบเดียวกับแก่นแท้ในอุปนิสัยเสื่อมทรามที่พวกคนในศาสนาแสดงออกมาให้เห็นนั่นเอง  ความแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือว่าพวกเจ้าได้ยอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแล้ว ได้ฟังบทเทศน์ไปมากมายแล้ว ได้เข้าใจความจริงมากมายแล้ว ได้รับความเข้าใจในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว และได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริงบ้างแล้วโดยการยอมรับและปฏิบัติความจริง  ดังนั้นเมื่อพวกเจ้ามองพฤติกรรมที่พวกคนในศาสนาแสดงออกมาอีกครั้ง พวกเจ้าจึงคิดว่าพวกเขาเสื่อมทรามกว่าพวกเจ้า  แต่ในข้อเท็จจริง หากพวกเจ้าถูกจับไปวางข้างกับพวกเขา พวกเจ้าก็จะเห็นว่าท่าทีของผู้คนที่มีต่อพระเจ้าและความจริงนั้นเหมือนกัน  พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่กระทำไปตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความชอบส่วนตัวของพวกเจ้าเองทั้งสิ้น และอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเจ้าก็เหมือนกัน  หากพวกเขาได้ยอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ ได้ฟังบทเทศน์เหล่านี้ และได้เข้าใจความจริงเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว พวกเขาก็คงไม่ต่างไปจากพวกเจ้าเท่าไร  พวกเจ้ามองเห็นอะไรได้จากเรื่องนี้หรือ?  พวกเจ้ามองเห็นได้ว่าความจริงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของผู้คน ว่าพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและ บทเทศน์เหล่านี้ที่พระองค์ทรงประกาศนั้นคือความรอดสำหรับมนุษยชนทั้งปวง และเป็นสิ่งที่มนุษยชนทั้งปวงจำเป็นต้องมี  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หมายเพียงสนองความพึงพอใจให้ผู้คนเฉพาะกลุ่มหนึ่ง เฉพาะชาติพันธุ์หนึ่ง เฉพาะหมวดหมู่หนึ่ง หรือเฉพาะสีผิวหนึ่งเท่านั้น  มนุษยชนทั้งปวงได้ถูกทำให้เสื่อมทรามโดยซาตานและมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอยู่ก่อนแล้ว  ในแง่ของแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นไม่มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่เลย ก็แค่ว่าพวกเขาเติบโตมาในสีผิว ชาติพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมกับระบบทางสังคมที่ไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในด้านวัฒนธรรมตามประเพณีของพวกเขา ภูมิหลัง และการศึกษาที่พวกเขาได้รับ  แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก—มนุษยชนทั้งปวงได้ถูกทำให้เสื่อมทรามด้วยฝีมือของซาตานตนเดียว และแก่นแท้ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เป็นแบบเดียวกัน  เพราะฉะนั้น พระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจนี้ที่พระองค์ทรงทำไม่ใช่มุ่งเป้าไปที่ผู้คนเฉพาะจากชาติพันธุ์ใดหรือประเทศใดเท่านั้น แต่มุ่งเป้าไปที่มนุษยชนทั้งปวงเสียมากกว่า  แม้ในยามที่มีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรมและภูมิหลังทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน หรือความแตกต่างในด้านการศึกษาที่พวกเขาได้รับมาก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้า อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกันไม่มีผิด  ดังนั้น แม้ช่วงระยะหนึ่งแห่งพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นลงในที่แห่งหนึ่ง แต่ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกแห่งหนและใช้ได้กับมนุษยชนทั้งปวง กล่าวคือการนั้นสามารถช่วยมนุษยชนทั้งปวงให้รอดและจัดเตรียมให้กับพวกเขาได้นั่นเอง  บางคนพูดว่า “ชาวยุโรปและผู้คนจากประเทศอื่นไม่ใช่พงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง ดังนั้นที่พระเจ้าตรัสว่ามนุษยชนทั้งปวงช่างเสื่อมทรามดิ่งลึกนั้นย่อมไม่เหมาะสมไม่ใช่หรือ?”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง  มนุษยชนทั้งปวงมีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกันจากการถูกทำให้เสื่อมทรามไปแล้วโดยซาตาน)  นั่นถูกต้อง—“พงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง” เป็นเพียงชื่อหนึ่งสำหรับผู้คนชาติพันธุ์เดียว ไม่ใช่หมายความว่าผู้คนที่มีชื่อนี้กับผู้คนที่ไม่มีชื่อนี้มีแก่นแท้ที่ต่างกัน ในข้อเท็จจริงแล้ว แก่นแท้ของพวกเขายังคงเหมือนกัน  มนุษยชนทั้งปวงนั้นตกอยู่ภายใต้อุ้งมือของคนชั่ว พวกเขาทุกคนล้วนแต่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว และแก่นแท้ธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกันไม่มีผิด  ในยามนี้ เมื่อชาวจีนได้ยินพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัส พวกเขาก็กบฏและขัดขืน เพราะพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน สิ่งเหล่านี้เองคือสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็น  เมื่อพระวจนะเหล่านี้ถูกพูดซ้ำไปถึงผู้คนในอีกชาติพันธุ์ พวกเขาก็แสดงความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความเป็นกบฏ ความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และแม้กระทั่งการขัดขืนออกมาเช่นกัน—นั่นคือสิ่งเดียวกันไม่มีผิด  มนุษยชนทั้งปวง ไม่ว่าชาติพันธุ์และภูมิหลังทางวัฒนธรรมเป็นอย่างไร ต่างก็ไม่แสดงออกมาให้เห็นซึ่งสิ่งอื่นใดนอกจากพฤติธรรมของเหล่ามนุษย์ผู้เสื่อมทรามที่พระเจ้าทรงเปิดโปง

