ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (13)
พวกเราได้สามัคคีธรรมหัวข้อ “การปล่อยมือ” ในเรื่อง “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” มาระยะหนึ่งแล้ว พวกเจ้าเคยนึกถึงแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้บ้างหรือไม่? สิ่งทั้งหลายที่พวกเราสามัคคีธรรมกันว่าผู้คนจำเป็นต้องปล่อยมือนั้น เป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่ผู้คนจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น? หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมทั้งหลายแล้ว พวกเจ้าใคร่ครวญและทบทวนตัวเองตามเนื้อหาของสามัคคีธรรมดังกล่าวบ้างหรือไม่? พวกเจ้าเคยเปรียบเทียบเนื้อหานี้กับสิ่งที่พวกเจ้าพรั่งพรูและสำแดงออกมาในชีวิตประจำวันบ้างหรือไม่? (ปกติข้าพระองค์ก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่บ้าง ครั้งที่แล้วเมื่อพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากผลพวงของการสร้างเงื่อนไขที่ครอบครัวมีต่อพวกเรานั้น ข้าพระองค์ก็ตระหนักว่าในชีวิตข้าพระองค์ ข้าพระองค์มักจะยึดปฏิบัติตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเยี่ยงซาตาน เช่น คำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” ซึ่งครอบครัวปลูกฝังไว้ในตัวของข้าพระองค์ หลังจากยอมรับแนวคิดเหล่านี้แล้ว ข้าพระองค์ก็ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและสถานะในทุกสิ่งที่ทำ กลัวการเสียหน้า และไม่สามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้) เนื้อหาทั้งหมดที่พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องของการปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ นี้พูดถึงความคิดและทัศนะที่ผู้คนมีต่อเรื่องราวต่างๆ เป็นหลัก การเปิดโปงความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวทำให้ผู้คนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและมีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ แล้วจากนั้นก็สามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ในหนทางที่เป็นบวกและไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ถูกความคิดและทัศนะเหล่านี้พันธนาการเอาไว้ แต่สามารถมีชีวิตและดำรงอยู่ด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ของตนได้อย่างถูกต้อง ถ้าผู้คนอยากเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงต่างๆ พวกเขาก็ต้องมีความรู้และประสบการณ์จากทุกมุมมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดและทัศนะที่เฉยเมยและเป็นลบในเรื่องต่างๆ ต่อเมื่อพวกเขามีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้อย่างกระตือรือร้น และไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและพันธนาการเอาไว้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงที่หลากหลาย และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ของการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนจึงควรทบทวนตนเองบ่อยครั้ง และตรึกตรองว่าพวกเขาถูกแนวคิดและทัศนะต่างๆ พันธนาการและควบคุมในชีวิตประจำวันอย่างไร หรือพยายามทำความเข้าใจบ่อยๆ ว่าตนมีความคิดและทัศนะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันอย่างไร และใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าความคิดและทัศนะเหล่านี้ถูกต้องและตรงตามความจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่เป็นบวกและมาจากพระเจ้า หรือว่ามาจากเจตนาของมนุษย์หรือว่าซาตาน นี่คือบทเรียนที่สำคัญยิ่ง และเป็นแง่มุมของความเป็นจริงที่ผู้คนต้องเข้าถึงในชีวิตประจำวันของตนให้ได้ทุกวัน นั่นคือ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ หรือไม่ เจ้าก็ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าเจ้ามีความคิดและทัศนะอย่างไรบ้าง ความคิดและทัศนะเหล่านี้ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงหรือไม่—นี่คือบทเรียนที่สำคัญยิ่ง ในชีวิตประจำวันของเจ้า นอกเวลาปกติที่เจ้าใช้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว ชีวิตของเจ้าร้อยละ 80 ถึง 90 ควรใช้ไปกับการเข้าสู่แง่มุมนี้ เช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะมีความหวังที่จะขจัดความคิดและทัศนะทุกชนิดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นลบ และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ อาจกล่าวได้เช่นกันว่าเจ้าจะมีความหวังได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถมีความหวังที่จะได้รับความรอดในท้ายที่สุด ถ้าในชีวิตประจำวัน นอกเหนือเวลาที่เจ้าใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามปกติแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของเจ้ากลับว่างเปล่าไปร้อยละ 80 ถึง 90 ของช่วงเวลาที่เหลืออยู่ หรือเจ้าเอาแต่คิดและไตร่ตรองเรื่องชีวิตทางกายภาพ สถานะ และความมีหน้ามีตาของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ง่ายที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิผลของการไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะสัมฤทธิ์ โอกาสที่เจ้าจะได้รับความรอดย่อมน้อยนิดมาก เพราะฉะนั้น การได้รับความรอดขึ้นอยู่กับสิ่งใด? ในแง่หนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าหรือไม่ ในอีกแง่หนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของเจ้าเอง ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจ่ายราคาไปมากเท่าใด เจ้าใช้พลังงานและเวลาไปมากเท่าใดในการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับความรอด ถ้าสิ่งที่เจ้าคิดและทำโดยส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าทำก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการได้รับความรอด—นี่คือข้อเท็จจริงและผลลัพธ์ที่มิอาจหลีกเลี่ยง ดังนั้นพวกเจ้าควรทำเช่นไรต่อจากนี้ไป? แง่หนึ่งคือ เจ้าควรตามติดทุกหัวข้อที่กำลังสามัคคีธรรมกันอย่างใกล้ชิด แล้วหลังจากนั้นก็พยายามใคร่ครวญและทำความเข้าใจหัวข้อนั้นๆ อย่างกระตือรือร้น กล่าวคือ เมื่อจบหัวข้อหนึ่งแล้ว เจ้าก็ควรตีเหล็กตอนที่ยังร้อนด้วยการทบทวนตัวเอง เพื่อให้ได้รับความรู้ที่แท้จริงและถูกต้อง และสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง จุดประสงค์ของการสามารถรู้ความจริงในแง่มุมนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้จบ หรือหลังจากที่เจ้าได้มาเข้าใจบางส่วนของสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วก็คือ เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ามีการตระหนักรู้ขั้นพื้นฐานที่สุดในความคิดและทัศนะของตนเอง เพื่อที่ว่าเมื่อเจ้าเผชิญเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกันในภายหลัง ความรู้และความเข้าใจที่เจ้ามีอยู่แล้วในเรื่องของหลักธรรมความจริงจะกลายเป็นแนวคิดและทัศนะพื้นฐานที่คอยชี้นำประสบการณ์ของเจ้าในเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุด เมื่อเจ้าเกิดความตระหนักและมีความรู้ที่ถูกต้องและแม่นยำ ท่าทีและความเข้าใจของเจ้าในเรื่องนี้ก็จะเป็นบวกและเป็นไปในเชิงรุก นั่นหมายความว่าก่อนหน้าที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น เจ้าย่อมจะได้รับวัคซีนแล้วและมีภูมิต้านทานอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง โอกาสที่เจ้าจะล้มเหลวย่อมจะลดน้อยลง รวมทั้งแนวโน้มที่เจ้าจะทรยศพระเจ้าจะลดน้อยลงด้วย และความน่าจะเป็นของการที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่จึงเหมือนกับตอนที่เกิดโรคระบาด ถ้าเจ้าไม่ได้รับวัคซีน เจ้าก็ได้แต่กักตัวอยู่ในบ้านและไม่ออกไปข้างนอก ซึ่งลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อให้เป็นศูนย์ แต่ถ้าเจ้าออกไปข้างนอก เทียวไปเทียวมา และมีการติดต่อกับโลกภายนอก เจ้าก็ต้องได้รับวัคซีน วัคซีนนี้ขจัดความเป็นไปได้ในการติดเชื้อหรือไม่? ไม่ แต่ลดโอกาสของการติดเชื้อ สรุปว่าเจ้าจะมีภูมิต้านทาน กระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริงเริ่มต้นด้วยการมีความรู้เกี่ยวกับความจริงต่างๆ นานา ถ้าเจ้ารู้จักถ้อยแถลงและหลักธรรมที่ถูกต้องและเป็นบวกที่อยู่ในความจริงต่างๆ นานานี้ และในเวลาเดียวกันเจ้าก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับความคิดและทัศนะต่างๆ ที่ไม่ดีและเป็นลบซึ่งความจริงแต่ละอย่างเผยออกมาให้เห็น แล้วเมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เจ้าเลือกย่อมจะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแนวคิดและความเห็นที่ไม่ดีและเป็นลบซึ่งซาตานได้ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าอีกต่อไป และเจ้าก็จะไม่มีท่าทีที่ยึดติดกับแนวคิดและทัศนะดังกล่าวอีกต่อไป แม้ในตอนนี้เจ้าจะยังไม่ได้เข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงความจริงและทัศนะของเจ้าก็อาจจะเป็นกลาง แต่หลังจากที่ยอมรับแนวคิดและทัศนะที่เป็นบวกเหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมจะมีความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและทัศนะที่เป็นลบอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเจ้าเผชิญเรื่องที่คล้ายกันในอนาคต อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะสามารถแยกแยะระหว่างแนวคิดและทัศนะที่เป็นบวกและเป็นลบซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องประเภทนี้ได้ และมีหลักเกณฑ์บางอย่างสำหรับจัดการกับเรื่องนี้ บนพื้นฐานของหลักเกณฑ์เหล่านี้ ผู้คนที่รักความจริงและมีความเป็นมนุษย์ย่อมมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติความจริงมากขึ้น มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามหลักเกณฑ์ของความจริงมากขึ้น นี่จะช่วยเจ้าเป็นอย่างมากในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง นบนอบพระเจ้าตามข้อกำหนดของพระองค์ และยอมรับผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมไว้ให้เจ้าได้ในระดับหนึ่ง จากมุมมองนี้ สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่ายิ่งคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่พวกเขาจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาเข้าใจสิ่งที่เป็นลบอย่างถี่ถ้วน ก็ยิ่งมีความน่าจะเป็นที่พวกเขาจะต่อต้านสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้? (สามารถกล่าวเช่นนั้นได้) เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง หรือตัดสินใจไล่ตามเสาะหาความจริง หรืออยู่บนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะเป็นเช่นไร หรือเจ้าเข้าใจความจริงว่าอย่างไร สรุปแล้ว ถ้าผู้คนต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาต้องการเข้าใจหลักเกณฑ์ของความจริง ปฏิบัติและเข้าสู่ความจริง ก็จำเป็นจะต้องมีวิจารณญาณแยกแยะและเข้าใจสิ่งที่เป็นลบทุกชนิด เหล่านี้คือเงื่อนไขเบื้องต้นของการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง
บางคนไม่เข้าใจความจริง และพอเป็นหัวข้อต่างๆ ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันอยู่ในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า “ข้าพระองค์ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน และไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ มองไม่ออกว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสถึงในหัวข้อเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับปัญหาต่างๆ อุปนิสัยอันเสื่อมทราม และการพรั่งพรูความเสื่อมทรามของข้าพระองค์เองอย่างไร ดังนั้นการที่พระองค์ตรัสหัวข้อเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของข้าพระองค์? ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของข้าพระองค์เลยไม่ใช่หรือ? ทำไมพระองค์ไม่ตรัสหัวข้อที่สูงส่งและลุ่มลึกที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ที่เป็นบวกของผู้คนบ้าง? ทำไมทรงเปิดโปงแต่เรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันที่เป็นลบเหล่านี้อยู่เสมอ?” ความเห็นนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนที่มีแนวคิดเหล่านี้ได้ฟังเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการยกตัวอย่างในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกรังเกียจและไม่อยากฟัง พวกเขาคิดว่า “เนื้อหานี้ธรรมดาและตื้นเขินเกินไป เรื่องนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ ง่ายเกินไป ทันทีที่ได้ฟัง ข้าพระองค์ก็เข้าใจในทันที ทั้งหมดนี้ง่ายเกินไป ความจริงไม่ควรเป็นเช่นนี้ ควรลึกซึ้งมากกว่านี้ และผู้คนจำเป็นต้องฟังกันหลายๆ รอบจึงจะสามารถเข้าใจและจดจำได้สักประโยคหรือสองประโยค สิ่งที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ในตอนนี้เป็นเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวัน รวมถึงการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติในชีวิตประจำวันบางอย่าง นี่เป็นเรื่องตื้นเขินเกินไปสำหรับพวกเราไม่ใช่หรือ?” เจ้าคิดว่าผู้คนที่มีทัศนะเหล่านี้มีการคิดอ่านที่ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ พวกเขาคิดผิดแล้ว) เหตุใดพวกเขาจึงคิดผิด? พวกเขาคิดผิดตรงไหน? ก่อนอื่น ความคิดและทัศนะของผู้คนนั้นแยกจากชีวิตประจำวันของพวกเขาหรือไม่? (ไม่) ท่าทีและการสำแดงสิ่งต่างๆ ของพวกเขาแยกออกจากชีวิตประจำวันของพวกเขาหรือไม่? (ไม่) ไม่เลย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แยกขาดจากกัน อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิด และทัศนะของผู้คน แนวคิดและเจตนาของพวกเขาในเรื่องต่างๆ วิธีเฉพาะตัวที่พวกเขาใช้ทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งความคิดและแนวคิดที่ผุดขึ้นมาในจิตใจของพวกเขา ทั้งหมดนี้ไม่อาจแยกขาดจากการสำแดงและการพรั่งพรูสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น การสำแดงและการพรั่งพรูอันหลากหลายในชีวิตประจำวันเหล่านี้ รวมทั้งความคิด ทัศนะ และท่าทีที่ผู้คนมีต่อเรื่องต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นสิ่งที่มีความเฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนมากขึ้น จุดประสงค์ของการไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะที่ผิดพลาดของผู้คน และการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ทิ้งความเป็นกบฏและการทรยศที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า รวมทั้งแก่นแท้ธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้าของพวกเขา ด้วยการเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของผู้คน และด้วยการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ทุกชนิด ด้วยเหตุนี้ ถ้าเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ก็จำเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือที่จะต้องทิ้งและเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะต่างๆ นานาที่ผิดพลาดในชีวิตประจำวัน? นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดมิใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งที่เราพูดถึงนี้จะดูตื้นเขินหรือธรรมดามากเพียงใด ก็อย่าได้มีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นกบฏในเรื่องเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเล็กน้อยอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้ยึดครองหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า ควบคุมความคิดและทัศนะที่เจ้ามีต่อทุกคน ทุกเรื่องราว และทุกสิ่งที่เจ้าพบเจอ ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงหรือทิ้งความคิดและทัศนะที่ผิดพลาดในชีวิตประจำวัน เช่นนั้นแล้ว คำกล่าวอ้างของเจ้าที่ว่าเจ้ายอมรับความจริงและมีความเป็นจริงความจริงก็จะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า นี่ก็เหมือนเวลาที่เจ้าเป็นมะเร็ง—ต้องมีการรักษาในเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดก็ตามที่มีเซลล์มะเร็งอยู่ ไม่ว่าเซลล์มะเร็งจะอยู่ในเลือดหรือที่ผิวหนังของเจ้า อยู่ในระดับพื้นผิวหรือซ่อนตัวลึกลงไป สรุปว่าสิ่งแรกที่ต้องจัดการก็คือเซลล์มะเร็งในร่างกายของเจ้า หลังจากที่กำจัดเซลล์มะเร็งออกไปแล้วเท่านั้น สารอาหารต่างๆ ที่เจ้ารับเข้าไปจึงจะสามารถถูกดูดซึมและทำงานในตัวเจ้าได้ ด้วยวิธีนี้ อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเจ้าจึงจะสามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อกำจัดโรคออกไปแล้ว ร่างกายของเจ้าก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นและเป็นปกติมากขึ้น และผู้คนที่เป็นเช่นนี้ย่อมหายขาดจากโรคโดยสิ้นเชิง การไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนก็คือกระบวนการละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเป็นกระบวนการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอีกด้วย กระบวนการละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือกระบวนการที่ผู้คนเปลี่ยนแปลงและขจัดความคิดและทัศนะต่างๆ ที่ผิดพลาดและเป็นลบออกไป ทั้งยังเป็นกระบวนการที่ผู้คนเตรียมตนให้พร้อมด้วยแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่ถูกต้องและเป็นบวกด้วยเช่นกัน แนวคิดและทัศนะที่เป็นบวกคืออะไร? คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริง หลักธรรม และหลักเกณฑ์ของความจริง การที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น ผู้คนต้องชำแหละและทำความเข้าใจแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่ผิดพลาดของตนในเรื่องของชีวิต การอยู่รอด และการรับมือผู้อื่นไปทีละอย่างด้วยการแสวงหาความจริง จากนั้นจึงแก้ไขและทิ้งแนวคิดและทัศนะที่ผิดพลาดเหล่านั้นไปทีละอย่าง สรุปแล้ว การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเรื่องของการทำให้ผู้คนทิ้งความคิดและทัศนะทั้งปวงที่ผิดพลาดและไม่ถูกต้องของพวกเขา เรื่องของการมีความคิดและทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ทุกชนิด ซึ่งเป็นความคิดและทัศนะที่ตรงตามหลักธรรมความจริง เช่นนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายของการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย การวางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ โดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของตน นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่ผู้คนสัมฤทธิ์ได้จากการแสวงหาความจริง ทั้งยังเป็นความเป็นจริงความจริงที่ผู้คนสามารถใช้ดำเนินชีวิตได้ในท้ายที่สุดหลังจากได้รับความรอด พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่? (เข้าใจ)
ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่อง “การปล่อยมือ” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงครอบครัวกันว่าอย่างไร? (พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องความไม่สะดวกและอุปสรรคที่ครอบครัวใช้ขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเรา และเมื่อเป็นเรื่องของครอบครัว พวกเราควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันใดบ้าง พระเจ้าตรัสอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่พวกเราสืบทอดมาจากครอบครัวของตน อีกหนึ่งคือการปล่อยมือจากผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อพวกเรา) เป็นสองเรื่องนั้นจริง เรื่องแรกคือการปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้คือข้อใด? หลังจากฟังสามัคคีธรรมทั้งหลายของเราแล้ว ถ้าเราไม่เจาะจงสรุปให้ พวกเจ้ารู้วิธีสรุปสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองหรือไม่? หลังจากที่เราสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้และรายละเอียดจำเพาะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าได้สรุปหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกันซึ่งผู้คนควรยึดปฏิบัติเมื่อเป็นเรื่องของความจริงในแง่มุมนี้บ้างหรือไม่? หากเจ้ารู้วิธีสรุปหลักธรรมเหล่านั้น เจ้าก็จะสามารถนำไปปฏิบัติได้ หากเจ้าไม่รู้วิธีสรุปหลักธรรม และมัวแต่วนเวียนอยู่กับความสว่างที่กระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถนำหลักธรรมเหล่านั้นไปปฏิบัติได้ ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าจะนำหลักธรรมไปปฏิบัติได้อย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในแง่มุมนี้ ต่อให้เจ้าค้นพบว่าปัญหาของตนเองคืออะไร เจ้าก็จะไม่สามารถเชื่อมโยงปัญหาเหล่านั้นให้เข้ากับวจนะของเราได้อยู่ดี และจะไม่สามารถพบเจอหลักธรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปปฏิบัติ จุดประสงค์หลักของการสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าก็เพื่อให้เจ้าสามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการโดยไม่ได้รับผลจากอิทธิพลต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับอัตลักษณ์นั้นๆ ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้ามีความโดดเด่น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่ออัตลักษณ์นี้ เจ้าไม่ควรรู้สึกว่าตัวเจ้าโดดเด่น หรือมีคุณค่ามากกว่าผู้อื่น หรือว่าอัตลักษณ์ของเจ้ามีความพิเศษ เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้อื่น เจ้าควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้อย่างถูกต้องตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้เตือนสอนผู้คน และปฏิบัติต่อทุกคนได้อย่างถูกต้อง แทนที่จะใช้ภูมิหลังทางครอบครัวอันโดดเด่นของเจ้าเป็นต้นทุนไว้อวดตัวในทุกรูปการณ์ และทำให้ผู้อื่นยกย่องเจ้าในทุกสถานการณ์ สมมุติว่าเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าได้ และใช้ภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้าเป็นต้นทุนอยู่เสมอ วางตนอย่างคนที่ทะนงตน เอาแต่ใจ และพูดจาใหญ่โตอย่างยิ่ง และสมมุติว่าเวลาอยู่กับผู้อื่น เจ้าทำตัวโดดเด่นและอวดตนอยู่เสมอ อวดอ้างภูมิหลังของครอบครัวและอัตลักษณ์พิเศษที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลา และสมมุติเช่นกันว่าลึกลงไปแล้ว เจ้าเองก็ยโสและยกตนเป็นพิเศษอีกด้วย ชอบบงการและทำตัวเหิมเกริมเป็นพิเศษเวลาพูดคุยกับผู้อื่น และเจ้ามักจะใช้อัตลักษณ์ของเจ้าเป็นต้นทุนเพื่อว่ากล่าวและกดขี่ผู้คน—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนคิดว่าเจ้านั้นไร้สำนึกที่เป็นปกติ—และเจ้าก็มองทุกคนว่าเป็นคนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเจ้าติดต่อและจัดการกับผู้คน เจ้าไม่เห็นความสำคัญของผู้คนที่อ่อนด้อยหรือต่ำต้อยกว่าเจ้า และเวลาพูดจากับพวกเขา เจ้าก็ก้าวร้าวเป็นพิเศษ วางอำนาจ และแสดงความดุร้ายออกมาอย่างชัดเจน และสมมุติว่าเจ้าอยากว่ากล่าวผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนทาสที่เจ้าต้องคอยออกคำสั่งและตะคอกใส่อยู่เสมอ เชื่ออยู่ตลอดเวลาว่าอัตลักษณ์ของเจ้าโดดเด่น และเจ้าไม่สามารถเข้ากับผู้อื่นได้อย่างสมานฉันท์ ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนที่มีสถานะต่ำกว่าเจ้าได้อย่างถูกต้อง—ทั้งหมดนี้คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเป็นสิ่งที่ผู้คนควรละทิ้งทั้งสิ้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวก่อกำเนิดและมีสาเหตุมาจากการที่คนคนหนึ่งมีภูมิหลังทางครอบครัวและสถานะทางสังคมที่โดดเด่น เพราะฉะนั้น คนประเภทนี้จึงควรทบทวนวาจาและการกระทำของตน ทบทวนความคิดและทัศนะของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและทัศนะเรื่องอัตลักษณ์ของครอบครัว พวกเขาควรปล่อยมือจากความคิดและทัศนะดังกล่าว ถอนตัวจากความเป็นมนุษย์ในลักษณะต่างๆ ที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตอันเป็นผลจากสถานะทางสังคมที่พิเศษของตน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนประเภทนี้ควรปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัวของตน ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าสถานะทางสังคมของตนเองต่ำต้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนประเภทที่ถูกดูแคลน ถูกเลือกปฏิบัติ และถูกรังแกในสังคม มักจะรู้สึกว่าอัตลักษณ์ของตนนั้นต่ำต้อย และความละอายอันเกิดจากสภาพครอบครัวที่ไม่ปกติก็ทำให้พวกเขารู้สึกต้องถ่อมตนเป็นพิเศษ ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขามักจะรู้สึกต่ำต้อยและไม่สามารถเข้ากับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนและทัดเทียม แน่นอนว่าผู้คนประเภทนี้ย่อมสำแดงตนออกมาในลักษณะต่างๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนยกย่องคนที่มีสถานะและอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ประจบประแจงพวกเขา ยกยอพวกเขา พูดจาหวานหูและเลียแข้งเลียขาคนเหล่านั้น พวกเขาเออออตามผู้คนเหล่านั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่เสมอ ไม่มีหลักธรรมหรือศักดิ์ศรีใดๆ เต็มใจติดสอยห้อยตามผู้คนเหล่านั้น ให้พวกเขาสั่งและบงการเหมือนทาส หลักธรรมที่ผู้คนแบบนี้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ก็ไม่สอดคล้องกับความจริงอีกด้วย เพราะลึกลงไปในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าอัตลักษณ์ของตนต่ำต้อยและตนนั้นเกิดมาเพื่อที่จะเป็นคนน่าเวทนา ไม่คู่ควรที่จะยืนเสมอคนที่ร่ำรวยหรือมีอัตลักษณ์ทางสังคมที่สูงส่ง แต่พวกเขาเกิดมาเพื่อที่จะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นทาสของคนเหล่านั้น พวกเขาต้องคอยดูสัญญาณและรับคำสั่งจากคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นทาส แต่คิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่ควรทำ แนวคิดและทัศนะเหล่านี้เป็นแบบไหนกันแน่? ความคิดและทัศนะเหล่านี้เป็นการด้อยค่าตนเองอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? (ใช่) ยังมีผู้คนอีกประเภทหนึ่งที่เห็นคนรวยใช้ชีวิตกันอย่างทะนงตน เอาแต่ใจ ไม่ไว้หน้าใคร และชอบบงการ แล้วพวกเขายังถึงกับไล่ตามพลางอิจฉาผู้คนดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง โดยหวังว่าถ้ามีโอกาสพลิกสถานการณ์ พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างเอาแต่ใจและทะนงตนเหมือนคนรวยเหล่านี้ได้ พวกเขาคิดว่าการเอาแต่ใจและทะนงตนนั้นไม่มีอะไรผิด ตรงกันข้ามพวกเขากลับมองว่าเป็นลักษณะที่มีเสน่ห์และชวนฝัน ความคิดและทัศนะของผู้คนแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องและควรปล่อยมือเช่นกัน ไม่ว่าอัตลักษณ์หรือสถานะของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงลิขิตครอบครัวหรือภูมิหลังทางครอบครัวแบบใดไว้ให้เจ้า อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นก็ไม่ได้น่าละอายและไม่ได้น่าให้เกียรติ หลักธรรมที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่ออัตลักษณ์ของตนอย่างไรนั้นไม่ควรเป็นไปตามหลักการเรื่องเกียรติและความน่าละอาย ไม่ว่าพระเจ้าจะให้เจ้าเกิดมาในครอบครัวเช่นใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้เจ้ามาจากครอบครัวแบบใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็มีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าย่อมเท่าเทียมกับทุกคนในสังคมที่มีอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมต่างออกไป พวกเจ้าทุกคนคือสมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ล้วนเป็นผู้คนที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอดทั้งสิ้น และแน่นอนว่าเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าทุกคนมีโอกาสเหมือนกันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ล้วนมีโอกาสเหมือนกันที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด ในระดับนี้ เมื่อพิจารณาตามอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่เจ้าได้รับจากพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรคิดว่าอัตลักษณ์ของตนเองสูงส่งและไม่ควรดูแคลนเช่นกัน แต่เจ้าควรปฏิบัติต่ออัตลักษณ์ของเจ้าที่ได้มาจากพระเจ้า—ซึ่งก็คืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—ให้ถูกต้อง และสามารถเข้ากับทุกคนได้อย่างกลมเกลียวบนความเสมอภาค ตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนและเตือนสติพวกเขา ไม่ว่าสถานะทางสังคมหรืออัตลักษณ์ทางสังคมของผู้อื่นจะเป็นเช่นใด และไม่ว่าสถานะทางสังคมหรืออัตลักษณ์ทางสังคมของเจ้าเป็นเช่นใด ใครก็ตามที่เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าและมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าย่อมมีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพราะฉะนั้น คนที่มีสถานะและอัตลักษณ์ทางสังคมต่ำต้อยจึงไม่ควรรู้สึกว่าตนต่ำต้อย ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถพิเศษหรือไม่ ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงเพียงใด และไม่ว่าเจ้าจะมีฝีมือหรือไม่ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากสถานะทางสังคมของเจ้า เจ้ายังควรปล่อยมือจากแนวคิดหรือทัศนะที่จัดลำดับขั้นและแบ่งระดับผู้คนหรือจำแนกพวกเขาว่าโดดเด่นหรือไร้ความสำคัญตามภูมิหลังและประวัติของครอบครัวอีกด้วย เจ้าไม่ควรรู้สึกต่ำต้อยเพราะอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของตนต่ำต้อย เจ้าควรดีใจว่าแม้ภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้าจะไม่มีอำนาจและไม่ได้น่าทึ่งนัก และสถานะที่ตกทอดมาถึงเจ้าก็ต่ำต้อย แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า พระเจ้าทรงยกชูผู้คนที่ไร้ความสำคัญขึ้นมาจากกองขยะและผงคลี ประทานอัตลักษณ์ที่เหมือนผู้อื่นให้แก่เจ้า นั่นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในพระนิเวศของพระเจ้าและเบื้องพระพักตร์พระเจ้า อัตลักษณ์และสถานะของเจ้าย่อมเสมอกับประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อเจ้าตระหนักดังนี้แล้ว เจ้าก็ควรปล่อยมือจากปมด้อยของเจ้าและเลิกยึดถือเอาไว้ เมื่อพบเจอคนที่มีสถานะทางสังคมโดดเด่นและยิ่งใหญ่ หรือคนที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่าเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับหรือยิ้มแย้มตลอดเวลาที่อยู่กับพวกเขา และยิ่งไม่ต้องเลื่อมใสพวกเขา แต่เจ้าควรมองพวกเขาอย่างเท่าเทียม สบตาพวกเขา และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้อง ต่อให้พวกเขาชอบบงการหรือลำพองด้วยความภาคภูมิใจอยู่บ่อยครั้ง และถือตนว่ามีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง เจ้าก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องและไม่ยอมถูกพวกเขาบังคับขู่เข็ญหรือรู้สึกครั่นคร้ามต่อความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นใดหรือปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ควรรู้ว่าเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าและพวกเขานั้นเหมือนกัน ตราบที่พวกเจ้าทั้งหมดเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเจ้าทุกคนคือมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะช่วยให้รอด พวกเขาไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยเมื่อเทียบกับเจ้า อัตลักษณ์และสถานะที่ได้ชื่อว่าพิเศษของพวกเขานั้นไม่มีอยู่จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่ได้เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงยอมรับ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องถูกเรื่องอัตลักษณ์ที่ตกทอดมาจากครอบครัวของเจ้าบีบคั้น และไม่จำเป็นต้องรู้สึกต่ำต้อยเพราะเหตุนั้น และยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างทัดเทียมกันเพียงเพราะสถานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อย หรือต้องสละสิทธิ์ ทิ้งความรับผิดชอบ และภาระผูกพันใดๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรสละสิทธิ์ที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือทิ้งความหวังที่จะได้รับความรอด ในพระนิเวศของพระเจ้า เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรวยกับจน ไม่มีการแบ่งแยกสถานะทางสังคมว่าสูงหรือต่ำ และไม่มีคนที่มีภูมิหลังทางครอบครัวที่พิเศษสมควรได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษหรือได้รับอภิสิทธิ์จำเพาะ เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทุกคนล้วนมีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นอกจากนี้ เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนล้วนเหมือนกัน มีมนุษย์เพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะช่วยให้รอด นั่นคือมนุษย์ที่เสื่อมทราม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอัตลักษณ์หรือสถานะทางสังคมของเจ้าจะสูงส่งหรือต่ำต้อยเพียงใด พวกเจ้าต่างก็เป็นมนุษย์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอด
ลองนึกภาพว่ามีบางคนกล่าวกับเจ้าว่า “ดูครอบครัวของคุณสิ พวกเขายากไร้ถึงขนาดที่คุณไม่มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ครอบครัวของคุณยากไร้จนคุณได้เรียนแค่ชั้นประถมและไม่เคยได้เรียนชั้นมัธยม ครอบครัวของคุณยากจนขนาดที่คุณได้กินแต่น้ำแกงกับผักเท่านั้น ไม่เคยได้ลิ้มลองช็อกโกแลต พิซซา หรือโคล่าเลยด้วยซ้ำ” เจ้าควรรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร? เจ้าจะรู้สึกต่ำต้อยหรือท้อแท้หรือไม่? เจ้าจะพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่ในใจหรือไม่? เจ้าจะรู้สึกว่าถูกคุกคามจากสิ่งที่คนคนนี้กล่าวออกมาหรือไม่? (ตอนนี้ข้าพระองค์จะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว) ตอนนี้เจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว แต่เมื่อก่อนเจ้าย่อมจะรู้สึกใช่หรือไม่? แต่ก่อนนี้ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสังเกตเห็นว่าครอบครัวของใครร่ำรวย หรือเห็นใครมั่งคั่งและเด่นดัง เจ้าก็จะกล่าวว่า “อา! พวกเขาอยู่ในคฤหาสน์และเป็นเจ้าของรถ พวกเขาไปต่างประเทศนับครั้งไม่ถ้วน ฉันไม่เคยออกนอกหมู่บ้านตัวเองด้วยซ้ำ แม้แต่รถไฟก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง โดยสารที่นั่งชั้นหนึ่ง ล่องเรือหรู สวมชุดแบรนด์ดังของฝรั่งเศสและเครื่องประดับจากอิตาลี แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย?” เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยู่ใกล้ผู้คนดังกล่าว เจ้าย่อมรู้สึกว่าตัวเล็กกว่าพวกเขา เจ้าค่อนข้างมีความมั่นใจเมื่อสามัคคีธรรมความจริงและเชื่อในพระเจ้า แต่พอเจ้าพูดคุยกับผู้คนเหล่านั้นถึงครอบครัวและชีวิตครอบครัวของเจ้า เจ้ากลับอยากวิ่งหนีไปให้พ้น เจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่ดีเท่าพวกเขา รู้สึกว่าตายไปเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่ เจ้าคิดว่า “ทำไมฉันถึงมีชีวิตอยู่ในครอบครัวแบบนี้? ฉันไม่เคยเห็นอะไรในโลกเลย คนอื่นใช้ครีมทามือ ส่วนฉันยังใช้วาสลีนทามืออยู่เลย คนอื่นไม่ต้องทาครีมบนใบหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ แต่ตรงไปที่ร้านเสริมสวยแทน ขณะที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าร้านเสริมสวยอยู่ตรงไหน คนอื่นนั่งรถเก๋งไปไหนมาไหน แต่นั่นดีเกินไปสำหรับฉัน ถ้าฉันได้ขี่จักรยานก็โชคดีแล้ว และบางครั้งฉันก็ต้องนั่งเกวียนเทียมวัวหรือลา” ดังนั้นทุกครั้งที่เจ้าพูดคุยกับผู้คนประเภทนี้ เจ้าย่อมรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อับอายที่จะพูดถึงอัตลักษณ์ของตน และไม่กล้าเอ่ยถึงอัตลักษณ์นั้น ในหัวใจของเจ้า เจ้าออกจะรู้สึกขุ่นเคืองและโมโหพระเจ้าอยู่บ้าง “พวกเขาทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหมือนฉัน” เจ้าคิด “แล้วทำไมพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาสุขสำราญกับชีวิตมากมายอย่างนั้น? ทำไมพระองค์ทรงลิขิตให้พวกเขามีครอบครัวและสถานะทางสังคมแบบนั้น? ทำไมครอบครัวของฉันถึงยากจนข้นแค้นนัก? ทำไมพ่อแม่ของฉันถึงอยู่ที่ฐานล่างของสังคม ไม่มีความสามารถหรือทักษะอะไรเลย? แค่คิดฉันก็โมโหแล้ว พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ฉันก็ไม่อยากเอ่ยถึงพ่อแม่ตัวเอง พวกเขาช่างไร้ความสามารถและไม่เอาไหน! เรื่องขับรถเก๋งกับอยู่คฤหาสน์นั่นไม่เป็นไรหรอก มีคนพาเข้าเมืองไปนั่งรถประจำทางและรถไฟความเร็วสูง หรือไปเล่นที่สวนสาธารณะในเมือง ฉันก็พอใจแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยพาฉันเข้าเมืองเลยแม้แต่ครั้งเดียว! ฉันไม่มีประสบการณ์ชีวิตอะไรเลย ไม่เคยกินอาหารดีๆ หรือนั่งรถสวยๆ และฉันก็ได้แต่ฝันเรื่องนั่งเครื่องบิน” การคิดเรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เจ้ารู้สึกต่ำต้อย และเจ้าก็มักจะรู้สึกว่าถูกเรื่องนี้บีบคั้น ดังนั้นเจ้าจึงพบปะพี่น้องชายหญิงที่มีอัตลักษณ์และสถานะไม่ต่างจากเจ้ามากนักเป็นประจำ พลางคิดในใจว่า “จริงอย่างที่เขาว่ากันว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ ดูคนกลุ่มนั้นสิ พวกเขาร่ำรวยกันทุกคน มีทั้งเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐ เศรษฐี ลูกมหาเศรษฐี เจ้าพ่อธุรกิจ คนที่กลับมาจากไปเรียนเมืองนอก และนักศึกษาปริญญาโท รวมทั้งผู้บริหารบริษัทและผู้จัดการโรงแรม แล้วเทียบพวกเขากับพวกเราที่เป็นชนชั้นต่ำนี่สิ พวกเราทุกคนถ้าไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาก็เป็นคนตกงาน ครอบครัวของพวกเราอาศัยอยู่ตามบ้านนอกคอกนา พวกเรามีการศึกษาแค่ชั้นประถม และพวกเราไม่เคยเห็นอะไรในโลกนี้เลย พวกเราต้อนวัวต้อนควาย ตั้งแผงริมถนน รับซ่อมรองเท้ากันมา พวกเราเป็นคนพวกไหน? เป็นชาวบ้านทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? แล้วดูคนกลุ่มนั้นสิ พวกเขาดูมีระดับและทันสมัยกันทุกคน เวลาฉันนึกถึงชาวบ้านอย่างเราๆ มันทำให้ฉันรู้สึกไร้ค่าและน่าเสียใจนัก” แม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่เจ้าก็ไม่เคยปล่อยมือจากเรื่องนี้ มักจะรู้สึกต่ำต้อยและหดหู่เป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าแนวคิดและทัศนะที่ผู้คนเหล่านี้มีต่อสิ่งทั้งหลายนั้นผิด และส่งผลร้ายแรงต่อความถูกต้องของทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีวางตนและกระทำการของพวกเขา แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากกระแสนิยมและจารีตทางสังคม แน่นอนว่าหากจะกล่าวให้แน่ชัดยิ่งขึ้นก็คือ เป็นแนวคิดและทัศนะที่เกิดจากผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยคนชั่วและวัฒนธรรมดั้งเดิม ในเมื่อเป็นแนวคิดและทัศนะที่เสื่อมทรามและมาจากกระแสนิยมชั่ว เจ้าก็ควรปล่อยมือและไม่ควรรู้สึกเดือดร้อนหรือบีบคั้นตามแนวคิดและทัศนะดังกล่าว บางคนกล่าวว่า “ฉันเกิดในครอบครัวแบบนี้ และข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แนวคิดและทัศนะเช่นนี้จึงกดทับความรู้สึกนึกคิดของฉันอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะปล่อยมือ” เป็นข้อเท็จจริงโดยแท้ว่าแนวคิดและทัศนะเช่นนี้ยากที่จะปล่อยมือ แต่ถ้าเจ้ามัวแต่ครุ่นคิดถึงแนวคิดและทัศนะที่ผิดพลาดอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันปล่อยมือไปได้ หากเจ้ายอมรับแนวคิดและทัศนะที่ถูกต้อง เจ้าก็จะค่อยๆ ปล่อยมือจากแนวคิดและทัศนะที่ผิดได้ ที่กล่าวมานี้ เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายความว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะปล่อยมือจากแนวคิดและทัศนะที่ผิดได้หมดในทันที เพื่อที่เจ้าจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนรวยหรือคนที่มีสถานะและคุณค่าสูงส่งอย่างเสมอภาคและเป็นปกติได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนี้ในคราวเดียว แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ ต่อให้เจ้ายังคงมีปมด้อย ต่อให้เจ้ายังคงถูกปมด้อยนี้รบกวนในส่วนลึกของหัวใจอยู่บ้าง แต่เจ้าย่อมได้รับอิสระจากสิ่งรบกวนในระดับหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าในการไล่ตามเสาะหาความจริงต่อจากนั้น เจ้าจะค่อยๆ ได้รับอิสรภาพและเสรีภาพมากขึ้นอีก เมื่อข้อเท็จจริงต่างๆ ถูกเปิดโปงหมดแล้ว เจ้าก็จะมองเห็นแก่นแท้ของผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วความเข้าใจที่เจ้ามีต่อความจริงก็จะลุ่มลึกยิ่งขึ้น เมื่อเจ้ามีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องดังกล่าวที่กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น ประสบการณ์ชีวิตและความรู้ของเจ้าในเรื่องดังกล่าวย่อมจะเพิ่มพูนขึ้น พร้อมกันนั้น ท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงก็จะเป็นไปในเชิงรุกและเป็นบวกมากขึ้น เจ้าจะถูกสิ่งต่างๆ ที่เป็นลบบีบคั้นน้อยลงไปทุกที ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วมิใช่หรือ? ครั้งต่อไปเมื่อเจ้าพบเจอใครสักคนที่มีอัตลักษณ์และสถานะแตกต่างจากเจ้าเป็นอย่างมาก เมื่อได้พูดคุยและคบค้าสมาคมกับพวกเขา อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่หวาดกลัวอยู่ข้างในอีกต่อไป และจะไม่วิ่งหนี แต่เจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาได้อย่างถูกต้อง และเจ้าจะไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาอีกต่อไป หรือคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และโดดเด่นเพียงใด