15. เรื่องราวของจอย

โดย จอย, ประเทศฟิลิปปินส์

เมื่อก่อน ฉันปฏิบัติต่อผู้คนตามอารมณ์อยู่เสมอ ถ้าใครดีกับฉัน ฉันก็จะดีตอบ  ฉันไม่มีการแยกแยะว่าใครเป็นยังไง และยิ่งกว่านั้น ฉันไม่มีหลักธรรมใดๆ จนกระทั่งฉันได้ประสบกับบางอย่างที่ทำให้ฉันเข้าใจว่า หลักธรรมที่ฉันใช้เพื่ออยู่ร่วมกับผู้คนและทัศนะที่ฉันมีต่อผู้อื่นนั้นล้วนไม่ถูกต้อง

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 เอ็มม่าเพื่อนรักของฉัน ชวนฉันไปชุมนุมที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยการอ่านพระวจนะ และการฟังสามัคคีธรรมในการชุมนุม ทำให้ฉันแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการเสด็จมาเป็นครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้า และได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าอย่างเปี่ยมสุข ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำของคริสตจักร

วันหนึ่ง ฉันก็สังเกตเห็นว่า จู่ๆ เอ็มม่าก็เผยแพร่ข่าวลือและความเข้าใจผิดในกลุ่มการชุมนุม โดยเป็นการตั้งคำถามกับพระเจ้าและโจมตีคริสตจักร รวมถึงการมีอคติต่อเหล่าผู้นำและมัคนายก คำพูดของเธอแฝงไปด้วยความไม่พอใจและการเสียดสี เธอยังบอกด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัวของเธอ และนั่นเป็นความคิดเห็นจากผู้อื่น และเธอหวังว่า จะมีการจัดประชุมขึ้นเพื่อให้เหล่าผู้นำมาตอบคำถามเหล่านี้ ฉันรู้สึกตกใจหลังจากได้อ่านข่าวลือและเรื่องเข้าใจผิดของเอ็มม่า  ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกเป็นกังวลไปด้วย เพราะผู้คนทั้งหมดในกลุ่มนั้น ล้วนเป็นพี่น้องชายหญิงที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า การส่งข้อความประเภทนั้นไปในกลุ่มจะเป็นการก่อกวนอย่างแน่นอน และอาจถึงกับทำให้คนที่มีรากฐานตื้นเขินและขาดปัญญาแยกแยะเกิดการสะดุด  ฉันรู้สึกไม่สบายใจมากและไม่รู้ว่าทำไมเอ็มม่าถึงทำแบบนี้ หากเธออยากได้คำตอบในเรื่องที่สงสัยจริงๆ เธอควรจะส่งคำถามพวกนั้นไปถามผู้นำโดยตรง ทำไมเธอถึงได้เผยแพร่เรื่องเหล่านี้ในหมู่ผู้มาใหม่? ไม่นาน เรื่องก็เป็นไปอย่างที่ฉันกลัว ข่าวลือของเอ็มม่าสร้างความสับสนและการก่อกวนในคริสตจักร โดยมีพี่น้องชายหญิงบางคนได้รับอิทธิพล เป็นเหตุให้พวกเขามีอคติต่อเหล่าผู้นำและมัคนายก และรู้สึกแข็งขืน  หนึ่งในหัวหน้ากลุ่มถามฉันว่า “สิ่งที่เอ็มม่าพูด เป็นจริงหรือเปล่า?” พอเห็นสถานการณ์นี้ กลายเป็นว่าฉันก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ฉันจึงรีบตามหาเอมม่าเพื่อถามว่าข่าวลือพวกนี้มาจากไหน  เอมม่าบอกกับฉันว่า “นี่ไม่ใช่คำถามที่ฉันหยิบยกขึ้นมา ฉันแค่อยากให้ผู้นำจัดการประชุมเพื่อตอบคำถามพวกนั้น”  ฉันถามเธออีกครั้งว่าใครเป็นคนส่งข่าวลือพวกนี้ให้เธอ แต่เอมม่ายังคงไม่พูด  ฉันรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำ คนที่อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เป็นคนตั้งคำถามเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อจะได้รีบแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ  แต่เอ็มม่าก็ไม่ยอมบอกอะไร  ต่อมา หลังจากการสืบสวนก็พบว่า ไม่มีพี่น้องชายหญิงคนไหนตั้งคำถามเหล่านี้ขึ้นมา แต่เป็นเอ็มม่าเองที่มีมโนคติอันหลงผิดต่อพระราชกิจของพระเจ้า เธอรวบรวมข่าวลือจากอินเทอร์เน็ต และเรียบเรียงเป็นคำถาม แต่เธอปฏิเสธที่จะยอมรับ  หลังได้รู้ความจริงของเรื่องนี้ ผู้นำก็รีบจัดการให้มีการชุมนุม และสามัคคีธรรมเพื่อตอบข่าวลือและเรื่องเข้าใจผิดของเอ็มม่าแต่ละเรื่อง ด้วยวิธีนี้จึงทำให้พี่น้องชายหญิงได้มีปัญญาแยกแยะในสิ่งที่เอ็มม่าพูด แต่ว่า ตัวเอ็มม่าเองกลับไม่ตระหนัก หรือกลับใจในการกระทำของตัวเองเลย

หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้นำก็ถามฉันว่า “ถ้าเอ็มม่าไม่ใช่คนที่เหมาะสม คุณจะทำอย่างไร? คุณจะสามารถปฏิบัติต่อเธอตามหลักธรรมความจริงได้ไหม?”  เมื่อเผชิญกับคำถามของผู้นำ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี  ต่อมา ผู้นำกับฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งด้วยกัน “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ?  จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม  พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้  เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์… ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา?  ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’  พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’  พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  หลังจากได้อ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าดีขึ้นอีกเล็กน้อย  พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยหลักธรรม และเราควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมเรื่องใด และไม่ว่ากับใคร เราต้องปฏิบัติต่อพวกเขาตามพระวจนะที่ว่า “จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง” เอ็มม่าจงใจเผยแพร่ข่าวลือและเรื่องเข้าใจผิดหล่านี้ ซึ่งทำให้ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า รวมถึงสับสนในพระราชกิจของพระเจ้า  สิ่งนี้ได้ก่อกวนต่อชีวิตคริสตจักร ซึ่งเป็นการกระทำชั่วโดยธรรมชาติ  พระเจ้าทรงเกลียดคนทำชั่ว  ผู้คนควรยืนอยู่ข้างพระเจ้า ปฏิเสธคนทำชั่ว และหยุดยั้งความประพฤติชั่วของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาก่อกวนผู้อื่นที่มีการชุมนุมและอ่านพระวจนะอยู่เป็นปกติอีกต่อไป เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็พูดกับผู้นำว่า “ถึงมันยากที่จะยอมรับว่าเอ็มม่าทำชั่ว แต่นั่นก็คือข้อเท็จจริง  ฉันจะไม่ยอมถูกเธอก่อกวนหรือบีบคั้น ฉันจะปฏิบัติกับเธอตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงมอบไว้  ถ้าคริสตจักรตัดสินใจที่จะแยกเธอออกไป ฉันเองก็จะวางความรู้สึกที่เคยมีต่อเธอไว้เท่านั้น และจะไม่ติเตียนพระเจ้า”  ผู้นำจึงบอกกับฉันว่า  “ในสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อเป็นการปกป้องเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ให้โดนเอมม่าหลอกต่อไป คริสตจักรจึงตัดสินใจแล้วว่าจะแยกเอมม่าออกไป เพื่อที่เธอจะได้คิดทบทวนตัวเอง”  ถึงฉันจะกังวลเรื่องสถานการณ์ที่ยากลำบากใจของเอ็มม่า แต่ฉันก็ตระหนักด้วยว่า เอ็มม่าทำตัวเป็นผู้รับใช้ของซาตาน ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร และการจัดเตรียมของผู้นำนั้น ก็เพื่อปกป้องพี่น้องชายหญิงจากการถูกหลอกลวงหรือก่อกวนจากข่าวลือและความเข้าใจผิด ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรอีก  ภายในไม่กี่วัน เอ็มม่าก็มาหาฉัน บอกฉันว่าเธอเป็นกังวลว่าจะถูกปลดออกจากกลุ่มการชุมนุม  ฉันพูดกับเธอว่า “เธอทำผิด  ถ้าเธออยากจะแก้ไขปัญหานี้จริงๆ เธอสามารถนำปัญหาไปหาผู้นำ และผู้นำก็จะช่วยเธอแก้ปัญหาพวกนั้นได้ แทนที่จะเผยแพร่ข่าวลือและความเข้าใจผิดพวกนี้ในหมู่พี่น้องชายหญิงจนเป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนพวกเขา”  