อุปนิสัยเสื่อมทรามเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษยชนทั้งปวง พวกเขาทุกคนเป็นเหมือนกัน มีความคล้ายคลึงมากกว่าความแตกต่าง รวมถึงไม่มีข้อแตกต่างเด่นชัดที่เห็นได้ชัดเจน  พระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไม่เพียงช่วยชาติพันธุ์เดียว ประเทศเดียว หรือผู้คนกลุ่มเดียวรอดให้เท่านั้น—พระเจ้าทรงช่วยมนุษยชนทั้งปวงให้รอด  เรื่องนี้แสดงให้พวกเจ้าเห็นสิ่งใด?  มีใครในเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้างที่ไม่เคยก้าวผ่านกับการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน และมาจากหมวดหมู่หรือชนชั้นของผู้คนที่แตกต่างออกไป?  มีใครบ้างที่ไม่ใช่วัตถุแห่งอธิปไตยของพระเจ้า (ไม่มี)  ความหมายของคำเหล่านี้ที่เราพูดคืออะไร?  พระเจ้าทรงปกครองมนุษยชนทั้งปวง และมนุษยชนทั้งปวงก็ถูกสร้างโดยพระเจ้าพระองค์เดียว  ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ใด เป็นมนุษย์ชนิดใด หรือมีสมรรถภาพเพียงไร พวกเขาทุกคนต่างก็ถูกสร้างโดยพระเจ้าเหมือนกันทั้งสิ้น  ในสายตามนุษย์ บางคนแตกต่างจากคนอื่นและเหนือกว่า แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกคนเหมือนกันหมด  มนุษย์ทุกคนเหมือนกันในสายพระเนตรของพระเจ้า  พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้จากที่ไหนหรือ?  ความแตกต่างของสีผิวและภาษาเป็นเพียงการปรากฏภายนอก แต่อุปนิสัยเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนนั้นเหมือนกัน นี่คือความจริงของเรื่องนี้  เมื่อเผชิญกับมนุษย์คนใดก็ตามที่มีอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน พระวจนะของพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้  พระวจนะของพระเจ้ามุ่งเป้าไปยังอุปนิสัยเสื่อมทรามของผู้คนและสามารถแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชนทั้งปวงได้  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทุกพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง ว่าพระวจนะสามารถจัดเตรียมให้มนุษยชน ชำระมนุษยชนให้สะอาด และช่วยมนุษยชนให้รอด นี่มิอาจปฏิเสธได้  ในยามนี้ พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้ายได้แพร่กระจายไปทั่วทุกประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วโลกแล้ว—นี่คือข้อเท็จจริง!  และที่ผ่านมาปฏิกิริยาของมนุษย์เป็นอย่างไร?  (มีปฏิกิริยามาแล้วทุกชนิด)  และปฏิกิริยาทุกชนิดนี้บ่งชี้หรือสะท้อนอะไรเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์  ปฏิกิริยาเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเหมือนกัน ปฏิกิริยาของพวกเขาเหมือนกับปฏิกิริยาของพวกฟาริสีและพวกยิวเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขาจงเกลียดจงชังความจริง เต็มไปด้วยความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และความเชื่อของพวกเขาที่มีต่อพระองค์ยังปรากฏอยู่ภายใต้ความคิดฝันที่ลวงตาและมโนคติอันหลงผิด  มนุษยชนทั้งปวงไม่รู้จักพระเจ้าและขัดขืนพระองค์  ทันทีที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ปฏิกิริยาแรกของพวกเขา หรือสิ่งที่อยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาซึ่งแสดงออกมาโดยธรรมชาติ ก็คือการขัดขืนและตั้งตนเป็นอริกับพระเจ้า นี่คือบางสิ่งที่พวกเขาทุกคนมีร่วมกัน  ทุกเสียงและทุกทัศนะในเชิงลบของพวกเขายามที่เผชิญกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นเกิดจากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษยชนอันเสื่อมทราม และเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มนี้  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเป็นแบบเดียวกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าที่เหล่าหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมีเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จถึงที่นั่น พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  พวกคนในศาสนาได้แบกกางเขนมานานถึงสองพันปี แต่พวกเขากลับยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  เมื่อผู้คนไม่เคยได้รับความจริง นี่จึงเป็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาแสดงออกมาโดยธรรมชาติซึ่งเกิดจากตัวของพวกเขาเองมาแต่กำเนิด และนี่คือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า  ดังนั้น หากบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้าแต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาแก้ไขได้หรือไม่? (ไม่ได้)  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานเท่าไร พวกเขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนได้เลยหากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อสองพันปีที่แล้ว พวกฟาริสีได้ขัดขืนและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างเกรี้ยวกราด แล้วได้ตอกตรึงพระองค์ติดกับกางเขน  ในยามนี้ เหล่าศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส ปิตาจารย์ และมุขนายกในโลกศาสนาเองก็ยังคงขัดขืนและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างเกรี้ยวกราดเหมือนอย่างที่พวกฟาริสีเคยทำ  หากคนคนหนึ่งต้องไปอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นและต้องเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คนคนนั้นก็อาจถูกจับตัวและทำร้ายจนเสียชีวิตได้ และหากพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ต้องเสด็จยังสถานที่นมัสการของศาสนาหลักแต่ละศาสนาเพื่อทรงประกาศ พวกเขาก็คงยังตอกตรึงพระองค์เข้ากับกางเขนหรือไม่ก็ส่งต่อพระองค์ให้พวกคนที่มีอำนาจอย่างแน่นอน  พวกเขาคงไม่ยอมใจดีกับพระองค์อย่างแน่นอน เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของเหล่ามนุษย์ผู้เสื่อมทรามนั้นเหมือนกันทั้งหมด  พวกเจ้ามีปฏิกิริยาอะไรอยู่ข้างในหรือเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้?  พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่กลับไม่เคยแสวงหาความจริงเลยแม้แต่น้อยค่อนข้างน่ากลัวหรือไม่?  (ค่อนข้าง) นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน!  การถือพระคัมภีร์และกางเขน การพึ่งพาธรรมบัญญัติ การสวมเสื้อผ้าของพวกฟาริสีหรือเสื้อคลุมของพวกปุโรหิต และการขัดขืนและกล่าวโทษพระเจ้าในวิหารอย่างโจ่งแจ้ง—ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่พวกผู้เชื่อในพระเจ้าทำตอนกลางวันแสกๆ หรอกหรือ?  ผู้ที่กล่าวโทษและขัดขืนพระเจ้านั้นอยู่ที่ไหน  คนเราไม่จำเป็นต้องคิดไปไกล  ใครก็ตามท่ามกลางผู้เชื่อของพระเจ้าที่ไม่ยอมรับความจริงและเหนื่อยหน่ายกับความจริงถือเป็นผู้ขัดขืนพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง และเป็นฟาริสีคนหนึ่งนั่นเอง

หากผู้คนไม่ไขว่คว้าหาความจริงและไม่สามารถได้รับความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันได้รู้จักพระเจ้า  เมื่อผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาก็จะยังคงเป็นอริกับพระองค์เสมอ และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเข้ากันได้กับพระองค์  ไม่ว่าจากมุมของตนเองนั้น หัวใจของเจ้าอยากที่จะรักพระเจ้าและไม่ปรารถนาที่จะขัดขืนพระองค์มากเท่าไร นั่นก็เปล่าประโยชน์  เปล่าประโยชน์ที่จะมีเพียงความอยาก หรือต้องการหักห้ามใจตนเอง เพราะนี่คือเรื่องที่เป็นไปโดยควบคุมไม่ได้ซึ่งถูกกำหนดโดยธรรมชาติของผู้คน  ดังนั้นเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาเพื่อเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีความจริง ไล่ตามเสาะหาการปฏิบัติความจริง ปลดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย และสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้า นี่คือเส้นทางที่ถูก  พวกเจ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่าส่วนที่สำคัญที่สุดของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าต้องจับความเข้าใจว่าความสัมพันธ์กับชีวิตจริงในแง่มุมใดบ้างที่พวกเจ้าควรเริ่มต้นเมื่อกำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นเดียวกับการจับความเข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำ วิธีเข้าหาหน้าที่ของพวกเจ้า วิธีเข้าถึงบุคคลทุกชนิดรอบตัวพวกเจ้า วิธีเข้าหาเรื่องทั้งหลายและสิ่งทั้งหลายในทุกประเภท ทัศนะใดที่พวกเจ้าควรนำมาปรับใช้ขณะกำลังเข้าหาสิ่งเหล่านี้ และการเข้าถึงแบบไหนที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงทั้งหลาย  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงหรือไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และเพียงแต่สามารถติดตามกฎเกณฑ์และให้นิยามสิ่งทั้งหลายไปตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น รวมถึงไปตามหลักตรรกะ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝัน เช่นนั้นแล้วหนทางในการปฏิบัติของเจ้าก็ผิด และแค่พิสูจน์ว่าในการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานปีนั้น เจ้าเพียงแต่ติดตามกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวอักษร แต่กลับไม่ได้เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริงอยู่เลย  การติดตามกฎเกณฑ์และการดำรงชีวิตไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันนั้นเป็นเรื่องที่น่าอ่อนระโหยและลำบากตรากตรำสำหรับเจ้า แต่ทั้งหมดกลับเป็นความพยายามที่สูญเปล่า และพระเจ้าก็จะไม่ทรงให้คำชื่นชมแก่เจ้าแม้กระผีก ก็สมน้ำหน้าแล้วที่เจ้าต้องอ่อนระโหยเช่นนี้!  หากเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและการจับใจความที่ผ่องแผ้วในยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเทศน์ทั้งหลายและสามัคคีธรรม จากนั้นยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์มากเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจและได้รับมากเท่านั้น และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจก็จะเป็นจริงและสอดคล้องกับความจริงทุกประการ  แล้วก็เจ้าจะได้รับความจริงและชีวิต  หากสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับและได้เข้าใจหลังจากเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปียังคงเป็นเรื่องคำสอนและกฎเกณฑ์ ยังคงเป็นเรื่องมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน และเป็นกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่ผูกมัดตัวเจ้าเอาไว้ เช่นนั้นเจ้าก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียแล้ว  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่เคยได้รับความจริงเลย และไม่มีชีวิต  ไม่ว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปี และไม่ว่าเจ้าสามารถประกาศพระวจนะหรือคำสอนได้กี่คำ เจ้าก็ยังคงเป็นบุคคลหนึ่งที่ไร้สาระและสมองสับสนอยู่อย่างนั้น  แม้การพูดเช่นนั้นอาจฟังดูไม่ดี แต่นั่นคือข้อเท็จจริง  มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่เห็นว่าความจริงและพระคริสต์ทรงเป็นผู้ถือครองอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า และว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปกครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความเข้าใจในเรื่องใดเลย และดีพอกันกับตาบอด  บางคนเห็นพระเจ้าทรงตัดสินและตีสอนผู้คน ทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งครบบริบูรณ์ แต่กลับทรงขับคนอื่นออกไปมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยในความรักของพระเจ้าหรือแม้แต่ความชอบธรรมของพระองค์  ผู้คนแบบนี้มีความสามารถในการจับใจความหรือไม่?  