51. ผมได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!
ครอบครัวผมเป็นคาทอลิกมาสี่รุ่นแล้ว และในช่วงปลายทศวรรษ 1970 บ้านของพวกเราก็กลายเป็นสถานที่ชุมนุม ทั้งพ่อและลุงของผมทำหน้าที่เป็นพันธบริกร ทุกวันสำคัญใหญ่ๆ ทางศาสนา พวกผู้ใหญ่จะให้ผมปั่นจักรยานไปราวยี่สิบไมล์เพื่อเข้าร่วมพิธีในวันสำคัญนั้น ผมจำได้ว่าบาทหลวงมักจะบอกพวกเราในพิธีมิสซาว่า “ยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว พวกเราต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รักษาวิญญาณของพวกเราให้สะอาดและไม่ทำบาปใหญ่ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจเสด็จกลับมาบนเมฆและพาพวกเราขึ้นสู่สวรรค์ได้ทุกเมื่อ” ตอนนั้นสัตบุรุษทั้งเยาว์และชราต่างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า พากันสวดสายประคำ เข้าร่วมมิสซา และทำความดีต่างๆ ถวิลหาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาทุกวัน
ทั้งพ่อและลุงของผมเสียชีวิตในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ผมเลยรับช่วงเป็นพันธบริกรต่อ ผมนำเหล่าสัตบุรุษสวดสายประคำในศาสนพิธี ผมอ่านพระคัมภีร์และเทศน์สอน และแล้วในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1999 บาทหลวงของพวกเราได้ยื่นแผ่นพับพระวรสารจากฮ่องกงให้ผม และบอกให้ผมเรียกทุกคนมารวมตัวกันทันทีด้วยข่าวดีที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว ผมเรียกทุกคนมาและขอให้พวกเขาสวดสายประคำวันละสามหน ผมอธิบายเครื่องหมายที่แสดงถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ทำนายไว้ในพระคัมภีร์ให้พวกเขาฟัง ผมบอกว่า “เพื่อนสัตบุรุษทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘จากนั้นจะปรากฏเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ในท้องฟ้า และแล้วมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะหวนอาลัย และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระบารมี’ (มัทธิว 24:30) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะมีเครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ปรากฏบนท้องฟ้า พวกเราทุกคนจะได้เห็นด้วยตาตนเองว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆพร้อมด้วยความสว่างสุกใสและพระบารมี เพื่อพาพวกเราขึ้นสวรรค์ เหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ปี 2000 แล้ว พวกเราจะมัวชักช้าไม่ได้ ต้องแบ่งปันข่าวดีแก่ญาติมิตรและคนรู้จักที่เป็นผู้ไม่เชื่อ ถ้าช่วยวิญญาณให้รอดได้มากขึ้น พวกเราก็จะมีความดีความชอบในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้าเป็นอย่างมาก” ทุกคนตื่นเต้นที่ได้ยินแบบนี้และเริ่มคุยกันว่าพวกตนต้องเลิกละโมบอยากได้สิ่งของทางโลกและต้องแบ่งปันข่าวดีกับญาติมิตรให้มากขึ้น ไม่นานก็ล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายน ผมเริ่มสังเกตว่าภรรยาผมดูต่างไปจากปกติเล็กน้อย หลังอาหารเย็น เธอจะไปที่บ้านของเถียนเสี่ยวที่อยู่ในหมู่บ้านของพวกเราเพื่ออ่านพระคัมภีร์ทุกคืน และเธอไม่ได้ทำวัตรเย็นกับผมมาหลายวันแล้ว ผมค่อนข้างสับสนและสงสัยว่าเธอจะเปลี่ยนไปเข้านิกายอื่นหรือเปล่า บ่ายวันหนึ่ง ภรรยาถามผมว่า “พวกเราเป็นผู้เชื่อกันมาหลายปีแล้ว คุณยังหวังให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาอยู่ไหม?” ผมตอบอย่างไม่ลังเลว่า “คุณยังต้องถามอีกหรือ? ฉันหวังแน่อยู่แล้ว!” เธอเลยพูดกับผมอย่างจริงจังมากว่า “ฉันมีข่าวดีมาบอกคุณ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาประสูติเป็นมนุษย์อีกครั้งแล้ว และทรงเปิดม้วนหนังสือที่ถูกพูดถึงในวิวรณ์แล้วด้วย” ผมตกใจมาก ผมขึ้นเสียงพูดกับเธอว่า “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร? เวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา พระเยซูเจ้าต้องเสด็จมาบนเมฆ ไม่มีทางที่จะทรงกลับมาในรูปมนุษย์หรอก!” แล้วภรรยาผมก็พูดว่า “คุณยังไม่ได้ตรวจสอบดูด้วยซ้ำ คุณจะเอาแต่หลับหูหลับตากำหนดได้อย่างไรว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์ไม่ได้? ตลอดหลายปีที่พวกเราเชื่อมา พวกเราไม่ได้หวังจะรับเสด็จการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอดหรอกหรือ? การสรุปเอาเองตามมโนคติอันหลงผิดแบบนี้จะทำให้คุณพลาดโอกาสในการถูกรับขึ้นสวรรค์เอาได้ ฉันว่าคุณควรทำใจเย็นๆ และสืบค้นเรื่องนี้จริงๆ” แต่สิ่งที่เธอพูดนั้นสื่อมาไม่ถึงผมเลย หลังจากนี้ผมก็กังวลว่าเธอจะถูกชักนำให้หลงผิด เลยเล่าให้เธอฟังถึงการประกาศพระวาจาเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “หลังจากพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนแล้วกลับคืนพระชนม์ พระกายรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้ขึ้นสู่สวรรค์ไปบนเมฆ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาก็จะปรากฏพระองค์ในรูปของพระจิต เสด็จมาบนเมฆพร้อมพระสิริรุ่งโรจน์ พระองค์จะเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์ได้อย่างไร? พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) ‘และทันทีที่ความทุกขเวทนาในวันเหล่านั้นผ่านพ้น ดวงอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง และดวงดาวจะร่วงจากท้องฟ้า และอานุภาพแห่งฟ้าจะสั่นไหว จากนั้นจะปรากฏเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ในท้องฟ้า และแล้วมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะหวนอาลัย และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระบารมี’ (มัทธิว 24:29-30) ตรงนี้จะเห็นได้ว่าเมื่อทรงกลับมา ดวงอาทิตย์จะมืดลงและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาบนเมฆ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเครื่องหมายเหล่านี้ปรากฏเลย คุณจะบอกว่าพระองค์เสด็จมาแล้วได้อย่างไร?” จากนั้นเธอก็ตอบกลับมาอย่างสงบมากว่า “การประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือธรรมล้ำลึกทั้งปวงที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ ถ้าพวกเราอธิบายการประกาศพระวาจาโดยหลับหูหลับตาตีความตามตัวอักษร ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง พวกเราก็อาจจะตีความพระวาจาผิดได้ ลองนึกถึงพวกฟาริสีดูสิ พวกเขาเชื่อความหมายของพระคัมภีร์ตามตัวอักษรและเชื่อตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง คิดว่าพระเมสสิยาห์จะประสูติในพระราชวังและขึ้นครองอำนาจ แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้ประสูติในวัง พระองค์ประสูติในรางไม้ในฐานะบุตรของช่างไม้ และยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นประมุขผู้ปกครองแบบไหนเลย