52. การปล่อยซึ่งวิธีการใช้อำนาจครอบงำ
ค.ศ. 2020 ฉันได้รับมอบหมายให้ทำการให้น้ำผู้มาใหม่ ในตอนแรกฉันได้บริหารจัดการคริสตจักรสองแห่งด้วยตนเอง ต่อมาด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้นำได้จัดแจงให้พี่น้องหญิงลิลเลียนกับฉันดูแลคริสตจักรหนึ่งในสองแห่งนั้นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นการจัดแจงดังกล่าว ฉันหัวเสียเล็กน้อย “ฉันเคยบริหารจัดการคริสตจักรสองแห่งด้วยตัวเอง ตอนนี้ฉันกำลังจะบริหารเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่พวกเขากลับให้ฉันมีคู่ทำงาน นั่นจำเป็นจริงหรือ? ความสำเร็จใดๆ ย่อมจะถูกมองว่าเป็นผลงานของคนสองคนเป็นแน่ แล้วฉันก็จะไม่เป็นที่สนใจและไม่มีใครมานับถือ ถ้าฉันจัดการคริสตจักรเอง พี่น้องชายหญิงก็จะมองว่าฉันมีความสามารถที่ทำงานเยอะขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียว พวกเขาจะมองฉันว่ามีความสามารถในงานนั้น เป็นแกนหลักของการทำหน้าที่นั้น นั่นย่อมจะน่าเลื่อมใสเหลือเกิน อีกอย่าง ถ้ามีคู่ทำงาน ฉันก็จะตัดสินชี้ขาดไม่ได้ ถึงตอนนั้นฉันย่อมจะมีอำนาจเพียงครึ่งเดียวไม่ใช่หรือ? ฉันต้องขอความเห็นจากคู่ทำงานในทุกเรื่อง และฉันก็จะดูไร้ความสามารถ” พอคิดแบบนั้น ฉันก็ต่อต้านการจัดแจงนั้นจริงๆ ฉันนึกสงสัยว่าผู้นำอาจจะคิดผิด หรือเธออาจจะดูถูกฉัน ฉันรู้ว่าคริสตจักรอื่นๆ ล้วนมีผู้ดูแลสองคน แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นสามารถเป็นพิเศษ ดังนั้นฉันจึงไม่ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนคนอื่นๆ ในตอนนั้นฉันเมินลิลเลียนจริงๆ และหลายอย่างที่ฉันทำไป ฉันก็ไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำ
ถึงจุดหนึ่ง สองกลุ่มจำต้องรวมตัวกัน เพราะมีสมาชิกในแต่ละกลุ่มไม่มากพอ ฉันก็คิดว่าเรื่องง่ายๆ แบบนั้นฉันทำคนเดียวก็ได้ ฉันเคยจัดการเรื่องอย่างนั้นด้วยตัวเองมาก่อน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหารือกับลิลเลียน และฉันก็ลงมือรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน พอลิลเลียนมาสอบถาม ฉันก็บอกเธออย่างมั่นใจว่าฉันจัดการไปแล้ว อีกคราวหนึ่ง ผู้นำอยากให้เรามองหาผู้มาใหม่ที่สามารถฝึกให้แบ่งปันข่าวประเสริฐได้ ฉันจึงจัดตั้งกลุ่มของผู้ที่เหมาะสมขึ้นมาโดยตรง ตอนที่พวกเขาเรียนรู้หลักธรรมในการแบ่งปันข่าวประเสริฐอยู่นั้น ฉันสังเกตว่ามีอยู่คนหนึ่งที่มักจะง่วนอยู่กับงานของเขา ฉันจึงย้ายเขาออกจากกลุ่มนั้นและไม่ให้เขามีส่วนร่วมในการประกาศข่าวประเสริฐโดยที่ไม่ได้หารือเรื่องนี้กับใคร เมื่อพี่น้องชายที่ดูแลงานข่าวประเสริฐรู้เข้า เขาก็ตัดแต่งฉัน บอกว่าฉันเผด็จการและทำตามใจชอบ ตัดสินใจโดยไม่ให้คู่ทำงานมีส่วนร่วม ในตอนนั้นฉันก็แค่พูดไปว่าเขาพูดถูกแล้ว แต่ในใจ ฉันไม่ได้เชื่อว่าความเสื่อมทรามของฉันร้ายแรงขนาดนั้น
หลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นหลายครั้ง วันหนึ่งลิลเลียนก็มาหาฉัน แล้วพูดว่า “เราเป็นคู่ทำงานกัน ต่อให้คุณทำเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองได้ ก็ควรจะบอกให้ฉันรับรู้ด้วย ฉันจะได้รู้ว่างานของเราคืบหน้าไปอย่างไร รีสน่ะ เมื่อไรที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเธอ เธอก็พยายามหารือเรื่องต่างๆ กับคู่ทำงานอยู่เสมอ ทั้งสองคุยกันในทุกๆ เรื่อง” ฉันคิดไปว่า “ถ้าฉันบอกคุณ คุณก็แค่จะรับฟังคำแนะนำของฉันเท่านั้น อย่างนั้นเราสองคนจำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้นด้วยหรือ? ที่รีสถามอยู่เสมอก็เพราะเธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะยุ่งยากทำไมถ้าฉันบริหารจัดการได้ดี? การมีคู่ทำงานนี่ยุ่งยากจริงๆ ต้องคุยกับคุณทุกเรื่อง นั่นจะดูเหมือนฉันเป็นลูกน้องรายงานหัวหน้า ทำให้ฉันดูไร้ความสามารถ” ต่อมามีอีกหลายครั้งที่เธอพูดเรื่องนี้กับฉัน แต่ฉันก็ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อน