พวกเขามีความเข้าใจบ้างหรือไม่?  นั่นก็เป็นธรรมแล้วที่พูดว่าพวกเขาเป็นผู้คนไร้สาระที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย  คนไร้สาระมองสิ่งทั้งหลายในมุมที่วิปริตเสมอ มีเพียงบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถมีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องแม่นยำและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง

บทตัดตอน 8

ธรรมชาติของปัญหาเรื่องการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้าและดัดแปลงแก้ไขสิ่งที่พระองค์ดำรัส นี่ก็เท่ากับการต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ร้ายแรงที่สุด  มีเพียงคนเหล่านั้นที่เป็นพวกของซาตานที่สามารถประพฤติชั่วเช่นนี้ได้ และพวกเขาก็เป็นเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์  หัวหน้าทูตสวรรค์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสามารถสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลาย—ข้าพระองค์ก็สามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน  พระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์ ข้าพระองค์ก็จะทำเช่นเดียวกัน  พระองค์ทรงปกครองทุกชนชาติ ข้าพระองค์ก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลายและข้าพระองค์บริหารจัดการพวกเขา!”  นี่คือความโอหังของหัวหน้าทูตสวรรค์ โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น  ธรรมชาติของการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับธรรมชาติของหัวหน้าทูตสวรรค์ หมายความว่านั่นเป็นการสำแดงถึงการต่อต้านพระเจ้าและการหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยตรง  ผู้คนที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าคือพวกที่ต่อต้านพระองค์มากที่สุด และพวกเขายังล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์โดยตรง  พระเจ้าไม่ทรงเกลียดผู้ใดมากไปกว่าพวกที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระองค์  สามารถกล่าวได้ว่าการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นบาปที่อภัยให้ไม่ได้  นอกจากผู้คนที่ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีก นั่นคือเมื่อผู้คนกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดการเตรียมงานทั้งหลายโดยไม่สนใจสิ่งใด แล้วส่งต่อไปยังคริสตจักรเพื่อชักพาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  นี่ยังเป็นการสำแดงถึงการต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และเป็นบางสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วย  บางคนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย  พวกเขาเชื่อว่าการจัดการเตรียมงานถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ มาจากมนุษย์ และเมื่อใดก็ตามที่การจัดการเตรียมงานทั้งหลายไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงตามที่ตนเองต้องการ  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นการละเมิดกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าข้อใด?  (7. “ในงานและเรื่องราวทั้งหลายของคริสตจักร นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว จงปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหลายของมนุษย์ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในทุกสิ่ง  แม้แต่การละเมิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้  จงเด็ดขาดในการปฏิบัติตามของเจ้า และจงอย่าวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ถูกหรือผิดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า  เจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองกังวลอยู่กับการเชื่อฟังอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง))  สิ่งทั้งหลายที่ละเมิดกฤษฎีกาบริหารคือสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พวกเจ้ายังมองไม่กระจ่างอีกหรือ?  บางคนมีท่าทีไม่เคารพอย่างยิ่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน  พวกเขาเชื่อว่า “เบื้องบนทรงทำการจัดการเตรียมงานทั้งหลายและพวกเราทำงานในคริสตจักร  พระวจนะและกิจธุระบางอย่างสามารถนำไปใช้อย่างยืดหยุ่นได้  เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพวกเราโดยเฉพาะว่าจะดำเนินการอย่างไร  เบื้องบนเพียงตรัสและทรงจัดการเตรียมการงานทั้งหลาย พวกเราคือผู้ลงมือกระทำการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ดังนั้นหลังจากเบื้องบนทรงมอบหมายงานให้กับพวกเราแล้ว พวกเราก็สามารถทำงานนั้นได้อย่างที่ต้องการ  ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรงานนั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว  ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงทั้งนั้น”  หลักธรรมที่พวกเขาปฏิบัติตามมีดังนี้ พวกเขารับฟังสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง และเพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าผิด