พวกฟาริสีเห็นว่าการประสูติและงานของพระเยซูเจ้าไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดของพวกตนแม้แต่น้อย พวกเขาจึงไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าพระองค์คือการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ พวกเขากล่าวโทษและต้านทานพระองค์ พวกเราจะทำผิดพลาดแบบเดียวกับพวกฟาริสีไม่ได้!” ตอนเธอพูดแบบนั้น ผมหงุดหงิดมากและคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็เป็นพันธบริกรประจำวัดและมีการศึกษามากกว่าเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมรับฟังฉันอยู่นั่น ถึงกับพูดว่าฉันหลับหูหลับตาตีความการประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างผิดๆ” ผมเริ่มเคืองและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่กระด้างว่า “ผมบอกคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คุณไม่ฟัง คุณถูกหลอกให้หลงเชื่อไปแล้วจริงๆ! คุณต้องเลิกไปร่วมการชุมนุมพวกนั้น” แต่เธอกลับพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ฉันสืบค้นอย่างชัดเจนแล้ว และศรัทธาของฉันก็อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ถ้าคุณไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของคุณ แต่อย่ามาขวางทางกัน” พอได้ฟังเธอพูดแบบนี้ ผมก็รำคาญและโกรธ แต่ผมยังพยายามช่วยเธอให้รอด จึงโทรศัพท์หาสังฆานุกรวัดสองรูปให้พยายามเกลี้ยกล่อมเธอ หนึ่งในสังฆานุกรสองรูปนั้นพูดกับเธออย่างมั่นใจมากว่า “คาทอลิกเป็นศาสนาเดียวที่ถูกต้อง เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา นิกายอื่นๆ ก็จะกลับมานับถือคาทอลิกกันหมด นี่คือสหภาพแห่งอาณาจักรคริสตชน ผมแน่ใจว่าคุณก็รู้เรื่องนี้เพราะเราทั้งคู่มาจากครอบครัวที่เป็นคาทอลิกมาหลายรุ่นคน” แต่ภรรยาผมโต้กลับไปว่า “มีเค้ามูลตรงไหนในพระวาจาของพระจิตเจ้าที่บอกว่าทุกนิกายจะกลับสู่ศาสนจักรคาทอลิกเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา? พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้แบบนั้นหรือ? สมาชิกคริสตจักรโปรเตสแตนต์กับคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์อยากกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนจักรคาทอลิกอย่างนั้นหรือ? พระคัมภีร์เผยพระวจนะไว้นานแล้วว่า ‘และในยุคสุดท้าย ภูเขาแห่งพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะถูกตระเตรียมเหนือเทือกเขา และจะอยู่สูงเหนือภูเขาทั้งหลาย และทุกชนชาติจะหลั่งไหลมาที่ภูเขานี้’ (อิสยาห์ 2:2) ในที่นี้คำว่า ‘ภูเขา’ หมายถึงนิกายต่างๆ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระราชกิจของการรวมทุกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ไม่ใช่ว่านิกายโปรเตสแตนต์จะกลับไปหาคาทอลิกหรือกลับกัน แต่เป็นการที่ผู้เชื่อที่แท้จริงจากทุกนิกายมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าต่างหาก เมื่อทุกความเชื่อกลายเป็นหนึ่งในหนทางนี้ ความชอบธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นที่ประจักษ์ชัด และทุกคนก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ” ตอนผมได้ยินเธอพูดแบบนี้ ทั้งหมดให้ความรู้สึกแปลกใหม่และให้ความรู้แจ้งกับผมมาก สังฆานุกรทั้งสองก็พูดไม่ออกเช่นกัน รูปหนึ่งในพวกเขาจึงเพียงแต่พูดย้ำว่า “คุณเป็นแค่สัตบุรุษ—คุณคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าบาทหลวงหรือ? ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ในท้ายที่สุดทุกนิกายก็จะกลับมาหาคาทอลิก คนที่หันหลังให้นิกายคาทอลิกย่อมทรยศพระเจ้าไปแล้ว พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดและวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่ได้ไปสวรรค์ คุณถูกชักพาให้หลงผิดเสียแล้ว พ่อแนะนำให้คุณไปสารภาพบาปทันที ยังไม่สายเกินไปที่จะหันกลับมา” เธอตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ได้ถูกชักจูงให้หลงผิด ฉันได้ยินพระวาจาที่พระจิตเจ้าตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย และฉันกำลังติดตามรอยพระบาทของพระผู้เป็นลูกแกะอยู่ ฉันยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าแล้ว ฉันอยู่บนเส้นทางนี้แล้วและจะไม่มีใครขวางทางฉันได้” เดิมทีผมอยากให้สังฆานุกรวัดทั้งสองเกลี้ยกล่อมเธอ แต่ไม่เคยคิดเลยว่านอกจากจะโน้มน้าวให้เธอเชื่อไม่ได้แล้ว พวกเขายังจะถูกเธอโต้จนพูดไม่ออกอีกด้วย หลังจากนั้นความเชื่อของภรรยาผมก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เธอบอกว่าตอนแรกเธอรู้สึกว่าถูกผมบีบคั้นเล็กน้อยและเกิดความลังเล แต่พอสังฆานุกรวัดพยายามขัดขวางเธอ เธอจึงมองเห็นชัดเจนว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาโอหังมากและไม่อยากแสวงหาอย่างถ่อมใจ เธอเลยไม่รู้สึกว่าถูกบีบคั้นอีกแล้วและไปร่วมชุมนุมทุกวัน
ผมคิดอยู่ในใจว่า “เธอไม่ได้มีการศึกษาสูงและไม่ได้รู้จักพระคัมภีร์ดีนัก เพราะฉะนั้นทำไมคำโต้แย้งของเธอถึงทำให้สังฆานุกรวัดสองรูปนั้นอึ้งได้ขนาดนั้น? เธอฟังบทเทศน์ที่เหลือเชื่อแบบไหนอยู่หรือ?” ผมฉงนใจกับความเปลี่ยนแปลงของภรรยาอยู่นาน นึกทบทวนสิ่งที่เธอพูดอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในนั้น เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เธอเชื่อนั้นมาจากพระจิตเจ้าจริงๆ? ผมคิดว่านั่นเป็นไปไม่ได้ ถ้ามาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าจริง บาทหลวงของพวกเราก็ควรที่จะรู้เรื่องทุกอย่าง แล้วทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินพวกเขาพูดถึงเลย? ผมเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่เขยของผม เขาก็เป็นพันธบริกรที่วัดเหมือนกัน แต่ผมก็ต้องแปลกใจที่ทันทีที่ผมเล่าจบ เขาก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เป็นไปไม่ได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์! มีคริสตจักรอยู่ที่หนึ่งชื่อ ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในรูปมนุษย์ และมีพระนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คำสอนของพวกเขาอยู่ในระดับสูงจริงๆ และพวกเขาก็ดึงตัวผู้เชื่อที่กระตือรือร้นไปหลายคนแล้ว แค่วัดของเราที่เดียวก็มีคนหลงผิดไปสิบกว่าคน แถมยังมีบาทหลวงรูปหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนเหล่านั้นก็ไม่ยอมกลับมา อย่าไปฟังสิ่งที่พวกเขาประกาศเป็นอันขาด” พอได้ฟังพี่เขยพูด ผมก็ตระหนักว่าภรรยาผมไปฟังบทเทศน์ของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเข้าให้แล้ว จากบ้านของพี่เขย ผมรีบตรงไปบ้านของพันธบริกรอีกคนหนึ่งและบอกให้เขาบอกสัตบุรุษคนอื่นให้อยู่ห่างๆ ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเอาไว้ ขณะเดียวกันผมกลับเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และมีความรู้สึกอยากท้าทายสิ่งที่พวกเขาเทศน์สอน ผมสงสัยว่า “สิ่งที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอยากพูดคืออะไร? ทำไมผู้เชื่อถึงแห่ไปอยู่กับพวกเขามากมายนัก? พวกเขาถึงขนาดชักจูงบาทหลวงให้หลงผิดได้อย่างไร? ไม่ว่าบทเทศน์ของพวกเขาจะดีขนาดไหน แต่จะเหนือกว่าความจริงของชาวคาทอลิกเราได้หรือ? ถ้ามีโอกาส ฉันก็อยากเห็นว่าพวกเขาเทศน์สอนอะไรกันแน่”
ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์เพิ่มเติม จะได้มีอะไรไปหักล้างใครก็ตามที่มาจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมากขึ้น ผมค้นหาการประกาศพระวาจาเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอ่านตรงที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักพวกมัน และพวกมันก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) ตอนที่อ่านพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมก็คิดขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว แกะขององค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ มีผู้เชื่อไฟแรงหลายคนยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหลังฟังสิ่งที่พวกเขาเทศน์สอน และไม่ยอมหันกลับมา นี่ก็ชี้ชัดแล้ว! พวกเขาเป็นคาทอลิกมายาวนานกันทุกคน มีการหยั่งรู้และรากฐานที่แข็งแกร่งในศรัทธา พวกเขาต้องสืบค้นก่อนที่จะยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอยู่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่าหนังสือที่พวกเขาอ่านกันมีความจริงอยู่และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า? แล้วถ้าฉันไม่ตรวจสอบดู ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พวกเขาเทศน์สอนมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่? ฉันจะดูก่อนว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องอะไร จากนั้นถ้าในนั้นมีความจริงและสอดคล้องกับพระคัมภีร์ ฉันก็จะสืบค้นต่อ ถ้าไม่สอดคล้องกับศรัทธาของคาทอลิก ฉันก็ปฏิเสธได้อยู่ดี”
และแล้วเช้าวันหนึ่ง ทันทีที่กินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็พบว่าภรรยาผมออกไปอีกแล้ว ผมรู้ว่าเธอไปบ้านของเถียนเสี่ยวอีก เลยคิดในใจว่า “บทเทศน์เหล่านี้ต้องล่อใจมากแน่ๆ ถึงได้ไปชุมนุมทุกวัน! ฉันอยากเห็นว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรกันแน่” ตอนที่ผมไปถึงบ้านของเถียนเสี่ยว นอกจากจะเห็นสัตบุรุษสองสามคนแล้ว ผมยังเห็นหวังหมิงอี้ด้วย เขาชวนให้ผมอยู่ชุมนุมด้วยกัน ผมนั่งลงฟังและภาวนาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูแลหัวใจของผม ประทานวิจารณญาณให้ผม ผมจะได้ไม่หลงผิด หมิงอี้พูดว่า “พระคัมภีร์มีอยู่สามส่วนคือ พันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ และวิวรณ์ แต่ละส่วนบันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในยุคต่างๆ เอาไว้ พันธสัญญาเดิม บันทึกพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ สมัยที่พระเจ้าทรงออกพระบัญญัติสิบประการผ่านทางโมเสส รวมถึงธรรมบัญญัติและกฤษฎีกาของพระองค์ เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าบาปคืออะไรและควรใช้ชีวิตบนโลกอย่างไร พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจในยุคพระคุณ เป็นยุคที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปให้แก่มวลมนุษย์ชั่วนิรันดร์ ทรงไถ่ผู้คนจากบาป ป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกกล่าวโทษและลงทัณฑ์ภายใต้ธรรมบัญญัติเพราะบาปของพวกเขา วิวรณ์ประกาศพระวาจาถึงพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เป็นพระราชกิจแห่งยุคราชอาณาจักร เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด ปลดปล่อยพวกเราให้เป็นอิสระจากพันธนาการของบาป นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่สำหรับทุกคนที่แสวงหาความจริง” เขายังบอกด้วยว่า “ที่จริง พระเจ้าเผยพระวจนะไว้นานแล้วว่าพระองค์จะประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะถึงเรื่องนี้อยู่มากมาย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะในโมงยามที่ท่านไม่ได้คาดคิด บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมา’ (ลูกา 12:40) และมีคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ว่า ‘ดูเถิด เรามาเหมือนขโมย’ (วิวรณ์ 16:15) คำว่า ‘ท่านไม่ได้คาดคิด’ และ ‘เหมือนขโมย’ ในที่นี้เกี่ยวข้องกับการที่ ‘บุตรมนุษย์’ เสด็จมาอย่างลับๆ ในยามที่ผู้คนไม่คาดคิด ‘บุตรมนุษย์’ หมายถึงการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เหมือนกับที่องค์พระเยซูเจ้า—พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้าย ประสูติแต่มนุษย์ ถือกำเนิดในครอบครัวสามัญชน พระองค์ทรงดูเหมือนคนธรรมดา แต่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในและแก่นแท้ของพระองค์นั้นเป็นของพระเจ้า พระองค์คือการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าพระองค์เอง ถ้าเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาเอง ก็จะเรียกพระองค์ว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้ เหมือนกับที่ไม่อาจเรียกพระยาห์เวห์พระเจ้าว่าบุตรมนุษย์ได้เพราะพระองค์เป็นพระวิญญาณ” การฟังหมิงอี้เป็นพยานยืนยันไม่เลิกว่าพระเจ้าเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์แล้ว ทำให้ผมค่อนข้างหงุดหงิดและไม่อยากฟังต่อ ผมเลยลุกขึ้นยืนและพูดหักล้างเขาว่า “ผมยอมรับเรื่องพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์อย่างที่คุณพูดไม่ได้ พระคัมภีร์ประกาศพระวาจาไว้ว่า ‘พวกท่าน ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านมัวยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ไย? พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่ทรงถูกพรากจากท่านไปสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาในแบบเดียวกับที่ท่านได้เห็นพระองค์เสด็จสู่สวรรค์’ (กิจการอัครสาวก 1:11) บาทหลวงบอกพวกเราอยู่บ่อยๆ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ทางเมฆในรูปของพระจิต ดังนั้นเมื่อเสด็จกลับมาก็ควรเป็นในรูปของพระจิตเสด็จลงมาบนเมฆด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ทั้งปวง พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อพวกเรา ทรงแบกรับความทุกข์ที่มิอาจจินตนาการได้เอาไว้ พระองค์จะไม่เสด็จกลับมาในรูปมนุษย์หรอก” หมิงอี้ตอบคำด้วยการหนุนใจผมอย่างใจเย็นว่า “พี่ชาย มานั่งลงสามัคคีธรรมเรื่องนี้ด้วยกันให้มากขึ้น พระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและแก้ไขข้อสงสัยให้พวกเราได้ทุกข้อ” ผมทำตัวไม่มีมารยาทกับหมิงอี้ แต่เขายังคงพยายามแนะนำผมอย่างอดทน ดังนั้นเพื่อที่จะไว้หน้าเขา ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งลง แต่ผมกลัวว่าจะถูกชักจูงให้หลงผิดอยู่ดีและคิดในใจว่า “หมิงอี้พูดดี ฉันไม่อาจเอาชนะเขาด้วยความรู้ทางพระคัมภีร์ของฉันได้ ถ้าฉันฟังต่อและบอกไม่ได้ว่าตัวเองถูกชักจูงให้หลงผิดไปหรือเปล่า ฉันควรจะทำอย่างไรดี? ฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับความรอดและไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ นั่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉันจะฟังเขาต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องกลับบ้านไปอ่านพระคัมภีร์ให้ละเอียดเสียก่อน” ด้วยเหตุนี้ผมจึงหาข้ออ้างแล้วขอตัวออกมา