เมื่อเจ้าเข้าใจแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คนแล้ว เจ้าจะสามารถรับมือผู้คนทุกประเภทได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สามารถผูกมิตร มีปฏิสัมพันธ์และคบค้าสมาคมกับผู้คนทุกรูปแบบได้ตามหลักธรรม โดยไม่ยกย่องหรือดูเบาพวกเขา และไม่เลือกปฏิบัติต่อพวกเขาหรือคิดว่าพวกเขาสูงส่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะค่อยๆ สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่เกิดจากการไล่ตามเสาะหาความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) การสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ดังนี้จะทำให้เจ้ารักความจริงมากขึ้น เอนเอียงเข้าหาสิ่งที่เป็นบวกมากขึ้น มีแนวโน้มเข้าหาความจริงมากขึ้น และโน้มเอียงที่จะเลื่อมใสพระเจ้าและความจริงมากขึ้น แทนที่จะเลื่อมใสใครต่อใครในสังคมหรือในโลกตามอัตลักษณ์และสถานะที่โดดเด่นของพวกเขา สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสและยอมรับนับถือ รวมทั้งสิ่งที่เจ้าติดตามและเคารพบูชาย่อมจะต่างออกไป และจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นลบไปสู่สิ่งที่เป็นบวก และไปสู่ความจริงหรือ—กล่าวให้แน่ชัดยิ่งขึ้นก็คือ—ไปสู่พระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ตลอดจนพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในเรื่องนี้ กล่าวคือ เจ้าจะค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและเครื่องพันธนาการของซาตานในเรื่องนี้ และได้รับการช่วยให้รอดไปทีละน้อย—นี่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องยาก ถนนนั้นทอดอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ตราบใดที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าย่อมสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แล้วความเป็นจริงใดที่เจ้าจะเข้าสู่ในท้ายที่สุด? ไม่ว่าสถานะที่เจ้าสืบทอดจากครอบครัวเจ้าจะเป็นอย่างไร เจ้าจะไม่หมกมุ่นหรือเดือดร้อนอีกต่อไปว่าสถานะนั้นสูงส่งหรือต่ำต้อย แต่เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีได้ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มองผู้คนและสิ่งต่างๆ วางตนและกระทำการอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และดำเนินชีวิตแต่ละวันในปัจจุบันด้วยอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งสิ้น—นี่คือผลลัพธ์ที่เจ้าจะไล่ตามเสาะหา นี่คือผลลัพธ์ที่ดีงามใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงในแง่มุมนี้ หัวใจของพวกเขาย่อมเสรีและเป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่เดือดร้อนด้วยเรื่องอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของตนอีกต่อไป และเจ้าจะไม่ใส่ใจว่าสถานะของตนสูงหรือต่ำ ถ้าอัตลักษณ์ของเจ้าโดดเด่นและมีคนบางคนยกย่องเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกขยะแขยง ถ้าอัตลักษณ์ของเจ้าต่ำต้อยและบางคนเลือกปฏิบัติกับเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกถูกจำกัดหรือเดือดร้อนด้วยเหตุนั้น และจะไม่เศร้าหรือคิดลบในเรื่องนั้น เจ้าจะไม่ต้องรู้สึกกังวล ปวดร้าว หรือต่ำต้อยอีกต่อไปไม่ว่าเจ้าไม่เคยนั่งรถไฟความเร็วสูง ไม่เคยเข้าร้านเสริมสวย ไม่เคยท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่เคยกินอาหารตะวันตก หรือไม่เคยสุขสำราญกับเครื่องอำนวยความสะดวกสบายทางวัตถุเหมือนที่คนรวยทำกัน เจ้าจะไม่รู้สึกถูกบีบคั้นและเดือดร้อนเพราะเรื่องดังกล่าวอีกต่อไป และเจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเรื่องราวทุกชนิดได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ตามปกติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเป็นอิสระและมีเสรีมิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนี้หัวใจของเจ้าก็จะถูกปลดปล่อย เมื่อเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแง่มุมนี้ และหลุดพ้นจากพันธนาการของซาตาน เจ้าย่อมจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดำเนินชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริงไปแล้ว และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระเจ้าต้องประสงค์ ถึงตอนนี้ เจ้าก็ควรจะเข้าใจเรื่องเส้นทางของการปล่อยมือจากอัตลักษณ์และสถานะที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวชัดเจนขึ้นแล้ว
ครั้งที่แล้วพวกเราเสวนากันอีกเรื่องหนึ่งด้วย—คือเรื่องการปล่อยมือจากผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้า ผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยครอบครัวของคนคนหนึ่งเริ่มตั้งแต่คนคนนั้นยังเด็กเลยทีเดียว เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มนำความคิดและทัศนะที่ได้รับการปลูกฝังมาใช้ในชีวิตของตน เมื่อพวกเขามีประสบการณ์ชีวิตในระดับหนึ่ง พวกเขาก็นำความคิดและทัศนะต่างๆ ที่ครอบครัวของตนปลูกฝังเอาไว้ในไปปฏิบัติได้อย่างเสรี และพวกเขาก็ได้สั่งสมหลักการ วิธีการ และกลเม็ดอันหลากหลายตามหลักการนี้ไว้จัดการกับสิ่งต่างๆ ที่สลับซับซ้อน มีรายละเอียด และเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่าผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยครอบครัวนี้ทำหน้าที่เป็นแบบเรียนขั้นต้นให้กับคนคนหนึ่งในยามที่พวกเขาเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมและกลุ่มชุมชนของตน และทำให้พวกเขาสามารถใช้วิธีการและเล่ห์กลต่างๆ นานามาจัดการกับสิ่งทั้งหลายได้อย่างอิสระเวลาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ในเมื่อผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยครอบครัวคือแบบเรียนขั้นต้น ผลพวงเหล่านี้จึงฝังตัวและหยั่งรากลึกลงในหัวใจของคนแต่ละคน สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คน วิธีวางตนและวิธีกระทำการของพวกเขา ตลอดจนทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตอีกด้วย แต่เพราะผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก ผู้คนจึงควรปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ในระหว่างการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน ไม่สำคัญว่าความคิดและทัศนะที่ถูกปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าจะก่อกำเนิดในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเจ้า หรือครองตำแหน่งที่มีอำนาจควบคุมอยู่ลึกๆ ข้างในหรือไม่—และแน่นอนย่อมไม่สำคัญว่าเจ้าได้ตรวจสอบยืนยันแล้วว่าความคิดและทัศนะดังกล่าวเป็นจริงหรือนำไปปฏิบัติในช่วงชีวิตของเจ้าแล้วหรือยัง—ผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าในระดับที่แตกต่างกันไปทั้งในปัจจุบันและในอนาคต มีอิทธิพลต่อการเลือกเส้นทางชีวิตของเจ้า และส่งผลต่อท่าทีและหลักธรรมที่เจ้าใช้รับมือสิ่งต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าครอบครัวโดยมากสอนเล่ห์กลและปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกขั้นพื้นฐานที่สุดให้แก่ผู้คน เพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตและอยู่รอดในสังคมได้ ยกตัวอย่างสิ่งที่พ่อแม่พูดอยู่เสมอซึ่งพวกเราสามัคคีธรรมกันไปในครั้งที่แล้ว เช่น “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” และ “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” รวมทั้ง “เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ” และ “นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง” มีอะไรอีก? “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” และ “คนพูดมากย่อมผิดมาก” ไม่ว่าเจ้าจะนำไปใช้อย่างโจ่งแจ้งหรือยึดปฏิบัติในชีวิตของเจ้าก็ตาม แนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้านี้ก็คือแบบเรียนขั้นต้นของเจ้า ที่ว่า “แบบเรียนขั้นต้น” นี้ เราหมายถึงอะไร? เราหมายถึงสิ่งที่บันดาลใจเจ้าและผลักดันให้เจ้ายอมรับปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของซาตาน คำกล่าวทั้งหลายจากครอบครัวของเจ้านี้ได้ปลูกฝังวิธีการพื้นฐานที่สุดในการรับมือกับโลกและวิธีการพื้นฐานที่สุดในการเอาตัวรอดให้กับเจ้า เพื่อที่ว่าหลังจากเข้าสู่สังคมแล้ว เจ้าจะมุ่งมั่นไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ มุมานะที่จะอำพรางตนและสร้างภาพให้ตัวเองดูดีขึ้น ปกป้องตัวเจ้าเองได้ดีขึ้น และเพียรพยายามที่จะเป็นเลิศในหมู่คน ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และรักษาตำแหน่งสูงสุดเอาไว้ สำหรับเจ้าแล้ว สิ่งที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้านี้คือกฎเกณฑ์และเล่ห์กลของการรับมือกับโลก ซึ่งคอยผลักดันให้เจ้าเข้าสังคมและทำตัวกลมกลืนกับกระแสนิยมชั่ว
ครั้งก่อนพวกเราสามัคคีธรรมถึงผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อผู้คน ผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมมีมากกว่าที่กล่าวมานั้นมากนัก ดังนั้นพวกเราก็มาสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันต่อเถิด ยกตัวอย่างพ่อแม่บางคนบอกลูกๆ ของตนว่า “สามคนเดินมา อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือครูของฉัน” ใครเป็นคนกล่าววลีนี้? (ขงจื๊อ) นี่คือสิ่งที่ขงจื๊อกล่าวไว้โดยแท้ พ่อแม่บางคนบอกลูกๆ ของตนว่า “ไม่ว่าจะไปที่ไหน ลูกก็ต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆ เอาไว้ เมื่อเรียนรู้แล้ว ลูกก็จะมีทักษะในสาขาเฉพาะทาง และไม่มีวันต้องกังวลว่าจะไม่มีงานทำ ลูกจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทุกคนต้องพึ่งพาในทุกสถานการณ์ ปราชญ์โบราณของจีนคนหนึ่งกล่าวไว้ได้ดีว่า ‘สามคนเดินมา อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือครูของฉัน’ เมื่อใดก็ตามที่ลูกอยู่ท่ามกลางคนอื่น ให้ดูว่าใครมีทักษะในสาขาเฉพาะทางบ้าง แอบเรียนรู้เรื่องนั้นโดยไม่ให้พวกเขารู้ แล้วเมื่อลูกเชี่ยวชาญ นั่นก็จะกลายเป็นทักษะของลูก แล้วลูกก็จะสามารถหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ลูกจะไม่มีวันขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในชีวิต” จุดมุ่งหมายของพ่อแม่ที่ให้เจ้าเรียนรู้ทักษะต่างๆ เวลาอยู่กับผู้อื่นคืออะไร? (เพื่อให้ก้าวหน้าในโลกนี้) จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ทักษะก็เพื่อทำให้เจ้าแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เรียนรู้ที่จะลักจำทักษะของผู้อื่น และค่อยๆ เสริมสร้างตนเองให้แข็งแกร่ง ถ้าเจ้ามีจุดแข็งที่แกร่งมากในหมู่คน เจ้าก็จะกินดีอยู่ดี มีชื่อเสียงและเงินทองอีกด้วย และพอเจ้ามีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ผู้คนก็จะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้าไม่มีทักษะที่แท้จริง ก็จะไม่มีใครยกย่องเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องเรียนรู้ที่จะลักจำทักษะของผู้อื่น เรียนรู้จุดแข็งและทักษะของผู้อื่น และค่อยๆ กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา—เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ พ่อแม่บางคนบอกลูกๆ ของพวกเขาว่า “ถ้าอยากมีศักดิ์ศรีเวลาที่คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น” ซึ่งจุดมุ่งหมายยังคงเป็นการทำให้ลูกๆ ได้รับการชื่นชมและยกย่องจากผู้อื่น ถ้าเจ้าทำงานหนัก ขยันหมั่นเพียรและสู้ทนความยากลำบากต่างๆ เพื่อเรียนรู้ทักษะเวลาที่ไม่มีใครเห็น เมื่อเจ้าได้เรียนรู้ทักษะเหล่านั้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถทำให้ทุกคนประทับใจในความปราดเปรื่องของเจ้า และเมื่อใดก็ตามที่ผู้คนดูแคลนหรือรังแกเจ้า เจ้าก็สามารถอวดความสามารถของเจ้าได้ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีกต่อไป แม้เจ้าจะดูธรรมดา ไม่โดดเด่น และไม่พูดมาก แต่เจ้าก็จะมีทักษะบางอย่างในรูปของความสามารถเฉพาะทางซึ่งเกินความสามารถของผู้คนทั่วไป ดังนั้นผู้อื่นก็จะเลื่อมใสเจ้าในเรื่องนี้ รู้สึกตัวเล็กลงเวลาอยู่ต่อหน้าเจ้า และมุ่งหวังว่าเจ้าจะเป็นคนที่สามารถช่วยพวกเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณค่าของเจ้าในหมู่คนก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นมิใช่หรือ? และเมื่อคุณค่าของเจ้าเพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้เจ้าดูมีศักดิ์ศรีมิใช่หรือ? ถ้าเจ้าอยากเพียรพยายามที่จะมีสถานะโดดเด่นในหมู่ผู้อื่น เจ้าก็ต้องสู้ทนความยากลำบากและความทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น ไม่ว่าเจ้าจะสู้ทนความยากลำบากมากเท่าใด จงแค่ฝืนทนและเดินหน้าต่อไป แล้วความทุกข์ทั้งหมดของเจ้าก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคุ้มค่าเมื่อผู้คนมองเห็นว่าเจ้ามีความสามารถเพียงใด จุดมุ่งหมายที่พ่อแม่ของเจ้าบอกเจ้าเรื่องคำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากมีศักดิ์ศรีเวลาที่คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น” คืออะไร? จุดมุ่งหมายนั้นก็คือให้เจ้ามีสถานะที่โดดเด่นในหมู่ผู้อื่นและได้รับการยกย่องจากคนเหล่านั้น แทนที่จะถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกรังแก เพื่อที่เจ้าจะไม่เพียงสามารถสุขสำราญกับสิ่งดีๆ ในชีวิตเท่านั้น แต่ยังจะได้รับความนับถือและการสนับสนุนจากผู้อื่นอีกด้วย ผู้คนที่มีสถานะเช่นนี้ในสังคมไม่เพียงจะไม่ถูกผู้อื่นรังแกเท่านั้น แต่สิ่งทั้งหลายยังจะราบรื่นสำหรับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเห็นเจ้าเดินมา พวกเขาก็จะกล่าวว่า “โอ คุณนั่นเอง แวะมาให้พวกเรายินดีด้วยเรื่องอะไร? เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบคุณ! มีธุระอะไรให้ดูแลหรือเปล่า? ฉันจะจัดการให้คุณเอง อ้อ คุณมาซื้อบัตรหรือ? งั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าแถวหรอก ฉันจะหาที่นั่งที่ดีที่สุดให้คุณเอง ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน!” เจ้ารับรู้และคิดว่า “ว้าว การเป็นคนดังของฉันนี่ช่างวิเศษจริงๆ ผู้หลักผู้ใหญ่พูดถูกที่ว่า ‘ถ้าอยากมีศักดิ์ศรีเวลาที่คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น’ สังคมเป็นเช่นนี้จริงๆ ยึดความเป็นจริงมากเกินไป! ถ้าฉันไม่ได้มีหน้ามีตาเช่นนี้ ใครจะสนใจฉันบ้าง? ถ้าฉันต่อแถวเหมือนคนธรรมดาทั่วไป คนอื่นก็อาจจะดูแคลน พูดจาไม่ดี และอาจถึงกับไม่ยอมขายให้เมื่อฉันไปถึงหัวแถวก็ได้” เวลาเจ้ารอพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามลำดับของตน ก็มีคนสังเกตเห็นเจ้าจากอีกฝั่งของห้องรอตรวจและกล่าวว่า “คุณคือคนนั้นๆ ใช่ไหม? คุณมารอทำอะไรอยู่? ฉันจะหาหมอผู้เชี่ยวชาญให้คุณเลย คุณจะได้ไม่ต้องรอตามลำดับ” เจ้าตอบว่า “ฉันยังไม่ได้จ่ายเงินเลย” พวกเขาจึงกล่าวว่า “ไม่จำเป็นหรอก ฉันจะจ่ายเงินให้เอง” เจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้และคิดว่า “การเป็นคนดังนี่ดีนะ การสู้ทนความทุกข์ทั้งมวลเวลาที่ไม่มีใครเห็นไม่ใช่เรื่องสูญเปล่าเลย ฉันสามารถได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษในสังคมได้จริง สังคมนี้ยึดความเป็นจริงเป็นสำคัญ แค่ฉันต้องเป็นคนดังก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี เยี่ยมมาก!” เจ้ายินดีปรีดาอีกครั้งที่ความทุกข์ของเจ้าไม่ได้สูญเปล่า และคิดว่าคุ้มแล้วที่ยอมก้าวผ่านความยากลำบากและความทุกข์ทั้งปวงเวลาที่ผู้อื่นไม่เห็น! เจ้าทึ่งกับเรื่องนี้ตลอดเวลา “ฉันไม่จำเป็นต้องไปรอพบแพทย์ที่โรงพยาบาล” เจ้านึก “ฉันสามารถได้ที่นั่งดีๆ ทุกครั้งที่ซื้อบัตรโดยสารเครื่องบิน และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ อิทธิพลของฉันสามารถพาฉันเข้าทางประตูหลังได้อีกด้วย เยี่ยมไปเลย! สังคมควรเป็นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีความเสมอภาค ผู้คนควรได้คืนมากเท่ากับที่พวกเขาลงทุนไป ถ้าคนเราไม่ทนทุกข์เวลาที่คนอื่นไม่เห็น แล้วจะดูมีศักดิ์ศรีเวลาที่พวกเขามองมาได้อย่างไร? ดูฉันเป็นตัวอย่างสิ ฉันยอมทนทุกข์เวลาที่คนอื่นไม่เห็น เพื่อให้เวลาที่พวกเขามองมา ฉันจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษแบบนี้ เพราะฉันสมควรจะได้รับ” เมื่อเป็นดังนี้ ผู้คนต้องพึ่งพาสิ่งใดถ้าพวกเขาอยากคบค้าสมาคมกับผู้อื่นและทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จในสังคม? พวกเขาย่อมพึ่งพาความสามารถพิเศษและทักษะของตนมาสนับสนุนความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ของตน การที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จในการทำกิจธุระของตนหรือไม่ หรือจะทำสิ่งทั้งหลายในสังคมได้ดีเพียงใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถพิเศษหรือความเป็นมนุษย์ของคนคนนั้น และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ ไม่มีความยุติธรรมหรือความเสมอภาคในสังคม และตราบใดที่เจ้าขยันหมั่นเพียรเพียงพอ สามารถสู้ทนความทุกข์ในยามที่ไม่มีใครเห็น มีความเผด็จการและดุดันเพียงพอ เจ้าก็สามารถได้รับสถานะอันสูงส่งในหมู่ผู้อื่นได้ เช่นเดียวกับในอดีตที่ผู้คนแข่งขันกันเพื่อเป็นปรมาจารย์แห่งโลกศิลปะการต่อสู้ พวกเขาสู้ทนความทุกข์อันใหญ่หลวงและฝึกซ้อมหามรุ่งหามค่ำต่อเนื่องกันหลายวัน จนในที่สุดพวกเขาก็เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบของสำนักต่างๆ และคิดค้นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา ซึ่งพวกเขาก็ฝึกซ้อมจนสมบูรณ์แบบกระทั่งกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน แล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น? ในการประลองศิลปะการต่อสู้ พวกเขาเอาชนะนักสู้จากสำนักใหญ่ๆ ทุกแห่งและได้รับสถานะเป็นปรมาจารย์ของโลกศิลปะการต่อสู้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะสู้ทนความทุกข์สารพัดรูปแบบเพื่อให้ดูมีศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้อื่น และถึงขนาดฝึกซ้อมศาสตร์มืดบางอย่างในที่ลับอีกด้วย หลังจากฝึกซ้อมเป็นเวลานานแปดถึงสิบปี พวกเขามีความชำนาญมากจนไม่มีใครในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้สามารถโค่นล้มพวกเขาในสนามประลอง หรือลอบสังหารพวกเขานอกสนามได้ และต่อให้พวกเขาดื่มยาพิษ พวกเขาก็สามารถขับพิษออกจากร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยึดตำแหน่งปรมาจารย์แห่งโลกศิลปะการต่อสู้ไว้อย่างมั่นคง และไม่มีใครสามารถคุกคามตำแหน่งของพวกเขาได้—นี่คือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดูมีศักดิ์ศรีในสายตาของผู้อื่น ผู้คนในสมัยโบราณเข้าสอบคัดเลือกขุนนางและได้รับยกย่องเป็นบัณฑิตก็เพื่อให้ดูมีศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้อื่น ทุกวันนี้ผู้คนเรียนมหาวิทยาลัย สอบเข้าศึกษาระดับปริญญาโท และเรียนต่อในระดับปริญญาเอก—พวกเขาก็มานะบากบั่นศึกษาแม้จะยากลำบากเช่นกัน และทุ่มเทเล่าเรียนความรู้ที่ไร้ประโยชน์ตั้งแต่รุ่งสางจนดึกดื่นปีแล้วปีเล่า บางครั้งพวกเขาก็เหนื่อยเสียจนไม่อยากเล่าเรียนอีกต่อไป ถวิลหาที่จะหยุดพัก แต่ก็ถูกพ่อแม่ของตนเอ็ดเอาว่า “เมื่อไรจะแสดงวี่แววว่าจะประสบความสำเร็จขึ้นมาเสียที? ลูกยังอยากดูมีศักดิ์ศรีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าอยาก แล้วลูกจะทำได้อย่างไรถ้าไม่ทนทุกข์เวลาที่พวกเขาไม่เห็น? ถ้าไม่ได้พักสักนิดก็ไม่ใช่ว่าลูกจะล้มตายไม่ใช่หรือ? ไปอ่านหนังสือ! ไปทำการบ้านเสีย!” พวกเขาจึงตอบว่า “ทำการบ้านเสร็จและทบทวนบทเรียนวันนี้แล้ว พ่อแม่ให้ลูกผ่อนคลายสักครู่ได้ไหม?” แต่พ่อแม่ของพวกเขากลับตอบว่า “ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าอยากมีศักดิ์ศรีเวลาที่คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น!” พวกเขาตรึกตรองเรื่องนี้และคิดว่า “พ่อแม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของฉัน แล้วทำไมฉันถึงดื้อรั้นและมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความสนุกอย่างนี้? ฉันต้องทำตามที่พ่อแม่บอก มีคำกล่าวว่าไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ย่อมมีภัย ดังนั้นฉันต้องฟังพ่อแม่ของฉัน พ่อแม่จะเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ถ้าฉันไม่ทำให้พวกท่านได้รับการยกย่อง พวกท่านก็จะผิดหวัง นอกจากนี้ฉันยังมีหนทางในชีวิตอีกยาวไกล ดังนั้นการทนทุกข์เล็กน้อยในระยะยาวจะเป็นไรไป?” เมื่อคิดดังนี้ พวกเขาจึงทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งมวลให้กับการเล่าเรียน ทบทวนบทเรียน และทำการบ้านของตน พวกเขาอ่านหนังสือจนเลยเที่ยงคืน และไม่ว่าจะรู้สึกเหนื่อยเพียงใด พวกเขาก็สามารถเอาชนะมันได้ บนเส้นทางชีวิตของผู้คน พวกเขามีผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยครอบครัวของตนที่ถูกสั่งสอนอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบของแนวคิดและสำนวนต่างๆ เช่น “ถ้าอยากมีศักดิ์ศรีเวลาที่คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครเห็น” ซึ่งหนุนใจและเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาไม่ขาด พวกเขาร่ำเรียนทักษะและความรู้อย่างต่อเนื่องเวลาไม่มีคนมอง เพื่ออนาคตและความสำเร็จของตน เพื่อที่จะดูมีศักดิ์ศรีในหมู่ผู้อื่น พวกเขาหาความรู้และทักษะอันหลากหลายติดตัวไว้เพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังให้มองหาวีรกรรมของคนโบราณหรือผู้คนที่ประสบความสำเร็จต่าง ๆ เพื่อให้ส่งเสริมและปลุกเร้าจิตใจของตนให้ต่อสู้ พวกเขาทำทั้งหมดนี้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทิ้งความยากจน ความธรรมดา และความต่ำต้อยไปจากอนาคตของตน และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนที่ถูกเลือกปฏิบัติ จะได้กลายเป็นคนที่มีความเป็นเลิศ เป็นสมาชิกของอภิสิทธิ์ชน และเป็นคนที่ผู้อื่นยกย่อง ผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมโดยครอบครัวของพวกเขานี้ยังคงไหลเวียนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งข้อสังเกตและคำกล่าวเหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นแนวคิดและทัศนะที่ฝังแน่นอยู่ในตัวพวกเขา เป็นวิธีตายตัวที่พวกเขาใช้รับมือกับโลก และกลายเป็นเนื้อแท้ของทัศนคติที่พวกเขามีต่อการดำรงอยู่ รวมทั้งเป็นเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอีกด้วย