บางครั้งเธอจะถามฉันเกี่ยวกับงานบางอย่างในหน้าที่ของพวกเรา แต่ฉันก็เมินใส่ คิดไปว่าเธอกำลังถามเรื่องที่เพิ่งหารือกัน ในการหารือเรื่องงานของพวกเรา บางครั้งฉันก็ได้ยินลิลเลียนถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเลยสงสัยว่าเธอรู้สึกว่าถูกฉันบีบคั้นหรือเปล่า? ฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่แล้วฉันก็คิดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเธอนี่ ฉันก็เลยไม่ได้จริงจังกับความรู้สึกนั้น วันหนึ่งเธอถามฉันว่าฉันสามารถบริหารจัดการคริสตจักรตามลำพังได้ใช่ไหม ตอนนั้นฉันไม่ทันตระหนักถึงสาเหตุที่เธอถามเช่นนั้น และสงสัยว่าเธอกำลังจะถูกย้ายไปหรือไร ฉันคิดว่าอย่างนั้นก็จะดีมาก ฉันจะได้ไม่ต้องรายงานอะไรกับเธอ และจะได้เป็นผู้ดูแลคนเดียว ดังนั้นฉันเลยแค่ตอบไปว่า “ฉันทำได้” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลิลเลียนไม่พูดสักคำ ต่อมาฉันได้เรียนรู้ว่าเธอรู้สึกว่าถูกฉันดึงรั้งไว้จริงๆ เหมือนเธอทำอะไรไม่ได้ และเธอถึงกับอยากจะลาออก ในเวลานั้นฉันเพียงยอมรับว่าฉันไม่ได้มีท่าทีที่ดีกับเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง
ผู้นำให้ลิลเลียนไปมุ่งมุมานะกับโครงการอื่น ฉันจึงได้รับผิดชอบงานของคริสตจักรมากขึ้น ฉันแอบพอใจ คิดไปว่าในที่สุดคราวนี้ฉันก็สามารถแสดงทักษะของตัวเองได้และได้ตัดสินใจเต็มที่ แต่เรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าการทำหน้าที่ของฉันยากขึ้นมาก และเวลาที่พี่น้องชายหญิงเผชิญปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา ฉันกลับมองแก่นแท้ของปัญหาไม่ออก ฉันจึงแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้ ผ่านไปสักพักผู้มาใหม่ที่ไม่ได้มาชุมนุมตามปกติก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้นำบอกฉันว่าผลการปฏิบัติงานของฉันแย่ที่สุด ลิลเลียนก็ชี้ให้เห็นปัญหาของฉันอยู่หลายครั้ง โดยบอกว่าฉันเป็นพวกชอบทำอะไรคนเดียว ไม่ปรึกษาคนอื่น และไม่ได้แสวงหาความจริงในสิ่งต่างๆ ตอนนั้นฉันรั้นมาก ไม่ยอมรับฟังหรือทบทวนตัวเอง จากนั้นสภาวะของฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ และหัวทึบอยู่เสมอ วันหนึ่งผู้นำบอกว่าเธออยากคุยกับฉัน แล้วจัดให้ประชุมกับพี่น้องหญิงอีกคน ฉันได้ยินมาว่าพี่น้องหญิงคนนั้นมีพฤติกรรมไม่ดี ฉันจึงตีความไปว่านั่นแปลว่าผู้นำต้องเชื่อว่าฉันเป็นเหมือนเธอคนนั้น เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันเลยกลัวเอาการ ปัญหาของฉันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ? ฉันจะถูกปลดหรือเปล่า? ตอนที่ฉันบริหารจัดการคริสตจักรสองแห่งนั้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ตอนนี้แค่คริสตจักรเดียว ทำงานที่ฉันคุ้นเคย ซึ่งเป็นงานที่ฉันเคยทำมาก่อน ทำไมฉันถึงทำได้ไม่ดีนะ? ฉันต้องมีบางอย่างผิดไป ฉันจึงมาอธิษฐานอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันทบทวนและเข้าใจปัญหาของตัวเอง
และแล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เมื่อคนสองคนรับผิดชอบบางสิ่ง และหนึ่งในสองคนนี้มีแก่นแท้ของศัตรูพระคริสต์ สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นในตัวคนคนนี้คืออะไร? ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาและมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นคนริเริ่มเขี่ยบอล เป็นคนตั้งคำถาม เป็นคนจัดแจงสิ่งทั้งหลาย และเป็นคนคิดหาทางออก และโดยมากแล้ว เขาย่อมกีดกันคู่ทำงานของตนให้ไม่รู้อะไรโดยสิ้นเชิง คู่ทำงานคืออะไรในสายตาของเขา? ไม่ใช่ผู้ช่วยของตน แต่เป็นแค่ของตกแต่งให้ตนดูดี ในสายตาของศัตรูพระคริสต์ คู่ทำงานของพวเขาไม่มีอยู่จริง เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหา ศัตรูของพระคริสต์ย่อมคิดจนจบกระบวนการ และทันทีที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรแล้ว