พวกเขาถือว่าความเชื่อของตนเป็นความจริงและเป็นหลักธรรม พวกเขาแข็งขืนต่อสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอย่างยิ่งในเรื่องของสิ่งเหล่านั้น  เมื่อพระวจนะของเบื้องบนไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลงพระวจนะนั้น และส่งต่อเมื่อเห็นชอบในพระวจนะนั้นแล้ว  หากพวกเขาไม่เห็นชอบ พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ส่งต่อพระวจนะนั้น  ขณะที่พื้นที่อื่นส่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนไปตามจริง ผู้คนเหล่านี้กลับส่งต่อการจัดการเตรียมงานที่ไปยังคริสตจักรภายใต้การกำกับดูแลของตน  ผู้คนเช่นนี้ปรารถนาที่จะละวางพระเจ้าเอาไว้เสมอ พวกเขาประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะทำให้ทุกคนเชื่อพวกเขา ติดตามพวกเขา และนบนอบต่อพวกเขา  บางส่วนของจิตใจของพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงไม่ดีเท่ากับพวกเขา—พวกเขาควรจะเป็นพระเจ้าเสียเอง และผู้อื่นควรเชื่อพวกเขา  นั่นคือธรรมชาติของเรื่องนี้  หากพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ พวกเจ้าจะยังคงร่ำไห้เมื่อพวกเขาถูกปลดหรือไม่?  เจ้ายังจะรู้สึกเสียใจกับพวกเขาหรือไม่?  เจ้ายังจะคิดอยู่หรือไม่ว่า “เบื้องบนทรงกระทำการไม่เหมาะสม  ท่านทั้งหลายปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม  พวกท่านปลดผู้ที่ทำงานหนักเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”  พวกที่กล่าวเช่นนี้เป็นพวกไร้วิจารณญาณ  คนเหล่านั้นทำงานหนักเพื่อประโยชน์ของใครหรือ?  เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าหรือ?  เพื่องานของคริสตจักรหรือ?  พวกเขาทำงานหนักเพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคงขึ้น พวกเขากำลังทำงานหนักเพื่อก่อตั้งอาณาจักรอิสระ  พวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าหรือ?  พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  พวกเขาจงรักภักดีและนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้ข้าของซาตาน และเมื่อพวกเขาทำงาน ก็ย่อมเป็นมารที่ครองอำนาจ  พวกเขาทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้!  บางคนกล่าวว่า “ดูสิว่าพวกเขากำลังทำงานหนักขนาดไหน—ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเขียนเรื่องราวทั้งหมดนั้น และส่งต่อไปยังคริสตจักรทั้งหลาย”  เช่นนั้นแล้วเราขอถามพวกเจ้าว่า สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเขียนนั้นพาให้ผู้คนเจริญใจหรือไม่?  พวกเขาต้องการสัมฤทธิ์เป้าหมายใดกันแน่?  เจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะในเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  หากเจ้าถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?  เจ้าเคยคำนึงถึงเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  บางคนรู้สึกสงสารคนเหล่านี้ โดยกล่าวว่า “พวกเขาทำงานหนักเหลือเกินและไม่ง่ายเลยที่จะเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าก็ควรให้อภัยพวกเขาหากสิ่งที่พวกเขาเขียนมีความเบี่ยงเบนหรือบิดเบือนไปบ้าง”  ปัญหาในการที่พวกเขากล่าวเช่นนี้คืออะไร?  เพียงทำงานหนักคนเราก็สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าจริงหรือ?  คนเหล่านั้นทำงานหนักเพื่อผู้ใด?  หากพวกเขาไม่ได้กำลังทำงานหนักเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า แต่กลับทำเพื่อให้ตนเองได้รับสถานะ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาทำงานหนักเพียงใด การทำงานหนักนั้นมีนัยสำคัญหรือมีคุณค่าอยู่หรือ?  การทำงานหนักประเภทนี้ย่อมเห็นแก่ตัวและต่ำช้า  ชั่วร้ายและไร้ยางอาย!  หากศัตรูของพระคริสต์ประเภทนี้ไม่ถูกปลดออก ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด?  ผู้คนจะก่อกวนงานของคริสตจักรตามอำเภอใจและกลายเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ  นั่นเป็นการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้ามิใช่หรือ?  หากพวกเขาทำงานหนักเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง นั่นทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะต่อต้านพระเจ้าใช่หรือไม่?  เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรต่อต้านพระองค์และเป็นกบฏต่อพระองค์หรือ?  พวกเขาควรทำตัวตามอำเภอใจและบุ่มบ่ามอีกทั้งไม่ยอมนบนอบต่อพระองค์หรือ?  พวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการหรือไม่?  ผู้คนที่ไม่มีความจริง ผู้ที่ไม่นบนอบต่อพระเจ้า และเพียงต้องการกระทำการอย่างมืดบอด คิดว่าทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีเหตุผลและถูกต้องคือพวกมารและขี้ข้าของซาตานที่มาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรโดยแท้!  หากเจ้าไม่เพียงแต่ไม่สามารถหยั่งรู้ผู้คนเช่นนี้ แต่ยังเห็นใจพวกเขา หลั่งน้ำตาให้พวกเขา อีกทั้งมาปกป้องพวกเขา เช่นนั้นแล้ว เจ้าเองก็เป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเช่นกัน เจ้าเป็นคนที่สับสนเลอะเลือนและเป็นพวกสมองทึบ  เจ้าอาจยังคงคิดว่า “เบื้องบนไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา  บุคคลผู้นั้นทำงานหนักมากและเบื้องบนก็ปลดพวกเขาไปเสียดื้อๆ”  หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าเองก็เป็นขี้ข้าของซาตานและเป็นพวกของมารด้วย  มีคนมากมายที่ดำเนินชีวิตตามปรัชญาซาตาน ไม่เคยเปิดโปงหรือรายงานพวกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ จนกระทั่งวันหนึ่งศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำสิ่งวิบัติบางอย่าง และพวกเขาก็ตระหนักในที่สุดว่านี่คือศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิดโดยแท้จริง  บางคนยังคงมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทฤทธิ์ และเบื้องบนควรรู้ว่ามีศัตรูของพระคริสต์กี่คนอยู่ในคริสตจักร แล้วเราจำเป็นต้องรายงานเรื่องพวกเขาด้วยหรือ?”  