51. บอกลา การแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย

โดย ซือฝาน, เกาหลีใต้

ฉันรับหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่เมื่อสองปีก่อน ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเกียรติจากพระเจ้า ฉันยังรู้ด้วยว่ามันเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ฉันจึงอยากใส่ความพยายามไปในความจริงมากขึ้น เพื่อให้น้ำได้ดี เพื่อช่วยให้พวกเขาก้าวไปยังหนทางที่แท้จริงได้โดยเร็ว ย่ามวาง ฉันจะอ่านพระวจนะเพื่อเตรียมความจริงให้พร้อมมูล และในการชุมนุม หากผู้เชื่อใหม่มีคำถามและปัญหา ฉันจะค้นพระวจนะเพื่อสามัคคีธรรมถึงทางออก ในตอนที่ฉันไม่เข้าใจหรือไม่อาจแก้ไขบางอย่างได้ ฉันก็จะแสวงหาเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่น เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นๆ เริ่มแสวงหาฉันเพื่อการสามัคคีธรรมเรื่องปัญหาของพวกเขา ฉันจึงเห็นว่า ทุกคนต่างนับถือฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะยังใหม่กับการให้น้ำ ฉันรู้สึกมีความสุขจริงๆ และมีความกระตือรือร้นในหน้าที่มากขึ้น

ต่อมา ผู้นำก็ได้มอบหมายให้คุณเฉิงมาทำงานร่วมกับฉัน ผ่านไปไม่นาน ฉันก็พบว่าเธอรับผิดชอบหลายอย่างมากในหน้าที่ และเก่งในการเปิดเผยปัญหาในการทำงานของเรา การสามัคคีธรรมของเธอในการชุมนุมนั้นชัดเจนและเป็นระบบจริงๆ และเธอยังสามารถแก้ไขปัญหาบางส่วนได้ด้วย ทุกคนชอบเธอมากจริงๆ แล้วก็จะแสวงหาคุณเฉิงเพื่อสามัคคีธรรมในตอนที่พวกเขามีปัญหา การได้เห็นเช่นนี้ทำให้ฉันกังวลว่า “คุณเฉิงค่อนข้างใหม่ แต่คนอื่นๆ ก็นิยมยกย่องเธอมากซะแล้ว ตอนที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจะเริ่มแสวงหาแต่คุณเฉิน ไม่ใช่ฉันหรือเปล่า? พวกเขาจะคิดว่าฉันเทียบคุณเฉิงไม่ติดหรือเปล่า? ไม่ได้ ฉันจะต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าฉันไม่ได้เป็นที่สองรองจากใคร ว่าฉันยังสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ฉันอยู่ในหัวใจของทุกๆ คน” ฉันเริ่มลงมืออย่างจริงจังและสอบถามเกี่ยวกับสภาวะและความลำบากของ เหล่าพี่น้องชายหญิง และก่อนการชุมนุมทุกครั้ง ฉันได้ทำงานเพื่อหาพระวจนะของพระเจ้าและจดบันทึกเอาไว้ ในระหว่างการชุมนุม ฉันมัวหมกมุ่นว่าจะให้การสามัคคีธรรมที่ดีกว่าคุณเฉิงอย่างไร เพื่อให้ทุกคนคิดว่าฉันมีความสามารถมากกว่า ซึ่งฉันก็ต้องแปลกใจ วันหนึ่ง ผู้นำบอกเราว่าคุณเฉิงกำลังจะรับใช้ในฐานะผู้นำกลุ่ม ฉันตกตะลึงไปเลยค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันได้ยินผิดไปหรือเปล่า? คุณเฉิงจะเป็นผู้นำกลุ่มหรือ? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? ฉันได้รับหน้าที่นี้มานานกว่าเธอ หากคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะคิดอย่างไร? พวกเขาจะคิดว่าเธอดีกว่าฉันหรือเปล่า? ฉันจะมีหน้าไปพบใครอีกได้อย่างไร?” ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉันไม่อาจยอมรับความจริงนั้นได้ ฉันอยู่ในที่มืดมิดและเจ็บปวดจริงๆ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจะคิดแบบนั้น ซึ่งมันเป็นการใช้ชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียงและสถานะ แต่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง ว่าสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน และสิ่งที่ฉันต้องทำก็คือปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี โดยไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก ในเวลานั้น ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเองในด้านนี้จริงๆ

แล้ววันหนึ่ง ฉันก็พบว่าครอบครัวของคุณจางหลงเชื่อข่าวลือและคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพวกเขาก็พยายามห้ามความเชื่อของเธอ เธอถูกกักตัวไว้ และไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม ฉันติดต่อเธอ โดยหวังว่าจะสามัคคีธรรมกับเธอ แต่เธอบอกว่าเธอได้ติดต่อกับคุณเฉิง ว่าพวกเธอได้แสวงหาและสามัคคีธรรมกันแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นทำให้ฉันอารมณ์เสีย คุณจางมักนำปัญหามาปรึกษาฉันเสมอ แต่ตอนนี้ เธอกลับมุ่งตรงไปหาคุณเฉิงแทน เธอคิดว่าฉันไม่ดีพอหรือเปล่า? ทุกคนกำลังจะลืมทุกอย่างเกี่ยวกับฉันใช่ไหม? ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกหมดกำลังใจจริงๆ ฉันคิดว่าคุณเฉิงแย่งความเฉิดฉายของฉันอยู่ และฉันก็เริ่มมีอคติกับเธอ ฉันเลิกพร้อมมากที่จะตอบกลับข้อความของเธอ และบางครั้งก็แค่ตอบกลับไปเร็วๆ ว่า “ได้ค่ะ” และมีครั้งหนึ่งตอนที่เราอยู่ในการชุมนุมทางออนไลน์กับเหล่าพี่น้องชายหญิงบางส่วน คุณเฉิงให้สามัคคีธรรมในการตอบคำถามพี่น้องหญิงคนหนึ่ง ฉันฟังอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แค่กังวลว่าการสามัคคีธรรมของเธอจะมาแย่งความเด่นไป ฉันแค่อยากมีโอกาสในการแบ่งปันสามัคคีธรรม เพื่อให้คนอื่นได้เห็นว่าฉันก็จริงจังกับหน้าที่ และฉันสามารถเปิดเผยปัญหาได้เช่นกัน ในตอนที่คุณเฉิงทำเสร็จแล้ว พี่น้องหญิงคนที่ถามคำถาม ได้บอกว่าการสามัคคีธรรมของเธอไม่ได้แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันรู้สึกพอใจที่ได้เห็นเธออยู่ในจุดที่ยากลำบาก ฉันคิดว่า “คุณพูดไปมากทีเดียว แต่ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง มันไม่ตรงประเด็น ตอนนี้คุณอับอายขายหน้าแล้ว คนอื่นๆ รู้ได้ทันที ฉันต้องรีบคว้าโอกาสนี้จัดแสดงอย่างดี เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าสามัคคีธรรมของฉันนั้นดีกว่าของคุณ” ฉันเริ่มแบ่งปันสามัคคีธรรมทันที เมื่อฉันทำเสร็จ มันเห็นได้ชัดว่าฉันไม่ได้เข้าใจคำถามของพี่น้องหญิงคนนี้เลย และคำตอบของฉันนั้นหลุดประเด็นไปไกล เธอถึงกับส่งข้อความมาเตือนฉัน ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เง่า และอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ตอนนั้นมีเรื่องด่วนเข้ามาพอดี ฉันจึงวางสาย หลังจากนั้น ฉันเห็นพวกเขายังคงมีการชุมนุมทางออนไลน์กันอยู่ และความคิดร้ายกาจก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า “ถ้าคุณยังพูดอยู่แบบนี้ ใครจะรู้ว่าคุณจะทำต่อไปอีกนานแค่ไหน ถ้าฉันอยู่ในการชุมนุมไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็ได้เสนอหน้าอยู่คนเดียวน่ะสิ” ดังนั้นฉันจึงส่งข้อความนี้ไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลยว่า “หมดเวลาการชุมนุมแล้ว ไม่ต้องลากยาวออกไปแล้วค่ะ เราเสวนาเกี่ยวกับปัญหาใดๆ หลังจากนี้ได้” พวกเขาออฟไลน์กันหมดภายในไม่กี่นาที ฉันนั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ด้วยใจที่ไม่สงบจริงๆ ฉันรู้สึกอับอายอย่างมากเกี่ยวกับสามัคคีธรรมที่ฉันได้แบ่งปัน และฉันก็รู้สึกแย่เมื่อคิดว่าฉันมีความสุขแค่ไหนในความล้มเหลวของคุณเฉิง ฉันทำอะไรอยู่? ฉันไม่ได้พยายามทำงานกับเธอเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดี แต่กลับอิจฉาริษยา ทั้งอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้น พยายามบ่อนทำลายเธอ นั่นเป็นการทำหน้าที่ของฉันด้วยหรือ? ฉันไม่อาจระงับความรู้สึกของตัวเองได้

หลังจากนั้นฉันได้ทบทวนตัวเอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันจริงๆ กันแน่ การเปรียบเทียบตัวเองกับคุณเฉิงในทุกๆ เรื่องนั้นเป็นหนทางการใช้ชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวด ฉันไม่ได้รับความรู้แจ้งใดๆ จากพระวจนะของพระเจ้าเลย ฉันแค่อธิษฐานไปเฉยๆ เท่านั้น การชุมนุมก็แห้งแล้งและน่าเบื่อ ปราศจากความกระจ่าง หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความมืดมิด ด้วยความเจ็บปวด ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ใช้ชีวิตเพื่อชื่อเสียงและสถานะ คอยแต่แข่งขันอยู่เสมอ เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ต้องการความชื่นชมจากพวกเขา ข้าพระองค์ทราบว่านี่ไม่ใช่สภาวะที่ถูกต้อง แต่ข้าพระองค์ไม่อาจหลีกหนีมันได้ ข้าแต่พระเจ้า ขอได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวเองด้วยเถิด”

ในการชุมนุมวันหนึ่ง ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อคนจำพวกเดียวกับพวกศัตรูของพระคริสต์ลุล่วงหน้าที่หนึ่ง ไม่สำคัญว่านั่นจะเป็นสิ่งใดและไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มใดก็ตาม พวกเขาย่อมสาธิตให้เห็นการประพฤติปฏิบัติรูปแบบหนึ่งซึ่งเด่นชัด กล่าวคือ พวกเขามีแนวโน้มอยู่เสมอที่จะจำกัดหน่วงเหนี่ยวผู้คนและควบคุมพวกเขาเหล่านั้น  พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะนำทางผู้คนและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะถูกมองเห็น ที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน ทั้งนี้ พวกเขาต้องการความใส่ใจและสายตาที่จับจ้องในตัวพวกเขาจากผู้คนในจำนวนที่มากขึ้น  เมื่อใดก็ตามที่พวกศัตรูของพระคริสต์เข้าไปร่วมกับกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจำนวนคนในกลุ่มนั้นจะเป็นเท่าใด สมาชิกของกลุ่มนั้นเป็นใคร อะไรคือวิชาชีพหรืออัตลักษณ์ของพวกเขา อันดับแรกพวกศัตรูของพระคริสต์จะดูว่าใครพูดได้ดี ใครน่าประทับใจ ใครมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างสูง และใครมีทุนมากที่สุด  พวกเขาดูว่าใครที่พวกเขาสามารถเอาชนะได้และใครที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ ผู้ที่ล้ำเลิศกว่าพวกเขาและผู้ที่ด้อยกว่าพวกเขา  เหล่านี้คือสิ่งแรกๆ ที่พวกเขาประเมินค่า  หลังจากที่ประเมินสถานการณ์นั้นอย่างรวดเร็วแล้ว พวกเขาก็เริ่มงานของพวกเขา โดยพักวางบรรดาผู้ที่อยู่ภายใต้พวกเขาไว้ก่อนและเพิกเฉยต่อพวกเขาเหล่านั้น  ก่อนอื่นเลยพวกเขาไปหาบรรดาผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าเหนือกว่า ผู้ที่มีเกียรติยศอยู่บ้างและมีสถานะอยู่บ้าง พวกเหล่านั้นที่มีพรสวรรค์บางอย่างซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถอยู่บ้าง  เหล่านี้คือผู้คนที่พวกเขาเอาตัวเองไปวัดเทียบเป็นอันดับแรก  หากผู้คนเหล่านี้คนใดได้รับการเคารพนับถือว่าสูงส่งโดยเหล่าพี่น้องชายหญิง ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานแล้วและอยู่ในจุดยืนที่ดี เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ย่อมกลายเป็นเป้าหมายแห่งความอิจฉาของพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นการแข่งขันของพวกเขา  จากนั้น พวกศัตรูของพระคริสต์ก็เปรียบเทียบตัวเองอย่างเงียบๆ กับผู้คนเหล่านี้ ผู้ที่ได้รับการเคารพนับถือ ผู้ซึ่งมีสถานะ และวาทะของผู้นั้นสามารถทำให้เหล่าพี่น้องชายหญิงติดตามได้ โดยมองดูสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถทำได้และสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้เชี่ยวชาญแล้ว  เมื่อเฝ้าดูและเฝ้าสังเกต พวกศัตรูของพระคริสต์จึงตระหนักว่า ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาอาชีพเฉพาะบางอย่าง และว่าทุกคนให้ความนับถือพวกเขาเป็นอย่างสูง เพราะพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าหรือด้วยเหตุผลอื่นบางประการ  ทันทีที่พวกเขาได้ค้นพบ ‘เหยื่อ’ ดังกล่าว ได้ระลึกรู้ถึงคู่แข่งเช่นนั้น และหาเหตุผลนั้นเจอ พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะเกิดแผนที่จะกระทำการขึ้นมา  พวกเขาจะดูว่าตรงไหนที่พวกเขาสู้คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้ และนั่นก็คือตรงที่พวกเขาจะได้ทำงาน  หากพวกเขาไม่เก่งในวิชาอาชีพเท่าบุคคลอีกคน พวกเขาก็จะศึกษาวิชาอาชีพนั้น โดยเสาะหาข้อมูลทุกจำพวกและเอ่ยขอการให้คำแนะนำจากผู้อื่นอย่างถ่อมใจ  พวกเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในงานทุกประเภทซึ่งมีความสัมพันธ์กับวิชาอาชีพนั้น โดยค่อยๆ สะสมประสบการณ์และบ่มเพาะพลังอำนาจของตัวเอง  ทันทีที่พวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีทุนที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งของพวกเขา พวกเขาก็จะยืนขึ้นเป็นประจำในการที่จะทำให้ ‘ทรรศนะอันรู้แจ้งทั้งหลาย’ ของพวกเขาได้เป็นที่รู้กัน  บ่อยครั้งที่พวกเขาจงใจปฏิเสธลบล้างและดูเบาคู่แข่งของพวกเขาเพื่อทำให้คู่แข่งเหล่านั้นดูโง่เขลาและทำให้ความมีหน้ามีตาของคู่แข่งเหล่านั้นหมองราศี  ด้วยการนั้นพวกเขาจึงมีความสามารถที่จะสาธิตให้เห็นว่า พวกเขาไม่เหมือนคนอื่นที่เหลือและปราดเปรื่องกว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขามาก  บุคคลปกติทั่วไปสามารถระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  ตลอดกระบวนการนี้ ก็มีแต่ตัวของพวกศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นเองที่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่—พวกเขา กับพระเจ้า  ผู้คนธรรมดานั้นแค่มองความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขา การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ความทุกข์ของพวกเขา ราคาที่พวกเขาจ่าย และพฤติกรรมที่ดูเหมือนว่าดีของพวกเขา  ทว่าความจริงของเรื่องนี้ซ่อนเร้นลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา  อะไรหรือคือแก่นวัตถุประสงค์ของพวกเขา?  นั่นก็คือการได้รับสถานะ  เป้าหมายซึ่งงานทั้งหมดของพวกเขา การตรากตรำทั้งหมดของพวกเขา และราคาทั้งหมดที่พวกเขาจ่ายมุ่งหมายไปสู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวก็คือ สิ่งนั้นในหัวใจของพวกเขาที่พวกเขาไม่สามารถลืมได้เลยและไม่สามารถปล่อยผ่านได้เลย นั่นก็คือ สถานะ(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)  พระวจนะของพระเจ้ากระทบใจฉันจริงๆ และฉันรู้สึกแย่มาก ฉันรู้สึกด้วยว่าพระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเห็นความคิดและความรู้สึกของฉันได้ชัดเจนเฉกเช่นกลางวัน เมื่อมาลองคิดดู ตั้งแต่รับหน้าที่การให้น้ำ ฉันก็ใช้มันเป็นโอกาสในการอวดตัว ฉันต้องการใช้การแก้ไขปัญหาของผู้อื่นเป็นหนทางในการได้รับความชื่นชมและการเห็นชอบ หลังจากที่ผู้นำได้มอบหมายให้คุณเฉิงมาทำงานกับฉัน สิ่งที่ฉันสนใจไม่ใช่ว่าเราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีด้วยกันได้อย่างไร แต่เป็นการแข่งขันและเปรียบเทียบตัวเองกับเธอ ฉันหมกมุ่นอยู่กับใครเป็นผู้ที่เหล่าพี่น้องชายหญิงแสวงหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเราคนใดมีเกียรติยศมากกว่า โดดเด่นมากกว่าท่ามกลางคนอื่นๆ ฉันรู้สึกถูกคุกคามตอนที่เห็นว่าทุกคนนับถือคุณเฉิงแค่ไหน และรู้สึกว่าถูกทิ้งขว้าง ฉันจึงเริ่มเห็นเธอเป็นคนที่ฉันจะแข่งขันด้วย ฉันอยากจะเอาชนะเธอ เหนือกว่าเธอในทุกสิ่งที่ฉันพูดและกระทำ และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าฉันนั้นดีกว่า ฉันถูกความทะเยอทะยานและความปรารถนาครอบงำ และถึงกับมีความสุขในความล้มเหลวของเธอในการไล่ตามเสาะหาสถานะของฉัน ดูเหมือนฉันกำลังทำหน้าที่ แต่ฉันไม่ได้คิดถึงวิธีทำมันให้ดีสักนิด วิธีที่จะทำให้การชุมนุมนั้นได้ประโยชน์สูงสุด หรือวิธีช่วยเหลือเหล่าพี่น้องชายหญิงเรื่องปัญหาของพวกเขา ทุกสิ่งที่ฉันทำไปก็เพื่อประโยชน์แห่งความมีหน้ามีตาและสถานะ นี่มันคืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ศัตรูของพระคริสต์วางสถานะและเกียรติยศเหนือสิ่งอื่นใด พวกนั้นอิจฉา ต่อสู้ และเปรียบเทียบตัวเองกับใครก็ตามที่ดีกว่า พวกนั้นจะไม่มีทางหยุดเหยียบย่ำ ดูถูก และป้ายสีใครก็ตามเพื่อเห็นแก่สถานะ เพื่อยกระดับตัวเองและอวดตัว ในทุกๆ อย่างที่ฉันทำ แรงจูงใจซ่อนเร้นของฉันไม่ใช่แบเดียวกับของศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ? การทำหน้าที่ของฉันด้วยจุดมุ่งหมายเช่นนั้น เป็นการเดินตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ เป็นการต้านทานพระเจ้า เมื่อรู้เช่นนี้ ฉันก็เต็มไปด้วยความเสียใจ และรู้ว่าฉันต้องเปลี่ยนแปลง ฉันต้องแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเองจริงๆ เพื่อแก้ไขปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน

ฉันได้ไตร่ตรองและแสวงหาเรื่องนี้เช่นกัน แล้วก็อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจสาเหตุของมัน เพื่อให้ฉันได้กลับใจอย่างแท้จริง มีพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ฉันอ่านในวันหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในค่ายของซาตานนั้น ไม่ว่าจะเป็นในสำนักงานขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ ท่ามกลางผองชนหรือในตำแหน่งทางราชการ อะไรหรือคือบรรยากาศซึ่งพวกเขาใช้กระทำการ?  อะไรหรือคือหลักธรรมและแนวทางสำหรับการกระทำของพวกเขา?  แต่ละคนทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ แต่ละคนไปตามหนทางของตัวเอง  พวกเขากระทำการเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและทำสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเอง  ใครก็ตามที่มีสิทธิอำนาจก็มีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย  พวกเขาไม่คิดถึงผู้อื่น ตราบใดที่ไม่ได้ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองหรือกฎเกณฑ์ของรัฐบาล พวกเขาย่อมทำอย่างที่พวกเขาจะทำ โดยเพียรพยายามเพื่อให้ได้ชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ  หากพวกเจ้าทั้งไม่เข้าใจความจริงและไม่นำความจริงนั้นไปสู่การปฏิบัติ ในสถานการณ์ที่พวกเจ้ายังไม่ได้รับการจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าจะแตกต่างไปจากพวกเขาบ้างหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด—แน่นอนที่สุดว่า พวกเจ้าจะเป็นอย่างเดียวกันกับพวกเขา  พวกเจ้าจะต่อสู้ในหนทางเดียวกันกับที่พวกผู้ไม่เชื่อต่อสู้  พวกเจ้าจะดิ้นรนในหนทางเดียวกันกับที่พวกผู้ไม่เชื่อดิ้นรน  จากเช้าจดค่ำ พวกเจ้าจะอิจฉาและพิพาท โดยวางแผนร้ายและวางอุบาย  อะไรเล่าคือรากเหง้าของปัญหานี้?  นั่นล้วนเป็นเพราะผู้คนถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคอยควบคุม  การครองอำนาจของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือการครองอำนาจของซาตาน ทั้งนี้ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทรามนั้นอาศัยอยู่ภายในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยปราศจากข้อยกเว้น  ดังนั้น เจ้าจึงไม่ควรคิดว่าเจ้าดีเกินไปหรือสุภาพอ่อนโยนและซื่อสัตย์เกินไปที่จะร่วมทำการดิ้นรนเพื่ออำนาจและผลกำไร  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและพระเจ้าไม่ทรงนำทางเจ้า เจ้าย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้นอย่างแน่นอน และเพราะความไร้เล่ห์มายาและความใจดีมีเมตตาของเจ้า หรือเพราะความเยาว์วัยของเจ้า เจ้าย่อมจะไม่กันตัวเองออกจากการต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออำนาจและผลกำไร  เจ้าจะไม่ยอมละทิ้งการไขว่คว้าหาอำนาจและผลกำไร ตราบใดที่เจ้ามีโอกาสและรูปการณ์แวดล้อมก็เปิดทางให้ทำได้  การต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออำนาจและผลกำไรเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงธรรมชาติอันชั่วของซาตาน  ทุกคนต่างต่อสู้ ไขว่คว้า และควบแข่งกันอย่างไม่มีข้อยกเว้นเพื่อชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ โดยยอมลงทุนเสี่ยงภัยและผจญความลำบากยากเย็นไม่ว่าอันใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง  ในความพยายามของพวกเขาเพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์นี้ ผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาออกมา  ดังนั้น ตราบที่เจ้าไม่เข้าใจความจริง ไม่ยอมรับความจริง และไม่สามารถกระทำการโดยอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ย่อมจะครอบงำความคิดของเจ้าและสั่งการการกระทำของเจ้า  เจ้าไม่สามารถหลีกหนีการนี้ได้  ตอนนี้ ขณะที่เจ้าลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็เชื่อฟังอยู่บ้าง มีความยืดหยุ่นในหัวใจอยู่บ้าง จริงจังอยู่บ้าง และเจ้ามีบางสิ่งที่เป็นสำนึกแห่งความรับผิดชอบ หรือไม่ก็เจ้าสามารถพักวางข้อกังวลสำหรับสถานะของตัวเองได้ และบ่อยครั้งที่เจ้ามีความสามารถที่จะต้านทานการต่อสู้ได้ สามารถมีความสุภาพและให้ความร่วมมืออย่างสันติสุขได้ มีความสามารถที่จะแสวงหาและรอได้  บุคคลหนึ่งสัมฤทธิ์ท่าทีเช่นนั้นอย่างไรหรือ?  นี่มีความสัมพันธ์กับการจัดเตรียมและการให้คำแนะนำของพระเจ้า  หากปราศจากสิ่งเหล่านั้น ผู้คนก็ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้  ตั้งแต่วัยเด็ก ผู้คนถูกสอนอะไรมาบ้าง?  