พ่อแม่บางคนบอกลูกๆ ของตนว่า “ลูกต้องเรียนรู้ที่จะผูกมิตรกับคนอื่น เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีคนอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น’ แม้กระทั่งฉินฮุ่ย[ก] ขุนนางราชวงศ์ซ่งที่ถูกประณามก็ยังมีสหายสามคน ไม่ว่าลูกจะไปที่ใด ก็หัดทำตัวเข้ากับคนอื่นและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันเอาไว้ อย่างน้อยที่สุด ลูกต้องมีเพื่อนสนิทบ้าง พอเข้าสังคมแล้ว ลูกจะพบเรื่องยุ่งยากสารพัดอย่างในชีวิต ในการทำงาน และในยามที่ลูกดำเนินธุรกิจของตน ถ้าไม่มีเพื่อนไว้คอยช่วยเหลือ ลูกก็จะต้องเผชิญความยุ่งยากและสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนสารพัดอย่างตามลำพัง ถ้าลูกรู้กลเม็ดบางอย่างในการหาเพื่อนสนิทเอาไว้บ้าง เช่นนั้นเมื่อลูกพบเจอสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนและเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ เพื่อนๆ เหล่านั้นก็จะก้าวออกมาพาลูกพ้นจากปัญหาและช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จในสิ่งที่ลูกทำ ถ้าลูกอยากสัมฤทธิ์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ลูกก็ควรเลิกถือดีและผูกมิตรเอาไว้ ลูกควรสามารถที่จะทำให้ผู้คนที่มีอำนาจทุกรูปแบบให้อยู่ข้างลูก จะได้คอยสนับสนุนสิ่งที่ลูกทำ รวมทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ของลูกในอนาคต ลูกต้องสามารถใช้ประโยชน์จากผู้คนต่างๆ เพื่อช่วยลูกทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จและรับใช้ลูก” โดยทั่วไปแล้ว พ่อแม่จะไม่สื่อสารแนวคิดหรือทัศนะเช่นนี้อย่างโจ่งแจ้ง หรือบอกลูกๆ ของตนตามตรงว่าพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะผูกมิตร ใช้ประโยชน์จากผู้คน และสามารถหาเพื่อนเพื่อช่วยพวกเขาให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำได้ อย่างไรก็ดี มีพ่อแม่บางคนที่มีสถานะและที่ยืนในสังคม หรือเฉลียวฉลาดและเจ้าอุบายเป็นพิเศษ และมีอิทธิพลต่อลูกๆ ทั้งทางวาจาและพฤติกรรมของพวกเขา นอกจากนี้ เมื่อใดก็ตามที่ลูกๆ ของพวกเขามองเห็นและได้ยินได้ฟังแนวคิด ทัศนะ และวิธีการที่พวกเขาใช้รับมือกับโลกผ่านสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพูดและทำในชีวิตประจำวัน นี่ก็ก่อให้เกิดผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมในตัวลูกๆ ภายใต้การปลูกฝังที่เจ้าไม่ได้พิจารณาตัดสินและใช้วิจารณญาณแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นบวกกับสิ่งที่เป็นลบอย่างถูกต้อง เจ้าจึงถูกวาจาและการกระทำของพ่อแม่ครอบงำโดยไม่รู้ตัว ยอมรับแนวคิดและทัศนะของพวกเขา หรือไม่แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ย่อมถูกฝังลึกอยู่ในหัวใจของเจ้าโดยไม่ตั้งใจ และกลายเป็นรากฐานและหลักการขั้นพื้นฐานที่สุดที่เจ้าใช้ทำสิ่งต่างๆ พ่อแม่ของเจ้าอาจไม่ได้บอกเจ้าตามตรงว่า “หาเพื่อนให้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ เพื่อเจ้า ใช้จุดแข็งของผู้คนให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากคนรอบตัวเจ้า” ถึงกระนั้น พวกเขาก็แพร่เชื้อและปลูกฝังเจ้าผ่านทางการกระทำของพวกเขาที่ปฏิบัติตามแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาสอนสั่ง ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของเจ้าจึงกลายเป็นครูคนแรกของเจ้าในเรื่องนี้ โดยสอนเจ้าว่าจะจัดการกับสิ่งทั้งหลายอย่างไร จะเข้ากับผู้คนได้อย่างไร และจะผูกมิตรในสังคมนี้อย่างไร รวมทั้งสอนเจ้าถึงจุดประสงค์เบื้องหลังการผูกมิตร เหตุใดเจ้าจึงควรผูกมิตร เจ้าควรคบเพื่อนแบบไหน จะยืนหยัดในสังคมได้อย่างไร พื้นฐานและวิธีการที่จะมีที่ยืน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของเจ้าจึงปลูกฝังเจ้าด้วยการปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาสอนสั่ง เมื่อเจ้าเติบโตจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ก็ค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว จากจิตสำนึกง่ายๆ ไปสู่ความคิด ทัศนะ และการกระทำที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นฝังลึกอยู่ในหัวใจและดวงจิตของเจ้าไปทีละขั้นทีละตอน กลายเป็นหนทางและปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของเจ้า เจ้าคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ใช้เป็นวิธีรับมือกับโลกที่ว่า “รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีคนอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น”? (เป็นคำกล่าวที่ไม่ดี) มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนแท้ในโลกนี้หรือไม่? (ไม่มี) แล้วทำไมรั้วจึงต้องมีสามเสาคอยหนุน? การมีสามเสานี้มีประโยชน์อันใด? เพื่อทำให้รั้วมั่นคงขึ้นเท่านั้น ถ้ามีสองเสาก็จะไม่มั่นคง และเสาเดียวก็จะใช้การไม่ได้เลย ดังนั้น หลักการรับมือทางโลกในที่นี้เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? แม้กระทั่งคนที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะสามารถเพียงใดก็ไม่อาจตบมือข้างเดียวได้ และย่อมจะทำอะไรไม่สำเร็จ ถ้าเจ้าอยากสัมฤทธิ์บางสิ่งบางอย่าง เจ้าจำเป็นต้องมีผู้คนคอยช่วย และถ้าเจ้าอยากให้ผู้คนช่วยเหลือเจ้า เจ้าก็จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะประพฤติปฏิบัติตนและรับมือกับโลกอย่างไร จะผูกมิตรอย่างกว้างขวางและรวบรวมกำลังคนมาทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้อย่างไร การที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก จะเป็นการสร้างอาชีพการงาน หรือการมีที่ยืนในสังคม หรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้สำเร็จ เจ้าก็ต้องมีผู้คนที่เจ้าไว้ใจหรือยกย่องว่าเก่งอยู่รอบตัว คนที่เจ้าสามารถใช้ให้ช่วยเจ้าสัมฤทธิ์สิ่งที่เจ้าอยากทำ มิฉะนั้นก็จะเหมือนการพยายามตบมือข้างเดียว แน่นอนว่าเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ในการทำสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ เพราะไม่มีความยุติธรรมในสังคม มีแต่การวางกลอุบายและการดิ้นรนเท่านั้น ถ้าเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและทำเรื่องที่สมควร ก็จะไม่มีใครเห็นชอบ นั่นย่อมจะใช้การไม่ได้ในสังคมนี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ก็ต้องมีบางคนคอยช่วยและคอยรวบรวมกำลังคนในสังคมให้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ถ้ามีผู้คนยอมจำนนและกลัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีที่ยืนอันมั่นคงในสังคม การทำสิ่งต่างๆ ของเจ้าก็จะง่ายขึ้นมาก และจะมีผู้คนคอยเปิดทางให้เจ้า นี่คือท่าทีและวิธีรับมือโลก ไม่ว่าเจ้าจะอยากทำสิ่งใด พ่อแม่ของเจ้าก็จะบอกเจ้าเสมอว่า “รั้วต้องมีสามเสาฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีคนอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น” แล้วหลักการรับมือโลกแบบนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) มีอะไรผิด? (การที่คนคนหนึ่งจะทำสิ่งทั้งหลายได้สำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นกับอำนาจหรือความสามารถของพวกเขา แต่ขึ้นกับอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า) นั่นขึ้นอยู่กับอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า นี่คือแง่มุมหนึ่ง นอกจากนี้ จุดมุ่งหมายที่ผู้คนอยากให้ผู้อื่นช่วยเหลือตนในสังคมคืออะไร? (เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่เหนือผู้อื่นได้) ถูกต้อง จุดมุ่งหมายเบื้องหลังการมีเสาสามต้นไว้หนุนเจ้าก็เพื่อสร้างที่ทางให้กับตัวเองและให้เจ้ามีที่ยืนอันมั่นคง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถล้มเจ้าได้ และต่อให้เสาต้นหนึ่งถูกเตะล้ม เสาอีกสองต้นก็จะยังคอยหนุนเจ้าอยู่ตรงนั้น ผู้คนที่มีอำนาจในระดับหนึ่งย่อมสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้โดยง่ายในสังคมนี้ ไม่วิตกกังวลเรื่องกฎหมาย ความรู้สึกของผู้คน หรือความคิดเห็นของสาธารณชน นี่คือจุดมุ่งหมายของผู้คนมิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะสามารถกลายเป็นคนที่มีสิทธิ์ขาดและมีเสียงในสังคม ทั้งกฎหมายและความคิดเห็นของสาธารณชนจะไม่สามารถสั่นคลอนฐานรากของเจ้าหรือทำให้เจ้าพะวักพะวนได้ เจ้าจะเป็นคนตัดสินชี้ขาดเรื่องกระแสนิยมในสังคมนี้และในกลุ่มสังคมใดก็ตาม เจ้าจะเป็นผู้มีอำนาจที่ทุกคนพึ่งพา แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าย่อมจะสามารถทำตามใจชอบได้มิใช่หรือ? เจ้าสามารถอยู่เหนือกฎหมาย อยู่เหนือความรู้สึกของผู้คน ผงาดเหนือความคิดเห็นของสาธารณชน อยู่เหนือศีลธรรมและการกล่าวโทษของมโนธรรม นี่คือจุดมุ่งหมายที่ผู้คนอยากสัมฤทธิ์ใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือจุดมุ่งหมายที่ผู้คนต้องการสัมฤทธิ์ นี่คือรากฐานสำคัญในการกระทำของผู้คนที่ทำให้พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตน เจ้าดูเอาเถิด บางคนกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานในสังคม ในหมู่พวกเขานั้น พี่ชายเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทบางแห่ง น้องชายเป็นประธานของกลุ่มบริษัทบางแห่ง ส่วนคนอื่น บ้างก็เป็นนักการเมืองหรือนายใหญ่ของโลกมิจฉาชีพ บางคนมีเพื่อนฝูงเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือหัวหน้าแผนกศัลยกรรม หรือหัวหน้าพยาบาล และบางคนก็มีเพื่อนดีๆ ในสายงานของตนอยู่บ้าง แท้จริงแล้วผู้คนคบเพื่อนเหล่านี้เพราะมีทัศนะและความสนใจที่ตรงกันใช่หรือไม่? หรือเพราะแท้จริงแล้วพวกเขาอยากร่วมกันค้ำชูเหตุอันควร? (ไม่ใช่) ถ้าเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงทำแบบนั้น? พวกเขาทำเช่นนั้นเพราะอยากรวบรวมอำนาจบางอย่าง ขยายและยกระดับอำนาจนี้ แล้วในที่สุดก็พึ่งพาอำนาจนี้เพื่อที่จะมีที่ยืนและอยู่รอดในสังคม ใช้ชีวิตอยู่เหนือคนอื่น และสุขสำราญกับชีวิตที่หรูหราและตามใจตนเอง จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเขา และต่อให้พวกเขาก่ออาชญากรรมเอาไว้ กฎหมายก็จะไม่กล้าลงโทษพวกเขา และถ้าพวกเขาก่ออาชญากรรมขึ้นมา เพื่อนๆ ของพวกเขาก็จะก้าวออกมาช่วยเหลือ เพื่อนคนหนึ่งจะพูดแทนพวกเขา เพื่อนอีกคนจะช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องต่างๆ ในศาลและวิ่งเต้นในหมู่นักการเมืองอาวุโสเพื่อขอลดหย่อนผ่อนโทษให้ แล้วพวกเขาก็จะออกจากสถานีตำรวจภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไม่ว่าอาชญากรรมที่พวกเขาก่อจะร้ายแรงเพียงใด ก็จะไม่มีผลตามมา และพวกเขาก็จะไม่ต้องเสียแม้แต่ค่าปรับ ท้ายที่สุดแล้ว ชาวบ้านทั่วไปก็จะพูดกันว่า “โอ้โฮ คนคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ หลังจากทำความผิดร้ายแรงอย่างนั้น พวกเขาพาตัวเองให้พ้นผิดเร็วปานนั้นได้อย่างไร? นี่ถ้าเป็นพวกเราคงจบสิ้นไปแล้ว ว่าไหม? พวกเราย่อมจะลงเอยในคุกไม่ใช่หรือ? ดูเพื่อนๆ ของพวกเขาสิ ทำไมพวกเราถึงหาเพื่อนอย่างนั้นบ้างไม่ได้นะ? ทำไมพวกเราถึงเอื้อมไม่ถึงผู้คนแบบนั้น?” แล้วผู้คนก็จะพากันอิจฉา เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะความอยุติธรรมในสังคมและการอุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่องของกระแสนิยมชั่วในสังคม ผู้คนไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยในสังคมนี้เลย พวกเขาอยากประจบเอาใจกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มและเปรียบเทียบกลุ่มอิทธิพลของกันและกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ฐานล่างของสังคม ต่อให้พวกเขามีลู่ทางทำมาหากินอยู่บ้าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะเผชิญอันตรายหรือความยุ่งยาก และกลัวที่สุดว่าจะพบเจอความวิบัติบางอย่างที่คาดไม่ถึง หรือเผชิญเหตุร้ายบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินชีวิตโดยไม่เคยอยากข้องเกี่ยวกับตำรวจหรือศาลเลย ด้วยเหตุที่ผู้คนไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยในสังคมนี้ พวกเขาจึงต้องผูกมิตรและหาพันธมิตรที่มีอำนาจไว้พึ่งพาอยู่เสมอ เจ้าดูเอาเถิด เวลาเด็กเล็กอยู่ที่โรงเรียน พวกเขาต้องหาเพื่อนเล่นไว้สักสองหรือสามคน มิฉะนั้นพวกเขาก็จะลงเอยด้วยการถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอเวลาอยู่คนเดียว และพวกเขาก็ไม่กล้าบอกครูเรื่องถูกแกล้ง เพราะพอทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะถูกทุบตีระหว่างทางกลับบ้านจากโรงเรียนเป็นแน่ ต่อให้ครูทั้งหลายดีกับเจ้าและผลการเรียนของเจ้าก็ค่อนข้างดี ถ้าเจ้าไม่รู้วิธีผูกมิตรหรือเข้าพวกกับอันธพาลรอบตัวเจ้า สุดท้ายเจ้าก็จะเดือดร้อนถ้าไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ และในบางครั้ง แม้เจ้าไม่ได้ทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็จะพยายามชักนำให้เจ้าหลงผิดเวลาเห็นเจ้าเรียนดี และถ้าเจ้าไม่ฟังพวกเขา เจ้าก็จะถูกซ้อมหรือรังแก แม้กระทั่งสภาพแวดล้อมที่โรงเรียนก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นโลกนี้จึงน่ากลัวโดยแท้ เจ้าว่าไหม? เพราะฉะนั้น ผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้าในแง่นี้ นัยหนึ่งจึงมาจากอิทธิพลของพ่อแม่ที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และอีกนัยหนึ่งก็มาจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ผู้คนมีต่อสังคม ด้วยเหตุที่ไม่มีความยุติธรรมในสังคมนี้ และไม่มีอำนาจหรือความได้เปรียบอันใดที่สามารถปกป้องสิทธิมนุษยชนและผลประโยชน์ให้เจ้าได้ ผู้คนจึงมักจะถูกความหวาดหวั่นและความกลัวที่มีต่อสังคมนี้รุมเร้า ผลก็คือพวกเขายอมรับผลพวงของการปลูกฝังพฤติกรรมตามแนวคิดที่ว่า “รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีคนอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น” ไปโดยปริยาย เนื่องจากในสภาพแวดล้อมจริงที่ผู้คนดำรงอยู่กันนั้นจำเป็นต้องมีแนวคิดและทัศนะเช่นนี้คอยสนับสนุนความอยู่รอดของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนชีวิตที่โดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาให้เป็นชีวิตที่มีการพึ่งพาและรู้สึกปลอดภัย ดังนั้น ผู้คนจึงมองการพึ่งพากลุ่มอิทธิพลและพึ่งพาเพื่อนฝูงในโลกนี้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ในเรื่องของวิธีการที่ผู้คนได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวนั้น นอกจากการใช้คำกล่าวที่พวกเราเพิ่งเอ่ยถึงไปเมื่อครู่ นั่นคือ “รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีคนอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น” ยังมีบางวิธีการที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้นซึ่งครอบครัวนำมาอบรมสั่งสอนผู้คนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น พ่อแม่มักจะอบรมสั่งสอนลูกสาวของตนด้วยการกล่าวทำนองที่ว่า “‘สตรีประทินโฉมเพื่อให้คนชื่นชม ส่วนบุรุษสละชีพเพื่อคนรู้ใจ’ รวมทั้ง ‘ในโลกนี้ไม่มีสตรีอัปลักษณ์ มีแต่ผู้หญิงที่เกียจคร้าน’ ผู้หญิงต้องเรียนรู้ที่จะรักตนเอง แต่งตัวดีๆ และทำตัวให้งามสรรพ เช่นนั้น ไม่ว่าลูกจะไปที่ไหน ผู้คนก็จะชอบลูก จะมีผู้คนทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกและเปิดโอกาสให้ลูกมากขึ้น ถ้าผู้คนชอบลูก เช่นนั้นย่อมแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ลูกลำบากหรือยุ่งยาก” พ่อแม่บางคนบอกลูกสาวของตนว่า “สาวๆ ต้องเรียนรู้ที่จะแต่งตัวดีๆ รู้จักแต่งหน้า และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือต้องหัดทำตัวอ่อนโยน” แท้จริงแล้วพวกเขากำลังกล่าวว่าเจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอวดตนเอง พวกเขายังกล่าวทำนองที่ว่า “อย่าเป็นหญิงแกร่ง มีประโยชน์อะไรที่ผู้หญิงจะทำตัวแข็งแกร่งและพึ่งพาตนเองได้อย่างนั้น? ผู้หญิงแบบนั้นไม่เคยแต่งตัวสวยงาม แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนผู้ชาย เร่งรีบวุ่นวายทั้งวัน และไม่อ่อนโยนอีกด้วย ผู้หญิงเกิดมาเพื่อให้ผู้ชายรักใคร่เอาใจ พวกเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองหรือเรียนรู้ทักษะใดๆ แค่ต้องหัดแต่งตัวสวยๆ ฝึกเอาใจผู้ชาย และทำสิ่งที่ผู้หญิงควรทำให้ดีก็พอแล้ว ผู้หญิงที่ผู้ชายชื่นชอบและทะนุถนอมย่อมจะมีความสุขไปชั่วชีวิต” ผู้หญิงบางคนถูกพ่อแม่ปลูกฝังในแง่นี้ ด้านหนึ่งพวกเธอก็ดูว่าแม่ของพวกเธอประพฤติตนในฐานะผู้หญิงอย่างไร อีกด้านหนึ่ง หลังจากถูกพ่อแม่ปลูกฝังไว้แล้ว พวกเธอก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิงที่ชวนมองอย่างแท้จริง โดยแต่งตัวดีและทำตัวให้สวยงามอยู่ตลอดเวลา มีผู้คนเช่นนี้อยู่หรือไม่? (มี) ผู้หญิงที่โตมาในสภาพแวดล้อมทางครอบครัวแบบนี้ย่อมให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับรูปลักษณ์ เสื้อผ้า และความเป็นผู้หญิงของตน พวกเธอจะไม่ออกจากบ้านโดยไม่แต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ผู้หญิงบางคนไม่ว่าจะยุ่งกับงานเพียงใดก็ต้องสระผม อาบน้ำ และฉีดน้ำหอมก่อนออกจากบ้าน ไม่เช่นนั้นพวกเธอจะไม่ยอมออกไปไหนแน่ แล้วพอไม่มีอะไรทำ พวกเธอก็เอาแต่ส่องกระจกและจัดแต่งทรงผม ใครจะรู้ว่าผู้หญิงพวกนี้ส่องกระจกกันวันละกี่ครั้ง! พวกเธอถูกปลูกฝังอย่างลึกซึ้งด้วยแนวคิดและทัศนะต่างๆ เช่น “สตรีประทินโฉมเพื่อให้คนชื่นชม ส่วนบุรุษสละชีพเพื่อคนรู้ใจ” ดังนั้นพวกเธอจึงเอาใจใส่รูปร่างและหน้าตาของตนเป็นอย่างมาก ถ้าผิวพรรณดูแย่ลงแม้เพียงนิดเดียว พวกเธอก็จะไม่ออกไปข้างนอก และถ้ามีสิวขึ้นบนใบหน้า ก็จะไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า ถ้าวันหนึ่งพวกเธอไม่มีอารมณ์แต่งหน้า พวกเธอก็จะไม่ออกไปไหน หรือถ้าไปตัดผมมา แต่ดูไม่ค่อยสวย และพวกเธอก็ดูไม่ค่อยน่ามองนัก พวกเธอก็จะไม่ออกไปทำงาน เผื่อว่าผู้คนจะมองพวกเธอในแง่ที่ไม่ดี ผู้หญิงแบบนี้ใช้ชีวิตทั้งวันเพื่อสิ่งเหล่านี้ ถ้ามียุงกัดมือ พวกเธอก็จะซ่อนมือไม่ให้ใครเห็น หรือถ้ามีรอยกัดอยู่ที่ขา พวกเธอก็จะสวมเสื้อผ้าที่คลุมขาเอาไว้เพราะถ้าใส่กระโปรง พวกเธอก็จะดูไม่สวย และพวกเธอก็จะไม่ออกไปข้างนอกและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เช่นกัน เรื่องเล็กน้อยทุกเรื่องสามารถทำให้พวกเธอไม่ชอบใจและหยุดชะงักได้ทั้งสิ้น จากนั้นชีวิตก็จะเริ่มยากเย็นและเหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกเธออย่างยิ่ง เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสตรีและหลีกเลี่ยงการกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ พวกเธอทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการดูแลหน้าตา รูปร่าง และทรงผมของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นหญิงอัปลักษณ์ พวกเธอละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีและความเกียจคร้านที่เคยมี ไม่ว่าจะงานยุ่งเพียงใด พวกเธอก็ต้องแต่งตัวและพิถีพิถันประดับประดาตัวเองให้งดงาม ถ้าเขียนคิ้วไม่ดี พวกเธอก็เขียนใหม่ ถ้าปัดแก้มไม่เสมอกัน พวกเธอก็ปัดใหม่ หากไม่ได้ใช้เวลาแต่งหน้าอย่างน้อยหนึ่งหรือสองชั่วโมง พวกเธอจะไม่ก้าวออกจากประตูบ้าน หญิงบางคนนั้น ทันทีที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็เริ่มพิธีรีตองทั้งปวงด้วยการอาบน้ำ แต่งตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเธอคิดแล้วคิดอีก ลองนี่ลองนั่นจนเที่ยงวันก็ยังไม่ได้ออกจากบ้าน การที่สิ่งไร้สาระเหล่านี้เอาเวลาและเรี่ยวแรงที่มีอยู่อย่างจำกัดของพวกเธอไปหมด ต้องเป็นเรื่องยากเข็ญสำหรับพวกเธอเป็นอย่างมาก พวกเธอไม่ได้ลงมือทำอะไรจริงจังเลย และทันทีที่ลืมตาขึ้นมา พวกเธอก็คิดแต่เรื่องแต่งตัวและทำตัวให้สวยงาม ผู้คนเหล่านี้บางส่วนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและทัศนะของผู้เป็นแม่ ขณะที่บางส่วนก็มีแม่คอยบอกอย่างชัดเจนว่าควรทำสิ่งใดบ้าง และบางส่วนก็เรียนรู้จากตัวอย่างที่แม่ของพวกเธอทำให้ดู สรุปแล้ว ทั้งหมดนี้คือวิธีการผู้คนได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว
บางครอบครัวก็ยึดทัศนะที่ว่า “ควรเลี้ยงลูกสาวอย่างลูกคนรวย เลี้ยงลูกชายเหมือนลูกคนจน” พวกเจ้าเคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือไม่? (ข้าพระองค์เคยได้ยิน) คำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร? ทุกคนคือลูก แล้วทำไมควรเลี้ยงเด็กผู้หญิงอย่างลูกคนรวย เลี้ยงเด็กผู้ชายเหมือนลูกคนจน? วัฒนธรรมดั้งเดิมโดยส่วนใหญ่ให้ค่ากับผู้ชายและให้ความสำคัญกับผู้หญิงน้อยกว่า แล้วเหตุใดคำกล่าวนี้จึงดูเหมือนให้ค่าเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย? ถ้าเลี้ยงลูกสาวอย่างลูกคนรวย เธอจะกลายเป็นลูกสาวแบบไหน? เธอจะกลายเป็นคนเช่นไร? (คนที่ถูกตามใจจนค่อนข้างเหลิง ทะนงตน และชอบบงการคนอื่น) คนที่เอาแต่ใจ เปราะบาง ไม่สามารถทนรับความยากลำบากใดๆ ไม่สามารถเอาใจใส่ผู้อื่น ไม่มีความสมเหตุสมผล ไร้เหตุผล และไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว—คนแบบนี้จะเป็นอะไรได้บ้าง? นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการอบรมสั่งสอนใครสักคนหรือไม่? (ไม่ใช่) การเลี้ยงใครสักคนให้เติบใหญ่ด้วยวิธีนี้ย่อมจะทำลายพวกเขา ถ้าเจ้าเลี้ยงลูกสาวอย่างลูกคนรวย แม้ลูกจะโตมาในสภาพครอบครัวที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานทุกอย่างของลูกได้ และตัวลูกสาวก็รู้จักเข้าสังคมพอสมควร แต่ลูกจะเข้าใจหลักการวางตนที่แท้จริงหรือไม่? ถ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วแนวทางเลี้ยงลูกสาวแบบนี้ก็กำลังทำร้ายและทำอันตรายลูกแทนที่จะเป็นการปกป้องเธอ แรงจูงใจของพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกสาวตามหลักการนี้คืออะไร? ลูกสาวที่เลี้ยงมาแบบนี้ย่อมจะรู้จักการเข้าสังคมและไม่ตกหลุมพรางของพวกผู้ชายที่ซื้อชุดสวยๆ ให้เงินไว้ใช้นิดหน่อย หรือปรนเปรอด้วยของขวัญและการเอาอกเอาใจเล็กๆ น้อยๆ โดยง่าย เพราะฉะนั้น ผู้ชายทั่วไปจะไม่ทำให้เธอหลงรักหัวปักหัวปำ เขาจะต้องรวยมาก เป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบ เข้าสังคมเก่งมาก เจ้าอุบาย ช่างคิดคำนวณ และฉลาดเป็นกรดเพื่อที่จะเอาชนะใจเธอ ทำให้เธอหลงรัก และขอเธอแต่งงานได้สำเร็จ เจ้าคิดว่าการให้ลูกสาวของเจ้าแต่งงานกับคนแบบนั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี? ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนใช่ไหม? นอกจากนี้ ถ้าเจ้าเลี้ยงลูกสาวอย่างลูกคนรวย เช่นนั้นแล้ว นอกจากรู้วิธีสุขสำราญ แต่งตัว และกินอาหารดีๆ เธอจะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนเช่นไร? เธอจะมีทักษะในการเอาตัวรอดบ้างหรือไม่? จะสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นไปได้นานหรือเปล่า? ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเช่นนั้น เธออาจจะมีปัญหาในการจัดการชีวิตของตนให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ผู้คนเช่นนี้ย่อมไร้ประโยชน์ พวกเธอถูกตามใจจนเหลิง เจ้ายศเจ้าอย่าง และชอบบงการ เอาแต่ใจและไม่ไว้หน้าใคร ตามใจตัวเองและยกตนข่มผู้อื่น ดึงดันและไม่ประนีประนอม รู้จักแต่กิน ดื่ม และสนุกสนาน นอกจากทั้งหมดนั้นแล้ว เธอจะไม่มีแม้แต่สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีไว้ประคองชีวิตให้รอด ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในการอยู่รอดและชีวิตครอบครัวของเธอในอนาคตโดยที่เธอไม่ทันสังเกต การที่พ่อแม่ของเธออบรมสั่งสอนลูกสาวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี พวกเขาไม่สอนหลักการวางตนให้แก่เธอ เอาแต่สอนว่าจะสุขสำราญกับชีวิตได้อย่างไร ดังนั้นในอนาคต ถ้าเธอไม่สามารถหาเงินได้มากพอ เธอก็จะต้องสู้ทนความยากลำบากมิใช่หรือ? แล้วเธอจะไม่พบว่าการใช้ชีวิตเป็นเรื่องยากหรอกหรือ? เธอจะสามารถสู้ทนได้หรือไม่? เธอจะไม่เปราะบางยามที่เผชิญความยุ่งยากในอนาคตเช่นนั้นหรือ? เธอจะมีความมานะบากบั่นที่จำเป็นต่อการเผชิญหน้าความยากลำบากทั้งหมดนี้กระนั้นหรือ? อย่าได้มั่นใจไปเลย เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่สุขสำราญกับชีวิตทางวัตถุมากเกินไป เคยชินกับชีวิตที่หรูหราและสุขสบายมากเกินไป และไม่เคยทนทุกข์อะไรเลย ปัญหาใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอคืออะไร? ก็คือพวกเธอย่อมเปราะบางและไม่มีเจตจำนงที่จะสู้ทนความยากลำบาก ผู้คนแบบนี้ย่อมจะพบกับความหายนะ ดังนั้น การอบรมสั่งสอนที่ลูกๆ ได้รับมาจากครอบครัว ไม่ว่าจะผ่านทางพ่อแม่ของตนหรือผ่านทางกระแสนิยมทางสังคม โดยแก่นแท้แล้วย่อมมาจากมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าคำกล่าวนานาประการเหล่านี้จะกลายเป็นแนวคิดหรือมุมมอง หรือกลายเป็นวิถีชีวิตหรือวิธีอยู่รอดของผู้คน คำกล่าวเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนมองปัญหาเหล่านี้ด้วยมุมมองที่สุดโต่ง มีอคติ และบิดเบี้ยว สรุปแล้ว คำกล่าวทั้งหลายที่มาจากครอบครัวนี้มีอิทธิพลไม่มากก็น้อยต่อวิธีที่คนเราใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่คนเราใช้วางตนและกระทำการ และในเมื่อสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้า ก็ย่อมมีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคำกล่าว แนวคิด และทัศนะที่มาจากพ่อแม่ของคนเราจะสูงส่งและประเสริฐ หรือตื้นเขินและไร้ความคิดเพียงใด ทุกคนก็ควรตรวจสอบดูใหม่ ประเมินกันใหม่ และเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะว่าคำกล่าว แนวคิด และทัศนะเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเช่นใด ถ้าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเจ้าอยู่บ้าง หรือรบกวนชีวิตและการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า หรือทำให้ชีวิตของเจ้ายุ่งเหยิงไปหมด หรือขัดขวางเจ้าจากการแสวงหาความจริงและยอมรับความจริงเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญหน้าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปล่อยไปเท่านั้น
ยังมีคำกล่าวอ้างที่แพร่หลายอยู่ในสังคมเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว และระดับเชาวน์ปัญญาหรือไอคิว คำกล่าวอ้างเหล่านี้ระบุว่าผู้คนไม่จำเป็นต้องมีไอคิวสูง เพียงแต่ต้องมีอีคิวสูงเท่านั้น ไอคิวเกี่ยวพันกับขีดความสามารถของคนคนหนึ่งมากกว่า ส่วนอีคิวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลเม็ดที่คนคนหนึ่งใช้รับมือกับโลกมากกว่า นี่คือความเข้าใจเบื้องต้นที่เรามีต่อศัพท์สองคำนี้ บางทีระดับเชาวน์ปัญญาของเจ้าอาจจะสูงมาก และเจ้าก็เก่งทางด้านวิชาการจริงๆ รอบรู้ เป็นนักสื่อสารตัวยง และความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้าก็แข็งแกร่งทีเดียว แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้าไม่สูงนัก และเจ้าก็ไม่มีกลเม็ดอะไรไว้รับมือกับโลก หรือต่อให้เจ้ารู้จักพลิกแพลงบ้าง วิธีการของเจ้าก็ไม่ค่อยแยบยลนัก ในกรณีเช่นนี้ ความรู้ ทักษะ และความชำนาญที่เจ้ามีในสาขาเฉพาะด้านรังแต่ทำให้เจ้าสามารถประคองตัวอยู่ในสังคมและหาเลี้ยงชีพในขั้นพื้นฐานได้เท่านั้น ผู้คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงย่อมเหลี่ยมจัดเป็นพิเศษ พวกเขาจะใช้ประโยชน์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในสังคม สภาพภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบหรือโอกาสที่เป็นใจ และข้อมูลข่าวสารที่ได้เป็นประโยชน์มาสร้างแรงกระพือและบงการสิ่งต่างๆ ขยายบางสิ่งที่ไม่มีความสำคัญให้กลายเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสังคมหรือชุมชน เพื่อให้ตนมีชื่อเสียงและโดดเด่นจากฝูงชนในท้ายที่สุด กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงและสถานะ คนประเภทนี้มีความฉลาดทางอารมณ์สูงและมีเล่ห์เหลี่ยม ผู้คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมโดยเนื้อแท้แล้วก็คือราชาปีศาจเจ้าเล่ห์ สังคมทุกวันนี้ส่งเสริมให้มีความฉลาดทางอารมณ์สูง และบางครอบครัวก็อาจปลูกฝังให้ลูกๆ ของตนเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งโดยกล่าวว่า “ดีแล้วที่ลูกมีไอคิวสูง แต่ก็ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์สูงด้วย ลูกจำเป็นต้องใช้อีคิวเวลามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมงาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง สิ่งที่สังคมนี้ให้การสนับสนุนมากที่สุดไม่ใช่ความแข็งแกร่งของลูก แต่เป็นการมีกลเม็ด รู้วิธีสร้างภาพให้ตัวเอง รู้ว่าจะส่งเสริมตัวเองอย่างไร จะใช้ประโยชน์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ และภาวะที่ได้เปรียบในสังคมทั้งปวงอย่างไร และทำให้ทั้งหมดนั้นเอื้อประโยชน์และรับใช้ลูกอย่างไร—ไม่ว่าลูกจะทำเช่นนี้เพื่อฉวยโอกาสทำเงินหรือสร้างชื่อเสียงก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ล้วนเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง” โดยเฉพาะบางครอบครัวหรือพ่อแม่บางคนที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศในสังคมมักจะอบรมสั่งสอนลูกๆ กันแบบนี้ โดยกล่าวว่า “ผู้ชายที่มีความฉลาดทางอารมณ์นั้นเป็นที่ชื่นชอบของทั้งชายและหญิง ส่วนชายที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมไม่มีใครชื่นชอบ ผู้หญิงที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะเป็นที่ชื่นชอบของชายและหญิงทั้งปวง และจะมีผู้ชายมากมายติดตามเธอ แต่ถ้าผู้หญิงไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ไม่ว่าเธอจะสะสวยเพียงใดก็จะมีน้อยคนนักที่จะติดตามเธอ” การใช้ชีวิตในสังคมทุกวันนี้ ถ้าผู้คนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวอ้างเหล่านี้ของครอบครัว พวกเขาก็จะถูกแนวคิดและทัศนะทั้งหลายนี้ครอบงำโดยไม่รู้ตัว มักจะประเมินไอคิวของตนเองกันบ่อยๆ และยิ่งกว่านั้นก็คือมักจะใช้มาตรฐานบางอย่างมาตรวจสอบตนเองเพื่อพิจารณาว่าตนมีความฉลาดทางอารมณ์หรือไม่ และแท้จริงแล้วตนมีอีคิวสูงเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะตระหนักรู้เรื่องเหล่านี้มากหรือน้อยและชัดเจนหรือไม่ก็ตาม สรุปว่าผลพวงของการปลูกฝังโดยครอบครัวของเจ้าในด้านนี้ย่อมจะเริ่มครอบงำเจ้าไปแล้ว ผลพวงดังกล่าวอาจจะไม่ชัดเจน และอาจจะไม่มีที่ทางอย่างเด่นชัดในความนึกคิดของเจ้า แต่เมื่อเจ้าได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้แล้วไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ เจ้าย่อมจะเริ่มถูกปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ไว้ในระดับหนึ่งแล้ว
ยังมีผลพวงอื่นๆ ของการปลูกฝังพฤติกรรมที่มาจากครอบครัวของคนเราอีก ตัวอย่างเช่น พ่อแม่มักจะบอกลูกๆ ของตนว่า “เวลาอยู่กับคนอื่น ลูกกลับไม่มีไหวพริบพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ทำตัวโง่เขลาและไม่รู้ประสาอยู่เสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา’ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีคนคุยด้วย ลูกต้องหัดฟังสิ่งที่พวกเขาพูด ไม่เช่นนั้นลูกจะลงเอยด้วยการถูกหักหลังและจ่ายค่าประสบการณ์นั้น!” พ่อแม่บางคนมักพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? จริงๆ แล้วพวกเขาพยายามที่จะบอกอะไร? อย่าเป็นคนซื่อสัตย์ จงคิดคำนวณให้มากขึ้น ซึ่งก็คือให้อ่านความนัยที่แฝงอยู่ในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดเสมอ เงี่ยหูฟังความหมายที่ซ่อนเร้นในคำพูดที่พวกเขาไม่ได้กล่าวออกมาเสมอ เรียนรู้ที่จะคาดเดาว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร จากนั้นจึงนำแนวทางหรือกลเม็ดที่สอดคล้องกับความหมายที่ไม่ได้กล่าวออกมานั้นมาใช้ จงอย่านิ่งเฉย มิฉะนั้นเจ้าจะลงเอยด้วยการถูกทรยศและจ่ายค่าบทเรียนนั้น จากมุมมองของพ่อแม่ คำพูดเหล่านี้ล้วนมีเจตนาดี และหมายที่จะปกป้องเจ้าไม่ให้ทำสิ่งที่โง่เขลาหรือถูกผู้อื่นในชุมชนอันชั่วร้ายนี้หักหลัง และปกป้องเจ้าจากการถูกหลอกหรือทำเรื่องเบาปัญญา แต่คำกล่าวนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่) ไม่สอดคล้องกับความจริง บางครั้งผู้คนก็สามารถเงี่ยหูฟังความหมายที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวได้ ต่อให้เจ้าไม่ได้ให้ความสนใจ เจ้าก็ยังคงฟังความหมายที่ซ่อนเร้นออก แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? ตามคำกล่าวที่พ่อแม่ของเจ้าบอกเจ้าว่า—“เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา”—นี้ เจ้าก็ควรระแวดระวังผู้อื่นและตื่นตัวตลอดเวลาที่อยู่กับพวกเขา และในเวลาเดียวกับที่ระวังตัวจากพวกเขา เจ้าก็ควรมีมาตรการป้องกันตัวก่อนที่พวกเขาจะทำอันตรายหรือหลอกลวงเจ้า ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเจ้าควรโจมตีก่อนและไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายตั้งรับหรือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่พ่อแม่ของเจ้าต้องการสัมฤทธิ์ด้วยการบอกคำกล่าวนี้แก่เจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) เป้าหมายก็คือเมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าพวกเขาจะทำร้ายเจ้าหรือไม่ เจ้าก็ไม่ควรนิ่งเฉย เจ้าควรเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน และถือมีดเอาไว้ในมือ เพื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคนอยากทำร้ายเจ้า ไม่เพียงเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้เท่านั้น แต่เจ้ายังจะสามารถเป็นฝ่ายเล่นงานและทำร้ายพวกเขาก่อน กลายเป็นฝ่ายที่น่าเกรงขามและอำมหิตกว่าพวกเขาอีกด้วย แท้จริงแล้วนี่คือจุดมุ่งหมายและความหมายที่แท้จริงในคำพูดของพ่อแม่ของเจ้า ถ้าวิเคราะห์กันเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้สอดคล้องกับความจริง และไม่ตรงกับความหมายของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเมื่อพระองค์ตรัสบอกผู้คนว่า “เพราะฉะนั้นจงเฉลียวฉลาดเหมือนงู และไร้พิษภัยเหมือนนกพิราบ” หลักธรรมและหนทางแห่งปัญญาที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนนั้นคือการช่วยให้พวกเขามีวิจารณญาณแยกแยะกลอุบายอันแยบยลของผู้อื่น ปกป้องพวกเขาจากการตกอยู่ในการทดลองและคบค้าสมาคมกับคนชั่ว เว้นจากการใช้หนทางชั่วมารับมือความชั่ว แต่ใช้หลักธรรมความจริงมาจัดการกับการทำชั่วและคนชั่วแทน ส่วนวิธีการที่พ่อแม่สอนลูกๆ ว่า—“เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา”—ก็คือการตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายหนึ่งชั่ว เจ้าก็ควรที่จะชั่วให้มากกว่าพวกเขา ถ้าคำพูดของพวกเขาซุกซ่อนความหมายเอาไว้ เจ้าก็ต้องเหนือกว่าพวกเขาและสามารถระบุความหมายนั้นให้ได้ และพร้อมกันนั้นเจ้าก็ต้องสามารถใช้วิธีการและเล่ห์เหลี่ยมที่สอดรับกับความหมายที่ซุกซ่อนอยู่นี้มารับมือพวกเขา ต้านทาน กำราบ และทำให้พวกเขากลัวเกรงและนบนอบเจ้า ทำให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ยอมให้รังแกหรือหาเรื่องด้วยได้ นี่คือความหมายของการตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว เห็นได้ชัดว่าเส้นทางปฏิบัติและหลักเกณฑ์ของการปฏิบัติที่สื่อสารกับเจ้ารู้และผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากคำกล่าวนี้จะพาให้เจ้าทำความชั่วและเบี่ยงเบนออกจากหนทางที่แท้จริง เมื่อพ่อแม่ของเจ้าบอกให้เจ้าประพฤติตนเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นคนที่มีความจริงหรือคนที่นบนอบความจริง และไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงเลย พวกเขากำลังขอให้เจ้าตอบโต้และสยบความชั่วโดยใช้วิธีที่ชั่วยิ่งกว่าวิธีของคนชั่วที่กำลังประจันหน้าเจ้าอยู่ นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าหมายที่จะพูด มีพ่อแม่คนใดกล่าวดังต่อไปนี้บ้างไหม? ว่า “ถ้าคนชั่วเล่นงานลูก ก็ให้ใช้ความยับยั้งชั่งใจ ลูกควรเพิกเฉยต่อเขาและดูให้ออกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นใด ข้อแรก ให้ระบุแก่นแท้ของคนชั่วในตัวเขา และดูให้ออกว่าเขาเป็นคนเช่นใด ข้อสอง ให้ตระหนักรู้การกระทำชั่วและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวเจ้าที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับของเขา จากนั้นจึงแสวงหาความจริงมาแก้ไข” มีพ่อแม่คนใดบอกลูกของตนเช่นนี้บ้าง? (ไม่มี) เมื่อพ่อแม่ของเจ้าบอกเจ้าว่า “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา ลูกก็ต้องระวังไว้ ไม่เช่นนั้นลูกจะลงเอยด้วยการถูกคนอื่นทรยศและจ่ายราคาให้กับบทเรียนนั้น และลูกต้องเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายเล่นงานก่อน” ไม่ว่าเดิมทีพ่อแม่ของเจ้าจะมีเจตนาเช่นใดในการกล่าวเช่นนี้ หรือผลสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุดนั้นเป็นเช่นใด นี่ย่อมทำให้เจ้ายิ่งน่าเกรงขามมากขึ้น มีอำนาจ เจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบบงการ และร้ายกาจมากขึ้นอีก เพื่อให้คนชั่วกลัวเจ้าและถึงกับหลบเลี่ยงเจ้าเมื่อพวกเขามองเห็นเจ้า ไม่กล้าหาเรื่องเจ้า เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้น สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าจุดมุ่งหมายที่พ่อแม่ของเจ้าสอนคำกล่าวนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่มีสำนึกของความยุติธรรม หรือเป็นคนที่มีความจริง และไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าเป็นคนมีปัญญาที่ “เฉลียวฉลาดเหมือนงู และไร้พิษภัยเหมือนนกพิราบ”? จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือบอกเจ้าว่าเจ้าต้องเป็นคนที่มีอำนาจในสังคม ต้องชั่วกว่าผู้อื่น และต้องเป็นคนที่ใช้ความชั่วปกป้องตัวเอง ใช่หรือไม่? (ใช่) เวลาพ่อแม่ของเจ้าบอกเจ้าว่า “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา” ไม่ว่านั่นจะเป็นเจตนาดั้งเดิมของพวกเขาหรือเป็นผลสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด และไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะบอกหลักการและวิธีปฏิบัติในการทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า หรือบอกเจ้าว่าพวกเขามีความคิดอ่านและทัศนะต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรตรงตามความจริง และสวนทางกับพระวจนะของพระเจ้า พ่อแม่ของเจ้าทำให้เจ้ากลายเป็นคนชั่ว ไม่ใช่คนที่ซื่อตรง และไม่ใช่คนมีปัญญาที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เห็นได้ชัดว่าการสอนและการปลูกฝังที่เจ้าได้รับจากพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง แม้พ่อแม่ของเจ้าหมายที่จะปกป้องเจ้าและมีเจตนาดีอย่างที่สุดในการทำเช่นนี้ แต่ผลที่พวกเขาสัมฤทธิ์กลับเลวร้าย ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังชี้เส้นทางที่ไม่ถูกต้องให้แก่เจ้า เป็นเหตุให้เจ้าทำความชั่วและกลายเป็นคนชั่ว ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปกป้องเจ้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขายังทำร้ายเจ้าด้วยการทำให้เจ้าตกอยู่ในการทดลองและความไม่ชอบธรรม ออกห่างจากการดูแลและคุ้มครองของพระเจ้า จากมุมมองนี้ ผลพวงของการปลูกฝังที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้าจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้าเห็นแก่ตัว หน้าซื่อใจคด และละโมบชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะทางสังคมมากกว่า ทั้งยังทำให้เจ้าปรับตัวเข้ากับกระแสนิยมชั่วได้ดีขึ้น มอบกลโกงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้เจ้ากลิ้งกลอก ร้ายกาจ เจ้ายศเจ้าอย่าง และชอบบงการเวลาอยู่กับผู้อื่น จะได้ไม่มีใครกล้าวุ่นวายหรือแตะต้องเจ้า ตามมุมมองของพ่อแม่ของเจ้า พวกเขาใช้วิธีการเหล่านี้ปลูกฝังเจ้าเพื่อให้เจ้าได้รับการปกป้องในสังคม หรือให้เจ้ากลายเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีในระดับหนึ่ง แต่ตามมุมมองของความจริงแล้ว พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง พวกเขาทำให้เจ้าออกห่างจากคำสอนของพระเจ้าและวิธีการต่างๆ ที่พระเจ้าทรงใช้เตือนสอนการวางตนแก่เจ้า และพวกเขายังทำให้เจ้าออกห่างจากเป้าหมายที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าไล่ตามเสาะหามากขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าเจตนาดั้งเดิมของพ่อแม่ในการปลูกฝังและอบรมสั่งสอนเจ้าจะเป็นเช่นใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว แนวคิดทั้งหลายที่พวกเขาปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าก็นำเพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความว่างเปล่ามาให้เจ้า รวมถึงการประพฤติชั่วที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตและเผยให้เห็นเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ยังยืนยันให้เจ้าเห็นถึงผลพวงของการปลูกฝังเหล่านี้ในสังคม ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
สำหรับคำกล่าวซึ่งมาจากการปลูกฝังที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้า—เช่น “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา”—ถ้าพิจารณาแยกขาดจากกัน เจ้าย่อมจะไม่คิดอะไร เจ้าจะรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้ธรรมดาและแพร่หลายไปทั่ว ไม่มีปัญหาใหญ่โตในคำกล่าว แนวคิด และทัศนะเช่นนี้ อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้านำไปเทียบกับความจริง และใช้ความจริงชำแหละสิ่งเหล่านี้ในรายละเอียด ก็จะปรากฏชัดว่าแท้จริงแล้วมีปัญหาสำคัญในคำกล่าวเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่ของเจ้าบอกเจ้าอยู่เสมอว่า “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา” และเจ้าก็ใช้วิธีการดำรงอยู่เช่นนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจ้าพบปะผู้คน เจ้าย่อมจะคาดคะเนสิ่งต่างๆ อยู่ในจิตใต้สำนึกตลอดเวลาโดยไม่ทันรู้ตัว เช่น “นี่เขาหมายความว่าอย่างไร? ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น?” แล้วเจ้าก็จะคาดคะเนความคิดอ่านของผู้อื่นไปตามธรรมชาติ ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตามวิธีคิดที่ติดเป็นนิสัยนี้อยู่เสมอ ดังนั้นเจ้าก็จะไม่ใคร่ครวญความจริง หรือตรองว่าจะเข้ากับผู้อื่นได้อย่างไร อะไรคือหลักธรรมในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อะไรคือหลักธรรมในการการสื่อสารกับผู้อื่น หรือจะจัดการกับนัยที่เจ้าจับได้จากคำพูดของผู้คนอย่างไร หรือพระเจ้าตรัสสอนไว้ว่าอย่างไร หรือจะใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนจำพวกนี้อย่างไร หรือจะรับมือพวกเขาอย่างไร ตลอดจนหลักปฏิบัติอื่นๆ ในทำนองนี้ที่พ่อแม่ของเจ้าไม่เคยบอกให้เจ้ารู้ สิ่งที่พ่อแม่บอกเจ้าก็คือให้เรียนรู้ที่จะเดาความคิดอ่านของผู้คน และเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามวิธีนี้อย่างดียิ่งจนถึงจุดที่เจ้าชำนาญแล้ว และไม่อาจเลิกทำเช่นนี้ได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น ประเด็นปัญหาเหล่านี้จึงต้องการผู้คนสงบลง ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และทุ่มเทความพยายามในการค้นหาคำตอบเสมอ นัยหนึ่ง เจ้าควรชำแหละและแยกแยะปัญหาเหล่านี้ให้ชัดเจน อีกนัยหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เจ้าควรพยายามเปลี่ยนวิธีคิด รวมทั้งวิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายของตนอีกด้วย นั่นคือ เจ้าควรเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของเจ้าในการจัดการกับเรื่องดังกล่าว ครั้งต่อไปเมื่อเจ้าฟังใครสักคนพูด และพยายามคาดคะเนว่าแท้จริงแล้วพวกเขาหมายที่จะกล่าวว่าอย่างไร จงปล่อยมือจากวิธีคิดและวิธีรับมือผู้คนในหนทางนี้ และคิดให้ถ้วนถี่ว่า “ที่เขาพูดออกมานี้หมายความว่าอย่างไร? เขาไม่พูดตามตรงแถมพูดจาอ้อมค้อมอยู่เสมอ คนคนนี้หลอกลวง เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่? แล้วอะไรคือแก่นแท้ของเรื่องนี้? ฉันสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่? ถ้าฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจน ฉันก็จะสามัคคีธรรมแก่เขาโดยใช้ข้อโต้แย้งและทัศนะที่ตรงตามความจริงอธิบายเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน และทำให้เขาเข้าใจความจริงในแง่มุมนี้ ฉันจะช่วยเขาและแก้ไขความคิดและทัศนะที่ผิดของเขาให้ถูกต้อง นอกจากนี้วิธีการพูดของเขาก็หลอกลวง ฉันไม่อยากรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร หรือทำไมเขาถึงพูดจาอ้อมค้อมแบบนั้น ฉันไม่อยากใช้ความอุตสาหะและเรี่ยวแรงไปกับการพยายามคาดคะเนว่าจริง ๆ แล้วเขาหมายความว่าอย่างไร ฉันไม่ต้องการลำบากอย่างนั้น และไม่อยากทำอะไรแบบนั้น ฉันแค่ต้องตระหนักรู้ว่าเขาเป็นคนหลอกลวง แม้เขาหลอกลวง แต่ฉันก็จะไม่หลอกลวงตอบ ไม่ว่าเขาพูดจาอ้อมค้อมเพียงใด ฉันก็จะตรงไปตรงมากับเขา พูดสิ่งที่ควรพูด และบอกไปตามตรง ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่’ (มัทธิว 5:37) การแก้ไขการหลอกลวงด้วยความซื่อสัตย์คือหลักเกณฑ์สูงสุดของการปฏิบัติความจริง” ถ้าเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าก็จะปล่อยมือจากวิธีการที่พ่อแม่ของเจ้าปลูกฝังและสอนเจ้าเอาไว้ และหลักปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อนั้นเจ้าก็จะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าเจ้าจะปล่อยมือจากการปลูกฝังของพ่อแม่เจ้าในด้านใด เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันขึ้นมาอีก เจ้าก็จะเปลี่ยนความคิดและทัศนะที่ผิดที่เจ้ามีในสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นความคิดและทัศนะที่ถูกต้องและเป็นบวกทั้งหมด โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ กล่าวคือ ถ้าเจ้าตัดสิน มอง และรับมือเรื่องนี้โดยมีพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจ้ายังคงนำวิธีที่พ่อแม่สอนเจ้ามาใช้—หรือแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า—เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐาน และหลักปฏิบัติในการรับมือเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว วิธีปฏิบัตินี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง และไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาความจริง ในท้ายที่สุด สิ่งที่ผู้คนได้รับจากการไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือการรู้ค่าของความจริงและมีประสบการณ์ในความจริง ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะไม่รู้ค่าหรือมีประสบการณ์กับความจริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับคือการรู้ค่าและประสบการณ์ในการปฏิบัติตามคำกล่าวที่พ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าเท่านั้น ดังนั้น ระหว่างที่ผู้อื่นพูดถึงประสบการณ์ของพวกเขาและการรู้ค่าในพระวจนะของพระเจ้า เจ้ากลับไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้ เพราะเจ้าไม่มีอะไรจะพูด เจ้ามีแต่การรู้ค่าและประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในแนวคิดและทัศนะที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าเท่านั้น เจ้าก็แค่ไม่สามารถพาตัวเองให้กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นออกมาได้ และไม่มีหนทางที่จะแบ่งปันแนวคิดและทัศนะเหล่านั้น ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่เจ้านำไปปฏิบัติย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าจะรู้ค่าในที่สุด ถ้าสิ่งที่เจ้าปฏิบัติคือความจริง เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าจะได้รับก็คือการรู้ค่าและประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ถ้าเจ้านำการอบรมและคำสั่งสอนที่ได้รับจากพ่อแม่ของเจ้าไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าจะรู้ค่าก็คือประสบการณ์ที่มีกับการปลูกฝังและการอบรมสั่งสอนแบบดั้งเดิมโดยครอบครัวของเจ้า และสิ่งที่เจ้าจะได้รับย่อมมีแต่แนวคิดที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าและการทำให้เจ้าเสื่อมทรามโดยซาตานเท่านั้น ยิ่งเจ้าซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าแนวคิดและทัศนะที่ทำให้เสื่อมทรามของซาตานมีประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจ้าก็จะยิ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักขึ้น หากเจ้าปฏิบัติความจริงเล่า? เจ้าก็จะรู้ค่าและมีประสบการณ์กับความจริง พระวจนะ และหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าจะรู้สึกว่าความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด พระเจ้าคือต้นกำเนิดของชีวิตมนุษย์ และพระวจนะของพระเจ้าก็คือชีวิตของผู้คน
นอกจากเลี้ยงเจ้าให้เติบใหญ่ ให้อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และการอบรมสั่งสอนแก่เจ้าแล้ว ครอบครัวของเจ้าให้สิ่งใดแก่เจ้าอีก? มีแต่ปัญหามาให้เจ้า ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ถ้าเจ้าไม่ได้เกิดในครอบครัวแบบนั้น เจ้าก็อาจจะไม่มีผลพวงต่างๆ นานาของการปลูกฝังที่ครอบครัวมีต่อเจ้า การปลูกฝังโดยครอบครัวของเจ้าคงจะไม่เกิดขึ้น แต่ผลพวงของการปลูกฝังโดยสังคมย่อมจะยังคงอยู่—เจ้าไม่สามารถหนีสิ่งเหล่านั้นพ้น ไม่ว่าเจ้ามองจากมุมมองใด ไม่ว่าผลพวงของการปลูกฝังเหล่านี้มาจากครอบครัวหรือสังคมก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ย่อมมีต้นกำเนิดมาจากซาตาน เพียงแค่แต่ละครอบครัวยอมรับคำกล่าวต่างๆ จากสังคมด้วยความเชื่อมั่นในระดับที่แตกต่างกัน และเน้นประเด็นที่ต่างกัน จากนั้นพวกเขาก็ใช้วิธีการที่สอดคล้องมาอบรมสั่งสอนและปลูกฝังให้แก่คนรุ่นต่อไปในครอบครัวของตน ทุกคนได้รับการปลูกฝังสารพัดรูปแบบในระดับที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามาจากครอบครัวใด แต่อันที่จริง ผลพวงของการปลูกฝังเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากสังคมและซาตาน เพียงแต่ผลพวงของการปลูกฝังเหล่านี้ถูกฝังลึกในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนผ่านทางสื่อกลางคือวาจาและการกระทำที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นของพ่อแม่ ด้วยวิธีการที่ตรงไปตรงมามากขึ้น ทำให้ผู้คนเปิดรับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น เพื่อที่ผู้คนจะได้ยอมรับการปลูกฝังนี้และเพื่อให้สิ่งนี้กลายเป็นหลักคิดและวิธีในการรับมือกับโลกของพวกเขา กลายเป็นหลักการที่พวกเขาใช้มองผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ใช้วางตนและกระทำการอีกด้วย ตัวอย่างเช่น แนวคิดและทัศนะที่พวกเราเพิ่งพูดถึงว่า—“เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงฟังเสียงพวกเขา”—ก็เป็นผลพวงอย่างหนึ่งของการปลูกฝังที่มาจากครอบครัวของเจ้า ไม่ว่าครอบครัวจะก่อให้เกิดผลพวงจากการปลูกฝังเช่นใดในตัวพวกเขาก็ตาม ผู้คนก็มองผลนั้นจากมุมมองของสมาชิกครอบครัว เพราะฉะนั้นจึงยอมรับผลนั้นในฐานะของสิ่งที่เป็นบวกและเครื่องรางประจำตัวที่พวกเขาใช้ปกป้องตัวเอง นี่เป็นเพราะผู้คนคิดว่าทุกสิ่งที่มาจากพ่อแม่ของตนคือผลลัพธ์จากการปฏิบัติและประสบการณ์ของพ่อแม่ ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในโลก มีแต่พ่อแม่ของพวกเขาเท่านั้นที่จะไม่มีวันทำร้ายพวกเขา และมีแต่พ่อแม่ของพวกเขาเท่านั้นที่อยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นและปกป้องพวกเขา เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงยอมรับแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่มาจากพ่อแม่ของตนโดยไม่แยกแยะ เมื่อเป็นดังนี้ พวกเขาจึงยอมรับการปลูกฝังจากแนวคิดและทัศนะต่างๆ เหล่านี้ไปโดยปริยาย เมื่อผู้คนได้รับการปลูกฝังจากแนวคิดและทัศนะต่างๆ เหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยสงสัยหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นใด เพราะพวกเขามักจะได้ยินได้ฟังพ่อแม่ของตนพูดถึงสิ่งดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” แล้วคำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะถูกหรือผิด โดยพื้นฐานแล้วเป็นเพราะพ่อแม่ให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงดูเจ้ามา สำหรับเจ้าแล้ว ทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำย่อมถูกต้อง เจ้าไม่สามารถตัดสินว่าพ่อแม่ถูกหรือผิดได้ ไม่สามารถปฏิเสธพวกเขา และยิ่งไม่สามารถขัดขืนพวกเขาได้เลย นี่เรียกว่าความกตัญญู ต่อให้พ่อแม่ของเจ้าทำผิดลงไป และต่อให้แนวคิดและทัศนะบางอย่างของพวกเขาล้าสมัยหรือผิดพลาด หรือวิธีการที่พวกเขาใช้อบรมสั่งสอนเจ้า รวมทั้งแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาใช้อบรมสั่งสอนเจ้า ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นบวก เจ้าก็ต้องไม่สงสัยหรือปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เพราะมีคำกล่าวในเรื่องนั้นว่า—“พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ เจ้าไม่ควรแยกแยะหรือประเมินเป็นอันขาดว่าพวกเขาถูกหรือผิด เพราะสำหรับลูกๆ แล้ว ชีวิตและทุกสิ่งที่ผู้เป็นลูกมี ก็มาจากพ่อแม่ของตน ไม่มีใครเหนือกว่าพ่อแม่ของเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้ามีมโนธรรม เจ้าก็ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่ ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะผิด ไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบูรณ์แบบเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นพ่อแม่ของเจ้า พวกเขาคือผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด เลี้ยงดูเจ้ามา เป็นคนที่ดีกับเจ้าที่สุด และให้ชีวิตแก่เจ้า ทุกคนย่อมยอมรับคำกล่าวนี้มิใช่หรือ? และแน่นอนว่าเพราะมีวิธีคิดแบบนี้อยู่ พ่อแม่ของเจ้าจึงคิดว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติต่อเจ้าโดยไม่ใส่ใจความถูกต้อง และใช้วิธีการต่างๆ นานามาชักพาเจ้าให้ทำสิ่งต่างๆ ในทุกรูปแบบ รวมทั้งปลูกฝังแนวคิดต่างๆ เอาไว้ในตัวเจ้า ตามมุมมองของพวกเขาแล้ว พวกเขาคิดว่า “แรงจูงใจของแม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง นี่ก็เพื่อให้ลูกได้ดี ทุกสิ่งที่ลูกมี พ่อกับแม่เป็นคนมอบให้ แม่เป็นคนให้กำเนิดและเลี้ยงลูกมา ดังนั้นไม่ว่าแม่จะทำกับลูกอย่างไร ก็ไม่มีทางผิดไปได้ เพราะทุกสิ่งที่แม่ทำให้ลูกก็เพื่อให้ลูกได้ดี และแม่จะไม่ทำร้ายหรือทำอันตรายลูก” จากมุมมองของลูกๆ ท่าทีที่พวกเขามีต่อพ่อแม่ควรเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” นี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) นั่นผิดอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าควรแยกแยะคำกล่าวนี้อย่างไร? พวกเราสามารถชำแหละความไม่ถูกต้องของคำกล่าวนี้ได้กี่แง่มุม? ถ้าพวกเรามองจากมุมมองของผู้เป็นลูก ชีวิตและร่างกายของพวกเขามาจากพ่อแม่ที่มีเมตตาเลี้ยงดูและให้การอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้นลูกๆ จึงควรเชื่อฟังคำพูดทุกคำของพ่อแม่ ลุล่วงภาระผูกพันด้านความกตัญญู และไม่จับผิดพ่อแม่ของตน ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านี้ก็คือ เจ้าไม่ควรใช้วิจารณญาณว่าแท้จริงแล้วพ่อแม่ของตนเป็นคนเช่นใด ถ้าพวกเราวิเคราะห์จากมุมมองนี้ ทัศนะเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) พวกเราควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้ตามความจริงอย่างไร? ควรกล่าวเช่นใดจึงจะถูกต้อง? ร่างกายและชีวิตของลูกได้รับมาจากพ่อแม่ของตนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) กายเนื้อหนังของคนคนหนึ่งถือกำเนิดจากพ่อแม่ของตน แต่ความสามารถที่จะมีบุตรของพ่อแม่นั้นมาจากไหน? (เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้และมาจากพระเจ้า) แล้วดวงจิตของผู้คนเล่า? มาจากที่ใด? มาจากพระเจ้าเช่นกัน ดังนั้น เมื่อดูที่ต้นตอแล้ว พระเจ้าทรงสร้างผู้คนขึ้นมา และทั้งหมดนี้ก็ถูกพระองค์ลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าให้เจ้าเกิดในครอบครัวนี้ พระเจ้าทรงส่งดวงจิตดวงหนึ่งมาสู่ครอบครัวนี้ แล้วจากนั้นเจ้าก็เกิดจากครอบครัวนี้ และมีสัมพันธภาพที่ถูกลิขิตไว้แล้วกับพ่อแม่ของเจ้า—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า เป็นเพราะอธิปไตยและการลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า พ่อแม่ของเจ้าจึงสามารถมีเจ้าได้และเจ้าก็มาเกิดกับครอบครัวนี้ นี่คือการมองเรื่องนี้จากต้นตอ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้ลิขิตสิ่งต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ จะเป็นอย่างไร? เช่นนั้นแล้ว พ่อแม่ของเจ้าก็คงจะไม่มีวันมีเจ้า และเจ้าก็คงจะไม่มีวันมีความสัมพันธ์ฉันพ่อแม่ลูกกับพวกเขา คงจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่มีความรักใคร่เอ็นดูในครอบครัว และไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กันเลย เพราะฉะนั้นการกล่าวว่าชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ของพวกเขามอบให้จึงเป็นคำกล่าวที่ผิด อีกแง่หนึ่งก็คือเมื่อมองเรื่องนี้ตามมุมมองของผู้เป็นลูก พ่อแม่มีอายุมากกว่าพวกเขาหนึ่งรุ่นคน แต่สำหรับมนุษย์ทุกคนแล้ว พ่อแม่ก็เหมือนคนอื่นๆ คือพวกเขาล้วนเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทราม และล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น และไม่ต่างไปจากเจ้า แม้พวกเขาจะให้กำเนิดเจ้าในทางกายภาพ และเมื่อมองในแง่ของความสัมพันธ์ทางเลือดเนื้อ พวกเขาก็มีอายุมากกว่าเจ้าหนึ่งรุ่น แต่ในแง่แก่นนิสัยของมนุษย์แล้ว พวกเจ้าล้วนมีชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน ล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานกันทั้งสิ้น เมื่อมองในแง่ข้อเท็จจริงที่ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน แก่นแท้ของคนทุกคนย่อมเหมือนกัน ไม่ว่าจะต่างกันในเรื่องความอาวุโส หรืออายุของคนเรา หรือการที่คนเรามาสู่โลกนี้ก่อนหรือหลัง โดยแก่นแท้แล้วผู้คนต่างมีแก่นนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกัน พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และไม่มีอะไรต่างกันในแง่นี้ ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะดีหรือไม่ดี แต่เนื่องจากพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาจึงนำทัศนคติและมุมมองที่เหมือนกันมาใช้ในการมองผู้คนและเรื่องราวทั้งหลาย และในท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง โดยนัยนี้พวกเขาไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากนี้ ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วนี้ต่างก็ยอมรับแนวคิดและทัศนะต่างๆ ที่มีอยู่เกลื่อนกล่นในโลกอันชั่วร้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่วาจาหรือความคิด ในแง่รูปแบบหรืออุดมคติ และยอมรับแนวคิดสารพัดชนิดจากซาตาน ไม่ว่าจะผ่านทางการศึกษาของรัฐหรือการปลูกฝังโดยจารีตสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด ไม่มีความจริงในสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนว่าผู้คนย่อมไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร ตามมุมมองนี้ พ่อแม่และลูกๆ ของพวกเขาจึงเสมอภาค มีแนวคิดและทัศนะที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพ่อแม่ของเจ้ายอมรับแนวคิดและทัศนะเหล่านี้เมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อน ส่วนเจ้ามายอมรับในภายหลัง นั่นหมายความว่าภายใต้ภูมิหลังทางสังคมเดียวกัน ตราบใดที่เจ้าเป็นคนที่ปกติ ทั้งเจ้าและพ่อแม่ของเจ้าได้ยอมรับความเสื่อมทรามอย่างเดียวกันจากซาตาน ยอมรับการปลูกฝังโดยจารีตสังคม รวมทั้งแนวคิดและทัศนะเดียวกันจากกระแสนิยมชั่วต่างๆ ในสังคมเอาไว้แล้ว จากมุมมองนี้ ลูกๆ ก็เป็นประเภทเดียวกับพ่อแม่ของตน จากมุมมองของพระเจ้า ถ้าไม่พูดถึงหลักฐานที่ว่าพระองค์ลิขิตไว้ล่วงหน้า ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า และทรงเลือกสรร ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทั้งพ่อแม่และลูกๆ ของพวกเขาคล้ายกันตรงที่ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่นมัสการพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม โดยรวมแล้วพวกเขาก็ล้วนเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และต่างก็ยอมรับอธิปไตย การจัดวางเรียบเรียง และการจัดเตรียมการของพระเจ้า จากมุมมองนี้ แท้จริงแล้วพ่อแม่และลูกๆ ของพวกเขาต่างมีสถานะเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาทุกคนยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าเช่นเดียวกันและอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ถ้าพวกเขาล้วนได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พวกเขาทุกคนก็มีโอกาสเท่ากันในการไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่าพวกเขายังมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาจากพระเจ้า