คนที่กล่าวเช่นนี้เป็นพวกไร้สาระมิใช่หรือ?  ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้นำของเบื้องบนคือมนุษย์ ดังนั้นหากเขาไม่มาสื่อสารกับเรื่องทั้งหลายของคริสตจักรโดยตรง เขาจะรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  หลายครั้งเมื่อเกิดเรื่องเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อหลังมีคนรายงานและเปิดโปงพวกเขา และเบื้องบนทรงสั่งให้ทำการสืบค้น  ขณะที่ทรงพระราชกิจและทรงนำผู้คนในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกตินั้น พระเจ้ามิได้ทรงเหนือธรรมชาติเลย อีกทั้งทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง แต่พระองค์ทรงพิชิต ทรงเอาชนะและทำให้ซาตานอับอาย  มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่สามารถเผยให้เห็นความทรงมหิทฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนี้ พระองค์ทรงจัดการเตรียมการบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรสามารถเรียนรู้บทเรียน ได้รับวิจารณญาณ และขยายความรู้ของพวกเขาให้กว้างขึ้น  เมื่อผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้รับวิจารณญาณแล้ว ผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วจะไม่สามารถหลบหนีไปจาก “เงื้อมมือแห่งธรรมบัญญัติ” ได้  พระเจ้าจะทรงใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเปิดเผยพวกเขา และทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรทั้งหมดเข้าใจและมองเห็นได้อย่างชัดเจน  ในอดีตคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มากมายก็ถูกเปิดเผยและถูกขับออกไปมิใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนเลยหรือ?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สับสนเลอะเลือนเกินไป!

แม้ว่าบางคนไม่เข้าใจบางส่วนของการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังสามารถนบนอบได้ โดยกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและมีความหมาย  หากพวกเราไม่เข้าใจการจัดการเตรียมงานทั้งหลายอย่างครบถ้วนแล้ว พวกเราก็ควรนบนอบเสียก่อน  พวกเราไม่สามารถตัดสินพระเจ้าได้!  พวกเรายังควรรับฟังการจัดการเตรียมงานทั้งหลายอยู่ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเราก็ตาม เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ แล้วจิตใจมนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งใดได้?  พวกเราควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้  แม้ว่าในยามที่พวกเราไปถึงวันนั้น แล้วยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน พวกเราก็ยังควรนบนอบด้วยความเต็มใจ  พวกเราคือผู้คน และพวกเราควรนบนอบต่อพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำ”  แต่บางคนแตกต่างออกไป และเมื่อพวกเขาเห็นการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะศึกษาสิ่งเหล่านี้ก่อน โดยกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าตรัส และสิ่งเหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ของพระองค์  ข้อแรกยอมรับได้ แต่ข้อสองนั้นไม่เหมาะสมอย่างมาก  ฉันจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้”  ผู้คนเช่นนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเปลี่ยนแปลงการจัดการเตรียมงานตามอย่างที่ใจเจ้าชอบ ธรรมชาติของปัญหานี้คืออะไร?  นี่ไม่เป็นการขัดขวางและก่อกวนทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักหรอกหรือ?  สิ่งที่เจ้าครองอยู่นี้คือความจริงหรือ?  หากเจ้ามีความจริงอยู่จริงๆ เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าไม่แสดงออกมาเล่า?  ทำไมเจ้าปรับเปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้า?  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าเปิดเผยอุปนิสัยเช่นไรออกมา?  นี่คืออุปนิสัยโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เป็นอุปนิสัยที่ไม่เชื่อฟังผู้ใด  หากเจ้ากล้าเลือกเฟ้นเมื่อเป็นเรื่องของการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีปัญหาร้ายแรงกับกรอบความคิดและอุปนิสัยของเจ้า  บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วควรมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนแบบนี้  ประการแรก คนพวกนี้ไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อว่าตนเข้าใจความจริงและจะไม่เชื่อฟังผู้ใด  ประการที่สอง เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงาน พวกเขาไม่เอ่ยสิ่งเหล่านั้นกับพระนิเวศของพระเจ้า แต่กลับพูดไปทั่ว  ประการที่สาม เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น แต่ยังยุยงผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้พัฒนามโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ และให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์อีกด้วย เพื่อบีบบังคับให้พระองค์ทรงกระทำการตามความปรารถนาของพวกเขา และทำให้พระองค์ทรงยอมจำนนในที่สุด  จากพฤติกรรมทั้งสามประการนี้ คนเราสามารถแน่ใจได้ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด  พวกเขาคือผู้คนที่แสวงหาความจริงและนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย แล้วพวกเขาก็ไม่พึงพอใจกับพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ทำให้ทุกคนพัฒนามโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ และลุกขึ้นมาต่อสู้และต่อต้านพระองค์  บนพื้นฐานนี้ จึงจัดได้ว่าพวกเขามีลักษณะเป็นพวกเจตนาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยสมบูรณ์  ผู้คนเช่นนี้ควรถูกจัดการอย่างไร?  พวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือด้วยความรักหรือไม่?  ไร้ประโยชน์เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  แล้วการตัดแต่งพวกเขาเล่าเป็นอย่างไร?  นี่ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  หากผู้เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นไม่สามารถยอมรับความจริง นี่ถือเป็นปัญหาร้ายแรงและเป็นสิ่งที่น่ากลัว!  หากเจ้ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาเกินไปและเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  เช่นนั้นแล้ว จะต้องมีสักวันที่เจ้าล่วงเกินพระเจ้า  เราเห็นบางคนที่เป็นเช่นนี้มาแล้ว และแม้ว่าพวกเขายังไม่ถูกเอาออกไป แต่ที่จริงจุดจบของพวกเขาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาจะถูกขับออกไป

อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  และการยำเกรงพระเจ้าหมายถึงอะไร?  ผู้คนต้องเกรงกลัวพระเจ้า พวกเขาต้องทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบและเอาใจใส่ เหลือโอกาสให้กับตัวเองสำหรับการจัดการ และไม่เอาแต่ทำในสิ่งที่ตนต้องการ  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าไล่ผู้นำเทียมเท็จบางคนออกไป บางคนก็กล่าวว่า “ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันแน่ และแม้ว่าพวกเรารู้ แต่พวกเราก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำได้อย่างถี่ถ้วน  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง และจะมีวันที่พระองค์จะทรงทำสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนและอนุญาตให้พวกเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์เสมอ”  หากเจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ แต่เจ้าก็ยังสามารถนบนอบได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีความศรัทธา เป็นผู้ที่สามารถกล่าวได้ว่ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง  หากเจ้าไม่เข้าใจ ทั้งยังตั้งตนต่อต้านพระเจ้าและก่อความไม่สงบต่องานของคริสตจักร นั่นหมายถึงความเดือดร้อน  เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรไล่ผู้นำเทียมเท็จและขับไล่ไสส่งศัตรูของพระคริสต์บางคนออกไป ผู้ติดตามของคนพวกนั้นที่หัวรั้นบางคนจะลุกขึ้นมาปกป้องพวกเขา ตัดสินพระเจ้าต่อหน้าสาธารณชนเพราะเหตุนี้เสมอ โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ชอบธรรม และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยเรื่องนี้  สำหรับผู้คนเช่นนี้ แม้พวกเขาจัดเตรียมการปรนนิบัติเป็นพิเศษเมื่อเผยแผ่ข่าวอันประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเลย  การทรยศครั้งเดียวจะกำหนดชะตากรรมของเจ้าตลอดกาล  เจ้าต้องเห็นแก่นแท้ของการทรยศอย่างชัดเจน จงอย่าคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเจ้าทุกคนต่อต้านพระเจ้า พวกเจ้าทุกคนมีการฝ่าฝืน  อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติการต่อต้านและการฝ่าฝืนของพวกเจ้าก็แตกต่างกัน  ธรรมชาติของเรื่องที่เราเพิ่งพูดถึงนั้นร้ายแรงมากและประกอบด้วยการตัดสินและการต่อต้านพระเจ้าต่อหน้าธารกำนัล  ผู้คนบางคนรักที่จะเขียนจดหมาย เขียนอะไรบางอย่างที่พวกเขามักส่งต่อไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ใส่ใจอยู่เป็นนิจ  การทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่?  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเขียนเป็นคำพยานที่แท้จริงหรือไม่?  เป็นประสบการณ์ชีวิตหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสอนสั่งผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปในทางที่ดีหรือไม่?  หากไม่ใช่ แต่ผู้คนเหล่านี้ยังคงส่งต่อสิ่งเหล่านั้นไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ใส่ใจ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็กำลังชักพาผู้คนให้หลงผิด เผยแพร่เรื่องนอกรีตและเหตุผลวิบัติ บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความสับสนระหว่างถูกและผิด และพูดเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิงอย่างมากมายก่ายกอง  บางคนต้องการกระทั่งเขียนหนังสือของตนเอง แล้วส่งให้คริสตจักรและมีชื่อเสียงขึ้นมา  ผู้คนไม่ได้เรียนรู้บทเรียนอันลึกซึ้งจากตัวอย่างของเปาโลเลยหรือ?  เจ้ายังต้องการที่จะเขียนหนังสือ เขียน “อัตชีวประวัติคนดัง” และเขียน “บทสรุปของความจริง”  เจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!  หากเจ้ามีความสามารถ ก็จงเขียนคำพยานเชิงประสบการณ์ขึ้นมาหลายๆ ชิ้นเถิด  ในช่วงไม่กี่ปีที่เชื่อในพระเจ้า เจ้ายังไม่ถูกพิพากษาและยังไม่ทนทุกข์มากพออีกหรือ? เจ้ายังไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนอีกหรือ?  ผู้คนเข้าใจอะไรบ้าง?  