พอกลับมาบ้าน ผมนึกถึงแนวคิดเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์ แล้วก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด “บางทีภรรยาฉันอาจถูกชักพาให้หลงผิดก็เป็นได้ แต่การชักจูงผู้เชื่อที่อุทิศตนทุกคนให้หลงผิดดูไม่น่าเป็นไปได้เลย! ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในรูปมนุษย์แล้วจริงๆ และฉันไม่ตรวจสอบ ฉันก็อาจจะเสียโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าเอาได้ แต่ถ้าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไม่ใช่หนทางที่แท้จริง และฉันลงเอยด้วยการเดินบนทางที่ผิด นั่นจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า และวิญญาณของฉันก็จะรับการช่วยให้รอดไม่ได้” ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรอยู่ระยะหนึ่ง กินอาหารก็ไม่รู้รส และนอนกระสับกระส่ายอยู่หลายคืน ผมคุกเข่าหน้ารูปพระหฤทัยด้วยความทุกข์ใจและสวดภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกใช่พระองค์เสด็จกลับมาจริงไหม ได้โปรดประทานวิจารณญาณ โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์หลงทางและเดินบนทางผิด ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงนำลูกของพระองค์ด้วยเทอญ”
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเปิดอ่านข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และด้วยการทรงนำของพระจิตเจ้า ผมจึงเจอการประกาศพระวาจาเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาลับๆ และพบธรรมล้ำลึกข้อหนึ่ง ผมตระหนักว่ามีข้อพระคัมภีร์อยู่หลายข้อที่บอกว่าผู้ที่รับเสด็จการมาอย่างลับๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้ร่วมงานฉลองพร้อมกับพระองค์ และจะได้รับการอวยพร ตัวอย่างเช่น “และ ณ เวลาเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอกว่า ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว พวกท่านจงออกไปรับเขากันเถิด จากนั้น หญิงพรหมจารีทั้งหมดนั้นจึงตื่นขึ้นมาแต่งตะเกียงของตน… เจ้าบ่าวมาถึง และนางทั้งหลายที่พร้อมก็เข้าไปในงานมงคลสมรสกับเขา และประตูก็ปิดลง” (มัทธิว 25:6-7, 10) “ดูเถิด เรามาเหมือนขโมย ผู้ที่คอยเฝ้าดูและรักษาอาภรณ์ของตนไว้ย่อมได้รับพร หาไม่แล้ว เขาย่อมเดินเปลือยกายให้ใครต่อใครเห็นความน่าละอายของตน” (วิวรณ์ 16:15) “และตัวท่านเองก็เป็นเสมือนคนที่เฝ้าคอยเจ้านายของตนซึ่งจะกลับจากงานมงคลสมรส เพื่อที่เมื่อเจ้านายมาเคาะประตู พวกเขาจะได้เปิดรับทันที ผู้รับใช้เหล่านั้นที่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาและทรงพบว่าพวกเขาเฝ้าคอยอยู่ ย่อมได้รับพร เราบอกพวกท่านตามจริงว่า เจ้านายย่อมจะจัดแจงพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร และจะให้การปรนนิบัติพวกเขา และถ้าเจ้านายมาในเวลาสองยามหรือสามยาม และพบผู้รับใช้ทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นย่อมได้รับพร” (ลูกา 12:36-38) “ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู หากผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา และเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) ผมตรึกตรองและสวดภาวนาถึงข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หนแล้วหนเล่า ผมมองเห็นว่าคำว่า “ณ เวลาเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอก” “เหมือนขโมย” “มาในเวลาสองยาม” และ “มาในเวลาสามยาม” ล้วนหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาอย่างลับๆ ในเวลาที่ผู้คนไม่ทันตระหนักรู้ทั้งสิ้น สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดเกี่ยวกับการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาอย่างลับๆ เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์และพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ! ถ้าผมรับเสด็จการมาอย่างลับๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ผมก็จะเป็นหนึ่งในผู้คนที่ได้รับพรไม่ใช่หรือ? เป็นเพราะพระจิตเจ้าประทานการรู้แจ้ง จึงทำให้ผมค้นพบธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้ หัวใจของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดได้ ผมค้นดูพระคัมภีร์ต่อไป มีข้อความนี้ที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะเมื่อสายฟ้าแลบที่สาดแสงอยู่ใต้ฟ้า ส่องสว่างไปยังส่วนต่างๆ ที่อยู่ใต้สวรรค์ บุตรแห่งมนุษย์ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นในวันของพระองค์ แต่ก่อนอื่นนั้น พระองค์จำต้องทนทรมานมากมาย และจำต้องถูกชนรุ่นนี้ปฏิเสธ” (ลูกา 17:24-25) เมื่อก่อน ผมเชื่อว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในรูปของพระจิต แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า “ก่อนอื่นนั้น พระองค์จำต้องทนทรมานมากมาย และจำต้องถูกชนรุ่นนี้ปฏิเสธ” ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาในรูปของพระจิต ผู้คนย่อมจะสั่นเทาด้วยความยำเกรงเมื่อเห็นพระองค์และจะทรุดลงกับพื้น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์จะทรงทนทรมานหรือถูกผู้คนปฏิเสธได้อย่างไร? มีแต่การประสูติเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทนทรมานและถูกปฏิเสธ เป็นไปได้ไหมว่าคำพยานของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนั้นถูกต้อง และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์แล้ว? แต่แล้วผมก็นึกถึงวิวรณ์บทที่ 1 ข้อที่ 7 ที่กล่าวว่า “ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ รวมทั้งพวกที่เคยแทงพระองค์ด้วย และทุกชนเผ่าบนแผ่นดินจะร่ำไห้เสียใจเรื่องตนเองเพราะพระองค์” ตามข้อพระคัมภีร์นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาบนหมู่เมฆโดยเปี่ยมพระสิริรุ่งโรจน์เพื่อรับพวกเราขึ้นไป และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในรูปมนุษย์อย่างลับๆ แล้วจะอธิบายข้อพระคัมภีร์นี้ว่าอย่างไรได้? การประกาศพระวาจาเรื่องการเสด็จมาอย่างลับๆ ไม่ขัดแย้งกับการเสด็จมาบนหมู่เมฆหรอกหรือ? ผมไม่เห็นเข้าใจเรื่องนี้เลย
พริบตาเดียว วันขึ้นปีใหม่ของปี 2000 ก็มาถึง แต่ความหวังที่ผมเฝ้ารอมานานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาบนเมฆไม่ได้เกิดขึ้น ผมรู้ว่าเครื่องหมายของการเสด็จกลับมาได้ลุล่วงไปหมดแล้ว ผมจึงเริ่มตั้งคำถามกับแนวคิดที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับลงมาบนเมฆก่อนเข้าสหัสวรรษใหม่ ใจผมเอนเอียงไปทางแนวคิดเรื่องการเสด็จมาอย่างลับๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ผมยังคงค้นหาการประกาศพระวาจาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ และสวดภาวนาถึงพระเยซูเจ้าด้วยว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขึ้นสหัสวรรษใหม่แล้ว แต่ข้าพระองค์ยังไม่เห็นพระองค์เสด็จลงมาบนเมฆเลย ข้าพระองค์ผิดหวังและเจ็บปวด ตอนนี้มีแต่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่เป็นพยานว่าพระองค์เสด็จกลับมาแล้ว ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์เสด็จกลับมาแล้วจริงหรือ? โปรดประทานการรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์รับรู้งานของพระองค์ได้ด้วยเถิด” ถึงตอนนี้ ผมอยากฟังการสามัคคีธรรมของหมิงอี้เพิ่มอีกจริงๆ เพราะผมคิดว่าถ้าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาจริงๆ ผมย่อมจะถูกพระราชกิจของพระเจ้ากำจัดออกไปถ้าผมไม่ยอมรับเรื่องนี้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ มีอยู่วันหนึ่งในเดือนมกราคมที่ผมนั่งไม่ติดที่เลย ผมบอกภรรยาว่าอยากฟังเรื่องที่หมิงอี้พูด พอได้พบเขา ผมก็บอกเขาว่า “ช่วงนี้ผมอยู่บ้านตลอด อ่านข้อความในพระคัมภีร์ไปหลายบทตอน และรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่คุณพูดตรงกับการประกาศพระวาจา ตอนนี้ผมยอมรับแนวคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆในฐานะบุตรมนุษย์ได้แล้ว แต่ยังมีการประกาศพระวาจาข้อนี้ที่ว่า ‘ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ รวมทั้งพวกที่เคยแทงพระองค์ด้วย และทุกชนเผ่าบนแผ่นดินจะร่ำไห้เสียใจเรื่องตนเองเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) ตรงนี้บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนหมู่เมฆด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ นี่ไม่ขัดแย้งกับการที่จะเสด็จมาอย่างลับๆ หรือ? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระวาจาของพระองค์ย่อมจะลุล่วงทั้งสิ้น ต้องมีธรรมล้ำลึกบางอย่างในเรื่องนี้แน่”
เขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟังสองบทตอน สามัคคีธรรมกับผมอย่างอดทน ผมจึงได้เข้าใจธรรมล้ำลึกดังกล่าว
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ทุกคนในจักรวาลที่รู้จักความรอดของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดได้โหยหาแทบขาดใจตลอดมาให้พระเยซูคริสต์เสด็จมาถึงโดยฉับพลันเพื่อทรงปฏิบัติสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสไว้ในขณะที่ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกให้ลุล่วงกล่าวคือ ‘เราจะมาถึงเฉกเช่นที่เราได้จากไป’ มนุษย์เชื่อว่า หลังการถูกตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ พระเยซูได้เสด็จกลับไปสู่สวรรค์บนเมฆขาวเพื่อทรงเข้าประจำที่ของพระองค์ ณ พระหัตถ์ขวาขององค์ผู้สูงสุด ในลักษณะเดียวกัน พระเยซูจะเสด็จลงมาอีกครั้งบนเมฆขาว (เมฆนี้อ้างถึงเมฆที่พระเยซูประทับตอนที่พระองค์ได้เสด็จกลับสู่สวรรค์) ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เฝ้าโหยหาพระองค์แทบขาดใจตลอดมาเป็นเวลาหลายพันปี และพระองค์จะมีพระฉายาและทรงสวมใส่เสื้อผ้าของชาวยิว หลังการทรงปรากฏต่อมนุษย์ พระองค์จะประทานอาหารแก่พวกเขา และทรงทำให้น้ำแห่งชีวิตไหลพุ่งออกมาสำหรับพวกเขา และจะทรงใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา ทรงเปี่ยมไปด้วยพระคุณและเปี่ยมไปด้วยความรัก ที่มีชีวิตชีวาและเป็นจริง มโนคติที่หลงผิดเช่นนี้ทั้งหมดคือสิ่งที่ผู้คนเชื่อกัน กระนั้นพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ทรงกระทำสิ่งนี้ พระองค์ได้ทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่มนุษย์คิดไปเอง พระองค์ไม่ได้เสด็จมาถึงท่ามกลางพวกที่ได้โหยหาการเสด็จกลับมาของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ทรงปรากฏต่อผู้คนทั้งหมดในขณะที่ประทับบนเมฆขาว พระองค์ได้เสด็จมาถึงแล้ว แต่มนุษย์ไม่รู้ และยังคงไม่รู้เท่าทัน มนุษย์แค่กำลังรอคอยพระองค์อย่างไร้จุดหมาย ไม่ตระหนักรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จลงมาบน ‘เมฆขาว’ แล้ว (เมฆซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ พระอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น) และบัดนี้สถิตท่ามกลางกลุ่มผู้ชนะทั้งหลายที่พระองค์จะทรงทำให้เป็นในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)
“ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูที่ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวคือพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นใครบางคนที่นบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)
หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าจบ หมิงอี้ก็สามัคคีธรรมว่า “การเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าแบ่งเป็นสองช่วงระยะ ช่วงระยะแรก พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ พระองค์ทรงแสดงความจริง ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระให้สะอาด ในที่สุดก็ทรงสร้างผู้คนกลุ่มหนึ่งให้เป็นผู้ชนะ จากนั้นพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์อย่างลับๆ ของพระเจ้าก็จะสรุปปิดตัว และแล้วพระองค์จะทรงบันดาลให้เกิดมหาวิบัติ ปูนบำเหน็จคนดี และลงโทษคนชั่ว เมื่อมหาวิบัติสิ้นสุดลง พระเจ้าก็จะเสด็จลงมาบนเมฆ ปรากฏองค์ต่อปวงประชาของทุกชนชาติ นี่ย่อมทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ความว่า ‘จากนั้นจะปรากฏเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ในท้องฟ้า และแล้วมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะหวนอาลัย และพวกเขาจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระบารมี’ (มัทธิว 24:30) ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆควรเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนของทุกชนชาติยินดีปรีดาอย่างที่สุด ดังนั้นทำไมพระองค์ถึงตรัสว่าจะมีเสียงร้องไห้อย่างระทมทุกข์? ก็เพราะพวกเขาจะมองเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาพากันต้านทาน ที่จริงแล้วคือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา แต่ถึงตอนนั้น พระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าย่อมจะเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยความที่พวกเขามัวแต่ไม่ยอมรับอะไรเลยนอกจากเรื่องที่ว่า ‘องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนเมฆ’ พวกเขาจึงพลาดโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าและโอกาสที่จะได้รับความรอด ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้จะมีแต่การร้องไห้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และถูกลงโทษเท่านั้น พวกเรามองเห็นได้ว่าการที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เสด็จกลับมาอย่างลับๆ เพื่อทรงงานนั้นไม่ใช่เพียงเพื่อความรอดของมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อเปิดโปงและกำจัดผู้คนออกไปด้วย แกะของพระเจ้าย่อมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และทุกคนที่ได้ยินพระสุรเสียงและยอมรับพระองค์ในช่วงที่พระองค์ทรงงานอย่างลับๆ ในรูปมนุษย์ ย่อมมาเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา และอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน พวกเขาจะถูกพิพากษาหน้าพระที่นั่งของพระคริสต์ ผู้ที่กำจัดความเสื่อมทรามออกจากตนเองได้และได้รับการชำระให้สะอาดผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า จะได้รับการคุ้มครองตลอดเวลาที่เกิดความวิบัติและมีชีวิตรอด แต่คนเลวและกองกำลังชั่วร้ายที่ไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้านทานพระองค์จะถูกพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดออกไป และท้ายที่สุดก็จะถูกลงโทษอยู่ในมหาวิบัติ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำอย่างลับๆ นั้นแยกแกะออกจากพวกแพะ ข้าวสาลีจากข้าวละมาน หญิงพรหมจารีมีปัญญาจากหญิงพรหมจารีที่เขลา แยกผู้เชื่อแท้จริงออกจากผู้เชื่อเทียมเท็จ ผู้รับใช้ที่ดีจากผู้รับใช้ที่ชั่ว—ทั้งหมดนี้ย่อมถูกเปิดเผย ทั้งหมดจะถูกจำแนกตามประเภทของตนโดยไม่รู้ตัว นี่คือปัญญาในพระราชกิจของพระเจ้า!” การฟังเขาสามัคคีธรรมในคราวนี้ทำให้ผมตาสว่างจริงๆ ในทันที ผมมองเห็นว่าการประกาศพระวาจาในพระคัมภีร์เรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะลุล่วงไปแบบนี้ และผมมองเห็นได้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สำนึกถึงความชอบธรรมที่ไม่อาจล่วงเกินได้ของพระเจ้านั้นทำให้ผมสั่นเทาด้วยความยำเกรง ผมรู้ว่าถ้ายังยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาบนหมู่เมฆ และไม่ยอมรับความจริงที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์แสดงไว้ ผมจะเสียโอกาสในความรอด! ผมปีติยินดีอยู่ในใจว่าตัวเองช่างโชคดีที่คิดแสวงหาหนทางที่แท้จริง ผมจะได้ไม่ถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้งและกำจัดออกไป วันนั้นผมได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพียงไม่กี่บทตอน ไม่แปลกใจเลยที่ผู้เชื่อมากมายไม่ยอมกลับมาหลังจากที่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว
ผมกระตือรือร้นที่จะขจัดความสับสนของตัวเองให้มากขึ้น จึงถามหมิงอี้ต่อ ผมพูดว่า “หลังการกลับคืนพระชนม์ พระเยซูเจ้าทรงปรากฏองค์ต่อสานุศิษย์ของพระองค์นานสี่สิบวัน แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่ท้องฟ้าในกายพระจิตที่พระองค์กลับคืนพระชนม์ขึ้นมา พวกเราคิดเสมอว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาพิพากษาโลกในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงปรากฏในรูปพระจิต ประทับอยู่บนมหาบัลลังก์สีขาว เปี่ยมพระบารมีและน่าเกรงขาม ทรงพิพากษาทุกคน ดังนั้นคนที่มีบาปหนักจึงลงนรก ส่วนคนที่ทำสิ่งดีก็ไปสวรรค์ แต่คุณกลับเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์เพื่อดำเนินพระราชกิจพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ เรื่องนี้มีพื้นฐานจากพระคัมภีร์หรือเปล่า?” เขาตอบว่า “พระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะเรื่องพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย เพื่อทรงพระราชกิจพิพากษา ตัวอย่างเช่น ‘เพราะว่าฟ้าแลบออกมาจากทิศตะวันออกและส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย’ (มัทธิว 24:27) ‘พระบิดาไม่ทรงพิพากษามนุษย์คนใดเช่นกัน แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งปวงแก่พระบุตร’ (ยอห์น 5:22) ‘และพระองค์ได้ประทานอำนาจในการพิพากษาแก่พระบุตร เพราะพระบุตรคือบุตรแห่งมนุษย์’ (ยอห์น 5:27) ‘ผู้ที่ดูหมิ่นเราและไม่ยอมรับวาจาของเรา ย่อมมีผู้พิพากษาเขา วาจาที่เราได้กล่าวไว้แล้ว จะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48) ‘เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกแก่พวกท่าน แต่เวลานี้พวกท่านยังรับไม่ไหว แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงสอนพวกท่านถึงความจริงทั้งปวง’ (ยอห์น 16:12-13) ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17) ข้อความที่เอ่ยถึง ‘พระบุตร’ และ ‘บุตรมนุษย์’ เหล่านี้ล้วนพูดถึงพระเจ้าที่ประสูติเป็นมนุษย์ ในยุคสุดท้าย พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์และกล่าวประกาศความจริงเพื่อทรงงานพิพากษาของพระองค์ และนี่คือการพิพากษาที่เริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงแสดงความจริง และทรงดำเนินการพิพากษาผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจพิพากษาของพระองค์ เพื่อชำระพวกเขาให้สะอาดและช่วยให้รอด นำพวกเขาเข้าสู่ความจริงทั้งปวง นี่คืองานที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำอย่างลับๆ สำหรับผู้ที่ต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงกล่าวโทษและทำลายพวกเขาโดยตรง โดยใช้ความวิบัติจัดการพวกเขา พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ซึ่งก็คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงทั้งปวงที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด ทรงงานพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า นี่ทำให้คำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผมก็ยิ่งรู้แจ้งมากขึ้น หลังจากนั้นหมิงอี้ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองสามบทตอนและสามัคคีธรรมกับผมถึงสาเหตุที่พระเจ้าไม่ทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายในรูปของพระวิญญาณ แต่ทรงทำด้วยพระองค์เองในรูปมนุษย์
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ประสูติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกทำให้ตาย หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกคือการไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาด้วยกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์ การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน หลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าด้วยการบรรลุการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4))
“หากพระวิญญาณของพระเจ้าตรัสกับมนุษย์โดยตรง มวลมนุษย์ทั้งปวงย่อมจะนบนอบพระสุรเสียง ล้มลงแม้ไม่มีพระวจนะต่างๆ แห่งวิวรณ์ ไม่ต่างอะไรกับที่เปาโลล้มลงกับพื้นในความสว่างระหว่างการเดินทางไปสู่ดามัสกัส หากพระเจ้าได้ทรงสานต่อพระราชกิจในหนทางนี้ มนุษย์ก็คงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะมารู้จักความเสื่อมทรามของตัวเขาเองโดยผ่านทางการพิพากษาของพระวจนะและบรรลุความรอดโดยการนั้น โดยผ่านทางการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงสามารถนำส่งพระวจนะต่างๆ ของพระองค์เข้าไปในหูของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เพื่อที่ทุกคนซึ่งมีหูอาจได้ยินพระวจนะทั้งหลายของพระองค์และรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยพระวจนะของพระองค์เอาไว้ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น พระวจนะของพระองค์จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ แทนที่จะเป็นการที่พระวิญญาณทรงเกิดสำแดงออกมาให้มนุษย์หวาดผวาจนต้องนบนอบ เพียงผ่านพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่ทว่ามีความพิเศษนี้เท่านั้น อุปนิสัยเดิมของมนุษย์ซึ่งซ่อนเร้นลึกอยู่ภายในมาหลายปีจึงจะสามารถถูกตีแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อที่มนุษย์อาจจำมันได้และเปลี่ยนแปลงมันเสีย สิ่งเหล่านี้คือพระราชกิจทั้งหมดซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตของพระเจ้าที่ประสูติเป็นมนุษย์ ด้วยการตรัสและการทำการพิพากษาในลักษณะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่ในนั้น พระองค์จึงทรงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์แห่งการพิพากษาที่กระทำกับมนุษย์โดยพระวจนะ นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่ประสูติเป็นมนุษย์และนัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4))
จากนั้นเขาก็สามัคคีธรรมกับผมว่า “จากพระวจนะของพระเจ้า พวกเรามองเห็นได้ว่าครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อรับบาปของมนุษย์เอาไว้ ดังนั้น ทันทีที่พวกเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า บาปของพวกเราจึงได้รับการยกโทษ แต่รากเหง้าแห่งบาปของพวกเรา ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของพวกเรายังคงอยู่ในตัวพวกเรา พวกเราทำบาปและเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่ตลอดเวลา เช่น ความโอหัง ความตลบตะแลง และความชั่ว พวกเราโกหกและคดโกง พวกเราอิจฉาและจงเกลียดจงชัง เมื่อเผชิญความวิบัติหรือเกิดความยากลำบากขึ้นในครอบครัว พวกเราก็มีแนวโน้มที่จะติเตียนและตัดสินพระเจ้า และถึงกับปฏิเสธพระองค์ นั่นคือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่บริสุทธิ์จึงไม่อาจมองเห็นพระองค์ พวกเราโสมมและเสื่อมทรามมาก ทำบาป และต้านทานพระเจ้า แล้วพวกเราจะคู่ควรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร? เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์ย่อมทรงแสดงความจริงและทรงงานพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงพวกเขา เพื่อให้ผู้คนทิ้งบาปและความเสื่อมทรามของตน ได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ การพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเป็นไปเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด เพราะฉะนั้นการทรงงานในรูปมนุษย์ของพระองค์จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงตัดสินผู้คน พวกเขาก็จะไม่ถูกชำระให้สะอาดหรือช่วยให้รอด นั่นเพราะมนุษย์มีอายุขัย มีเนื้อหนัง และพวกเราต่างก็ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ดังนั้นพวกเราถึงเต็มไปด้วยอุปนิสัย ความสกปรกโสมม และความเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน พวกเราจะไม่มีวันเข้าใกล้พระวิญญาณของพระเจ้าได้ ถ้าพระวิญญาณของพระองค์พิพากษาพวกเราโดยตรง พวกเราก็รังแต่จะถูกลบล้างไปเพราะการกบฏและการท้าทายของตนเอง เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าตรัสกับมนุษย์โดยตรง ก็จะเหมือนฟ้าแลบฟ้าร้อง ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่เข้าใจเท่านั้น แต่จะทำให้พวกเราหวาดกลัวด้วย พระราชกิจพิพากษามวลมนุษย์ในรูปแบบนี้จะไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ผมจะยกตัวอย่างให้คุณฟัง ลองนึกภาพนกตัวเล็กๆ ได้รับบาดเจ็บและพวกเราอยากช่วยมันดูสิ แต่นกย่อมกลัวพวกเราและไม่ยอมให้เข้าใกล้ เพราะมันต่างจากพวกเราอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเราพูด และไม่เข้าใจเจตนาของพวกเรา แต่ถ้าพวกเรากลายร่างเป็นนกน้อย แล้วค่อยเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหลือ นกก็จะไม่กลัวหรือขัดขืน ในทำนองเดียวกัน เพื่อช่วยมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างหนักแบบพวกเราให้รอดได้ดียิ่งขึ้น พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และใช้เปลือกนอกของมนุษย์ปกติ ทรงแสดงความจริง ตรัสภาษาที่มนุษย์เข้าใจได้ และเปิดโปงความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเรา รวมทั้งธรรมชาติเปี่ยมบาปของพวกเราที่ต่อต้านพระเจ้า ทรงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แก่พวกเรา เพื่อให้พวกเราเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นจริงมาก จากนั้นพระองค์จึงจะสามารถแบ่งปันกับพวกเราได้อย่างชัดเจนทั้งน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ ความจริงทั้งหลายที่ผู้คนควรปฏิบัติและเข้าสู่ และทรงแสดงให้พวกเราเห็นเส้นทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและได้รับการชำระให้สะอาด การที่พระเจ้าทรงงานของพระองค์ในรูปมนุษย์นั้นเปิดเผยมโนคติอันหลงผิดและความเป็นกบฏของพวกเราได้ดีกว่า ครั้งแรกที่พระเจ้าเสด็จมาทรงงานประสูติเป็นมนุษย์ พวกฟาริสีรู้ดียิ่งว่าพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าทรงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พวกเขาเห็นว่าพระองค์ดูไม่เหมือนผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นบุตรของช่างไม้ และพวกเขาเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงทำนั้นไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมตรวจสอบสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำไป เอาแต่ต้านทานและกล่าวโทษพระองค์ และไม่ยอมให้คนอื่นสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้า สุดท้ายพวกเขาก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์อีกครั้งเพื่อทรงงานพิพากษาของพระองค์ และเพราะการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตรัสและทรงงานของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเราจึงตีกรอบพระเจ้าเพราะความโอหังของตน ตัดสินพระองค์ และต้านทานพระราชกิจของพระองค์ เหล่านักบวชในโลกศาสนาต้านทาน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งเป็นพิเศษ ถ้าพระเจ้าไม่ทรงประสูติเป็นมนุษย์เพื่อทรงงานนี้ แต่เป็นพระวิญญาณของพระองค์ที่เสด็จมาทรงงานพิพากษา ใครจะกล้าไร้มารยาทกับพระองค์ขนาดนั้น? นั่นจะเปิดเผยความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้หรือ? มีแต่พระเจ้าในรูปมนุษย์เท่านั้นที่เปิดเผยความเป็นกบฏ ความเสื่อมทราม และมโนคติอันหลงผิดที่พวกเรามีต่อพระเจ้าได้หมด ผู้คนที่รักความจริงย่อมรับรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนที่ท้าทายและกบฏต่อพระเจ้าได้ผ่านทางการพิพากษาและการเปิดเผยของพระองค์ พวกเขากลับใจและดูหมิ่นตัวเองได้ และท้ายที่สุดพระวจนะของพระองค์ย่อมพิชิตพวกเขาและชำระพวกเขาให้สะอาด และพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ แต่พวกที่ยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน ปฏิเสธและต้านทานพระเจ้า ไม่ยอมรับความจริง แต่ยืนกรานที่จะสู้กับพระเจ้า พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าพวกเขาคือข้าวละมาน พระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้าจะเผยให้เห็นว่าพวกเขาคือผู้รับใช้ความชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ นอกจากจะไม่ถูกช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าจะทรงสาปแช่งและลงโทษพวกเขาเหมือนพวกฟาริสีด้วย ดังนั้น พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ที่เสด็จมาทรงงานพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย จึงเป็นประโยชน์ต่อการช่วยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอดอย่างที่สุด”
การสามัคคีธรรมของหมิงอี้ทำให้ผมรู้แจ้งจริงๆ ผมนึกถึงยุคธรรมบัญญัติขึ้นมา ตอนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปรากฏและตรัสกับชาวอิสราเอลบนภูเขาซีนายนั้น พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าราวกับเป็นเสียงฟ้าร้อง และต่างรู้สึกหวาดกลัว พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “ขอท่านพูดกับพวกเราเถิด และพวกเราจะฟัง ขออย่าให้องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับพวกเราเลย หาไม่แล้ว พวกเราต้องตาย” (อพยพ 20:19) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ส่วนพวกเราคือมนุษย์ที่เสื่อมทราม พวกเราไม่อาจติดต่อกับพระจิตของพระเจ้าได้โดยตรง นอกจากนี้ผมยังนึกย้อนไปถึงตอนที่ตัวเองได้ยินข่าวเป็นครั้งแรกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้วในรูปมนุษย์ ผมเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและการต้านทาน ทั้งยังโอหังเหลือทน ผมเอาแต่หลับหูหลับตากำหนดและตัดสินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีทางกลับมาในรูปมนุษย์ โดยที่ไม่ได้แสวงหาหรือตรวจสอบก่อน ผมปิดกั้นการเข้าออกวัด ไม่ยอมให้คนอื่นสืบค้นหนทางที่แท้จริง และพยายามห้ามภรรยาเข้าชุมนุม การกระทำของผมต่างจากของพวกฟาริสีตอนที่พวกเขาต้านทานองค์พระเยซูเจ้าอย่างไร? ผมช่างโอหัง และเป็นกบฏมาตลอด ถ้าพระจิตของพระเจ้าทรงงานพิพากษา ผมคงถูกทำลายหายสูญไปแล้ว แบบนั้นผมจะมีโอกาสได้รับความรอดจากพระเจ้าได้อย่างไร? การที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงงานพิพากษานั้นคือความรอดที่พระองค์ทรงมีให้มนุษย์จริงๆ! การที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงงานของพระองค์ในยุคสุดท้ายมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด!
ต่อจากนั้น หมิงอี้ก็สามัคคีธรรมกับผมอีกสองสามครั้ง และผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก จากพระวจนะของพระองค์ ผมได้เรียนรู้เรื่องราวเบื้องลึกและความหมายเบื้องหลังพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้าที่มุ่งช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ความล้ำลึกในพระนามของพระองค์ ความจริงภายในพระคัมภีร์ วิธีฟังพระสุรเสียงของพระองค์ วิธีแยกแยะพระคริสต์เที่ยงแท้ออกจากพวกเทียมเท็จ ประเภทของผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ประเภทของผู้คนที่พระองค์ทรงกำจัดออกไป และอีกมากมาย ยิ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ยิ่งเข้าใจพระราชกิจและน้ำพระทัยของพระองค์ดีขึ้น ผมได้เข้าใจความล้ำลึกมากมายหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อน หลายๆ สิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจอย่างจะแจ้งมาก่อนก็กลายมาเป็นชัดเจน นี่ช่วยบำรุงเลี้ยงผมอย่างมาก ผมรู้สึกมั่นใจอยู่ในหัวใจของผมว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงหนึ่งเดียวทรงมาปรากฏ! นี่เป็นเพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ตรัสประกาศความจริง เปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลาย ประทานความจริงและชีวิตอันไม่มีที่สิ้นสุดให้แก่พวกเราได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาจริงๆ! ผมเคยยึดติดอยู่กับความหมายตรงตามถ้อยคำในพระคัมภีร์ และผมนึกวาดภาพพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผม ผมไม่สืบค้นพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า แต่กลับดึงดันปฏิเสธพระเจ้าที่เสด็จกลับมา ผมเกือบจะกลายเป็นฟาริสีคนหนึ่งที่ต้านทานพระเจ้า พลาดโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมา และพลาดโอกาสเข้าสู่สวรรค์ ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงนำและช่วยผมให้รอดอย่างทันการณ์ ผมก็คงย่อยยับเพราะมโนคติอันหลงผิดของตัวเองเป็นแน่ การที่ผมได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาและได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระองค์ล้วนเป็นเพราะความกรุณาและความรอดของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!