พวกเขาก็แจ้งทุกคนว่าจะต้องทำเช่นนี้ และไม่เปิดโอกาสให้ใครตั้งคำถาม แก่นแท้ของการที่พวกเขาร่วมมือกับผู้อื่นคืออะไร? โดยพื้นฐานแล้วก็คือการตัดสินชี้ขาด ไม่เคยหารือปัญหากับใครอื่น รับผิดชอบงานแต่เพียงผู้เดียว และทำให้คู่ทำงานกลายเป็นของตกแต่งให้ตัวเองดูดี พวกเขาลงมือคนเดียวเสมอและไม่เคยร่วมมือกับใคร พวกเขาไม่เคยหารือหรือสื่อสารเรื่องงานกับใครอื่น มักจะตัดสินใจตามลำพังและจัดการปัญหาเพียงคนเดียว และในหลายๆ เรื่อง ผู้อื่นมาพบว่าสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นหรือได้รับการจัดการไปแล้วอย่างไรก็หลังจากที่การกระทำนั้นเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น ผู้คนอื่นๆ บอกพวกเขาว่า ‘ปัญหาทั้งหมดจำเป็นต้องมีการหารือกับพวกเรา คุณรับมือคนคนนั้นตั้งแต่เมื่อใด? คุณรับมือเขาอย่างไร? ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เรื่อง?’ พวกเขาทั้งไม่ให้คำอธิบายและไม่ให้ความสนใจ สำหรับพวกเขา คู่ทำงานของตนไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเพียงเครื่องประดับหรือของตกแต่งให้ตัวเองดูดีเท่านั้น เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ขบคิด ตัดสินใจ และกระทำไปตามที่พวกเขาปรารถนา ไม่ว่าจะมีผู้คนรอบตัวพวกเขากี่คนก็เหมือนผู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ คนเหล่านี้อาจเป็นอากาศธาตุเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่พวกเขาจับคู่ทำงานกับผู้อื่นมีแง่มุมใดที่เป็นจริงบ้างหรือไม่? ไม่เลย พวกเขาเพียงทำอย่างขอไปทีและเล่นไปตามบท ผู้อื่นถามพวกเขาว่า ‘ทำไมคุณถึงไม่สามัคคีธรรมกับคนอื่นเวลาที่คุณพบเจอปัญหา?’ พวกเขาก็ตอบว่า ‘พวกเขาจะไปรู้อะไร? ฉันเป็นหัวหน้าทีม มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะตัดสินใจ’ ผู้อื่นถามว่า ‘แล้วทำไมคุณถึงไม่สามัคคีธรรมกับคู่ทำงานของคุณ?’ พวกเขาตอบกลับว่า ‘ฉันบอกเขาแล้ว เขาไม่มีความเห็นอะไร’ พวกเขาใช้การที่ผู้อื่นไม่มีความเห็นหรือไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้มาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ และไม่มีการสำรวจตัวเองตามมาแม้แต่น้อย การที่คนแบบนี้จะยอมรับความจริงจึงย่อมจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าบรรยายสภาวะของฉันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคำให้ความรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงเปิดโปงฉันโดยตรง ในที่สุดฉันก็มองเห็นว่าการอยากเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่องอยู่เสมอ ทำกับลิลเลียนเหมือนเธอไม่มีตัวตน และไม่ปรึกษาเธอด้วยข้ออ้างว่าฉันทำได้ คือการทำตัวเป็นเผด็จการและเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ที่ผ่านมาฉันทำหน้าที่ของฉันแบบนั้นมาตลอด เมื่อถึงเวลารวมสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ฉันก็ทำโดยไม่ได้คุยกับลิลเลียน ไม่ได้บอกกล่าวให้เธอรู้ด้วยซ้ำก่อนลงมือ ตอนที่ฉันเห็นผู้มาใหม่มัวยุ่งกับงานของเขาเอง ฉันก็ไม่ได้หารือถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดกับลิลเลียน แต่กลับไล่เขาออกจากกลุ่มและเพิกถอนหน้าที่ของเขา เมื่อลิลเลียนถามถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆ และเหล่าผู้เชื่อใหม่ แทนที่จะตอบกลับอย่างใจเย็น ฉันกลับรำคาญและต่อต้าน คิดเอาว่านั่นเป็นเหมือนการรายงานหัวหน้า ราวกับว่าฉันทำงานให้เธอ ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจเธอ ฉันอยากเป็นคนตัดสินชี้ขาดอยู่เสมอ อยากมีสิทธิอำนาจ ฉันเป็นเผด็จการและทำตามใจชอบในหน้าที่ของฉัน ไม่อยากทำงานกับใคร และฉุดรั้งลิลเลียนเอาไว้ การทำหน้าที่ของฉันเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร? นั่นคือการทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และเป็นการปฏิบัติตนเหมือนสมุนรับใช้ของซาตานต่างหาก!
ต่อมาฉันก็บังเอิญอ่านเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “แม้ผู้นำและคนทำงานจะมีคู่ทำงาน และทุกคนที่ทำหน้าที่ย่อมจะมีคู่ทำงาน แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็เชื่อว่าตนมีขีดความสามารถดีและเก่งกว่าคนทั่วไป ดังนั้นคนทั่วไปย่อมไม่คู่ควรที่จะมาเป็นคู่ทำงานของพวกเขา และล้วนด้อยกว่าพวกเขาทั้งสิ้น นี่คือสาเหตุที่ศัตรูของพระคริสต์ชอบเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดและไม่ชอบหารือเรื่องต่างๆ กับใครอื่น พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนั้นทำให้ตนดูเหมือนไร้ความสามารถไม่มีอะไรดีสักอย่าง นี่เป็นมุมมองแบบไหน? เป็นอุปนิสัยแบบใด? นี่คืออุปนิสัยอันโอหังมิใช่หรือ? พวกเขาคิดว่าการให้ความร่วมมือและหารือเรื่องทั้งหลายกับผู้อื่น การสอบถามและแสวงหาคำตอบจากผู้อื่นนั้นไม่มีศักดิ์ศรีและเสียเกียรติ เป็นการปรามาสความนับถือตนเองของพวกเขา ดังนั้นแล้ว เพื่อที่จะอารักขาความนับถือตนเองของพวกเขา พวกเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้มีความโปร่งใสในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่บอกผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเสวนาสิ่งนั้นกับผู้อื่น พวกเขาคิดว่าการเสวนากับผู้อื่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวพวกเขาเองไร้สมรรถภาพ ว่าการเที่ยวร้องขอความเห็นของผู้คนอื่นๆ อยู่เสมอหมายความว่าพวกเขานั้นโง่เขลาและไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ ว่าการทำงานกับผู้อื่นเพื่อทำกิจหนึ่งให้เสร็จหรือแก้ปัญหาบางอย่างทำให้พวกเขาดูไร้ประโยชน์ นี่คือวิธีคิดที่โอหังและไร้สาระของพวกเขามิใช่หรือ? นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามิใช่หรือ? ความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกภายในตัวพวกเขานั้นชัดเจนจนเกินไป พวกเขาสูญสิ้นเหตุผลตามปกติของมนุษย์ไปหมดแล้ว และออกจะคิดอะไรเพี้ยนๆ พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าตนเองมีความสามารถ ทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยตนเอง และไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้อื่น ในเมื่อพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ความร่วมมือที่กลมกลืนกันได้ พวกเขาเชื่อว่าการร่วมมือกับผู้อื่นคือการทำให้อำนาจของพวกเขาเจือจางลงและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ว่าเมื่อมีการแบ่งงานกับผู้อื่น อำนาจของพวกเขาเองลดน้อยลง และพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเองได้ ซึ่งย่อมหมายความว่าพวกเขาขาดพร่องอำนาจที่แท้จริง ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาล ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาเข้าใจและพวกเขารู้ว่าจะจัดการเรื่องนั้นอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร พวกเขาย่อมจะไม่หารือเรื่องนั้นกับผู้ใด และพวกเขาจะตัดสินชี้ขาดทั้งหมดเอง พวกเขาเลือกที่จะทำความผิดพลาดมากกว่าที่จะปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ รู้ พวกเขาเลือกที่จะผิดมากกว่าจะแบ่งปันอำนาจร่วมกับใครคนอื่น และพวกเขาเลือกที่จะถูกปลดแทนการปล่อยให้ผู้อื่นเข้าไปก้าวก่ายงานของพวกเขา นี่คือศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาสู้ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า สู้เดิมพันด้วยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียดีกว่าที่จะแบ่งปันอำนาจของพวกเขากับใครอื่น พวกเขาคิดว่าเวลาพวกเขากำลังทำงานสักชิ้นหรือกำลังจัดการเรื่องราวบางอย่าง นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นโอกาสนำเสนอตัวเองให้โดดเด่นเหนือผู้อื่น และเป็นโอกาสใช้อำนาจ เพราะฉะนั้น แม้พวกเขาจะบอกว่าตนจะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวและจะหารือเรื่องต่างๆ ร่วมกับผู้อื่นเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมา แต่ความจริงก็คือ ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือจากอำนาจหรือสถานะของตน พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเข้าใจคำสอนบางอย่างและสามารถทำตามนั้นได้ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใคร พวกเขาคิดว่าควรดำเนินการและทำให้เสร็จโดยลำพัง และนี่เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีความสามารถ ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? พวกเขาไม่รู้ว่าหากพวกเขาละเมิดหลักธรรม พวกเขาก็ไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่สามารถดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า และเอาแต่ออกแรงทำงานเท่านั้น เวลาทำหน้าที่ของตน แทนที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริง พวกเขากลับใช้อำนาจตามความคิดและเจตนาของตนเอง อวดตัว และแห่แหนตนเอง ไม่ว่าคู่ทำงานของพวกเขาจะเป็นใครหรือทำอะไร พวกเขาก็ไม่เคยอยากหารือเรื่องทั้งหลายด้วย พวกเขาอยากลงมือเองอยู่เสมอ และอยากตัดสินชี้ขาดตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเล่นกับอำนาจและใช้อำนาจทำสิ่งต่างๆ ศัตรูของพระคริสต์รักอำนาจกันทุกคน และเมื่อมีสถานะแล้ว พวกเขาก็อยากได้อำนาจมากขึ้น เมื่อมีอำนาจ ศัตรูของพระคริสต์ก็มีแนวโน้มที่จะใช้สถานะของตนเพื่ออวดตัวและแห่แหนตนเอง เพื่อให้ผู้อื่นยกย่องนับถือตน และสัมฤทธิ์เป้าหมายของการโดดเด่นเหนือคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ศัตรูของพระคริสต์จึงหมกมุ่นอยู่กับอำนาจและสถานะ และจะไม่มีวันปล่อยอำนาจของตนไปเป็นอันขาด” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) เมื่อฉันได้อ่านบทตอนนี้ ฉันก็คิดทบทวนว่าสาเหตุที่ฉันใช้อำนาจครอบงำและไม่เต็มใจที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นมากขนาดนั้นเป็นเพราะฉันกังวลว่า ถ้ามีคนมาเกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรมากขึ้น อำนาจของฉันก็จะสลายไป และฉันจะไม่ได้เป็นผู้ดูแลแต่ผู้เดียว ควบคุมทุกอย่าง หรือเป็นที่เลื่อมใสของผู้อื่น ฉันเคยรับผิดชอบงานของคริสตจักรมาก่อน และฉันคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ มีหัวในทางนี้ และมีความสามารถ ฉันใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้และกลายเป็นคนโอหัง คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษและเหนือกว่าผู้อื่น ลิลเลียนอยากให้ฉันคุยกับเธอก่อนที่จะทำอะไรลงไป แต่ฉันกลับรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ฉันดูไร้ความสามารถ ดังนั้นฉันจึงจะทำเรื่องต่างๆ เอง บางครั้งฉันก็คิดว่าควรจะปรึกษาเธอดีไหม แต่เพื่ออวดตัวและได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น ฉันจึงสร้างเหตุผลขึ้นมา คิดเอาว่าเธอไม่มีความคิดเห็นจะบอกฉันหรอก และต่อให้ฉันหารือกับเธอ เธอก็จะเห็นด้วยกับฉันอยู่ดี ฉันใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำงานกับลิลเลียน คริสตจักรจัดแจงให้เราสองคนทำงานของคริสตจักรด้วยกัน เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมทุกโครงการ รับรู้รายละเอียดและความคืบหน้า แต่ฉันกลับผลักไสเธอเพื่อทำเรื่องต่างๆ เอง ไม่ให้เธอมีสิทธิ์ที่จะพูดและรู้เรื่องทั้งหลาย ให้เธอเป็นหัวหน้าแต่ในนาม ฉันกุมงานทั้งหมดไว้ในมือตัวเอง ไม่ยอมให้เธอมีส่วนร่วม แก่นแท้ของการที่ฉันทำเช่นนี้เหมือนกับการที่ศัตรูของพระคริสต์สร้างจักรวรรดิของตัวเองไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงความเป็นเผด็จการของพญานาคใหญ่สีแดง และการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จของมันที่ผู้คนต้องฟังมันอย่างไม่มีคำถาม ส่วนฉันก็อยากจะกำกับดูแลทุกอย่างที่ตัวเองทำ ใช้อำนาจครอบงำ และไม่เต็มใจที่จะหารือกับใครอื่น ฉันคือเผด็จการในคริสตจักร มีอำนาจควบคุมเด็ดขาด ฉันแตกต่างจากพญานาคใหญ่สีแดงตรงไหน? ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งตระหนักว่าการที่ฉันไม่ยอมร่วมมือกับคนอื่นเป็นปัญหาร้ายแรงขนาดไหนมากขึ้นเท่านั้น และฉันค่อนข้างจะรู้สึกกลัว พระคริสต์และความจริงครองอำนาจในคริสตจักร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราควรแสวงหาความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม แต่ฉันกลับอยากเป็นคนตัดสินชี้ขาดในคริสตจักรที่ฉันบริหารจัดการอยู่ตลอดเวลา ฉันแค่อยากชิงดีเพื่อเป็นราชาแห่งขุนเขาไม่ใช่หรือ? ฉันไม่ได้คำนึงว่าจะปฏิบัติความจริงและคุ้มครองผลประโยชน์ของคริสตจักรอย่างไร แต่กลับคิดว่าได้สนองความต้องการส่วนตัวแล้วหรือไม่แทน สุดท้ายงานของคริสตจักรจึงยุ่งเหยิงเพราะฉัน ฉันเอาแต่ทำให้งานหยุดชะงักและยืนขวางทาง การที่ฉันได้ทำหน้าที่นั้นเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้าคือให้ฉันไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง ทำงานกับพี่น้องชายหญิงได้ดี และให้น้ำเหล่าผู้เชื่อใหม่อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาเดินไปบนหนทางที่แท้จริงได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว แต่ฉันกลับใช้เป็นโอกาสอวดตัว แสดงอำนาจ และทำให้คนอื่นนับถือฉัน ฉันชอบทำตัวสูงส่ง โอ้อวดทักษะของตัวเอง นี่ไม่เพียงขัดขวางงานของคริสตจักรเท่านั้น กลับทำร้ายพี่น้องชายหญิงและสร้างความเสียหายให้กับชีวิตของฉันเองอีกด้วย
ฉันได้ดูวิดีโอที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพลิกมุมมองผิดๆ ของฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความร่วมมือที่กลมเกลียวเกี่ยวพันกับหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างน้อยที่สุดหนึ่งในหลายสิ่งนี้ก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูดและเสนอแนะอะไรที่ต่างออกไป ถ้าเจ้าเป็นคนที่มีเหตุผลจริง ไม่ว่าเจ้าจะทำงานประเภทใด เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาหลักธรรมความจริงเสียก่อน และเจ้าควรริเริ่มแสวงหาข้อคิดเห็นของผู้อื่นด้วย ตราบใดที่พวกเจ้าจริงจังกับทุกข้อเสนอแนะ แล้วแก้ไขปัญหาด้วยหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียว ในแก่นแท้แล้วเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ความร่วมมือที่กลมเกลียว ด้วยวิธีนี้ เจ้าย่อมจะเผชิญความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตนน้อยลงมาก ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นมาก็ย่อมง่ายที่จะแก้ไขและจัดการปัญหาเหล่านั้น นี่คือผลลัพธ์ของความร่วมมือที่กลมเกลียว บางครั้งมีความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ แต่ตราบใดที่ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่มีผลต่องาน ก็ย่อมจะไม่เป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม ในเรื่องที่สำคัญและเรื่องใหญ่ๆ ที่เกี่ยวพันกับงานของคริสตจักร พวกเจ้าต้องบรรลุฉันทามติและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านั้น ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น และสุขสำราญในหน้าที่ของเจ้าเสมือนเจ้าหน้าที่รัฐ ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับผลประโยชน์แห่งสถานะของเจ้าอยู่เสมอ สร้างแผนการของตัวเองอยู่เสมอ คิดคำนึงและชื่นชมกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองอยู่เสมอ ดำเนินการของตัวเองอยู่เสมอ และพยายามให้ได้รับสถานะที่สูงขึ้นอยู่เสมอ พยายามบริหารจัดการและควบคุมผู้คนให้มากขึ้น และพยายามขยายขอบเขตอำนาจของเจ้า นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน การปฏิบัติต่อหน้าที่อันสำคัญเสมือนโอกาสที่จะสุขสำราญกับตำแหน่งของเจ้าราวกับว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก หากเจ้าปฏิบัติตัวเช่นนี้ตลอดเวลา ไม่ปรารถนาที่จะร่วมมือกับผู้อื่น ไม่ต้องการลดทอนและแบ่งปันอำนาจของตนกับผู้อื่น ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เปรียบเจ้า ขโมยความเป็นจุดสนใจ หากเจ้าต้องการสุขสำราญกับอำนาจเพียงลำพังตัวเจ้าเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือศัตรูของพระคริสต์ แต่หากมีบ่อยครั้งที่เจ้าแสวงหาความจริง ปฏิบัติการกบฏต่อเนื้อหนัง แรงจูงใจและแนวคิดของเจ้า และสามารถอาสาเข้ามาร่วมมือกับผู้อื่น เปิดใจปรึกษาหารือและแสวงหาร่วมกับผู้อื่น รับฟังแนวคิดและข้อเสนอแนะของผู้อื่น และยอมรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นไปตามความจริงไม่ว่าจะมาจากผู้ใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติอย่างมีปัญญาและถูกต้อง และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่ผิด ซึ่งเป็นการปกป้องตัวเจ้า เจ้าต้องปล่อยมือจากตำแหน่งผู้นำทั้งหลาย ปล่อยมือจากการทำตัวราวกับเจ้ามีสถานะอันยิ่งใหญ่ ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนทั่วไป ยืนอยู่ระดับเดียวกับผู้อื่น และมีท่าทีที่รับผิดชอบหน้าที่ของตน หากตลอดเวลาเจ้าปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าเหมือนเป็นตำแหน่งและสถานะของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นความสำเร็จประเภทหนึ่ง และจินตนาการว่าผู้อื่นอยู่ตรงนั้นเพื่อทำงานและรับใช้ตำแหน่งของเจ้า นี่ย่อมเป็นปัญหา และพระเจ้าก็จะทรงชิงชังและรังเกียจเจ้า หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าทัดเทียมกับผู้อื่น เจ้าเพียงแต่มีพระบัญชาและความรับผิดชอบจากพระเจ้าเพิ่มขึ้นมาบ้างเท่านั้น หากเจ้าสามารถเรียนรู้ที่จะวางตัวเสมอพวกเขา และถึงกับสามารถถ่อมตัวถามว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หากเจ้าสามารถรับฟังอย่างจริงจัง ใกล้ชิด และตั้งใจ ว่าพวกเขาพูดอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างกลมเกลียว การร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวนี้จะสัมฤทธิ์ผลอันใดบ้าง? ผลที่เกิดขึ้นย่อมมีมากมาย เจ้าจะได้รับสิ่งที่เจ้าไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งก็คือความสว่างของความจริงและความเป็นจริงของชีวิต เจ้าจะค้นพบคุณความดีของผู้อื่นและเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา ยังมีอย่างอื่นอีกก็คือ เจ้าคิดเห็นว่าคนอื่นนั้นโง่เขลา ไม่ฉลาด เบาปัญญา ด้อยกว่าเจ้า แต่พอเจ้าฟังความคิดเห็นของพวกเขา หรือเมื่อผู้อื่นเปิดใจกับเจ้า เจ้าก็จะค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าไม่มีใครธรรมดามากอย่างที่เจ้าคิด ทุกคนสามารถเสนอความคิดอ่านและแนวคิดที่ต่างออกไป และทุกคนมีคุณความดีเป็นของตนเอง ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะให้ความร่วมมือด้วยความสมัครสมาน นอกจากจะช่วยเจ้าเรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่นแล้ว นี่ยังสามารถเผยให้เห็นความโอหังและความคิดว่าตนเองถูกเสมอและหยุดเจ้าจากการคิดไปว่าตนเองชาญฉลาดได้ เมื่อเจ้าไม่คิดอีกต่อไปว่าตนเองฉลาดกว่าและเก่งกว่าทุกคน เจ้าก็จะเลิกใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะหลงตัวเองและมัวซาบซึ้งในคุณค่าของตนเอง และนั่นก็จะปกป้องเจ้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นคือบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้และเป็นผลดีที่เจ้าควรได้รับจากการร่วมมือกับผู้อื่น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)) พอได้ดู ฉันก็ตระหนักว่าสาเหตุที่ฉันไม่อยากร่วมมือกับลิลเลียน—และสาเหตุที่ฉันกลัวที่จะแบ่งแยกอำนาจของตัวเอง—ก็คือฉันไม่ได้มองหน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่ฉันว่าเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันกลับถือเป็นตำแหน่งทางการ เหมือนเป็นมงกุฎประจำตำแหน่งของฉัน ฉันไม่ยอมร่วมมือกับผู้อื่น และทำตัวสูงส่งทรงอำนาจอยู่เสมอ อยากจะโดดเด่นคนเดียว นั่นเป็นเส้นทางที่ผิด อันที่จริงแล้วสิ่งที่ช่วงเวลานั้นเผยให้เห็นก็คือ ฉันยังตื้นเขินในการเข้าใจความจริงและจัดการปัญหา ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของพวกเราในแบบองค์รวม และแทบไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกด้วย การช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงที่มีปัญหาในการเข้าสู่ชีวิตย่อมต้องต่อสู้ดิ้นรน และมีงานอีกมากมายที่ฉันไม่สามารถทำคนเดียวได้ ฉันต้องการใครสักคนมาทำงานด้วย หารือเรื่องต่างๆ ให้ความคิดเห็น เพื่อเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา ลดจุดอ่อนของตัวเอง ฉันนึกถึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่ทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อความรอดของมนุษย์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้แสดงความโอหังแม้แต่น้อย พระองค์ทรงรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้คนในหลายๆ เรื่อง และไม่เคยอวดตัวเลย พระองค์ทรงแสดงความจริงอย่างเงียบๆ เสมอ เพื่อให้น้ำและค้ำจุนมวลมนุษย์ แก่นแท้ของพระเจ้าช่างใจดีมีเมตตาและน่ารักน่าชื่นชมเหลือเกิน แต่ฉันกลับถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และไม่เข้าใจความจริง มีหลายอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็ยังคงทำตัวสูงส่งทรงอำนาจ คิดไปว่าตัวเองพิเศษ สามารถทำงานเป็นกองพะเนินได้ตามลำพัง ไม่ต้องมีคู่ทำงาน ไม่ต้องคำนึงถึงใครอื่นเลย ฉันโอหังและไร้เหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ ที่จริงแล้วการหารือและสามัคคีธรรมในการทำหน้าที่ของพวกเราให้มากขึ้นนั้นมีเหตุผลและมีปัญญา ไม่ใช่การแสดงว่าไร้ความสามารถ แต่เป็นการได้รับบางสิ่งจากผู้อื่นที่พวกเราไม่อาจมองเห็นหรือเข้าใจได้ และเป็นการหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิดเพราะความทะนงตัวของพวกเรา นี่เป็นทางเดียวที่จะทำหน้าที่ได้ดีและได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้า บัดนี้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว การหารือกัน การให้ความร่วมมือ และการลดจุดอ่อนของกันและกัน เป็นทางเดียวที่จะทำหน้าที่ได้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ภายหลังฉันได้อ่านพบพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันมีเส้นทางให้ติดตาม พระวจนะของพระเจ้าระบุว่า “เมื่อพวกเจ้าร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ เจ้าสามารถที่จะเปิดใจให้กับความคิดเห็นที่แตกต่างได้หรือไม่? เจ้าสามารถปล่อยให้ผู้อื่นพูดได้หรือไม่? (ข้าพระองค์สามารถทำได้เล็กน้อยนิด ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ข้าพระองค์จะไม่ฟังคำชี้แนะของพี่น้องชายหญิงและยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง มีเพียงในเวลาต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าข้าพระองค์ผิด ข้าพระองค์จึงมองเห็นว่าคำชี้แนะของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกต้อง ว่าการแก้ปัญหาที่ทุกคนหารือกันนั้นเหมาะสมจริงๆ และการที่ข้าพระองค์พึ่งพาทัศนะของตัวเองทำให้ข้าพระองค์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน อีกทั้งข้าพระองค์นั้นขาดตกบกพร่อง หลังจากผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ข้าพระองค์จึงตระหนักว่าการร่วมมืออย่างปรองดองนั้นสำคัญเพียงใด) และเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดจากการนี้? หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ เจ้าได้รับประโยชน์อยู่บ้างและเข้าใจความจริงใช่หรือไม่? เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ? ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง และนี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมีเพื่อที่จะเข้าหาข้อดี รวมถึงจุดแข็งหรือความผิดของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้ ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถรับมือกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถทำงานเคียงข้างกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของพวกเขามาชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จริงทีเดียว ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่และสามารถขนาดไหน คุณก็ไม่ใช่คนที่เพียบพร้อม ทุกคนล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตน และต้องได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังข้อเสนอแนะของผู้อื่น สนับสนุนซึ่งกันและกัน ต่อเมื่อมีสำนึกที่ดีเท่านั้น พวกเราถึงจะร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี ก่อนหน้านี้ฉันเพียงให้ความสนใจแต่การให้น้ำผู้เชื่อใหม่ ส่วนลิลเลียนก็ดูแลงานข่าวประเสริฐ ถ้าฉันดูแลงานทั้งหมดนั่น ย่อมไม่มีทางที่ฉันจะบริหารจัดการได้หรือทำได้ดี แล้วมุมมองของฉันในหลายๆ สิ่งในการทำหน้าที่ของฉันก็จำกัด ฉันไม่รอบคอบ เมื่อไรก็ตามที่ผู้นำของพวกเราถามฉันเรื่องงานของฉัน เธอจะชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดมากมายและเรื่องที่ทำไม่ค่อยถูกต้อง ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ดีหากไม่มีคู่ทำงาน เมื่อก่อนฉันไม่เคยเข้าใจข้อนี้และไม่รู้จักตัวเองด้วย ฉันโอหังและอยากเป็นผู้ดูแล ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ สิ่งนี้ถ่วงงานของคริสตจักรให้ล่าช้า เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกผิดเหลือเกิน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่าฉันไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามอีกแล้ว และพร้อมที่จะทำงานกับลิลเลียนด้วยดีในหน้าที่ของฉัน
หลังจากนั้น ในการทำงานด้วยกันของพวกเรา ฉันมองเห็นว่าลิลเลียนมีจุดแข็งมากมาย เธอมีความเอาใจใส่มากกว่าฉัน เมื่อเกิดปัญหาก็แสวงหาหลักธรรมความจริง เธอละเอียดในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง ฉันไม่ได้เป็นผู้นำอยู่นานนัก ฉันเลยมีแนวคิดที่คลุมเครือเกี่ยวกับวิธีบริหารจัดการงานของคริสตจักร เมื่อเป็นเรื่องของรายละเอียดว่าควรทำงานอย่างไรและควรสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร ฉันค่อนข้างจะขาดความชัดเจน ในเรื่องเหล่านั้นฉันเทียบเธอไม่ได้ และเธอก็มีความรักมากกว่าฉัน ตอนที่เธอช่วยเหลือผู้มาใหม่ทั้งหลาย เธอจะสามัคคีธรรมซ้ำๆ พอฉันคิดว่าเธอทำงานได้ดีมากแล้ว เธอก็บอกว่าตัวเธอยังต้องทำให้ดีขึ้นอีก ฉันนึกถึงการที่ตัวเองไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ แต่ทำกับเธอเหมือนเป็นส่วนเกิน ถึงบางครั้งเธอจะคิดลบ แต่เธอก็รีบพลิกสภาวะกลับมาทำหน้าที่ของเธอต่ออย่างขะมักเขม้น แม้ตอนที่ฉันไม่สนใจเธอ เธอก็เฝ้าถามครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเปี่ยมรักและอดทน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเธออย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติที่ฉันขาด พอตระหนักดังนั้น ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันได้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันทำร้ายลิลเลียนและงานของคริสตจักรมากเพียงใด ถ้าฉันกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือกับเธอตั้งแต่เริ่มแรก หารือทุกอย่างกับเธอ เรื่องต่างๆ ก็จะไม่กลายเป็นแบบนั้น ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ จึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์มองเห็นความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว และตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว จากนี้ไปข้าพระองค์จะให้ความร่วมมือกับลิลเลียน และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์”
ในการทำงานของฉันกับลิลเลียนหลังจากนั้น ฉันคอยถามเธอ เช่น “คุณว่าแบบนี้ดีไหม? คุณมีข้อเสนอแนะอื่นๆ อีกหรือเปล่า?” มีครั้งหนึ่งตอนเราหารือเรื่องงานกัน เธอถามฉันว่าการให้น้ำผู้มาใหม่เป็นอย่างไร ฉันคิดในใจว่า “พวกเราเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเมื่อสองวันก่อน ทำไมต้องมาคุยกันอีก? ถ้ามีปัญหา ฉันก็จัดการเองได้” ฉันอยากจะเมินใส่เธออีกครั้ง และแล้วฉันก็ตระหนักว่าปัญหาเก่าของฉันที่ฉันอยากเป็นคนจัดการดูแล กำลังกลับมาอีก ฉันจึงรีบอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำเพื่อที่ฉันจะได้ไม่แสดงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมา หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงความล้มเหลวที่ผ่านมาทั้งหมดของฉัน การที่ฉันเผด็จการและใช้อำนาจครอบงำ อยากจะทำอะไรในวิธีของตัวเองและอวดตัวอยู่เสมอ นี่เป็นการแสดงออกของซาตานทั้งสิ้น ฉันต้องละทิ้งตัวเองและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และให้ความร่วมมือกับเธอ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจแบ่งปันทุกอย่างที่ฉันรู้ในเรื่องงานของตนเองกับเธอ และเมื่อฉันบอกส่วนของฉันเสร็จแล้ว ลิลเลียนก็แบ่งปันความคิดของเธอ ฉันได้เรียนรู้บางสิ่งจากการสามัคคีธรรมของเธอ และรู้สึกว่านั่นคือวิธีทำหน้าที่ที่วิเศษ
หลังจากนั้นเมื่อฉันเจอปัญหาในการทำหน้าที่ของฉัน ฉันก็จะไปหาเธอเพื่อหารือถึงปัญหาทั้งหลาย แล้วพวกเราก็จะแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมกันถึงปัญหาเหล่านี้ หลังจากทำเช่นนี้มาระยะหนึ่ง สภาวะของฉันก็ดีขึ้นและการปฏิบัติงานในหน้าที่ของฉันก็พัฒนาขึ้น ฉันขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน ฉันได้เห็นว่ามีแต่การปล่อยมือจากตนเองในหน้าที่ของตน ทำงานกับผู้อื่นให้ดี และชดเชยสิ่งที่ขาดให้กันและกันเท่านั้น ฉันจึงจะสามารถได้รับการทรงนำจากพระเจ้า!