บิดามารดามากมายสอนลูกหลานของพวกเขาว่า ‘เจ้าจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อเป็นหมายเลขหนึ่ง  หากเจ้าไม่ต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่ง เจ้าก็เป็นคนขี้ขลาดที่ไร้ค่า และทุกคนก็จะดูแคลนเจ้าและรังแกเจ้า!’  เมื่อเด็กๆ อายุมากขึ้นสักหน่อย พวกเขาก็คิดในหนทางนี้ด้วยตัวเอง โดยปราศจากการที่บิดามารดาของพวกเขาให้การแนะนำพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขาจะต่อสู้  พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่เขลาหากไม่ต่อสู้  ภายในกลุ่มของผู้คน พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนไม่เอาไหนหากพวกเขาไม่สามารถสถาปนาความน่าเชื่อถือได้และไม่มีเกียรติยศสักหน่อย  เพราะฉะนั้น นอกเหนือจากการจินตนาการ มโนคติอันหลงผิด และความรู้ ทั้งหมดที่มนุษย์มีก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  มวลมนุษย์ซึ่งมีแก่นแท้ที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ใช้ชีวิตตามภาพลักษณ์ของซาตาน  ทุกการกระทำและความประพฤติมีศูนย์กลางอยู่ที่อุปนิสัยของซาตานและความคิดของซาตาน  ไม่มีใครมีความสามารถที่จะหลีกหนีการนี้ได้(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นว่าทำไมฉันถึงไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ได้ มันเป็นเพราะฉันถูกอาบและทำให้เสื่อมทรามด้วยพิษและมุมมองเยี่ยงซาตาน ถูกสอนที่บ้านและโรงเรียนว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด” ดังนั้นฉันจึงอยากได้ความชื่นชมจากผู้อื่น ไม่ว่าฉันจะอยู่ในกลุ่มใดก็ตาม และฉันมีความสุขกับความรู้สึกที่ถูกชื่นชมและเห็นชอบ ฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่ชีวิตมีคุณค่าและทรงเกียรติ การอยู่เบื้องล่างใครสักคนทำให้ฉันรู้สึกไร้ค่า ไม่สามารถสู้หน้าใครได้ การทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็ยังคงเดินไปตามแนวคิดและความคิดของซาตานเหล่านี้ ไล่ตามเสาะหาความชื่นชมจากผู้อื่น แต่การทำหน้าที่กับเหล่าพี่น้องชายหญิง คือการสนับสนุนซึ่งกันและกันและชดเชยสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างขาดไป เพื่อให้เรามีประสิทธิภาพได้มากขึ้น เราควรจะเป็นผู้ช่วยเหลือ ยิ่งกว่านั้น เราควรจะเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน แต่ฉันกลับปฏิบัติต่อคุณเฉิงเหมือนเป็นคู่ต่อสู้ หมกมุ่นอยู่กับวิธีเอาชนะเธอ เมื่อฉันทำไม่ได้ ฉันก็หันไปใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำให้การสามัคคีธรรมของเธอในการชุมนุมหยุดชะงัก การกระทำสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยอันเลวร้ายและมุ่งร้ายที่ฉันมี ฉันคิดมาตลอดว่าการไต่อันดับและได้รับความชื่นชมเป็นหนทางเดียวในการใช้ชีวิตที่มีเกียรติ การใช้ชีวิตด้วยพิษของซาตานเหล่านี้ ทำให้ความทะเยอทะยานของฉันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมุมมองของฉันก็หดแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งพฤติกรรมของฉันนั้นไม่ถูกใจแก่ผู้อื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือน่าขยะแขยงต่อพระเจ้า แบบนั้นความมีเกียรติอยู่ตรงไหนกัน? ในที่สุดฉันก็เห็นว่า ฉันเคยถูกพิษของซาตานทำให้เสื่อมทรามมากแค่ไหน ฉันไม่อาจแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นด้านบวกและด้านลบได้ และฉันก็สูญเสียมโนธรรมและเหตุผลของฉันไป พวกศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลยแม้แต่น้อย มีเพียงชื่อเสียงและสถานะ และในตอนสุดท้ายพวกนั้นก็ถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้ง การไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า เส้นทางของการทำลายล้าง ฉันได้เห็นว่าผลสืบเนื่องของการใช้ชีวิตในหนทางนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน และหากปราศจากพระวจนะของพระเจ้ามาเปิดโปงฉัน ฉันจะไม่มีวันรู้จักตัวเอง และใครจะรู้ว่าฉันจะทำความชั่วแบบใด?

เช้าวันหนึ่ง ฉันอ่านอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนไม่ใช่ความสามารถในการทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องให้พวกเขาบุกเบิกภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือมีเกียรติ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้าทำให้เกิดปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า  พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างแน่วแน่  ยามที่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ จดจำสิ่งที่เจ้าได้เห็น แล้วจากนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จงปฏิบัติตามที่พระเจ้าตรัส เพื่อที่พระวจนะของพระเจ้าอาจกลายเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า และกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย  เจ้าแสวงหาความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และความมีเกียรติอยู่เสมอ เจ้าแสวงหาการยกย่องอยู่เสมอ  พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้?  พระองค์ทรงเกลียดสิ่งนั้น และไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตรไปที่สิ่งนั้น  ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงดูหมิ่นเจ้าและละทิ้งเจ้า  ต้องมั่นใจว่าไม่เป็นใครบางคนที่พระเจ้าทรงพบว่าน่าขยะแขยง จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก  ดังนั้นแล้ว คนเราสามารถบรรลุความรักของพระเจ้าได้อย่างไรหรือ?  โดยการรับความจริงในหนทางแบบติดดิน โดยการยืนอยู่ในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง โดยการพึ่งพาพระวจนะแห่งพระเจ้าอย่างมั่นคงที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และโดยการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ที่แท้จริง  นี่ก็มากพอแล้ว  ต้องมั่นใจว่าไม่เกาะกุมหรือหาความบันเทิงไปกับฝันอันเกียจคร้าน จงอย่าแสวงหาชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ หรือพยายามโดดเด่นจากฝูงชน  ที่มากไปกว่านั้นคือ จงอย่าพยายามเป็นบุคคลแห่งความยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์ ผู้ซึ่งสูงส่งอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์และทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา  นั่นคือความอยากได้อยากมีของสภาวะความเป็นมนุษย์อันเสื่อมทราม และนั่นคือเส้นทางของซาตาน ทั้งนี้ พระเจ้าไม่ทรงช่วยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายดังกล่าวให้รอด  หากผู้คนบางคนยังคงไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ และไม่ยอมที่จะกลับใจ เช่นนั้นแล้ว ย่อมไม่มีวิธีการแก้ไขใดเลยสำหรับพวกเขา และก็มีเพียงบทอวสานหนึ่งเท่านั้นสำหรับพวกเขา นั่นคือ การถูกกำจัดทิ้ง(“การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงไม่ได้ขอให้ผู้คนมีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่ หรือสำเร็จลุล่วงสิ่งใดที่น่าเหลือเชื่อ พระเจ้าเพียงทรงต้องประสงค์ให้เราปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ และลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบแห่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นั่นเป็นบุคคลประเภทเดียวที่คู่ควรกับความมีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้ที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย แต่การไล่ตามเสาะหาของฉันไม่ใช่การทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ซึ่งตลอดมา เป็นการให้ผู้คนนับถือฉันและเห็นชอบในตัวฉัน เพื่อให้ได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้อื่น เป็นขั้วตรงข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ หัวใจของเราควรจะเป็นพระวิหารเพื่อพระเจ้า ที่ที่เราบูชาและยกย่องพระเจ้า ในการเผชิญหน้ากับปัญหา เราควรจะอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า ใช้ชีวิตด้วยพระวจนะของพระองค์ แต่ฉันมักจะแสวงหาสถานที่ในหัวใจของผู้คนเสมอ เพื่อให้พวกเขานับถือฉันและชื่นชอบฉัน ฉันต่อสู้เพื่อตำแหน่งของพระเจ้า ล่วงเกินอุปนิสัยของพระองค์ ฉันขาดความจริงความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง มีหลายสิ่งที่ฉันไม่อาจเข้าใจหรือแก้ไขได้ แต่แค่พ่นหลักคำสอนบางอย่างได้ ฉันยังคงคิดว่าตัวเองค่อนข้างยิ่งใหญ่ และคิดว่าตัวเองสูงส่ง ฉันต้องการให้ผู้อื่นยกย่องและเคารพนับถืออย่างหน้าไม่อาย และหากไม่เป็นเช่นนั้น ฉันก็จะต่อสู้เพื่อให้ได้มา ฉันไม่รู้จักตัวเองเลยสักนิด และไม่รู้จักละอาย! พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และมายังโลกเป็นการส่วนพระองค์ ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างมากมายมหาศาลเพียงนั้น แต่พระองค์ก็ยังมิทรงอวดตัว หรือวางพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระองค์ แก่นแท้ของพระเจ้าช่างน่าชื่นชอบยิ่งนัก ความคิดนี้ยิ่งทำให้ฉันอับอายและเสียใจมากขึ้น ฉันตั้งปณิธานที่จะละทิ้งเนื้อหนังของฉันและปฏิบัติความจริง ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ความทะเยอทะยานอันรุนแรงของข้าพระองค์อยู่เหนือการควบคุม ข้าพระองค์ปลุกปล้ำ เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น แสวงหาความนับถือ นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ดี และมันทำให้พระองค์ทรงขยะแขยง ข้าพระองค์ไม่ต้องการใช้ชีวิตในหนทางนี้อีกต่อไป ข้าพระองค์อยากใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์และทำหน้าที่ให้ดี ขอได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วย” หลังจากนั้น ฉันก็แสวงหาคุณเฉิงและเปิดอกกับเธอเกี่ยวกับสภาวะและความเสื่อมทรามของฉัน เราสามัคคีธรรมเรื่องความสำคัญของความร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในตอนนั้นฉันรู้สึกมั่นคงและสงบสุขอย่างมาก

ตั้งแต่นั้นมา ฉันยังคงมีแรงผลักดันให้แข่งขันกับคุณเฉิงในการทำงานร่วมกันของเรา แต่ฉันจะรู้ตัว และรีบกล่าวอธิษฐาน ละทิ้งเนื้อหนัง และติดตามพระวจนะของพระเจ้า มีครั้งหนึ่งเมื่อถึงคราวคุณเฉิงเป็นผู้จัดการชุมนุม ฉันเห็นเธอยุ่งเกินกว่าจะเตรียมตัว และฉันก็เจอพระวจนะของพระเจ้าที่จะแก้ไขปัญหาของผู้อื่น ฉันคิดว่า “ฉันเป็นคนที่เจอบทตอนเหล่านี้ ถ้าการชุมนุมเป็นไปด้วยดี เหล่าพี่น้องชายหญิงจะคิดว่าคุณเฉิงเป็นคนทำงานทั้งหมดหรือเปล่า? พวกเขาจะคิดว่าเธอรับภาระมากกว่าฉันหรือเปล่า? บางทีฉันควรเป็นผู้จัดการชุมนุมนี้” แต่ในขณะที่ฉันกำลังพยายามคิดว่าจะพูดอะไร ฉันก็ตระหนักว่านี่ฉันกำลังต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติอีกครั้งแล้ว พระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือและพักวางสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้ที่จะเสนอแนะผู้อื่น และเปิดโอกาสให้พวกเขาโดดเด่น  จงอย่าดิ้นรนหรือเร่งร้อนที่จะเอาเปรียบจากชั่วขณะที่เจ้าเผชิญหน้ากับโอกาสเหมาะที่จะโดดเด่นหรือได้มาซึ่งสง่าราศรี  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะถอยห่างออกมา แต่ต้องไม่ล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  จงเป็นบุคคลซึ่งทำงานแบบปิดทองหลังพระ และเป็นผู้ที่ไม่โอ้อวดแก่ผู้อื่นในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี  ยิ่งเจ้าปล่อยมือจากเกียรติยศและสถานะของเจ้าและยิ่งเจ้าปล่อยมือจากผลประโยชน์ของเจ้าเองมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะเปี่ยมสันติสุขมากขึ้น มีความสว่างมากขึ้นในหัวใจของเจ้าและสภาวะของเจ้าก็จะพัฒนามากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าดิ้นรนและแข่งขันมากขึ้นเท่าใด สภาวะของเจ้าก็จะมืดมนมากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็จงลองดู!  หากเจ้าต้องการพลิกสภาวะนี้กลับด้าน และไม่ถูกควบคุมโดยสิ่งเหล่านี้แล้วไซร้ ก่อนอื่นเจ้าต้องพักวางพวกมันและล้มเลิกพวกมันไปเสีย(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางการปฏิบัติแก่ฉัน เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือ ละทิ้งโอกาสใดๆ ที่จะอวดตัว และยอมให้ผู้อื่นเป็นจุดสนใจ เราไม่ได้อวดตัวหรือถูกผู้อื่นชื่นชม แต่ภายในนั้นเป็นอิสระอย่างมาก เราไม่ได้ถูกความเสื่อมทรามควบคุม และเราได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า นั่นถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นฉันจึงส่งข้อความหาเธอ บอกว่า “พรุ่งนี้ไปเป็นผู้จัดการชุมนุมเลยค่ะ ฉันจะช่วยสามัคคีธรรมเอง” ในการชุมนุมวันถัดมา ฉันไม่ได้คิดว่าฉันจะถูกมองอย่างไร แต่คิดว่าจะสามัคคีธรรมจากพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรเพื่อช่วยเหลือเรื่องปัญหาของผู้อื่น คุณเฉิงกับฉันสามัคคีธรรมด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนในส่วนของเรา หลังจากนั้น ทุกคนก็บอกว่าการชุมนุมนั้นเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาจริงๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ และรู้สึกปีติยินดีกับการปฏิบัติความจริง

ก่อนหน้า: 47. ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของศิษยาภิบาลแล้ว

ถัดไป: 55. ความเป็นจริง เบื้องหลังคนขี้เกรงใจ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger