พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระเจ้า

บทตัดตอน 20

มนุษย์ทั้งปวงที่เสื่อมทรามล้วนมีธรรมชาติของซาตาน  พวกเขาทุกคนมีอุปนิสัยของซาตานและสามารถทรยศพระเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา  บางคนถามว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และพวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคุ้มครองมนุษย์แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทรยศพระองค์?  พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์มิใช่หรือ?”  นี่คือคำถามโดยแท้  เจ้ามองเห็นปัญหาในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  พระเจ้าทรงมีทั้งด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้คนอาจทรยศพระเจ้าได้โดยไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  มนุษย์ไม่มีเจตจำนงของตนเองว่าควรนมัสการพระเจ้าเช่นไร และควรละทิ้งซาตาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับซาตาน และเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร  พระเจ้าทรงมีความจริง ชีวิต และเส้นทาง พระเจ้าทรงถูกละเมิดมิได้... มนุษย์ไม่มีสิ่งดังกล่าวอยู่ในตัวพวกเขา  พวกเขามองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นในธรรมชาติของซาตานอย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่เข้าใจความจริงเลย เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงทรยศพระเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ผู้คนก็มีสิ่งที่เป็นของซาตานอยู่ในตนเองและทรยศพระเจ้าง่ายขึ้น  นี่คือปัญหา  หากเจ้ามองเห็นแต่ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าเท่านั้น และมองไม่เห็นด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะทรยศพระเจ้าและมองว่าพระคริสต์เป็นคนธรรมดา เจ้าจะไม่รู้ว่าพระองค์ประทานความจริงมากมายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้อย่างไร  หากเจ้ามองเห็นแต่ด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น และมองไม่เห็นด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ก็ย่อมง่ายที่เจ้าจะต้านทานพระองค์เช่นกัน  หากเจ้ามองไม่เห็นด้านใดเลย เจ้าก็ยิ่งมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะต้านทานพระเจ้า  เพราะเหตุนี้ การรู้จักพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลกใช่หรือไม่?  ยิ่งผู้คนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ และยิ่งเข้าใจมากขึ้นด้วยว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนมีความหมาย  หากผู้คนรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจดังกล่าวได้  แม้พระเจ้าจะมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทว่าผู้คนก็จะไม่มีวันรู้จักพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เกินไปและมิอาจหยั่งถึงได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วการคิดอ่านของผู้คนก็เป็นไปอย่างจำกัดเหลือเกิน  เหตุใดจึงมีการกล่าวว่ามนุษย์เป็นทารกตลอดกาลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า?  นี่คือความหมาย

เมื่อพระเจ้าตรัสหรือทำบางสิ่ง ผู้คนก็เข้าใจผิดเสมอว่า “พระเจ้าทรงทำอย่างนั้นได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์!” ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดของตนเองเสมอ  ในเรื่องที่พระเจ้าทรงลิ้มรสความทุกข์ทางโลก บางคนคิดว่า “พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์มิใช่หรือ?  พระองค์จำเป็นต้องทรงลิ้มรสความทุกข์ทางโลกกระนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงรู้หรือว่าความทุกข์ทางโลกเป็นอย่างไร?”  นี่คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในการทรงพระราชกิจของพระเจ้า  ในยุคพระคุณ พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่เข้าใจพระเจ้าและเก็บงำมโนคติอันหลงผิด บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าไว้ตลอดเวลา โดยกล่าวว่า “การที่จะไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้าก็เพียงต้องตรัสกับซาตานเท่านั้นว่า ‘เราเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์  เจ้ากล้ากีดกันมวลมนุษย์จากเรากระนั้นหรือ?  เจ้าต้องมอบพวกเขามาให้เรา’  ด้วยถ้อยคำไม่กี่คำนี้ ทุกอย่างย่อมจะแก้ไขได้—พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจมิใช่หรือ?  สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำคือให้พระเจ้าตรัสว่ามวลมนุษย์ได้รับการไถ่แล้ว และบาปของมนุษย์ก็ได้รับการอภัยแล้ว เมื่อนั้นมนุษย์ย่อมจะหมดบาปแล้ว  พระวจนะของพระเจ้ากำหนดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หรือ?  หากฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?  เหตุใดพระเจ้าพระองค์เองจึงต้องทรงถูกตรึงกางเขน?”  ในที่นี้ทั้งด้านที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ล้วนเกี่ยวข้อง  ในด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์นั้น พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงสู้ทนความทุกข์มากมายในช่วงเวลาสามสิบสามปีครึ่งที่ดำรงพระชนม์อยู่บนแผ่นดินโลก แล้วในท้ายที่สุดก็ทรงถูกตรึงกางเขน  พระองค์ทรงสู้ทนความทุกข์อันสาหัสที่สุด  จากนั้นพระองค์ก็ฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ก็คือด้านที่เป็นความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าในพระราชกิจ  พระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงสัญญาณบ่งชี้ใดๆ หรือหลั่งพระโลหิต หรือบันดาลให้ฝนตก และตรัสว่านี่คือเครื่องบูชาลบล้างบาป  พระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไรเช่นนั้น แต่พระองค์ได้ทรงกลายเป็นเนื้อหนังด้วยพระองค์เองเพื่อไถ่มวลมนุษย์ และทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อที่มวลมนุษย์จะได้รู้ถึงกิจครั้งนี้  ด้วยกิจเช่นนี้ มวลมนุษย์จึงได้รู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างแท้จริง และนี่คือข้อพิสูจน์  ไม่ว่าจะเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งใดเพื่อปฏิบัติพระราชกิจหรือพระวิญญาณทรงพระราชกิจโดยตรงก็ล้วนจำเป็น  นี่หมายความว่าด้วยการทำสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ พระราชกิจจึงมีคุณค่าที่สุดและมีนัยสำคัญอย่างที่สุด และโดยการทำสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้เท่านั้นที่มวลมนุษย์จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการนี้ได้  นี่เป็นเพราะมวลมนุษยชาติคือเป้าหมายของการบริหารจัดการของพระเจ้า  ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่านี่คือการทำสงครามกับซาตานและเป็นการทำให้ซาตานอับอาย  และที่จริงแล้ว นี่ไม่ดีต่อมนุษย์ในท้ายที่สุดหรอกหรือ?  สำหรับมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ควรรำลึกเอาไว้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสร้างก็คือผู้คนที่หลุดพ้นจากความทุกข์ยากด้วยความเข้าใจในพระเจ้า ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และพาตัวพ้นจากความเสื่อมทรามของซาตาน  เพราะฉะนั้น พระราขกิจนี้จึงต้องทำในลักษณะนี้อย่างแน่นอน  การตัดสินพระทัยว่าพระเจ้าจะทรงใช้วิธีใดในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์นั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของมวลมนุษย์  พระราชกิจของพระเจ้าย่อมไม่ดำเนินการโดยไม่เลือกวิธีอย่างแน่นอน  แต่ผู้คนก็มีตัวเลือกและมีมโนคติอันหลงผิดของตนเอง  ผู้คนจึงคิดเหมือนกับเรื่องที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนว่า “การที่พระเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา?”  พวกเขานึกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่พระเจ้าจำต้องทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  การถูกตรึงกางเขนเป็นความทุกข์อันเลวร้ายที่สุดในยุคนั้น แล้วพระวิญญาณทรงถูกตรึงกางเขนได้หรือไม่?  พระวิญญาณทรงถูกตรึงกางเขนไม่ได้และแสดงสภาพเสมือนของพระเจ้าไม่ได้ หลั่งพระโลหิตและสิ้นพระชนม์ก็ยิ่งไม่ได้  มีเพียงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้นที่ถูกตรึงกางเขนได้ นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงเครื่องบูชาลบล้างบาป  เนื้อหนังของพระองค์ก่อรูปเป็นร่างกายที่เปี่ยมบาปและแบกรับความทุกข์เพื่อมวลมนุษย์  พระวิญญาณมิอาจทรงทนทุกข์เพื่อมวลมนุษย์ หรือชดใช้บาปของผู้คนได้  พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อมวลมนุษย์  นี่คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  พระเจ้าทรงทำเช่นนี้และรักผู้คนเช่นนี้ได้ ส่วนมนุษย์ไม่อาจทำได้  นี่คือด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า

ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทำ มีทั้งแง่มุมที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์และแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์  ความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าคือแก่นแท้ของพระองค์ และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ก็เป็นแก่นแท้ของพระองค์เช่นกัน ทั้งสองแง่มุมนี้ไม่อาจแยกจากกันได้  การกระทำที่เป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าเป็นแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ และแง่มุมที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์อยู่ที่พระปรีชาสามารถของพระองค์ที่จะทรงพระราชกิจในหนทางนี้  เจ้าไม่อาจพูดได้ว่า “เพราะพระเจ้าทรงพระราชกิจในความเป็นจริง พระองค์จึงทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง และทรงมีเพียงด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้น ไม่มีแง่มุมที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์” หากเจ้าพูดเช่นนั้นก็จะกลายเป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมา  นี่คือแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ก็มีแง่มุมที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์เช่นกัน  สิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำย่อมประกอบด้วยทั้งสองแง่มุมนี้—ความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์—และทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ เป็นการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ รวมทั้งเป็นการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  ผู้คนคิดว่าในยุคพระคุณ พระเจ้าคือความกรุณาและความรัก แต่พระองค์ก็ยังคงมีพระพิโรธและการพิพากษา  การที่พระเจ้าทรงสาปแช่งพวกฟาริสีและชาวยิวทั้งหมด—นี่ไม่ใช่พระพิโรธและความชอบธรรมของพระองค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่อาจพูดได้ว่าในยุคพระคุณพระเจ้าทรงเป็นเพียงความกรุณาและความรักเท่านั้น ว่าพระองค์นั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่มีพระพิโรธ ไม่มีการพิพากษาหรือคำสาปแช่ง—การกล่าวเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าในยุคพระคุณล้วนแต่เป็นการแสดงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและมนุษย์มองเห็นได้ล้วนเป็นไปเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เองคือพระเจ้าและพระองค์นั้นทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เองทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า  พระราชกิจแห่งการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้าในระยะปัจจุบันนี้หมายความว่าพระองค์ทรงไร้ความกรุณาหรือความรักกระนั้นหรือ?  ไม่ใช่  หากเจ้าสรุปแก่นแท้ของพระเจ้าไว้ในประโยคหรือถ้อยแถลงเพียงประโยคเดียวเท่านั้น เจ้าก็โอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเกินไป เบาปัญญาและไม่รู้ความเกินไป และแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า  บางคนบอกว่า “เล่าความจริงของการรู้จักพระเจ้าให้พวกเราฟังหน่อย อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ”  คนที่รู้จักพระเจ้าควรพูดว่าอย่างไร?  พวกเขาย่อมจะพูดว่า “เรื่องการรู้จักพระเจ้านั้นลึกซึ้งจนฉันอธิบายให้ชัดเจนในสองสามประโยคไม่ได้  ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร ฉันก็ทำให้เข้าใจไม่ได้  ตราบใดที่คุณเข้าใจส่วนที่สำคัญ นั่นก็เพียงพอแล้ว  คนเราไม่มีวันรู้จักพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้”  ส่วนคนโอหังที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็จะพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแบบไหน ฉันเข้าใจพระองค์จริงๆ”  นี่คือการคุยโวมิใช่หรือ?  ไม่ว่าใครที่พูดเช่นนี้ย่อมโอหังเป็นที่สุด!  มีบางสิ่งที่—หากผู้คนไม่มีประสบการณ์และไม่เคยพบเห็นข้อเท็จจริงบางอย่าง—พวกเขาก็ไม่อาจรู้หรือมีประสบการณ์ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าความรู้ในเรื่องพระเจ้านั้นค่อนข้างเป็นนามธรรม  ผู้คนที่ไม่รู้ เพียงได้ยินถ้อยแถลงอย่างหนึ่งย่อมเข้าใจตรรกะ แต่ไม่รู้เรื่อง  เพียงเพราะเจ้าไม่รู้ ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นไม่ใช่ความจริง  สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ก็อาจดูเป็นนามธรรม แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่นามธรรม  หากผู้ใดมีประสบการณ์อย่างแท้จริง ก็จะสามารถจับคู่พระวจนะของพระเจ้าเข้ากับบริบทที่เหมาะสม ประยุกต์ใช้ และนำไปปฏิบัติได้  นี่คือการเข้าใจความจริง  หากเจ้าฟังประโยคต่างๆ ในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริง เจ้าจะเข้าใจความจริงได้กระนั้นหรือ?  เจ้าต้องนำพระวจนะไปปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะ  การเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย

พระเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์ในยุคพระคุณหมดแล้ว  นี่คือด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ก็รวมถึงพระราชกิจทั้งปวงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ด้วย  โดยการทรงพระราชกิจของพระองค์เพื่อพิชิตผู้คน ผู้คนทั้งปวงจึงทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและสามารถยอมรับพระองค์ได้  หากผู้คนพูดถึงความทรงมหิทธิฤทธิ์และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าโดยแยกทั้งสองด้านนี้ออกจากกัน พวกเขาย่อมจะไม่สามารถเข้าใจแง่มุมทั้งสองได้อย่างถ่องแท้  การที่จะรู้จักพระเจ้านั้น เจ้าต้องผสมผสานสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับแง่มุมที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสัมฤทธิ์ผล  พระราชกิจที่เป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า การแสดงออกของพระองค์เกี่ยวกับความจริง ซึ่งแก้ไขและชำระความเสื่อมทรามของมนุษยชาติให้สะอาด และพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่จะนำทางผู้คนโดยตรง ล้วนเป็นส่วนประกอบของแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์  พระองค์ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และพระองค์สามารถทรงพระราชกิจที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ นี่คือด้านที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์  พระเจ้ามีสิทธิอำนาจที่จะทำให้สิ่งที่พระองค์ตรัสปรากฏเป็นจริง ทำให้พระบัญชาของพระองค์ตั้งมั่น และทำให้สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นผลสำเร็จ  ขณะที่พระเจ้าตรัส ความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ก็ได้รับการเปิดเผย  พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง บงการซาตานให้รับใช้พระองค์ จัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมเพื่อทดสอบและถลุงผู้คน เพื่อชำระอุปนิสัยของพวกเขาให้บริสุทธิ์และแปลงสภาพอุปนิสัยของพวกเขา  เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงแง่มุมที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า  แก่นแท้ของพระเจ้าทั้งทรงมหิทธิฤทธิ์และสัมพันธ์กับชีวิตจริง และสองแง่มุมนี้เติมเต็มกันและกัน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และเป็นการเปิดเผยสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นนั้นรวมถึงความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ความชอบธรรมของพระองค์ และพระบารมีของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบคือการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์เองและเป็นการแสดงให้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  แก่นแท้ของพระองค์นั้นมีสองด้าน หนึ่งนั้นคือด้านที่เป็นความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ส่วนอีกหนึ่งคือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์  ไม่ว่าเจ้าจะมองดูพระราชกิจระยะใดของพระเจ้า ก็มีแง่มุมทั้งสองนี้ซึ่งอยู่ในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ  นี่เป็นเส้นทางหนึ่งของการเข้าใจพระเจ้า

บทตัดตอน 21

ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจของพระองค์ผ่านทางการทรงปรากฏในรูปมนุษย์หรือผ่านทางพระวิญญาณ พระองค์ก็ทรงทำทั้งหมดตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่ได้ทรงทำตามวิธีที่เปิดเผยหรือวิธีที่ซ่อนเร้นอันใด หรือตามสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ แต่ทรงทำตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจในยุคสุดท้ายสามารถดำเนินการได้ตามที่พระเจ้าพอพระทัย  พระราชกิจระยะนี้ดำเนินการบนรากฐานของพระราชกิจสองระยะก่อนหน้า  พระราชกิจในยุคพระคุณซึ่งเป็นพระราชกิจระยะที่สองของพระองค์ ทำให้มวลมนุษย์สามารถได้รับการไถ่ และพระราชกิจนี้ก็ดำเนินการโดยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์  ไม่ใช่ว่าพระวิญญาณทรงพระราชกิจในระยะปัจจุบันของพระเจ้าไม่ได้ พระวิญญาณสามารถทำได้ แต่ย่อมเหมาะสมกว่าที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์จะทำพระราชกิจนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น  ถึงอย่างไร ถ้อยดำรัสของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็พิชิตผู้คนได้ดีกว่าถ้อยดำรัสโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าได้ดีกว่า  เมื่อพระวิญญาณทรงพระราชกิจ พระองค์ไม่สามารถสถิตอยู่กับผู้คนได้ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่พระวิญญาณจะดำรงพระชนม์และตรัสโดยตรงกับผู้คนซึ่งหน้าเหมือนที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทำอยู่ในตอนนี้ และมีหลายครั้งที่พระวิญญาณไม่อาจจะทรงเปิดเผยได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในตัวผู้คนเหมือนที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถทำได้  ในระยะนี้ งานหลักของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือการพิชิตผู้คน และหลังจากที่พิชิตพวกเขาแล้วก็ทำให้พวกเขาเพียบพร้อม เพื่อที่พวกเขาจะได้มารู้จักพระเจ้าและสามารถนมัสการพระองค์  นี่คือพระราชกิจแห่งการสิ้นสุดยุคสมัย  หากระยะนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการพิชิตผู้คน แต่เป็นเพียงการบอกให้พวกเขารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่จริง เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณย่อมจะทรงพระราชกิจระยะนี้ได้  พวกเจ้าอาจคิดว่าถ้าระยะนี้ดำเนินการโดยพระวิญญาณ พระวิญญาณย่อมจะแทนที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ และทรงพระราชกิจเดียวกันกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ และคิดไปว่าเพราะพระเจ้าทรงมหิทธานุภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์หรือพระวิญญาณ ก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลแบบเดียวกันได้  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าย่อมจะคิดผิด  พระเจ้าทรงพระราชกิจตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ตามแผนการและขั้นตอนของพระองค์ในการที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  นี่ไม่เหมือนอย่างที่เจ้าคิดฝันว่าพระวิญญาณทรงมหิทธานุภาพ การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็มีมหิทธานุภาพ และพระเจ้าพระองค์เองนั้นก็ทรงมหิทธานุภาพ ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ทรงประสงค์  พระเจ้าทรงพระราชกิจตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และพระราชกิจแต่ละระยะของพระองค์ก็มีขั้นตอนที่แน่นอนอยู่ภายใน  มีการวางแผนไว้แล้วว่าระยะนี้ควรดำเนินการอย่างไร รวมทั้งรายละเอียดที่ควรเกี่ยวข้องด้วย  พระราชกิจระยะแรกของพระเจ้าดำเนินการในประเทศอิสราเอล และระยะสุดท้ายนี้ก็อยู่ในจีน ประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในประเทศอื่นไม่ได้หรือ?”  ตามแผนการบริหารจัดการระยะนี้ ต้องมีการทรงพระราชกิจในประเทศจีน  ประชาชนชาวจีนนั้นล้าหลัง ชีวิตของพวกเขาเสื่อมทราม และไม่มีสิทธิมนุษยชนหรืออิสรภาพ  จีนเป็นประเทศที่ซาตานและปีศาจชั่วมีอำนาจ  จุดประสงค์ของการทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในจีนก็เพื่อช่วยผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในส่วนที่มืดมนที่สุดของโลกและถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรงที่สุดนั้นให้รอด  นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ซาตานปราชัยจริงๆ และได้มาซึ่งพระสิริโดยสมบูรณ์  หากพระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในอีกประเทศหนึ่ง ก็จะไม่มีนัยสำคัญเท่า  พระราชกิจทุกระยะของพระเจ้าล้วนจำเป็น และดำเนินการโดยพระเจ้าในหนทางที่ต้องทำ  บางสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยงานของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และบางสิ่งก็สัมฤทธิ์ได้ด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณ  พระเจ้าทรงเลือกว่าจะทรงพระราชกิจผ่านทางการทรงปรากฏในรูปมนุษย์หรือพระวิญญาณตามแต่ว่าวิธีการใดจะให้ผลดีที่สุด  นี่ไม่เหมือนที่พวกเจ้ากล่าวไว้ว่าวิธีทรงพระราชกิจไม่ว่าวิธีใดก็ย่อมจะดี ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจได้ด้วยการใช้รูปสัณฐานของมนุษย์ และพระวิญญาณก็ทรงพระราชกิจได้เช่นกันโดยไม่มีการพบผู้คนโดยตรง แล้วทั้งสองวิธีนี้ก็สามารถสัมฤทธิ์ผลบางอย่างได้  พวกเจ้าต้องไม่เข้าใจผิดในข้อนี้  พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ แต่พระองค์ก็ทรงมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วย และผู้คนก็ไม่สามารถมองเห็นด้านนี้  ผู้คนมองพระเจ้าว่าเหนือธรรมชาติมาก และพวกเขาไม่สามารถหยั่งถึงพระองค์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดสารพัดอย่างเกี่ยวกับพระองค์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง  มีผู้คนน้อยมากที่มองว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าคือความจริง สัมพันธ์กับชีวิตจริง เป็นสิ่งที่จริงแท้ที่สุด และมนุษย์ก็สามารถสัมผัสและมองเห็นได้  หากผู้คนมีขีดความสามารถและศักยภาพที่จะเข้าใจจริงๆ หลังจากที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็ควรที่จะสามารถมองเห็นว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าทรงแสดงคือความเป็นจริงความจริง มีความจริงและหลักธรรมในทุกพระราชกิจและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แล้วทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็ล้วนมีนัยสำคัญอันยิ่งใหญ่  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงกระทำย่อมมีความหมาย มีความจำเป็น และสามารถสัมฤทธิ์ผลอันดีที่สุดได้  ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์ แผนการ และนัยสำคัญที่แน่นอน  เจ้าคิดหรือว่าพระราชกิจของพระเจ้าทำไปตามถ้อยคำที่กล่าวอย่างไร้การไตร่ตรอง?  พระองค์ทรงมีด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ แต่พระองค์ก็ทรงมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  สิ่งที่พวกเจ้ารู้มีเพียงด้านเดียว  มีข้อผิดพลาดหลายอย่างในความเข้าใจที่พวกเจ้ามีต่อด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเข้าใจที่พวกเจ้ามีต่อด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนมากกว่ามาก

ในพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า ระยะแรกดำเนินการโดยพระวิญญาณ ในขณะที่สองระยะสุดท้ายดำเนินการด้วยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และพระราชกิจแต่ละระยะของพระองค์นั้นมีความสำคัญมาก  ยกตัวอย่างการตรึงกางเขน หากพระวิญญาณทรงถูกตรึงกางเขน นั่นย่อมจะไม่มีความหมายอันใด เพราะผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสพระวิญญาณได้ และพระวิญญาณก็ไม่สามารถรู้สึกอะไรหรือทนทุกข์กับความเจ็บปวด  ดังนั้นการตรึงกางเขนเช่นนี้ย่อมจะไม่มีความหมาย  ระยะที่เกิดขึ้นในยุคสุดท้ายเป็นระยะของการพิชิตผู้คน ซึ่งเป็นพระราชกิจที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถทำได้—เมื่อเป็นเรื่องของพระราชกิจนี้ พระวิญญาณไม่สามารถแทนที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ และพระราชกิจที่พระวิญญาณทรงกระทำก็ไม่สามารถดำเนินการด้วยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์  เมื่อพระเจ้าเลือกการทรงปรากฏในรูปมนุษย์หรือพระวิญญาณในการทำพระราชกิจระยะใดของพระองค์ก็ตาม นี่คือการเลือกที่จำเป็นอย่างยิ่ง และทั้งหมดนี้ก็ทรงทำเพื่อที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายแห่งแผนการบริหารจัดการของพระองค์  พระเจ้าทรงมีทั้งด้านที่เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พระองค์ทรงพระราชกิจทุกระยะของพระองค์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้คนจินตนาการว่าพระเจ้าไม่ตรัสหรือมีพระดำริ ว่าพระองค์ทรงทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงต้องการที่จะทำ แต่นี่ไม่ใช่เช่นนั้น  พระองค์มีพระปัญญา พระองค์มีทั้งหมดที่พระองค์ทรงเป็น และนี่คือแก่นแท้ของพระองค์  เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจ พระองค์จำเป็นต้องเปิดเผยและแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ พระปัญญาของพระองค์ และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจ รู้จัก และบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจขึ้นมาลอยๆ และพระองค์ยิ่งไม่ทรงพระราชกิจตามความคิดฝันของผู้คน พระองค์ทรงลงมือทำตามความจำเป็นของพระราชกิจและตามผลลัพธ์ที่จำเป็นต้องสัมฤทธิ์  พระองค์ตรัสในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พระองค์ทรงพระราชกิจและทรงทนทุกข์อยู่ทุกวัน และเวลาที่พระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ก็ทรงรู้สึกเจ็บปวด  ไม่ใช่ว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ในช่วงเวลาที่มีการทรงพระราชกิจและตรัสในรูปของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และเมื่อไม่มีการทรงพระราชกิจและตรัสในรูปของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระวิญญาณก็เสด็จจากไป  หากเป็นดังนี้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมจะไม่ทรงทุกข์ทน และนี่ย่อมจะไม่ใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า ดังนั้น ผู้คนจึงไม่รู้จักพระเจ้าดี และความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์ก็มีเพียงผิวเผินเท่านั้น  ผู้คนพูดกันว่าพระเจ้าทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติ หรือพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงฤทธานุภาพทั้งปวง—ถ้อยคำทั้งหมดนี้คือถ้อยคำที่พวกเขาเรียนรู้มาจากผู้อื่น เพราะพวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงหรือประสบการณ์จริง  เมื่อพูดถึงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เหตุใดจึงให้ความสำคัญกับแก่นแท้ของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์?  เหตุใดจึงไม่ให้ความสำคัญกับพระวิญญาณ?  จุดสนใจอยู่ที่พระราชกิจของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ส่วนพระราชกิจของพระวิญญาณเป็นการสนับสนุนและช่วยเหลือ และนี่ก็สัมฤทธิ์เป็นผลลัพธ์แห่งพระราชกิจของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์  ในแต่ละระยะ ผู้คนสามารถรู้จักพระเจ้าได้บ้าง แต่เมื่อต้องการที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นอีกนิด พวกเขากลับไม่อาจประสบความสำเร็จหรือทำได้ เมื่อพระเจ้าตรัสนิดหนึ่ง ผู้คนก็เข้าใจนิดหนึ่ง แต่ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์ยังคงไม่ชัดเจนนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจส่วนที่สำคัญได้โดยง่าย  หากพวกเจ้าคิดว่าพระวิญญาณสามารถทำทุกสิ่งที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถทำได้ และพระวิญญาณสามารถแทนที่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะไม่มีวันรู้จักนัยสำคัญของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระราชกิจของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และไม่รู้ว่าการทรงปรากฏในรูปมนุษย์คืออะไร