ฉันต้องการทำให้เอ็มม่ากลับใจ แต่เธอก็ไม่ตอบอะไรฉัน  เธอพูดแต่เพียงว่าเธอไม่อยากถูกปลดออกจากกลุ่ม และถ้าหากว่าเธอถูกปลดออกไป เธอก็จะสร้างบัญชีปลอมด้วยข้อมูลและที่อยู่ปลอม เพื่อเข้าคริสตจักรอีกครั้ง ในฐานะผู้สืบหาหนทางที่แท้จริง นั่นหมายความว่าเธอจะถูกจัดการเตรียมการให้ไปยังคริสตจักรอื่น  เมื่อได้ฟังคำพูดของเอ็มม่า ฉันก็ประหลาดใจมาก เอ็มม่าไม่มีความตั้งใจที่จะกลับใจเลยจริงๆ เธอถึงกับอยากสร้างบัญชีปลอมมาแทรกซึมคริสตจักร เพื่อก่อกวนและบ่อนทำลาย  เธอเป็นแค่ผู้รับใช้ของซาตานไม่ใช่หรือ? การกระทำของเอ็มม่าก็ยังแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่คนซื่อสัตย์อีกด้วย  เธอวางแผนจะหลอกลวงพี่น้องชายหญิงและคริสตจักร  ในตอนนั้น ฉันนึกถึงความรับผิดชอบของมัคนายกให้น้ำที่ว่า “เมื่อค้นพบปัญหา พวกเขาควรจัดการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริงทันที ปัญหาที่ใหญ่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรมกับบรรดาผู้นำคริสตจักร ต้องไม่มีการปกปิดข้อเท็จจริงทั้งหลาย” (การจัดการเตรียมการงาน)  ฉันรู้สึกว่า ในฐานะมัคนายกให้น้ำ ฉันต้องยึดถือในหลักธรรมความจริง และปกป้องเหล่าพี่น้องชายหญิงของฉันไม่ให้ถูกก่อกวนและชักพาให้หลงผิด  ดังนั้น ฉันจึงบอกกับผู้นำเรื่องนี้และส่งภาพหน้าจอการสนทนาของเราให้เธอ  แต่แล้วฉันก็นึกถึงเรื่องที่ว่าเอ็มม่าเป็นคนแรกที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับฉัน และเรื่องที่ว่าเราเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร และเพราะแบบนั้น ฉันจึงถามผู้นำว่าเป็นไปได้ไหมที่จะปล่อยให้เอ็มม่าอยู่ในกลุ่มของเธอ  ด้วยหนทางนั้น เธอจะได้ไม่สมัครบัญชีปลอมมาก่อกวนคริสตจักรอื่นๆ  ผู้นำกล่าวกับฉันว่า “ถ้าเธอไม่ได้ทำชั่ว หรือทำการก่อกวนใดๆ เธอก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้ เธอไม่เข้าใจความประพฤติชั่วของตัวเองและการก่อกวนที่เธอได้ก่อขึ้น  เธอยังอยากโกหก ใช้กลโกง หลอกลวง และแอบย่องเข้าไปคริสตจักรอื่นอีก  นี่ทำให้เห็นว่าเธอยังไม่กลับใจ ถ้าเธอมีแก่นแท้ของคนทำชั่วจริง เธอก็จะไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลง และไม่หยุดทำชั่ว”  คำพูดของผู้นำเป็นการตักเตือนฉัน และตอนนั้นเอง ฉันถึงตระหนักได้ว่าฉันทำไปตามอารมณ์ที่ต้องการเก็บเอ็มม่าไว้ในคริสตจักร  เอ็มม่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเลย  บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่เธออาจทำชั่วและก่อกวนคริสตจักรอีกครั้ง  ฉันไม่มีหลักธรรมใดมาแก้ต่างแทนเอ็มม่า

ต่อมา ผู้นำได้สืบค้นและพบว่าเอ็มม่ามีมโนคติอันหลงผิด เธอไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น แต่เธอกลับจงใจยึดเอาสิ่งต่างๆ มาโจมตีคริสตจักร บิดเบือนข้อเท็จจริง เผยแพร่ข่าวลือและความเข้าใจผิด และชักพาให้เหล่าพี่น้องชายหญิงหลงผิด เพื่อทำให้พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  เธอยังพูดในการชุมนุมอยู่บ่อยๆ ว่า เหล่าผู้นำและหัวหน้ากลุ่มทำหน้าที่ได้ไม่ถึงที่สุด เพื่อโจมตีความคิดบวกในการปฏิบัติหน้าที่ของพวเขา เป็นเหตุให้พวกเขาคิดลบ ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ในหน้าที่ของพวกเขา  การกระทำของเอ็มม่า ขัดขวางคริสตจักรอย่างร้ายแรง และเธอก็ไม่กลับใจ ดังนั้น เธอจึงเป็นคนทำชั่วโดยแท้ สุดท้าย คริสตจักรจึงขับไล่เธอตามหลักธรรมของการปลดผู้คนออก และฉันก็ไม่ปกป้องเอ็มม่าอีกต่อไป  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ฉันจมอยู่กับความเจ็บปวด

เช้าวันหนึ่ง จู่ๆ เอ็มม่าก็ส่งข้อความมาถามฉันว่า ทำไมทำกับเธอแบบนี้ และเธอพูดว่า ฉันได้ทำลายความเชื่อใจที่เธอมีต่อฉัน และนั่นฉันจึงได้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปมาก  ต่อมา ฉันตระหนักได้ว่าเหตุผลที่เธอโกรธก็เป็นเพราะเรื่องบัญชีปลอม  เนื้อหาในภาพหน้าจอที่ฉันส่งไปให้ผู้นำถูกเขียนด้วยภาษาถิ่นของเรา ซึ่งผู้นำไม่เข้าใจ ดังนั้นเธอจึงให้พี่น้องหญิงอีกคนแปลสิ่งที่พูดเอาไว้  แต่บังเอิญว่าพี่น้องหญิงคนนี้ก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเอ็มม่า และเล่าเรื่องทั้งหมดนั้นให้เธอฟัง  นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเอ็มม่าจึงส่งข้อความมาถามฉันเรื่องนั้น  ฉันร้องไห้อยู่หลายครั้งในเช้าวันนั้น  ฉันรู้สึกว่า มิตรภาพระหว่างฉันกับเอ็มม่ากำลังจะจบลง ฉันเริ่มหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกับเอ็มม่า  เอ็มม่าช่วยฉันคิดหาแนวทางเวลามีเรื่องยากลำบาก และพวกเราก็มักจะแบ่งปันความคิดให้แก่กัน… แต่ตอนนี้ ฉันไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเอ็มม่ายังไง ฉันไม่อาจสงบใจลงได้  ฉันไม่มีแม้แต่สมาธิที่นานพอจะจัดการชุมนุมได้ด้วยซ้ำ ฉันได้แต่คิดโทษตัวเองว่า “ฉันทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายจริงหรือ? มันอาจจะมีทางที่ดีกว่านี้ในการหยุดเธอไม่ให้สร้างบัญชีปลอมและก่อกวนคริสตจักร” ฉันเริ่มกังขาว่าการตัดสินใจของฉันนั้นเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ฉันกระวนกระวายใจมาก ถึงกับอยากปิดบัญชีของตัวเอง หลบหน้าเหล่าพี่น้องชายหญิง และหลีกหนีไปจากเรื่องทั้งหมดนั้น แต่ฉันก็รู้ว่าไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ ฉันไม่ควรวิ่งหนีปัญหา และควรตั้งใจแสวงหาทางแก้ไข ดังนั้น ฉันจึงเล่าสภาวะของตัวเองให้ผู้นำฟัง ผู้นำได้ส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งมาให้ฉัน “เจ้าต้องเข้าสู่จากด้านที่เป็นบวก จงกระตือรือร้นและไม่นิ่งเฉย  เจ้าต้องไม่หวั่นไหวเพราะผู้ใดหรือสิ่งใดในทุกสถานการณ์ และเจ้าต้องไม่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของผู้ใด  เจ้าต้องมีอุปนิสัยอันมั่นคง ไม่สำคัญว่าผู้คนจะพูดอะไร เจ้าต้องนำสิ่งที่เจ้ารู้ว่าเป็นความจริงไปปฏิบัติในทันที  เจ้าต้องมีวจนะของเราทำงานอยู่ในตัวเจ้าเสมอไม่ว่าเจ้าอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด เจ้าต้องตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าที่มีต่อเราและแสดงให้เห็นการคำนึงถึงภาระของเรา  เจ้าต้องไม่เห็นด้วยกับผู้อื่นอย่างมืดบอดโดยปราศจากแนวคิดของตัวเจ้าเอง ในทางตรงกันข้าม เจ้าต้องมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและคัดค้านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่สอดคล้องกับความจริง  หากเจ้ารู้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่ขาดความกล้าที่จะเปิดโปง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งซึ่งปฏิบัติความจริง  เจ้าต้องการที่จะกล่าวบางสิ่งบางอย่าง แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาตามตรง  ดังนั้นเจ้าจึงพูดจาอ้อมค้อม แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสีย ซาตานอยู่ในตัวเจ้า คอยดึงเจ้าไว้ เป็นเหตุให้เจ้าพูดไปโดยไม่เกิดผลใด และไร้ความสามารถที่จะมานะบากบั่นไปจนถึงที่สุดได้  เจ้ายังคงพกพาความเกรงกลัวไว้ในหัวใจของเจ้า และนี่ไม่ใช่เพราะหัวใจของเจ้ายังคงเต็มไปด้วยแนวคิดของซาตานหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 12)  หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับฉันว่า “พระวจนะกล่าวไว้ชัดเจนมาก ถ้าคุณพบสิ่งที่สร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักร และนั่นทำร้ายพี่น้องชายหญิง หรือถ้ามีการก่อกวนจากซาตาน คุณต้องยืนหยัด มีความกล้าที่จะเปิดโปงมัน หยุดมัน และปกป้องงานของคริสตจักร แบบนี้เท่านั้นถึงจะเป็นคนที่ปฏิบัติความจริง ถ้าเรารู้ว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ยังคงถูกอารมณ์บีบคั้น กลัวจะทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น และไม่อาจยึดถือหลักธรรมความจริงได้ ก็จะกลายเป็นว่าเรายืนอยู่ข้างซาตาน และนี่คือเรื่องที่ขัดต่อน้ำพระทัย  คุณรู้ว่าเพื่อนของคุณเผยแพร่ความเข้าใจที่ผิด คุณเปิดโปงและหยุดยั้งเธอ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิง คุณตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรือเศร้าใจไป” หลังจากอ่านพระวจนะและฟังพี่น้องหญิงสามัคคีธรรม ฉันเห็นว่าวุฒิภาวะของฉันนั้นยังน้อยเกินไป และนั่นฉันจึงขาดปัญญาแยกแยะ ฉันทำตัวสอดคล้องกับหลักธรรมอย่างชัดเจน แต่พอเอ็มม่าตัดพ้อ และกล่าวหาฉัน ฉันก็เกิดหวั่นไหว และกังขาว่าตัวเองทำผิดไปหรือเปล่า ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ตัวเลือกและการปฏิบัติที่ฉันทำไปนั้นถูกต้อง ในเรื่องที่เกี่ยวกับงานของคริสตจักร และชีวิตของเหล่าพี่น้อง ฉันต้องมีหลักธรรม และตั้งมั่นในจุดยืน ฉันต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะถูกผิด และไม่ถูกอารมณ์บีบคั้น

หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยแล้ว ฉันก็สงบใจ และมุ่งเน้นหน้าที่ของตัวเอง แต่เรื่องก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น จู่ๆ เอ็มม่าก็ส่งข้อความมาหาฉันอีกว่า “ฉันถูกปลดออกจากกลุ่มแล้ว พอใจหรือยัง? มันเป็นเพราะเธอคนเดียว ขอบคุณมากนะ!” คำพูดเหล่านั้นช่างเยาะเย้ยและถากถาง ฉันนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะไม่รู้จะตอบเอ็มม่ายังไง ฉันรู้ว่าตอนนั้น มิตรภาพของเราได้ขาดสะบั้นลงแล้ว และฉันก็เสียใจมาก ฉันคิดว่า “เราเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก และเธอก็เป็นคนประกาศข่าวประเสริฐให้ฉัน แต่ตอนนี้ฉันกลับรายงานปัญหาของเธอแก่ผู้นำ ไม่ใช่ว่าฉันทรยศแล้วหรือ? เธอจะคิดกับฉันยังไง? ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี? ควรขอโทษเธอหรือเปล่า? ฉันทำลายความเชื่อใจของเธอไปแล้วใช่ไหม ฉันถนอมมิตรภาพของเราไว้ไม่ได้หรือนี่? ฉันทำถูกแล้วจริงๆ ใช่ไหม?”  ขณะที่หลงอยู่ในความสับสนและเจ็บปวด ฉันก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พฤติกรรมที่ไม่สามารถนบนอบเราได้อย่างสิ้นเชิงนั้นก็คือการทรยศ  พฤติกรรมที่ไม่สามารถรักภักดีต่อเราได้คือการทรยศ  การเล่นไม่ซื่อกับเราและการใช้คำโกหกเพื่อหลอกลวงเราคือการทรยศ การเก็บงำมโนคติที่หลงผิดหลายอย่างและเผยแพร่มโนคติที่หลงผิดเหล่านั้นไปทุกหนแห่งคือการทรยศ  การที่ไม่สามารถค้ำจุนคำพยานกับผลประโยชน์ของเราได้คือการทรยศ  การถวายรอยยิ้มจอมปลอมให้ยามที่อยู่ไกลจากเราในหัวใจคือการทรยศ  เหล่านี้ทั้งหมดคือการกระทำของการทรยศที่พวกเจ้าสามารถทำได้มาโดยตลอด และการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ ท่ามกลางพวกเจ้า  ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่อาจคิดว่าการนี้เป็นปัญหา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคิด  เราไม่สามารถปฏิบัติต่อการทรยศของบุคคลหนึ่งที่มีต่อเราเสมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และเราไม่สามารถทำเพิกเฉยไปได้อย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1))  หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็ได้รับความรู้แจ้ง ฉันเคยคิดอยู่ตลอดว่าเป็นฉันเองที่ทรยศเพื่อน ทำไมฉันถึงไม่คิดว่า ความเห็นและพฤติกรรมของฉันสอดคล้องกับความจริง หรือว่าฉันทรยศต่อพระเจ้า ฉันไม่ควรเอาแต่ห่วงความรู้สึกเพื่อน และเมินเฉยต่อท่าทีของพระเจ้า พระวจนะกล่าวไว้ชัดเจนมาก “การที่ไม่สามารถค้ำจุนคำพยานกับผลประโยชน์ของเราได้คือการทรยศ”  เอ็มม่าได้เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า หลอกลวงพี่น้องชายหญิง และก่อกวนชีวิตคริสตจักร และยังอยากสร้างบัญชีปลอมมาหลอกคนอื่นอีก ทั้งหมดนี้คือการกระทำของซาตาน และมันทำให้งานของคริสตจักรพังทลาย ถ้าฉันยังเลือกอยู่ข้างเอ็มม่า และไม่ปฏิบัติความจริง นั่นคงเป็นการยืนอยู่ข้างซาตาน และทรยศต่อพระเจ้า! ฉันยังนึกถึงพระวจนะที่ว่า “จงรักภักดีต่อเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และก้าวต่อไปด้วยความกล้าหาญ เราเป็นศิลาแห่งความแข็งแกร่งของเจ้า ฉะนั้นจงพึ่งพาเราเถิด!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  ฉันรู้สึกว่า ฉันควรอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ และวางใจในพระองค์ ฉันเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงนำฉันให้รู้จักถูกผิด เรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้คน และทำให้ฉันไม่เสียหลักธรรมและจุดยืนในเรื่องนี้ไป

ต่อมา ฉันก็สงสัยว่า “ตอนที่พบว่าเอ็มม่าทำผิด ฉันก็รายงานให้ผู้นำรู้  เห็นได้ชัดว่านี่คือการคุ้มกันงานของคริสตจักร ทำไมฉันถึงรู้สึกเสียใจกับเอ็มม่าอยู่ตลอดเลยล่ะ?” ต่อมา เป็นพระวจนะนั่นเองที่ได้ให้คำตอบต่อคำถามของฉัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นไรเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้อื่นไว้ ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหนักเพียงใดหรือเจ้าจะออกแรงมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะเป็นเรื่องของปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกของมนุษย์  เจ้าย่อมจะปกป้องฐานะที่เจ้ามีท่ามกลางผู้คนและได้รับการสรรเสริญจากพวกเขาผ่านทางมุมมองอย่างมนุษย์และปรัชญาของมนุษย์ มากกว่าที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนด้วยกันตามพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าไม่สนใจสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับผู้คน และรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าแทน หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าให้พระเจ้าและเรียนรู้ที่จะนบนอบพระองค์ เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพระหว่างผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติไปเอง… สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คนนั้นสร้างขึ้นบนรากฐานของการหันหัวใจของตนเข้าหาพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความมานะพยายามอย่างมนุษย์  หากหัวใจของคนคนหนึ่งไม่มีพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับผู้อื่นก็เป็นเพียงสัมพันธภาพทางเนื้อหนังเท่านั้น  สัมพันธภาพเหล่านั้นไม่ปกติ เป็นการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามตัณหา และพระเจ้าทรงเกลียดและชังสัมพันธภาพเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง)  “ในทุกสิ่งที่เจ้าทำและทุกสิ่งที่เจ้าพูด จงสามารถแก้ไขหัวใจของเจ้าให้ถูกต้องและมีการกระทำที่ชอบธรรม และจงอย่าให้ความรู้สึกของเจ้านำทาง อีกทั้งไม่กระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเอง  นี่คือหลักธรรมที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องประพฤติปฏิบัติ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?)  พระวจนะทำให้ฉันได้เข้าใจว่า ฉันมัวแต่ห่วงที่จะปกป้องความสัมพันธ์กับผู้อื่นไว้มากเกินไป ฉันละเลยความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้า และใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์ทางเนื้อหนัง  ข้อเท็จจริงคือว่า การรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ ภาพลักษณ์และสถานะของคนๆ หนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากความต้องการของเนื้อหนัง และยังแปดเปื้อนไปด้วยอารมณ์และความตั้งใจส่วนตัว และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง ฉันตระหนักได้ว่า ฉันโอนเอนในเรื่องเอ็มม่า และไม่มีจุดยืน เพราะฉันถูกอารมณ์บีบคั้น ซึ่งกีดกันไม่ให้ฉันทำในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันคิดถึงแต่การรักษามิตรภาพและภาพลักษณ์ รวมถึงที่ของฉันในใจคน และผลลัพธ์ก็คือ ฉันติดกับดักของอารมณ์  จนฉันไม่อาจปฏิบัติต่อผู้คนด้วยหลักธรรมความจริง และคำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรน้อยลงไปมาก  ฉันถึงกับอยากล้มเลิกหน้าที่ ออกห่างจากเหล่าพี่น้องชายหญิง และทรยศพระเจ้า ตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นว่า อารมณ์นั้นเป็นความเห็นแก่ตัว ซาตานใช้อารมณ์ควบคุมผู้คน ทำให้พวกเขาทรยศความจริงและพระเจ้า ฉันยังตระหนักได้อีกว่า ที่จริง ตอนที่เอ็มม่าประกาศข่าวประเสริฐกับฉัน และชวนฉันให้ไปชุมนุม สิ่งเหล่านี้คืออธิปไตยการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และฉันควรขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เอ็มม่า พอเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก และทรมานน้อยลงเยอะ

ต่อมา ในการชุมนุม ฉันได้อ่านพระวจนะที่ทำให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของเอ็มม่าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร  สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่และกำจัดออกไป  ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์  การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ  หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้  บรรดาผู้ที่พรั่งพรูการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร  ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกกำจัดออกไป  ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย  ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือหมู่มารและเหล่าซาตานอย่างแท้จริง  พฤติกรรมของพวกเขารบกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก มันรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง และการนั้นสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร  ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้  นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  บทตอนนี้ คือคำเตือนจากพระเจ้าถึงผู้คน ฉันเข้าใจว่า บรรดาคนที่ไม่ปฏิบัติความจริง เผยแพร่ข่าวลือและหว่านความบาดหมาง คือคนที่กบฏและต่อต้านพระเจ้า  คนแบบนั้นไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่กลับเป็นผู้รับใช้ของซาตานและคนทำชั่ว  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และตามกฎของคริสตจักร คนเหล่านั้นย่อมถูกขับไล่  ขอบคุณพระเจ้า!  ตอนนี้ หัวใจฉันสว่าง และฉันแยกแยะเป็นแล้ว  จากอุปนิสัยของเอ็มม่า ฉันก็แน่ใจว่าเธอเป็นคนทำชั่ว ฉันยังจำได้ว่าใน “หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นตามแก่นแท้ของพวกเขา” กล่าวว่า “ตราบเท่าที่ใครคนหนึ่งได้รับการยืนยันว่าโดยแก่นแท้แล้วเป็นบุคคลที่ชั่ว เป็นวิญญาณชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ หรือเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ บุคคลนั้นต้องถูกเอาตัวออกไปหรือขับไล่ออกไป ตามที่คริสตจักรตรากฏไว้ ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เผยทรรศนะที่ผิดเป็นนิจ เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและคอยระวังตัวกับพระองค์เป็นนิจ นับว่าอยู่ในหมู่ผู้ปราศจากความเชื่อ พวกเขาจะถูกเอาตัวออกไปหรือขับไล่ออกไป” (170 หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง, 132. หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นตามแก่นแท้ของพวกเขา)  ตามหลักธรรมแล้ว คนทำชั่วต้องถูกขับออกจากคริสตจักร เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำการขัดขวางคริสตจักร ดังนั้น ผู้อื่นก็จะไม่ถูกก่อกวนเวลาชุมนุมรือทำหน้าที่  ฉันยังเข้าใจด้วยว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนทำชั่วก่อกวนคริสตจักร เพื่อให้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้เข้าใจความจริง เรียนรู้การแยกแยะผู้คน และปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะ  ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เรารู้ถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความจริง และคุ้มกันผลประโยชน์ของคริสตจักร พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้า  หากไร้ซึ่งการคุ้มครองของพระเจ้า และการนำของพระวจนะ ฉันก็คงยังถูกอารมณ์บีบคั้น ออกรับแทนคนทำชั่ว และถูกเอ็มม่าหลอกลวง นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมากทีเดียว!  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกทุกข์เพราะเรื่องนี้อีกต่อไป และรู้สึกถึงการปลดปล่อยอย่างมาก

หลังจากนั้น เอ็มม่าก็ติดต่อมาหาฉันอีกหลายครั้ง แต่ฉันไม่ได้รับอิทธิพล หรือถูกเธอก่อกวนอีกต่อไป เมื่อผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว ฉันก็เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งต่อพระเจ้า  พระเจ้าคือผู้ที่ทรงนำให้ฉันเข้าใจความจริง และเกิดปัญญาแยกแยะขึ้นบ้าง รวมถึงทิ้งการบีบคั้นของอารมณ์ ความจริงคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้คน  มีเพียงการดูผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามความจริงเท่านั้น ที่จะทำให้เรามีหลักธรรม และไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิด  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 14. ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความเข้าใจผิด

ถัดไป: 16. ผมแก้ไขความฉลาดแกมโกงและเล่ห์ลวงของตนอย่างไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger