46. บรรดาหญิงพรหมจารีมีปัญญาต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏ ความจริงก็จะถูกแสดงที่นั่น และพระสุรเสียงของพระเจ้าก็จะอยู่ที่นั่น เฉพาะบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า จงปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดของเจ้า! จงเงียบเสียงตัวเจ้าเองและนำถ้อยคำเหล่านี้มาอ่านอย่างระมัดระวัง หากเจ้าโหยหาความจริง พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งกับเจ้าและเจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ จงปลดปล่อยความเห็นของพวกเจ้าเกี่ยวกับ ‘เป็นไปไม่ได้’! ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระราชดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่เลยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด มันก็ยิ่งบรรจุน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเพราะ” (“การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) กุญแจสู่การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าคือให้เอาใจใส่การฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แล้วรู้จักและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าไปตามนั้นค่ะ บรรดาผู้ที่จำพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ ถูกรับขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับพระองค์ พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ผู้คนที่ได้รับพระพรที่สุด ในความเชื่อก่อนหน้านี้ของฉัน ฉันยึดติดอยู่กับถ้อยคำตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ และถวิลหาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆและทรงนำฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรตามที่ฉันจินตนาการว่าพระองค์จะทรงทำ เมื่อฉันได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้หรือเฝ้าฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันเกือบจะกลายเป็นหญิงพรหมจารีโง่ พลาดโอกาสของฉันที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบคุณการทรงนำของพระเจ้า ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก
วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 2018 พี่สาวคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าส่งภาพยนตร์เรื่องหนึ่งให้มิเรลเพื่อนที่ดีของฉัน ชื่อว่า บ้านหนูอยู่ไหน บอกว่ามันยอดเยี่ยมและสมจริงมาก มิเรลมาหาฉันค่ะ เราจะได้ดูด้วยกัน ตอนที่ตัวละครหลักประสบความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ฉันเห็นว่าเธอเปิดหนังสือเล่มหนาและพบความหวังสำหรับชีวิตอีกครั้งในหนังสือเล่มนั้น แต่หนังสือที่เธออ่านไม่ใช่พระคัมภีร์ และเนื้อหาทั้งหมดก็ใหม่สำหรับเรา เราดูต่อไปด้วยความประหลาดใจ ต่อมาตัวละครหลักก็ประสบปัญหา และพี่น้องชายหญิงร่วมคริสตจักรก็มาช่วยเธอ พวกเขาอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยกัน ให้กำลังใจและช่วยเหลือกันและกัน ฉันตื้นตันจนน้ำตาไหลขณะที่ได้เห็นเรื่องราวคลี่คลาย ฉันรู้สึกว่าผู้คนในภาพยนตร์นั้นแตกต่างจากพวกคนเห็นแก่ตัวทั้งหมดในสังคมอันมืดมนของเรา และสิ่งที่พวกเขาอ่านก็ดูพิเศษ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าในหนังสือเล่มนี้มีอะไรอยู่บ้าง ดังนั้นเราจึงอ่านข้อมูลที่หน้าจอ แต่พอเห็นข้อความว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏแล้ว ฉันก็ไม่อยากเชื่อและคิดว่า “ไม่มีทาง! ในกิจการ 1:11 กล่าวไว้ว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ องค์พระเยซูเจ้าเสด็จไปบนก้อนเมฆ และเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งบนเมฆพร้อมพระรัศมีอันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่ตรงนี้กล่าวว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏแล้ว นี่ไม่ตรงกับพระคัมภีร์” ฉันบอกมิเรลว่าฉันคิดอะไรอยู่ และเธอก็เห็นด้วยกับฉัน เราไม่ได้ตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติมหลังจากนั้น แต่ได้ชมภาพยนตร์นั้นอีกสองสามครั้งเฉยๆ
ฉันเฝ้าคิดถึงข่าวเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่สักพัก แล้วฉันกับมิเรลก็พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้งในสองเดือนต่อมา เราคุยกันว่าพระวจนะที่พวกเขาอ่านในภาพยนตร์ให้ความมั่นใจและความหวังแก่พวกเขามากมายอย่างไร และพระวจนะเหล่านั้นฟังดูไม่เหมือนสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถพูดได้ ในโลกศาสนาทั้งหมด มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ให้คำพยานต่อการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นสิ่งต่างๆ อาจจะไม่เรียบง่ายขนาดนั้น แต่แล้วเราก็จำได้ว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาบนเมฆ และบรรดาศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นทำไมคริสตจักรนี้ถึงพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วล่ะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เราควรตรวจสอบเรื่องนี้หรือเปล่า ฉันรู้สึกขัดแย้งมาก ดังนั้นฉันกับมิเรลจึงอธิษฐานด้วยกัน ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง ต่อมา ฉันคิดว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสรรพสิ่งและทรงมีพระฤทธานุภาพที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เราจำกัดพระราชกิจของพระองค์เหลือแค่สิ่งที่เราสามารถคิดถึงและเข้าใจได้อย่างไร หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ และฉันไม่ตรวจสอบ พลาดโอกาสที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต” เราตัดสินใจตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ เราติดต่อพี่น้องหญิงแอนนาผ่านเว็บไซต์คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เธอแนะนำให้เรารู้จักพี่น้องชายปิแอร์ แล้วเราก็พูดคุยเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกัน
ในการชุมนุมนั้น ฉันบอกพวกเขาเรื่องความสับสนของฉันว่า “กิจการ 1:11 กล่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในแบบเดียวกับที่พระองค์เสด็จไป ในเมื่อพระองค์เสด็จมาบนเมฆขาว แน่นอนว่าพระองค์ก็ควรเสด็จมาบนเมฆขาวเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย นี่คือสิ่งที่ศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสในคริสตจักรของเราพูดเสมอ และเป็นสิ่งที่เราเชื่อด้วย เรายังไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆขาวเลย ดังนั้นคุณสามารถพูดได้อย่างไรว่าพระองค์ได้ทรงกลับมาแล้ว”
พี่น้องปิแอร์พูดว่า “คำเผยพระวจนะเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆจะลุล่วง แต่เราไม่สามารถจำกัดหนทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา โดยดูที่คำเผยพระวจนะข้อนั้นแค่ข้อเดียวได้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีแค่คำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาบนเมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ยังมีเรื่องที่พระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ ด้วย ตัวอย่างเช่นในวิวรณ์ 3:3 ‘เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน’ วิวรณ์ 16:15 กล่าวว่า ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย’ มัทธิว 25:6 กล่าวว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ แล้วก็มีมาระโก 13:32 ที่กล่าวว่า ‘แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์ หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น’ คำเผยพระวจนะเหล่านี้มีคำว่า ‘อย่างขโมย’ ‘อย่างขโมย’ หมายถึงอย่างเงียบๆ อย่างลับๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว และไม่มีใครจำพระองค์ได้เมื่อเห็นพระองค์ คำเผยพระวจนะเหล่านี้หมายความว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอย่างลับๆ มีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์มากมายที่กล่าวถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ เช่นลูกา 12:40 กล่าวว่า ‘พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ และ 17:24-25 กล่าวว่า ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ ‘บุตรมนุษย์’ ตรงนี้หมายถึงการเกิดของมนุษย์ ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่สามารถเรียกวิญญาณหรือกายวิญญาณใดได้ว่า ‘บุตรมนุษย์’ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นไม่สามารถเรียกพระองค์ได้ว่า ‘บุตรมนุษย์’ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกเรียกว่า ‘บุตรมนุษย์’ และ ‘พระคริสต์’ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าในเนื้อหนัง ผู้ทรงพระชนม์ชีพในฐานะบุตรมนุษย์ปกติ ดังนั้นการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถึง หมายความว่าพระเจ้าจะทรงจุติมาเป็นบุตรมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อหนึ่งกล่าวว่า ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ นี่ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในเนื้อหนังเมื่อพระองค์ทรงกลับมา หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เสด็จมาในเนื้อหนัง แต่ทรงปรากฏในรูปวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าหลังจากพระองค์คืนพระชนม์ ทุกคนจะกลัวมาก จนไม่มีใครต่อต้านหรือกล่าวโทษพระองค์ พระองค์จะทรงไม่จำเป็นต้องทนทุกข์หรือไม่ได้รับการยอมรับโดยคนในยุคนี้ ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นบุตรมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ เป็นอีกหนทางหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย”
ถึงตรงนี้ ฉันคิดว่า “นึกไม่ถึงเลย มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจินตนาการไว้เลยจริงๆ แต่พี่น้องปิแอร์ได้ให้หลักฐานประกอบการสามัคคีธรรมของเขา และทุกอย่างที่เขาพูดก็ตรงกับพระคัมภีร์และคำเผยพระวจนะทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาพูดได้น่าเชื่อถือมาก” ฉันเคยอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หลายครั้งมากแต่ไม่เคยตระหนักเลย ว่ามันเกี่ยวกับการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างลับๆ ในยุคสุดท้าย ความคิดเดิมๆ ของฉันแหลกสลายไปเลยค่ะ
มิเรลเองก็พยักหน้าครุ่นคิด และพูดว่า “ใช่ค่ะ สิ่งที่คุณพูดสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
แต่ฉันสับสนอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันจึงถามเขา “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจุติมาเป็นบุตรมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ แล้วคำเผยพระวจนะเรื่องที่พระองค์เสด็จมาบนเมฆจะลุล่วงได้ยังไง มันขัดแย้งกันใช่ไหมคะ”
พี่น้องปิแอร์ตอบว่า “ไม่มีความขัดแย้งระหว่างคำเผยพระวจนะสองอย่างนี้เลยครับ เพราะพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีทางไม่เกิดผล คำเผยพระวจนะของพระองค์จะลุล่วงเสมอ เพียงแต่พระวจนะเหล่านั้นจะลุล่วงไปตามช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้า มีช่วงระยะในการทรงปรากฏและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ก่อนอื่น พระองค์ทรงจุติมาเป็นบุตรมนุษย์และเสด็จมายังโลกอย่างลับๆ และจากนั้นพระองค์จะเสด็จมาบนเมฆ ทรงปรากฏอย่างเปิดเผย”
ฉันถามด้วยความสับสนว่า “ตอนแรกพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ แล้วจึงทรงปรากฏอย่างเปิดเผยเหรอคะ คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ”
พี่น้องปิแอร์จึงพูดต่อไปว่า “ที่จริงพระคัมภีร์เผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะทรงรับกลุ่มผู้พิชิตในยุคสุดท้าย การสร้างกลุ่มนี้นั้นรวมอยู่ในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำเมื่อพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ ในตอนแรกพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ ในยุคสุดท้าย เพื่อทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า และเพื่อสร้างกลุ่มผู้พิชิตก่อนความวิบัติทั้งหลาย จากนั้นพระเจ้าจะทรงปลดปล่อยความวิบัติทั้งหลายและพระองค์จะทรงให้รางวัลคนดีและทรงลงโทษคนชั่ว หลังจากความวิบัติเหล่านั้น พระเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผยแก่ทุกประเทศและผู้คนทั้งหมด ขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ในเนื้อหนัง ผู้เชื่อที่แท้จริงทั้งหมดผู้โหยหาให้พระองค์ทรงปรากฏ ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และหันหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนเหล่านี้คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ผู้ได้รับการพิพากษาและชำระให้สะอาดโดยพระวจนะของพระเจ้าและทำให้เป็นผู้พิชิต และพวกเขาจะรอดพ้นความวิบัติเหล่านั้น ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระเจ้าเสด็จมาบนเมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผย พวกเขาจะเห็นว่าองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษคือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา แล้วพวกเขาจะตีอกชกหัว ร้องไห้คร่ำครวญและขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน นี่จะทำให้คำเผยพระวจนะเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆลุล่วงดังที่ว่า ‘เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง’ (มัทธิว 24:30) ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7)”
แล้วพี่น้องปิแอร์ก็อ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย…การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น” (“ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)
แล้วฉันก็เข้าใจ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ก่อนอื่นพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ แล้วสร้างกลุ่มผู้ชนะ จากนั้นพระองค์ก็ปล่อยให้ความวิบัติครั้งใหญ่โปรยปรายลงมาราวสายฝน ทั้งให้รางวัลและลงโทษ หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จมาบนเมฆด้วยพระรัศมีอันยิ่งใหญ่ และทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อทุกประเทศและผู้คนทั้งหมด ไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างคำเผยพระวจนะสองแบบนี้สักนิด ฉันช่างมืดบอดนัก! การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่มากและฉันปฏิเสธที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ แต่กลับยึดติดอยู่กับข้อพระคัมภีร์เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆ และไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันเกือบจะกลายเป็นหญิงพรหมจารีโง่และพลาดโอกาสของฉันที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉิวเฉียดเลยละค่ะ!
ฉันก็เลยถามพี่น้องปิแอร์ว่า “คุณให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในรูปลักษณ์ของการจุติเป็นมนุษย์ แต่ ‘การจุติเป็นมนุษย์’ นี่คืออะไรคะ” แล้วเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฟังสองบทตอนค่ะ “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์” (“แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “พระคริสต์ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณทรงได้เป็นจริงขึ้น และทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ประสาทสัมผัสที่ปกติ และความคิดของมนุษย์ ‘การได้เป็นจริง’ หมายถึงพระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ พระวิญญาณทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวอย่างง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นคือ นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพระองค์เองประทับในเนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทรงแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางเนื้อหนังนี้—นี่คือความหมายของการได้เป็นจริง หรือจุติเป็นมนุษย์” (“แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)
เขาพูดต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์บังเกิดเป็นบุตรมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจและตรัสท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอด พระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ทั้งหมดเป็นจริงขึ้นในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปรากฏอย่างธรรมดาสามัญโดยสมบูรณ์ ไม่ทรงมีอำนาจหรือทรงเหนือธรรมชาติ พระองค์ทรงมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ทรงติดต่อกับผู้คนจริงๆ และพระองค์ทรงพระชนม์ชีพท่ามกลางพวกเรา ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่พระคริสต์ทรงเป็นร่างจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้าและทรงครอบครองเทวสภาพอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงสามารถแสดงความจริง ทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระองค์ประทานความจริง หนทาง และชีวิตแก่มนุษย์ และทรงสามารถชำระมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีมนุษย์คนใดมีคุณสมบัติเหล่านี้หรือสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้ องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปรากฏเป็นคนธรรมดา แต่ในแก่นแท้แล้วพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนัง พระองค์ทรงสามารถแสดงความจริงเพื่อรดน้ำและค้ำจุนผู้คนเสมอ พระองค์ประทานหนทางกลับใจแก่ผู้คน พระองค์สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองและไถ่มวลมนุษย์จากบาป เพราะฉะนั้นการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้นไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ เลย และแก่นแท้ของพระองค์ก็เป็นของพระเจ้าพระองค์เอง”
ถึงจุดนี้ ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า การทรงจุติเป็นมนุษย์คือพระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ซึ่งเสด็จมายังโลกเพื่อตรัสและทรงพระราชกิจ เนื้อหนังนี้ครอบครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเทวสภาพโดยสมบูรณ์ แม้ว่าพระองค์จะดูธรรมดาสามัญ พระองค์ก็ทรงสามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่คือพระคริสต์! เรากล่าวนาม “พระเยซูคริสต์” เสมอ แต่ฉันไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าพระคริสต์คืออะไร ฉันช่างไม่รู้ความเลย
แล้วพี่น้องปิแอร์ก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งให้เราฟังว่า “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย การจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกนั้นก็เพื่อไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาโดยวิถีทางของพระกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์ การจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน และหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าโดยการบรรลุถึงอุปนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน” (“ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)
แล้วเขาก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “แม้ว่าพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าแปลว่าบาปของเราได้รับการอภัยแล้ว แต่ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบซาตานของเรา เช่นความโอหัง ความเห็นแก่ตัว ความหลอกลวง และความละโมบ เราโกหกและคงโกงเพื่อผลประโยชน์ของเราเอง เราแข่งขันกับคนอื่นเพื่อผลกำไรและใช้แผนร้ายซึ่งกันและกัน เราอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านพระเจ้า แม้เราอาจดูเหมือนว่ากำลังเสียสละและทนทุกข์ แต่ที่จริงเรากำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้า โดยหวังว่าจะได้รับพระพรของราชอาณาจักรเป็นการตอบแทน เราไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าสักนิด พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และผู้คนที่โสมมและเสื่อมทรามอย่างเราก็ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากธรรมชาติที่มีบาปของพวกเขา พระองค์ทรงมีการติดต่อกับเราจริงๆ พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อค้ำจุนและเลี้ยงดูเรา และพระองค์ทรงเปิดโปงและตัดสินอุปนิสัยและธรรมชาติแบบซาตานของเรา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงแสดงให้เราเห็นวิถีในการเปลี่ยนอุปนิสัยของเรา และทรงบอกเราว่าจะใช้ชีวิตที่มีความเป็นมนุษย์ปกติและเป็นคนซื่อสัตย์ที่ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมได้อย่างไร ด้วยการได้รับประสบการณ์การพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้า เราได้รู้จักและเกลียดชังความเสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราอย่างแท้จริง และเราปรารถนาที่จะกลับใจและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เราค่อยๆ ละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามบางประการและเริ่มใช้ชีวิตคล้ายคลึงมนุษย์บ้าง การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ในพระราชกิจของพระองค์ได้ หากพระเจ้าเสด็จมาตรัสและทรงพระราชกิจในรูปลักษณ์พระวิญญาณของพระองค์ในยุคสุดท้ายเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้า พระองค์ก็คงไม่สามารถชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด นี่เป็นเพราะผู้คนไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสพระวิญญาณของพระเจ้าได้ และพวกเขาคงไม่เข้าใจพระองค์หากพระองค์ตรัสกับพวกเขาโดยตรง ยิ่งกว่านั้น พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์มากจนมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่สามารถไปใกล้พระองค์ได้ แต่จะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไปเพราะความโสมมและเสื่อมทราม ในพันธสัญญาเดิมกล่าวไว้ว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปรากฏบนภูเขาซีนายพร้อมเสียงฟ้าร้องคำราม คนอิสราเอลเห็นและได้ยินเสียงควันบนภูเขา เสียงฟ้าร้อง ฟ้าฝ่า และเสียงแตร พวกเขายืนห่างไปไกลแล้วพูดกับโมเสสว่า ‘ท่านจงนำความมาเล่าเถิด เราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับเราเลย เกรงว่าเราจะตาย’ (อพยพ 20:19) และเมื่อดาวิดนำคนอิสราเอล จากบาอาลาห์แห่งยูดาห์และนำหีบแห่งพันธสัญญากลับเยรูซาเล็ม มีโคสะดุดและอุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบไว้ และถูกพระวิญญาณของพระเจ้าประหาร (ดู 1 พงศาวดาร 13:9-10) มนุษยชาติในยุคสุดท้ายได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก หากพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจในพระวิญญาณ ก็จะไม่มีใครมีชีวิตรอด เราทั้งหมดจะถูกพระเจ้าประหารเพราะความโสมมและเสื่อมทราม ดังนั้นเมื่อดูสิ่งที่จำเป็นต่อเราในฐานะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระเจ้าได้ทรงเลือกหนทางที่มีประโยชน์ที่สุดเพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงแสดงความจริง และพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้สะอาด นี่คือความรักและความรอดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์!”
ถึงตรงนี้ฉันรู้สึกตื้นตันมาก และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เราต้องให้พระเจ้าทรงจุติมาเป็นบุตรมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าจริงๆ นั่นเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม!” ฉันไม่เคยรู้หนทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจมาก่อน ฉันไม่ได้เฝ้าฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และดังนั้นฉันจึงไม่สามารถรู้จักหรือต้อนรับพระองค์ได้ ฉันเพียงแค่เฝ้ารออย่างโง่เขลาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆและทรงรับเราขึ้นไปสู่สวรรค์ ฉันช่างโง่เขลาอะไรอย่างนั้น!
ต่อมา เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมายและค้นพบ ว่าหญิงพรหมจารีมีปัญญาคืออะไร หญิงพรหมจารีโง่คืออะไร พระเจ้าทรงปรากฏอย่างไร และความลึกลับของพระนามของพระเจ้า การทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ และพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ เรามาเข้าใจว่าพระเจ้าทรงกระทำ พระราชกิจสามระยะเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร พระราชกิจสามระยะนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอำนาจของซาตานอย่างสมบูรณ์ เราเห็นพระยาห์เวห์พระเจ้า องค์พระเยซูเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งหมดเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว เราจำได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาและยอมรับพระองค์ ในที่สุดเราก็ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าค่ะ! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!