บทตัดตอน 22

เนื้อหาของพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์มีความสมบูรณ์เป็นพิเศษ โดยมีการรวมหลากหลายด้านของความจริง รวมถึงถ้อยแถลงเกี่ยวกับการเผยพระวจนะ ทำนายสภาวะในยุคต่างๆ ที่จะมาถึง  ที่จริงคำเผยพระวจนะดังกล่าวมีลักษณะทั่วไปมาก โดยพระวจนะส่วนใหญ่ที่บรรจุอยู่ภายในหนังสือเล่มนี้พูดถึงการเข้าสู่ชีวิต เปิดเผยธรรมชาติมนุษย์ และกล่าวถึงวิธีการรู้จักพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์  และในเรื่องของยุคที่จะมาถึง จำนวนยุคที่จะมี รูปแบบของรูปการณ์แวดล้อมที่มวลมนุษย์จะเข้าไปสู่นั้น ในหนังสือเล่มนี้ไม่มีรูปแบบเฉพาะ ไม่มีการอ้างอิงที่เฉพาะเจาะจง หรือแม้แต่ยุคสมัยที่เฉพาะเจาะจงหรือ?  นี่คือการบอกว่าผู้คนไม่จำเป็นต้องเอาตนเองไปกังวลกับยุคต่างๆ ที่จะมาถึง ช่วงเวลานั้นยังมาไม่ถึงและยังคงอยู่ห่างไกลมาก  ต่อให้เราพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าก็จะไม่เข้าใจ และนอกจากนี้ผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ในขณะนี้  เรื่องเหล่านี้มีความสัมพันธ์น้อยนิดกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของผู้คน  ทั้งหมดที่พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจคือพระวจนะที่เปิดเผยธรรมชาติของมนุษย์เหล่านั้น  เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว  ในอดีตมีการเผยพระวจนะอยู่บ้าง อย่างเช่น ราชอาณาจักรพันปี พระเจ้าและมนุษย์เข้าไปสู่ที่สงบสุขด้วยกัน และอ้างถึงยุคพระวจนะด้วย  คำเผยพระวจนะล้วนเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาต่างๆ ที่จะมาถึงในไม่ช้า ส่วนบรรดาสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงคือเรื่องที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้น เรื่องที่พวกเจ้าไม่ควรรู้จะไม่มีการบอกกล่าวกับพวกเจ้า เรื่องที่พวกเจ้าควรรู้คือความจริงทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า—ยกตัวอย่างเช่น พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ทรงแสดงออกต่อมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและเป็นสิ่งที่ถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า และการเปิดเผยธรรมชาติของมนุษย์ผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงทิศทางในชีวิตที่พระเจ้าทรงมอบให้ผู้คน เพราะพระราชกิจของพระเจ้าแห่งการช่วยผู้คนให้รอดประกอบด้วยเรื่องเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญ

วัตถุประสงค์ของการที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้เมื่อทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการสภาวะความเป็นมนุษย์คือการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอดเป็นหลัก  และเพื่อเปลี่ยนอุปนิสัยของผู้คน  ปัจจุบันยุคพระวจนะคือยุคที่เป็นจริง เป็นยุคของการพิชิตความจริงและช่วยมนุษย์ให้รอด โดยจะมีพระวจนะเพิ่มเติมในภายหลัง—ยังมีพระวจนะที่ยังไม่ได้ถูกตรัสออกมาอีกมากมาย  บางคนคิดว่าพระวจนะปัจจุบันเหล่านี้คือการแสดงออกของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์—นี่คือการตีความที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะพระราชกิจของยุคพระวจนะเพิ่งเริ่มต้นในประเทศจีน แต่จะมีพระวจนะมากกว่านี้หลังจากที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจแก่คนทั่วไปในอนาคต  ยุคราชอาณาจักรจะเป็นอย่างไร  มนุษยชาติจะเข้าสู่บั้นปลายแบบใด อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เข้าสู่บั้นปลายนั้น เมื่อถึงเวลานั้นชีวิตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร สัญชาตญาณมนุษย์สามารถไปได้ถึงระดับไหน ความเป็นผู้นำแบบใดและบทบัญญัติแบบใดที่จะจำเป็น ฯลฯ ทั้งหมดนี้ถูกรวมอยู่ในพระราชกิจแห่งยุคพระวจนะ  การครอบคลุมสรรพสิ่งของพระเจ้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าจินตนาการในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เท่านั้น  การแสดงออกของพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถเป็นเรื่องเรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการหรือ?  การครอบคลุมสรรพสิ่ง การสถิตอยู่ทุกหนแห่ง มหิทธานุภาพ และความเป็นพระเจ้าไม่ใช่คำกล่าวลอยๆ—หากเจ้ากล่าวว่าหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นตัวแทนทุกอย่างของพระเจ้า และพระวจนะเหล่านี้เป็นจุดสิ้นสุดของการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ได้มองพระเจ้าในแบบที่เล็กเกินไป นี่ไม่ใช่การนิยามพระเจ้าอีกครั้งหรือ?  เจ้าต้องรู้ว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นส่วนที่เล็กมากของพระเจ้าผู้ครอบคลุมสรรพสิ่ง  วงการศาสนาทั้งหมดได้นิยามพระเจ้าไว้ภายในพระคัมภีร์  และวันนี้พวกเจ้าไม่ได้นิยามพระองค์เช่นกันหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าการนิยามพระเจ้าเป็นการลดพระเกียรติของพระเจ้า?  ว่านี่คือการกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระเจ้า?  ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า “สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสในระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ทั้งหมด จะไม่มีพระวจนะจากพระเจ้าอีกต่อไป นั่นคือทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสไว้” ใช่ไหม?  การคิดเช่นนี้คือความผิดพลาดครั้งใหญ่!  พระวจนะที่บรรจุไว้ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นเพียงพระวจนะเริ่มต้นของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเท่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะแห่งพระราชกิจนี้ พระวจนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความจริงของนิมิตต่างๆ เป็นหลัก  ในวันข้างหน้าจะมีการตรัสพระวจนะเกี่ยวกับรายละเอียดของการปฏิบัติมากมายอีกด้วย  ดังนั้นการเผยแพร่พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ไปสู่ผู้คนทั่วไปไม่ได้หมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้มาสู่ช่วงสุดท้าย และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้มาสู่ข้อสรุปสุดท้ายแล้ว  พระเจ้ายังทรงมีพระวจนะอีกมากมายที่จะแสดง และแม้เมื่อมีการตรัสพระวจนะเหล่านี้ออกไปแล้ว คนเราก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว  เมื่อพระราชกิจทั่วทั้งจักรวาลเสร็จสิ้นลง คนเราก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้จะยังคงมีผู้คนดำรงอยู่ในจักรวาลนี้หรือ?  ตราบใดที่ชีวิตดำรงอยู่ ตราบใดที่มนุษยชาติดำรงอยู่ เช่นนั้นการบริหารจัดการของพระเจ้าก็ยังต้องดำเนินต่อไป  เมื่อแผนการบริหารจัดการหกพันปีเสร็จสมบูรณ์ ตราบใดที่ยังมีมนุษยชาติ ชีวิต และจักรวาลนี้ดำรงอยู่ เช่นนั้นพระเจ้าจะยังคงบริหารจัดการทุกอย่าง แต่จะไม่เรียกว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีอีกต่อไป  ถึงตอนนี้ก็จะเรียกว่าการบริหารจัดการของพระเจ้า  บางทีอาจจะมีชื่อเรียกอื่นในอนาคต นั่นจะเป็นอีกชีวิตหนึ่งสำหรับมนุษยชาติและพระเจ้า ไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าจะยังคงทรงใช้พระวจนะในปัจจุบันเพื่อนำผู้คน เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้เหมาะสมสำหรับช่วงเวลานี้เท่านั้น  ดังนั้นจงอย่านิยามพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงเวลาใดๆ  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าแค่ทรงจัดเตรียมพระวจนะเหล่านี้ให้กับผู้คนเท่านั้น และไม่มีอะไรอื่น พระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะได้เพียงเท่านี้”  นี่คือการจำกัดพระเจ้าไว้ในขอบเขตบางอย่างด้วย  นี่เปรียบเหมือนการนำพระวจนะที่ตรัสไว้ในยุคพระเยซูมาใช้ในยุคราชอาณาจักรในปัจจุบัน—นั่นจะเหมาะสมหรือไม่?  พระวจนะบางส่วนอาจประยุกต์ใช้ได้ และพระวจนะบางส่วนจำเป็นต้องยกเลิก ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถกล่าวว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่มีวันสามารถยกเลิกได้  ผู้คนพร้อมที่จะนิยามสิ่งต่างๆหรือไม่?  พวกเขานิยามพระเจ้าจริงๆ ในบางด้าน  บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะอ่านพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เหมือนกับที่ผู้คนอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ในวันนี้ โดยก้าวตามรอยพระบาทของพระเจ้าให้ทัน  ปัจจุบันนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการอ่านพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกกี่ปีที่การอ่านหนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนการดูปฏิทินที่ล้าสมัย เพราะจะมีสิ่งใหม่มาแทนที่สิ่งเก่าในเวลานั้น  ความต้องการของผู้คนถูกสร้างและพัฒนาตามพระราชกิจของพระเจ้า  ณ เวลานั้น ธรรมชาติของมนุษย์ อีกทั้งสัญชาตญาณและคุณสมบัติที่ผู้คนควรมีจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว หลังจากที่โลกนี้เปลี่ยนแปลง ความต้องการของมนุษยชาติจะแตกต่างออกไป  บางคนถามว่า: “พระเจ้าจะตรัสในวันหน้าหรือไม่?”  บางคนจะมาถึงข้อสรุปที่ว่า “พระเจ้าจะไม่สามารถตรัสได้ เพราะเมื่อพระราชกิจแห่งยุคพระวจนะเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นที่สามารถตรัสได้อีก และพระวจนะอื่นใดจะเป็นเท็จ”  นี่ก็คือสิ่งที่ผิดเช่นกันไม่ใช่หรือ?  เป็นเรื่องง่ายที่มวลมนุษย์จะทำผิดพลาดด้วยการนิยามพระเจ้า ผู้คนโน้มเอียงที่จะยึดติดกับอดีตและนิยามพระเจ้า  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ แต่ยังคงนิยามพระราชกิจของพระองค์อย่างไม่ระมัดระวัง  ผู้คนมีธรรมชาติอันโอหังเช่นนี้!  พวกเขาต้องการยึดมั่นกับมโนคติอันหลงผิดแบบเก่าในอดีตและเก็บเรื่องราวต่างๆ ของวันเวลาที่ผ่านไปไว้ในใจของตนเองเสมอ  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นต้นทุนของตนเอง พวกเขาโอหังและโอ้อวด คิดว่าตนเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความกล้าที่จะนิยามพระราชกิจของพระเจ้า  การกระทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้แสดงความเห็นตัดสินพระเจ้าหรือ?  นอกจากนี้ผู้คนยังไม่คำนึงถึงพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอีกด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ แต่พวกเขาก็ยังนิยามพระเจ้าอย่างมืดบอด  ผู้คนโอหังมากจนพวกเขาขาดเหตุผล พวกเขาไม่ฟังผู้ใด และยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าด้วย  นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ โอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และไม่มีการเชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย  นี่คือสิ่งที่พวกฟาริสีเป็นตอนที่พวกเขากล่าวโทษพระเยซู  พวกเขาคิดว่า “ต่อให้เจ้าถูก ข้าก็ยังจะไม่ติดตามเจ้า  พระยาห์เวห์เท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง”  ปัจจุบันมีบางคนด้วยที่กล่าวว่า: “เขาคือพระคริสต์หรือ? ฉันจะไม่ติดตามเขาแม้ว่าเขาจะเป็นพระคริสต์จริงๆ ก็ตาม!”  มีผู้คนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ? มีผู้คนที่นับถือศาสนามากมายที่เป็นเช่นนั้น  นี่แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของมนุษย์เสื่อมทรามเกินไป ผู้คนเช่นนั้นอยู่ห่างไกลจากความรอด  

ในบรรดาธรรมิกชนตลอดยุคต่างๆ โมเสสและเปโตรเท่านั้นคือผู้ที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขาได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถหยั่งถึงพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งที่พวกเขาจับความเข้าใจได้ก็ถูกจำกัดเช่นกัน  พวกเขาเองก็ไม่กล้ากล่าวว่าตนเองรู้จักพระเจ้า  ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริงๆไม่นิยามพระองค์ เพราะพวกเขาตระหนักว่าพระเจ้าไม่อาจถูกคาดการณ์ได้และไม่มีขอบเขต  ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือคนที่โน้มเอียงที่จะนิยามพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  พวกเขาเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับพระเจ้า สร้างมโนคติอันหลงผิดอย่างง่ายดายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ  ดังนั้นผู้คนที่เชื่อว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าคือผู้ที่แข็งขืนต่อพระเจ้ามากที่สุด และเป็นผู้คนที่อยู่ในอันตรายมากที่สุด

บทตัดตอน 23

จงบอกเราที เป็นความจริงหรือไม่ที่พระเจ้าทรงรักและมีความสงสารให้กับมนุษย์?  (นั่นเป็นความจริง)  แล้วเป็นความจริงหรือไม่ที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ และถึงกับทรงสาปแช่งและกล่าวโทษพวกเขา?  (นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน)  ในข้อเท็จจริง ทั้งสองประโยคนี้เป็นความจริงและถูกต้องอย่างสมบูรณ์  แต่ไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายที่จะพูดว่า “เป็นความจริงเช่นกันที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์” และเป็นการยากลำบากสำหรับผู้คนที่จะกล่าวคำพูดเช่นนั้น พวกเขาเพียงสามารถเปล่งคำพูดออกมาได้เมื่อคนเรามีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าเท่านั้น  เมื่อเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งที่เปี่ยมรัก เจ้าก็พูดว่า “พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างเที่ยงแท้  นั่นเป็นความจริง นี่คือการทรงทำของพระเจ้า” ทว่าเมื่อเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งที่ไม่พ้องกันกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—เช่น การมีโทสะต่อพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด หรือต่อพวกศัตรูของพระคริสต์ และสาปแช่งพวกเขา—เจ้าก็คิดว่า “พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ พระเจ้าทรงเกลียดชังมนุษย์”  เช่นนั้นเจ้าก็มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์  ดังนั้นฉากเหตุการณ์ใดในสองฉากเหตุการณ์นี้หรือที่เป็นความจริง?  มีพวกที่ไม่สามารถอธิบายการนี้ได้อย่างชัดเจน  ในหัวใจของผู้คนนั้น พระเจ้าทรงรักมนุษย์ หรือที่พระองค์ไม่ทรงรักมนุษย์จึงเป็นการดีกว่า?  ไม่ต้องกังขาเลยว่าทุกคนชอบที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และพวกเขาก็พูดว่าความรักมนุษย์ของพระเจ้าเป็นความจริง  แต่พวกเขาไม่ชอบที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า การที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และพวกเขาปฏิเสธคำกล่าวที่ว่า “เป็นความจริงเช่นกันที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์”  เช่นนั้นแล้วอะไรคือพื้นฐานสำหรับการกำหนดพิจารณาของมนุษย์ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเป็นความจริงหรือไม่?  นั่นมีพื้นฐานอยู่บนมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์โดยทั้งสิ้น  พระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายในวิธีใดก็ตามแต่ที่มนุษย์ชอบให้พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลาย และนั่นไม่ใช่ความจริงเว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นพ้องตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ หากมนุษย์ไม่ชอบสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เช่นนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็ไม่ใช่ความจริง  พวกที่กำหนดพิจารณาความจริงในหนทางเช่นนั้นมีความรู้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่?  (พวกเขาไม่มี)  อะไรหรือคือผลสืบเนื่องของการที่ให้นิยามพระเจ้าไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์?  นั่นจะนำทางไปสู่การเชื่อฟังพระเจ้า หรือสู่การขัดขืนพระเจ้าหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่ไปสู่การเชื่อฟังพระเจ้า—มีแต่ไปสู่การขัดขืนเท่านั้น  เช่นนั้นพวกที่ปฏิบัติต่อพระเจ้าบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาใช่ผู้คนที่เชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่?  หรือพวกเขาเป็นผู้คนที่ขัดขืนพระเจ้า?  (พวกเขาเป็นผู้คนที่ขัดขืนพระเจ้า)  จุดนี้แน่ใจได้เลย และเป็นการถูกต้องที่หยั่งรู้การนี้ในหนทางนี้  ผู้คนคิดว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ต้องคล้ายคลึงกับการที่ผู้เลี้ยงลูบไล้แกะให้ความอบอุ่นและความชื่นชมยินดีแก่พวกเขา และนั่นต้องบรรจบกับความต้องการที่จำเป็นทางกายและทางอารมณ์ของพวกเขา ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกว่านี่คือความรักของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (พวกเขาคิดเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การตัดแต่งและจัดการของพระองค์ให้ประโยชน์แก่ชีวิตของผู้คนมากกว่า)  นี่ยังคงเป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์อยู่ดี!  หลังการพูดคุยทั้งหมดนั้น พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เป็นความจริง และรู้สึกว่าการไม่รักมนุษย์ของพระเจ้านั้นไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหรือ?  “เป็นความจริงเช่นกันที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์”  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์อย่างไรเล่า?  การไม่รักนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร?  พวกเราทุกคนรู้ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ กล่าวคือ อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ รวมทั้งการสั่งสอนและการบ่มวินัยของพระองค์—ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในวงเขตแห่งรัก  ดังนั้นหากพระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ เหตุใดจึงจะเป็นเช่นนั้นเล่า?  (เพราะอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์)  การพิพากษาและการตีสอนเป็นส่วนของอุปนิสัยอันชอบธรรมนั่นหรือไม่?  (เป็น)  หากการพิพากษาและการตีสอนเป็นส่วนของอุปนิสัยอันชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เป็นการรักหรือการไม่รักเล่า?  (เป็นการรัก)  พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์คืออุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ว่าแต่การไม่รักมนุษย์เป็นส่วนของอุปนิสัยนั้นหรือไม่?  (เป็น)  การที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ยังคงเป็นอุปนิสัยอันชอบธรรมได้อย่างไรเล่า?  เราขอถามพวกเจ้าอีกหนึ่งคำถามว่า พวกเจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์?  สามารถมีตัวอย่างเหตุการณ์เช่นนั้นหรือ?  (เมื่อมนุษย์ก่อการกระทำชั่วทุกจำพวกและทำลายพระหทัยพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์)  สิ่งที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงนั้นมีเงื่อนไขและอยู่บนพื้นฐานของข้อกำหนดเบื้องต้น ขณะที่สิ่งที่เรากำลังถามนั้นไม่ใช่เป็นเชิงข้อสันนิษฐาน  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เป็นความจริงแน่นอน และทุกคนเข้าใจสิ่งนี้  แต่ผู้คนมีข้อกังขาว่าการที่พระเจ้าไม่รักผู้คนนั้นเป็นความจริงหรือไม่  หากเจ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ เจ้าก็จะผ่านส่วนใหญ่ของสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำได้ และเจ้าจะไม่สร้างมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา  พระเจ้าส่งห่วงกังวลตรงไหน อะไรคือการสำแดงของการไม่รักมนุษย์ของพระองค์?  (พวกเรายังไม่มีสติตรงแง่มุมนี้)  พวกเจ้ายังไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ และเจ้ายังไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้  พระวจนะใดที่พวกเรารู้จักจนถึงตอนนี้ที่สามารถอธิบายการที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์ได้?  ความชิงชัง ความจงเกลียดจงชัง ความเกลียด และความขยะแขยง และการทอดทิ้ง การรังเกียจ และการปฏิเสธด้วย  โดยหลักแล้วก็พระวจนะเหล่านี้  ทุกคนเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ ดังนั้นพระวจนะเหล่านี้สามารถเทียบเท่ากับการไม่รักได้หรือไม่?  (ได้)  พระวจนะเหล่านี้มีอยู่เป็นปกติวิสัยในการสำแดงของการไม่รักมนุษย์ของพระเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าคิดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่?  (ใช่ พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง)  ในทัศนะของพวกเจ้า การไม่รักมนุษย์ของพระเจ้าพึงต้องมีหลักฐานอ้างอิง กล่าวคือ พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่รักมนุษย์ในบริบทของการรักมนุษย์—นั่นเป็นความจริง  สมมุติว่าหลักฐานอ้างอิงนี้ไม่มีทั้งองค์ประกอบและพื้นฐานสำหรับความรัก เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่รักมนุษย์ ด้วยการสำแดงของการไม่รักมนุษย์  พวกเจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะสอบค้นให้แน่ใจ ว่าการไม่รักมนุษย์ของพระเจ้านั้นใช่ความจริงหรือไม่ และเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ครบถ้วน  ในที่นี้มีปมปัญหาของเรื่องนี้อยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน

พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้า ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวล พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ และการที่ได้ทำเช่นนั้น พระองค์ทรงจำเป็นต้องดูแลผู้คน บริหารจัดการสิ่งที่พวกเขากินและดื่ม และบริหารชีวิตและโชคชะตาของพวกเขาทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ?  (พระองค์ไม่ทรงจำเป็น)  พูดได้ว่า การที่จะดูแลเจ้าหากพระองค์ทรงต้องการ และการที่จะโยนเจ้าเข้าไปในฝูงชนหรือเข้าไปในบางสภาพแวดล้อม หากพระองค์ไม่ทรงต้องการที่จะดูแลเจ้าโดยทิ้งให้เจ้าดำผุดดำว่ายนั้น อยู่ภายในฤทธานุภาพของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  เนื่องจากนั่นอยู่ภายในฤทธานุภาพของพระเจ้า ที่ว่าพระเจ้าไม่ใส่ใจมนุษย์จึงไม่ใช่ความจริง ใช่หรือไม่?  (ใช่)  นั่นพ้องกับความจริง  นี่ถูกพูดว่าเป็นความจริงได้อย่างไรกัน?  (พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง)  ในแง่ของพระอัตลักษณ์และพระสถานะของพระเจ้า และในแง่ของความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ พระเจ้าจะทรงดูแลเจ้าหากพระองค์ทรงปรารถนาเช่นนั้น และหากพระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะดูแลเจ้า เช่นนั้นพระเจ้าก็จะไม่ทรงทำ  นั่นก็คือ เป็นการเหมาะควรสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดูแลเจ้าหากพระองค์ทรงต้องการ และก็สมเหตุผลหากพระองค์ไม่ทรงต้องการ  การนี้ขึ้นอยู่กับอะไรหรือ?  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าทรงเต็มใจหรือไม่ และนี่คือความจริง  มีพวกที่พูดว่า “ไม่นะ เพื่องจากพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้นมา พระองค์ต้องทรงดูแลสิ่งที่ข้าพระองค์กินและดื่ม—พระองค์ต้องทรงดูแลข้าพระองค์ตราบชีวิตที่เหลือของข้าพระองค์”  นั่นพ้องกับความจริงหรือไม่?  นี่ขัดต่อเหตุผลและไม่คงเส้นคงวากับความจริง  หากพระเจ้าตรัสว่า “หลังจากที่เราสร้างเจ้า เราก็ปัดเจ้าทิ้งไปและจะไม่ดูแลเจ้าอีกต่อไป”  นี่เป็นฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง  เพราะพระเจ้าสามารถทรงสร้างเจ้าขึ้นมา พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพที่จะปัดเจ้าทิ้งไปไม่ว่าในสถานที่ที่ดีหรือสถานที่ที่ไม่ดี  นี่เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า  อะไรคือพื้นฐานของฤทธานุภาพของพระเจ้า?  นั่นก็คือพระอัตลักษณ์และพระสถานะของพระเจ้า ดังนั้นพระองค์สามารถทรงดูแลเจ้าหรือไม่ก็ได้ และในทั้งสองกรณี นั่นก็คือความจริง  เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นคือความจริง?  ตรงนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ  ครั้นเจ้าได้เข้าใจแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าตัวเจ้าเป็นใคร ใครคือพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ และอะไรคือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับตัวเจ้า  พวกเรากลับมาตรงแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการไม่รักมนุษย์ของพระเจ้ากันเถิด  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องรักมนุษย์หรือไม่?  (พระองค์ไม่ทรงจำเป็น)  เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงจำเป็น นั่นใช่ความจริงหรือไม่ที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์?  (นั่นเป็นความจริง)  นั่นไม่ทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนขึ้นหรอกหรือ?  ทีนี้พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับการนี้กันเถิดที่ว่า เนื่องจากมวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและนำพามวลมนุษย์มาสู่พระองค์ เช่นนั้นแล้ว อะไรคือสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เล่า?  (ไม่มีสัมพันธภาพ)  นั่นไม่จริง อันที่จริงแล้วมีสัมพันธภาพหนึ่งอยู่  แล้วเป็นสัมพันธภาพประเภทใดเล่า?  เป็นสัมพันธภาพแบบเป็นอริ  เจ้าเป็นอริต่อพระเจ้าและแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าก็เป็นอริต่อแก่นแท้ของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น นั่นมีเหตุผลหรือไม่สำหรับการที่พระเจ้าไม่ทรงรักเจ้า?  นั่นมีเหตุผลหรือไม่สำหรับการที่พระเจ้าทรงชิงชังเจ้า ทรงเกลียด ทรงขยะแขยงเจ้า?  (มีเหตุผล)  แหตุใดจึงมีเหตุผล?  (เพราะไม่มีอะไรในตัวพวกเราที่คู่ควรกับความรักของพระเจ้า และอุปนิสัยของพวกเราก็ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างแสนสาหัส)  พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และเจ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง แต่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่ได้ติดตามพระเจ้าหรือฟังพระวจนะของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าได้ติดตามซาตานและได้กลายเป็นศัตรูและฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้า  พระเจ้าทรงรักเจ้าเพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้แห่งความสงสาร กล่าวคือ พระองค์ทรงเวทนาเจ้า และพระองค์ทรงช่วยเจ้าให้รอด  พระเจ้าทรงมีแก่นแท้นี้  พระเจ้าทรงมีความสงสารและความห่วงใยให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง  ความรักของพระองค์สำหรับเจ้านั้นเป็นการทะลักออกมาของแก่นแท้ของพระองค์ ซึ่งเป็นแง่มุมหนึ่งของความจริง  อีกนัยหนึ่งนั้น มวลมนุษย์ไม่คู่ควรแก่ความรักของพระเจ้า  มวลมนุษย์นั้นโอหัง ชิงชังสิ่งที่เป็นบวก ชั่ว เลวร้าย และทั้งเต็มไปด้วยความเกลียดชังและขัดขืนพระเจ้า  ดังนั้น จากแก่นแท้ของพระเจ้า—ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม ความสัตย์ซื่อ และสิทธิอำนาจของพระองค์ที่สำทับเพิ่มเติม—พระองค์สามารถรักมวลมนุษย์เช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?  พระเจ้าสามารถทรงเข้ากันได้หรือกับมวลมนุษย์เช่นนี้?  พระองค์สามารถทรงรักมวลมนุษย์เช่นนี้ได้หรือ?  (พระองค์ไม่ทรงสามารถ)  ในเมื่อพระองค์ไม่ทรงสามารถ เมื่อพระองค์ทรงมาติดต่อกับผู้คนและทรงต้องการช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์จะทรงเผยชัดถึงสิ่งใดเล่า?  ทันทีที่พระเจ้าทรงมาติดต่อกับผู้คน พระองค์ทรงเผยชัดถึงความขยะแขยง ความชิงชัง และความเกลียด และพระองค์ก็ทรงรังเกียจและปฏิเสธพวกที่ทำความชั่วร้ายแรง นี่ไม่ใช่การรัก  เช่นนั้นแล้ว เป็นความจริงหรือไม่ที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์?  (เป็น)  ที่พระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์นั้นเป็นความจริง  ถูกต้องหรือไม่ที่พระเจ้าไม่ทรงรักพวกที่ขัดขืนพระองค์?  (ถูกต้อง)  นี่เป็นธรรมและมีเหตุผล และถูกกำหนดพิจารณาโดยอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ดังนั้น ตรงนี้เช่นกันที่เป็นความจริงว่าพระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์  สิ่งใดเล่ากำหนดพิจารณาว่านี่คือความรัก?  นี่กำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระเจ้า

ดังนั้นเมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว พระเจ้าทรงรักมนุษย์หรือไม่?  (พระองค์ทรงรัก)  ดังข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ตามแก่นแท้และการสำแดงของมนุษย์ มนุษย์ไม่คู่ควรแก่ความรักของพระเจ้า แต่พระเจ้ายังคงสามารถรักมนุษย์ได้มากล้น  ในทัศนะของพวกเจ้า พระเจ้าคือความจริงหรือไม่?  แก่นแท้ของพระองค์บริสุทธิ์หรือไม่?  (บริสุทธิ์)  อีกนัยหนึ่งก็คือ เนื่องจากมนุษย์น่าขยะแขยงยิ่งนักและความเสื่อมทรามของพวกเขาแล่นลงลึกเหลือเกิน พระเจ้าสามารถทรงรักมนุษย์โดยปราศจากความเกลียดสักเล็กน้อยได้หรือ?  หากไม่มีความเกลียดเล็กน้อย ความจงเกลียดจงชังหรือความขยะแขยงเล็กน้อย เช่นนั้นนี่ก็ไม่พ้องกับแก่นแท้ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเกลียด ทรงชิงชัง ทรงขยะแขยง และทรงเหนื่อยหน่ายกับมวลมนุษย์นี้ แต่พระองค์ก็ยังคงทรงสามารถที่จะช่วยผู้คนให้รอด และนี่คือความรักอันเที่ยงแท้ของพระเจ้า—แก่นแท้ของพระเจ้า!  การไม่รักมนุษย์ของพระเจ้านั้นก็เนื่องมาจากแก่นแท้ของพระองค์ และที่พระองค์ยังทรงสามารถรักมนุษย์ได้ก็เนื่องมาจากแก่นแท้ของพระองค์เช่นกัน  ดังนั้นบัดนี้ชัดเจนว่าสิ่งไหนคือความจริง การที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์? หรือการที่พระองค์ไม่ทรงรักมนุษย์?  (ทั้งสองคือความจริง)  บัดนี้เป็นที่เข้าใจตรงกันแล้ว  เช่นนั้น มนุษย์สามารถทำการนี้ได้หรือไม่?  ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำการนี้ได้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่สามารถ—แม้แต่ผู้คนก็ทำกับบุตรหลานของพวกเขาเองไม่ได้  หากบุตรของเจ้าทำให้เจ้าโกรธและทำร้ายจิตใจเจ้าอยู่เสมอ เจ้าก็จะโกรธในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหัวใจเจ้าก็เริ่มขยะแขยง ครั้นเขาได้ทำให้เจ้าขยะแขยงอยู่นานพอ เจ้าก็จะรามือไปเลยอย่างสิ้นเชิง และในตอนท้าย เจ้าก็จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา  อะไรคือความรักแบบมนุษย์?  ความรักแบบมนุษย์มาจากความเสน่หาและสัมพันธภาพทางสายเลือดของเนื้อหนัง จึงไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง นั่นเป็นความรักซึ่งเกิดออกมาจากความต้องการที่จำเป็นของเนื้อหนังและความเสน่หาของมนุษย์  อะไรคือพื้นฐานสำหรับความรักนี้?  ความรักนี้อยู่บนพื้นฐานของความเสน่หา สัมพันธภาพทางสายเลือด และผลประโยชน์ และไม่มีความจริงในความรักนั้นเลยสักเสี้ยว  เช่นนั้นแล้ว อะไรหรือคือเหตุผลสำหรับการไม่รักของมนุษย์?  เมื่อได้เกลียด ชิงชัง และถูกทำให้ขยะแขยงโดยคนที่ทำลายหัวใจเขา เขาก็ไม่รักอีกต่อไป เขาไม่สามารถรักได้อีกต่อไป  พวกเจ้าคิดว่ามวลมนุษย์นี้ได้ทำลายพระหทัยของพระเจ้าไปมากน้อยเพียงใดหรือ?  (เกินบรรยาย)  ใช่ เกินบรรยาย  เช่นนั้นแล้วพระเจ้ายังคงรักมนุษย์หรือไม่?  เจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์หรือไม่ แต่แม้กระทั่งตอนนี้ที่พระเจ้ากำลังทรงช่วยเจ้าให้รอด ทรงพระราชกิจตลอดเวลา ตรัสเพื่อนำทางและจัดเตรียมให้กับเจ้า  พระองค์จะไม่ทรงรามือในตัวเจ้าตราบจนชั่วขณะสุดท้ายจริงๆ เมื่อตอนที่พระราชกิจเสร็จสิ้นลง  นี่ไม่ใช่ความรักหรือ?  (ใช่)  มวลมนุษย์มีความรักที่เป็นดั่งรักนี้หรือ?  (ไม่)  เมื่อความต้องการที่จำเป็นทางอารมณ์ของผู้คนหมดไป เมื่อสัมพันธภาพทางสายเลือดของพวกเขาถูกตัดขาด และไม่มีการเชื่อมสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ใดเลยระหว่างพวกเขา พวกเขาไม่รักอีกต่อไป ความรักของพวกเขาหมดไปแล้ว และแล้วพวกเขาก็เลือกที่จะรามือ—ไม่ “ลงทุน” อีกต่อไป  พวกเขาได้เลิกล้มไปโดยสิ้นเชิง  อะไรหรือคือการแสดงออกที่เป็นแก่นสารของความรัก?  นั่นคือการทำสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ และหากไม่ทำสิ่งที่สัมพันธ์กับความรักเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่มีความรัก  คนบางคนพูดว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังมนุษย์ แต่นั่นไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด  พระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้า แต่พระองค์ได้ตรัสกับเจ้าน้อยลงบ้างไหม?  พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความจริงให้กับเจ้าน้อยลงบ้างไหม?  พระองค์ได้ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าน้อยลงบ้างไหม?  เพราะฉะนั้นในการพูดว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้านั้น เจ้าไม่มีมโนธรรม วาจาเจ้าไร้มโนธรรม  ไม่ใช่ความผิดเลยที่พระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้า แต่พระองค์ก็ยังทรงรักเจ้า และได้ทรงพระราชกิจมากมายในตัวเจ้า  เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้า แต่ทำไมเล่า?  หากเจ้าเชื่อฟังพระเจ้าในทุกแง่มุมและกลายเป็นเหมือนโยบ พระเจ้าจะยังทรงเกลียดชังเจ้าหรือ?  พระองค์ย่อมจะไม่เกลียดชังเจ้าอีกต่อไป พระองค์ย่อมจะมีเพียงความรักให้เจ้าเท่านั้น  ความรักของพระเจ้าสำแดงตนอย่างไรเล่า?  ความรักของพระเจ้าไม่คล้ายคลึงความรักของมนุษย์ซึ่งเหมือนกับการทะนุถนอมปกป้องใครบางคนราวไข่ในหิน  พระเจ้าไม่ทรงรักผู้คนในหนทางนั้น พระองค์ทรงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง พระองค์ปล่อยให้เจ้าเกิดการตระหนักรู้วิธีดำเนินชีวิต วิธีการอยู่รอด และวิธีที่จะนมัสการพระองค์ วิธีที่จะแตกฉานท่ามกลางสรรพสิ่ง และดำรงชีวิตที่เปี่ยมความหมาย และไม่ทำสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่ติดตามซาตาน  ความหมายของความรักของพระเจ้าไม่คงทนและแผ่ไพศาลหรอกหรือ?  มันแผ่ไพศาลเหลือเกิน ผลพวงของการที่พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้นั้นมีนัยสำคัญอย่างมหันต์ และมีมูลค่าอันแผ่ไพศาลที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง  นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำได้ นี่มีมูลค่าอันมิอาจประเมินได้ และนี่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับเงินตราหรือสิ่งต่างๆ ทางวัตถุใดโดยมนุษย์  เจ้าก็เห็น ผู้คนทุกวันนี้เข้าใจความจริงบางอย่าง และพวกเขารู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้า แต่พวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับการนี้บ้างหรือไม่ เมื่อ 20 หรือ 30 ปีที่แล้ว?  (พวกเขาไม่รู้)  พวกเขาไม่ได้รู้ว่าพระคัมภีร์เป็นมายังไง พวกเขาไม่ได้รู้ว่าอะไรคือแผนบริหารจัดการของพระเจ้าคืออะไร พวกเขาไม่ได้รู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่อย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณวุฒิ พวกเขาไม่รู้อะไรในสิ่งเหล่านี้เลย  ดังนั้นหากเจ้ากระโดดไปข้างหน้าอีกยี่สิบปีต่อจากนี้ มวลมนุษย์ ณ เวลานั้นจะดีกว่าที่พวกเจ้าเป็นอยู่ตอนนี้อย่างมากมายหรือไม่?  (พวกเขาจะเป็นเช่นนั้น)  นี่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?  นี่เป็นเพราะความรอดของพระเจ้าและความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับมนุษย์ของพระองค์  นี่เป็นเพราะพระองค์มีความอดทน ความยอมผ่อนปรน และความสงสารสำหรับมนุษย์ มนุษย์จึงได้รับสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกิน  หากไม่ใช่เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มนุษย์จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย

พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์หรือไม่?  (พระองค์ทรงรัก)  แล้วพระเจ้าทรงเกลียดชังมนุษย์หรือไม่?  (พระองค์ทรงเกลียดชัง)  ในหนทางใดเล่า?  อันที่จริงแล้ว ในพระหทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงขยะแขยงมนุษย์ และทรงชิงชังแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์  พระเจ้าทรงขยะแขยงทุกคน แล้วพระองค์ยังสามารถทรงพระราชกิจในมนุษย์ได้อย่างไรเล่า?  เพราะพระองค์ทรงมีความรักและพระองค์ทรงต้องการที่จะช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอด  พระองค์ไม่ทรงเกลียดชังผู้คนหรอกหรือ ตอนที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอด?  พระองค์ทรงเกลียดชัง การเกลียดชังกับความรักดำรงอยู่ด้วยกันโดยพร้อมเพรียงกัน  พระองค์ทรงเกลียดชัง พระองค์ทรงชิงชัง และพระองค์ก็ทรงรังเกียจ—แต่ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงพระราชกิจสำหรับความรอดของมนุษย์  พวกเจ้าคิดว่าใครหรือที่สามารถทำเช่นนั้นได้?  ไม่มีมนุษย์คนใดทำการนั้นได้  เมื่อผู้คนเห็นใครบางคนที่พวกเขาขยะแขยงและชิงชัง พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะมองดูคนเหล่านั้นอีกต่อไป และแม้แค่พูดกับคนเหล่านั้นคำเดียวก็มากเกินไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นอย่างที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดว่า “ถ้าคิดไม่เหมือนกัน แค่คำเดียวก็เปลืองลมหายใจเปล่าแล้ว”  พระเจ้าตรัสพระวจนะกับมนุษย์ไปกี่คำเล่า?  มากมายเหลือเกิน  เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าไม่ทรงรักมนุษย์?  หรือว่าพระองค์ไม่ทรงเกลียดชังมนุษย์?  (พวกเราพูดไม่ได้)  การเกลียดชังคือข้อเท็จจริง ความรักก็เช่นกัน  สมมุติเจ้าพูดว่า “พระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเรา พวกเราอย่าไปเข้าใกล้พระองค์เลย  พวกเราอย่าให้พระเจ้าช่วยพวกเราให้รอดเลย แล้วก็อย่าทำให้พระองค์ทรงรำคาญเป็นอันขาดด้วย”  นี่ลำดับความเป็นเหตุเป็นผลถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าไม่คำนึงถึงพระหทัยของพระเจ้า ทั้งเจ้าก็ยังไม่เข้าใจพระองค์ หรือรู้จักพระองค์อีกด้วย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โดยการพูดเช่นนี้ เจ้ากำลังกบฏต่อพระเจ้าและทำลายพระหทัยพระองค์  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังมนุษย์เพราะเหตุใดและพระองค์ทรงรักมนุษย์อย่างไร  การเกลียดชังและความรักของพระเจ้านั้นมีเหตุผล ต่างมีภูมิหลังและหลักธรรมของของตัวมันเอง  หากเจ้าพูดว่า “เพราะพระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอด พระองค์ต้องทรงรักฉัน พระองค์ไม่สามารถเกลียดชังฉันได้”  นี่เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่?  (ใช่)  ต่อให้พระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้า พระองค์ก็ไม่ทรงล่าช้าในการช่วยเจ้าให้รอด และยังทรงมอบโอกาสให้เจ้ากลับใจ  นั่นไม่มีผลต่อการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า หรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าก็ยังชื่นชมพระคุณของพระเจ้าต่อไป แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังโต้เถียงอยู่เล่า?  การที่พระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้าก็เป็นไปตามที่ควรแล้ว การนี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์มิได้ทรงล่าช้าในการช่วยเจ้าให้รอด  ผู้คนไม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเชียวหรือ?  (พวกเขาควร)  พวกเขาควรรู้เรื่องอะไรหรือ?  พวกเขาต้องรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ากับความบริสุทธิ์ของพระองค์  คนเราควรเริ่มการทำความรู้จักสิ่งเหล่านั้นยังไงหรือ?  นั่นเรียกว่าอะไร เมื่อพระเจ้าทรงเกลียดชังมวลมนุษย์นี้มากเหลือเกินแต่ยังคงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอด?  พระกรุณาอันอุดมล้น  นี่คือสิ่งที่อยู่ภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทรงทำการนี้ ซาตานจะไม่ทำการนี้  ในขณะที่มันไม่เกลียดชังเจ้า มันก็เหยียบย่ำเจ้า  หากมันเกลียดเจ้า เช่นนั้นมันก็จะทรมานเจ้าทั้งวัน โดยถึงกับลิดรอนการกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์ใหม่อย่างถาวรและทิ้งให้เจ้าหล่นลงสู่นรกขุมที่สิบแปดด้วยซ้ำ  นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซาตานทำหรอกหรือ?  (ใช่)  แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับผู้คนในหนทางนี้หรือ?  ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง  พระเจ้าทรงมอบโอกาสมากพอให้ผู้คนกลับใจ  เพราะฉะนั้น จงอย่าเกรงกลัวว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังเจ้า การเกลียดชังของพระองค์ที่มีต่อเจ้าถูกกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระองค์  จงอย่าหันเหไปจากพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงเกลียดชังเจ้า คิดว่า “ฉันไม่มีค่าพอกับการได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องช่วยฉันให้รอด ปล่อยให้พระองค์ไม่ต้องมีความวิตกกังวลอันใด” และจากนั้นก็ทอดทิ้งพระเจ้า  นี่จะทำให้พระเจ้าเกลียดชังเจ้ามากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าได้ทรยศและดูหมิ่นเหยียดหยามพระองค์และเปิดโอกาสให้ซาตานหัวเราะเยาะเจ้า  พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเช่นนั้นหรือ?  (บางคราวเมื่อข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์ของการถูกปลดและทนทุกข์กับความพลาดพลั้งและความล้มเหลวบางอย่าง ข้าพระองค์รู้สึกว่าข้าพระองค์ได้ทำลายพระหทัยของพระเจ้า และว่าพระองค์จะไม่ช่วยข้าพระองค์ให้รอดอีกต่อไปแล้ว หัวใจของข้าพระองค์อยู่ในสภาวะของการหลีกเลี่ยงพระเจ้า)  การทำลายพระหทัยของพระเจ้าของเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งชั่วคราว เจ้าได้ทำลายพระหทัยของพระเจ้ามานานแล้ว—และมากกว่าหนึ่งครั้ง!  แต่การที่เจ้ารามือนั้นเทียบเสมอกับการที่เจ้าปล่อยให้พระเจ้าทรงรามือจากเจ้าและไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดโดยครบบริบูรณ์ และจากนั้นพระหทัยของพระเจ้าก็จะแหลกสลายจริงๆ  พระเจ้าจะไม่ทรงสำเร็จโทษผู้คนจนถึงตายหรือสรุปตัดสินผู้คนเพราะพฤติกรรมของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นชั่วครู่ชั่วยามหรือเป็นช่วงเวลานาน พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำความรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือ?  มโนคติอันหลงผิดและมโมทัศน์ที่ผิดของมนุษย์สามารถได้รับการแก้ไขได้อย่างไร?  เจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าดำริอะไรเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่าง หรือจะจับคู่สิ่งเหล่านั้นกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพระองค์อย่างไร  เจ้าไม่เข้าใจแต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำก็คือ ไม่สำคัญว่าพระเพระเจ้าทรงทำสิ่งใด มนุษย์ก็ต้องเชื่อฟัง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทำจากดินเหนียว และพวกเขาควรเชื่อฟังพระเจ้า  นี่คือหน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบของมนุษย์  ที่คือท่าทีที่ผู้คนควรมี  ทันทีที่ผู้คนมีท่าทีนี้ พวกเขาควรปฏิบัติอย่างไรต่อพระเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำ?  จงไม่กล่าวโทษโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นจงแก้ไข แต่จงไม่กล่าวโทษพระเจ้าหรือสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  ทันทีที่เจ้ากล่าวโทษสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็จบเห่ นั่นเทียบเท่ากับการยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าโดยไม่มีโอกาสได้รับความรอดเลย  เจ้าอาจพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังยืนอยู่ทางฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า แต่ฉันมีการเข้าใจพระเจ้าผิด” หรือ “ฉันมีความกังขานิดหน่อยในหัวใจเกี่ยวกับพระเจ้า ความเชื่อของฉันนั้นน้อย และฉันมีความอ่อนแอและความคิดลบ”  ทั้งหมดนี้บริหารจัดการได้ ทั้งหมดนี้สามารถได้รับการแก้ไขโดยการแสวงหาความจริง—แต่จงอย่ากล่าวโทษพระเจ้า หากเจ้าพูดว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ถูกต้อง นั่นไม่พ้องกับความจริง ดังนั้นฉันมีเหตุผลที่จะกังขา ตั้งคำถามและกล่าวหา  ฉันจะเผยแพร่เรื่องนี้ไปทุกแห่งหนและรวมรวมผู้คนให้พร้อมใจกันตั้งคำถามกับพระองค์” นี่จะสร้างความเดือดร้อน  ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลง และหากเจ้ากล่าวโทษพระเจ้า เจ้าก็จะจบเห่โดยสมบูรณ์ มีหนทางมากมายเหลือเกินที่พระเจ้าทรงสามารถแก้เผ็ดเจ้า  เพราะฉะนั้นผู้คนไม่ควรจงใจต่อต้านพระองค์  นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดขืนพระองค์โดยไม่ตั้งใจ นั่นไม่ได้ถูกทำไปโดยตั้งใจหรือมีจุดประสงค์ และพระเจ้าทรงให้โอกาสเจ้ากลับใจ  หากเจ้าตั้งใจกล่าวโทษการนั้นแม้เจ้ารู้ว่าบางสิ่งเป็นการทำของพระเจ้า และเจ้าก็ปลุกระดมให้ทุกคนพากันกบฏ เช่นนั้น นี่ก็สร้างความเดือดร้อน  และผลลัพธ์จะเป็นอะไรเล่า?  เจ้าจะจบลงเหมือนผู้นำของชุมนุมชนสองร้อยห้าสิบคนที่ขัดขืนโมเสส  ทั้งที่รู้ว่านั่นคือพระเจ้า เจ้าก็ยังกล้าดีที่จะโหวกเหวกใส่พระองค์  พระเจ้าไม่ทรงโต้วาทีกับเจ้า  พระองค์คือสิทธิอำนาจ พระองค์ทรงทำให้ธรณีสูบเจ้าเข้าไปโดยตรง และทั้งหมดก็มีเท่านั้นเอง  พระองค์จะไม่มีวันทรงมองเห็นเจ้าหรือฟังการให้เหตุผลของเจ้า  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า  อะไรคือการสำแดงอุปนิสัยของพระเจ้า ณ เวลานี้?  พระพิโรธ!  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะในวิถีทางใด ผู้คนไม่ควรโหวกเหวกใส่พระเจ้าหรือยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ หากผู้ใดล่วงเกินพระเจ้า ผลลัพธ์จะเป็นความพินาศ

บทตัดตอน 25

หลายปีหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนี้เริ่มขึ้น มีชายผู้หนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งหมดที่เขาต้องการคือหาเงินและหาคู่ชีวิต ดำเนินชีวิตแบบคนรวย และดังนั้นเขาจึงไปจากคริสตจักร  หลังจากท่องตระเวนไปทั่วเป็นเวลาสองสามปี ตอนนี้เขากลับมาโดยไม่คาดคิด  เขาสำนึกเสียใจอย่างยิ่งภายในหัวใจของเขา และร้องไห้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้  นี่พิสูจน์แล้วว่าหัวใจของเขาไม่ได้ผละจากพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องดี เขายังคงมีโอกาสและความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเขาเลิกเชื่อ กลายเป็นแบบเดียวกับผู้ไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้ว เขาก็ย่อมจบสิ้นแล้วอย่างสิ้นเชิง  หากเขาสามารถกลับใจได้จริง เช่นนั้นแล้ว ก็ยังมีความหวังสำหรับเขา การนี้หายากและล้ำค่า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำการอย่างไร และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร—ต่อให้พระองค์ทรงเกลียดชัง รังเกียจ หรือสาปแช่งผู้คน—หากมีสักวันหนึ่งที่พวกเขากลับตัวได้ เช่นนั้นแล้ว เราย่อมจะได้รับความชูใจอันใหญ่หลวง ด้วยเหตุที่การนี้ย่อมจะหมายความว่า พวกเขายังคงมีห้องว่างเล็กๆ นั้นในหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้า ว่าพวกเขายังไม่ได้สูญเสียเหตุผลแบบมนุษย์ของพวกเขาหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ว่าพวกเขายังคงต้องการเชื่อในพระเจ้า และอย่างน้อยพวกเขาก็มีเจตนาอยู่บ้างที่จะยอมรับรู้และหวนคืนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  สำหรับผู้คนที่มีพระเจ้าในหัวใจของตนอย่างแท้จริง ไม่ว่าพวกเขาเคยผละจากพระนิเวศของพระเจ้าไปเมื่อใด หากพวกเขาหวนกลับมาและยังคงรักผูกพันต่อครอบครัวนี้ เช่นนั้นแล้ว เราก็ย่อมจะกลายมาเป็นรักผูกพันขึ้นมาบ้างในระดับหนึ่งด้วยอารมณ์อ่อนไหว และจะได้รับความชูใจอยู่บ้างกับการนี้  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่หวนกลับมาเลย เราจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย  หากพวกเขาสามารถหวนกลับมาได้และกลับใจอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว หัวใจของเราย่อมจะเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจและความชูใจ  การที่ชายผู้นี้ยังคงสามารถหวนกลับมาได้แสดงความนัยว่าเขาไม่ได้ลืมพระเจ้า เขาหวนกลับมาเพราะเขายังคงถวิลหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา  ตอนที่พวกเราพบกันนั้นน่าซึ้งใจมาก  ตอนที่เขาเดินจากไป แน่นอนว่าเขากำลังคิดลบมากทีเดียว และเขาก็อยู่ในสภาวะที่แย่ แต่หากเขาสามารถหวนกลับมาได้ในตอนนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังคงมีความเชื่อในพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม เขาจะสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้หรือไม่นั้น เป็นปัจจัยที่ไม่มีใครรู้ เพราะผู้คนเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเหลือเกิน  ในยุคพระคุณ พระเยซูทรงมีความกรุณาและมีพระคุณให้กับเหล่ามนุษย์  หากแกะตัวหนึ่งหายออกไปจากหนึ่งร้อยตัว พระองค์จะทรงทิ้งเก้าสิบเก้าตัวเพื่อมองหาหนึ่งตัวนั้น  ประโยคนี้มิได้แสดงให้เห็นถึงการกระทำอย่างเครื่องจักรประเภทหนึ่ง และไม่ได้แสดงถึงข้อบังคับ ตรงกันข้าม นี่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์เร่งด่วนของพระเจ้าในการที่จะนำพาความรอดมาสู่ผู้คน ตลอดจนความรักอันลึกซึ้งของพระองค์สำหรับพวกเขา  นี่ไม่ใช่หนทางของการทำสิ่งทั้งหลาย นี่เป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดจำพวกหนึ่ง  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนบางคนจึงไปจากคริสตจักรเป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี หรือมีความอ่อนแอไม่ว่าจะมากมายอย่างไรหรือทนทุกข์จากมโนคติที่ผิดไม่ว่าจะมากมายอย่างไร แต่กระนั้นความสามารถของพวกเขาที่จะตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริง ได้รับความรู้และทำการกลับตัว และกลับไปอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในภายหลัง ก็ทำให้เรารู้สึกได้รับการชูใจเป็นพิเศษ และนำพาความชื่นชมยินดีส่วนเล็กๆ มาให้เรา  ในโลกแห่งความสนุกสนานและความงดงามตระการตาใบนี้ และในยุคชั่วนี้ การที่สามารถยอมรับรู้พระเจ้าและกลับมาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องได้คือสิ่งที่นำความชูใจและความตื่นเต้นมาให้อย่างมากเลยทีเดียว  ลองดูตัวอย่างของการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกหลาน นั่นคือ ไม่ว่าพวกเขากตัญญูหรือไม่ เจ้าจะรู้สึกอย่างไรหากพวกเขาไม่ได้ยอมรับรู้เกี่ยวกับตัวเจ้า และได้ทิ้งบ้านไป ไม่เคยกลับมาอีกเลย?  ลึกลงไปนั้น เจ้าก็คงจะยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับพวกเขาต่อไป และเจ้าก็คงจะฉงนฉงายอยู่เสมอว่า “เมื่อไหร่ลูกชายของฉันจะกลับมา?  ฉันอยากจะเจอเขา  จะว่าไปแล้ว เขาก็คือลูกชายของฉัน และการที่ฉันได้ฟูมฟักเลี้ยงดูเขาและรักเขาก็เป็นสิ่งที่ดีมีเหตุผล”  เจ้าได้คิดในหนทางนี้เสมอมา เจ้าได้ถวิลหาให้วันนั้นมาถึงเสมอมา  ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันในด้านนี้ ไม่พักต้องพูดถึงพระเจ้า—ความหวังของพระองค์ว่ามนุษย์จะพบหนทางคืนกลับมาหลังจากที่หลงผิดไป ว่าบุตรที่หลงหายจะกลับมาหานั้น ไม่ยิ่งใหญ่กว่าอีกหรือ?  ผู้คนทุกวันนี้มีวุฒิภาวะน้อย แต่จะมีสักวันที่พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า—เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่อยากครองความเชื่อที่แท้จริง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ ซึ่งในกรณีนั้นพวกเขาย่อมไม่มีค่าคู่ควรให้พระเจ้ากังวลสนพระทัย

บทตัดตอน 26

ผู้คนมีหลากหลายประเภท และพวกเขาถูกแยกความแตกต่างโดยจำพวกของจิตวิญญาณที่พวกเขามี  ผู้คนบางคนมีจิตวิญญาณมนุษย์ และพวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและทรงคัดเลือกไว้แล้ว  บางคนไม่มีจิตวิญญาณมนุษย์ พวกเขาเป็นพวกปีศาจที่ใช้เล่ห์กลในหนทางของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าและไม่ได้ถูกเลือกสรรโดยพระเจ้าจึงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ ต่อให้พวกเขาสามารถแอบเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าได้แล้วก็ตาม และในท้ายที่สุด พวกเขาก็จะถูกเปิดเผยและถูกขับออกไป  ไม่ว่าผู้คนจะสามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่ และหลังจากที่พวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะเดินไปตามเส้นทางแบบไหน และพวกเขาจะสามารถแปลงสภาพได้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณและธรรมชาติภายในตัวพวกเขา  ผู้คนบางคนห้ามใจไม่ได้ที่จะไม่หลงเจิ่นไป จิตวิญญาณของพวกเขากำหนดให้พวกเขาเป็นผู้คนเช่นนั้น และพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในผู้คนบางคน พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจ เพราะพวกเขาไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาสามารถหันหลังกลับ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อาจจะยังสามารถทรงพระราชกิจได้  หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดก็จะเป็นอันจบสิ้นสำหรับพวกเขา  สถานการณ์ทุกประเภทนั้นดำรงอยู่จริง แต่พระเจ้าก็ทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับทุกบุคคล  ผู้คนรู้จักและเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่าง?  พวกชอบธรรมทั้งหลายได้รับพรจากพระองค์ และพวกอธรรมทั้งหลายถูกพระองค์สาปแช่ง  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าทรงให้รางวัลความดีและทรงลงโทษความชั่ว และพระองค์ทรงชดเชยให้กับทุกคนตามความประพฤติทั้งหลายของพวกเขา  เช่นนี้ถูกต้องแล้ว แต่ในปัจจุบันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เป็นไปตามมโนอคติอันหลงผิดของมนุษย์ นั่นคือ มีบางคนที่เชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระองค์ถูกประหาร หรือพบกับคำสาปแช่งของพระองค์ หรือมีผู้ที่พระเจ้าไม่เคยประทานพรหรือให้ความสนพระทัยพวกเขาเลย ไม่ว่าพวกเขาจะนมัสการพระองค์มากมายเพียงใด พระองค์ก็ทรงเพิกเฉยต่อพวกเขา  มีพวกคนเลวบางคนที่พระเจ้าไม่ทรงประทานพรหรือลงโทษ แต่พวกเขาก็ยังคงร่ำรวยและมีลูกหลานมากมาย และทุกอย่างยังคงเป็นไปด้วยดีสำหรับพวกเขา  พวกเขาประสบความสำเร็จในทุกสิ่ง  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นนั้นหรือ?  บางคนพูดว่า “พวกเรานมัสการพระเจ้า แต่ไม่เคยได้รับพรจากพระองค์เลย ในขณะที่พวกคนเลวที่ไม่นมัสการพระเจ้าและถึงขั้นต่อต้านพระองค์ กลับใช้ชีวิตที่ดีกว่าและมั่งคั่งกว่าพวกเราเสียอีก  พระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม!”  สิ่งนี้แสดงให้พวกเจ้าเห็นอะไรบ้าง?  เราเพิ่งยกตัวอย่างให้พวกเจ้าสองตัวอย่าง  ตัวอย่างใดพูดถึงความชอบธรรมของพระเจ้า?  ผู้คนบางคนพูดว่า “ทั้งสองตัวอย่างเป็นการสำแดงความชอบธรรมของพระเจ้า!”  ทำไมพวกเขาถึงกล่าวเช่นนี้?  การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าล้วนมีหลักธรรม—เพียงแต่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน และเมื่อไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม  มนุษย์สามารถมองเห็นเพียงสิ่งที่อยู่ภายนอกเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นอยู่ได้  ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นชอบธรรมแล้ว ถึงแม้ว่าจะสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เพียงน้อยนิดก็ตาม  มีผู้คนมากมายที่มักคร่ำครวญว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรมอยู่เป็นนิจ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์นั้นว่าเป็นอย่างไร  เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะทำผิดพลาด หากพวกเขายังคงมองสิ่งต่างๆ ผ่านมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาอยู่เสมอ  ความรู้ของผู้คนดำรงอยู่ท่ามกลางความคิดและทัศนคติทั้งหลายของตนเอง อยู่ในแนวคิดของการแลกเปลี่ยน หรืออยู่ในมุมมองเกี่ยวกับความดีและความชั่ว เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด หรือเกี่ยวกับตรรกะของพวกเขา  เมื่อบางคนมองสิ่งทั้งหลายจากมุมมองเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจพระเจ้าผิด และก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิด แล้วบุคคลผู้นั้นก็จะต่อต้านพระองค์และพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์  มีคนจนคนหนึ่งรู้จักแค่นมัสการพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงเพิกเฉยและไม่ประทานพรให้กับเขา  พวกเจ้าอาจจะกำลังคิดว่า “แม้ว่าพระเจ้าไม่ทรงประทานพรให้เขาในชีวิตนี้ แต่แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงประทานพรให้กับเขาในนิรันดร์กาลและจะประทานรางวัลแก่เขาเป็นหมื่นเท่า  นั่นไม่ทำให้พระเจ้าทรงชอบธรรมหรอกหรือ?”  คนร่ำรวยผู้หนึ่งชื่นชมพรเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้ และพบกับการทำลายล้างในนิรันดร์กาล  นี่ไม่ใช่ความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นกันหรอกหรือ?  คนเราควรเข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างไร?  ยกความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้าเป็นตัวอย่าง หากพระเจ้าทรงสรุปพระราชกิจของพระองค์หลังจากทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ในยุคพระคุณ และไม่ทรงทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาในวาระสุดท้าย และไม่ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างครบถ้วน จนนำไปสู่การทำลายล้างมวลมนุษย์โดยบริบูรณ์ พระองค์จะถูกนับว่าทรงครองความรักและความชอบธรรมหรือไม่?  หากพวกที่นมัสการพระเจ้าถูกขับสู่บึงไฟและกำมะถัน ในขณะที่พวกที่ไม่นมัสการพระเจ้าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้อยู่รอด เราควรได้อะไรจากเรื่องนี้?  เมื่อพูดในบริบทของคำสอน โดยทั่วไป ผู้คนมักจะพูดเสมอว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม แต่ถ้าเผชิญกับสถานการณ์ประเภทนี้ พวกเขาอาจจะไม่สามารถแยกแยะได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และอาจถึงขั้นติเตียนพระเจ้าและตัดสินว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม

ความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน และต้องได้รับการอธิบายและจับความเข้าใจโดยยึดพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลัก  ยิ่งไปกว่านั้น คนเราต้องผ่านประสบการณ์จริงและบรรลุความรู้แจ้งของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง  การประเมินของคนเราต่อความรักและความชอบธรรมของพระองค์นั้น ไม่ควรอยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของคนเรา  ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ความดี จะได้รับรางวัล ความชั่วจะถูกลงโทษ คนดีได้รับความดีตอบแทน และคนชั่วได้รับความชั่วตอบแทน และคนที่ไม่ทำชั่วก็ควรได้รับความดีตอบแทน และได้รับพรด้วยกันทั้งสิ้น  นั่นแสดงว่าผู้คนที่ไม่ชั่วร้ายก็ควรได้รับความดีตอบแทนในทุกกรณี แบบนี้เท่านั้นจึงเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของผู้คนหรอกหรือ?  แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้รับความดีตอบแทนเล่า?  เช่นนั้น เจ้าก็จะพูดว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรมใช่หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยโนอาห์ พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “เราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก” (ปฐมกาล 6:13)  จากนั้นพระองค์ก็ทรงสั่งโนอาห์ให้สร้างเรือใหญ่ หลังจากโนอาห์รับพระบัญชาจากพระเจ้าและสร้างเรือใหญ่ขึ้นมา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงบนแผ่นดินโลกอย่างหนักเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนจนโลกทั้งโลกจมอยู่ใต้น้ำ ยกเว้นโนอาห์และสมาชิกครอบครัวอีกเจ็ดคน พระเจ้าทรงทำลายมนุษย์จนหมดสิ้้นในยุคนั้น  เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  เจ้าจะพูดว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมรักหรือไม่?  ในความคิดเห็นของมนุษย์ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะเสื่อมทรามสักเพียงใด ตราบที่พระเจ้าทรงทำลายมวลมนุษย์ ย่อมหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงเปี่ยมรัก—พวกเขาถูกต้องหรือไม่ที่เชื่อเช่นนี้?  ความเชื่อนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงรักพวกที่พระองค์ทรงทำลาย แต่เจ้าสามารถพูดอย่างซื่อสัตย์ได้หรือไม่ว่า พระองค์ไม่ทรงรักพวกที่รอดชีวิตและบรรลุความรอดของพระองค์?  เปโตรรักพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง และพระเจ้าก็ทรงรักเปโตร—เจ้าสามารถพูดได้จริงๆ หรือว่าพระเจ้าไม่ทรงเปี่ยมรัก?  พระเจ้าทรงรักผู้คนที่รักพระองค์อย่างแท้จริง และพระองค์ทรงดูหมิ่นและสาปแช่งพวกที่ต้านทานพระองค์และไม่ยอมที่จะกลับใจ  พระเจ้าทรงมีทั้งความรักและความเกลียด นี่คือความจริง  ผู้คนไม่ควรด้อยค่าหรือตัดสินพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน เพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมวลมนุษย์ซึ่งเป็นวิธีในการมองสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ไม่มีความจริงเลยสักนิด  พระเจ้าต้องเป็นที่รู้จักตามท่าทีของพระองค์ต่อมนุษย์ ตามพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์  คนเราต้องไม่พยายามนิยามแก่นแท้ของพระเจ้าตามสิ่งภายนอกที่พระองค์ทรงทำและตรัสถึงสิ่งเหล่านั้น  มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเหลือเกิน พวกเขาไม่รู้จักแก่นแท้ตามธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม นับประสาอะไรกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ลองพิจารณาเรื่องโยบ เขาเป็นคนชอบธรรมและพระเจ้าประทานพรให้เขา  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า  ซาตานทำการเดิมพันกับพระยาห์เวห์ “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ?  พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน  แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” (โยบ 1:9-11)  พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด บรรดาสิ่งที่เขามีอยู่ก็อยู่ในอำนาจของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขาเท่านั้น” (โยบ 1:12)  ดังนั้นซาตานจึงได้ไปหาโยบ โจมตีและทดลองโยบ และโยบก็ต้องเผชิญกับบททดสอบ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีถูกพรากไป—เขาสูญเสียลูกหลานและทรัพย์สินของเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยฝี ตอนนี้ ภายในบททดสอบของโยบมีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  ต่อให้เจ้าเป็นบุคคลที่ชอบธรรม พระเจ้าทรงมีสิทธิที่จะให้เจ้าอยู่ภายใต้บททดสอบและเปิดโอกาสให้เจ้าเป็นพยานต่อพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม  ไม่ใช่ว่า ผู้คนที่ชอบธรรมไม่จำเป็นต้องก้าวผ่านบททดสอบถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทานทนต่อบททดสอบ หรือพวกเขาต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะให้ผู้คนที่ชอบธรรมก้าวผ่านบททดสอบ  นี่คือวิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ในที่สุดแล้ว หลังจากโยบได้เสร็จสิ้นการก้าวผ่านบททดสอบและการเป็นพยานต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ได้ทรงอวยพรเขามากกว่าแต่ก่อน ดีกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ และพระองค์ประทานพระพรให้เขามากเป็นสองเท่าด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏต่อเขา และได้ตรัสกับเขาจากสายลม และโยบได้มองเห็นพระองค์ราวกับเผชิญหน้ากันโดยตรง  นี่คือพระพรที่พระเจ้าประทานให้กับเขา  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า  แล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อโยบได้เสร็จสิ้นการก้าวผ่านบททดสอบและพระยาห์เวห์ได้ทอดพระเนตรเห็นวิธีที่โยบเป็นพยานต่อพระองค์ในการปรากฏอยู่ของซาตานและทำให้ซาตานอดสู  จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงหันหนีและทรงจากไป โดยทรงเพิกเฉยเขา และโยบไม่ได้รับพระพรหลังจากนั้น—นี่จะมีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ในการนั้นหรือไม่?  ไม่ว่าโยบได้รับพระพรหลังบททดสอบหรือไม่ก็ตาม หรือว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้าบรรจุอยู่  การทรงปรากฏต่อโยบคงจะได้เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า และการไม่ทรงปรากฏต่อเขาก็คงจะได้เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  บนมูลฐานใดหรือที่เจ้า—สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—สร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า?  ผู้คนไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดที่ไร้เหตุผลมากไปกว่าการสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอีกแล้ว  พระองค์จะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ควรที่จะทำ และพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นก็ชอบธรรม  ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ  นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม  หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล  มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่?  อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม  เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม?  มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร?  หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม  ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ?  พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด?  พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย  ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากเจ้าไม่เป็นที่น่ายินดีในสายพระเนตรของพระเจ้า และหากพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ของเจ้าแล้วหลังจากคำพยานของเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทำลายเจ้า นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์ด้วยหรือไม่?  นี่เป็นความชอบธรรม  เจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงการนี้ในตอนนี้จากข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจในคำสอน  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร—การทำลายล้างซาตานของพระเจ้านั้นเป็นการแสดงออกถึงความชอบธรรมของพระองค์หรือไม่?  (ใช่)  จะเป็นอย่างไรหากพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานคงอยู่?  เจ้าไม่กล้าพูดใช่ไหม?  แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม  แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ  ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร?  “มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น  เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่พระปัญญาและกิจการของพระองค์?”  ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายซาตานในช่วงเวลาแห่งความรอดสำหรับมนุษย์ของพระองค์ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไร และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน และพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยให้พวกเขารอดได้อย่างไร  ในท้ายที่สุด เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและเห็นโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของซาตานอย่างชัดเจน และมองเห็นบาปมหันต์ของซาตานที่นำพวกเขาไปสู่ความเสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงทำลายซาตาน เพื่อแสดงความชอบธรรมของพระองค์ให้พวกเขาเห็น  ช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงทําลายซาตานนั้นเปี่ยมด้วยพระอุปนิสัยและพระปัญญาของพระเจ้า  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนชอบธรรม  แม้มนุษย์อาจจะไม่สามารถรับรู้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่ควรทำการตัดสินตามใจชอบ  หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลายว่าไร้เหตุผล หรือหากพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับเรื่องนั้น และนั่นทำให้พวกเขากล่าวว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กําลังไร้เหตุผลอย่างที่สุด  เจ้าก็เห็นว่าเปโตรพบบางสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เขาแน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้าสถิตอยู่และมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ในสิ่งเหล่านั้น  มนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งได้ มีสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจ  ดังนั้น การรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย  แม้จะมีผู้คนมากมายในโลกศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า ทว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  เมื่อผู้คนบางคนพยายามเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่เคร่งศาสนาและให้พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่แสวงหาและไม่ตรวจสอบ พวกเขายังเผาทำลายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและถูกลงโทษ  คนอื่นก็เชื่อข่าวลือ หมิ่นประมาทพระเจ้า และถูกลงโทษ  มีตัวอย่างประเภทนี้เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ  ผู้เชื่อใหม่บางคนโอหังและหยิ่งผยอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับเมื่อได้ยินเรื่องนี้—พวกเขาเริ่มสร้างมโนคติอันหลงผิด  พระเจ้าเห็นว่าเจ้าโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และพระองค์ทรงเพิกเฉยต่อเจ้า แต่จะมีสักวันหนึ่งที่พระองค์จะทำให้เจ้าเข้าใจ  หากเจ้าติดตามพระเจ้ามาหลายปีและยังคงประพฤติในหนทางนี้ เกาะติดกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าไม่ว่าจะมากมายเพียงใด ไม่เพียงแต่ไม่มีการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา แต่ยังเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าไปทุกที่และเย้ยหยันและเสียดสีพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าควรพบกับการลงโทษ  ในบางกรณี พระเจ้าอาจทรงยกโทษให้เจ้า เพราะเจ้าเพียงโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน แต่ถ้าเจ้ารู้ดีขึ้นและยังกระทำในหนทางนั้นโดยเจตนา ทั้งยังล้มเหลวในการรับฟังไม่ว่าจะมีการประชุมเพื่อหารือมากมายเพียงใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรได้รับลงโทษจากพระเจ้า  เจ้ารู้เพียงแค่พระเจ้าทรงมีด้านที่ยอมผ่อนปรน แต่อย่าลืมว่าพระองค์ยังทรงมีด้านที่มิอาจล่วงเกินได้เช่นกัน นั่นคือ อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์

บทตัดตอน 27

“การหมิ่นประมาทและการใส่ร้ายพระเจ้าเป็นบาปที่จะไม่ได้รับการยกโทษให้ทั้งในยุคนี้หรือยุคที่จะมาถึง และผู้ที่กระทำบาปนี้จะไม่มีทางได้กลับมาเกิดใหม่อีกเลย”  นี่หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ผ่อนปรนต่อการล่วงเกินของมนุษย์  เป็นที่แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยว่าการหมิ่นประมาทและการใส่ร้ายพระเจ้าจะไม่ได้รับการยกโทษให้ทั้งในยุคนี้หรือยุคที่จะมาถึง  การหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ว่าโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม คือบางสิ่งที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และการกล่าวถ้อยคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จะต้องถูกกล่าวโทษอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางคนพูดวาจากล่าวโทษ หมิ่นประมาทในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ หรือในสถานการณ์ที่พวกเขาถูกผู้อื่นหลอกลวง ควบคุมและกดขี่  หลังจากพวกเขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ พวกเขารู้สึกว่าตนเองถูกกล่าวหา และพวกเขาสำนึกผิดอย่างมาก  หลังจากการนี้ พวกเขาก็ตระเตรียมความประพฤติดีให้เพียงพอระหว่างการได้รับความรู้และการเปลี่ยนแปลงในการนี้ และเพราะฉะนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนครั้งก่อนๆ ของพวกเขา  พวกเจ้าต้องรู้จักพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้อง และไม่นำไปใช้ตามอำเภอใจตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเจ้า  พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าพระวจนะของพระองค์เล็งเป้าไปที่ใคร และพระองค์กำลังตรัสพระวจนะในบริบทใด  พวกเจ้าต้องไม่นำไปใช้ตามอำเภอใจหรือนิยามพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ใส่ใจ  ผู้คนที่ไม่รู้วิธีการได้รับประสบการณ์ย่อมไม่คิดทบทวนตนเองเกี่ยวกับสิ่งใดเลย และพวกเขาไม่ยึดยกตนเองขึ้นมาเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่ผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบ้างก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวมากเกินไป พวกเขายกตนเองมาเทียบกับพระวจนะของพระเจ้าตามอำเภอใจเมื่อพวกเขาอ่านคำสาปแช่งของพระองค์ หรือการรังเกียจและการขับผู้คนออกไปของพระองค์  ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เป็นนิจ  ผู้คนบางคนไม่อ่านพระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้าหรือสืบค้นพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์ ไม่ต้องพูดถึงการได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาพูดตามการพิพากษาของพระเจ้า และจากนั้นใครบางคนก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แก่พวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ยอมรับ  หลังจากการนี้ พวกเขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่พวกเขาทำลงไปและเต็มใจที่จะกลับใจ ในกรณีนี้ พวกเราจะได้เห็นว่าพฤติกรรมและการสำแดงของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป  หากพฤติกรรมของพวกเขาแย่มากเป็นพิเศษหลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อ และพวกเขายังทำให้เลวร้ายลงด้วยการคิดว่า “เอาล่ะ ฉันได้พูดคำหมิ่นประมาท ใส่ร้ายและด่วนตัดสินพระเจ้าออกไปแล้ว และหากพระเจ้าทรงกล่าวโทษผู้คนประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วการไล่ตามเสาะหาของฉันก็ไร้ประโยชน์” แล้วพวกเขาก็เลิกทำทุกอย่างโดยสิ้นเชิง  พวกเขาปล่อยตัวเองให้สิ้นหวังและขุดหลุมฝังตัวเอง

ผู้คนส่วนใหญ่ฝ่าฝืนและทำให้ตัวเองมีมลทินในบางหนทาง  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้าและพูดสิ่งที่เป็นการหมิ่นประมาททั้งหลาย ผู้คนบางคนปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และถูกพระเจ้าเดียดฉันท์ ผู้คนบางคนทรยศพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดลอง บางคนทรยศพระเจ้าด้วยการลงนามใน “จดหมายสามฉบับ” เมื่อพวกเขาถูกจับกุม บางคนลอบลักเครื่องบูชา บางคนผลาญเครื่องบูชา บางคนก่อกวนชีวิตคริสตจักรและก่อความเสียหายให้แก่ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่บ่อยครั้ง บางคนแบ่งพรรคแบ่งพวกและจัดการกับคนอื่นอย่างหยาบคาย สร้างความโกลาหลให้กับคริสตจักร บางคนมักจะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความตาย ทำความเสียหายให้พี่น้องชายหญิง และบางคนมีส่วนร่วมในการผิดประเวณีและความมักมาก และเป็นอิทธิพลที่เลวร้าย  พอจะกล่าวได้ว่า ทุกคนมีการฝ่าฝืนและความด่างพร้อยทั้งหลายของตน  แต่ผู้คนบางคนยังสามารถยอมรับความจริงและกลับใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และคงตายเสียก่อนที่จะได้กลับใจ  ดังนั้นผู้คนควรได้รับการปฏิบัติตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา  บรรดาผู้ที่สามารถกลับใจคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ผู้ที่ควรถูกคัดออกและไล่ออกไปจะถูกคัดออกและไล่ออกไป  ผู้คนบางคนเลวทราม บางคนไม่รู้ความ บางคนโง่เขลา และบางคนเป็นสัตว์ร้าย  ทุกคนแตกต่างกัน  คนเลวบางคนถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง ในขณะที่คนอื่นเป็นลูกสมุนของมารซาตาน  บางคนร้ายกาจเป็นพิเศษตามธรรมชาติ ในขณะที่บางคนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเป็นพิเศษ บางคนโลภในเรื่องของเงินเป็นพิเศษ และคนอื่นๆ ก็เพลิดเพลินกับการมักมากทางเพศ  พฤติกรรมของทุกคนแตกต่างกัน ดังนั้นผู้คนควรถูกมองอย่างครอบคลุมโดยสอดคล้องกับธรรมชาติและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา  ตามสัญชาตญาณแห่งเนื้อหนังที่ต้องตายของมนุษย์ ทุกคนมีเจตจำนงเสรี ไม่ว่าพวกเขาเป็นใครก็ตาม  พวกเขาสามารถคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่มีศักยภาพที่จะทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณโดยตรง หรือไม่มีหนทางใดที่จะรู้ความจริงของโลกนั้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และต้องการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในช่วงระยะนี้ แต่ไม่มีใครมาเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้เจ้าและมีเพียงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานความรู้แจ้งให้กับเจ้าและนำเจ้าไปยังสถานที่บางแห่ง เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เจ้ารู้ก็ยังมีจำกัดเหลือเกิน  เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใดอยู่ในเวลานี้และพระองค์จะทรงทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงในอนาคต  ผู้คนไม่สามารถหยั่งถึงพระเจ้า พวกเขาไม่มีศักยภาพในการทำเช่นนั้น และพวกเขาไม่ได้ครองศักยภาพที่จะจับความเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณโดยตรง หรือเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างถี่ถ้วน นับประสาอะไรกับการรับใช้พระองค์ด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดประหนึ่งทูตสวรรค์  ผู้คนไม่สามารถยอมรับพระราชกิจใหม่ ได้รับความจริงและชีวิต หรือมารู้จักพระเจ้า เว้นเสียแต่ว่าพระเจ้าจะทรงพิชิต ทรงช่วยให้รอด และทรงปฏิรูปผู้คนผ่านพระวจนะของพระองค์ หรือประทานน้ำให้พวกเขาและจัดหาความจริงที่พระองค์ทรงแสดงให้กับพวกเขาเสียก่อน  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจนี้ พวกเขาจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ในตัวพวกเขาเลย นี่ถูกกำหนดโดยสัญชาตญาณของพวกเขา  ดังนั้นผู้คนบางคนต้านทานหรือเป็นกบฏ ทำให้เกิดพระโมหะและความเกลียดชังของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อแต่ละกรณีแตกต่างกันและทรงจัดการกับพวกเขาแต่ละคนแยกจากกันโดยสอดคล้องกับสัญชาตญาณของมนุษย์  พระราชกิจใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำแล้วนั้นเหมาะควร  พระองค์ทรงรู้ว่าจะทำสิ่งใดและทำอย่างไร และพระองค์จะไม่ทรงทำให้ผู้คนทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ตามสัญชาตญาณอย่างแน่นอน  การจัดการของพระเจ้ากับแต่ละบุคคลนั้นอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริงของรูปการณ์แวดล้อมและภูมิหลังของบุคคลนั้นในเวลานั้น รวมถึงการกระทำและพฤติกรรมของบุคคลนั้นและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  พระเจ้าจะไม่มีทางทรงผิดต่อใคร  นี่คือด้านหนึ่งของความชอบธรรมของพระเจ้า  ยกตัวอย่างเช่น เอวาถูกงูล่อลวงให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แต่พระยาห์เวห์ไม่ทรงตำหนิเอวาด้วยการตรัสว่า “เราบอกเจ้าแล้วว่าอย่ากิน แล้วทำไมเจ้าถึงทำอยู่ดีเล่า?  เจ้าควรมีวิจารณญาณ เจ้าควรรู้อยู่แล้วว่าเจ้างูนั่นพูดเพียงเพื่อล่อลวงเจ้า”  พระยาห์เวห์มิได้ทรงตำหนิเอวาเช่นนั้น  เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าสัญชาตญาณของพวกเขาคืออะไร และสัญชาตญาณเหล่านั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ผู้คนสามารถควบคุมตนเองได้ถึงขอบข่ายใด และผู้คนสามารถไปได้ไกลแค่ไหน  พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนทีเดียว  การจัดการของพระเจ้าต่อบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน  เมื่อท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลคนหนึ่งคือท่าทีของความเกลียดหรือความรู้สึกรังเกียจ หรือเมื่อเป็นสิ่งที่บุคคลผู้นี้พูดในบริบทที่ได้รับมา พระองค์ทรงมีความเข้าใจอันดีต่อสภาวะของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและแก่นแท้ของมนุษย์  ผู้คนคิดอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงมีเพียงเทวสภาพ  พระองค์ทรงชอบธรรมและไม่ทนการล่วงเกินจากมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของมนุษย์หรือดำริในมุมของผู้คน  หากบุคคลคนหนึ่งต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา”  นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่เลย  หากนั่นคือวิธีที่ใครบางคนเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และการปฏิบัติต่อผู้คนของพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดมหันต์  การที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่ยึดตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระองค์จะทรงตอบแทนบุคคลแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป  พระเจ้าทรงชอบธรรม และไม่ช้าก็เร็ว พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดเชื่ออย่างทะลุปรุโปร่ง

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการแสวงหาและปฏิบัติความจริง

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger