14. ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความเข้าใจผิด
สองสามปีก่อนฉันทำหน้าที่ผลิตวิดีโอในคริสตจักร มีช่วงหนึ่งที่ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และวิดีโอสองชิ้นที่ฉันก็ถูกระงับไว้ชั่วคราวจากปัญหาเรื่องแนวคิดของวิดีโอเหล่านั้น ตอนนั้นฉันเสียใจมากเพราะกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะดูถูกฉัน เพื่อที่จะพิสูจน์ความสามารถ ฉันจึงทำงานอย่างหนักและใช้เวลาอยู่สองสามวันในการวางแผนสำหรับวิดีโออีกชิ้นหนึ่ง แต่หลังจากอ่านแผนงาน ผู้นำก็ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของวิดีโอนั้นล้าสมัยและไม่ชัดเจน หลังจากหารือกัน ทุกคนก็รู้สึกว่าแผนงานนี้ไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินการ แผนงานนี้จึงถูกปัดตกไป ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนล้มเหลว ฉันอยู่ในสภาวะคิดลบ และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง วันหนึ่งฉันบังเอิญรู้มาว่าพี่น้องชายหญิงบางคนบอกว่าจิตใจของฉันสับสนว้าวุ่น พอได้ยินแบบนั้นหัวใจของฉันก็หล่นวูบทันที อีกทั้งจิตใจก็ปั่นป่วนว่า “ผู้นำบอกว่าความคิดของฉันไม่ชัดเจน และพี่น้องชายหญิงก็บอกว่าจิตใจของฉันสับสนว้าวุ่น นั่นหมายความว่าฉันเป็นคนที่สับสนว้าวุ่นไม่ใช่หรือ? คนที่สับสนว้าวุ่นสามารถเข้าใจความจริงและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าได้หรือ? ฉันกำลังจะถูกกำจัดออกใช่หรือไม่?” ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกคิดลบและทรมานอย่างมาก และฉันก็ต้องการหนีไปจากสถานการณ์นี้
วันรุ่งขึ้น ฉันร้องไห้และบอกผู้นำและหัวหน้ากลุ่มว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำเกินไป และหน้าที่นี้ก็ยากมาก โปรดให้ฉันไปทำหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งเถอะ” ผู้นำของฉันจึงสามัคคีธรรมกับฉันว่า “พวกเราทุกคนต่างมีข้อบกพร่อง และเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะมีความพลาดพลั้งและความล้มเหลวในหน้าที่ หากมีปัญหาหรือความเบี่ยงเบนอะไรเราก็ต้องตรวจสอบ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา จากนั้นก็พยายามต่อไป ไม่จำเป็นว่าคุณจะทำหน้าที่นี้ไม่ได้” แต่ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจคำพูดของผู้นำเลยสักนิด และแค่ต้องการจะไปจากตรงนั้น ดังนั้นฉันจึงจากมาพร้อมกับความเข้าใจผิดต่อพระเจ้าและความห่างเหินจากพี่น้องชายหญิงของฉัน ต่อมาฉันเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ หลังจากทำงานหนักได้ระยะหนึ่งฉันก็เริ่มเกิดผลในหน้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ และพี่น้องชายหญิงในกลุ่มมักจะถามฉันเมื่อพวกเขามีคำถาม ฉันรู้สึกเหมือนได้รับความมั่นใจกลับคืนมาบ้าง ฉันอารมณ์ดีทุกวันและมีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง
แต่แล้วในหนึ่งปีต่อมา จู่ๆ ผู้นำก็ จัดแจงให้ฉันผลิตวิดีโออีกครั้งหนึ่งเนื่องด้วยความจำเป็นของงาน ในช่วงแรก ฉันก็เกิดผลลัพธ์ในหน้าที่และไม่ได้ถูกสิ่งใดบีบคั้น แต่ต่อมาเมื่อการผลิตวิดีโอจำเป็นต้องใช้วิธีการใหม่ๆ ความคิดของฉันก็ล้าหลังและแผนงานของฉันก็ถูกปฏิเสธอยู่เสมอ และฉันพบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะคิดลบอีกครั้ง ฉันตราหน้าตัวเองว่ามีขีดความสามารถต่ำ เป็นคนสับสนวุ่นวาย และไม่มีความสามารถทำหน้าที่ได้ หัวหน้ากลุ่มเห็นว่าฉันค่อนข้างนิ่งเฉยในหน้าที่และไม่แบกรับภาระ เขาจึงสามัคคีธรรมความจริงกับฉันด้วยความใจเย็น เกื้อหนุนและช่วยเหลือฉัน และพูดกับฉันว่า “คุณกับพี่น้องชายฟรานซิสผลิตวิดีโอมาเป็นระยะเวลาพอๆ กัน เขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก เก่งเรื่องการเรียนรู้และสรุปใจความ แถมยังมีความก้าวหน้าในหน้าที่ ส่วนคุณทำได้ไม่ดีเท่าเขา เพราะฉะนั้นคุณต้องพยายามให้มาก” พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็ไม่สบายใจจริงๆ พลางคิดว่า “คุณชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหน้าที่ของฉัน ดังนั้นฉันก็จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ แต่ทำไมคุณถึงเปรียบเทียบฉันกับพี่ฟรานซิสล่ะ? เขามีขีดความสามารถดีและมีความคิดที่ชัดเจน แถมยังได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอ ส่วนฉันเป็นพวกสับสนวุ่นวาย ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ไม่มีอะไรเทียบกันได้เลย” ตอนนั้นฉันรู้สึกต่อต้านข้อเสนอแนะและความช่วยเหลือของหัวหน้ากลุ่มมาก และไม่ได้คิดทบทวนตัวเอง หลังจากผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ หัวหน้ากลุ่มก็พบว่าฉันกับพี่น้องหญิงจูลี่ทำงานร่วมกันไม่ดีนัก เขาจึงสามัคคีธรรมกับฉันว่า “คุณทำงานคู่กับจูลี่ เธอมีจิตใจที่ยืดหยุ่นมากกว่า ส่วนคุณมีทักษะทางเทคนิคที่ดีกว่า ดังนั้นพวกคุณจึงเติมเต็มกันและกัน คุณควรหารือเรื่องต่างๆ กับเธอให้มากกว่านี้ ฟังความคิดเห็นของเธอให้มากกว่านี้ และเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอ คุณถึงจะเกิดความก้าวหน้าได้ พักนี้ผลการทำหน้าที่ของคุณไม่ดีเลย และแนวคิดเรื่องวิดีโอของคุณก็ยังล้าสมัยอยู่ คุณไม่คิดว่าคุณจำเป็นต้องคิดทบทวนเรื่องนี้หรือ?” ฉันเสียใจมากที่ได้ยินหัวหน้ากลุ่มเปิดโปงปัญหาของฉันแบบนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาดูถูกและดูหมิ่นฉัน เขาเพิ่งชี้ให้ฉันเห็นปัญหาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และตอนนี้เขาก็กำลังเปิดโปงฉันโดยที่ฉันยังทำใจไม่ได้เลย ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ และร้องไห้ออกมาด้วยความคับข้องใจ ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดบางสิ่งที่ฉันยังรู้สึกเสียใจมาจนถึงวันนี้ออกไปว่า “เวลาอยู่ในกลุ่มฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ฉันไม่มีประโยชน์อะไร แต่คุณก็ยังเก็บฉันไว้” หัวหน้ากลุ่มตกใจมาก พลางบอกว่า “คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง? คนอื่นไม่ได้มองคุณแบบนั้นเสียหน่อย! เราต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาในหน้าที่ของตัวเอง เราจะทำตัวคิดลบและต่อต้านสิ่งนี้ไม่ได้” แต่ไม่ว่าหัวหน้ากลุ่มสามัคคีธรรมอย่างไรก็ไม่เข้าหูฉันเลย ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนสับสนวุ่นวาย รู้สึกว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยในตัวฉัน พี่น้องชายหญิงไม่ต้อนรับฉัน และรู้สึกว่าฉันเป็นคนชายขอบที่หมดประโยชน์แล้วก็ทิ้งได้ของกลุ่ม ยิ่งคิดเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรม และฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการคิดลบและการเข้าใจผิด ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าห่างเหินมากขึ้น และความมั่นใจของฉันก็ลดลงเรื่อยๆ คำว่า “ฉันมีขีดความสามารถอ่อนด้อย” กลายเป็นคำท่องบ่นของฉันไปแล้ว
ต่อมา ในระหว่างผลิตวิดีโอกับคู่ทำงาน เวลาที่หารือกันแล้วเธอมีมุมมองแตกต่างจากฉัน ฉันก็ยอมอะลุ้มอล่วยและพูดว่า “ฉันมีขีดความสามารถต่ำ แถมแนวคิดก็ไม่ดี คุณมองเห็นปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นทำตามแนวคิดของคุณเถอะ” จากนั้นฉันก็ลบข้อเสนอโครงการของตัวเองทิ้ง เมื่อเห็นอย่างนี้ คู่ทำงานของฉันก็เกิดวิตกกังวลว่า “คุณลบทิ้งทำไม? ฉันมีข้อบกพร่องมากมายและไม่จำเป็นว่าฉันจะมองเห็นปัญหาได้ถูกต้องเหมือนกัน” ต่อมา เธอก็มาพูดคุยกับฉันเรื่องสภาวะของเธอ บอกว่าเธอมีอุปนิสัยโอหังในการทำงานกับฉัน และเธอยังดูถูกฉันเล็กน้อยและต้องทบทวนตนเอง หลังจากได้ยินเธอพูดแบบนั้น แม้ว่าภายนอกฉันดูสงบดี แต่ฉันกลับรู้สึกทรมานมาก และไม่อยากคุยลึกลงในรายละเอียดกับเธอ ฉันจึงบังคับตัวเองให้พูดไปว่า “การที่คุณแสดงความโอหังเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ เวลาทำหน้าที่กับคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยแบบฉัน ใครจะไม่แสดงความโอหังบ้าง? ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็คงทำแบบเดียวกัน” ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะพูดอะไรกับฉัน และดังนั้น ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการคิดลบและการเข้าใจผิด หัวใจของฉันเป็นทุกข์และทรมาน อีกทั้งการทำหน้าที่ของฉันก็เป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะหลังจากผลิตวิดีโอเสร็จ เวลาที่เราจำเป็นต้องอธิบายแนวคิดเบื้องหลังของวิดีโอและขอให้ทุกคนแสดงความเห็น ฉันก็แทบไม่พูดอะไรเลย และไม่กล้ามีส่วนร่วมในการหารือ ดังนั้นฉันจึงมองไปยังคู่ทำงานเมื่อถึงคราวเช่นนั้น ตอนกลางคืนเวลาฉันนอนไม่หลับ ฉันก็คิดว่า “ทำไมฉันถึงยั้งตัวเองเอาไว้เสมอและไม่มีความมั่นใจเลยเวลาทำหน้าที่? ทำไมฉันถึงกลัวการโดนดูถูกอยู่ตลอดเวลา? ทำไมสำหรับฉันชีวิตถึงทรมานเช่นนี้?” ฉันไม่อยากรู้สึกหดหู่แบบนี้อีกต่อไป ฉันต้องการใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการคิดบวกเหมือนคนอื่น และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ตามปกติ แต่ฉันก็ไม่อาจกำจัดสภาวะคิดลบนี้ไปได้ ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าให้ทรงช่วยฉันให้รอด และช่วยเหลือฉันให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้
ผ่านไปไม่นาน ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันได้ฟังผู้นำอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันตระหนักถึงปัญหาของตัวเองและฟื้นสภาวะของฉันคืนมาได้ พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปไกลมาก เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เข้าใจพระเจ้าผิด หรือต้านทาน ต่อต้านพระเจ้า และโต้เถียงกับพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเขาก็ผละจากการดูแลและคุ้มครองของพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนเอง ความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างสามารถทำให้เจ้าไม่สบายใจจนกินไม่ได้หรือนอนไม่หลับ ความคิดเห็นที่ไม่ระมัดระวังของคนบางคนสามารถผลักเจ้าให้ตกสู่ความฉงนสนเท่ห์และความสงสัย แม้แต่ฝันร้ายเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้เจ้าคิดลบและเป็นเหตุให้เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดได้ ทันทีที่วงจรอุบาทว์แบบนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ผู้คนจึงก็ลงความเห็นว่าตนจบสิ้นแล้ว สูญสิ้นความหวังทั้งปวงที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาถูกพระเจ้าทอดทิ้ง พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยตนให้รอด ยิ่งพวกเขาคิดเช่นนี้ และยิ่งพวกเขามีความรู้สึกแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งถูกผลักลงสู่ความคิดลบมากขึ้นเท่านั้น สาเหตุที่แท้จริงที่ผู้คนมีความรู้สึกเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาไม่แสวงหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง และเพราะผู้คนไม่แสวงหาความจริงเวลาเกิดอะไรขึ้นกับตน และไม่ปฏิบัติความจริง เพราะพวกเขาทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกลอุบายกระจุกกระจิกของตนเอง ใช้เวลาแต่ละวันเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและแข่งกับคนอื่น อิจฉาและเกลียดชังใครก็ตามที่เก่งกว่าตน โห่ฮาและเยาะหยันใครก็ตามที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง และไม่ยอมรับคำเตือนสติของใคร สุดท้ายนี่จึงพาไปสู่ความหลงผิด การคาดคะเน และการตัดสินสารพัดรูปแบบ และพวกเขาก็ทำให้ตัวเองกระวนกระวายใจอยู่ร่ำไป นี่เป็นความผิดของพวกเขาเองมิใช่หรือ? มีแต่ผู้คนเท่านั้นที่สามารถทำให้ตัวเองแบกรับผลลัพธ์อันขื่นขมเช่นนี้ได้—และพวกเขาก็สมควรได้รับผลเช่นนั้นจริงๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร? เพราะผู้คนไม่แสวงหาความจริง โอหังและคิดว่าตนเองถูกต้องจนเกินไป พวกเขาทำตามความต้องการของตนเอง อวดตัวและเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเสมอ พยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา เรียกร้องจากพระเจ้าอย่างไม่สมเหตุสมผลเสมอ เป็นต้น—ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปทีละนิด ต่อต้านพระเจ้าและท้าทายความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ผลักตัวเองลงสู่ความมืดและความคิดลบ และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว ผู้คนย่อมไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงต่อการกบฏและการต้านทานของตนเอง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง พวกเขากลับพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด พยายามวิพากษ์วิจารณ์พระวินิจฉัยของพระเจ้า เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้คนก็ตระหนักในที่สุดว่าความเสื่อมทรามของตนนั้นลึกล้ำมาก และพวกเขาสร้างปัญหามากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงกำหนดว่าตนกำลังต่อต้านพระเจ้า และช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกผลักลงสู่ความคิดลบ ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ สิ่งที่พวกเขาเชื่อก็คือ ‘พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ฉัน พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน ฉันเป็นกบฏเกินไปก็สมควรแล้ว พระเจ้าจะไม่ช่วยฉันให้รอดอีกต่อไปแน่แล้ว’ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง พวกเขาลงความเห็นว่าสิ่งที่ตนคาดคะเนอยู่ในใจนั้นคือข้อเท็จจริง ไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์ พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ พวกเขาคิดว่า ‘พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรฉัน พระองค์จะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด ดังนั้นจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่ออะไร?’ เมื่อเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามาถึงจุดนี้ ผู้คนยังสามารถที่จะเชื่ออยู่อีกหรือไม่? ไม่ เหตุใดพวกเขาจึงเชื่อต่อไปไม่ได้? ข้อเท็จจริงอยู่ตรงนี้ เมื่อผู้คนคิดลบจนถึงจุดหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อต้านและคำพร่ำบ่น และพวกเขาก็อยากจะตัดการติดต่อทั้งหมดกับพระเจ้า เมื่อนั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างการที่พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่นบนอบพระเจ้า ไม่รักความจริง และไม่ยอมรับความจริงอีกต่อไป แล้วเกิดอะไรขึ้นแทน? ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาได้ตัดสินใจด้วยตนเองแล้วว่าจะเลิกเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ ให้ถูกกำจัดออกไปนั้นน่าอาย การเลือกที่จะเลิกไปเองนั้นมีศักดิ์ศรีมากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายริเริ่มและยุติสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง พวกเขากล่าวโทษความเชื่อในพระเจ้าว่าเป็นสิ่งไม่ดี กล่าวโทษความจริงว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ และกล่าวโทษพระเจ้าว่าไม่ชอบธรรม ถาม—ด้วยความเสียใจ—ว่าทำไมพระเจ้าไม่ช่วยพวกเขาให้รอด โดยกล่าวว่า ‘ฉันทำงานหนักเหลือเกิน ทนทุกข์กว่าคนอื่นมากนัก และยอมอดทนมากกว่าคนอื่นทุกคนอย่างมากมายนัก ฉันปฏิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจจริง แล้วพระเจ้าก็ยังไม่ทรงอวยพรฉัน ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าพระเจ้าไม่โปรดฉัน พระเจ้าทรงลำเอียง’ พวกเขากล้าที่จะเปลี่ยนข้อสงสัยที่ตนมีต่อพระเจ้าให้กลายเป็นการกล่าวโทษและการหมิ่นประมาทพระเจ้า เมื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พวกเขายังสามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าต่อไปได้เช่นนั้นหรือ? เนื่องจากพวกเขากบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า ไม่ยอมรับความจริงหรือทบทวนตนเองแต่อย่างใด พวกเขาถึงได้รับความสูญเสีย” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (17)) ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจ เป็นการวิเคราะห์ หรือแม้แต่เป็นการตักเตือนฉัน โดยเฉพาะตอนที่พระเจ้าตรัสว่า “สาเหตุที่แท้จริงที่ผู้คนมีความรู้สึกเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาไม่แสวงหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง” เมื่อนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ ฉันก็เริ่มคิดทบทวนตนเอง และในที่สุดฉันก็ค้นพบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่เคยแสวงหาความจริงในยามที่เผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ ไม่เคยแสวงหาที่จะพูดถึงสิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ฉันใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการและความคาดหวังของตัวเองโดยสิ้นเชิง ฉันนึกได้ว่าทำไมตอนที่ฉันล้มเหลวในการผลิตวิดีโอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และได้ยินพี่น้องชายหญิงแสดงความคิดเห็นว่าจิตใจของฉันสับสนวุ่นวาย ฉันถึงไม่คิดทบทวนปัญหาของตัวเอง ในทางกลับกัน ฉันเลือกที่จะหนีและใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบและความเข้าใจผิด เมื่อฉันเริ่มผลิตวิดีโออีกครั้ง ฉันก็ไม่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีตเลย แต่กลับทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่นิ่งเฉยและปกป้องตัวเอง ตอนที่ฉันได้ยินหัวหน้ากลุ่มชมเชยคนอื่น จากนั้นก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหน้าที่ของฉัน ฉันก็ยิ่งคิดลบมากกว่าเดิม ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและเป็นคนสับสนวุ่นวาย ฉันระแวงว่าจะโดนพี่น้องชายหญิงดูถูก และฉันก็เข้าใจพระเจ้าผิดมากยิ่งขึ้น จนทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดมากขึ้นและมืดมิดลงกว่าเดิม อีกทั้งทำให้ฉันขาดประสิทธิภาพในหน้าที่ ฉันยั้งตัวเองเอาไว้ทุกเรื่องและรู้สึกอึดอัดจริงๆ ตอนนั้นเองฉันถึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนและสิ่งทั้งหลายรอบตัวฉันไม่ได้มีปัญหา และพระเจ้าก็ไม่ได้ไม่ทรงปฏิบัติต่อฉันด้วยความโปรดปราน ฉันไม่ได้แสวงหาความจริง ทั้งยังแข็งขืน ตีตัวออกห่าง และคับแค้นใจที่ถูกพระเจ้าทรงตีสอน บ่มวินัย และถูกตัดแต่งอยู่เสมอ ความไม่เชื่อฟังและความแข็งขืนที่ฉันมีต่อพระเจ้าหนักหนาเกินไป จนทำให้ฉันร่วงลงสู่ความมืดและความเจ็บปวด และทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าห่างเหินยิ่งกว่าเดิม เวลาทำหน้าที่ได้ไม่ดี ฉันจะโทษใครได้นอกจากตัวเอง? ในที่สุดฉันก็เข้าใจความหมายของคำว่า “ยั้งตัวเองเอาไว้” มีสิ่งอื่นอีกที่ฉันมองเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งก็คือถึงแม้ฉันเชื่อในพระเจ้า และฉันละทิ้งและสละตน ฉันก็ไม่ได้ยอมรับความจริงโดยแท้ หรือยอมรับว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ เมื่อฉันมีความล้มเหลวและความพลาดพลั้งในหน้าที่ ฉันก็แข็งขืน ปฏิบัติตนอย่างไร้เหตุผล และตีตราตัวเองว่าเป็นคนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย ฉันถึงกับรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนอย่างฉันให้รอดด้วยซ้ำ ฉันมักจะไม่พอใจ และรู้สึกว่าฉันสามารถอดทนต่อความยากลำบากและพลีอุทิศได้ในหน้าที่ ฉันทนทุกข์ไม่น้อยไปกว่าคนอื่น แต่เหตุใดฉันจึงถูกเปิดเผยอยู่เสมอว่าทำได้ไม่ดีในเรื่องนี้? เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงปรานีฉัน? ฉันกำลังไม่ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? นี่คือการหมิ่นประมาท! ยิ่งคิดทบทวนฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัวฉันรู้สึกว่าสภาวะของฉันอันตรายเกินไปแล้ว หากฉันไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายให้กลับคืนมาและกลับใจโดยแท้จริง ฉันย่อมจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไปอย่างแน่นอน ทุกสภาวะในการวิเคราะห์ของพระเจ้าโดนใจฉัน เมื่อฉันเห็นว่าปัญหาของตัวเองร้ายแรงแค่ไหน ฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และทำให้ตนเองเสียหาย ฉันรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะเป็นกบฏและดื้อรั้นมากอีกต่อไป และข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในความเข้าใจผิดหรือทำให้พระองค์เสียพระทัยอีกแล้ว ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ!”
หลังจากนั้น ผู้นำและหัวหน้ากลุ่มก็มาสามัคคีธรรมกับฉัน พวกเขาเปิดโปงและชี้ให้ฉันเห็นถึงแนวโน้มของการคิดลบ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง ฉันตื้นตันใจมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในทุกๆ ช่วงระยะ—ไม่ว่าในยามที่พระเจ้าทรงกำลังบ่มวินัยหรือแก้ไขตัวเจ้าให้ถูกต้อง หรือในยามที่พระองค์ทรงย้ำเตือนและเตือนสติเจ้า—ตราบใดที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้า แต่เจ้าไม่กลับตัว ทั้งยังยึดติดกับแนวคิด มุมมอง และท่าทีของตนเองต่อไป เช่นนั้นถึงแม้ว่าย่างก้าวของเจ้ามุ่งไปข้างหน้า ความขัดแย้งระหว่างตัวเจ้ากับพระเจ้า ความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระองค์ การพร่ำบ่นและความเป็นกบฏที่เจ้ามีต่อพระองค์นั้นไม่ได้รับการแก้ไข และหัวใจของเจ้าก็ไม่ได้พลิกกลับทาง เช่นนั้นแล้วในส่วนของพระเจ้านั้น พระองค์จะทรงกำจัดเจ้าออกไป ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่เคยปล่อยมือจากหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งเจ้ายังคงรักษาหน้าที่ของตนและพอมีความจงรักภักดีอยู่เล็กน้อยต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา และผู้คนเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่รับได้ ข้อพิพาทระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็เกิดเป็นปมถาวรขึ้นมา เจ้าไม่เคยใช้ความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้และเพื่อให้ได้รับความเข้าใจที่แท้จริงในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผลก็คือ ความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระเจ้ากลับลึกซึ้งมากขึ้น และเจ้าก็คิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายผิดและเจ้ากำลังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้กลับตัว ความเป็นกบฏของเจ้า มโนคติอันหลงผิดของเจ้า และความเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อพระเจ้ายังคงอยู่ ซึ่งทำให้เจ้ามีความรู้สึกนึกคิดที่ไร้ซึ่งความนบนอบ ทำให้เจ้าเป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ บุคคลประเภทนี้ไม่ใช่ใครบางคนที่กบฏต่อพระเจ้า แข็งขืนต่อพระเจ้า และปฏิเสธอย่างหัวชนฝาที่จะกลับใจหรอกหรือ? เหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ความสำคัญขนาดนั้นแก่ผู้คนที่กลับตัว? สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรคำนึงถึงพระผู้สร้างด้วยท่าทีเช่นไร? ท่าทีที่ยอมรับว่าพระผู้สร้างทรงถูกต้อง ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด หากเจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้ ที่ว่าพระผู้สร้างทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิตย่อมจะเป็นเพียงถ้อยคำอันว่างเปล่าสำหรับเจ้า หากเป็นเช่นนั้น เจ้ายังสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่? เจ้าย่อมไม่สามารถทำได้ เจ้าจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นเจ้าให้รอด… เจ้าต้องกลับตัวและละวางแนวคิดและเจตนาของเจ้าไว้ก่อน ทันทีที่เจ้ามีความตั้งใจนี้ ความตั้งใจของเจ้าก็จะเป็นท่าทีแห่งการนบนอบไปด้วยเช่นกันเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม กล่าวให้ตรงชัดขึ้นอีกนิดก็คือ การนี้อ้างอิงถึงการที่ผู้คนกลับตัวในท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า พระผู้สร้าง นั่นคือการระลึกได้และการยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงเป็นความจริง หนทางและชีวิต หากเจ้าสามารถกลับตัวของเจ้าเองได้ นี่ก็สาธิตแสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถละวางสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่เจ้าคิดว่าถูกต้องลงได้ หรือสิ่งเหล่านั้นที่มวลมนุษย์—ซึ่งเสื่อมทราม—โดยรวมแล้วคิดว่าถูกต้อง และในทางกลับกัน เจ้ากลับกำลังรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นความจริงและเป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก หากเจ้าสามารถมีท่าทีนี้ได้ นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงการที่เจ้าระลึกได้ถึงพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างและแก่นแท้ของพระองค์ นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงมีทรรศนะต่อประเด็นปัญหานี้ และเพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมองว่าการกลับตัวของมนุษย์สำคัญเป็นพิเศษ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (3)) เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงถือว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองกลับมาเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้คน ในพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดของพระเจ้านั้น ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งสามารถทำงานได้มากแค่ไหนหรือสู้ทนความทุกข์ได้มากเพียงใด สิ่งที่พระเจ้าทรงมองดูคือหัวใจของผู้คน พระองค์ทรงดูว่าพวกเขายอมรับว่าพระเจ้าเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิตหรือไม่ และพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ หากบุคคลหนึ่งเปิดเผยความเสื่อมทรามมากมายและทำสิ่งทั้งหลายที่ขัดต่อความจริง แต่ไม่เคยคิดทบทวนถึงปัญหาของพวกเขาหรือยอมรับความจริง ทั้งยังแอบซ่อนความเข้าใจผิดต่อพระเจ้าอยู่เสมอ ต่อให้ดูภายนอกแล้ว บุคคลเช่นนั้นสามารถสู้ทนความทุกข์และทำการพลีอุทิศได้ แต่สำหรับพระเจ้า พวกเขายังคงแข็งขืนและทรยศพระเจ้าอยู่ ท้ายที่สุดแล้ว คนเช่นนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปทั้งหมด และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด ฉันคิดคำนึงถึงตลอดหลายปีที่ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอและมีความกังขาในตัวพระองค์ แต่ฉันไม่เคยแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย ฉันเพียงแต่ทำตัวเองให้ชินชาด้วยการทำตัวยุ่งอยู่กับหน้าที่ เมื่อปัญหาถูกเปิดโปงในหน้าที่และเผยให้เห็นว่าฉันมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอยู่มากมายและกระเทือนต่ออัตตาของฉัน ฉันก็แปะป้ายตัวเองด้วยคำที่เป็นลบ และถึงกับพูดสิ่งที่เป็นการพร่ำบ่นหรือเข้าใจพระเจ้าผิดเสียด้วยซ้ำ เมื่อเวลาผ่านไป ความขุ่นข้องหมองใจในหัวใจฉันก็ก่อตัวขึ้น ความห่างเหินของฉันกับพระเจ้าหนักหนาขึ้น อีกทั้งสภาวะของฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า “ถึงแม้ฉันจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเองทุกวันและไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้ายโดยแท้จริง แต่หัวใจของฉันก็ไกลห่างจากพระเจ้า และฉันก็คอยถ่วงพระองค์และเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เสมอ แล้วฉันจะถูกเรียกว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยังไง? พระเจ้าจะทรงเห็นชอบกับความเชื่อเช่นนี้หรือ? ฉันมักจะใช้ชีวิตอยู่ในการเข้าใจผิดและการคิดลบ และไม่เคยรู้สึกถึงการปลดปล่อยเลย แม้แต่ขณะที่ฉันทำหน้าที่ การได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องยาก ฉันได้แต่ทำไปโดยพึ่งพาประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองเท่านั้น แบบนั้นฉันจะเติบโตได้ยังไง? ฉันจะได้อะไรจากการเชื่อในหนทางนี้หรือ?” ตอนนั้นเองฉันถึงตระหนักโดยชัดเจนว่า การกำจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและมีหัวใจที่กลับใจโดยแท้จริงนั้นสำคัญแค่ไหน ตลอดสามปีนี้ ฉันไม่เคยปล่อยวางจากเรื่องที่พี่น้องชายหญิงมีความเห็นว่าจิตใจของฉันไม่กระจ่างเลย ฉันไม่เคยแสวงหาความจริงในเรื่องนี้หรือทบทวนตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ฉันต้องแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้
ดังนั้น ฉันจึงค้นหาพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้อง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ตอนที่พระเจ้าตรัสเรียกเจ้าว่าคนเลอะเลือนนั้น พระองค์ไม่ได้กำลังทรงขอให้เจ้ายอมรับข้อความ คำพูด หรือคำนิยามบางอย่าง—พระองค์กำลังทรงขอให้เจ้าเข้าใจความจริงในเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าตรัสเรียกใครบางคนว่าคนเลอะเลือน มีความจริงอะไรอยู่ในนั้น? ทุกคนเข้าใจความหมายภายนอกของคำว่า ‘คนเลอะเลือน’ แต่ในส่วนของอุปนิสัยและลักษณะที่สำแดงถึงการเป็นคนเลอะเลือนแล้ว สิ่งที่ผู้คนทำมีอะไรบ้างที่เลอะเลือน และอะไรบ้างที่ไม่เลอะเลือน เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโปงผู้คนในหนทางนี้ คนที่เลอะเลือนจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่ คนเลอะเลือนจะสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้หรือไม่ พวกเขาสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าอะไรถูกอะไรผิด พวกเขาสามารถแยกแยะสิ่งที่พระเจ้าทรงรักและสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจได้หรือไม่—โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้กำกวม ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน และมองไม่ออกเลย ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้—นั่นคือพวกเขาไม่ชัดเจน—ว่าการทำบางสิ่งในหนทางหนึ่งนั้นเป็นเพียงการทำตามข้อบังคับหรือเป็นการปฏิบัติความจริง พวกเขาทั้งไม่รู้—และไม่ชัดเจน—ว่าบางสิ่งนั้นเป็นที่รักของพระเจ้าหรือเป็นที่รังเกียจของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าการปฏิบัติตัวในหนทางบางอย่างเป็นการตีกรอบผู้คน หรือเป็นการสามัคคีธรรมความจริงและช่วยเหลือผู้คนตามปกติ พวกเขาไม่รู้ว่าหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังหนทางที่พวกเขาปฏิบัติตนต่อผู้คนนั้นถูกต้องหรือไม่ และกำลังพยายามสร้างมิตรหรือช่วยเหลือผู้คนหรือไม่ พวกเขาไม่รู้ว่าการปฏิบัติตนในหนทางหนึ่งนั้นเป็นการยึดปฏิบัติตามหลักธรรมและตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งของตนเอง หรือเป็นการโอหัง การมองตนเองชอบธรรมเสมอและการอวดโอ้ ยามที่ผู้คนไม่มีอะไรอื่นทำ บางคนชอบมองกระจก พวกเขาไม่รู้ว่านี่คือความหลงตัวเองและความไม่เป็นแก่นสารหรือเป็นเรื่องปกติ บางคนมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวและบุคลิกของพวกเขาก็ค่อนข้างแปลก พวกเขาบอกได้หรือไม่ว่าการนี้สัมพันธ์กับการที่พวกเขามีอุปนิสัยที่ไม่ดี? ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะแยกความต่างระหว่างสิ่งเหล่านี้ที่พบเห็นทั่วไป เผชิญกันอยู่ทั่วไป—แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังพูดว่าได้รับไปมากมายจากการเชื่อในพระเจ้า นี่ไม่เลอะเลือนหรอกหรือ? แล้วพวกเจ้ายอมรับการถูกเรียกว่าคนเลอะเลือนได้หรือไม่? (ได้)… แล้วพวกเจ้าอยากเป็นคนเลอะเลือนไปตลอดชีวิตหรือไม่? (ไม่) ไม่มีใครอยากเป็นคนเลอะเลือน ในข้อเท็จจริง การสามัคคีธรรมและการชำแหละในหนทางนี้ ไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าพยายามให้ตัวเองเป็นคนที่เลอะเลือน ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนิยามเจ้าว่าอย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดโปงสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเจ้า ตัดสิน ตีสอนเจ้า หรือตัดแต่งเจ้าอย่างไร จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือการเปิดโอกาสให้เจ้าหนีพ้นสภาวะเหล่านั้น เข้าใจความจริง ได้รับความจริงและพยายามที่จะไม่เป็นคนเลอะเลือน ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไรถ้าเจ้าไม่อยากไม่เป็นคนเลอะเลือน? เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ว่าเจ้านั้นเป็นคนเลอะเลือนในเรื่องใดบ้าง ในเรื่องใดที่เจ้าประกาศคำสอนอยู่เสมอ วนเวียนอยู่กับทฤษฎี วาทะ และคำสอนตลอดเวลา และมองเหม่อเมื่อเผชิญหน้าข้อเท็จจริง เมื่อเจ้าแก้ไขปัญหาเหล่านี้และมีความชัดเจนในความจริงแต่ละแง่มุม เวลาที่เจ้าเลอะเลือนย่อมจะลดจำนวนครั้งลง เมื่อเจ้ามีความเข้าใจแจ่มแจ้งในความจริงแต่ละเรื่อง เมื่อเจ้าไม่ถูกมัดมือมัดเท้าในทุกสิ่งที่ทำ เมื่อเจ้าไม่ถูกควบคุมหรือตีกรอบ—ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้าสามารถค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้องของการปฏิบัติ และหลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง หรือหาใครบางคนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย เจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่เลอะเลือนอีกต่อไป หากบางสิ่งชัดเจนสำหรับเจ้า และเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งนั้น เจ้าก็จะไม่เลอะเลือน ผู้คนเพียงต้องเข้าใจความจริงเท่านั้นเพื่อให้หัวใจของตนได้รับความรู้แจ้งไปเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) พระเจ้าทรงอธิบายพฤติกรรมของคนที่สับสนวุ่นวายไว้ชัดเจนมาก ผู้คนที่สับสนวุ่นนั้นรู้สึกสับสนและไม่ชัดเจนในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาไร้ซึ่งจุดยืนหรือหลักธรรม พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดที่พระเจ้าทรงโปรดปรานหรือเกลียดชัง ทั้งยังขาดวิจารณญาณเรื่องของผู้คนและสถานการณ์ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นความขาดตกบกพร่องของตัวเองหรือความเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยได้อย่างชัดเจน เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะถูกผิด และไม่มีหลักธรรมหรือเส้นทางในการปฏิบัติ เมื่อฉันนำพระวจนะของพระเจ้ามาปรับใช้ ภาพเหตุการณ์หน้าที่ของฉันในอดีตก็ผุดขึ้นมาในใจ ฉันมุ่งเน้นแต่การทำงานหนักเท่านั้น แต่ไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง เมื่อพี่น้องชายหญิงของฉันให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตัดต่อวิดีโอ ฉันก็ไม่ได้พิจารณามากนัก บางครั้งฉันไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ทำสิ่งต่างๆ ไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า คิดไปว่าการทนทุกข์เป็นการจงรักภักดีต่อพระเจ้า ฉันเปิดเผยความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องมากมายในหน้าที่ แต่กลับไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหา ในทางกลับกัน ฉันใช้ชีวิตในสภาวะคิดลบนานหลายปี ทั้งยังด้านชาเป็นพิเศษ ฉันมองไม่เห็นว่าปัญหาของตัวเองร้ายแรงเพียงใด หรือการทำเช่นนี้ต่อไปอันตรายแค่ไหน ในแต่ละวันฉันรู้สึกสับสนและวุ่นวายยุ่งเหยิงอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมของคนที่สับสนวุ่นวายไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า สิ่งที่พี่น้องชายหญิงพูดเกี่ยวกับฉันเป็นเรื่องจริง แต่ฉันไม่ยอมรับ ฉันระแวงว่าทุกคนจะดูถูกฉัน และฉันก็รู้สึกอคติและห่างเหินจากพวกเขา ฉันไม่ควรทำเช่นนั้นเลยจริงๆ! ตลอดหลายปีมานี้ พี่น้องชายหญิงของฉันมักจะเกื้อหนุนและช่วยเหลือฉัน และพวกเขาไม่เคยดูถูกฉันเลย เป็นฉันเองที่เจ็บแค้นใจ ไร้เหตุผล และไม่ยอมรับความจริง พอคิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดฉันก็สามารถปล่อยวางอดีตได้ ฉันเกลียดตัวเองอย่างลึกซึ้งที่แสนสับสนและไม่แสวงหาความจริง ฉันดูหมิ่นตัวเองที่เป็นคนไร้เหตุผลเหลือเกิน
เมื่อฉันตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนสับสนวุ่นวาย ฉันก็นึกถึงการที่ฉันมักจะนิยามตัวเองว่าเป็นคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ฉันควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “หากพระเจ้าได้ทรงทำให้เจ้าโง่เขลา เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีความหมายในความโง่เขลาของเจ้า หากพระองค์ได้ทรงทำให้เจ้าสดใส เช่นนั้นแล้วก็ย่อมมีความหมายในความสดใสของเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมอบพรสวรรค์ใดแก่เจ้า ไม่ว่าจุดแข็งของเจ้าจะเป็นอะไร เจ้ามีความฉลาดทางเชาวน์ปัญญามากเพียงใด สำหรับพระเจ้าแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนมีจุดประสงค์ พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งทั้งปวงนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว บทบาทที่เจ้าเล่นในชีวิตของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าทำต่างก็ถูกพระเจ้าลิขิตไว้นานแล้ว ผู้คนบางคนมองเห็นผู้อื่นมีจุดแข็งที่ตนไม่มี ก็รู้สึกไม่พอใจ พวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายโดยการเรียนรู้มากขึ้น เห็นมากขึ้น และขะมักเขม้นมากขึ้น แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่ว่าความขยันหมั่นเพียรของพวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์สิ่งใดได้บ้าง และพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ดีกว่าผู้ที่มีพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าเจ้าจะต่อสู้มากเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์ พระเจ้าได้ลิขิตไว้แล้วว่าเจ้าจะเป็นอะไร และไม่ว่าผู้ใดจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าเก่ง นั่นก็คือสิ่งที่เจ้าควรมานะพยายาม หน้าที่ใดที่เหมาะกับเจ้า นั่นก็คือหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ จงอย่าพยายามผลักดันตัวเองเข้าไปอยู่ในสาขาที่อยู่นอกเหนือทักษะเฉพาะตัวของเจ้า และจงอย่าอิจฉาผู้อื่น ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบของตน จงอย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดี หรือคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าหรือเก่งกว่าผู้อื่น อยากจะแทนที่ผู้อื่นและทำให้ผู้คนมองเห็นตนอยู่เสมอ นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง มีผู้ที่คิดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ดี ว่าพวกเขาไม่มีทักษะแต่อย่างใด หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ควรเป็นเพียงคนที่รับฟังและนบนอบโดยอยู่กับความเป็นจริงเท่านั้น จงทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้และทำสิ่งนั้นให้ดี ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า นั่นก็มากพอแล้ว พระเจ้าจะพึงพอพระทัย จงอย่ามัวคิดที่จะเหนือกว่าทุกคน ทำทุกอย่างได้ดีกว่าผู้อื่น และโดดเด่นจากฝูงชนในทุกทางตลอดเวลา นั่นคืออุปนิสัยรูปแบบใด? (อุปนิสัยอันโอหัง) ผู้คนมีอุปนิสัยอันโอหังอยู่เสมอ และต่อให้พวกเขาต้องการที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาก็ย่อมทำไม่ได้ตามที่หวัง การถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันโอหังทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะพลัดหลงได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น มีบางคนอยากอวดตนอยู่เสมอด้วยการแสดงเจตนาดีของพวกเขาแทนข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงเห็นชอบกับการแสดงออกถึงเจตนาดีในรูปแบบนั้นหรือไม่? การที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้น เจ้าต้องทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็ต้องนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผู้คนที่แสดงเจตนาดีงามย่อมไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่กลับพยายามเล่นเล่ห์กลใหม่ๆ และพูดจาสูงส่งอยู่เสมอ พระเจ้ามิได้ทรงขอให้เจ้าเป็นคนที่เอาใจใส่ในหนทางนี้ บางคนกล่าวว่านี่คือพวกเขาที่ชอบการแข่งขัน การชอบแข่งขันคือสิ่งที่เป็นลบในตัวเอง นี่เป็นการเปิดเผย—เป็นการสำแดง—อุปนิสัยอันโอหังของซาตาน เมื่อเจ้ามีอุปนิสัยเช่นนั้น เจ้าย่อมกำลังพยายามกดคนอื่นอยู่เสมอ พยายามนำหน้าผู้อื่นอยู่ พยายามหลอกลวงผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา พยายามเอาจากผู้คนเสมอ เจ้าเป็นพวกขี้อิจฉาอย่างมาก เจ้าไม่โอนอ่อนให้ใคร ทั้งยังพยายามทำให้ตนเองโดดเด่นจากฝูงชนเสมอ นี่ย่อมก่อให้เกิดปัญหา นี่คือการกระทำของซาตาน หากเจ้าปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีพอ เช่นนั้นก็จงอย่าไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตัวเจ้าเอง การพยายามทำตัวเหนือกว่าและมีความสามารถมากกว่าที่เจ้าเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี เจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและไม่วางตัวเกินฐานะของเจ้าเอง เช่นนี้เท่านั้นจึงจะแสดงให้เห็นว่ามีเหตุผล” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนมาก! เหตุใดฉันเอาแต่พูดว่าตัวเองมีขีดความสามารถอ่อนด้อย? นั่นก็เพราะที่จริงแล้ว ธรรมชาติของฉันโอหังเกินไป ฉันมีความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมี ต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ เมื่อฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบ ผูกใจเจ็บ และแปะป้ายตัวเอง ความอยากได้อยากมีต่อชื่อเสียงและสถานะของฉันแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าอยู่ในกลุ่มไหน ฉันก็กลัวที่จะโดนดูถูก และต้องการเป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ แต่ที่จริงฉันแสดงปัญหาและข้อบกพร่องของตัวเองออกไปมากมาย และเมื่อฉันประสบกับการตัดแต่ง ความพลั้งพลาด และความล้มเหลว ฉันก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของฉันถูกทำลายและความมีหน้ามีตาของฉันก็เสื่อมเสีย ฉันไม่สามารถเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง คิดว่าขีดความสามารถของฉันต่ำเกินไปและฉันสับสนมากเกินไป ฉันยังมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นด้วย เมื่อฉันเห็นคนอื่นๆ ในกลุ่มมีจุดแข็งและมีขีดความสามารถดีกว่าฉัน ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพิเศษและไม่น่าสนใจ ฉันไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงนี้ได้ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกหดหู่และรู้สึกด้อยกว่าอยู่เสมอ ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า สิ่งที่ฉันต้องการคือเกียรติยศและสถานะ ฉันจึงเปรียบเทียบขีดความสามารถและพรสวรรค์ของตัวเองกับผู้อื่น และแสวงหาที่จะเป็นที่เลื่อมใสจากผู้อื่นอยู่เสมอ อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันร้ายแรงมาก พรสวรรค์และขีดความสามารถไม่ใช่กุญแจสำคัญในการกำหนดว่าบุคคลหนึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดีหรือไม่ การได้รับการเทิดทูนและบูชาอย่างสูงจากผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่รับประกันความรอด พระเจ้าไม่เคยตรัสอะไรเช่นนั้น พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเรามีสภาวะความเป็นมนุษย์และมีเหตุผล ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยท่าทางติดดิน แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ต่อผู้คน ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่สำคัญเลยกับการที่เรากล่าวว่าพวกเจ้าล้าหลังหรือมีขีดความสามารถอ่อนด้อย นี่คือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น แต่การที่เรากล่าวเช่นนี้มิได้พิสูจน์ว่าเราตั้งใจที่จะละทิ้งพวกเจ้า ว่าเราได้สูญสิ้นความหวังในตัวพวกเจ้า และยิ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าเราไม่เต็มใจที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอด วันนี้เรามาเพื่อทำงานแห่งความรอดของพวกเจ้า ซึ่งหมายความว่างานที่เราทำคือการสานต่องานแห่งความรอด ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ หากว่าเจ้าเต็มใจ หากว่าเจ้าไล่ตามเสาะหา ในท้ายที่สุดเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ และพวกเจ้าจะไม่ถูกละทิ้งเลยสักคนเดียว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก ถึงแม้พระเจ้าตรัสว่าผู้คนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย และทรงเปิดเผยว่าพวกเขาสับสนวุ่นวาย นั่นก็เพียงเพื่อให้พวกเขามองเห็นปัญหาและรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเอง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะได้สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ดี และมีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต พวกเราอาจมีขีดความสามารถต่ำ แต่ตราบเท่าที่เรารักและไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งเพียรพยายามที่จะสมดังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเรา แต่หากเรามีขีดความสามารถดี ทว่าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เราก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าฉันมีขีดความสามารถต่ำ แต่พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดหรือจะทรงกำจัดฉันออกไปเพราะเรื่องนี้ พระองค์ยังคงมอบโอกาสให้ฉันได้ทำหน้าที่ ฉันควรหวงแหนโอกาสเหล่านี้ไว้ ไล่ตามเสาะหาความจริง กระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า ชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง และพัฒนาขีดความสามารถของฉันให้ดีขึ้น
หลังจากนั้นเวลามีบางสิ่งเกิดขึ้น ฉันก็มุ่งเน้นที่จะแสวงหาความจริง และไม่ว่าในสถานการณ์ใด ไม่ว่าสิ่งนั้นคือการตัดแต่ง ความพลั้งพลาด หรือความล้มเหลวหรือไม่ ฉันก็จะมุ่งเน้นการคิดทบทวนตัวเอง และแสวงหาหลักธรรมความจริง เมื่อมีประสบการณ์ในหนทางนี้ ฉันก็รู้สึกถึงการสถิตของพระเจ้าไปโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าจิตใจของฉันกระจ่างมากขึ้น เวลาพี่น้องชายหญิงของฉันพูดคุยหารือเรื่องแนวคิดสำหรับวิดีโอ ฉันก็ไม่รั้งรออีกต่อไป บางครั้งทรรศนะที่ฉันแสดงออกไปนั้นไม่ถูกต้อง หรือพี่น้องชายหญิงให้ข้อเสนอแนะกับฉัน แต่ฉันก็สามารถเผชิญกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง และรู้สึกสงบลงกับเรื่องนี้ ในช่วงนั้นฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามาก ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน ทรงมอบความมั่นใจและพละกำลังแก่ฉัน ถึงแม้ฉันจะมีความลำบากยากเย็นมากมายในหน้าที่ แต่ด้วยการแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านการอธิษฐาน การพึ่งพาพระเจ้า และการร่วมมือกับพี่น้องชายหญิง ในที่สุดปัญหาบางอย่างก็ได้รับการแก้ไข และประสิทธิผลในหน้าที่ของฉันก็ดีขึ้นด้วย ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจที่ทรงช่วยฉันให้รอด
ตอนนี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดและห่างเหินจากพระเจ้า ฉันก็รู้สึกเสียใจอย่างลึกซึ้ง ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันตื้นตันใจมาก พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือ ทุกคนอยู่บนถนนที่ไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยตบเท้าเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เรรวน โดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือภาระอันใด ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำความผิดใดไป ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ฝ่าฝืนไปอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า จงตบเท้าเดินหน้าต่อไป พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่คือส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) ตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า ฉันพูดว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน แต่ฉันกลับไม่มีความรู้จริงเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าเลย ประสบการณ์นี้มอบความเข้าใจจริงบางอย่างและทำให้ฉันรู้สึกถึงความรักของพระเจ้า ถึงแม้หัวใจของฉันจะแข็งขืนและเป็นกบฏ แต่พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมให้ฉันได้มีประสบการณ์ พระองค์ทรงเฝ้ารอให้ฉันเปลี่ยนแปลง ทรงปลุกฉันให้ตื่นด้วยพระวจนะของพระองค์ และทรงนำฉันออกจากสภาวะของการคิดลบและการเข้าใจผิด ความปรารถนาของพระเจ้าที่จะทรงช่วยผู้คนให้รอดนั้นจริงใจและงดงามเหลือเกิน! ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่ง และไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงให้ดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และตอบแทนความรักของพระเจ้า