และมีโอกาสเท่ากันที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกด้วย นอกจากความเหมือนกันข้างต้นแล้ว กลับมีความแตกต่างระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ อยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือพ่อแม่มีลำดับในสิ่งที่เรียกว่าลำดับชั้นในครอบครัวสูงกว่าลูกๆ ลำดับของพ่อแม่ในลำดับชั้นทางครอบครัวนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขามีอายุมากกว่าเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ราว 20 หรือ 30 ปี—มีความแตกต่างกันอย่างมากก็เฉพาะอายุเท่านั้น และเพราะสถานะทางสังคมที่พิเศษของพ่อแม่ ลูกๆ จึงต้องกตัญญูและลุล่วงภาระผูกพันที่ตนมีต่อพ่อแม่ นี่คือความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียวที่คนคนหนึ่งมีต่อพ่อแม่ของตน แต่เพราะลูกๆ และพ่อแม่ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามเหมือนกัน พ่อแม่จึงไม่ใช่แบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ลูกๆ ของตน ไม่ได้เป็นเกณฑ์มาตรฐานหรือบุคคลต้นแบบให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงของลูกๆ และไม่ใช่บุคคลต้นแบบให้แก่ลูกในการนมัสการและนบนอบพระเจ้า แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่ได้ตัวแทนของความจริง ผู้คนไม่ได้มีภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบที่จะมองพ่อแม่ของตนว่าเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมและบุคคลที่ควรเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข ลูกๆ ไม่ควรกลัวที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะการประพฤติปฏิบัติ การกระทำ และแก่นนิสัยของพ่อแม่ กล่าวคือ เมื่อเป็นเรื่องของการรับมือพ่อแม่ของตน ผู้คนไม่ควรยึดปฏิบัติตามแนวคิดและทัศนะอย่าง “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” ทัศนะนี้อิงตามข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่มีสถานะพิเศษตรงที่ให้กำเนิดเจ้าภายใต้การลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า และมีอายุมากกว่าเจ้า 20 ปี 30 ปี หรือกระทั่ง 40 หรือ 50 ปี พวกเขาต่างจากลูกๆ ในแง่ของความสัมพันธ์ทางเลือดเนื้อ สถานะ และลำดับชั้นในครอบครัวเท่านั้น แต่เพราะความแตกต่างนี้ ผู้คนจึงมองว่าพ่อแม่ของตนไม่มีข้อผิดพลาดแต่อย่างใด ถูกต้องหรือไม่? นี่เป็นเรื่องผิด ไม่สมเหตุสมผล และไม่เป็นไปตามความจริง บางคนสงสัยว่าในเมื่อพ่อแม่กับลูกๆ มีความสัมพันธ์ทางเลือดเนื้อ คนเราควรปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร ถ้าพ่อแม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ควรได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้เชื่อ ถ้าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ควรได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นคนเช่นใด พวกเขาก็ควรได้รับการปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงที่สอดคล้องกัน ถ้าพวกเขาเป็นมาร เจ้าก็ควรกล่าวว่าพวกเขาเป็นมาร ถ้าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรกล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ถ้าแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาสอนเจ้าไม่ตรงตามความจริง เจ้าก็ไม่ต้องฟังหรือยอมรับสิ่งเหล่านั้น และเจ้ายังสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยว่าเป็นเช่นใดและเปิดโปงออกมา ถ้าพ่อแม่ของเจ้ากล่าวว่า “พ่อแม่ทำแบบนี้เพื่อประโยชน์ของลูกเอง” พร้อมเกรี้ยวกราดและทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา เจ้าจะใส่ใจหรือไม่? (ข้าพระองค์จะไม่ใส่ใจ) ถ้าพ่อแม่ของเจ้าไม่เชื่อ ก็อย่าไปสนใจพวกเขาและปล่อยไว้อย่างนั้น ถ้าพวกเขาเอะอะโวยวายนัก เจ้าก็จะมองเห็นว่าพวกเขาคือมารโดยแท้ ความจริงที่เกี่ยวพันกับความเชื่อในพระเจ้าก็คือแนวคิดและทัศนะที่ผู้คนจำเป็นต้องยอมรับมากที่สุด พวกเขาไม่สามารถยอมรับหรือเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้ ดังนั้นพวกเขาเป็นคนเช่นใดกันแน่? พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาย่อมต่ำกว่ามนุษย์ ถูกต้องหรือไม่? เจ้าต้องคิดแบบนี้ว่า “แม้จะเป็นพ่อแม่ของฉัน แต่กลับไม่มีความเป็นมนุษย์ ฉันละอายใจจริงๆ ที่เกิดมาจากคุณ! ตอนนี้ฉันสามารถใช้วิจารณญาณดูได้ว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นคนเช่นไร คุณไม่มีวิญญาณของมนุษย์อยู่ในตัว คุณไม่เข้าใจความจริง ไม่สามารถรับฟังคำสอนที่ชัดเจนและเรียบง่ายดังกล่าวได้ด้วยซ้ำ แต่คุณกลับออกความเห็นโดยไม่คิดและพูดจาให้ร้าย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว และฉันก็ตัดคุณจากหัวใจของฉันโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ภายนอกนั้น ฉันยังต้องยอมทำตามใจคุณอยู่ ฉันยังต้องลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันบางอย่างในฐานะที่เป็นลูกของคุณ ถ้าฉันมีทางทำได้ ฉันก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้คุณบ้าง แต่ถ้าไม่มีกำลัง ฉันจะกลับมาเยี่ยมคุณ ก็เท่านั้นเอง ฉันจะไม่โต้แย้งความคิดเห็นของคุณไม่ว่าคุณจะพูดอะไรก็ตาม ถึงคุณไร้สาระ ฉันก็จะปล่อยให้คุณเป็นอย่างนั้นต่อไป ยังมีอะไรให้พูดกับมารที่ไม่สนใจเหตุผลอย่างคุณกระนั้นหรือ? เพราะคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าคุณให้กำเนิดฉันและใช้เวลาตลอดหลายปีมานี้เลี้ยงดูฉันจนเติบโต ฉันจึงจะมาเยี่ยมเยียนและเอาใจใส่ดูแลคุณต่อไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันจะไม่สนใจคุณเลย และจะไม่อยากเห็นหน้าคุณตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่” เหตุใดเจ้าจึงไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขาหรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก? เพราะเจ้าเข้าใจความจริง และเจ้าได้มองเห็นแก่นแท้ของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ทันแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนต่างๆ นานาของพวกเขา และจากแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ เจ้าก็รับรู้ความโง่เขลา ความดื้อแพ่ง และความเลวร้ายของพวกเขา มองเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคือมาร ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงพวกเขา รวมทั้งไม่อยากพบเจอพวกเขาอีก เป็นเพราะมโนธรรมเพียงเล็กน้อยในตัวเจ้า เจ้าจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่บางอย่างเพื่อแสดงความกตัญญูในฐานะลูกชายหรือลูกสาว ดังนั้นเจ้าจึงไปเยี่ยมพวกเขาในช่วงปีใหม่และวันหยุดธนาคาร ก็เพียงแค่นั้น ตราบใดที่พวกเขาไม่ขวางเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่ให้ทำหน้าที่ของเจ้า ก็จงไปเยี่ยมเยียนพวกเขาเมื่อเจ้ามีเวลา ถ้าเจ้าไม่อยากพบหน้าพวกเขาจริงๆ ก็แค่โทรศัพท์ไปถามไถ่ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ส่งเงินไปให้พวกเขาทางไปรษณีย์บ้างเป็นครั้งคราว แล้วก็ซื้อของที่เป็นประโยชน์ให้พวกเขาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่พวกเขา เยี่ยมเยียน ซื้อเสื้อผ้าให้ แสดงความห่วงใยในสุขภาพ หรือคอยดูแลเวลาพวกเขาเจ็บป่วย—ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปเพียงเพื่อลุล่วงภาระผูกพันด้านความกตัญญูและตอบสนองความต้องการของคนเราในแง่ความรู้สึกและมโนธรรมเท่านั้น เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น และไม่นับเป็นการปฏิบัติความจริง ไม่ว่าเจ้าจะขยะแขยงพวกเขาเพียงใด หรือสามารถมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขาได้ดีเพียงใด ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องลุล่วงภาระผูกพันที่เจ้าจำเป็นต้องทำในฐานะลูกชายหรือลูกสาว และแบกรับความรับผิดชอบที่จำเป็น พ่อแม่คอยดูแลเจ้าเมื่อเจ้ายังเด็ก และเมื่อพวกเขาแก่ตัว เจ้าก็ต้องดูแลพวกเขาตราบใดที่เจ้ามีกำลังพอ ถ้าพวกเขาอยากบ่นเจ้าก็ปล่อยให้บ่น ตราบใดที่เจ้าไม่ฟังแนวคิดและทัศนะที่พวกเขาพยายามปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า ไม่ยอมรับสิ่งที่พวกเขากล่าว และไม่ปล่อยให้พวกเขารบกวนหรือตีกรอบเจ้า ย่อมไม่เป็นปัญหาอะไรเลย และนั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าวุฒิภาวะของเจ้าได้เติบโตขึ้นแล้ว และเจ้าก็ตั้งมั่นในคำพยานของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าเพราะเจ้าเอาใจใส่พวกเขา และพระองค์จะไม่ตรัสว่า “ทำไมเจ้าถึงได้อ่อนไหวนัก? เจ้ายอมรับความจริงและกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ แล้วเจ้ายังจะดูแลพวกเขาได้อย่างไร?” นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันขั้นพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรใช้วางตน ซึ่งก็คือการลุล่วงภาระผูกพันของเจ้าตราบเท่าที่ภาวะต่างๆ เปิดทางให้ทำเช่นนั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าอ่อนไหวเกินไป และพระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าที่ทำดังนั้น แน่นอนว่าในโลกนี้ นอกจากพ่อแม่ซึ่งเป็นคนที่เจ้าควรลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาแล้ว เจ้าก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันต่อใครอื่น—ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องของเจ้า เพื่อนสนิท หรือลุงป้าน้าอาของเจ้า เจ้าไม่มีภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบที่จะต้องทำสิ่งใดเพื่อเอาใจพวกเขา หรือทำให้พวกเขาชอบใจ หรือช่วยเหลือพวกเขา เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่)
เรื่องคำกล่าวอ้างที่ว่า “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” ที่เราพูดไปนั้นชัดเจนหรือไม่? (ชัดเจน) พ่อแม่คือใคร? (มนุษย์ที่เสื่อมทราม) ถูกต้อง พ่อแม่คือมนุษย์ที่เสื่อมทราม ถ้าบางครั้งเจ้าคิดถึงพ่อแม่ของเจ้า และคิดว่า “สองปีมานี้พ่อแม่เป็นอย่างไรบ้างหนอ? พวกท่านคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า? เกษียณกันหรือยัง? มีเรื่องยุ่งยากในชีวิตบ้างหรือเปล่า? มีใครดูแลพ่อแม่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างหรือไม่?” สมมุติว่าเจ้าครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้และตรึกตรองไปด้วยว่า “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ พ่อแม่ของฉันเคยตีและดุว่าฉันเพราะโมโหที่ฉันใช้ชีวิตตามที่พวกท่านคาดหวังไว้ไม่ได้ และเพราะพวกท่านรักฉันมากขนาดนั้น พ่อแม่ของฉันดีกว่าใครๆ พวกท่านคือคนที่รักฉันมากที่สุดในโลก ตอนนี้พอฉันนึกถึงข้อเสียของพ่อแม่ ฉันก็ไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียอีกต่อไป เพราะว่าพ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” และยิ่งเจ้าคิดเรื่องนี้ เจ้าก็ยิ่งอยากพบหน้าพวกเขา การคิดแบบนี้ดีหรือไม่? (ไม่ดี) ไม่ดี แล้วเจ้าควรคิดอย่างไร? เจ้าตรองเรื่องนี้ว่า “ตอนที่ฉันยังเล็ก พ่อแม่ตีฉัน ดุฉัน และทำร้ายการยอมรับนับถือตัวเองของฉัน พวกท่านไม่เคยใช้คำพูดที่มีเมตตาหรือให้กำลังใจฉันเลย พ่อแม่บังคับให้ฉันเรียนหนังสือ แถมบังคับให้ฉันเรียนเต้นกับร้องเพลง และให้เล่าเรียนเพื่อไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิก—บังคับให้ทำทุกอย่างที่ฉันไม่ชอบ พ่อแม่ของฉันน่ารำคาญจริงๆ ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้าและเป็นอิสระแล้ว ฉันจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัยเสียอีก ผู้ที่ดีงามก็คือพระเจ้า ฉันไม่คิดถึงพ่อแม่เลย พวกท่านคอยขวางไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้า พ่อแม่คือมาร” จากนั้นเจ้าก็ตรองอีกว่า “ไม่ถูกต้อง พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ พ่อแม่ของฉันคือคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุด ดังนั้นการคิดถึงพวกท่านก็ถูกต้องแล้ว” การคิดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) แล้ววิธีคิดที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? (พวกเราเคยคิดว่าไม่ว่าพ่อแม่จะทำอะไร พวกท่านย่อมทำเพราะคำนึงถึงพวกเรา พ่อแม่หวังดีต่อพวกเราในทุกสิ่งที่พวกท่านทำ และจะไม่ทำร้ายพวกเราเป็นอันขาด การสามัคคีธรรมของพระเจ้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าพระองค์ตระหนักว่าพ่อแม่ของข้าพระองค์ก็เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามที่ยอมรับแนวคิดและทัศนะต่างๆ ของซาตานเอาไว้เช่นกัน และพ่อแม่ก็ปลูกฝังทัศนะของซาตานให้พวกเรามากมายโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกเราเบี่ยงเบนออกจากความจริงมากเกินไปทั้งในการวางตนและการกระทำ รวมทั้งใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน คราวนี้เมื่อข้าพระองค์มีวิจารณญาณเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อแม่ของข้าพระองค์บ้างแล้ว ข้าพระองค์ย่อมจะคิดถึงพ่อแม่และนึกถึงเรื่องของพวกท่านน้อยลงมาก) ในการจัดการกับพ่อแม่ของเจ้านั้น เจ้าควรก้าวออกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้เสียก่อน และแยกแยะเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าโดยใช้ความจริงที่เจ้ายอมรับและเข้าใจแล้ว จงใช้วิจารณญาณกับพ่อแม่ของเจ้าบนพื้นฐานความคิด ทัศนะ และแรงจูงใจของพวกเขาในด้านการประพฤติปฏิบัติ วิธีการและหลักการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา ซึ่งจะยืนยันว่าพวกเขาก็คือผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเช่นกัน จงมองและใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาจากมุมมองของความจริง แทนที่จะคิดอยู่เสมอว่าพ่อแม่ของเจ้านั้นสูงส่ง ไม่เห็นแก่ตัว และมีเมตตากับเจ้า และถ้าเจ้ามองดูพวกเขาเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่มีวันค้นพบว่าพวกเขามีปัญหาอันใด จงอย่ามองพ่อแม่ของเจ้าในมุมมองของสายสัมพันธ์ในครอบครัว หรือตามบทบาทของเจ้าที่เป็นลูกชายหรือลูกสาว จงก้าวออกจากมุมมองนี้และดูว่าพวกเขารับมือกับโลก จัดการกับความจริง ผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายอย่างไร กล่าวให้เจาะจงลงไปก็คือ จงดูแนวคิดและทัศนะที่พ่อแม่ของเจ้าได้ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าในเรื่องที่ว่าเจ้าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร ควรวางตนและกระทำการอย่างไร—เจ้าควรตระหนักรู้และแยกแยะพวกเขาด้วยวิธีนี้ ในหนทางนี้ คุณสมบัติความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วก็จะชัดเจนขึ้นทีละน้อย พวกเขาเป็นคนจำพวกใด? ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อ พวกเขามีท่าทีเช่นใดต่อผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า? ถ้าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงจะเป็นเช่นใด? พวกเขาคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? พวกเขารักความจริงหรือเปล่า? พวกเขาชอบสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่? ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตและโลกเป็นอย่างไร? เป็นต้น ถ้าเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพ่อแม่ของเจ้าตามสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะมีแนวคิดที่ชัดเจน เมื่อเรื่องเหล่านี้ชัดเจนแล้ว สถานะที่สูงส่ง ประเสริฐ และไม่อาจสั่นคลอนได้ของพ่อแม่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง และเมื่อความรู้สึกนึกคิดของเจ้าเปลี่ยนแปลง ความรักของพ่อแม่ที่พ่อแม่ของเจ้าแสดงให้เห็น—รวมทั้งวาจาและการกระทำต่างๆ ของพวกเขา ภาพลักษณ์อันสูงส่งที่เจ้ามีต่อพวกเขา—จะไม่ตราตรึงอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าอย่างลึกซึ้งเช่นนั้นอีกต่อไป ความไม่เห็นแก่ตัวและความยิ่งใหญ่ของความรักที่พ่อแม่มีให้เจ้า รวมทั้งการอุทิศตนดูแลเจ้า ปกป้องเจ้า และแม้กระทั่งเอาใจเจ้า ย่อมจะยุติการยึดครองตำแหน่งสำคัญในจิตใจของเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว ผู้คนมักจะกล่าวว่า “พ่อแม่ของฉันรักฉันมากเหลือเกิน ฉันจากบ้านมาทีไร แม่ก็ถามฉันเสมอว่า ‘กินอะไรหรือยัง? กินเป็นเวลาหรือเปล่า?’ พ่อก็ถามเสมอว่า ‘มีเงินพอไหม? ถ้าไม่มีเงิน พ่อจะส่งไปให้อีก’ แล้วฉันก็ตอบว่า ‘มีเงินอยู่ ไม่จำเป็นหรอก’ แล้วพ่อก็ตอบว่า ‘ไม่ได้ๆ ถึงลูกจะบอกว่ามีเงิน พ่อก็จะส่งไปให้อยู่ดี’” ข้อเท็จจริงก็คือพ่อแม่ของเจ้าใช้ชีวิตกันอย่างกระเหม็ดกระแหม่และไม่ค่อยอยากจะใช้เงินเพื่อตัวเอง พวกเขาใช้เงินของตนเองมาจุนเจือเจ้า เพื่อให้เจ้ามีเงินไว้ใช้มากขึ้นอีกหน่อยเวลาอยู่ไกลบ้าน พ่อแม่ของเจ้ากล่าวเสมอว่า “อยู่บ้านก็ให้ประหยัด แต่ยามเดินทางก็พกเงินเพิ่มเติมไปบ้าง เอาติดตัวไปอีกหน่อยเวลาออกไปไหนต่อไหน ถ้ามีเงินไม่พอ ก็บอกพ่อมา พ่อจะส่งเงินไปให้หรือเติมเงินเข้าบัตรของลูก” ความห่วงใย การคำนึงถึง การดูแลเอาใจใส่อย่างไม่เห็นแก่ตัวของพ่อแม่ ถึงขั้นพะเน้าพะนอและปรนเปรอย่อมจะเป็นเครื่องหมายที่ไม่อาจลบเลือนได้ของการอุทิศตนอย่างไม่คำนึงถึงตัวเองของพวกเขาในสายตาของเจ้า การอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวนี้ได้กลายเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและทรงพลังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเจ้า ซึ่งกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับพวกเขา นี่ทำให้เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากพวกเขา และทำให้เจ้ากังวลเกี่ยวกับพวกเขา เฝ้าพะวงถึงพวกเขา คิดถึงไม่วาย และถึงกับทำให้เจ้าเต็มใจที่จะติดอยู่ในกับดักของอารมณ์ความรู้สึกนี้ และถูกความรักใคร่เอ็นดูของพวกเขาคอยกดดันตลอดเวลา นี่คือปรากฏการณ์แบบใด? ความรักของพ่อแม่ของเจ้าไม่เห็นแก่ตัวโดยแท้ ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเอาใจใส่เจ้ามากเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะประหยัดและอดออมเพียงเพื่อให้เจ้ามีเงินไว้ใช้ หรือซื้อของทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้ก็ตาม นี่อาจเป็นพรสำหรับเจ้าในตอนนี้ แต่จะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าในระยะยาว ยิ่งพวกเขาไม่คำนึงถึงตัวเองและปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี ยิ่งพวกเขาเอาใจใส่เจ้า เจ้าก็ยิ่งไม่สามารถแยกตัวออกจากความรักใคร่เอ็นดูนี้ และไม่อาจปล่อยมือหรือลืมเลือนได้ และเจ้าก็จะยิ่งคิดถึงพวกเขามากขึ้น เมื่อเจ้าไม่สามารถทำหน้าที่กตัญญูหรือลุล่วงภาระผูกพันใดๆ ที่มีต่อพวกเขา เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกสงสารพวกเขามากขึ้น ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ เจ้าไม่มีแก่ใจที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขา หรือลืมความรัก การอุทิศตน และทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อเจ้า หรือพิจารณาทุกสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยถึง—นี่คือผลพวงจากมโนธรรมของเจ้า มโนธรรมของเจ้าคือตัวแทนของความจริงเช่นนั้นหรือ? (ไม่ใช่) ทำไมพ่อแม่ของเจ้าถึงเป็นแบบนี้กับเจ้า? เพราะพวกเขามีความรักใคร่เอ็นดูเจ้า แล้วความใจดีมีเมตตาที่พวกเขามีให้เจ้าสามารถแสดงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้หรือไม่? สามารถแสดงถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงได้หรือไม่? ไม่ได้ นี่ก็เหมือนที่แม่ทั้งหลายพูดเสมอว่า “ลูกคือเลือดเนื้อของแม่ แม่อาบเหงื่อตรากตรำเลี้ยงลูกมา แล้วแม่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจลูกคิดอะไรอยู่?” พวกเขาดีกับเจ้าก็เพราะสายสัมพันธ์ใกล้ชิดในครอบครัวและความสัมพันธ์ทางเลือดเนื้อ แต่พวกเขาดีกับเจ้าจริงหรือไม่? นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาจริงๆ หรือ? นี่คือการแสดงออกที่แท้จริงถึงแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาหรือ? ไม่จำเป็น ด้วยเหตุที่เจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเขา พวกเขาจึงคิดว่าพวกเขาควรดีกับเจ้าด้วยสำนึกในหน้าที่ แต่เจ้าซึ่งเป็นลูกของพวกเขากลับคิดไปว่าพวกเขาดีกับเจ้าเพราะมีเมตตา และรู้สึกว่าเจ้าไม่มีวันสามารถตอบแทนพวกเขาได้ ถ้าเจ้าไม่สามารถตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาได้หมด หรือแม้เพียงเล็กน้อย มโนธรรมของเจ้าก็จะกล่าวโทษเจ้า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเวลามโนธรรมของเจ้ากล่าวโทษเจ้านั้นตรงตามความจริงหรือไม่? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้า แต่เป็นผู้คนทั่วไปที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าตามปกติในกลุ่มหนึ่งๆ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาจะไม่ทำเช่นนี้ ถ้าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้าและไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้า ท่าทางและท่าทีที่พวกเขามีต่อเจ้าย่อมจะต่างออกไปในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ใส่ใจเจ้า ไม่ปกป้องเจ้า ไม่ทุ่มเทความรักให้กับเจ้า ไม่ดูแลเจ้า หรืออุทิศอะไรให้เจ้าโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง แล้วพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร? บางทีพวกเขาอาจจะรังแกเจ้าเพราะเจ้าเป็นหนุ่มเป็นสาวและไม่มีประสบการณ์ในสังคม หรือเลือกปฏิบัติกับเจ้าเพราะที่ยืนและสถานะของเจ้านั้นต่ำต้อย พูดจากับเจ้าด้วยน้ำเสียงของข้าราชการและพยายามอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่เสมอ หรือพวกเขาอาจจะคิดว่าหน้าตาของเจ้าดูธรรมดา และถ้าเจ้าคุยกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สนใจ และเจ้าก็ไม่อาจเทียบได้กับมาตรฐานของพวกเขา หรือบางทีพวกเขาอาจจะไม่เห็นว่าเจ้ามีประโยชน์อะไร ก็เลยไม่คบค้ากับเจ้าหรือไม่ยอมข้องเกี่ยวด้วย หรือบางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าเจ้านั้นไร้เล่ห์มารยา ดังนั้นถ้าพวกเขาอยากรู้เรื่องบางอย่าง พวกเขาก็จะเริ่มด้วยการถามเจ้าและพยายามเอาคำตอบจากเจ้าเสมอ หรือบางทีพวกเขาก็อาจจะอยากเอาเปรียบเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม เช่น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าซื้อของลดราคา พวกเขาก็จะอยากให้เจ้าแบ่งปันพวกเขา หรืออยากได้ของบางส่วน หรือบางทีพอเจ้าล้มลงตรงถนนและต้องการให้พวกเขายื่นมือไปช่วยพยุงเจ้าขึ้นมา พวกเขากลับจะไม่มองเจ้าด้วยซ้ำ และจะยกเท้าเตะเจ้าแทน หรือบางทีเวลาเจ้าขึ้นรถเมล์ ถ้าเจ้าไม่สละที่นั่งของเจ้าให้พวกเขา พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันแก่มากแล้ว ทำไมเธอถึงไม่สละที่นั่งของเธอให้ฉันล่ะ? ทำไมถึงเป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่รู้ความอย่างนี้? พ่อแม่ไม่ได้สอนมารยาทให้เลยเรอะ!” พวกเขาถึงกับต่อว่าต่อขานเจ้า ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องตรวจสอบว่าความรักของแม่และความรักของพ่อที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในหัวใจของเจ้านั้นคือการเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือไม่ เจ้ามักจะตื้นตันไปกับการอุทิศตนที่ไม่คำนึงถึงตัวเอง และความรักอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดาที่พวกเขามีให้เจ้า และเจ้าก็ผูกพันกับพวกเขาอย่างยิ่ง คิดถึงและอยากตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเพราะเหตุใด? ถ้าเป็นเพียงเพราะมโนธรรม เช่นนั้นปัญหาก็ไม่ได้ลึกมากนัก และสามารถเยียวยาแก้ไขได้ แต่ถ้าเกิดจากความรักที่มีต่อพวกเขา เช่นนั้นก็จะยิ่งเป็นปัญหา เจ้าจะติดอยู่ตรงนั้นลึกลงไปเรื่อยๆ และไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ เจ้าจะติดอยู่ในความรักและคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าบ่อยๆ บางครั้งเจ้าจะถึงขั้นทรยศพระเจ้าเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่เจ้า ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าได้ยินว่าพ่อแม่ของเจ้าป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล หรือเกิดเรื่องร้ายแรงกับพวกเขา และพวกเขาตกอยู่ในความยุ่งยากบางอย่างที่ไม่อาจพาตัวเองออกมาได้ พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าวและหัวใจสลาย หรือถ้าเจ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่ของเจ้ากำลังจะสิ้นลม เจ้าจะทำอย่างไร? ถึงเวลานั้นย่อมไม่มีทางรู้ว่าความรักของเจ้าจะครอบงำมโนธรรมของเจ้า หรือความจริงและพระวจนะที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าจะชักจูงมโนธรรมของเจ้าให้เกิดการตัดสินใจบางอย่าง ผลลัพธ์ของเรื่องเหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้าโน้มเอียงที่จะมองความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกอย่างไร เจ้าเข้าสู่ความจริงในเรื่องของการปฏิบัติต่อพ่อแม่มากเพียงใดแล้ว เจ้าสามารถรู้ทันพวกเขามากขนาดไหน เจ้ามีความเข้าใจในเรื่องแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์มากเท่าใด และเจ้ามีความเข้าใจในลักษณะนิสัยและแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพ่อแม่ของเจ้า รวมทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขามากแค่ไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลลัพธ์ของเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ในระดับครอบครัวอย่างไร รวมทั้งทัศนะที่ถูกต้องที่เจ้าควรมี—เหล่านี้คือความจริงต่างๆ ที่เจ้าควรมีติดตัวก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับเจ้า ส่วนคนอื่นที่เหลือ—ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย และคนนอก—ย่อมปล่อยมือได้ง่าย เพราะพวกเขาไม่ได้ครองตำแหน่งสำคัญในความรักของคนเรา ผู้คนเหล่านี้สามารถปล่อยไปได้ง่าย แต่พ่อแม่เป็นข้อยกเว้น พ่อแม่เท่านั้นที่เป็นญาติใกล้ชิดที่สุดในโลกของคนเรา พวกเขาคือคนที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของคนเราและส่งผลกระทบอันมีนัยสำคัญในช่วงชีวิตของคนเรา ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะปล่อยมือจากพวกเขา ถ้าวันนี้เจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนอยู่บ้างเกี่ยวกับความคิดต่างๆ ซึ่งเกิดจากการปลูกฝังโดยครอบครัวของเจ้า ก็อาจช่วยให้เจ้าปล่อยมือจากความรักที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ของเจ้า เพราะผลพวงของการปลูกฝังที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้านั้นโดยรวมแล้วเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น แต่การปลูกฝังที่ชัดแจ้งที่สุดแท้จริงแล้วมาจากพ่อแม่ของเจ้า คำพูดประโยคเดียวจากพ่อแม่ของเจ้า หรือท่าทีของพวกเขาในการทำบางสิ่ง หรือหนทางและวิธีการที่พวกเขาใช้รับมือบางสิ่ง—เหล่านี้คือหนทางที่แม่นยำที่สุดในการอธิบายว่าเจ้าได้รับการปลูกฝังมาอย่างไร เมื่อเจ้าได้แยกแยะและตระหนักรู้ในลักษณะเฉพาะของแนวคิด การกระทำ และคำกล่าวที่พ่อแม่ของเจ้าปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า เจ้าก็จะมีการประเมินและมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแก่นแท้ของบทบาท ลักษณะนิสัย ทัศนคติในชีวิต และวิธีทำสิ่งต่างๆ ของพ่อแม่ของเจ้า เมื่อเจ้ามีการประเมินและความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเช่นนี้แล้ว การรับรู้บทบาทของพ่อแม่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนจากบวกเป็นลบโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เมื่อเจ้ารับรู้บทบาทของพ่อแม่ว่าเป็นลบทั้งหมด เมื่อนั้นเจ้าก็จะค่อยๆ ปล่อยมือจากเครื่องค้ำจุนความรู้สึกของเจ้า ความผูกพันทางวิญญาณ และความรักอันยิ่งใหญ่หลากรูปแบบที่พวกเขามีต่อเจ้าได้ ถึงตอนนั้น เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าภาพลักษณ์ที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ของเจ้าในหัวใจส่วนลึกนั้นเคยสูงส่งอย่างยิ่ง เหมือนภาพลักษณ์จากบทความเรื่อง “พ่อของฉันกลับมาแล้ว” ที่เจ้าเคยอ่านในแบบเรียนของโรงเรียน รวมทั้งในเพลงยอดนิยมเมื่อหลายปีก่อนที่ชื่อ “แม่ดีที่สุดในโลก” ซึ่งเป็นเพลงหลักของภาพยนตร์ไต้หวันเรื่องหนึ่งและได้รับความนิยมไปทั่วสังคมที่พูดภาษาจีน—เหล่านี้คือวิธีที่สังคมและโลกใช้อบรมสั่งสอนมวลมนุษย์ เมื่อเจ้าไม่ตระหนักรู้แก่นแท้หรือโฉมหน้าที่แท้จริงเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมรู้สึกว่าวิธีการอบรมสั่งสอนเหล่านี้เป็นบวก ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวเจ้า วิธีการเหล่านี้ทำให้เจ้าตระหนักรู้และเชื่อมากขึ้นว่าความรักที่พ่อแม่มีต่อเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และด้วยเหตุนั้นสิ่งเหล่านี้จึงทิ้งรอยประทับเอาไว้ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าว่าความรักของพ่อแม่ของเจ้านั้นไร้ความเห็นแก่ตัว ยิ่งใหญ่ และละเมิดมิได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะไม่ดีเพียงไร ความรักของพวกเขาก็ยังคงไม่เห็นแก่ตัวและยิ่งใหญ่ สำหรับเจ้าแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ และไม่มีใครสามารถพูดอะไรไม่ดีถึงพ่อแม่ของเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่อยากใช้วิจารณญาณแยกแยะหรือเปิดโปงพวกเขา พร้อมกันนั้นเจ้าก็อยากเก็บพื้นที่หนึ่งๆ ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าไว้ให้พวกเขา เพราะเจ้าเชื่อว่าความรักของพ่อแม่มีความเป็นนิรันดร์เหนือทุกสิ่ง ไร้ตำหนิ ยิ่งใหญ่ ละเมิดมิได้ และไม่มีใครสามารถปฏิเสธเรื่องที่ว่ามานี้ได้ นี่คือบรรทัดฐานทางมโนธรรมและการวางตนของเจ้า ถ้าใครสักคนกล่าวว่าความรักของพ่อแม่ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือไร้ข้อบกพร่อง เจ้าก็จะทะเลาะกับพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย—นี่ไม่สมเหตุสมผล ก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริง อิทธิพลของมโนธรรมของพวกเขาจะทำให้พวกเขายึดมั่นในแนวคิดและทัศนะดั้งเดิมบางอย่าง หรือก่อให้เกิดแนวคิดและทัศนะบางอย่างขึ้นมาใหม่อีกด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อมองตามความจริง แนวคิดและทัศนะเหล่านี้มักจะไม่มีเหตุผล เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าย่อมสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ภายในขอบเขตของความมีเหตุผลที่ปกติ เพราะฉะนั้น ความเป็นมนุษย์จึงมีทั้งมโนธรรมและเหตุผล ถ้ามโนธรรมไม่อาจเข้าถึงหรือเท่าทันสิ่งเหล่านี้ได้ หรือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกควบคุมหรือเป็นบวกภายใต้ผลพวงของมโนธรรม เช่นนั้นแล้วผู้คนก็สามารถใช้ความมีเหตุผลมาควบคุมและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องได้ แล้วผู้คนจะสัมฤทธิ์ความมีเหตุผลได้อย่างไร? ผู้คนต้องเข้าใจความจริง เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง พวกเขาจะปฏิบัติต่อทุกสิ่ง เลือกทุกสิ่ง และแยกแยะทุกสิ่งอย่างเที่ยงตรงและถูกต้องขึ้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาก็จะสัมฤทธิ์ความมีเหตุผลที่แท้จริง และไปถึงจุดที่เหตุผลอยู่เหนือมโนธรรม นี่คือการสำแดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่คนคนหนึ่งได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจวจนะเหล่านี้อย่างถ่องแท้ในตอนนี้ แต่เจ้าจะเข้าใจเมื่อมีประสบการณ์จริงและเข้าใจความจริง คำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” นี้มาจากความมีเหตุผลหรือมโนธรรม? คำกล่าวนี้ไม่เป็นเหตุเป็นผล เกิดจากความรักของคนเราเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของมโนธรรม ดังนั้น คำกล่าวนี้มีเหตุผลหรือไม่? ไม่มีเหตุผล เหตุใดจึงไม่มีเหตุผล? เพราะเกิดจากความรักของคนเรา และไม่สอดคล้องกับความจริง ดังนั้นเจ้าจะสามารถมองและปฏิบัติต่อพ่อแม่ได้อย่างมีเหตุผลเมื่อใด? เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและมองทะลุแก่นแท้และต้นตอของเรื่องนี้แล้ว เมื่อเจ้าได้ทำดังนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าตามอิทธิพลของมโนธรรมอีกต่อไป ความรักใคร่จะไม่มีบทบาทอีกต่อไป มโนธรรมก็จะไม่มีบทบาทเช่นกัน และเจ้าจะสามารถมองและปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าตามความจริง—นี่คือความมีเหตุผล
เราสามัคคีธรรมถึงปัญหาเรื่องการปฏิบัติต่อพ่อแม่ชัดเจนหรือยัง? (ชัดเจนแล้ว) นี่เป็นเรื่องสำคัญ สมาชิกทุกคนในครอบครัวกล่าวว่า “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” และเจ้าก็ไม่รู้ว่านี่ถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นเจ้าจึงเพียงแต่ยอมรับ จากนั้น เมื่อใดก็ตามที่พ่อแม่ของเจ้าทำสิ่งที่เกินเลย เจ้าย่อมใคร่ครวญและคิดว่า “ผู้คนบอกว่า ‘พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ’ แล้วฉันจะพูดได้อย่างไรว่าพ่อแม่ของฉันทำไม่ถูก? สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวควรให้อยู่แต่ในครอบครัว อย่าไปเล่าให้คนอื่นฟัง แค่ทนๆ ไปก็พอ” นอกจากผลพวงของการปลูกฝังด้วยคำกล่าวซึ่งไม่ถูกต้องที่ว่า—“พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ”—นี้แล้ว ยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ “สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวควรให้อยู่แต่ในครอบครัว” ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่า “ในเรื่องพ่อแม่ของฉัน จะไปโทษใครได้? ฉันเล่าเรื่องน่าละอายนี้ให้คนนอกฟังก็ไม่ได้ ฉันต้องเก็บงำเอาไว้อย่างมิดชิด แล้วจะจริงจังกับพ่อแม่ของตัวเองไปเพื่ออะไร?” ผลพวงของการปลูกฝังโดยครอบครัวนี้ปรากฏอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันของผู้คน ในเส้นทางชีวิตของพวกเขา และในระหว่างที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริงและได้รับความจริง พวกเขาย่อมมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามแนวคิดและทัศนะต่างๆ เหล่านี้ที่ถูกครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขา พวกเขามักจะถูกความคิดเหล่านี้ชักจูง ก่อกวน ตีกรอบ และมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ถึงกับถูกความคิดเหล่านี้ชี้นำ และมักจะตัดสินผู้คนผิดๆ ทำสิ่งที่ผิด ตลอดจนละเมิดพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอยู่เนืองๆ ต่อให้ผู้คนได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าไปมากมาย และต่อให้พวกเขาอ่านอธิษฐานและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะทัศนะที่ครอบครัวปลูกฝังไว้ในตัวของพวกเขาหยั่งรากลึกลงในความคิดและหัวใจของพวกเขา พวกเขาจึงไม่มีวิจารณญาณในทัศนะเหล่านี้ และไม่มีความสามารถที่จะต้านทานทัศนะเหล่านี้ แม้ในขณะที่พวกเขากำลังน้อมรับหลักคำสอนและการจัดเตรียมแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ยังโอนเอนตามความคิดเหล่านี้ซึ่งชี้นำวาจา การกระทำ และวิถีชีวิตของพวกเขา เพราะฉะนั้น ภายใต้การชี้นำในระดับจิตใต้สำนึกของความคิดที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขา ผู้คนจึงมักจะไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองไม่ให้ละเมิดพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงได้ กระนั้น พวกเขาก็ยังคงคิดว่าตนกำลังปฏิบัติความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าคำกล่าวต่างๆ ที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวพวกเขานี้ไม่สอดคล้องกับความจริงเลย ที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือ คำกล่าวที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนี้พาพวกเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งการละเมิดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและตระหนักรู้ผลพวงต่างๆ ของการปลูกฝังที่มาจากครอบครัวของเจ้าเสียก่อน แล้วจากนั้นจึงใช้ความพยายามขจัดความคิดต่างๆ ที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า แน่นอนว่าสามารถกล่าวได้อย่างแน่ชัดว่าเจ้าต้องเลิกทำตามการปลูกฝังโดยครอบครัวของเจ้า จงอย่าคิดว่าเพราะเจ้ามาจากครอบครัวนั้น เจ้าจึงต้องทำดังนี้หรือใช้ชีวิตแบบนั้น เจ้าไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันที่จะสืบทอดประเพณีในครอบครัวหรือสืบทอดวิถีและวิธีการต่างๆ ที่ครอบครัวใช้ลงมือทำสิ่งทั้งหลาย ชีวิตของเจ้ามาจากพระเจ้า วันนี้เจ้าได้รับเลือกสรรจากพระเจ้า และเป้าหมายที่เจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาก็คือเป้าหมายของความรอด ดังนั้นเจ้าไม่สามารถใช้แนวคิดต่างๆ ที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้ามาเป็นพื้นฐานของทัศนะที่เจ้ามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งการวางตนและการกระทำของเจ้า แต่เจ้าต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักคำสอนต่างๆ ของพระองค์ หนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้ในท้ายที่สุด แน่นอนว่าผลพวงของการปลูกฝังโดยครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แต่ผลพวงที่กล่าวถึงในที่นี้ เราได้เอ่ยเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น มีการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวมากมายหลากหลายประเภท และมาจากครอบครัวต่างๆ ตระกูลต่างๆ สังคมต่างๆ เผ่าพันธุ์ต่างๆ และศาสนาต่างๆ ทั้งยังปลูกฝังความคิดอ่านของมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ ทุกรูปแบบ ไม่ว่าการปลูกฝังความคิดต่างๆ นี้จะมาจากเผ่าพันธุ์หรือวัฒนธรรมทางศาสนาใด ตราบใดที่ไม่ตรงตามความจริง และตราบใดที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากผู้คน ตราบนั้นก็ควรปล่อยมือ และเป็นสิ่งที่ผู้คนควรตัดขาด พวกเขาไม่ควรยึดถือ และยิ่งไม่ควรสืบทอด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรละทิ้งไปทั้งสิ้น เช่นนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้อย่างแท้จริง
คำกล่าวที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาซึ่งเกิดจากการปลูกฝังโดยครอบครัวของคนเรานี้ ด้านหนึ่งก็เป็นแบบอย่าง และอีกด้านหนึ่งก็เป็นคำพูดที่ผู้คนพูดถึงกันบ่อยๆ ส่วนคำกล่าวที่พิเศษและไม่ใช่คำพูดที่เป็นแบบอย่าง พวกเราจะไม่พูดถึงในตอนนี้ พวกเจ้าคิดอย่างไรกับการสามัคคีธรรมของพวกเราในหัวข้อเรื่องครอบครัว? เป็นประโยชน์ในทางใดบ้างหรือไม่? (เป็น) จำเป็นต้องสามัคคีธรรมหัวข้อนี้หรือไม่? (จำเป็น) ทุกคนมีครอบครัวและถูกครอบครัวของตนปลูกฝัง สิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าคือพิษและเป็นฝิ่นทางวิญญาณทั้งสิ้น ทำให้เจ้าทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เมื่อพ่อแม่ของเจ้าปลูกฝังสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในตัวเจ้า ในเวลานั้นเจ้าย่อมรู้สึกว่ายอดเยี่ยมจริงๆ เหมือนกับการเสพฝิ่น เจ้ารู้สึกสบายไปทั้งตัว ราวกับได้เข้าสู่โลกอันสุขเกษมแล้ว แต่ผ่านไประยะหนึ่ง ผลนั้นย่อมเสื่อมคลาย ดังนั้นเจ้าจึงต้องมองหาสิ่งเร้าชนิดนี้อยู่ร่ำไป ฝิ่นทางวิญญาณนี้รบกวนและนำปัญหามาให้เจ้าอย่างไม่รู้จบ ทุกวันนี้เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่เจ้าจะขจัดฝิ่นตัวนี้ และไม่ใช่สิ่งที่สามารถทิ้งไปได้ในเวลาอันสั้น ถ้าผู้คนอยากปล่อยมือจากแนวคิดและทัศนะที่ปลูกฝังเอาไว้นี้ พวกเขาก็ต้องใช้เวลาและเรี่ยวแรงในการระบุสิ่งเหล่านี้ออกมา ลอกเปลือกแต่ละชั้นเพื่อที่จะตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนและเท่าทัน จากนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน พวกเขาก็ต้องสามารถปล่อยมือจากเรื่องเหล่านี้ ขัดขืนและไม่กระทำการตามหลักการของแนวคิดและทัศนะดังกล่าว แต่สามารถปฏิบัติและทำสิ่งทั้งหลายตามหนทางที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนเอาไว้ วจนะไม่กี่คำนี้ฟังดูง่าย แต่ผู้คนอาจใช้เวลา 20 หรือ 30 ปี หรือถึงกับชั่วชีวิตในการนำไปปฏิบัติ อาจเป็นไปได้ที่เจ้าจะใช้เวลาทั้งชีวิตต่อกรกับแนวคิดและทัศนะซึ่งเกิดจากคำกล่าวที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังไว้ในตัวเจ้า ตัดขาดและหลุดพ้นจากแนวคิดและทัศนะเหล่านี้ ในการทำเช่นนี้ เจ้าต้องทุ่มเทความรู้สึกและแรงกำลัง ทั้งยังต้องก้าวผ่านความทุกข์ยากทางกายบางประการอีกด้วย เจ้าต้องมีความปรารถนาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และมีเจตจำนงที่กระหายและไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะค่อยๆ สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงและค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นี่คือความยากเย็นในการได้มาซึ่งความจริงและชีวิต เมื่อผู้คนได้ฟังคำเทศนาไปอย่างมากมาย พวกเขาย่อมเข้าใจคำสอนบางส่วนเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ไม่ง่ายที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริงอย่างแท้จริงและสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผลพวงของการปลูกฝังโดยครอบครัว ตลอดจนแนวคิดและทัศนะของผู้ไม่มีความเชื่อได้ ต่อให้เจ้าสามารถเข้าใจความจริงหลังจากที่ฟังคำเทศนาไปแล้ว แต่การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) เอาละ สามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ก็จบลงตรงนี้ ลาก่อน!
25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความต้นฉบับในภาษาจีนไม่มีวลี “ขุนนางราชวงศ์ซ่งที่ถูกประณาม”