คำพูดและคำสอนที่เจ้าพูดออกมาแม้แต่แก้ไขปัญหาของเจ้าเองก็ยังทำไม่ได้ และเจ้าก็ยังต้องการที่จะส่งต่อให้กับผู้อื่น  เจ้าไม่มีความรู้จักตัวเองเลยสักนิด!  เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงพิมพ์และส่งออกหนังสือในลักษณะเดียวกัน?  เพราะหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพระวจนะของพระเจ้า และส่วนที่เหลือล้วนประกอบขึ้นจากคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกซึ่งจำเป็นต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งสิ้น และหนังสือที่พระนิเวศของพระเจ้าเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอล้วนจำเป็นต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้ว  การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ยังมีต้นกำเนิดมาจากการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกด้วย  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจว่าหนังสือทั้งหลายที่เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอโดยพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีคุณค่าและมีความจำเป็นสูงสุด  พวกเจ้าย่อมรู้ดีว่าตนได้รับประโยชน์อันใดจากการฟังคำเทศนา ดังนั้น หากพวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่เผยแพร่โดยผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลาย พวกเจ้าจะสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง  แต่ด้วยวุฒิภาวะของพวกเจ้าในปัจจุบัน พวกเจ้าทำได้เพียงเข้าใจคำสอนมากมายเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น และความจริงก็ยังคงไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้า  มีเรื่องสำคัญบางเรื่องที่พวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งดูคลุมเครือและพร่ามัวสำหรับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้ายังคงไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ และยังคงแยกแยะไม่ได้มากนัก  ไม่ว่าใครก็ตามในคริสตจักรประพฤติหรือพูดอย่างไร พวกเจ้าก็ขาดพร่องวิจารณญาณในการแยกแยะได้อย่างชัดเจน  บางคนเชื่อว่า ตราบใดที่คนเราพูดจาคมคาย พวกเขาสามารถเป็นพยานให้กับพระเจ้า และผู้ที่พูดจาไม่คมคายไม่สามารถพูดเกี่ยวกับคำพยานเชิงประสบการณ์แม้ว่าพวกเขาจะมีคำพยานเชิงประสบการณ์ก็ตาม  พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเขาเข้าใจผิดอย่างมหันต์ คำพยานเชิงประสบการณ์นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ว่าจะถูกพูดถึงอย่างไรก็ตาม และหากคนเราไม่มีคำพยานเชิงประสบการณ์ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถพูดเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายได้ดีขนาดไหนก็ตาม  ทำไมเป็นเช่นนี้?  การพูดเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนไม่ได้แสดงว่าบุคคลผู้หนึ่งครองความเป็นจริงความจริง และแม้พวกเขาเข้าใจความจริงบ้าง ความเข้าใจนี้ก็ยังคงตื้นเขินและจำกัดมาก และพวกเขาไม่สามารถเขียนคำพยานเชิงประสบการณ์ได้เลย  หากใครบางคนไม่มีคำพยานเชิงประสบการณ์ แต่พวกเขายังคงเอ่ยคำพูดและคำสอน และสั่งสอนผู้คนอย่างไร้ยางอายแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  พวกเขาทำได้เพียงสร้างคำพยานเท็จเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  ผู้ที่ทำเช่นนี้จะถูกพระเจ้าสาปแช่ง  การที่ใครบางคนจะสามารถเป็นพยานที่แท้จริงได้หรือไม่นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับคารมคมคาย  ดูสิว่าเปโตรครองคำพยานเชิงประสบการณ์มากเพียงใด—เขาเขียนจดหมายไปกี่ฉบับ?  เขาเขียนคำพยานไปกี่บท?  อาจมีไม่มากนัก แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบเปโตรในฐานะบุคคลผู้รู้จักพระองค์ดีที่สุด และเป็นผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริง  หากเจ้ามีคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนแปลงและมีความประพฤติดีขึ้นมากอย่างแน่นอน  เจ้าจะไม่ทำสิ่งที่น่ากระตือรือร้นเหล่านั้น ไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคิดว่าดีอีกต่อไป  เมื่อเจ้าตระหนักว่ามนุษย์ไม่มีนัยสำคัญ ขัดสนและน่าเวทนาเพียงใด เจ้าจะไม่กล้ากระทำการตามอำเภอใจ หรือเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติเลย  ผู้คนทั้งหมดที่ปรารถนาจะเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติ หรือสร้างความมีหน้ามีตาของพวกเขาในชื่อของการทำคุณูประการบางอย่าง ล้วนเป็นคนโอหัง ทะนงตน และมักใหญ่ใฝ่สูงที่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินจริงทั้งสิ้น เป็นผู้ที่ไม่ได้ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นผู้ที่ชอบกระทำการตามเจตจำนงของตนเอง  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงล้วนจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของตนให้ดี เข้าใจความจริง และกระทำการให้สอดคล้องกับหลักธรรม  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดี การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และการมีคำพยานเชิงประสบการณ์ที่แท้จริงนั้นย่อมดีว่าสิ่งอื่นใด  ผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาในหนทางนี้เป็นผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด และพวกเขาคือผู้ที่ครองเหตุผลมากที่สุด

ก่อนหน้า: หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการแสวงหาและปฏิบัติความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger