ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (14)

ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวซึ่งอยู่ในหัวข้อที่ใหญ่กว่าคือเรื่องของการปล่อยมือจากอุดมคติ การไล่ตามไขว่คว้า และความอยากได้อยากมีของผู้คน—พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องใดในหัวข้อของครอบครัว?  (ครั้งที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวบางอย่างที่มาจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว เช่น “สามคนเดินมา อย่างน้อยย่อมมีคนหนึ่งเป็นครูให้ฉันได้” “ถ้าอยากดูมีศักดิ์ศรีเวลาผู้คนมองมา ก็ต้องยอมทนทุกข์เวลาไม่มีใครมอง” “รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น” “สตรีทำตัวให้สวยเพื่อผู้ที่ชื่นชมตน ส่วนบุรุษย่อมสละชีพเพื่อผู้ที่เข้าใจตน” “ควรเลี้ยงลูกสาวอย่างลูกคนรวย เลี้ยงลูกชายเหมือนลูกคนจน” “ผู้คนไม่จำเป็นต้องมีไอคิวสูง เพียงแต่ต้องมีอีคิวสูงเท่านั้น” “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงรับฟังไว้” และ “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ”  โดยรวมแล้วมีการเสวนาถึงคำกล่าวแปดข้อนี้)  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องการสร้างเงื่อนไขและการอบรมสั่งสอนที่ครอบครัวมีต่อความคิดอ่านของคนคนหนึ่ง  มีการสามัคคีธรรมถึงคำกล่าวบางข้ออย่างละเอียด ขณะที่บางข้อก็เอ่ยถึงเพียงผ่านๆ และไม่ได้สามัคคีธรรมอย่างเจาะจง  ในชีวิตของทุกคน ครอบครัวมีความสำคัญอย่างมาก  เป็นที่ที่ผู้คนสร้างความทรงจำ เติบโต และเป็นที่ที่ความคิดอ่านต่างๆ ของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง  เรื่องที่ว่าผู้คนควรประพฤติและปฏิบัติตนอย่างไร รับมือสิ่งต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เผชิญหน้าสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร และเวลาเผชิญหน้าสถานการณ์เหล่านั้น ควรตัดสินใจอย่างไร พวกเขาควรรับมือเรื่องเหล่านั้นจากมุมมองและจุดยืนเช่นใดบ้าง และอื่นๆ ไม่ว่าความคิดและมุมมองของพวกเขาจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นหรือเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวเป็นส่วนใหญ่  กล่าวคือ ก่อนที่ผู้คนจะเข้าสังคมและเข้ากลุ่มในสังคมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ความคิดและมุมมองของพวกเขาในระยะเริ่มแรกล้วนมาจากครอบครัวทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นครอบครัวจึงสำคัญต่อทุกคนอย่างมาก  ความสำคัญของครอบครัวมีมากกว่าการเติบโตทางกาย ที่สำคัญกว่านั้นคือ ก่อนที่ผู้คนจะเข้าสังคม พวกเขาเรียนรู้ความคิดและมุมมองมากมายที่พึงใช้เป็นแนวทางในการเข้าสังคม เข้ากลุ่มในสังคม และสำหรับชีวิตในอนาคตของพวกเขากันที่บ้านนั่นเอง  แม้จะไม่มีการนิยามความคิดและมุมมองเหล่านี้ให้แน่ชัดหรือถูกต้องระหว่างที่คนคนหนึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่โดยพื้นฐานและในเบื้องต้นแล้ว ความคิดและมุมมองต่างๆ เหล่านี้ วิธีการ กฎเกณฑ์ และแม้กระทั่งวิถีทางต่างๆ ในการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้ ก็ถูกปลูกฝัง ครอบงำ และสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวผู้คนเรียบร้อยแล้วก่อนที่พวกเขาจะเข้าสังคม โดยพ่อแม่ของพวกเขา ผู้อาวุโสหรือสมาชิกคนอื่นในครอบครัว  การลงมือปลูกฝัง ครอบงำ และสร้างเงื่อนไขนี้ทำกันในช่วงที่ผู้คนกำลังเติบโตอยู่ในครอบครัวของตน นั่นคือสาเหตุที่ครอบครัวมีความสำคัญต่อทุกคนอย่างมาก  แน่นอนว่าความสำคัญนี้มีเป้าหมายอยู่ในระดับของการเข้าสังคมและเข้ากลุ่มทางสังคม รวมทั้งการมีชีวิตและความเป็นอยู่ในวัยผู้ใหญ่ของแต่ละคนเท่านั้น—จำกัดอยู่ที่ระดับการดำรงอยู่ทางกายภาพ  นี่แสดงให้เห็นว่าการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวสำคัญเพียงใดต่อการเข้าสังคมและชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของคนคนหนึ่ง  กล่าวคือ เมื่อผู้คนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และเข้าสังคม โดยมากแล้วปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของพวกเขาย่อมมีกำเนิดจากมรดกที่ได้รับจากพ่อแม่และอิทธิพลของครอบครัว  เมื่อมองตามมุมนี้ก็อาจกล่าวได้เช่นกันว่าในเบื้องต้น ครอบครัวในฐานะหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม มีบทบาทต่อการเติบโตด้วยการปรับความคิดอ่านของคนคนหนึ่ง รวมทั้งวิธีการและหลักคิดต่างๆ ที่ใช้ดำรงชีวิตทางโลก และแม้กระทั่งทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต  เมื่อคำนึงว่าความคิด มุมมองต่างๆ วิธีการดำรงชีวิตทางโลก และทัศนคติต่อการดำรงอยู่เหล่านี้เป็นลบ ไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่ยึดโยงกับความจริง หรืออาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่าสวนทางกับความจริง และไม่ได้ถือกำเนิดจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่ผู้คนจะต้องปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของพวกเขา  เมื่อพิจารณาผลสืบเนื่องจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว พวกเราก็มองเห็นว่าการสร้างเงื่อนไขนี้ขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับความจริง ต่อต้านพระเจ้า และโดยแก่นแท้ก็อาจกล่าวได้ว่าครอบครัวคือที่ที่ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม ชักนำให้ผู้คนปฏิเสธพระเจ้า ต้านทานพระองค์ และเดินตามเส้นทางชีวิตที่ผิด  ตามมุมมองนี้สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าครอบครัวในฐานะหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม คือที่แรกที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  แม้การกล่าวว่าซาตานและกระแสนิยมในสังคมทำให้ผู้คนเสื่อมทรามจะเป็นมุมมองกว้างๆ แต่เมื่อลงรายละเอียดก็ควรมองว่าครอบครัวคือสถานที่ที่ผู้คนเริ่มยอมรับความเสื่อมทราม ความคิดที่เป็นลบ กระแสนิยมอันชั่ว และมุมมองของซาตาน  กล่าวให้เจาะจงลงไปก็คือ ความเสื่อมทรามที่ปัจเจกบุคคลยอมรับนั้นมีต้นกำเนิดมาจากพ่อแม่ของพวกเขา ผู้หลักผู้ใหญ่และสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว รวมทั้งธรรมเนียม คุณค่า ประเพณี และอื่นๆ ของทั้งครอบครัว  ถึงอย่างไร ครอบครัวก็คือจุดตั้งต้นที่ผู้คนเผชิญความเสื่อมทราม ยอมรับความคิดและกระแสนิยมอันชั่วของซาตาน และเป็นที่ที่ผู้คนเริ่มยอมรับความคิดต่างๆ ที่เสื่อมทรามและชั่วในช่วงขวบปีแรกๆ ของพวกเขา  ครอบครัวมีบทบาทที่สังคมโดยรวม กระแสนิยมในสังคม และซาตานไม่อาจมีได้ในการทำให้ผู้คนเสื่อมทราม นั่นคือ การแนะนำให้ปัจเจกบุคคลรู้จักความคิดและมุมมองต่างๆ ที่มาจากกระแสนิยมอันชั่วของซาตานก่อนที่พวกเขาจะเข้าสังคมและเข้าร่วมกลุ่มทางสังคม  ไม่ว่าจะกล่าวถึงครอบครัวอย่างไร ครอบครัวก็คือแหล่งกำเนิดเบื้องต้นของความคิดและมุมมองในตัวเจ้าซึ่งเป็นของซาตาน  เพราะฉะนั้น การที่จะช่วยให้ผู้คนปล่อยมือจากความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ผิด ไม่เพียงต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะและชำแหละความคิดและมุมมองที่ผิดซึ่งแพร่หลายมาจากสังคมเท่านั้น แต่รวมถึงความคิดและมุมมองต่างๆ ตลอดจนหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกที่มาจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวด้วย  ตัวครอบครัวเองคือส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์โดยรวม ครอบครัวไม่ใช่คริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่ราชอาณาจักรสวรรค์  เป็นเพียงหน่วยเล็กที่สุดในสังคมซึ่งสร้างขึ้นมาท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทราม และหน่วยที่เล็กที่สุดนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเพราะมนุษยชาติที่เสื่อมทรามเช่นกัน  ดังนั้น ถ้าคนคนหนึ่งอยากเป็นอิสระจากกรอบ ข้อผูกมัด และปัญหาที่เกิดจากความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ผิด พวกเขาก็ควรคิดทบทวน ทำความเข้าใจ และชำแหละความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ตนได้รับจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวเสียก่อน จนถึงจุดที่พวกเขาสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น  นี่คือหลักปฏิบัติที่ถูกต้องของการปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของผู้คน

ก่อนหน้านี้ พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของผู้คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ เช่น ทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต กฎเกณฑ์การอยู่รอด หลักคิดและวิธีการประพฤติตนและดำรงชีวิตทางโลก รวมทั้งกฎกติกาบางอย่างของการเข้าสังคมที่ไม่มีการเขียนเอาไว้  ทัศนคติต่อชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานี้มีอะไรบ้าง?  ตัวอย่างเช่น “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” และ “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น”  แล้วหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกที่ครอบครัวปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนมีอะไรบ้าง?  ตัวอย่างเช่น “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” และ “การประนีประนอมจะทำให้ความขัดแย้งแก้ไขง่ายดายขึ้นมาก”  มีอะไรอีก?  (“รั้วต้องมีสามเสารองรับฉันใด ผู้มีความสามารถต้องมีอีกสามคนคอยหนุนฉันนั้น” และ “เมื่อคนตีฆ้อง จงฟังเสียงฆ้อง เมื่อคนเอ่ยปาก จงรับฟังไว้”  เหล่านี้ก็เป็นวิธีการและหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกเช่นกัน)  มีกฎกติกาทางสังคมบ้างหรือไม่?  เช่น “นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง”?  (มี)  “คนพูดมากย่อมผิดมาก”  มีอะไรอีก?  (ให้ทุกข์ย่อมได้ทุกข์)  นั่นก็ใช่ แต่คราวที่แล้วพวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงคำกล่าวนั้น  นอกจากนี้พ่อแม่มักจะบอกเจ้าว่า “ในโลกภายนอก การตัดสินของลูกควรหลักแหลม ลูกควรพูดจารื่นหู และมีดวงตาที่เฉียบคม  ควร ‘เปิดตามองถนนทุกเส้น และเงี่ยหูฟังเสียงทุกทิศทาง’  อย่ายึดมั่นในหนทางของตนมากนัก”  นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวที่ว่า “การชมเชยใครสักคนไม่เคยทำให้เสียหาย” และ “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ลูกต้องไหลตามกระแส  กฎหมายไม่อาจบังคับใช้ได้ในยามที่ทุกคนเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย  เมื่อสงสัย ให้ทำตามคนส่วนใหญ่”  นี่คือกฎกติกาสารพัดชนิด  แล้วยังมีคำกล่าวอย่าง “สตรีทำตัวให้สวยเพื่อผู้ที่ชื่นชมตน ส่วนบุรุษย่อมสละชีพเพื่อผู้ที่เข้าใจตน” และ “ไม่มีหญิงอัปลักษณ์ มีแต่หญิงเกียจคร้าน”  คำกล่าวเหล่านี้อยู่ในหมวดใด?  จัดอยู่ในหมวดชีวิตประจำวัน คอยบอกเจ้าว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรและควรปฏิบัติต่อร่างกายของเจ้าอย่างไร  จากนั้นยังมีคำกล่าว เช่น “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ” “แม่ดีงามที่สุดในโลก” “ห่านฉลาดไม่เคยออกไข่ที่เชื่อง” และ “หาเลี้ยงโดยไม่สอนสั่งคือความผิดของผู้เป็นพ่อ”  เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความคิดและมุมมองเรื่องความรักใคร่เอ็นดูและความรู้สึกในครอบครัว  นอกจากนี้ผู้คนยังพูดกันบ่อยๆ ว่า “คนตายย่อมยิ่งใหญ่ในสายตาของคนเป็น”—เมื่อคนคนหนึ่งตาย พวกเขาก็กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่  ถ้าเจ้าอยากมีสถานะสูงขึ้น ถ้าเจ้าอยากให้ผู้คนพูดถึงเจ้าในทางที่ดีและเคารพเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องตาย  เมื่อเจ้าตาย เจ้าก็จะยิ่งใหญ่  “คนตายย่อมยิ่งใหญ่ในสายตาของคนเป็น”—ตรรกะนี้ไม่น่าหัวร่อหรือไร?  พวกเขากล่าวว่า “อย่าพูดถึงคนคนหนึ่งในทางไม่ดีหลังจากที่พวกเขาตายแล้ว  คนตายย่อมยิ่งใหญ่ในสายตาของคนเป็น  ให้เกียรติพวกเขาบ้าง!”  ไม่ว่าคนคนนี้จะเคยทำเรื่องไม่ดีกี่อย่าง พวกเขาก็ยิ่งใหญ่เมื่อตาย  นี่แสดงให้เห็นการไร้วิจารณญาณแยกแยะดีชั่วอย่างสิ้นเชิง และขาดหลักธรรมว่าผู้คนควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรมิใช่หรือ?  (ใช่)  “พ่อแม่ย่อมถูกเสมอ”  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันอย่างละเอียด  ส่วนคำกล่าวอื่นๆ เช่น “หาเลี้ยงโดยไม่สอนสั่งคือความผิดของผู้เป็นพ่อ” และ “ห่านฉลาดไม่เคยออกไข่ที่เชื่อง” ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสามัคคีธรรมนั้น แต่นี่ก็ง่ายที่จะแยกแยะมิใช่หรือ?  คำกล่าวที่ว่า “หาเลี้ยงโดยไม่สอนสั่งคือความผิดของผู้เป็นพ่อ” นี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่ทำให้ดูเหมือนว่าการอบรมสั่งสอนของพ่อมีความสำคัญมาก  พ่อคนหนึ่งสามารถพาผู้คนเดินไปบนเส้นทางแบบใดได้บ้าง?  เขาสามารถพาเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่?  เขาสามารถพาเจ้านมัสการพระเจ้าและกลายเป็นคนดีแท้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พ่อของเจ้าบอกเจ้าว่า “ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ” แต่เจ้ายังเด็ก และเจ้าก็ร้องไห้เวลาที่เจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  แต่พ่อของเจ้ากลับเอ็ดเจ้าว่า “กลั้นเอาไว้!  ทำตัวให้เป็นชายแท้  ร้องไห้ในเรื่องเล็กน้อยทุกเรื่อง ไม่ได้ความ!”  หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เจ้าก็คิดว่า “ฉันจะหลั่งน้ำตาไม่ได้ ถ้าร้องไห้ ฉันย่อมเป็นคนไม่ได้ความ”  เจ้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่กล้าร้องไห้ และแอบร้องไห้ใต้ผ้าห่มตอนกลางคืน  ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงออกหรือถ่ายทอดอารมณ์ของตนตามธรรมชาติด้วยซ้ำ เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะร้องไห้ เจ้าต้องกลั้นเอาไว้ทุกครั้งที่เจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  นี่คือการอบรมสั่งสอนที่เจ้าได้รับจากพ่อของเจ้า และเป็นความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่า “หาเลี้ยงโดยไม่สอนสั่งคือความผิดของผู้เป็นพ่อ”  พ่อของเจ้า แม่ของเจ้า และคนรุ่นก่อนเจ้าล้วนยึดถือการอบรมสั่งสอนแบบนี้พลางกล่าวว่า “ลูกเป็นเด็กผู้ชาย แต่กลับร้องไห้ไปทุกเรื่อง ร้องทุกครั้งที่รู้สึกว่าถูกใครทำและเวลาถูกรุมนอกบ้าน  ไม่ได้ความ!  พวกเขาต่อยมา ทำไมไม่ต่อยกลับ?  พวกเขาตีลูก ก็อย่าไปเล่นกับพวกเขาอีก  เวลาเจอหน้าพวกเขาอีกทีและเห็นว่าลูกสามารถต่อยตีเขาได้ อย่างนั้นก็ทำเสีย ถ้าทำไม่ได้ก็ให้วิ่งหนีไป  ดูอย่างหานซิ่น[ก]ที่สู้ทนการถูกเหยียดหยามโดยยอมคลานลอดหว่างขาคนอื่นตามที่ถูกเขาบังคับสิ  เขาไม่ร้องไห้ ชายแท้เป็นอย่างนั้น!”  คนเป็นพ่ออบรมสั่งสอนลูกชายและปลูกฝังความคิดของการเป็นชายแท้ให้กับพวกเขากันแบบนี้  ผู้ชายไม่สามารถพูดถึงความเดือดร้อนของตนและไม่อาจหลั่งน้ำตาได้ พวกเขาต้องกลั้นเอาไว้  จงบอกเราเถิดว่าผู้ชายต้องสู้ทนความอยุติธรรมมากเพียงใด  ในสังคมนี้ ผู้ชายต้องจุนเจือครอบครัว แสดงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ในบ้าน และไม่กล้าบ่นไม่ว่าตนจะเหนื่อยเพียงใดก็ตาม  พวกเขาไม่สามารถระบายออกมาได้ไม่ว่าจะสู้ทนความอยุติธรรมไปมากเท่าใดแล้ว  นี่ไม่เป็นธรรมกับผู้ชายมิใช่หรือ?  (ใช่ ไม่เป็นธรรม)  เมื่อพ่อของพวกเจ้าอบรมสั่งสอนพวกเจ้าเช่นนี้ พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  เมื่อเจ้าอยากร้องไห้ในบางครั้ง พ่อของเจ้ากล่าวว่าอย่างไร?  “ฉัน ชื่อนี้ๆ เป็นคนฉลาดและกระตือรือร้นที่จะเป็นเลิศมาตลอดชีวิต  แล้วฉันเลี้ยงลูกที่อ่อนแออย่างแกมาได้อย่างไร?  ตอนที่ฉันอายุเท่าแก ฉันก็หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวเองแล้ว  ดูแกสิ ถูกพะเน้าพะนอและให้ท้าย แกมันไม่ได้ความ!”  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  พ่อแม่และปู่ย่าอบรมสั่งสอนเจ้ามาโดยกล่าวว่า “ผู้ชายคือเสาหลักของครอบครัว  ทำไมพวกเราถึงสนับสนุนแก?  ทำไมพวกเราถึงส่งแกเข้ามหาวิทยาลัย?  ก็เพื่อช่วยให้แกมาจุนเจือครอบครัว ไม่ใช่ให้ร้องไห้หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเวลาเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเวลาพ่อและผู้ใหญ่ในบ้านกล่าวเช่นนี้?  เจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมหรือว่ารับฟังด้วยดี?  (ข้าพระองค์รู้สึกหดหู่ รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม)  เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับเอาไว้ หรือว่าเจ้ารู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในหัวใจ?  (ข้าพระองค์รู้สึกขุ่นเคือง แต่ก็ต้องยอมรับเอาไว้)  เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?  (เพราะข้าพระองค์รู้สึกว่าภายใต้รูปการณ์หรือระบบสังคมเช่นนี้ ข้าพระองค์ไม่มีทางเลือกอื่น)  สังคมใช้วิธีนี้จัดวางตำแหน่งให้ผู้ชาย  พวกเขาเกิดมาในรูปการณ์ทางสังคมแบบนี้ และไม่มีใครมีทางเลือก  การอบรมสั่งสอนที่เจ้าได้รับจากพ่อและผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้ามีต้นกำเนิดมาจากสังคม หลังจากที่พวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนทางอุดมคติเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ปลูกฝังความคิดที่ได้จากสังคมให้แก่เจ้าอีกต่อหนึ่ง  ในความเป็นจริง เมื่อพวกเขายอมรับความคิดและมุมมองเหล่านี้เอาไว้ในช่วงที่พวกเขากำลังเติบโต พวกเขาก็จำใจทำดังนั้นเช่นกัน  เมื่อพวกเขามีอายุมากขึ้น ก็ส่งต่อความคิดเหล่านี้ให้แก่คนรุ่นต่อไป  พวกเขาไม่ได้พิจารณาว่าคนรุ่นต่อไปควรยอมรับความคิดและมุมมองเหล่านี้ไว้หรือไม่ หรือว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะพวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างนี้  พวกเขาคิดว่าผู้คนควรใช้ชีวิตตามนี้ สำคัญด้วยหรือถ้าเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งสำคัญก็คือการยอมรับความคิดเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าตั้งตัวได้ในสังคม และไม่ถูกผู้อื่นรังแก  พวกเขาเคยสู้ทนความคับข้องหมองใจเหล่านี้เช่นกัน รู้สึกหดหู่และขุ่นเคืองเหมือนเจ้าเลย แต่เหตุใดจึงยังส่งต่อความคิดและมุมมองเหล่านี้มาให้เจ้า?  เหตุผลข้อหนึ่งก็คือเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะพากันยอมรับความคิดและมุมมองต่างๆ ของสังคม ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับกระแสนิยมทางสังคม ช่วยให้พวกเขาตั้งตัวได้ในสังคม  ทุกคนทำตามความคิดและมุมมองเหล่านี้เหมือนเป็นแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต ไม่มีใครตั้งคำถามหรืออยากแยกตัวหรือขบถต่อสิ่งเหล่านี้  นี่คือแง่หนึ่ง—เป็นไปเพื่อการอยู่รอด  อีกแง่หนึ่งซึ่งเป็นแง่หลักก็คือผู้คนไม่มีความสามารถที่จะแยกสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่มีความคิดและมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องการอยู่รอด การดำรงชีวิตทางโลก หรือเส้นทางที่พวกเขาควรเดิน  การที่จะปรับตัวเข้ากับสังคม เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และอยู่รอดในสังคมนี้และในกลุ่มต่างๆ ทางสังคมได้นั้น ผู้คนต้องยอมรับหลักการดำรงชีวิตทางโลกและกฎกติกาที่สังคมวางไว้ให้ไม่ว่าจะด้วยความกระตือรือร้นหรือเฉยเมยก็ตาม  จุดประสงค์ของการปรับตัวก็เพื่อให้ผู้คนตั้งตัวในสังคมและอยู่รอดได้  อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเลือกหลักการดำรงชีวิตทางโลกและกฎกติกาที่สังคมวางไว้ให้  เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เมื่อพ่อของเจ้าสอนเจ้าว่า “ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ” แม้เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและอยากระบายความอัดอั้นออกมา แต่เจ้าก็ไม่มีทางปฏิเสธพ่อได้ และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่พ่อพูดได้  ในท้ายที่สุดสาเหตุที่เจ้ายอมรับเรื่องนี้ไว้ในหัวใจของเจ้าก็เพราะว่า “แม้คำพูดของพ่อจะค่อนข้างเกรี้ยวกราดและยากจะฟัง และแม้การยอมรับถ้อยคำเหล่านี้จะฝืนใจตัวเอง แต่พ่อก็ทำเพราะหวังดีต่อฉัน ดังนั้นฉันจึงควรยอมรับเอาไว้”  เป็นเพราะมโนธรรมและความกตัญญูในฐานะลูก ผู้คนจึงต้องยอมจำนนและยอมรับความคิดและมุมมองเหล่านี้  ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใดของการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของผู้คน พวกเขาก็อยู่ในสภาวะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ได้รับการปลูกฝังด้วยวิธีการเหล่านี้ติดต่อกันจนในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับวิธีการเหล่านี้แม้จะไม่อยากทำก็ตาม  ตลอดกระบวนการของการยอมรับอย่างต่อเนื่องนี้ ความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องและเป็นลบเหล่านี้ค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในตัวตนส่วนลึกสุดของคนคนหนึ่ง หรือแทรกซึมเข้าไปในความคิดและมุมมองของพวกเขาอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ กลายเป็นหลักการต่างๆ นานาที่พวกเขาใช้ประพฤติตนและดำรงชีวิตทางโลก  กระบวนการนี้สามารถบรรยายได้อย่างเหมาะสมว่าเป็นการที่คนคนหนึ่งถูกทำให้เสื่อมทราม เพราะกระบวนการยอมรับความคิดและมุมมองที่ผิดก็คือกระบวนการทำให้เสื่อมทรามเช่นกัน  แล้วใครทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  ในแง่นามธรรม พวกเขาถูกซาตานและกระแสนิยมอันชั่วทำให้เสื่อมทราม กล่าวอย่างเจาะจงลงไปก็คือ พวกเขาเสื่อมทรามเพราะครอบครัวของตนเอง และถ้ากล่าวให้แน่ชัดลงไปอีกก็คือ เพราะพ่อแม่ของตน  ถ้าเรากล่าวดังนี้เมื่อสิบปีก่อน ก็คงไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถยอมรับได้ และทุกคนก็คงจะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับเรา  อย่างไรก็ดี ตอนนี้พวกเจ้าส่วนใหญ่สามารถยอมรับได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าถ้อยแถลงนี้ถูกต้อง และกล่าว “อาเมน” ได้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เหตุใดถ้อยแถลงนี้จึงถูกต้อง?  การที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ผู้คนจำต้องรู้ค่าของถ้อยแถลงนี้ผ่านทางประสบการณ์ของตนทีละนิด  ยิ่งเจ้ารู้ค่าอย่างลึกซึ้งและแน่ชัด ยิ่งประสบการณ์ของเจ้าสะท้อนเรื่องนี้ให้เห็น เจ้าก็จะยิ่งสามารถเห็นพ้องกับถ้อยแถลงนี้

มีโอกาสสูงมากที่การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวจะเกี่ยวพันกับกฎกติกาอีกมากมายของการประพฤติตนและดำรงชีวิตทางโลก  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่มักจะกล่าวว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน ลูกโง่เขลาและเชื่อคนง่ายเกินไป”  พ่อแม่มักจะกล่าวคำเช่นนี้ซ้ำๆ และแม้กระทั่งผู้ใหญ่ในบ้านก็มักจะจ้ำจี้จ้ำไชบอกเจ้าว่า “ต้องเป็นคนดี อย่าทำร้ายคนอื่น แต่ก็ต้องระวังอยู่เสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน  ผู้คนล้วนไม่ดี  หลานอาจจะมองว่าบางคนภายนอกพูดเรื่องดีๆ กับหลาน แต่หลานไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่  หัวใจคนซ่อนอยู่ใต้ผิว และการเขียนเสือย่อมเขียนให้เห็นหนังเสือ ไม่ใช่กระดูก การรู้จักคน อาจรู้หน้า แต่ไม่รู้ใจ”  สำนวนเหล่านี้มีด้านที่ถูกต้องบ้างหรือไม่?  เมื่อดูไปทีละข้อตามตัวอักษร สำนวนดังกล่าวไม่มีอะไรผิด  สิ่งที่คนคนหนึ่งคิดอยู่ลึกๆ อย่างแท้จริง หัวใจของพวกเขาร้ายกาจหรือมีเมตตา เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้  เป็นไปไม่ได้ที่จะมองทะลุเข้าไปในดวงจิตของคนคนหนึ่ง  ความหมายเบื้องหลังสำนวนเหล่านี้ถูกต้องตามที่เห็นกันอยู่ แต่ก็เป็นเพียงคำสอนอย่างหนึ่งเท่านั้น  ท้ายที่สุดแล้ว หลักการดำรงชีวิตทางโลกที่ผู้คนได้จากสำนวนทั้งสองนี้คืออะไร?  คือการที่ “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน”  นี่คือสิ่งที่คนรุ่นก่อนพูดกัน  พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านมักจะกล่าวเช่นนี้ พวกเขาแนะนำเจ้าตลอดเวลาโดยกล่าวว่า “ต้องระวัง อย่าทำตัวโง่เขลาและเผยทุกอย่างในหัวใจออกมา  หัดระแวดระวังและตื่นตัวเข้าไว้  แม้แต่กับเพื่อนสนิทก็อย่าเผยตัวตนที่แท้จริงหรือเปิดใจให้  อย่าเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขา”  คำเตือนสอนของผู้ใหญ่ของเจ้านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง เป็นการสอนวิธีหลอกลวงแก่ผู้คน)  ในทางทฤษฎีแล้ว นี่มีจุดมุ่งหมายเบื้องต้นที่ดี คือเพื่อปกป้องเจ้า ป้องกันไม่ให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ปกป้องเจ้าจากการถูกผู้อื่นทำร้ายหรือฉ้อโกง พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ทางวัตถุ ความปลอดภัยส่วนตน และชีวิตของเจ้า  นี่เป็นไปเพื่อทำให้เจ้าไม่พบเจอความเดือดร้อน คดีความ และการทดลอง และเปิดโอกาสให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสันติ ราบรื่น และมีความสุขทุกวัน  จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของพ่อแม่และผู้หลักผู้ใหญ่ก็เพียงเพื่อที่จะปกป้องเจ้า  อย่างไรก็ดี วิธีปกป้องของพวกเขา หลักคิดที่พวกเขาแนะนำให้เจ้าทำตาม และความคิดที่พวกเขาปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าไม่ได้ถูกต้องแต่อย่างใด  แม้จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของพวกเขาจะถูกต้อง แต่ความคิดที่พวกเขาปลูกฝังให้กับเจ้ากลับพาให้เจ้าสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว  ความคิดที่พวกเขาปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้ากลายเป็นหลักคิดและหลักการที่เจ้าใช้ดำรงชีวิตทางโลก  เมื่อเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมงาน คู่ทำงาน หัวหน้างาน และผู้คนทุกจำพวกในสังคม ผู้คนที่มาจากหลากหลายชนชั้นและสาขาอาชีพ เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารับมือเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดที่คอยปกป้องเจ้าซึ่งพ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ให้นี้ย่อมกลายเป็นเครื่องรางและหลักคิดในระดับพื้นฐานที่สุดของเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว  หลักคิดนี้มีว่าอย่างไร?  ว่าฉันจะไม่ทำร้ายคุณ แต่ฉันต้องระวังคุณตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหลอกลวงหรือโกงฉัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดร้อนหรือคดีความ เพื่อปกป้องเงินทองของครอบครัวไม่ให้สิ้นสูญ ปกป้องผู้คนในครอบครัวของฉันไม่ให้พบจุดจบ และปกป้องตัวเองจากการลงเอยในคุก  เมื่อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของความคิดและมุมมองดังกล่าว ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางกลุ่มทางสังคมที่มีท่าทีเช่นนี้ในการดำรงชีวิตทางโลก เจ้าก็ได้แต่หดหู่มากขึ้น เหน็ดเหนื่อยมากขึ้น อ่อนล้าทั้งกายและใจ  ภายหลังเจ้าจึงต้านทานและรังเกียจโลกนี้และมนุษยชาติมากขึ้น ชิงชังทุกคนมากขึ้น  ระหว่างที่ชิงชังผู้อื่น เจ้าก็เริ่มนับถือตนเองน้อยลง รู้สึกว่าเจ้านั้นไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคน แต่กำลังมีชีวิตที่อิดโรยและหดหู่  การที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผู้อื่นทำร้ายเอานั้น เจ้าต้องระแวดระวังตลอดเวลา ทำและพูดสิ่งที่ฝืนใจตนเอง  เจ้าสวมหน้ากากเทียมเท็จในทุกด้านของชีวิตและอำพรางตัวตนเพื่อที่จะไล่ตามปกป้องผลประโยชน์และความปลอดภัยส่วนตัวของเจ้า ไม่เคยกล้าพูดเรื่องจริงสักคำ  ในสถานการณ์เช่นนี้ ในภาวะของการเอาตัวรอดเหล่านี้ ตัวตนภายในของเจ้าไม่สามารถพบทางออกหรืออิสรภาพ  เจ้ามักจะต้องการใครสักคนที่ไม่เป็นภัยต่อเจ้าและจะไม่มีวันคุกคามผลประโยชน์ของเจ้า คนที่เจ้าสามารถแบ่งปันความในใจส่วนลึกสุดและระบายความอัดอั้นของเจ้าได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบคำพูดของเจ้าเอง ไม่พบเจอเสียงหัวร่อ ค่อนว่า เย้ยหยัน หรือรับผลที่จะตามมา  ในสถานการณ์ที่ความคิดและมุมมองที่ว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน” กลายเป็นหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกของเจ้า ตัวตนภายในของเจ้าย่อมเต็มไปด้วยความกลัวและความไม่มั่นใจ  แน่นอนว่าเจ้าย่อมรู้สึกหดหู่ ไม่สามารถหาทางออกพบ และต้องการใครสักคนมาชูใจเจ้า ใครสักคนไว้บอกความในใจ  เพราะฉะนั้น เมื่อตัดสินจากแง่มุมเหล่านี้ แม้หลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกที่พ่อแม่ของเจ้าสอนเจ้าไว้ว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน” จะสามารถปกป้องเจ้าได้สำเร็จ แต่ก็เป็นดาบสองคม  แม้จะปกป้องผลประโยชน์ทางวัตถุและความปลอดภัยส่วนตัวให้เจ้าในระดับหนึ่ง แต่หลักคิดนี้ก็ทำให้เจ้ารู้สึกหดหู่และทุกข์ตรมไปด้วย ไม่สามารถหาทางออกได้ และถึงกับทำให้เจ้าไม่พอใจโลกนี้และมนุษยชาติมากขึ้น  ในเวลาเดียวกัน ลึกๆ ในใจ เจ้าก็เริ่มรู้สึกเอือมระอาขึ้นมารางๆ ที่เกิดมาในยุคชั่วเช่นนี้ ท่ามกลางกลุ่มคนที่ชั่วเช่นนี้  เจ้าไม่อาจเข้าใจได้ว่าผู้คนต้องมีชีวิตไปเพื่ออะไร ชีวิตเหนื่อยล้าเช่นนี้เพื่ออะไร พวกเขาต้องสวมหน้ากากและอำพรางตัวตนกันในทุกที่ที่ไปเพราะเหตุใด หรือเหตุใดเจ้าจึงต้องคอยระวังผู้อื่นในเรื่องผลประโยชน์ของเจ้าเองอยู่เสมอ  เจ้าหวังให้ตัวเองพูดเรื่องจริงได้ แต่เพราะผลที่จะตามมา เจ้าจึงทำไม่ได้  เจ้าอยากเป็นคนจริง พูดจาและวางตนเปิดเผย หลีกเลี่ยงการเป็นคนต่ำช้าหรือลักลอบทำอะไรที่เลวทรามและน่าละอาย ใช้ชีวิตอยู่แต่ในความมืดมิดเท่านั้น แต่เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรเหล่านี้ได้  เหตุใดเจ้าจึงดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงไม่ได้?  ระหว่างที่นึกทบทวนการกระทำในอดีตของตน เจ้าก็รู้สึกดูแคลนขึ้นมาเล็กน้อย  เจ้าเกลียดและชิงชังกระแสนิยมอันชั่วและโลกชั่วนี้ และขณะเดียวกันเจ้าก็ชังตัวเองอย่างหนักและดูหมิ่นคนที่ตัวเจ้าเป็นในตอนนี้  กระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าสามารถทำได้  แม้พ่อแม่ของเจ้าจะส่งต่อเครื่องรางชิ้นนี้ให้แก่เจ้าผ่านทางวาจาและการกระทำของพวกเขา แต่เจ้าก็ยังรู้สึกว่าชีวิตของเจ้าไร้สุขหรือไม่รู้สึกว่าปลอดภัย  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าไร้สุข ไร้ความปลอดภัย ไร้ความซื่อตรงและศักดิ์ศรีเช่นนี้ เจ้าก็พบว่าเจ้านั้นทั้งรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ที่มอบเครื่องรางชิ้นนี้ให้แก่เจ้า และขุ่นเคืองโซ่ตรวนที่พวกเขาสวมให้เจ้า  เจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพ่อแม่จึงบอกให้เจ้าวางตนเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงต้องวางตนเช่นนี้เพื่อที่จะมีที่ยืนในสังคม เพื่อปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มในสังคมนี้ และปกป้องตัวเจ้าเอง  แม้นี่จะเป็นเครื่องราง แต่ก็เป็นโซ่ตรวนอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้ารู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดอยู่ในหัวใจเช่นกัน  แต่เจ้าจะทำอย่างไรได้?  เจ้าไม่มีเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ไม่มีใครบอกเจ้าว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรหรือรับมือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าอย่างไร และไม่มีใครบอกเจ้าว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นถูกหรือผิด หรือว่าเจ้าควรเดินไปบนเส้นทางที่ทอดอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างไร  เจ้าทำได้เพียงล่วงผ่านความสับสน ความไม่แน่ใจ ความเจ็บปวด และความไม่สบายใจไปเท่านั้น  เหล่านี้คือผลสืบเนื่องของปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกที่พ่อแม่และครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า ทำให้ความปรารถนาที่เรียบง่ายที่สุดของเจ้าไม่อาจเป็นจริงได้ ซึ่งก็คือการเป็นคนง่ายๆ เป็นความประสงค์ที่จะสามารถวางตนได้อย่างซื่อตรงโดยไม่ใช้วิธีการเหล่านี้ดำรงชีวิตทางโลก  เจ้าได้แต่ดำเนินชีวิตอย่างต่ำช้า ประนีประนอมและใช้ชีวิตเพื่อให้ตนเองมีหน้ามีตา ทำตัวดุดันเป็นพิเศษเพื่อระวังผู้อื่น แกล้งทำเป็นดุร้าย สูงส่งและทรงพลัง มีอำนาจและไม่ธรรมดา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรังแก  เจ้าได้แต่ใช้ชีวิตที่ฝืนใจตนเองเช่นนี้ ซึ่งทำให้เจ้าชังตัวเอง แต่เจ้าก็ไม่มีทางเลือก  ด้วยเหตุที่เจ้าไม่มีความสามารถหรือเส้นทางที่จะหนีพ้นหนทางและกลยุทธ์ของการดำรงชีวิตทางโลก เจ้าจึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองถูกความคิดที่ครอบครัวและพ่อแม่สร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวเจ้าคอยบงการ  ระหว่างที่อยู่ในกระบวนการนี้โดยไม่รู้ตัว ผู้คนก็หลงเชื่อและตกอยู่ภายใต้การควบคุมของความคิดที่ครอบครัวและพ่อแม่ของตนปลูกฝังเอาไว้ให้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือไม่เข้าใจว่าตนควรใช้ชีวิตอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ปล่อยไปตามชะตากรรม  ต่อให้มโนธรรมของพวกเขายังคงมีความรู้สึกอยู่บ้าง หรือพวกเขามีความประสงค์แม้เพียงน้อยนิดที่จะใช้ชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์ เข้ากับผู้อื่นและแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าความปรารถนาของพวกเขาจะเป็นเช่นใด พวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นการสร้างเงื่อนไขและการควบคุมของความคิดและมุมมองต่างๆ ที่มาจากครอบครัวของตนได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กลับไปหาความคิดและมุมมองที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวพวกเขาว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน” เพราะพวกเขาไม่มีเส้นทางอื่นให้ใช้—พวกเขาไม่มีทางเลือก  ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถได้มาซึ่งความจริง  แน่นอนว่าพ่อแม่ย่อมบอกเจ้าเช่นกันว่า “การเขียนเสือย่อมเขียนให้เห็นหนังเสือ ไม่ใช่กระดูก การรู้จักคน อาจรู้หน้า แต่ไม่รู้ใจ” พวกเขาบอกศิลปะการระวังตัวกับผู้อื่นให้แก่เจ้า และบอกให้เจ้าทำเช่นนี้เพราะทุกคนล้วนเจ้าเล่ห์ ถ้าเจ้าไม่สามารถรู้ทันผู้คน ก็จะถูกหลอกให้หลงกลได้ง่าย ความคิดในใจของพวกเขาอาจไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอก คนคนหนึ่งภายนอกอาจดูชอบธรรมและใจดีมีเมตตา แต่หัวใจของพวกเขากลับมีพิษเหมือนงูหรือแมงป่อง หรือภายนอกอาจพูดถึงความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะควร ปัญญา และความน่าเชื่อถือ พูดทุกสิ่งที่ถูกต้อง วาจาของพวกเขาเต็มไปด้วยความชอบธรรมและความมีศีลธรรม แต่ลึกลงไปในหัวใจและดวงจิต พวกเขากลับโสมม น่ารังเกียจ ต่ำต้อย และเลวเป็นพิเศษ  เพราะฉะนั้น เจ้าจึงได้แต่รับมือและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามความคิดและมุมมองที่พ่อแม่ของเจ้าปลูกฝังเอาไว้ให้

“คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน” และ “การเขียนเสือย่อมเขียนให้เห็นหนังเสือ ไม่ใช่กระดูก การรู้จักคนอาจรู้หน้า แต่ไม่รู้ใจ” คือหลักคิดขั้นพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิตทางโลกซึ่งพ่อแม่ปลูกฝังให้กับเจ้า ทั้งยังเป็นหลักเกณฑ์สำคัญที่สุดในการมองผู้คนและเฝ้าระวังพวกเขา  จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของพ่อแม่ก็คือการปกป้องเจ้าและช่วยให้เจ้าปกป้องตัวเอง  อย่างไรก็ดี ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ถ้อยคำ ความคิด และมุมมองเหล่านี้อาจทำให้เจ้ายิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าโลกนี้อันตรายและผู้คนก็เชื่อถือไม่ได้ พาให้ไร้ซึ่งความรู้สึกที่เป็นบวกต่อผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง  แต่แท้จริงแล้วเจ้าจะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนและมองผู้อื่นได้อย่างไร?  ผู้คนแบบไหนที่เจ้าจะสามารถไปด้วยกันได้ และสัมพันธภาพที่ถูกควรระหว่างผู้คนควรเป็นเช่นใด?  คนเราควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นตามหลักธรรมอย่างไร และจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างยุติธรรมและกลมเกลียวได้อย่างไร?  พ่อแม่ไม่รู้อะไรในเรื่องเหล่านี้  พวกเขารู้แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะใช้เล่ห์เหลี่ยม อุบาย รวมทั้งกฎกติกาและกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำรงชีวิตทางโลก มาระวังผู้คน เอาเปรียบและควบคุมผู้อื่น เพื่อปกป้องตนเองจากการถูกผู้อื่นทำร้ายไม่ว่าตัวพวกเขาเองจะทำร้ายผู้อื่นมากเพียงใดก็ตาม  ระหว่างที่สอนความคิดและมุมมองเหล่านี้ให้แก่ลูกของตน สิ่งที่พ่อแม่ปลูกฝังไว้ในตัวลูกๆ เป็นเพียงกลยุทธ์บางอย่างสำหรับใช้ดำรงชีวิตทางโลกเท่านั้น  ไม่ใช่อะไรนอกจากกลยุทธ์  แล้วกลยุทธ์เหล่านี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง?  เล่ห์เหลี่ยมและกฎกติกาสารพัดชนิด วิธีเอาใจผู้อื่น วิธีปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และวิธีเพิ่มผลประโยชน์ส่วนตนให้ได้มากที่สุด  หลักคิดเหล่านี้ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ใช่เส้นทางที่ถูกต้องให้ผู้คนใช้เดินหรือไม่?  (ไม่ใช่)  หลักคิดเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องเลย  แล้วความคิดที่พ่อแม่ปลูกฝังให้กับเจ้ามีแก่นแท้เป็นเช่นใด?  ไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง และไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  เช่นนั้นแล้ว ความคิดเหล่านี้คืออะไร?  (ทั้งหมดนี้คือปรัชญาของซาตานที่ทำให้พวกเราเสื่อมทราม)  เมื่อมองไปที่ผลลัพธ์ ความคิดเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  ดังนั้นแก่นแท้ของความคิดเหล่านี้เป็นเช่นไร?  อย่างคำกล่าวที่ว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน”—นี่ใช่หลักคิดที่ถูกต้องในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือไม่?  (ไม่ใช่ ความคิดทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นลบซึ่งมาจากซาตานทั้งสิ้น)  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นลบซึ่งมาจากซาตาน—ดังนั้นแก่นแท้และธรรมชาติของความคิดเหล่านี้เป็นเช่นใด?  นี่คือเล่ห์เหลี่ยมมิใช่หรือ?  เป็นกลยุทธ์มิใช่หรือ?  เป็นชั้นเชิงในการเอาชนะใจผู้อื่นมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่หลักปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความจริง หรือหลักธรรมและทิศทางที่เป็นบวกซึ่งพระเจ้าทรงใช้สอนผู้คนว่าควรวางตนเช่นใด นี่คือกลยุทธ์ของการดำรงชีวิตทางโลก เป็นเล่ห์เหลี่ยม  นอกจากนี้ ธรรมชาติของสำนวนต่างๆ เช่น “การเขียนเสือย่อมเขียนให้เห็นหนังเสือ ไม่ใช่กระดูก การรู้จักคนอาจรู้หน้า แต่ไม่รู้ใจ” เหมือนกันหมดหรือไม่?  (เหมือนกัน)  สำนวนเหล่านี้บอกให้เจ้าทำตัวเจ้าเล่ห์ อย่าเป็นคนเรียบง่าย ตรงไปตรงมา หรือซื่อตรง ให้ทำตัวอ่านยาก และยากที่ผู้อื่นจะรู้ทันเจ้ามิใช่หรือ?  หลักคิดจำเพาะสำหรับการดำรงชีวิตทางโลกที่ความคิดและมุมมองเหล่านี้หยิบยื่นให้เจ้านี้ คอยบอกให้เจ้าใช้กลยุทธ์ต่างๆ เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ให้เรียนรู้ที่จะเอาชนะใจผู้อื่น และเรียนรู้กฎกติกาที่ผู้คนทุกยุคทุกสมัยใช้กันอย่างแพร่หลายมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “พ่อแม่พร่ำสอนสำนวนเหล่านี้แก่ผู้คนเพื่อบอกให้พวกเขาระวังตัวกับคนอื่นและเรียนรู้ว่าควรมองผู้คนอย่างไร”  สำนวนเหล่านี้บอกเจ้าหรือเปล่าว่าควรมองผู้อื่นอย่างไร?  ไม่ได้บอกเจ้าว่าควรมองผู้อื่นอย่างไร ไม่ได้บอกให้เจ้ามีท่าทีต่อผู้คนต่างๆ ตามหลักธรรมที่ถูกต้อง แต่ให้ใช้เล่ห์เหลี่ยมและอุบายที่พ้องกันมาตอบสนองความต้องการและกลยุทธ์ของผู้คนต่างๆ  ตัวอย่างเช่น เจ้านายหรือหัวหน้างานของเจ้าเป็นคนที่เลวทรามและเป็นเสือผู้หญิง  เจ้าก็คิดว่า “ภายนอกนั้นเจ้านายดูน่านับถือ เขาดูเป็นคนซื่อตรง แต่แท้จริงแล้ว ใต้เปลือกทั้งหมดนั้นเขาคือเสือผู้หญิง  ลึกลงไปในดวงจิต เขาก็คือวายร้ายจำพวกนั้น  แต่ไม่เป็นไร ฉันจะคอยตอบสนองความชอบส่วนตัวของเขา เห็นผู้หญิงคนไหนดูดี ก็เข้าไปหาเธอ และแนะนำให้รู้จักเจ้านายเพื่อเอาใจเขา”  นี่คือกลยุทธ์ในการดำรงชีวิตทางโลกใช่หรือไม่?  (ใช่)  ยกตัวอย่างเวลาเจ้าเห็นใครบางคนมีคุณค่าให้หาประโยชน์และควรค่าที่เจ้าจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่จะวุ่นวายด้วยง่าย เจ้าจึงคิดว่า “ฉันต้องพูดจาป้อยอพวกเขา อะไรก็ได้ที่พวกเขาชอบฟัง”  แล้วคนคนนั้นก็พูดว่า “วันนี้อากาศดี”  เจ้าจึงกล่าวว่า “วันนี้อากาศดีจริงๆ พรุ่งนี้ก็จะดีเช่นกัน”  เมื่อพวกเขากล่าวว่า “วันนี้อากาศหนาวมาก”  เจ้าก็ตอบว่า “ใช่ วันนี้หนาว  ทำไมคุณไม่สวมอะไรให้อุ่นขึ้น?  เสื้อโค้ตของฉันอุ่น คุณเอาไปสวมเลย”  ทันทีที่พวกเขาหาวนอน เจ้าก็รีบยื่นหมอนให้ เมื่อพวกเขาหยิบขวดยาออกมา เจ้าก็รีบเทน้ำให้ พอพวกเขานั่งพักหลังจากกินอิ่ม เจ้าก็ชงชาให้พวกเขาโดยเร็ว  กลยุทธ์เหล่านี้มีไว้เพื่อการดำรงชีวิตทางโลกมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือกลยุทธ์เพื่อการดำรงชีวิตทางโลก  ทำไมเจ้าถึงสามารถใช้กลยุทธ์เหล่านี้ได้?  เหตุใดเจ้าจึงอยากป้อยอพวกเขา?  ถ้าเจ้าไม่ต้องใช้พวกเขาและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเจ้า เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  ไม่ นี่ก็เหมือนสิ่งที่ผู้คนโน้มเอียงที่จะพูดกันว่า “ถ้าไม่มีรางวัลก็ไม่มีวันขยับนิ้ว”  เหมือนการยกหม้อน้ำไปที่สวนครัว—เจ้ารดแต่ผักที่จะใช้ประโยชน์เท่านั้น  เจ้ากระตือรือร้นที่จะไปป้อยอคนที่มีประโยชน์ต่อเจ้า  เมื่อพวกเขาถูกปลดหรือก้าวลงจากตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ความกระตือรือร้นที่เจ้ามีต่อพวกเขาก็คลายทันทีและเจ้าก็เมินพวกเขา  เมื่อพวกเขาโทรหาเจ้า เจ้าก็ปิดโทรศัพท์หรือทำเป็นสายไม่ว่างและไม่รับสาย  เมื่อเจ้าพบเจอพวกเขา พวกเขาทักทายเจ้าและกล่าวว่า “วันนี้อากาศดี”  เจ้ากล่าวปัดๆ พวกเขาไปว่า “อ้อใช่  ไปก่อนนะ ถ้ามีเรื่องอะไรไว้คุยกันวันหลัง บางทีฉันอาจจะเลี้ยงอาหารคุณสักมื้อ”  สัญญาที่เลื่อนลอย แล้วเจ้าก็เมินพวกเขา ไม่ติดต่อ และถึงกับปิดกั้นการโทรเข้าของพวกเขาด้วย  ความคิดและมุมมองต่างๆ ที่พ่อแม่ปลูกฝังให้กับผู้คนได้ก่อกำแพงป้องกันที่มองไม่เห็นไว้รอบหัวใจของพวกเขา  ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ปลูกฝังวิธีพื้นฐานบางอย่างไว้ให้ดำรงชีวิตทางโลกหรือเอาตัวรอด สอนผู้คนว่าจะเสี้ยมคนให้แตกกันได้อย่างไร และจะปรับตัวเข้ากับกลุ่มสังคมหนึ่งๆ อย่างไร จะตั้งตัวได้อย่างไรในสังคม และทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกรังแกเวลาอยู่ในกลุ่มคน  ก่อนที่เจ้าจะเข้าสังคม แม้พ่อแม่ของเจ้าจะไม่ได้ชี้นำเจ้าเป็นการเฉพาะว่าควรรับมือสถานการณ์จำเพาะอย่างไร แต่การสร้างเงื่อนไขโดยพ่อแม่หรือครอบครัวในแง่วิธีการและหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกก็ให้ทัศนะและหลักคิดพื้นฐานในการดำรงชีวิตทางโลกแก่เจ้า  ทัศนะและหลักคิดพื้นฐานในการดำรงชีวิตทางโลกนี้มีอะไรบ้าง?  พวกเขาสอนเจ้าว่าจะสวมหน้ากากอย่างไรเวลาที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จะใช้ชีวิตพลางสวมหน้ากากในกลุ่มสังคมแต่ละกลุ่มอย่างไร และท้ายที่สุดแล้วทำอย่างไรจึงจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของการปกป้องชื่อเสียงและผลประโยชน์ของเจ้าไม่ให้ประสบความสูญเสีย พร้อมทั้งได้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ที่เจ้าต้องการ หรือรับรองความปลอดภัยส่วนตนในระดับพื้นฐานได้สำเร็จ  จากความคิดและมุมมอง รวมทั้งกลยุทธ์ต่างๆ ของการดำรงชีวิตทางโลกที่พ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้านี้สามารถเห็นได้ว่า พ่อแม่ไม่ได้สอนเจ้าว่าจะเป็นคนที่มีศักดิ์ศรียิ่งขึ้นได้อย่างไร จะเป็นคนจริงได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีงาม หรือเป็นคนที่มีความจริง  ในทางตรงข้าม พวกเขากลับบอกเจ้าว่าจะหลอกลวงผู้อื่นได้อย่างไร จะระวังผู้อื่นอย่างไร จะใช้กลยุทธ์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ อย่างไร รวมทั้งเรื่องที่ว่าหัวใจของผู้คนเป็นเช่นใด และมวลมนุษย์เป็นอย่างไร  ภายใต้การสร้างเงื่อนไขโดยพ่อแม่ของเจ้าด้วยความคิดและมุมมองเหล่านี้ ตัวตนภายในตัวเจ้าย่อมร้ายขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าก็เกิดความไม่ชอบผู้คน  แม้กระทั่งก่อนที่เจ้าจะมีกลยุทธ์ใดๆ ไว้ดำรงชีวิตทางโลก หัวใจที่อ่อนเยาว์ของเจ้าก็มีนิยามเบื้องต้นเกี่ยวกับมนุษยชาติเป็นพื้นฐานแล้ว มีหลักคิดเบื้องต้นเป็นพื้นฐานว่าจะดำรงชีวิตทางโลกอย่างไร  ดังนั้น พ่อแม่จึงมีบทบาทเช่นใดในการดำรงชีวิตทางโลกของเจ้า?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามีบทบาทในการชี้นำเจ้าให้เดินไปตามเส้นทางที่ผิด ไม่พาเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ดีงาม หรือพาเจ้าไปหาเส้นทางชีวิตของมนุษย์ที่ถูกต้องอย่างแข็งขันและเป็นบวก แต่กลับพาเจ้าหลงผิดแทน

นอกจากสร้างเงื่อนไขให้แก่เด็กผู้ชายด้วยคำกล่าวอย่าง “ผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ” แล้ว พ่อแม่ก็มักจะบอกพวกเขาว่า “‘พ่อไก่ที่ดีไม่ตีกับสุนัข ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง’ อย่าเล่นหรือสู้กับเด็กผู้หญิง อย่าลดตัวลงไปเท่าพวกเธอ ทางนั้นเป็นเด็กผู้หญิง ลูกก็ควรจะยอมให้”  เหตุใดเจ้าจึงควรยอมให้เด็กผู้หญิง?  ถ้าพวกเธอทำอะไรผิด เจ้าก็ไม่ควรยอมหรือให้ท้าย  ชายหญิงย่อมทัดเทียมกัน  หญิงก็เกิดและเติบใหญ่เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมาเหมือนเจ้านั่นเอง แล้วเหตุใดเจ้าจึงควรยอมให้พวกเธอ?  เพียงเพราะพวกเธอเป็นหญิงกระนั้นหรือ?  เมื่อพวกเธอทำผิดก็ควรถูกลงโทษ ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องนั้น ยอมรับความผิดของตน กล่าวขอโทษ ทำความเข้าใจว่าตนทำอะไรผิดไป และไม่ควรทำความผิดเดิมซ้ำเมื่อพบเจอเรื่องดังกล่าวในครั้งต่อไป  เจ้าควรเรียนรู้ว่าจะช่วยพวกเธออย่างไร แทนที่จะทำตามหลักคิดที่ว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง” ซึ่งพ่อแม่สอนให้เจ้าใช้รับมือสถานการณ์  ทุกคนย่อมผิดพลาดกันเป็นบางเวลาทั้งชายและหญิง  เมื่อผิดพลาด พวกเขาก็ควรยอมรับความผิดพลาดของตนและกลับใจ  ทั้งชายและหญิงควรเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี แทนที่จะยึดปฏิบัติตามสิ่งที่พ่อแม่ของตนกล่าวว่า “พ่อไก่ที่ดีไม่ตีกับสุนัข ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง”  ผู้ชายที่ดีไม่แสดงตนว่าทะเลาะกับผู้หญิงและไม่ลดตัวลงไปเท่ากับพวกเธอ  เจ้าดูเถิด พ่อแม่มักจะกล่าวว่า “ผู้หญิงไว้ผมยาว แต่ความเข้าใจกลับสั้น  ไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ อย่าทำตัวเหมือนพวกเธอ อย่าสนใจหรือจริงจังกับพวกเธอ”  เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า “อย่าสนใจพวกเธอ”?  เรื่องหลักคิดต่างๆ นี้จำต้องมีการชี้แจงและอธิบายให้กระจ่างชัด  ใครทำผิด ใครกล่าวสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ ใครกล่าวถึงเส้นทางได้อย่างถูกต้อง—ต้องมีการชี้แจงเรื่องของหลักคิด เส้นทาง และการวางตนให้ชัดเจน  อย่าลบเลือนเส้นแบ่งระหว่างความถูกกับความผิด แม้กับผู้หญิง เจ้าก็ควรทำสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน  ถ้าเจ้าคำนึงถึงเธออย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรบอกให้เธอรู้ความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ ช่วยให้เธอเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง อย่าตามใจเธอ และอย่าหลีกเลี่ยงการทำอะไรจริงจังหรือชี้แจงสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนเพียงเพราะเธอนั้นเป็นหญิง  ผู้หญิงก็ควรดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นกัน และไม่ควรตามใจตัวเองหรือปฏิเสธที่จะทำตัวมีเหตุผลเพียงเพราะผู้ชายรอมชอมให้  ชายหญิงต่างกันทางด้านสรีระเท่านั้น แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว อัตลักษณ์และสถานะของทั้งสองนั้นเหมือนกัน  ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งคู่ และนอกจากความแตกต่างทางเพศแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากนักที่แบ่งแยกทั้งสองออกจากกัน  ทั้งชายและหญิงต่างก็มีประสบการณ์กับความเสื่อมทรามและมีหลักคิดในการวางตนเหมือนกัน  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ทั้งชายและหญิงก็ตรงกัน ไม่มีความแตกต่าง  ดังนั้น คำสอนของพ่อแม่ที่ว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง” นี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  เช่นนั้นแล้ว แนวทางที่ถูกต้องย่อมเป็นอย่างไร?  นี่ไม่ใช่เรื่องของการทะเลาะ แต่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามหลักคิดเหล่านั้น  การที่พ่อแม่กล่าวเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?  นี่คือการลำเอียงชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวมิใช่หรือ?  ดูเหมือนพวกเขากำลังบอกว่า “ผู้หญิงไว้ผมยาว แต่ความเข้าใจกลับสั้น  พวกเธอไม่รู้เดียงสา สติปัญญาก็น้อยมาก  แล้วจะใช้เหตุผลกับพวกเธอไปทำไม?  พวกเธอไม่เข้าใจหรอก  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้หญิงหน้าอกใหญ่ล้วนไร้สมอง พวกเธอไว้ผมยาว แต่ความเข้าใจกลับสั้น’  แล้วจะสนใจหรือจริงจังกับพวกเธอไปทำไม?”  ผู้หญิงไม่ใช่มนุษย์หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้หญิงให้รอดหรอกหรือ?  พระองค์ไม่ทรงแบ่งปันความจริงกับผู้หญิงหรือประทานชีวิตแก่พวกเธอหรอกหรือ?  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงอยุติธรรมกับผู้หญิง เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าควรทำอย่างไร?  จงปฏิบัติต่อผู้หญิงตามหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนเจ้า อย่ายอมรับความคิดของพ่อแม่หรือบ่มเพาะความโน้มเอียงไปในทางที่ดูถูกผู้หญิง  แม้กระดูกและกล้ามเนื้อของเจ้าจะแข็งแรงกว่าผู้หญิงหน่อย มีโครงร่างบึกบึนกว่าและมีแรงกายมากกว่า เจ้าอาจจะกินอาหารมากกว่า แต่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า ความเป็นกบฏ และขอบเขตการไม่เข้าใจความจริงของเจ้าไม่ได้ต่างไปจากผู้หญิง  ทักษะชีวิตที่เจ้าเก่งกาจนั้นอาจแตกต่างจากทักษะชีวิตของผู้หญิง กล่าวคือ เจ้ามีทักษะด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่วนผู้หญิงก็เก่งด้านเย็บปักถักร้อย ตัดเย็บ และปะชุน  เจ้าทำเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่?  ขณะที่ผู้ชายสันทัดงานก่อสร้าง ผู้หญิงก็เก่งด้านการดูแลความงาม  ชายสามารถใช้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ได้หลากหลาย หญิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน  แท้จริงแล้วผู้หญิงเทียบไม่ได้ตรงไหน?  ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวล้วนเลื่อนลอย  ประเด็นในที่นี้ก็คือให้เจ้าปล่อยมือจากแนวคิดของตนที่ดูถูกผู้หญิงของตน  อย่าไปยอมรับความคิดจำพวก “ผู้ชายไม่ทะเลาะกับผู้หญิง” สิ่งที่พ่อแม่กล่าวไว้ไม่ใช่ความจริง เป็นอันตรายกับเจ้า  อย่าได้กล่าวสิ่งที่ด้อยค่าผู้หญิงเป็นอันขาด—นี่ขัดกับเหตุผลและความเหมาะควรอย่างชัดแจ้ง  การไม่ให้เกียรติผู้หญิงเป็นปัญหาชนิดใด?  ผู้คนที่ทำเรื่องเช่นนี้มีความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์  ถ้าเจ้าไม่ให้เกียรติผู้หญิง ก็จงจดจำเอาไว้ว่าแม่ของเจ้า ทั้งย่าและยายของเจ้า พี่สาวน้องสาวของเจ้าล้วนเป็นหญิงกันทุกคน  พวกเธอเต็มใจยอมรับการไม่ให้เกียรติเช่นนี้หรือไม่?  แม่บางคนถึงกับบอกลูกชายของตนว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง”  แม่เหล่านี้เบาปัญญามิใช่หรือ?  แม่แบบนี้คิดอะไรพื้นๆ และทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้หญิง แต่กลับลดทอนคุณค่าของตนเอง เห็นได้ชัดว่าหญิงเหล่านี้คือคนเลอะเลือนที่ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรอยู่  คำกล่าวที่ว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง” ขัดกับเหตุผลและความเหมาะควรอย่างชัดแจ้ง  พระเจ้าไม่เคยนิยามผู้หญิงไว้เช่นนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยสอนผู้ชายว่า “ผู้หญิงนั้นเปราะบาง พวกเธอไว้ผมยาว แต่ความเข้าใจกลับสั้น และไม่มีสามัญสำนึก  จงอย่าทะเลาะกับพวกเธอ  ต่อให้เจ้าทะเลาะด้วย เจ้าก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้แน่ชัด  จงให้อภัยและโอนอ่อนผ่อนตามในทุกเรื่อง อย่าจริงจังกับพวกเธอนัก ผู้ชายควรใจกว้างและโอบรับทุกสิ่ง”  พระเจ้าเคยตรัสอะไรเช่นนี้บ้างหรือไม่?  (ไม่เคย)  ในเมื่อพระเจ้าไม่เคยตรัสเช่นนี้ ก็จงอย่าทำตามหรือมองผู้หญิงด้วยมุมมองดังกล่าว  นี่คือการเลือกปฏิบัติและไม่ให้เกียรติผู้หญิง  ทักษะใดที่จำเป็นและผู้หญิงไม่มี เจ้าก็สามารถเติมเต็มในส่วนนั้นได้ แต่เจ้าก็ต้องให้พวกเธอทำเช่นเดียวกันในเรื่องที่เจ้ามีทักษะไม่พอ  การพึ่งพาและเสริมสร้างกันและกันคือมุมมองที่ถูกต้อง  เหตุใดนี่จึงเป็นมุมมองที่ถูกต้อง?  เพราะจุดแข็งของทั้งชายและหญิงคือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตมาให้  เจ้าควรมีท่าทีเป็นความคิดและมุมมองเช่นใดต่อข้อเท็จจริงที่ว่าจุดแข็งของทั้งชายและหญิงเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตมาให้?  ว่านี่เป็นไปเพื่อให้เสริมสร้างกันและกัน—นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ  ชายไม่ควรเลือกปฏิบัติกับหญิง และหญิงก็ไม่ควรนอบน้อมชายจนเกินเหตุ คิดไปว่า “ในที่สุดพวกเราก็มีพี่น้องชายในคริสตจักร มีเสาหลักที่แข็งแกร่งแล้ว  คราวนี้คริสตจักรของพวกเราก็สมบูรณ์ มีคนที่คอยหนุนหลังพวกเรา จัดการเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเรา และเป็นผู้นำของพวกเรา”  เจ้าอ่อนด้อยนักหรือ?  เจ้ามอบความเชื่อของตนให้ผู้ชายกระนั้นหรือ?  ถ้าคริสตจักรสักแห่งมีแต่พี่น้องหญิง นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปแล้วหรือไร?  หมายความว่าเจ้าไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดหรือเข้าใจความจริงได้หรือไร?  เมื่อใครบางคนออกความเห็นโดยไม่ทันยั้งคิดว่า “ทำไมคริสตจักรของพวกคุณถึงไม่มีพี่น้องชายบ้างเลย?” เจ้าก็รู้สึกเหมือนหัวใจของตนถูกทิ่มแทง จึงพูดว่า “อย่าพูดเรื่องนั้นเลย เป็นข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในคริสตจักรของพวกเรา  ซึ่งไม่อยากให้ใครมาชี้ คุณแตะถูกความเสียใจเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราเข้าให้แล้ว” แล้วเจ้าก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อใดพระองค์จึงจะทรงจัดเตรียมพี่น้องชายให้กับคริสตจักรของพวกเราสักคนหนึ่ง?”  คริสตจักรมีพี่น้องชายเป็นผู้ค้ำจุนหรือไร?  ไม่สามารถตั้งอยู่ได้หากไม่มีพี่น้องชายกระนั้นหรือ?  พระเจ้าเคยตรัสไว้เช่นนี้หรือไม่?  (ไม่เคย)  พระเจ้าไม่เคยตรัสไว้เช่นนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยตรัสว่าคริสตจักรต้องมีทั้งสองเพศก่อนจึงจะก่อตั้งได้ หรือว่าไม่อาจตั้งคริสตจักรได้หากมีเพียงเพศเดียว  พระองค์เคยตรัสดังนี้หรือไม่?  (ไม่)  ทั้งหมดนี้คือผลสืบเนื่องของแนวคิดดูถูกผู้หญิงที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ให้  เจ้าพึ่งพาผู้ชายทุกเรื่อง และทันทีที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เจ้าก็กล่าวว่า “ฉันต้องรอคุยเรื่องนี้ตอนสามีกลับมา” หรือ “ช่วงนี้พี่น้องชายในคริสตจักรของพวกเรายุ่งกันมาก เลยไม่มีใครเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องนี้”  แบบนี้จะมีผู้หญิงไว้เพื่ออะไร?  เจ้าจัดการงานเหล่านี้ไม่ได้กระนั้นหรือ?  เจ้าไม่มีปากหรือขาบ้างเลยหรือ?  เจ้าไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย กล่าวคือ เจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริง และเจ้าก็ควรกระทำการตามนั้น  ผู้ชายไม่ใช่หัวหน้าของเจ้า และไม่ใช่เจ้านายของเจ้า พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นแค่สมาชิกของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามเท่านั้น  จงเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในทุกสิ่งที่เจ้าทำเถิด  นี่คือหลักธรรมและเป็นหนทางที่เจ้าควรปฏิบัติตาม แทนที่จะพึ่งพาคนใดคนหนึ่ง  แม้เราจะไม่สนับสนุนแนวคิดที่ดูถูกผู้หญิง แต่ก็แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อที่จะยกชูสิทธิ์ของผู้หญิงหรือสร้างความชอบธรรมให้พวกเธอ แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงด้านหนึ่ง  ความจริงด้านไหน?  ด้านที่ว่าคำกล่าวที่พ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง” นั้นไม่ถูกต้อง กลับปลูกฝังและชี้แนะความคิดอ่านที่ผิดให้  เจ้าไม่ควรให้ความคิดและมุมมองเช่นนี้ชี้นำบทบาทในการเป็นผู้ชายของเจ้าหรือชี้นำวิธีที่เจ้าใช้ปฏิบัติต่อผู้หญิง  นี่คือความจริงแง่หนึ่งที่เจ้าควรเข้าใจ  อย่าคิดอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นผู้ชาย ฉันควรพิจารณาเรื่องต่างๆ จากมุมมองของผู้ชาย ฉันควรคำนึงถึงพี่น้องหญิงเหล่านี้ คอยปกป้อง ทนยอมรับ และให้อภัยพวกเธอจากจุดยืนที่เป็นผู้ชาย ไม่จริงจังกับพวกเธอคนใด  ถ้าพี่น้องหญิงอยากสมัครรับเลือกเป็นผู้นำในคริสตจักร ฉันก็จะมีมารยาทและปล่อยให้เธอนำ”  ด้วยเหตุผลอันใด?  เพียงเพราะเจ้าเป็นผู้ชาย เจ้าก็เลยนึกว่าตัวเองโอบรับทุกสิ่งกระนั้นหรือ?  เจ้าสามารถทนยอมรับพวกเธอได้หรือ?  เจ้าทนยอมรับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ  ผู้นำคริสตจักรนั้นควรมีการกำหนดโดยดูว่าใครเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่นั้น  ถ้าพี่น้องชายหญิงเลือกเจ้า เจ้าก็ควรแบกรับภาระนี้เอาไว้  นี่เป็นทั้งความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงบอกปัดตามใจชอบอย่างนั้น  เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าประเสริฐเพียงใดกระนั้นหรือ?  นั่นใช่หลักธรรมของการปฏิบัติหรือไม่?  ตรงตามความจริงหรือไม่?  (ไม่)  การบอกปัดย่อมผิดและการต่อสู้ชิงบทบาทหน้าที่นั้นก็ผิด ดังนั้นหนทางกระทำการที่ถูกต้องย่อมเป็นเช่นใด?  หนทางที่ถูกต้องก็คือใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการสำหรับการกระทำของเจ้า และใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์  พ่อแม่สอนพวกเจ้าว่า “ผู้ชายที่ดีไม่ทะเลาะกับผู้หญิง”  พวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับความคิดและมุมมองที่ดูถูกผู้หญิงมากี่ปีแล้ว?  ผู้คนมากมายคิดว่า “การซักล้างและปะชุนเป็นงานของผู้หญิงทั้งสิ้น  ปล่อยให้ผู้หญิงจัดการไป  ฉันรู้สึกโมโหเวลาที่ต้องทำงานพวกนี้ รู้สึกเหมือนไม่ค่อยเป็นผู้ชาย”  แล้วถ้าเจ้าทำงานนี้จะเกิดอะไรขึ้น?  เจ้าไม่ใช่ผู้ชายอีกต่อไปแล้วกระนั้นหรือ?  บางคนกล่าวว่า “เสื้อผ้าของฉันมีแม่ พี่สาว หรือย่าคอยซักให้เสมอ  ฉันไม่เคยทำ ‘งานของผู้หญิง’ เลย”  ตอนนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และต้องอยู่ได้ด้วยตนเอง  นี่จึงเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนทำ  เจ้าจะทำหรือไม่?  (ทำ)  ถ้าหัวใจของเจ้าต้านทาน เจ้าไม่เต็มใจและนึกถึงแม่ของเจ้าตลอดเวลาเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ความโดยแท้  ผู้ชายมีความคิดที่ดูถูกผู้หญิง และพวกเขาก็ดูแคลนงานบางอย่าง เช่น การดูแลลูก จัดเก็บบ้าน ซักผ้า และทำความสะอาด  บางคนโน้มเอียงไปในทางที่ดูถูกผู้หญิงอย่างมาก และนึกดูแคลนงานเหล่านี้ ไม่เต็มใจทำ หรือถ้าทำก็ทำอย่างจำใจมาก กลัวว่าผู้อื่นจะเคารพตนน้อยลง  พวกเขานึกไปว่า “ถ้าฉันทำงานเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ฉันก็จะดูเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ?”  นี่คือการถูกความคิดและมุมมองแบบใดกำกับเอาไว้?  ความคิดของพวกเขามีปัญหามิใช่หรือ?  (ใช่)  ความคิดของพวกเขามีปัญหา  จงดูบางภูมิภาคที่ผู้ชายสวมผ้ากันเปื้อนและปรุงอาหารกันอยู่เสมอเถิด  เวลาผู้หญิงกลับบ้านหลังเลิกงาน ชายคนนั้นก็ยกอาหารมาให้กินพลางกล่าวว่า “กินนี่สิ  อร่อยมาก วันนี้ผมทำอาหารที่คุณชอบทุกจานเลย”  สมควรแล้วที่ผู้หญิงจะกินอาหารที่ทำไว้ให้ และสมควรแล้วที่ผู้ชายจะเตรียมอาหารให้ ไม่เคยรู้สึกว่าตนเป็นแม่บ้าน  พอเขาถอดผ้ากันเปื้อนและก้าวออกจากบ้าน เขาก็ยังคงเป็นผู้ชายมิใช่หรือ?  บางภูมิภาคที่มีแนวคิดดูถูกผู้หญิงรุนแรงเป็นพิเศษ อิทธิพลและการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวย่อมให้ท้ายผู้ชายเหล่านี้อย่างมิอาจปฏิเสธได้  การสร้างเงื่อนไขแบบนี้ช่วยให้พวกเขารอดหรือว่าทำร้ายพวกเขา?  (ทำร้ายพวกเขา)  เรื่องนี้เป็นภัยต่อพวกเขามาโดยตลอด  ผู้ชายบางคนที่อยู่ในวัยสามสิบ สี่สิบ หรือแม้กระทั่งห้าสิบปีกลับซักถุงเท้าของตนไม่เป็น  สวมเสื้อตัวในนานครึ่งเดือนอยู่ตัวเดียว ถึงจะสกปรกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อยากซัก ไม่รู้ว่าจะซักอย่างไร ใช้น้ำหรือยาซักฟอกเท่าใด และจะซักอย่างไรให้สะอาด  พวกเขาจึงเอาแต่ใส่ไว้อย่างนั้นพลางคิดในใจว่า “ไว้วันหน้า ฉันจะให้แม่หรือภรรยาของฉันซื้อเสื้อตัวในและถุงเท้าให้มากขึ้น ฉันจะได้ซักสักสองเดือนครั้ง  ถ้ามีความเป็นไปได้ที่แม่หรือภรรยาจะมาซักให้ก็จะเยี่ยมมาก!”  มูลเหตุที่พวกเขารังเกียจการทำงานเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับฝีมือการอบรมสั่งสอนที่พวกเขาได้รับจากครอบครัวและพ่อแม่อยู่บ้าง  ความคิดและมุมมองที่พ่อแม่ปลูกฝังให้นั้นเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานที่ง่ายที่สุด รวมทั้งทัศนะบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้คน  สรุปแล้ว ทั้งหมดนี้ก่อเกิดเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ครอบครัวมีต่อความคิดของผู้คน  ไม่ว่าทั้งหมดนี้จะมีผลต่อชีวิตของผู้คนมากเท่าใดระหว่างที่พวกเขามีความเชื่อในพระเจ้าและมีชีวิตอยู่ หรือสร้างความลำบากและเดือดร้อนมากเพียงใด ความคิดและมุมมองเหล่านี้ก็มีความยึดโยงบางอย่างกับการอบรมสั่งสอนตามอุดมคติของพ่อแม่อยู่ในตัวเอง  ถ้าตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและใช้ชีวิตตามความคิดและมุมมองเหล่านี้มาหลายปี เช่นนั้นแล้วความคิดและมุมมองเหล่านี้ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน—นี่เป็นเรื่องที่ใช้เวลา  ถ้าความคิดและมุมมองเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราหรือหลักการประพฤติตนและดำรงชีวิตทางโลก และถ้าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ควรพากเพียรที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  ถ้าความคิดและมุมมองเหล่านี้เชื่อมโยงกับชีวิตส่วนตัวของคนเราในด้านต่างๆ เท่านั้น ก็จะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง  ถ้าเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้ ถ้านี่ดูจะหนักหนาหรือยากเย็นไปหน่อย หรือเจ้าคุ้นชินกับรูปแบบการใช้ชีวิตเช่นนี้แล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีใครบังคับเจ้า  เราเพียงแต่ชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะได้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด  เรื่องของรูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวนี้ เจ้าจงชั่งใจเอาเองเถิด—พวกเราจะไม่บังคับ  ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าควรซักถุงเท้าของเจ้าบ่อยเพียงใด เจ้าจะปะชุนหรือโยนทิ้งเวลาถุงเท้าขาด นั่นเป็นเรื่องของเจ้า  ขึ้นอยู่กับรูปการณ์ของเจ้า—พวกเราจะไม่วางกฎเกณฑ์ใดๆ เป็นการเฉพาะ

ด้วยภูมิหลังที่มีอภิสิทธิ์ พ่อแม่บางครอบครัวจึงมักจะบอกลูกๆ ของตนว่า “เวลาออกไปข้างนอก ต้องจำไว้ว่าลูกสืบเชื้อสายมาจากใคร และใครเป็นบรรพบุรุษของลูก  ลูกควรปฏิบัติตนในทางที่ทำให้นามสกุลของพวกเรามีเกียรติและมีชื่อเสียงเกรียงไกรในกลุ่มสังคมต่างๆ  อย่าทำให้ความมีหน้ามีตาของบรรพชนด่างพร้อยเป็นอันขาด  จดจำคำสอนของบรรพชนเอาไว้เสมอและอย่านำความอับอายมาให้วงศ์ตระกูล  ถ้าวันหนึ่งลูกทำอะไรผิดพลาด ผู้คนย่อมจะพูดว่า ‘คุณมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือไม่ใช่หรือ?  แล้วคุณทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร?’  พวกเขาจะหัวเราะเยาะลูก และจะไม่หัวเราะเยาะแต่ลูกเท่านั้น แต่จะหัวเราะเยาะคนทั้งครอบครัวอีกด้วย  เช่นนั้นลูกย่อมจะทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวแปดเปื้อน และทำให้บรรพชนอับอายซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้”  พ่อแม่บางคนบอกลูกของตนด้วยว่า “ประเทศของพวกเราเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่และมีอารยธรรมเก่าแก่  ชีวิตของพวกเราในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ดังนั้นก็ต้องทะนุถนอมเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่ต่างประเทศ ลูกต้องนำชื่อเสียงอันเกรียงไกรและนำเกียรติมาให้ชาวจีน  อย่าทำสิ่งที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ชาติหรือทำให้ความมีหน้ามีตาของชาวจีนเสียหาย”  ด้านหนึ่ง พ่อแม่ก็บอกให้เจ้านำชื่อเสียงอันเกรียงไกรและเกียรติมาสู่ครอบครัวและบรรพชน ส่วนอีกด้านก็นำมาให้ชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ของตน กำชับกำชาไม่ให้เจ้านำความอับอายมายังประเทศของเจ้าเอง  ตั้งแต่เล็ก คนเป็นลูกย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นนี้จากพ่อแม่ และเมื่อเข้าโรงเรียน ครูทั้งหลายก็ให้การศึกษาแก่พวกเขาในทำนองเดียวกันว่า “ต้องสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรให้กับห้องเรียน โรงเรียน เมือง และประเทศของพวกเรา  อย่ายอมให้ชาวต่างชาติเยาะเย้ยพวกเราว่าไร้ขีดความสามารถหรือมีลักษณะนิสัยที่ไม่ดี”  บางคนในคริสตจักรถึงกับกล่าวว่า “พวกเราชาวจีนเป็นกลุ่มแรกที่เชื่อ  เวลามีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงชาวต่างชาติ พวกเราจึงควรสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรให้แก่ชาวจีนและค้ำชูความมีหน้ามีตาของชาวจีน”  คำกล่าวทั้งหมดนี้ยึดโยงโดยตรงกับสิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คน  การปลูกฝังเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  พวกเขากำลังแสวงหาความเกรียงไกรแบบใด?  การแสวงหาความเกรียงไกรดังกล่าวมีประโยชน์อะไรหรือไม่?  (ไม่มี)  เคยเกิดเหตุที่ชายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนคนหนึ่งตระเวนไปตามคริสตจักรต่างๆ เขาเอาเงินที่ถวายให้คริสตจักรแห่งนี้ไป 10,000 หยวน และหนีกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน  เมื่อพี่น้องชายหญิงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้เข้า บางคนก็พูดว่า “ผู้ชายคนนี้น่าชังจริงๆ!  ถึงกับกล้าเอาเงินที่มีคนถวายให้คริสตจักรไป  เขาทำให้ชื่อเสียงของผู้คนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือแปดเปื้อน!  ถ้าได้เจอตัวเขาอีกครั้งละก็ พวกเราควรสอนบทเรียนให้แก่เขา!”  หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้คนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็รู้สึกเหมือนว่าพวกตนเสียเกียรติ  เมื่อใดที่พวกเขาคุยกับพี่น้องชายหญิงจากมณฑลอื่น พวกเขาย่อมไม่กล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด  รู้สึกอับอายและกลัวผู้อื่นจะกล่าวว่า “คนนั้นๆ จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพวกคุณหนีไปพร้อมกับเงินถวาย”  พวกเขากลัวผู้อื่นจะพูดคุยเรื่องนี้ และไม่กล้าหยิบยกขึ้นมาพูดเสียเอง  พฤติกรรมเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  (คนที่เอาเงินถวายไปไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนอื่น ทุกคนต่างเป็นตัวแทนของตน)  ถูกต้อง  การที่คนคนนั้นเอาเงินถวายไปย่อมเป็นเรื่องของเขาเอง  ถ้าเจ้าพบเจอและหยุดเขาเอาไว้ อันเป็นการป้องกันไม่ให้พระนิเวศของพระเจ้าประสบความสูญเสียและรักษาผลประโยชน์ของพระนิเวศ เจ้าก็ย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว  ถ้าเจ้าไม่มีโอกาสปกป้องพระนิเวศและไม่สามารถช่วยระงับความสูญเสียได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรตระหนักรู้เอาไว้ว่าเขาเป็นวายร้ายจำพวกใด ตักเตือนตัวเอง อธิษฐานให้พระเจ้าคุ้มครองเจ้าจากเหตุเช่นนั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ตกอยู่ในการทดลองที่คล้ายกัน  เจ้าควรจัดการแก้ไขเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  แม้เขาจะมาจากภาคเดียวกันกับเจ้า แต่การกระทำของเขาก็แสดงให้เห็นตัวเขาที่เป็นปัจเจกบุคคลเท่านั้น  ไม่ใช่ว่าผู้คนภาคนั้นสอนหรือสนับสนุนให้เขาทำเช่นนี้  นี่ไม่มีความเชื่อมโยงกับใครอื่น  อย่างมากผู้อื่นอาจต้องรับผิดชอบเรื่องที่ดูแลหรือชี้แนะแนวทางไม่ดีพอ แต่ไม่มีใครต้องแบกรับผลที่เกิดจากการทำความผิดของเขา  เขากระทำการต่อต้านพระเจ้าและก้าวล่วงกฎการปกครอง ไม่มีใครอื่นต้องแบกรับผลที่จะตามมาให้เขา  ความเสื่อมเสียของเขาย่อมเป็นเรื่องของเขาเอง  ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสียหน้าหรือมีชื่อเสียงเกรียงไกร นี่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของคนคนหนึ่งและเส้นทางที่เขาเลือกเดิน  อาจกล่าวได้เพียงว่าในเบื้องต้นผู้คนไม่สามารถดูลักษณะนิสัยที่แท้จริงของเขาออก แต่หลังจากเกิดเหตุนี้แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เผยออกมา  นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความมีหน้ามีตาหรือศักดิ์ศรีของพี่น้องชายหญิงคนอื่นในภาคนั้น  ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเขาทำให้เจ้าเสียชื่อเพราะเขามาจากภาคเดียวกับเจ้า เช่นนั้นแล้วทัศนะและความเข้าใจดังกล่าวก็ผิดหมด  พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยลงโทษทั้งครอบครัวเพราะบาปของคนคนเดียว พระเจ้าทรงมองแต่ละคนเป็นรายคนไป  ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน ต่อให้เจ้ามาจากครอบครัวหรือพ่อแม่เดียวกัน พระเจ้าก็ทอดพระเนตรมองทุกคนในฐานะปัจเจกบุคคลที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน  พระเจ้าไม่เคยดึงคนที่เป็นญาติกันเข้ามาติดร่างแหเพราะความผิดของคนคนหนึ่ง  นี่คือหลักธรรม ซึ่งสอดคล้องกับความจริง  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าคิดว่าการที่ใครบางคนจากภูมิภาคของเจ้าทำความผิดก็คือการทำร้ายความมีหน้ามีตาของเจ้าและทำให้เจ้าพลอยติดร่างแหไปด้วย นี่ย่อมเกิดจากความเข้าใจผิดของเจ้าเอง และไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับความจริง  ดังนั้นเมื่อพ่อแม่บอกเจ้าว่า “ต้องนำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้ประเทศ ครอบครัว หรือนามสกุลของพวกเรา” นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  นี่มีธรรมชาติเหมือนสำนวนใด?  มีธรรมชาติเหมือนความคิดที่พวกเราเคยเสวนากันไปก่อนหน้านี้คือ “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” มิใช่หรือ?  ในชีวิตคนคนหนึ่ง ความประพฤติที่เป็นบวก การเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง การโอบรับสิ่งที่เป็นบวกและความจริง—ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดที่ทำไปเพื่อให้ตัวเองมีความดีความชอบ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้คนควรวางตนดังนี้ว่านี่คือความรับผิดชอบของพวกเขา เป็นเส้นทางที่พวกเขาควรเดิน และเป็นหน้าที่ของพวกเขา  การเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง การโอบรับสิ่งที่เป็นบวกและความจริง และการนบนอบพระเจ้า คือภาระผูกพันและหน้าที่ของผู้คน  ทั้งหมดนี้ยังทำไปเพื่อให้ได้รับความรอดอีกด้วย ไม่ใช่เพื่อให้ตนเองหรือพระเจ้าได้หน้า ไม่ใช่เพื่อให้ผู้คนในประเทศของเจ้าได้หน้าเป็นแน่ และแน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อนามสกุล เชื้อชาติ หรือวงศ์ตระกูลใดโดยเฉพาะ  ไม่ใช่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดเพื่อที่จะนำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้ผู้คนในประเทศของเจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อให้ครอบครัวของเจ้ามีชื่อเสียงเกรียงไกร  แนวคิดเรื่อง “การมีชื่อเสียงเกรียงไกร” เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น  ความรอดของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับผู้คนเหล่านั้น  พวกเขาจะได้ประโยชน์อันใดจากความรอดของเจ้า?  ถ้าเจ้าได้รับความรอด พวกเขาจะได้อะไรจากเรื่องนี้?  พวกเขาไม่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง และพระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาตามนั้นด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาตามที่พวกเขาพึงได้รับการปฏิบัติด้วย  สิ่งที่เรียกกันว่า “การมีชื่อเสียงเกรียงไกร” นี้นำสิ่งใดมาให้พวกเขา?  นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย  เจ้ายอมรับผลสืบเนื่องของเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน และพวกเขาก็ยอมรับผลสืบเนื่องจากเส้นทางของพวกเขาเอง  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  การนำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้ชาติ ครอบครัว หรือนามสกุลของตนนั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง  แน่นอนว่าเจ้าไม่ควรแบกรับความรับผิดชอบนี้เอาไว้ตามลำพัง และอันที่จริง เจ้าก็ไม่สามารถทำได้  ความรุ่งเรืองหรือความเสื่อมของครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลหนึ่งๆ ครรลองและชะตากรรมของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้านำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้พวกเขาหรือไม่  และแน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่เจ้าใช้  ถ้าเจ้าวางตนดีและสามารถนบนอบพระเจ้าได้ นี่ก็ไม่ใช่การนำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้พวกเขาหรือทำให้พวกเขามีความดีความชอบ และไม่ใช่การขอรับรางวัลจากพระเจ้าให้พวกเขา หรือขอให้เว้นโทษแก่พวกเขา  ความเจริญ ความตกต่ำ และชะตากรรมของพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าพวกเขารู้สึกมีเกียรติหรือไม่ เจ้านำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้พวกเขาหรือไม่—เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า  เจ้าไม่สามารถแบกพวกเขาไว้บนบ่า และเจ้าก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันที่จะทำเช่นนั้น  เพราะฉะนั้น เมื่อพ่อแม่บอกเจ้าว่า “ลูกต้องทำชื่อเสียงอันเกรียงไกรให้แก่ชาติ ครอบครัว หรือนามสกุลของพวกเรา และต้องไม่ทำให้ความมีหน้ามีตาของบรรพชนด่างพร้อย หรือปล่อยให้คนอื่นติเตียนพวกเราลับหลัง” วาจาเหล่านี้มีไว้ใช้กดดันจิตใจของเจ้าในทางลบเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามนั้น และไม่มีภาระผูกพันที่จะทำตามนั้นอีกด้วย  เพราะเหตุใด?  เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้เจ้าลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเบื้องหน้าพระองค์เท่านั้น  พระองค์ไม่ได้ขอให้เจ้าทำสิ่งใดหรือแบกรับภาระผูกพันเพื่อประเทศ ครอบครัว หรือนามสกุลของเจ้า  เพราะฉะนั้น การคว้าชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้ประเทศหรือครอบครัวของเจ้า หรือมีชื่อเสียงอันเกรียงไกรและมีเกียรติหรือทำสิ่งใดก็ตามเพื่อนามสกุลของเจ้า จึงไม่ใช่ภาระผูกพันของเจ้า  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  ชะตากรรมของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเท่านั้น และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระอันใดเลย  ถ้าเจ้าพลาดขึ้นมา เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกผิดต่อพวกเขา  ถ้าเจ้าทำอะไรที่ดี เจ้าก็ไม่ควรมีวิธีคิดที่ว่าเจ้านั้นโชคดีหรือคิดไปว่าเจ้าคว้าชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้ประเทศ ครอบครัว หรือนามสกุลของเจ้าแล้ว  จงอย่ายินดีปรีดาในเรื่องเหล่านี้  และถ้าเจ้าล้มเหลว ก็อย่ารู้สึกหวาดกลัวหรือหนักอึ้งเพราะความเศร้าเสียใจ  อย่าตำหนิตัวเอง  เพราะนี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย  ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำไป—เรื่องก็ง่ายเช่นนี้เอง  แล้วในส่วนของผู้คนที่มีสัญชาติต่างๆ ชาวจีนได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า พวกเขาจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ชาวตะวันตกก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นกัน  ชาวเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือและใต้ ผู้คนในแถบโอเชียเนีย และชาวแอฟริกัน ล้วนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับพระราชกิจของพระองค์ และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์เช่นกัน  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมาจากประเทศใด สิ่งเดียวที่พวกเขาควรทำก็คือการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า นบนอบพระวจนะของพระเจ้า และได้รับความรอด  พวกเขาไม่ควรตั้งกลุ่มก้อนนานาตามสัญชาติของตน แบ่งแยกเป็นกลุ่มหรือเผ่าพันธุ์  ทุกสิ่งที่ใช้ความเกรียงไกรของเผ่าพันธุ์มาเป็นวัตถุประสงค์ของการดิ้นรนพยายามหรือเป็นหลักคิดที่สำคัญของตนย่อมผิด  นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ผู้คนควรเดิน และเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในคริสตจักร  เมื่อผู้คนจากประเทศต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กันกว้างขึ้นและเข้าถึงพื้นที่ของโลกกันอย่างกว้างขวางขึ้น ย่อมจะมีสักวันที่ชาวเอเชียอาจพบปะกับชาวยุโรป ชาวยุโรปพบปะกับชาวอเมริกัน และชาวอเมริกันก็อาจจะติดต่อสื่อสารกับชาวเอเชียหรือชาวแอฟริกัน และอื่นๆ  เมื่อชนต่างเผ่าพันธุ์รวมตัวกัน ถ้ามีการตั้งกลุ่มตามเผ่าพันธุ์ ทุกคนพากเพียรเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตนเกรียงไกรและทำสิ่งต่างๆ เพื่อเผ่าพันธุ์ของตน คริสตจักรจะเริ่มเผชิญสิ่งใด?  คริสตจักรจะเผชิญการแบ่งแยก  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชังและกล่าวโทษ  ใครก็ตามที่ทำเช่นนี้ย่อมถูกสาปแช่ง ใครก็ตามที่ทำดังนี้ก็คือคนที่รับใช้ซาตาน และใครก็ตามที่กระทำการในลักษณะดังกล่าวย่อมจะถูกลงโทษ  เหตุใดพวกเขาจึงจะถูกลงโทษ?  เพราะนี่คือการละเมิดกฎการปกครอง  จงอย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด  ถ้าเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขของพ่อแม่ในด้านนี้  เจ้ายังไม่ยอมรับอัตลักษณ์ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้าก็ยังคงมองว่าตนนั้นเป็นคนจีน หรือคนผิวขาว ผิวดำ หรือผิวสีน้ำตาล—เป็นคนที่มาจากเผ่าพันธุ์ นามสกุล หรือสัญชาติที่ต่างกัน  ถ้าเจ้าอยากนำความเกรียงไกรมาให้ชาติ เผ่าพันธุ์ หรือครอบครัวของเจ้า และเจ้าก็กระทำการโดยมีความนึกคิดเช่นนี้อยู่ในจิตใจ ผลที่ตามมาย่อมจะเลวร้าย  วันนี้พวกเราขอประกาศจากใจจริงและชี้แจงเรื่องนี้อย่างจริงจังเอาไว้ ณ ที่นี้  ถ้าวันหนึ่งมีใครไม่ทำตามกฎการปกครองในเรื่องนี้ พวกเขาย่อมจะได้รับผลที่จะตามมา  ถึงตอนนั้นจงอย่าพร่ำบ่นว่า “พระองค์ไม่เคยตรัสบอกข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่เคยรู้เรื่อง ข้าพระองค์ไม่เคยได้ทำความเข้าใจ”  เจ้ารู้มานานแล้วว่าอัตลักษณ์ของเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เจ้าก็ยังสามารถกระทำการเช่นนี้ได้  นี่ย่อมหมายความว่าเจ้านั้นไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่จงใจทำ กระทำความผิดทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ  เจ้าควรเผชิญการลงโทษ  ผลที่เกิดจากการฝ่าฝืนกฎการปกครองย่อมมิอาจจินตนาการได้  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

พ่อแม่บางคนบอกลูกๆ ของตนว่า “ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ไหนก็ต้องไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง  พวกเราจะลืมไม่ได้ว่าเกิดและเติบโตที่ไหน หรือว่าตัวเองเป็นใคร  ไม่ว่าลูกจะไปที่ไหน เมื่อพบเจอคนเมืองเดียวกัน ลูกก็ควรดูแลพวกเขา  เวลาเลือกผู้นำคริสตจักรหรือผู้ดูแล ก็ต้องให้ความสำคัญกับคนที่มาจากบ้านเกิดของลูกก่อน  เมื่อคริสตจักรมีผลประโยชน์เป็นวัตถุ ก็ให้คนที่มาจากบ้านเกิดของลูกได้ชื่นชมสิ่งของเหล่านั้นก่อน  ถ้าลูกคัดเลือกสมาชิกเข้ากลุ่ม ก็ต้องเลือกผู้คนที่มาจากบ้านเกิดของลูกเป็นอันดับแรก  เวลาคนที่มาจากเมืองเดียวกันทำงานด้วยกัน ลูกย่อมใช้ภาษาเดียวกันและมีความคุ้นเคย”  นี่เรียกว่าอะไร?  “เมื่อคนเมืองเดียวกันพบหน้า น้ำตาก็เอ่อท้น”  มีคำกล่าวอีกด้วยว่า “ลุงป้าน้าอาคือญาติ จะกี่รุ่นต่อกี่รุ่น แม้กระดูกจะหัก แต่เส้นเอ็นยังคงเชื่อมต่อ”  บางคนนั้น ด้วยคำสอนของพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีคนมาจากมณฑลหรือเมืองเดียวกัน หรือถ้าได้ยินคนพูดจาด้วยสำเนียงบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาก็จะชื่นชอบคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก  กินด้วยกัน นั่งชุมนุมด้วยกัน และทำทุกสิ่งด้วยกัน  พวกเขาสนิทกันเป็นพิเศษ  บางคนพอพบปะคนเมืองเดียวกันก็จะกล่าวว่า “คุณก็รู้ที่เขาว่ากันว่า ‘เมื่อคนเมืองเดียวกันพบหน้า น้ำตาก็เอ่อท้น’  เวลาฉันเจอคนเมืองเดียวกัน ฉันรู้สึกสนิทสนมกับพวกเขา อย่างตอนที่ฉันเจอคุณ ก็รู้สึกเหมือนคุณเป็นครอบครัว”  พวกเขาดูแลเอาใจใส่คนเมืองเดียวกันเป็นพิเศษ  ถ้าคนเมืองเดียวกันพบเจอเรื่องยุ่งยากในชีวิตหรือในการงาน หรือไม่สบาย พวกเขาก็จะดูแลเป็นพิเศษ  เช่นนี้ดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  ทำไมจึงไม่ดี?  (การปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้ไม่มีหลักธรรม)  นี่ไม่มีหลักธรรม และคนคนนี้ก็เลอะเลือน  พวกเขาแสดงความรักใคร่เอ็นดูทุกคนที่มาจากเมืองเดียวกัน แต่คนเมืองเดียวกันเป็นเช่นไร?  พวกเขาใช่คนดีหรือไม่?  เป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริงหรือไม่?  การที่เจ้าส่งเสริมพวกเขาเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่?  การที่เจ้าเสนอชื่อพวกเขาตรงตามหลักธรรมหรือไม่?  พวกเขาเหมาะสมกับงานหรือเปล่า?  ความใส่ใจและความสนิทสนมที่เจ้ามีต่อพวกเขานั้นยุติธรรมกระนั้นหรือ?  นี่สอดคล้องกับความจริงและหลักธรรมกระนั้นหรือ?  ถ้าไม่ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้ากำลังทำให้พวกเขาก็ไม่เหมาะสม และน่าชังสำหรับพระเจ้า  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (ข้าพระองค์เข้าใจ)  ดังนั้น เมื่อพ่อแม่บอกเจ้าว่า “ต้องดูแลคนเมืองเดียวกันเวลาพบเจอพวกเขา” นี่จึงเป็นความเชื่อที่ผิด และเจ้าก็ควรเก็บมันเอาไว้ลึกๆ ในจิตใจและเลิกสนใจไปเสีย  ในวันข้างหน้า ถ้าพ่อแม่ของเจ้าถามเจ้าว่า “คนเมืองเดียวกันกับพวกเราคนนั้นอยู่คริสตจักรเดียวกันกับลูก  ลูกเคยดูแลเขาบ้างหรือเปล่า?”  เจ้าควรตอบว่าอย่างไร?  (ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน)  เจ้าควรกล่าวว่า “ลูกไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น  ไม่ต้องพูดถึงคนเมืองเดียวกันหรอก ลูกจะไม่ดูแลพ่อแม่ด้วยซ้ำถ้าพ่อแม่ยืนหยัดต่อต้านพระเจ้า”  มีบางคนถูกมโนคติดั้งเดิมที่หลงผิดในครอบครัวครอบงำอย่างหนัก  ทันทีที่พวกเขาพบเจอคนที่พอจะเกี่ยวดองกับตนอยู่บ้าง หรือมีนามสกุลเดียวกัน หรือร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน พวกเขาก็อดไม่ได้  ทันทีที่ได้ยินว่ามีคนที่ใช้นามสกุลเดียวกัน พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้โฮ อย่างนี้พวกเราทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกันสิ  ตามศักดิ์ในครอบครัวตอนนี้ ฉันควรเรียกเธอคนนั้นว่าย่าน้อย  เทียบกันแล้วฉันเป็นหลานคนหนึ่ง”  พวกเขาเต็มใจเรียกตัวเองเป็นหลาน และพอพบหน้าเธอ พวกเขาก็ไม่กล้าเรียกเธอว่าพี่น้องหญิงหรืออะไรอื่น กลับเรียกเธอว่า “ย่าน้อย” เสมอ  เมื่อบางคนพบเจอคนที่มีนามสกุลเดียวกัน พวกเขารู้สึกใกล้ชิดคนเหล่านั้นเป็นพิเศษโดยไม่คำนึงว่าคนเหล่านั้นเป็นคนเช่นใด  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางครอบครัวมีประเพณีที่ดูแลคนร่วมวงศาคณาญาติเป็นพิเศษ มักจะสุภาพอ่อนน้อมกับคนเหล่านี้ และมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด  ด้วยเหตุนี้ บ้านของพวกเขาจึงดูคึกคักไปด้วยผู้คนและกิจกรรมอยู่เสมอ และครอบครัวก็ดูมีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองเป็นพิเศษ  เมื่อมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เครือญาติที่อยู่ห่างไกลล้วนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ  เมื่อถูกวัฒนธรรมครอบครัวเช่นนี้ครอบงำ บางคนจึงรู้สึกว่าการวางตนแบบนี้เป็นเรื่องดีที่พึงทำ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่โดดเดี่ยวหรือเปล่าเปลี่ยว และมีผู้คนคอยช่วยเหลือเมื่อเกิดเรื่อง  แล้วผู้คนอื่นๆ มีมโนคติที่หลงผิดแบบใด?  “การใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนนั้น คนเราต้องทำตัวมีมิตรสัมพันธ์”  แม้คำกล่าวนี้จะอธิบายยาก แต่ทุกคนก็สามารถเข้าใจความหมายได้  “คนเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์  ถ้าใครบางคนไม่มีความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ จะยังเรียกพวกเขาว่ามนุษย์ได้หรือ?  ถ้าคุณจริงจังและเอาการเอางานอยู่เสมอ ถ้าคุณกังวลเรื่องหลักธรรมและจุดยืนตลอดเวลา ในที่สุดคุณก็จะไม่มีญาติพี่น้องหรือผองเพื่อนเหลืออยู่  ระหว่างที่ใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มต่างๆ ในสังคม คุณจำเป็นต้องมีความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์  ผู้คนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนามสกุลของพวกเราเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในหมู่คนที่มีนามสกุลหรือร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน ทุกคนย่อมสนิทกันไม่ใช่หรือ?  คุณไม่สามารถทิ้งพวกเขาคนใดไปได้  เวลาคุณพบเจอเรื่องราว เช่น โรคภัย งานแต่งงาน งานศพ หรือเหตุการณ์ใหญ่น้อยอื่นๆ คุณไม่ต้องมีใครสักคนไว้หารือด้วยหรอกหรือ?  เวลาคุณซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือที่ดิน จะได้มีใครสักคนยื่นมือมาช่วย  คุณทิ้งผู้คนเหล่านี้ไปไม่ได้หรอก คุณต้องพึ่งพาพวกเขาในชีวิต”  เป็นเพราะเจ้าถูกวัฒนธรรมครอบครัวครอบงำอย่างหนัก เวลาออกไปข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่ในคริสตจักร และพบเจอคนที่ร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน เจ้าจึงขยับเข้าหาพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ชื่นชอบพวกเขาเป็นพิเศษ มักจะเอาใจใส่และปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นพิเศษ และผูกมิตรกับพวกเขาในลักษณะที่พิเศษ  แม้ในยามที่พวกเขาทำผิด เจ้าก็มักจะผ่อนผันให้  สำหรับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เจ้าวางตัวเป็นกลางกับพวกเขา  ส่วนคนที่ร่วมวงศาคณาญาติกับเจ้า เจ้ากลับโน้มเอียงที่จะปกป้องและโปรดปรานพวกเขา ซึ่งถ้าใช้คำทั่วไปก็เรียกว่า “เข้าข้างเครือญาติ”  บางคนถูกความคิดเหล่านี้ชี้นำอยู่บ่อยๆ ไม่ปฏิบัติต่อผู้คนหรือจัดการเรื่องราวในชีวิตตามหลักธรรมที่พระเจ้าสอน แต่กลับทำตามอิทธิพลของวัฒนธรรมครอบครัว  นี่ผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยกตัวอย่างคนที่มีนามสกุลว่าจาง ก็อาจเรียกอีกคนที่มีนามสกุลเดียวกันซึ่งแก่กว่าตนไม่กี่ปีว่า “พี่สาว”  ผู้อื่นอาจจะนึกว่าทั้งสองเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ที่จริงแล้วทั้งคู่คือคนแซ่เดียวกันที่ไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติ และไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลย  เหตุใดเธอจึงเรียกหญิงคนนั้นเช่นนี้?  นี่คืออิทธิพลของวัฒนธรรมครอบครัว  ไม่ว่าพวกเธอจะไปที่ใด ทั้งสองก็ไม่อาจแยกจากกันได้ เธอแบ่งปันทุกสิ่งกับ “พี่สาว” ของตน และไม่แบ่งปันกับคนนอก  เพราะเหตุใด?  “เพราะเธอแซ่จางเหมือนฉันเลย  พวกเราคือครอบครัว  ฉันต้องบอกทุกอย่างกับเธอ  ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะบอกใคร?  ถ้าฉันไม่ไว้ใจครอบครัว แต่กลับไปไว้ใจคนแปลกหน้าแทน นั่นย่อมจะโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  ไม่ว่าจะมองแบบไหน คนนอกก็ไว้ใจไม่ได้ มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่ไว้ใจได้”  เวลาเลือกผู้นำคริสตจักร เธอก็เลือกหญิงคนนั้น และพอผู้คนถามว่า “ทำไมคุณถึงเลือกหญิงคนนั้น?”  เธอก็ตอบว่า “เพราะเธอแซ่เดียวกับฉัน  ถ้าฉันไม่เลือกเธอ นั่นก็จะขัดกับเหตุผลและความเหมาะควรทั้งปวงไม่ใช่หรือ?  ถ้าฉันไม่เลือกเธอ ฉันจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?”  เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรมีผลประโยชน์เป็นวัตถุหรือมีสิ่งดีๆ มามอบให้ เธอก็นึกถึงหญิงคนนั้นเป็นคนแรก  “ทำไมคุณถึงนึกถึงเธอคนนั้นก่อนใคร?”  “เพราะเธอมีแซ่เดียวกับฉัน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว  ถ้าฉันไม่ดูแลเธอ แล้วใครจะทำ?  ถ้าฉันไม่มีความรู้สึกนึกคิดพื้นฐานเช่นนี้ของมนุษย์ ฉันจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?”  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดจากความรักใคร่เอ็นดูหรือแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว สรุปแล้ว ถ้าเจ้าถูกความคิดที่มาจากครอบครัวของเจ้าครอบงำและสร้างเงื่อนไขไว้ให้ เจ้าก็ควรกลับตัวทันที เลิกประพฤติตน จัดการสิ่งต่างๆ และปฏิบัติต่อผู้คนโดยใช้วิธีการเหล่านี้  ไม่ว่าวิธีการเหล่านี้จะคับแคบหรือกว้างขวางเพียงใด ก็ไม่ใช่หลักธรรมและวิธีการที่พระเจ้าสอนเจ้าเอาไว้  อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือความคิดและมุมมองที่เจ้าพึงปล่อยมือ  สรุปแล้ว การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมที่พระเจ้าสอนเจ้านั้นควรปล่อยมือเสีย  เจ้าไม่ควรใช้วิธีการเหล่านี้มาปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา และไม่ควรจัดการเรื่องต่างๆ ในหนทางนี้  บางคนอาจแย้งว่า “ถ้าฉันไม่จัดการเรื่องต่างๆ ในหนทางนี้ ฉันก็จะไม่รู้เลยว่าควรจัดการอย่างไร”  นั่นแก้ไขได้ง่าย  พระวจนะของพระเจ้าให้หลักธรรมไว้ใช้จัดการเรื่องต่างๆ  ถ้าเจ้าไม่สามารถค้นพบเส้นทางปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ก็จงมองหาพี่น้องชายหรือหญิงที่เข้าใจความจริงข้อนี้และถามพวกเขา  พวกเขาย่อมจะชี้แจงสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนเพื่อให้เจ้าใช้ทำความเข้าใจ  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือเวลาจัดการเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับวงศ์ตระกูล นามสกุล และวิถีโลก

พ่อแม่บางคนมักจะจ้ำจี้จ้ำไชลูกสาวของตนว่า “ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ลูกควรเดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข  ถ้าลูกแต่งเข้าครอบครัวไก่ ลูกก็ต้องทำตัวเหมือนไก่ ถ้าแต่งเข้าครอบครัวสุนัข ลูกก็ต้องทำตัวเป็นสุนัข”  ความนัยแฝงก็คือเจ้าไม่ควรพากเพียรที่จะเป็นมนุษย์ที่ดี แต่ควรทำใจรับสภาพของการเป็นไก่หรือสุนัข  นี่ใช่เส้นทางที่ดีงามหรือไม่?  ชัดเจนว่าพอได้ยินเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ย่อมจะดูออกว่านี่ไม่ใช่เส้นทางที่ดี ถูกต้องหรือไม่?  วลีที่ว่า “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย” แน่นอนว่ามุ่งตรงไปที่ผู้หญิง—ชะตากรรมของพวกเธอน่ารันทดเช่นนี้เอง  เมื่ออยู่ภายใต้การสร้างเงื่อนไขและอิทธิพลของครอบครัว ผู้หญิงก็ปล่อยให้ตัวเองต่ำทราม กล่าวคือ ถ้าแต่งงานกับไก่ พวกเธอก็เดินตามไก่จริงๆ หรือถ้าแต่งกับสุนัขก็เดินตามสุนัข ไม่มีการพากเพียรที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ดีงาม กลับทำทุกสิ่งที่พ่อแม่บอกให้ทำ  แม้พ่อแม่ของเจ้าจะปลูกฝังความคิดเช่นนี้เอาไว้ให้ เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณว่าความคิดดังกล่าวถูกหรือผิด เป็นผลดีหรือเป็นอันตรายต่อการวางตนของเจ้า  แน่นอนว่าพวกเราเคยสามัคคีธรรมแง่มุมนี้ไปแล้วในหัวข้อเรื่องการปล่อยมือจากการแต่งงาน ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ชำแหละและวิเคราะห์แง่มุมนี้กันอย่างละเอียดในที่นี้  สรุปว่าความคิดและมุมมองทั้งหมดของพ่อแม่ ซึ่งผิด บิดเบี้ยว ฉาบฉวย เบาปัญญา และถึงขั้นเลวและเสื่อมทรุดนี้คือสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวทำนองให้ “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข” ซึ่งพวกเราเพิ่งพูดไป และ “แต่งงานกับผู้ชายเพื่อเสื้อผ้าและอาหาร”—เจ้าควรใช้วิจารณญาณกับถ้อยแถลงเหล่านี้ และไม่ควรถูกความคิดเช่นที่พ่อแม่ของเจ้าปลูกฝังเอาไว้นี้ชักนำไปในทางที่ผิด เชื่อไปว่า “ฉันถูกขายให้กับผู้ชายที่ฉันแต่งงานด้วย เขาเป็นเจ้านายของฉัน ฉันควรเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็นและทำทุกสิ่งที่เขาบอก ชะตากรรมของฉันผูกอยู่กับเขา  เมื่อแต่งงานกัน พวกเราทั้งคู่ก็ถูกผูกไว้ด้วยกันเหมือนตั๊กแตนสองตัวที่มีเชือกเส้นหนึ่งผูกไว้  ถ้าเขาเจริญรุ่งเรือง ฉันก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย ถ้าเขาไม่เจริญรุ่งเรือง ฉันก็จะไม่เจริญรุ่งเรืองเช่นกัน  ดังนั้น คำกล่าวของพ่อแม่ที่ให้ ‘เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข’ ย่อมถูกต้องเสมอ  ผู้หญิงไม่ควรพึ่งพาตนเองหรือมีสิ่งที่อยากไล่ตามเสาะหา และแน่นอนว่าไม่ควรมีแนวคิดหรือความปรารถนาที่จะมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต  พวกเธอควรเชื่อฟังโดยทำตามถ้อยคำของพ่อแม่ที่ให้ ‘เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข’ เท่านั้น”  นี่ใช่ความคิดที่ถูกต้องและพึงมีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข”—ยังมีอีกวลีหนึ่งที่มีความหมายคล้ายกัน นั่นก็คือ “ตั๊กแตนสองตัวที่มีเชือกเส้นหนึ่งผูกไว้” ซึ่งหมายความว่าเมื่อเจ้าแต่งงานกับเขา ชะตากรรมของเจ้าก็ผูกอยู่กับชะตากรรมของเขา  ถ้าเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย ถ้าเขาไม่เจริญรุ่งเรือง เจ้าก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเช่นกัน  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  พวกเรามาเสวนาถึงคำกล่าวที่ว่า “ถ้าเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย” กันก่อนเถิด  นี่ใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  มีใครสามารถยกตัวอย่างเห็นแย้งที่จะหักล้างเรื่องนี้ได้บ้าง?  นึกไม่ออกกันสักข้อเลยหรือ?  ให้เรายกตัวอย่างแล้วกัน  เช่น เมื่อหญิงคนหนึ่งแต่งงานกับชาย เธอก็ดึงดันที่จะเดินตามเขาให้ได้  นี่ก็เหมือนกับที่ผู้หญิงมักพูดกันว่า “นับแต่วันนี้ไป ฉันเป็นของคุณ” แฝงนัยว่า “ฉันถูกขายให้คุณแล้ว ชะตาชีวิตของฉันผูกอยู่กับชะตาชีวิตของคุณ”  ทีนี้ ถ้าตัดผู้หญิงที่ยอมปล่อยให้ตัวเองต่ำทรามออกไป พวกเราก็มาสนใจวลีที่ว่า “ถ้าเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย” นี้กันเถิดว่าถูกต้องหรือไม่  จริงหรือไม่ที่ว่าถ้าเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็จะเจริญรุ่งเรืองไปด้วยโดยอัตโนมัติ?  สมมุติว่าเขาเริ่มทำธุรกิจและตกอยู่ในสภาวะคับขัน เผชิญเรื่องท้าทายมากมาย พบเจอความยุ่งยากไปทุกที่ ไม่มีเงินทุน เส้นสาย ทำเลที่เหมาะจะเปิดร้าน ตลาดที่จะทำธุรกิจ และผู้คนที่จะคอยช่วยเหลือ  เจ้าเองในฐานะที่เป็นภรรยาของเขาก็ดึงดันที่จะเดินตามเขาให้ได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เจ้าก็ไม่เคยชิงชังรังเกียจเขา แต่กลับสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข  เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจของเขาก็เจริญก้าวหน้า เปิดร้านแห่งแล้วแห่งเล่า ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และทำรายได้มากขึ้นทุกที  สามีของเจ้ากลายเป็นนายใหญ่ และจากนายใหญ่ เขาก็กลายมาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มั่งคั่ง  เขาเจริญรุ่งเรืองอยู่ใช่หรือไม่?  แต่ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าใครพอมีเงินก็กลายเป็นคนไม่ดี” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข้อเท็จจริงของสังคมนี้และโลกชั่วใบนี้  พอสามีของเจ้ากลายเป็นนายใหญ่และนักธุรกิจใหญ่ในที่สุด การที่เขาจะถูกทำให้เสื่อมทรามย่อมง่ายเพียงใด?  นี่เกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่นาน  หลังจากที่เขาได้เป็นนายใหญ่และเริ่มเจริญรุ่งเรือง วันเวลาดีๆ ของเจ้าย่อมจะสิ้นสุดลงแล้ว  เพราะเหตุใด?  ความวิตกกังวลของเจ้าจะเริ่มคืบคลานเข้ามา “เขามีผู้หญิงอีกคนอยู่ข้างนอกนั่นหรือเปล่า?  เขาจะนอกใจฉันไหม?  มีใครมายั่วยวนเขาหรือไม่?  เขาจะเบื่อฉันไหม?  เขาจะหมดรักหรือไม่?”  วันเวลาที่ดีของเจ้าสิ้นสุดลงแล้วใช่หรือไม่?  หลังจากร่วมลำบากกับเขามาตลอดหลายปีนี้ เจ้าย่อมรู้สึกทุกข์ตรมและเหน็ดเหนื่อย  เจ้ามีภาวะความเป็นอยู่ไม่ดีมาโดยตลอด สุขภาพของเจ้าทรุดโทรม และรูปร่างหน้าตาของเจ้าก็ไม่ได้ดูดีเหมือนก่อน  เจ้ากลายเป็นหญิงมีอายุที่หน้าตาซีดเซียว  ในสายตาของเขา เจ้าอาจไม่มีเสน่ห์ของหญิงสาวที่เขาเคยหลงรักอีกต่อไป  เขาอาจจะคิดว่า “ตอนนี้พอฉันมั่งคั่งและมีอิทธิพล ฉันก็สามารถหาคนที่ดีกว่าได้”  เมื่อเขาห่างเหินไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มคิดไม่หยุด เขาเริ่มเปลี่ยนไป  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมมีภัยมิใช่หรือ?  เขากลายเป็นนายใหญ่ไปแล้ว ส่วนเจ้าก็เป็นหญิงมีอายุที่หน้าตาซีดเซียว—พวกเจ้าสองคนเกิดความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมอย่างหนึ่งขึ้นมามิใช่หรือ?  ในช่วงเวลานี้ เจ้าไม่คู่ควรกับเขาแล้วมิใช่หรือ?  เขารู้สึกว่าตัวเขามีฐานะสูงกว่าเจ้ามิใช่หรือ?  เขาชังเจ้ามากขึ้นทุกทีใช่หรือไม่?  ถ้าใช่ วันเวลาอันยากลำบากของเจ้าก็เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น  ท้ายที่สุดแล้วเขาก็อาจทำตามความปรารถนาของเขาและมองหาผู้หญิงอีกคน ใช้เวลาอยู่บ้านน้อยลงไปเรื่อยๆ  เมื่อเขากลับมา ส่วนใหญ่ก็เพื่อโต้เถียงกับเจ้า หลังจากนั้นเขาก็ปิดประตูโครมและจากไปทันที บางครั้งก็หายไปหลายวันโดยไม่มีการติดต่อ  เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ในอดีต อย่างมากที่สุดเจ้าก็หวังได้เพียงว่าเขาอาจจะให้เงินเจ้าและจัดหาสิ่งที่เจ้าต้องใช้ในชีวิตประจำวันมาให้  แท้จริงแล้วถ้าเจ้าหาเรื่อง เขาก็อาจจะระงับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเจ้าด้วยซ้ำ  แล้วเป็นอย่างไร?  ชะตากรรมของเจ้าดีขึ้นบ้างเพียงเพราะเขาเริ่มเจริญรุ่งเรืองหรือไม่?  เจ้ามีความสุขมากขึ้นหรือยิ่งไม่มีความสุข?  (ยิ่งไม่มีความสุข)  เจ้ายิ่งไม่มีความสุข  วันเวลาแห่งความโชคร้ายของเจ้ามาถึงแล้ว  เมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ โดยมากแล้วผู้หญิงมักจะร้องไห้อยู่เป็นนาน และเพราะพ่อแม่บอกพวกเธอเอาไว้ว่า “ความในอย่านำออก” พวกเธอจึงฝืนทนพลางคิดว่า “ฉันจะสู้ทนเรื่องนี้จนกว่าลูกชายจะเติบใหญ่และสามารถหนุนหลังฉันได้  ถึงตอนนั้นฉันค่อยเขี่ยสามีทิ้ง!”  ผู้หญิงบางคนโชคดีพอที่จะได้เห็นวันที่ลูกชายกลายเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งของตน ขณะที่หญิงอื่นไปไม่ถึงตรงนั้น  เมื่อลูกชายของพวกเธอยังเล็ก สามีก็ตัดสินใจเลี้ยงเด็กไว้และบอกภรรยาของเขาว่า “ออกไปเสีย ยายแก่หน้าตาซีดเซียว!”  แล้วเธอก็อาจจะถูกมองว่าเป็นขอทานและถูกโยนออกจากบ้านของเธอเอง  ดังนั้น เวลาที่เขาเจริญรุ่งเรือง จำเป็นหรือไม่ที่เจ้าจะต้องเจริญรุ่งเรืองไปด้วย?  ชะตากรรมของพวกเจ้าผูกอยู่ด้วยกันจริงหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าธุรกิจของเขายังล้มลุกคลุกคลานอย่างต่อเนื่องหรือสวนทางกับสิ่งที่เขาปรารถนา เช่นนั้นแล้ว ระหว่างที่เขาต้องการแรงเกื้อหนุน กำลังใจ และการเอาใจใส่จากเจ้า รวมทั้งการมีเจ้าอยู่เป็นเพื่อน ไร้ซึ่งลักษณะและโอกาสที่จะถูกทำให้เสื่อมทราม เขาก็อาจจะยังรักทะนุถนอมเจ้าอยู่  ในขณะที่เขายังไม่เจริญรุ่งเรือง เจ้าอาจจะรู้สึกปลอดภัยกว่า มีคนอยู่เคียงข้างเจ้า และสามารถมีประสบการณ์เป็นความอบอุ่นและความสุขในชีวิตแต่งงานได้  เพราะเวลาที่เขายังไม่เจริญรุ่งเรืองนั้น ไม่มีคนภายนอกสนใจหรือให้ค่าเขา และเจ้าก็กลายเป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถพึ่งพาได้ เขาจึงมองว่าเจ้าล้ำค่า  ในกรณีนั้น เจ้าย่อมจะรู้สึกมั่นคง เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกดีกว่าและเป็นสุขกว่า  แต่ถ้าเขาเจริญรุ่งเรืองและสยายปีก เช่นนั้นแล้วเขาย่อมจะออกบิน แต่เขาจะพาเจ้าไปด้วยหรือไม่?  คำกล่าวของพ่อแม่ที่ให้ “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข” นั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวนี้ผลักผู้หญิงลงสู่ห้วงเหวของความทุกข์  แล้วหลักคิดที่ว่า “ฉันจะเดินตามเขาถ้าเขาเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง และถ้าไม่ ฉันก็จะทิ้งเขาไป” นี้เป็นเช่นไร?  หลักคิดนี้ก็ผิดเช่นกัน  การแต่งงานกับเขาไม่ได้หมายความว่าเจ้านั้นขายตัวเองให้แก่เขา และไม่ได้หมายความว่าเจ้าควรทำเหมือนเขาเป็นคนนอก  การที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตนในชีวิตสมรสย่อมเพียงพอแล้ว  ถ้าสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีก็นับว่ายอดเยี่ยม ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็แยกกันไปคนละทาง  เจ้าลุล่วงภาระผูกพันของเจ้าแล้วด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน  ถ้าเขาอยากให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของการอยู่เคียงข้างเขา ก็จงทำไปเถิด หาไม่แล้วก็จงแยกย้ายกันไป  นั่นคือหลักธรรม  วลีที่ให้ “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข” นั้นเหลวไหล—และเป็นอันตราย  เหตุใดจึงเหลวไหล?  เพราะขาดหลักธรรม กล่าวคือ ไม่ว่าผู้ชายจะเป็นคนชนิดใด เจ้าก็เดินตามเขาโดยไม่แยกแยะ  ถ้าเจ้าเดินตามชายที่ดี เช่นนั้นแล้วชีวิตนี้ก็อาจจะคุ้มค่า  แต่ถ้าเจ้าเดินตามชายที่ไม่ดี เจ้าย่อมทำให้ตัวเองจบสิ้นมิใช่หรือ?  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเช่นใด เจ้าก็ควรมีจุดยืนที่ถูกต้องในชีวิตสมรส  เจ้าต้องเข้าใจว่ามีแต่ความจริงเท่านั้นที่ให้ความคุ้มครองที่แท้จริง มอบเส้นทางและหลักธรรมของชีวิตที่มีศักดิ์ศรี  สิ่งที่พ่อแม่มอบให้นั้นเป็นเพียงประสบการณ์หรือกลยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ตามความรักใคร่เอ็นดูหรือผลประโยชน์ของพวกเขาเองเท่านั้น  คำแนะนำเช่นนี้ไม่อาจปกป้องเจ้าได้เลย และไม่อาจให้หลักปฏิบัติที่ถูกต้องแก่เจ้าได้  ดูคำกล่าวที่ให้ “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข” เป็นตัวอย่างเถิด  นี่ได้แต่ชักนำให้เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตสมรส ทำให้เจ้าสูญเสียศักดิ์ศรีและโอกาสที่จะเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อาจทำให้เจ้าสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดอีกด้วย  ดังนั้น ไม่ว่าเจตนาเบื้องหลังคำพูดของพ่อแม่จะเป็นเช่นใด จะเป็นความกังวล การปกป้อง ความรักใคร่เอ็นดู ผลประโยชน์ส่วนตน หรือแรงจูงใจอื่นใด เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะคำกล่าวนานาของพวกเขา  ต่อให้เจตนาเบื้องต้นของพวกเขาเป็นไปเพื่อให้เจ้ากินดีอยู่ดีและปกป้องเจ้า เจ้าก็ไม่ควรยอมรับคำพูดของพวกเขาโดยไม่ใช้ความระมัดระวังและไม่ใช้ปัญญา  ตรงกันข้าม เจ้าควรใช้วิจารณญาณแยกแยะคำพูดเหล่านี้ แล้วจากนั้นก็ค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติหรือวางตนตามถ้อยคำของพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำกล่าวที่ให้ “แต่งงานกับผู้ชายเพื่อเสื้อผ้าและอาหาร” ซึ่งคนรุ่นก่อนๆ มักจะพูดกัน—นั่นยิ่งผิดเข้าไปใหญ่  ผู้หญิงไม่มีมือหรือเท้าหรอกหรือ?  พวกเธอไม่สามารถหาเลี้ยงชีวิตของตนเองได้หรือไร?  เหตุใดพวกเธอจึงต้องพึ่งพาผู้ชายในเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร?  ผู้หญิงโง่เขลากระนั้นหรือ?  เทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงขาดอะไรบ้าง?  (ไม่ได้ขาดอะไรเลย)  ถูกต้อง ไม่ได้ขาดอะไรเลย  ผู้หญิงมีความสามารถที่จะดำรงอยู่ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเธอ  ในเมื่อผู้หญิงมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ แล้วเหตุใดพวกเธอจึงควรพึ่งพาผู้ชายในเรื่องของสิ่งดำรงชีพ?  นี่เป็นความคิดที่ผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการปลูกฝังความคิดที่ผิด  ผู้หญิงไม่ควรลดทอนคุณค่าหรือด้อยค่าตนเองตามคำกล่าวนี้ พึ่งพาผู้ชายในเรื่องความต้องการพื้นฐาน  แน่นอนว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ชายที่จะจัดหาค่าครองชีพทั้งหมดมาให้ภรรยาและครอบครัว ตรวจดูให้แน่ใจว่าผู้หญิงของเขามีพอกินและพอสวมใส่  อย่างไรก็ดี ผู้หญิงไม่ควรแต่งงานเพียงเพื่ออาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น หรือมีความคิดและมุมมองดังกล่าว  ในเมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง เหตุใดเจ้าจึงจะพึ่งพาผู้ชายในเรื่องความต้องการพื้นฐาน?  ในระดับหนึ่ง นี่เป็นเพราะอิทธิพลของพ่อแม่และการสร้างเงื่อนไขด้วยความคิดในครอบครัวมิใช่หรือ?  ถ้าผู้หญิงถูกสร้างเงื่อนไขให้เช่นนี้จากการอบรมสั่งสอนในครอบครัว เช่นนั้นแล้วเธอย่อมเกียจคร้าน ไม่อยากทำอะไร เอาแต่อยากพึ่งพาคนอื่นในเรื่องของอาหารและเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น หรือไม่ก็ยอมรับความคิดของพ่อแม่ เชื่อไปว่าผู้หญิงไม่มีค่า และพวกเธอเองก็ไม่สามารถและไม่ควรแก้ปัญหาเรื่องอาหารและเสื้อผ้าด้วยตนเอง แต่ควรเอาแต่พึ่งพาผู้ชายในเรื่องเหล่านี้เท่านั้น  นี่คือการปล่อยตัวให้ต่ำทรามมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดการรับความคิดและมุมมองดังกล่าวมาใช้จึงผิด?  ความคิดและมุมมองเหล่านี้ส่งผลเช่นไร?  เหตุใดคนเราจึงควรปล่อยมือจากความคิดที่ด้อยคุณค่าเช่นนี้?  ถ้าผู้ชายหาอาหารและเสื้อผ้าให้เจ้า แล้วเจ้ามองเขาเป็นเจ้านาย เป็นหัวหน้าดูแลตน  เป็นคนที่ควบคุมทุกสิ่ง เจ้าย่อมจะปรึกษาเขาทุกเรื่องไม่ว่าใหญ่หรือเล็กมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ฉันจะถามคนกำกับดูแลว่าจะยอมให้ฉันเชื่อในพระเจ้าได้หรือไม่ ถ้าเขาบอกว่าได้ ฉันก็จะเชื่อ ถ้าไม่ได้ เช่นนั้นฉันก็จะไม่เชื่อ”  แม้ในยามที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้ผู้คนทำหน้าที่ของตน เจ้าก็ยังต้องขอความเห็นชอบจากเขา ถ้าเขายินดีและเห็นด้วย เจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าได้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไม่สามารถทำได้  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า การที่เจ้าจะสามารถติดตามพระองค์ได้หรือไม่กลับขึ้นอยู่กับว่าสามีของเจ้ามีท่าทีและปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร  สามีของเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะได้กระนั้นหรือว่าหนทางนี้จริงแท้หรือเทียมเท็จ?  การฟังเขาจะช่วยให้ได้รับความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างแน่นอนกระนั้นหรือ?  ถ้าสามีของเจ้ามีปัญญาและสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ถ้าเขาคือแกะตัวหนึ่งของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจได้ประโยชน์ไปพร้อมกับเขา แต่เจ้าก็เพียงแต่ได้ประโยชน์ไปพร้อมกับเขาเท่านั้น  อย่างไรก็ดี ถ้าเขาเป็นคนพาล เป็นศัตรูของพระคริสต์ และไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ เจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าจะยังคงเชื่ออยู่หรือไม่?  เจ้าไม่มีหูหรือสมองหรอกหรือ?  เจ้าไม่สามารถรับฟังพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไร?  พอฟังแล้ว เจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะเองไม่ได้กระนั้นหรือ?  สามีของเจ้ากำหนดชะตากรรมของเจ้าได้กระนั้นหรือ?  เขาควบคุมและจัดวางเรียบเรียงชะตาชีวิตของเจ้ากระนั้นหรือ?  เจ้าขายตัวเจ้าเองให้เขาไปแล้วหรือไร?  ทุกคนชัดเจนในคำสอนเหล่านี้ แต่พอมีปัญหาบางอย่างในเรื่องของหลักธรรม ผู้คนกลับโน้มเอียงที่จะถูกการสร้างเงื่อนไขด้วยความคิดและมุมมองเหล่านี้โดยครอบครัวเข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว  เมื่อความคิดและมุมมองเหล่านี้ครอบงำเจ้า เจ้าก็มักจะตัดสินอย่างไม่ถูกต้อง และถูกความคิดเบื้องหลังการตัดสินที่ไม่ถูกต้องนี้ชี้นำ เจ้าเลือกผิด ซึ่งพาให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ผิดหลังจากนั้น และในที่สุดก็พาไปสู่ความย่อยยับ  เจ้าพลาดโอกาสที่จะทำหน้าที่ของเจ้า โอกาสที่จะได้รับความจริง และโอกาสที่จะได้รับความรอด  สิ่งที่พาให้เจ้าจบสิ้นคืออะไร?  ดูภายนอกเหมือนเจ้าถูกผู้ชายคนหนึ่งชักพาให้หลงผิดและครอบงำ ถูกเขาทำให้ย่อยยับ  แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่พาให้เจ้าจบสิ้นก็คือความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวเจ้าเอง  กล่าวคือ มูลเหตุของจุดจบนี้ก็คือความคิดที่ให้ “เดินตามผู้ชายที่แต่งงานด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นไก่หรือสุนัข”  เพราะฉะนั้น การปล่อยมือจากความคิดเช่นนี้จึงสำคัญยิ่ง

ตอนนี้ เมื่อย้อนดูความคิดและมุมมองของพ่อแม่และครอบครัวที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้ว ซึ่งเกี่ยวพันกับหลักคิดและกลยุทธ์ของการดำรงชีวิตทางโลก กฎกติกา วิถีโลก เผ่าพันธุ์ หญิงชาย การแต่งงาน และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้มีอะไรเป็นบวกบ้างหรือไม่?  มีสิ่งใดที่สามารถชี้นำเจ้าให้เดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีสักอย่างเดียวที่ช่วยให้เจ้ากลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงหรือมีคุณสมบัติเพียงพอ  ในทางตรงกันข้าม แต่ละสิ่งกลับทำร้ายเจ้าอย่างหนัก ทำให้เจ้าเสื่อมทรามโดยสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดและมุมมองดังกล่าว ทำให้ผู้คนทุกวันนี้ถูกความคิดและมุมมองต่างๆ ที่คลาดเคลื่อนภายในส่วนลึกสุดของพวกเขาพันธนาการ ควบคุม ครอบงำ และทำให้เดือดร้อน  แม้ว่าลึกลงไปในหัวใจของผู้คนนั้น ครอบครัวจะเป็นที่ที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็ก และเป็นที่พักพิงของดวงจิต แต่ก็ไม่ควรประเมินอิทธิพลเชิงลบต่างๆ ที่ครอบครัวมีต่อผู้คนต่ำเกินไป  ความอบอุ่นในครอบครัวไม่อาจสลายความคิดที่ผิดเหล่านี้ได้  ความอบอุ่นในครอบครัวและความทรงจำอันสวยงามที่ความอบอุ่นนั้นมอบให้ เพียงแต่นำเอาการปลอบประโลมและความพอใจบางอย่างมาให้ในระดับของความรักใคร่เอ็นดูทางกายภาพเท่านั้น  อย่างไรก็ดี ในส่วนของสิ่งต่างๆ เช่น การวางตนและดำรงชีวิตทางโลก เส้นทางที่คนเราควรเลือกเดิน หรือควรสร้างทัศนคติที่มีต่อชีวิตและคุณค่าใด การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวล้วนเป็นภัยทั้งสิ้น  เมื่อมองในมุมนี้ คนเราถูกความคิดและมุมมองต่างๆ ในครอบครัวของตนทำให้เสื่อมทรามก่อนที่จะเข้าสังคมแล้วด้วยซ้ำ—พวกเขาก้าวผ่านการสร้างเงื่อนไข การควบคุม และครอบงำของความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ผิดไปเรียบร้อยแล้ว  สามารถกล่าวได้ว่าครอบครัวคือสถานที่ที่มอบความคิดและมุมมองทั้งปวงที่ผิด และเป็นที่ที่ความคิดและมุมมองเหล่านี้เริ่มมีบทบาทและมีการใช้กันอย่างเสรี  ครอบครัวมีบทบาทเช่นนี้ในชีวิตของทุกคน รวมทั้งในชีวิตประจำวันของพวกเขา  สามัคคีธรรมของพวกเราในเรื่องนี้ไม่ใช่การขอให้ผู้คนปล่อยมือจากความรักใคร่เอ็นดูในครอบครัว แตกหักหรือตัดสายสัมพันธ์กับครอบครัวของตนให้คนเห็น  นี่เป็นเพียงการกำหนดให้ผู้คนเจาะจงตระหนักรู้ความคิดและมุมมองนานาที่ผิด ใช้วิจารณญาณแยกแยะ และแน่นอนว่าปล่อยมือจากความคิดและมุมมองที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ให้นี้ได้อย่างถูกต้องและในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  นี่คือการปฏิบัติจำเพาะซึ่งผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรใช้เมื่อจัดการแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวพันกับครอบครัว

มีหัวข้ออีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว  เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือที่คำกล่าวซึ่งครอบครัวใช้สร้างเงื่อนไขในตัวผู้คน คำกล่าวที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาโดยตลอดนี้ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก?  (ใช่)  พวกเรามักจะได้ยินครอบครัวทั้งหลายกล่าวคำเหล่านี้กัน—ไม่ครอบครัวใดก็ครอบครัวหนึ่ง  คำกล่าวเหล่านี้ถูกใช้เป็นตัวอย่างกันในวงกว้างมิใช่หรือ?  ครอบครัวส่วนใหญ่ปลูกฝังความคิดและมุมมองเหล่านี้เอาไว้ไม่มากก็น้อย  คำกล่าวทุกคำที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาล้วนปรากฏตัวในครอบครัวส่วนใหญ่ในลักษณะที่แตกต่างกันไปและถูกปลูกฝังเป็นระยะตามการเติบโตของคนคนหนึ่ง  นับจากวันที่คนเราถูกปลูกฝังเป็นความคิดเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มยอมรับความคิดเหล่านี้ เกิดการตระหนักรู้และยอมรับอยู่บ้าง และแล้วโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตนเอง พวกเขาก็ใช้ความคิดและมุมมองเหล่านี้เป็นกลยุทธ์และวิธีการดำรงชีวิตทางโลกของตนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และเอาตัวรอดในวันข้างหน้า  แน่นอนว่าหลายคนใช้ความคิดและมุมมองเหล่านี้เป็นบรรทัดฐานให้ตนมีที่ยืนในสังคม  ด้วยเหตุนี้ ความคิดและมุมมองเหล่านี้จึงไม่เพียงแพร่กระจายอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนเท่านั้น แต่รวมถึงโลกในตัวพวกเขาและปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญบนเส้นทางเอาตัวรอดของตนอีกด้วย  เมื่อเกิดปัญหานานา ความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ผู้คนเก็บไว้ในหัวใจก็ชี้นำผู้คนว่าควรจัดการเรื่องราวเหล่านี้อย่างไร เมื่อเกิดปัญหานานา พวกเขาก็ถูกความคิดและมุมมองต่างๆ รวมทั้งหลักคิดและกลยุทธ์ในการดำรงชีวิตทางโลก ครอบงำและกำกับเอาไว้  ผู้คนสามารถใช้ความคิดและมุมมองผิดๆ เหล่านี้ได้อย่างจัดเจนในชีวิตจริง  เมื่ออยู่ภายใต้การชี้นำของความคิดและมุมมองต่างๆ นานาที่ผิด ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง  เมื่อการกระทำ พฤติกรรม ชีวิต และความเป็นอยู่ของพวกเขาถูกบงการด้วยความคิดที่ผิด ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เส้นทางที่พวกเขาใช้ในชีวิตย่อมผิดทางไปด้วย  ในเมื่อรากเหง้าของความคิดที่ชี้นำพวกเขานั้นผิด ก็เป็นธรรมดาที่เส้นทางของพวกเขาย่อมผิด  ทิศทางของเส้นทางนั้นๆ จึงเบี่ยงเบน ทำให้ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดมีความชัดเจนทีเดียว  ผู้คนที่ถูกความคิดต่างๆ ในครอบครัวของตนสร้างเงื่อนไขเอาไว้ให้ ย่อมใช้เส้นทางที่ผิด แล้วจากนั้นพวกเขาก็ถูกเส้นทางที่ผิดนี้ชักพาให้หลงผิด  ผลก็คือพวกเขามุ่งหน้าไปหานรก ไปหาความย่อยยับ  ท้ายที่สุดแล้วมูลเหตุแห่งความสูญสิ้นของพวกเขาก็คือความคิดต่างๆ ที่ผิดซึ่งครอบครัวของพวกเขาสร้างเงื่อนไขเอาไว้ให้  เมื่อพิจารณาผลร้ายแรงที่ตามมา ผู้คนก็ควรปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดต่างๆ ที่ครอบครัวมอบให้แก่พวกเขา  ในเวลานี้ การสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดต่างๆ ที่ผิดเอาไว้ในตัวผู้คนส่งอิทธิพลขัดขวางไม่ให้พวกเขายอมรับความจริง  เมื่อถูกความคิดที่ผิดเหล่านี้ชี้นำและเป็นเพราะมีความคิดเหล่านี้อยู่ บ่อยครั้งผู้คนจึงไม่สามารถเข้าใจความจริง ถึงกับปฏิเสธและต้านทานความจริงอยู่ในหัวใจ  แน่นอนว่าที่ยิ่งแย่ลงไปอีกก็คือบางคนอาจตัดสินใจทรยศพระเจ้า  เรื่องราวในเวลานี้เป็นเช่นนี้ แต่หากมองระยะยาว ภายใต้รูปการณ์ที่ผู้คนไม่อาจยอมรับความจริงได้ หรือพวกเขาทรยศความจริง ความคิดที่ผิดเหล่านี้ย่อมพาพวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่หลงผิดซึ่งตรงข้ามกับความจริง ทรยศและไม่ยอมรับพระเจ้า  ภายใต้การชี้นำของเส้นทางที่ผิดดังกล่าว ต่อให้พวกเขาดูเหมือนจะฟังพระเจ้าตรัสและยอมรับพระราชกิจของพระองค์ แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริงอันเนื่องมาจากเส้นทางผิดๆ ที่พวกเขาเดินอยู่  นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้น ในเมื่ออิทธิพลของครอบครัวสามารถนำไปสู่ผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงดังกล่าว คนเราก็ไม่ควรดูเบาความคิดเหล่านี้  ถ้าเจ้าถูกครอบครัวสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดที่ผิดเช่นนี้ในเรื่องต่างๆ เจ้าก็ควรตรวจสอบและปล่อยมือจากความคิดเหล่านี้เสีย—อย่ายึดถือเอาไว้อีกต่อไป  ไม่ว่าจะเป็นความคิดเช่นใด ถ้าผิดและสวนทางกับความจริง เส้นทางเดียวที่ถูกต้องซึ่งเจ้าควรเลือกก็คือการปล่อยมือ  การปฏิบัติที่ถูกต้องของการปล่อยมือมีดังนี้คือ หลักเกณฑ์หรือหลักการที่เจ้าใช้มอง ทำ หรือจัดการเรื่องนี้ไม่ควรเป็นความคิดผิดๆ ที่ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังเอาไว้ให้อีกต่อไป แต่ควรเป็นพระวจนะของพระเจ้า  แม้กระบวนการนี้อาจต้องให้เจ้าจ่ายราคาบ้าง ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่ฝืนใจ เจ้ากำลังเสียหน้า และอาจถึงขั้นส่งผลให้เจ้าทนทุกข์กับการสูญเสียผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้า แต่ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอสิ่งใด เจ้าก็ควรตั้งหน้าตั้งตาปรับให้การปฏิบัติของเจ้าเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมที่พระองค์ตรัสบอกเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรวางมือ  แน่นอนว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมจะท้าทาย ไม่เป็นไปอย่างราบรื่น  เหตุใดจึงไม่ราบรื่น?  นี่คือการแข่งขันกันระหว่างสิ่งที่เป็นลบกับสิ่งที่เป็นบวก เป็นการประชันกันระหว่างความคิดชั่วของซาตานกับความจริง และยังเป็นการแข่งกันระหว่างฝ่ายที่เป็นเจตจำนงและความประสงค์ของเจ้าที่จะยอมรับความจริงและสิ่งที่เป็นบวก กับฝ่ายที่เป็นความคิดและมุมมองที่ผิดในหัวใจของเจ้า  ในเมื่อมีการแข่งขันเกิดขึ้น คนเราก็อาจทนทุกข์และควรจ่ายราคา—นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องทำ  ถ้าใครสักคนอยากเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด พวกเขาก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้และมีประสบการณ์กับการแข่งขันเหล่านี้  แน่นอนว่าระหว่างที่มีการแข่งขันเหล่านี้ เจ้าย่อมจะจ่ายราคาบางอย่าง ทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่าง และตัดใจจากบางสิ่งเป็นแน่  ไม่ว่ากระบวนการนี้จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วการสามารถสัมฤทธิ์การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ได้ความจริงมา และได้รับความรอด—นั่นคือจุดหมายสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะจ่ายราคาใดไปเพื่อจุดหมายนี้ก็ย่อมคุ้มค่าเพราะเป็นจุดหมายที่ถูกต้องที่สุดและเป็นสิ่งที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาเพื่อที่จะมีคุณสมบัติเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  การที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายนี้ ไม่ว่าเจ้าจะต้องอุตสาหะหรือจ่ายราคาไปมากเท่าใด เจ้าก็ไม่ควรประนีประนอม หลบหลีก หรือเกรงกลัว เพราะตราบใดที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงและมุ่งหมายที่จะยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และได้รับการช่วยให้รอด ตราบนั้นเจ้าก็ไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียวเวลาเผชิญหน้าการแข่งขันหรือสงครามอันใด  พระวจนะของพระเจ้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้ามีพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์คอยเกื้อหนุนเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรเกรงกลัว ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ฉะนั้น จากประเด็นสองสามข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดที่ผิดโดยครอบครัวหรือโดยแหล่งอื่นใดก็ตาม คนเราควรเลือกที่จะปล่อยมือเสีย  ยกตัวอย่างที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไป ครอบครัวของเจ้ามักจะบอกเจ้าว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน”  ในความเป็นจริง การปล่อยมือจากความคิดนี้เป็นเรื่องง่าย กล่าวคือ เพียงกระทำการตามหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนเท่านั้น  “หลักธรรมที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คน”—วลีนี้กว้างมาก  จะเจาะจงปฏิบัติตามวลีนี้กันอย่างไร?  เจ้าไม่จำเป็นต้องชำแหละว่าเจ้ามีเจตนาที่จะทำร้ายผู้อื่นหรือไม่ และไม่จำเป็นต้องระวังตัวกับผู้อื่น  แล้วเจ้าควรทำอย่างไร?  ด้านหนึ่ง เจ้าควรที่จะสามารถรักษาสัมพันธภาพอันกลมเกลียวกับผู้อื่นไว้ได้อย่างถูกควร อีกด้านหนึ่ง เวลาติดต่อเจรจากับผู้คนที่หลากหลาย เจ้าควรใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการและใช้ความจริงเป็นหลักเกณฑ์ในการแยกแยะว่าพวกเขาเป็นคนเช่นไร จากนั้นจึงปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรมที่สอดคล้องกัน  เรื่องก็ง่ายเช่นนี้เอง  ถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง ก็จงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนั้น ถ้าพวกเขาเอาจริงเอาจังในการไล่ตามเสาะหา พลีอุทิศ และสละตน เช่นนั้นแล้วก็จงปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยใจจริง  ถ้าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน อยากมีชีวิตของตัวเองเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิง แต่ในฐานะผู้ไม่มีความเชื่อ  เวลามองผู้คน เจ้าควรดูว่าพวกเขาเป็นคนเช่นไร ดูอุปนิสัย ความเป็นมนุษย์ และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง  ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง ก็จงปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง ในฐานะครอบครัว  ถ้าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ดี และพวกเขาดีแต่ใช้ปากพูดว่าเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง มีความสามารถที่จะเสวนาเรื่องคำสอน แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะที่เป็นเพียงคนออกแรงทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ครอบครัว  หลักธรรมเหล่านี้บอกสิ่งใดแก่เจ้า?  บอกหลักธรรมที่ใช้ปฏิบัติต่อผู้คนต่างจำพวกกันแก่เจ้า—นี่คือหลักธรรมที่พวกเรามักจะเสวนากัน กล่าวคือ เป็นการปฏิบัติต่อผู้คนด้วยปัญญา  ปัญญาเป็นศัพท์ทั่วไป แต่ถ้ากล่าวให้เจาะจงลงไป คำนี้หมายถึงการมีวิธีการและหลักธรรมที่แน่ชัดสำหรับติดต่อเจรจากับผู้คนต่างชนิดกัน—ซึ่งเป็นไปตามความจริงทั้งสิ้น ไม่ใช่ตามความรู้สึกส่วนตัว ความชอบส่วนตัว ทัศนะส่วนตัว ตามข้อได้เปรียบและเสียเปรียบที่ผู้คนแจ้งให้เจ้ารู้ หรือตามวัยของพวกเขา แต่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ในการติดต่อเจรจากับผู้คน เจ้าไม่จำเป็นต้องระวังตัวกับผู้อื่นหรือตรวจสอบว่าเจ้ามีเจตนาที่จะทำร้ายผู้อื่นหรือไม่  ถ้าเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนด้วยหลักธรรมและวิธีการที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า ก็จะหลีกเลี่ยงการทดลองทั้งปวงได้ และไม่ตกอยู่ในการทดลองหรือความขัดแย้งอันใด  เรื่องก็ง่ายเช่นนี้  หลักธรรมข้อนี้ยังเหมาะกับการดำรงชีวิตในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ  เวลาเจ้าพบเจอใครบางคน เจ้าย่อมจะคิดว่า “เขาเป็นคนชั่ว เป็นมาร เป็นปีศาจ เป็นโจร หรือคนพาล  ฉันไม่จำเป็นต้องระวังตัวกับเขา ฉันจะไม่สนใจเขาหรือยั่วยุเขา  ถ้าจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กันเพราะงาน เช่นนั้นแล้วฉันก็จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยในลักษณะที่เป็นทางการและเป็นกลาง  หากไม่จำเป็น ฉันก็จะหลีกเลี่ยงการติดต่อหรือสมาคมด้วย และจะไม่ปกป้องหรือประจบประแจงเขา  เขาจะไม่สามารถหาเรื่องตำหนิฉันได้  ถ้าเขาอยากรังแกฉัน ฉันก็มีพระเจ้า  ฉันจะพึ่งพาพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เขารังแกฉัน ฉันก็จะน้อมรับและนบนอบ  ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเปิดโอกาส เขาก็จะไม่สามารถทำร้ายแม้เส้นผมบนหัวฉันได้”  นี่คือความเชื่อที่แท้จริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าต้องมีความเชื่อที่แท้จริงเช่นนี้และไม่กลัวเขา  จงอย่าพูดว่าเขาเป็นเพียงอันธพาลท้องถิ่นหรือแมลงหวี่แมลงวันเท่านั้น เพราะแม้ในยามที่เผชิญหน้าพญานาคใหญ่สีแดง พวกเราก็ยึดปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้  ถ้าพญานาคใหญ่สีแดงห้ามเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะใช้เหตุผลกับมันหรือไม่?  เจ้าจะประกาศให้มันฟังหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ทำ?  (การประกาศให้มันฟังย่อมไร้ประโยชน์)  มันก็คือมารตนหนึ่ง ไม่คู่ควรที่จะฟังคำเทศนา  ต้องไม่มีการโยนไข่มุกให้สุกร  ความจริงไม่ได้มีไว้กล่าวแก่สัตว์เดรัจฉานหรือหมู่มาร แต่หมายให้มนุษย์ฟัง  ต่อให้มารหรือสัตว์เดรัจฉานสามารถเข้าใจได้ ก็จะไม่มีการประกาศความจริงแก่พวกมัน  พวกมันไม่คู่ควร!  หลักธรรมนี้เป็นเช่นไร?  (ดี)  เจ้าปฏิบัติอย่างไรต่อคนที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดี คนชั่ว คนเลอะเลือน และคนพาลที่ไร้เหตุผลในคริสตจักร หรือคนในสังคมที่มีอำนาจบางอย่าง มาจากครอบครัวที่ใหญ่โต หรือมีความโดดเด่นบางอย่าง?  จงปฏิบัติต่อพวกเขาตามที่ควรปฏิบัติด้วย  ถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง ก็คบหาสมาคมกับพวกเขา  ถ้าไม่ใช่ ก็เฉยเสียและปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้ไม่เชื่อ  ถ้าพวกเขามีลักษณะตามหลักธรรมของการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ก็จงแบ่งปันกับพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้รับข่าวประเสริฐ ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าพบปะหรือสมาคมกับพวกเขา  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้น  กับหมู่มารและเหล่าซาตาน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องคอยระวังตัว หาหลักฐานเอาผิดพวกเขา หรือแก้แค้น  เพียงเมินพวกเขาก็พอ  อย่าไปยั่วยุ และอย่าสมาคมกับพวกเขา  ถ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์หรือติดต่อเจรจากับพวกเขาได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง เช่นนั้นแล้วก็จงจัดการเรื่องราวในลักษณะที่เป็นทางการ เป็นกลาง และเป็นไปตามหลักธรรม  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้น  หลักธรรมและวิธีการที่พระเจ้าทรงสอนให้ผู้คนใช้กระทำการและประพฤติตน ย่อมช่วยให้เจ้าวางตนได้อย่างมีศักดิ์ศรี เปิดโอกาสให้เจ้าใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ  ส่วนวิถีทางที่พ่อแม่สอนเจ้านั้น แม้ภายนอกจะดูเหมือนปกป้องและคอยเฝ้าระวังให้เจ้า แต่แท้จริงแล้วกลับชักพาให้เจ้าหลงผิดและผลักเจ้าลงสู่หุบเหวของความทุกข์  สิ่งที่พวกเขาสอนไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องหรือแนวทางของการวางตนที่มีปัญญา แต่เป็นหนทางที่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกและน่าดูหมิ่นซึ่งสวนทางและไม่เชื่อมโยงกับความจริง  ดังนั้นถ้าเจ้ายอมรับแต่ความคิดที่พ่อแม่สร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวเจ้าเท่านั้น เจ้าก็จะยอมรับความจริงได้ยากและลำบาก และการปฏิบัติความจริงก็จะกลายเป็นเรื่องท้าทาย  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ามีใจที่จะปล่อยมือจากความคิดเกี่ยวกับการวางตนและหลักคิดในการดำรงชีวิตทางโลกที่มาจากครอบครัวของเจ้าอย่างแท้จริง การยอมรับความจริงก็จะง่ายขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติความจริงด้วย

ในส่วนของการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวนั้น นอกจากความคิดและมุมมองที่พวกเราเอ่ยถึงไปแล้ว ยังมีสิ่งอื่นอีกหรือไม่?  ขอจงสรุปความมาเถิด  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มาจากครอบครัว และในประเทศจีน ผู้คนก็เรียกการนี้ว่า “วัฒนธรรมโต๊ะกินข้าว”  ยกตัวอย่างที่โต๊ะกินข้าว เด็กคนหนึ่งอาจพูดว่า “หัวหน้าห้องของผม เด็กผู้หญิงที่แขนเสื้อมีแถบสามแถบคนนั้นคอยตรวจการบ้านของผมเสมอ แล้วก็พูดว่าผมทำไม่เสร็จ แม้ว่าผมจะทำเสร็จแล้ว  เธอหาเรื่องผมอยู่เรื่อย”  พ่อแม่ก็อาจจะตอบว่า “ลูกเป็นเด็กผู้ชาย ส่วนเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง  จะสนใจเธอทำไม?  ตั้งใจเล่าเรียนและทำให้แม่ของลูกภาคภูมิใจเถิด  พอลูกได้เป็นหัวหน้าห้อง ก็จะสามารถตรวจการบ้านของเธอได้ เท่านั้นก็จบเรื่องไม่ใช่หรือ?”  เมื่อได้ยินดังนี้ เด็กก็อาจจะคิดว่า “เข้าใจแล้ว  ฉันเป็นเด็กผู้ชาย และต่อให้เธอคนนั้นเป็นหัวหน้าห้อง เธอก็ยังคงเป็นเด็กผู้หญิง  ฉันไม่ควรสนใจเรื่องของเธอ  ถ้าเธอเริ่มก่อกวนฉันอีก ฉันจะเฉยเสียและเรื่องย่อมจะจบลงตรงนั้น  ยิ่งเธอก่อกวน ฉันก็จะยิ่งตั้งใจเรียน  ฉันจะเก่งกว่าเธอ แล้วพอขึ้นเทอมหน้า ฉันก็จะได้เป็นหัวหน้าห้องและคอยคุมเธอบ้าง  แบบนั้นก็น่าจะหมดเรื่อง”  นี่คือตัวอย่างของวัฒนธรรมโต๊ะกินข้าว  ที่โต๊ะกินข้าว ถ้าเด็กชายเริ่มร้องไห้ พ่อแม่ก็อาจจะพูดว่า “กลั้นเอาไว้!  จะร้องไห้ทำไม?  ไม่ได้ความ!”  การร้องไห้แปลว่าเจ้าไม่ได้ความกระนั้นหรือ?  นั่นหมายความว่าผู้คนที่ไม่ร้องไห้มีอนาคตสดใสกระนั้นหรือ?  เด็กผู้ชายทุกคนที่ไม่เคยร้องไห้เป็นคนที่มีอนาคตสดใสใช่หรือไม่?  จงดูผู้คนที่มีแววรุ่งและมาแรงเถิด—ตอนเป็นเด็ก พวกเขาร้องไห้มีน้ำตากันบ้างหรือไม่?  พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกกันหรือไม่?  มีประสบการณ์เป็นความร่าเริง ความโกรธ ความเศร้าเสียใจ และความสุขกันหรือไม่?  พวกเขามีประสบการณ์กับทั้งหมดนี้  ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงเด่นดังหรือคนธรรมดาทั่วไป ทุกคนย่อมมีด้านที่เปราะบางของมนุษย์หรือสัญชาตญาณมนุษย์  เนื่องจากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่และภูมิหลังทางสังคม ผู้คนจึงมักจะเข้าใจไปว่าด้านนี้อ่อนแอ ขลาด ไม่มีความสามารถ หรือถูกรังแกได้ง่าย  พวกเขาจึงไม่เคยกล้าเผยด้านนี้ให้เห็นโดยตรง กลับแสดงออกอยู่ลับๆ ตามหลืบมุม  บุคคลสำคัญบางคนเวลาเผชิญห้วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในอาชีพการงานของตน ไม่มีคนช่วยเหลือหรือสนับสนุน ก็อาจจะรอจนทหาร บริวาร และคนรับใช้รอบตัวพากันถอยไปหมด  จากนั้นจึงระบายอารมณ์ด้วยการร้องโหยหวนเหมือนสุนัขป่าอยู่ในอ่างอาบน้ำ  หลังจากร้องตะโกนเสร็จ พวกเขาก็คิดขึ้นมาว่า “มีใครได้ยินหรือเปล่า?  ฉันปล่อยตัวมากไปไหม?  ฉันควรเพลาลงหน่อย!”  แต่พอเพลาลงแล้วก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ พวกเขาจึงเอาผ้าขนหนูปิดปากและร้องโหยหวนเหมือนสุนัขป่าต่อไป  ความเป็นมนุษย์ที่ปกติต้องมีการปลดปล่อยและแสดงอารมณ์ต่างๆ ออกมา  อย่างไรก็ดี ภายใต้ความกดดันอย่างหนักจากสังคมนี้และการกดขี่จากความคิดเห็นนานาของผู้คนส่วนใหญ่ ย่อมไม่มีใครกล้าแสดงอารมณ์ของตนออกมาตามปกติ  เพราะเมื่อเริ่มต้นจากคำสอนและการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว ทุกคนจึงถูกปลูกฝังความเชื่อบางอย่างที่ผิด เช่น “ผู้ชายควรพึ่งพาตนเองได้” “การจะหลอมเหล็กนั้น คนเราต้องแข็งแกร่ง” “ถ้าซื่อตรงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องข่าวลือ” และ “ถ้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน ก็ไม่ต้องกลัวภูติผีมาเคาะประตู”  ยังมีคำกล่าวด้วยว่า “คนดีถูกกลั่นแกล้ง เหมือนม้าเชื่องถูกใช้ขี่” ซึ่งถ่ายทอดสาระว่าคนเราควรหลีกเลี่ยงการเป็นเป้านิ่ง แต่ควรรังแกคนอื่นแทน  คำว่า “ดี” ในบริบทที่ว่า “คนดีถูกกลั่นแกล้ง เหมือนม้าเชื่องถูกใช้ขี่” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าไร้เล่ห์มารยา เรียบง่าย จงรักภักดี มีเมตตา และซื่อตรง  กล่าวคือ เป็นการเสนอแนะว่าเจ้าควรหลีกเลี่ยงการเป็นคนประเภทนี้ เพราะคนเช่นนี้คือเป้าที่โจมตีได้ง่าย  แล้วเจ้าควรเป็นคนแบบใดแทน?  เจ้าควรเป็นนักเลงโต เป็นคนพาล คนเลว คนร้าย คนชั่ว เป็นนักเลงหัวไม้—เช่นนั้นก็จะไม่มีใครกล้าวุ่นวายกับเจ้า  ไม่ว่าจะไปที่ใด ถ้าใช้เหตุผลไม่ได้ เจ้าก็ต้องทำตัวเป็นคนเลว สามารถอาละวาด โวยวาย ไร้เหตุผล และสร้างความโกลาหลได้  ผู้คนที่ประพฤติตัวเช่นนี้กลับเจริญก้าวหน้า  ในที่ทำงานหรือกลุ่มใดๆ ในสังคม ผู้คนส่วนใหญ่กลัวคนแบบนี้ และไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขา  พวกเขาเหมือนมูลสุนัขที่ส่งกลิ่นหรือแมลงที่น่ารำคาญ และเมื่อเจ้ามีสิ่งเหล่านี้มาเกาะ ก็ยากที่จะสะบัดทิ้ง  เจ้าจำต้องกลายเป็นคนแบบนี้  อย่ายอมให้ผู้คนนึกว่าเจ้าเป็นเป้านิ่งหรือยั่วยุได้ง่าย  เจ้าควรมีหนามอยู่ทั่วร่าง  ถ้าเจ้าไม่มีหนามเลย เจ้าก็จะไม่สามารถตั้งตัวในสังคมนี้ได้  จะมีคนคอยกลั่นแกล้งเจ้าอยู่เสมอ  การอบรมสั่งสอนในครอบครัวทำหน้าที่ชี้นำเส้นทางชีวิตให้แก่เจ้า รวมทั้งเป็นคำสอนจำเพาะและเป็นการปลูกฝังหลักคิดว่าเจ้าควรวางตนอย่างไรอีกด้วย  นั่นคือ พ่อแม่ใช้ความคิดและคำกล่าวเหล่านี้มาอบรมสั่งสอนเจ้าว่าควรวางตน ประพฤติตัว และจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไร  พวกเขาบอกเจ้าว่าให้เป็นคนเช่นไร?  ภายนอกแล้ว พ่อแม่บางคนอาจกล่าวอะไรที่ฟังดูดี เช่น “ลูกของฉันไม่จำเป็นต้องมีความสำคัญหรือกลายเป็นคนดังหรอก เป็นคนดีก็พอแล้ว”  อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กล่าวสำนวนให้ลูกๆ ของตนฟังไปด้วย เช่น “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน” “คนดีถูกกลั่นแกล้ง เหมือนม้าเชื่องถูกใช้ขี่” และ “ผู้ชายควรพึ่งพาตนเองได้”  ดังนั้น หลังจากพูดคุยกันไปมากมาย พวกเขากำลังบอกลูกๆ ของตนให้เป็นคนดีหรือเป็นอย่างอื่น?  (พวกเขาส่งเสริมให้ลูกๆ ทำตัวดุดัน หรืออย่างน้อยก็สามารถปกป้องตัวเองได้)  บอกเราเถิดว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่เต็มใจที่จะเห็นลูกๆ ของตนรังแกผู้อื่นหรืออยากเห็นลูกๆ เป็นคนที่ซื่อตรงเป็นพิเศษและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่กลับถูกกลั่นแกล้งอยู่เนืองๆ และถูกผลักไสอยู่บ้าง?  ลูกควรเป็นคนแบบใดจึงจะทำให้พ่อแม่ของตนมีความสุขที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด และทำให้ใบหน้าของพ่อแม่สว่างไสวที่สุด?  (พ่อแม่รู้สึกภาคภูมิใจเมื่อลูกๆ สามารถรังแกคนอื่นได้ แต่ถ้าลูกๆ มักจะถูกกระทำเวลาเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขากลับมองว่าน่าอับอาย)  ถ้าเจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ถูกกระทำอยู่เนืองๆ พ่อแม่ของเจ้าจะรู้สึกเศร้า เสียใจ ปวดใจ และไม่ยินยอมพร้อมใจให้เกิดขึ้น  มูลเหตุของเรื่องนี้คืออะไร?  ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเช่นใด ทุกความคิดและมุมมองที่พ่อแม่ใช้สอนลูกๆ ว่าควรวางตนและกระทำการอย่างไร ก็ล้วนไม่ถูกต้องและสวนทางกับความจริงทั้งสิ้น  สรุปแล้ว ความคิดและมุมมองที่พ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้านี้จะไม่มีวันพาเจ้าไปสู่การสถิตของพระเจ้า และจะไม่ชี้นำให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่าผู้คนจะไม่มีวันได้รับความรอดภายใต้การชี้นำของความคิดและมุมมองดังกล่าว  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้  ดังนั้น ไม่ว่าเจตนาหรือแรงจูงใจของพ่อแม่ของเจ้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าพวกเขาจะมีอิทธิพลเช่นใดต่อเจ้า ถ้าสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตสวนทางกับความจริง ต่อต้านความจริง และขัดขวางไม่ให้เจ้านบนอบพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปล่อยมันไป

สำหรับความคิดต่างๆ ที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว ซึ่งก่อให้เกิดสามัคคีธรรมสองสามวาระที่ผ่านมา แม้จะมีการใช้และส่งเสริมความคิดเหล่านี้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้คน แต่ไม่ว่าจะมีการยอมรับในวงกว้างเพียงใดหรือมีกี่คนโอบรับความคิดเหล่านี้ และไม่ว่าผู้คนจะพึ่งพาความคิดเหล่านี้กันมากเพียงใด เมื่อคำนึงถึงภัยที่มันนำมาให้ผู้คนแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนจะต้องปล่อยมือจากความคิดและมุมมองเหล่านี้  พวกเขาต้องเผชิญหน้าหรือตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดและมุมมองเหล่านี้ดูใหม่ ค้นหาเส้นทางปฏิบัติและหลักธรรมความจริงที่ถูกต้องในพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงภายใต้หลักการเบื้องต้นของการปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดเช่นนี้ และเพราะเหตุนี้จึงมีความหวังที่จะได้รับความรอด  ตลอดวาระเหล่านี้ของสามัคคีธรรมเรื่องความคิด มุมมอง และคำกล่าวจำเพาะนานาที่ครอบครัวใช้สร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวเจ้า เราเกิดความสงสัยว่าพวกเจ้าตระหนักรู้ความคิดและมุมมองต่างๆ ที่มีอยู่ลึกๆ ในดวงจิตของพวกเจ้ากันมากน้อยเพียงใด  สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด วาระของการสามัคคีธรรมเหล่านี้ก็ควรทำหน้าที่เป็นเครื่องปลุกให้ผู้คนเกิดความเข้าใจใหม่ๆ ในเรื่องของครอบครัว รวมทั้งความเข้าใจและการตระหนักรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการสร้างเงื่อนไขโดยญาติพี่น้องในครอบครัว ความคิดในครอบครัว และวัฒนธรรมครอบครัว มอบวิธีรับมือใหม่ๆ และทำให้สามารถใช้มุมมองและจุดยืนที่ถูกต้องว่าพวกเขาควรมีท่าทีต่อครอบครัวของตนอย่างไร  ไม่ว่าภายนอกเจ้าจะมีท่าทีเช่นไรต่อครอบครัว สรุปแล้ว ในส่วนของความคิดและมุมมองที่ผิดซึ่งครอบครัวใช้ครอบงำเจ้าว่าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และกระทำการอย่างไรนั้น เจ้าควรใช้วิจารณญาณแยะแยะไปทีละเรื่อง จากนั้นจึงปล่อยมือจากความคิดเหล่านี้ไปทีละอย่าง เพื่อที่จะมีความเข้าใจอันถ่องแท้ไว้โอบรับมุมมองและวิธีการที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน ยอมรับมุมมองและวิธีการต่างๆ ที่ถูกต้องซึ่งพระเจ้าทรงถ่ายทอดแก่ผู้คนว่าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตน และกระทำการอย่างไร  นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ควรทำ

ความคิดและมุมมองที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนก็คือ พวกเขาควรดุดันและใช้วิธีการต่างๆ ปกป้องตัวเอง  เมื่อพิจารณาว่าผู้คนปกป้องผลประโยชน์ เนื้อหนัง และความปลอดภัยส่วนตัวกันอย่างไรหลังจากที่ได้ลู่ทางและวิธีการดำรงชีวิตทางโลกมาจากการสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดและมุมมองต่างๆ แล้ว จุดประสงค์ขั้นต้นเบื้องหลังการที่ครอบครัวปลูกฝังความคิดเหล่านี้คืออะไร?  คือการปกป้องผู้คนจากการถูกรังแก  คราวนี้พวกเรามาตรวจดูแก่นแท้ของการถูกรังแกกันบ้าง  การถูกรังแกใช่เรื่องดีหรือไม่?  หลีกเลี่ยงได้หรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่มีชีวิตอยู่แล้วไม่เคยถูกรังแก?  การถูกรังแกพ่วงเอาอะไรมาด้วย?  นอกจากหวังให้ลูกๆ ของตนสามารถทำตัวเข้ากับสังคมและตั้งตัวได้ตามปกติแล้ว พ่อแม่ยังหวาดกลัวอย่างต่อเนื่องว่าลูกๆ ของตนจะถูกรังแก  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ของเจ้าจึงมักจะแบ่งปันเคล็ดลับและวิธีการบางอย่างในการดำรงชีวิตทางโลกกับเจ้า ใช้วิธีการเหล่านี้ปกป้องเจ้าและป้องกันไม่ให้เจ้าถูกรังแก  ด้วยเหตุที่พ่อแม่ของเจ้าไม่สามารถอยู่เคียงข้างหรือปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา เมื่อเจ้าสยายปีกและต้องออกบินไปด้วยตนเอง พวกเขาจึงมอบความคิดและมุมมองบางอย่างให้เจ้ามีติดตัวเอาไว้เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเจ้าจะไม่ถูกรังแก  ความคิดและมุมมองเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  พวกเจ้ากลัวการถูกรังแกหรือไม่?  พวกเจ้ามีความคิดและมุมมองดังนี้ว่า “เมื่อฉันเข้าสังคมและเข้ากลุ่มต่างๆ ในสังคมแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ ฉันกลัวว่าตัวเองจะถูกรังแก—นี่คือเรื่องที่ทำให้ฉันกังวลมากที่สุด  ถ้าฉันพบเจอคนที่ค่อนข้างทัดเทียมกับตนเอง ฉันก็ยังสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้  แต่ถ้าเจอคนที่ดุดันกว่า ฉันย่อมจะไม่กล้าขัดขืน  มีแต่จะยอมรับการกลั่นแกล้งที่มาถึงตัวไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม  ฉันย่อมจะทำอะไรไม่ได้เลย  พวกเขามีคนหนุนหลังและมีผู้คนอยู่หลังฉาก ฉันเลยต้องสู้ทนเอาไว้”  นี่คือความคิดและมุมมองที่ผู้คนส่วนใหญ่มีมิใช่หรือ?  (ข้าพระองค์เคยมีมุมมองเช่นนั้น  หลังจากที่มีความเชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์ก็เริ่มเข้ากับพี่น้องชายหญิงได้อย่างกลมเกลียว  เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ ต่อให้เผชิญการกลั่นแกล้งและข่มเหง ข้าพระองค์ก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต และมีบทเรียนที่ข้าพระองค์ต้องเรียนรู้  ดังนั้นข้าพระองค์จึงกลัวน้อยลงและเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นแทน)  คนแบบใดหวาดกลัวเป็นพิเศษ?  (คนที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า)  นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีคนที่ขลาดอายเป็นพิเศษ เก็บตัว และไม่ค่อยยอมรับนับถือตนเอง อ่อนแอและไร้เรี่ยวแรง มีร่างกายไม่ค่อยน่ามองหรือเตี้ยกว่า มาจากภูมิหลังที่ยากไร้—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกเยาะหยันหรือเลือกปฏิบัติเพราะภูมิหลังทางครอบครัว—มีสถานะทางสังคมต่ำต้อย ไร้ทักษะหรือความเชี่ยวชาญ เป็นกรรมกรใช้แรงงาน รวมทั้งคนที่ร่างกายพิการ และอื่นๆ  ผู้คนทั้งหมดนี้ถูกรังแกได้ง่ายกว่าและกลัวการถูกกลั่นแกล้ง  การกลั่นแกล้งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมหรือไม่?  (เป็น)  ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น  การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นได้อย่างไร?  (เพราะหลังจากที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นคนที่ชั่วมาก อยากรังแกคนอื่น แต่ไม่อยากถูกรังแกเสียเอง  ดังนั้นกรณีของการกดขี่เหล่านี้จึงเกิดขึ้นทุกที่)  นี่คือแง่หนึ่ง  บางคนไม่อยากถูกผู้อื่นรังแก ดังนั้นพวกเขาจึงชิงลงมือก่อน รังแกผู้อื่นก่อน และข่มขวัญผู้คนเหล่านั้น จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกตน  ที่จริงแล้ว ลึกลงไปพวกเขาไม่อยากวางตนเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับพวกเขาเช่นกัน  เวลาเจ้าชกคนอื่นล้ม เจ้าก็เหนื่อยไปด้วยมิใช่หรือ?  มีคำกล่าวว่า “สังหารศัตรูพันคน สูญเสียกำลังพลแปดร้อย”  จงดูเม่นแคระเป็นตัวอย่างเถิด หลังจากที่เม่นสลัดขน ระบบประสาทของมันย่อมเหนื่อยล้ามิใช่หรือ?  เวลามันสลัดขนปักผู้คน มันย่อมทำร้ายพวกเขา และตัวมันก็เหนื่อยเช่นกัน  แล้วเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้นถ้าทำแล้วเหนื่อยนัก?  ก็เพื่อรักษาตัวรอด—เม่นแคระต้องใช้ความพยายามบ้างเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง  ด้วยเหตุที่โลกชั่วใบนี้ขาดหลักธรรมที่เป็นบวกหรือถูกต้องในการปฏิบัติต่อผู้คนที่หลากหลาย และผู้คนก็ถูกจัดประเภทตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของซาตานและลำดับชั้นทางสังคม ความแตกต่างและลำดับชั้นในหมู่ผู้คนจึงเกิดขึ้นตามหลักคิดและหลักเกณฑ์ของการแบ่งแยกอย่างไม่เสมอภาคนี้  เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้คนจึงไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างยุติธรรมและปรองดอง  พวกเขาแข่งกันเพื่อให้ตัวเองอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เป็นที่สุดของที่สุด  คนที่อยู่บนสุดสามารถทำตัวเหนือกว่าผู้อื่น รังแกและควบคุมผู้อื่นได้ตามใจชอบ  ด้วยเหตุที่สังคมนี้ไม่ยุติธรรม หลักคิดในการปฏิบัติต่อผู้คนจึงไม่ยุติธรรม  ดังนั้นก็แน่นอนว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนย่อมไม่มีความกลมเกลียว หลักคิด วิธีการ และช่องทางที่ผู้คนใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กันก็ล้วนไม่ยุติธรรม  ความไม่ยุติธรรมนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อผู้คนที่ชอบเปรียบเทียบอำนาจ ภูมิหลังทางครอบครัว ทักษะ ความสามารถ รูปลักษณ์ทางกาย ความสูง ตลอดจนชั้นเชิง อุบาย และกลยุทธ์ต่างๆ  ทั้งหมดนี้มาจากไหน?  ไม่ได้มาจากความจริงหรือพระเจ้า—ทั้งหมดนี้มาจากซาตาน  สิ่งที่มาจากซาตานนี้ถูกปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คน และพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันตามสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น เจ้าคิดว่าผู้คนจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร?  พวกเขาจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรมหรือไม่?  (ไม่)  แน่นอนว่าไม่  แม้แต่หลักการเลือกตั้งที่เรียบง่ายที่สุดในพระนิเวศของพระเจ้า สามารถใช้การได้ในโลกชั่วที่ซาตานครอบงำอยู่หรือไม่?  (ไม่ได้)  สาเหตุที่ใช้งานไม่ได้นี้มีแก่นแท้ว่าอย่างไร?  ก็คือโลกชั่วใบนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วยความจริง กลับถูกกำกับดูแลด้วยกระแสนิยมอันชั่ว รวมทั้งแนวคิดต่างๆ และปรัชญาของซาตาน  ดังนั้น ความเป็นไปได้จึงมีเพียงผู้คนรังแกกันและควบคุมกันเท่านั้น—นี่คือสภาพการณ์เพียงอย่างเดียวที่เป็นไปได้  การที่จะหลีกเลี่ยงการกลั่นแกล้งกันจึงเป็นไปไม่ได้—เรื่องนี้ปกติทีเดียว  ด้วยเหตุที่โลกไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองด้วยความจริง ในโลกชั่วใบนี้เมื่อผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน ถ้าเจ้าไม่ใช่คนที่รังแกผู้อื่น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมถูกรังแกเสียเอง  บทบาทของเจ้ามีได้เพียงสองอย่างนี้เท่านั้น  ในความเป็นจริง ทุกคนทั้งรังแกผู้อื่นและถูกรังแก  นี่เป็นเพราะมีผู้คนที่อยู่เหนือเจ้าและอยู่ใต้เจ้าเสมอ  เจ้ารังแกผู้อื่นก็เพราะเจ้ามีสถานะสูงกว่าพวกเขา แต่ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เจ้ารังแกพวกเขา ก็มีผู้คนที่มีสถานะและมีที่ยืนสูงกว่าเจ้าอีก และคนเหล่านี้ย่อมจะรังแกเจ้า และเจ้าก็จำต้องสู้ทนการรังแกของพวกเขา  ชนชั้นหนึ่งๆ รังแกชนอีกชั้นหนึ่ง นี่คือสัมพันธภาพระหว่างผู้คน เป็นสัมพันธภาพของการรังแกและถูกรังแก  นี่คือสัมพันธภาพอย่างเดียวที่มีอยู่  ไม่มีความรักใคร่เอ็นดูที่แท้จริงในครอบครัว ไม่มีความรัก ไม่มีการผ่อนปรน ไม่มีความอดทน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเที่ยงธรรมและยุติธรรมตามหลักธรรม  เนื่องจากโลกนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วยความจริง แต่โดยซาตาน สัมพันธภาพที่ก่อเกิดระหว่างผู้คนจึงเป็นได้เพียงสัมพันธภาพของการรังแกและการถูกรังแก ของการใช้และการถูกใช้เท่านั้น  เรื่องนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีใครหนีพ้น  เจ้าอาจกล่าวว่าเจ้าเป็นนายใหญ่ของโลกใต้ดิน มีลูกน้องและสมุนอยู่มากมาย ซึ่งเจ้าก็รังแกและควบคุมทุกคน  แต่แม้กระทั่งนายใหญ่ของโลกใต้ดินก็มีคนที่เหนือกว่า และยังมีรัฐบาลอีกด้วย  แม้จะมีการกล่าวว่าเจ้าหน้าที่และโจรผู้ร้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่บางครั้งรัฐบาลก็จงใจหาเรื่อง หาอำนาจต่อรอง และจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าหลุดรอดไปได้  เจ้าจะต้องจ่ายเงินก้อนหนึ่งที่สถานีตำรวจและทำตัวสนิทชิดเชื้อกับพวกเขา  เจ้าดูเอาเถิด แม้นายใหญ่ของโลกใต้ดินจะดูยิ่งใหญ่ แต่เวลาพวกเขาไปที่สถานีตำรวจ พวกเขาก็ยังต้องทำตัวพินอบพิเทา—ไม่กล้าโอหัง  ดังคำกล่าวของผู้ไม่มีความเชื่อที่ว่า “บาทหลวงปีนเสาต้นเดียว ส่วนมารปีนสิบ” และ “มีปลาตัวใหญ่กว่าเสมอ”  นี่หมายความว่าทุกคนล้วนรังแกผู้อื่นและถูกรังแก และนี่ก็คือแก่นแท้และปรากฏการณ์ของการรังแก

ในเรื่องการรังแกนั้น ในเมื่อเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ คนคนหนึ่งควรรับมืออย่างไร?  ในคริสตจักร แม้เจ้าจะไม่กลัวการถูกรังแก แต่มีเรื่องเช่นนี้อยู่หรือไม่?  สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่?  เวลาเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าอาจถูกพวกเขารังแก  แล้วนี่ก็เกิดขึ้นในคริสตจักรมิใช่หรือ?  (ใช่)  มีเรื่องนี้เกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไปเพราะทุกคนล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  ก่อนที่ผู้คนจะได้รับความรอด พวกเขามักจะเผยความเสื่อมทรามออกมา และแง่มุมหนึ่งของการเผยความเสื่อมทรามออกมานี้ก็คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นตามใจชอบ ไม่ติดต่อเจรจากับพวกเขาอย่างยุติธรรม  เมื่อเกิดการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรม การรังแกและการถูกรังแกก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย  ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และผู้คนก็ไม่อาจหนีพ้นหรือหลีกเลี่ยงได้  หลักธรรมที่ถูกต้องของการรับมือและจัดการเรื่องนี้มีว่าอย่างไร?  (ตามพระวจนะของพระเจ้า ตามหลักธรรม)  ทางทฤษฎีกล่าวไว้เช่นนั้น  แล้วอะไรคือหนทางจำเพาะของการปฏิบัติเช่นนั้น?  เจ้าเข้าใจเรื่องของการรังแกและการถูกรังแกว่าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเขียนจดหมายรายงานปัญหาของผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่ง แล้วผู้นำเทียมเท็จคนนั้นก็อยากรังแกเจ้าโดยกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่ทำตัวดีๆ ถ้าคุณยังคงรายงานปัญหาของฉันต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไป ฟ้องเรื่องของฉัน หรือเขียนประเมินฉันในทางลบ ฉันจะฆ่าคุณเสีย!  ฉันมีอำนาจที่จะขับไล่คุณ  คุณไม่กลัวหรือไร?”  เจ้าจะรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร?  พวกเขากำลังข่มขู่เจ้า กล่าวให้เจาะจงก็คือพวกเขากำลังรังแกเจ้า  พวกเขามีอำนาจ และเจ้าก็เป็นผู้เชื่อทั่วไปคนหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาจึงทรมานเจ้าตามอำเภอใจโดยไร้ซึ่งหลักธรรมหรือบรรทัดฐาน  พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าด้วยวิธีที่ซาตานทำกับผู้คน  กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ พวกเขากำลังรังแกเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาพยายามทรมานเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เจ้าจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  เจ้าจะยอมประนีประนอมหรือจะยืนหยัดตามหลักธรรม?  (ยืนหยัดตามหลักธรรม)  ในทางทฤษฎีแล้ว ผู้คนควรยืนหยัดตามหลักธรรมและไม่กลัวเกรงผู้นำเทียมเท็จคนนี้  หลักการในเรื่องนี้มีว่าอย่างไร?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ควรกลัวเกรงพวกเขา?  ถ้าพวกเขาขับไล่เจ้าจริง เจ้าจะหวาดกลัวหรือไม่?  ด้วยเหตุที่พวกเขาสามารถขับไล่เจ้าได้จริง เจ้าก็อาจจะไม่กล้ายืนหยัดตามหลักธรรม และอาจจะหวั่นกลัว  เรื่องนี้ติดขัดที่ตรงไหน?  เจ้าหวั่นกลัวได้อย่างไร?  (เพราะข้าพระองค์ไม่เชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ภายใต้การปกครองของความจริง)  นั่นคือแง่หนึ่ง  เจ้าจำเป็นต้องมีความเชื่อนี้และกล่าวว่า “คุณเป็นคนชั่ว  อย่าคิดว่าเพียงเพราะคุณเป็นผู้นำในตอนนี้ คุณก็เลยมีอำนาจที่จะขับไล่ฉัน  การขับไล่ฉันย่อมผิด  ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้จะถูกเปิดโปง  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของคุณคนเดียวเท่านั้น  ถ้าคุณขับไล่ฉันในวันนี้ สุดท้ายแล้วคุณย่อมจะถูกลงโทษ  ถ้าคุณไม่เชื่อ แค่รอดูไปก็พอ  พระนิเวศของพระเจ้าปกครองด้วยความจริง โดยพระเจ้า  ผู้คนอาจลงโทษคุณไม่ได้ แต่พระเจ้าจะทรงเผยและกำจัดคุณออกไป  เมื่อความผิดที่คุณทำลงไปถูกเปิดโปง เมื่อนั้นคุณก็จะเผชิญการลงโทษ”  เจ้ามีความเชื่อดังนี้หรือไม่?  (มี)  เจ้ามีหรือ?  ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงพูดดังนี้ไม่ได้?  กลับดูเหมือนเจ้าจะมีภัยถ้าเจ้าเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าไม่มีความกล้าและไร้ความเชื่อที่แท้จริง  เวลาที่เจ้าเผชิญเรื่องเหล่านี้เข้าจริงๆ เวลาที่เจ้าเผชิญหน้าคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ดุร้ายเช่นนี้และมีวิธีการทรมานผู้คนเทียบได้กับพญานาคใหญ่สีแดง ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าจะเริ่มร้องไห้พลางพูดว่า “โอ ฉันด้อยวุฒิภาวะ ฉันขลาดกลัว ฉันกลัวปัญหาเสมอมา กลัวใบไม้จะร่วงใส่หัวตัวเองด้วยซ้ำ  ฉันหวังจริงๆ ว่าจะไม่ต้องเผชิญหน้าผู้คนพวกนั้น  ถ้าพวกเขารังแกฉัน แล้วฉันจะทำอย่างไร?”  พวกเขารังแกเจ้าอยู่กระนั้นหรือ?  พวกเขาไม่ได้รังแกเจ้า ซาตานต่างหากที่ทรมานเจ้าอยู่  เมื่อดูตามมุมมองของมนุษย์ เจ้าย่อมจะพูดว่า “คนคนนี้น่าเกรงขาม มีสถานะ รังแกผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยาและไม่มีสถานะ”  นี่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่?  ตามมุมมองของความจริง นี่ไม่ใช่การรังแก นี่คือการที่ซาตานทำให้ผู้คนทนทุกข์ ทรมานพวกเขา หลอกพวกเขา ทำให้พวกเขาเสื่อมทราม และเหยียบย่ำพวกเขา  เจ้าควรจัดการและรับมือการกระทำเหล่านี้ของซาตานอย่างไร?  เจ้าควรกลัวเกรงหรือไม่?  (ไม่ควร ข้าพระองค์ควรรายงานและเปิดโปงการกระทำเหล่านี้)  ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ควรกลัวเกรงการกระทำเหล่านี้  หากตอนนี้ไม่เหมาะที่จะรายงานเรื่องของพวกเขาและต่อกรกับพวกเขา เจ้าก็ควรสู้ทนพวกเขาไปชั่วคราวและหาเวลาที่เหมาะสมรายงานเรื่องของพวกเขาในภายหลัง  ถ้ามีคนที่มีวิจารณญาณเหมือนเจ้าอยู่ในหมู่พี่น้องชายหญิง พวกเจ้าก็ควรรวมตัวกันรายงานและเปิดโปงการกระทำอันชั่วของพวกเขา  ถ้าผู้อื่นไม่มีใครมีวิจารณญาณ และเมื่อเจ้าก้าวออกไปรายงานเรื่องของพวกเขา ทุกคนกลับปฏิเสธเจ้า ก็จงใช้ความอดทนไปก่อน  เมื่อมีผู้นำระดับสูงขึ้นไปมาที่คริสตจักรของพวกเจ้าเพื่อตรวจสอบและตามงาน จึงค่อยหาช่วงเวลาที่เหมาะสมรายงานเรื่องของพวกเขาต่อผู้นำเหล่านั้น ระบุความประพฤติชั่วของพวกเขาให้ละเอียดลออและชัดเจน แล้วปล่อยให้ผู้นำเหล่านั้นปลดพวกเขา  นี่จึงฉลาดมีปัญญาใช่หรือไม่?  (ใช่)  ด้านหนึ่ง เจ้าต้องมีความเชื่อและไม่กลัวคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ หรือซาตาน  อีกด้านหนึ่ง เจ้าก็ไม่ควรมองการกระทำที่พวกเขามีต่อเจ้าว่าเป็นเรื่องของคนคนหนึ่งรังแกอีกคน เจ้าควรมองเห็นว่าแก่นแท้ของเรื่องนี้คือการที่ซาตานหลอก ทรมาน และเหยียบย่ำผู้คน  จากนั้นเจ้าควรใช้ปัญญารับมือการทรมานของพวกเขาไปตามสถานการณ์ หาช่วงเวลาที่เหมาะสมเปิดโปงและรายงานเรื่องของพวกเขา พิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร  เจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานเช่นนี้ และนี่คือหน้าที่และภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะคนคนหนึ่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะรังแกเจ้าอย่างไรหรือปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเช่นไร ก็อย่ามองว่าเป็นการรังแก  นี่ไม่ใช่พวกเขารังแกเจ้า นี่คือการที่ซาตานหลอก เหยียบย่ำ และทรมานผู้คน  เวลาที่พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าจะพูดว่ามันรังแกเจ้ากระนั้นหรือ?  (ไม่)  มันไม่ได้รังแกเจ้า  เหตุใดมันจึงข่มเหงเจ้า?  (เพราะแก่นแท้ของมันคือการต้านทานพระเจ้า)  แก่นแท้ของมันคือการต้านทานพระเจ้า  มันมองพระเจ้าเป็นศัตรูและมองพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าเป็นตะปูทิ่มแทงดวงตาของมัน เป็นหนามยอกอกของมัน  มันมองประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรว่าเป็นศัตรูเช่นกัน  ถ้าเจ้าติดตามพระเจ้า มันก็จะเกลียดเจ้า เหมือนที่มีการกล่าวไว้ในพระคัมภีร์นั่นเองว่า “ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน” (ยอห์น 15:18)  พญานาคใหญ่สีแดงเกลียดชังผู้คน เกลียดชังพระเจ้า มองพระเจ้าเป็นศัตรู และยิ่งมองคนที่ติดตามพระเจ้าว่าเป็นศัตรูเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ปฏิบัติความจริง  นั่นคือสาเหตุที่มันอยากข่มเหงเจ้า สังหารเจ้า ขัดขวางไม่ให้เจ้าติดตามพระเจ้า ทำให้เจ้าบูชาและติดตามมัน และทำให้เจ้าสาปแช่งพระเจ้า  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันจะไม่สาปแช่งพระองค์”  เมื่อนั้นมันก็จะข่มขู่เจ้าว่า “ถ้าแกไม่สาปแช่งพระเจ้า แกก็ตาย!”  มันจะพยายามบีบให้เจ้าจำต้องกล่าวว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ดี” และเจ้าก็จะตอบว่า “ฉันจะไม่พูดเช่นนั้น”  จากนั้นมันก็จะบอกว่า “ถ้าแกไม่พูด ฉันก็จะทำให้แกเดือดร้อน ฉันจะทำและตอบโต้แกด้วยการทรมานอย่างโหดร้าย!”  นั่นใช่การรังแกเจ้าหรือไม่?  ไม่ใช่ นั่นคือการทารุณผู้คนของซาตาน  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (ข้าพระองค์เข้าใจ)  เวลารับมือเรื่องของการรังแก เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง  เวลาอยู่ในสังคมและในกลุ่มคน ถ้าเจ้าดูตามมุมมองของมนุษย์ ทุกคนย่อมมีบทบาททั้งเป็นคนรังแกและถูกรังแกเสียเอง  แต่ถ้าเจ้าดูจากมุมมองของความจริง เจ้าก็ไม่ควรเห็นเช่นนี้  พฤติกรรมที่ใครก็ตามอยากรังแกและควบคุมเจ้าไม่ได้มีแก่นแท้เป็นการรังแก  แต่เป็นการหลอก ทารุณ บงการ เหยียบย่ำ และทำให้เสื่อมทรามของซาตาน  กล่าวให้แน่ชัดก็คือ นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยวิธีการที่เป็นเหตุเป็นผลและมีมนุษยธรรม ไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างยุติธรรม แต่กลับรับมุมมองและจุดยืนของซาตานมาใช้ และใช้ความคิดของซาตานเป็นเครื่องชี้นำว่าควรปฏิบัติต่อเจ้า พูดคุยกับเจ้า และมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าอย่างไร  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าและคนชั่วคนหนึ่งพักห้องเดียวกัน  เจ้าไปถึงห้องก่อน ดังนั้นเจ้าก็ควรเลือกที่ที่เหมาะสมก่อน และเจ้าก็เลือกเตียงล่าง  ทันทีที่พวกเขามาถึงและเห็นดังนี้ พวกเขาก็กล่าวว่า “ถูกแล้วหรือที่เธอเลือกเตียงล่าง?  ฉันยังไม่ได้เลือกเลยด้วยซ้ำ ใช่ตาเธอเลือกแล้วหรือ?  เธอกล้านอนเตียงล่างทั้งที่มีฉันอยู่ด้วยงั้นหรือ?  ช่างกล้านัก!  เธอไม่คุยกับฉันก่อนด้วยซ้ำ กลับเลือกนอนเตียงล่างเลย  ขึ้นเตียงบนไป!”  เจ้าจึงตอบไปว่า “ทำไมคุณถึงไม่ควรนอนเตียงบน?  คุณมาทีหลัง เรียงตามลำดับแล้ว คุณก็ควรนอนเตียงบนสิ”  พวกเขาจึงกล่าวว่า “ลำดับรึ?  ฉันไม่เคยทำตามลำดับ!  ฉันไม่เข้าแถวที่ไหนทั้งนั้น และจะไม่เข้าแถวเพื่อพบประธานาธิบดีด้วยซ้ำ!  เธอเคยสนใจแม้แต่จะค้นดูว่าฉันเป็นใครบ้างไหม?  เธอกล้ามาพูดกับฉันเรื่องเข้าแถว—ช่างกล้านัก!  อยากตายหรือไร?  ขึ้นไปเตียงบนซะ!”  ดังนั้นเจ้าจึงต้องเชื่อฟังและขึ้นไปนอนเตียงบน  นี่ใช่การรังแกเจ้าหรือไม่?  จากมุมมองของมนุษย์ นี่ดูเหมือนการรังแก  พวกเขาเห็นว่าเจ้าไร้เล่ห์มารยา เป็นคนที่พวกเขาสามารถบงการได้  จึงแสดงอำนาจข่มขวัญเจ้าก่อนและสอนบทเรียนให้เจ้าเข้าใจว่าพวกเขาเป็นใคร  นี่คือการดูตามมุมมองของมนุษย์หรือมุมมองที่เป็นความรู้สึกหรือเนื้อหนังของมนุษย์  แต่ถ้าเจ้าดูเรื่องนี้ตามมุมมองของความจริง เจ้าจะมองในแนวนี้ได้หรือไม่?  เจ้าเลือกเตียงล่างก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับ แต่พวกเขาก็ยืนกรานให้เจ้าย้าย ก่อกวนให้เจ้าเปลี่ยนไปนอนเตียงบน  นี่ไม่มีเหตุผลมิใช่หรือ?  นี่พวกเขาทรมานเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาทำเหมือนเจ้าไม่ใช่คนใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่ให้เกียรติเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาทำตัวเป็นนาย และปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนคนใช้หรือทาสมิใช่หรือ?  ความคิดของพวกเขามีตรรกะว่าอย่างไร?  ทุกคนที่ไม่น่าเกรงขามเท่าพวกเขาก็คือคนรับใช้ เป็นคนที่พวกเขาสามารถสั่งได้ ทรมานได้  ตามมุมมองของความจริง นี่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการรังแก นี่คือการทรมานผู้คน  ใครบ้างที่สามารถทรมานผู้คนได้?  คนชั่ว ปีศาจ โจรผู้ร้าย นักเลงหัวไม้ คนพาล คนที่ไร้เหตุผล ไม่มีความเป็นมนุษย์ และไม่ให้เกียรติใคร  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็ไม่ทำตามกฎเกณฑ์  ทำตัวเหมือนเป็นนายใหญ่ เหมือนว่าทุกสิ่งที่ดีงาม ได้เปรียบ หรือมีประโยชน์ล้วนเป็นของพวกเขาเท่านั้น  ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในสิ่งของดังกล่าวหรือแม้แต่คิดจะเอาไป  นี่คือคนพาลมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือสิ่งที่คนพาลและปีศาจทำกัน  พวกเขาทรมานเจ้าเช่นนี้ ดังนั้น เจ้าย่อมจะรู้สึกเกรงกลัวใช่หรือไม่?  เจ้าย่อมจะคิดว่า “โอ้โฮ คนที่น่ากลัวแบบนี้ก็มีด้วย  พวกเขาถึงกับคิดว่าการที่ฉันนอนเตียงล่างนั้นผิด  เกิดอะไรขึ้นนี่?”  เจ้าย่อมจะหวาดกลัว นับแต่นั้นมา เวลาเจ้าคุยกับพวกเขา เจ้าก็จะต้องคัดกรอง  ต้องไตร่ตรองว่าจะพูดอะไร พลางคิดว่า “ฉันจะทำให้พวกเขาไม่พอใจไม่ได้ และจะยั่วยุพวกเขาก็ไม่ได้  ถ้าฉันยั่วยุพวกเขา พวกเขาก็จะทำให้ฉันเดือดร้อน”  ถ้าเจ้ามีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนแล้ว  เป้าหมายของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาอยากทำให้เจ้าหวาดหวั่น ทำให้เจ้ากลัวพวกเขา สร้างลำดับชั้นที่แตกต่างระหว่างเจ้ากับพวกเขา โดยพวกเขาเป็นนาย ส่วนเจ้าเป็นบ่าว และไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด เจ้าก็ต้องฟังพวกเขาและยอมอ่อนข้อให้  นี่คือหลักคิดที่ซาตานใช้ทำสิ่งต่างๆ มิใช่หรือ?  พวกเขาต้องเป็นนายของเจ้า และเจ้าจำต้องเป็นบ่าวของพวกเขา  เจ้าต้องถูกพวกเขาบ่มวินัย สั่งการ และปั่นหัวเล่นตามอำเภอใจ เจ้าต้องยอมจำนนให้พวกเขาทุกเรื่อง  เจ้าจะยืนเสมอพวกเขาไม่ได้ ถ้าอยากทัดเทียมกับพวกเขา สถานการณ์เดียวที่เจ้าจะทำได้ก็คือเมื่อพวกเขาตายแล้วเท่านั้น—เจ้าคู่ควรที่จะทัดเทียมกับคนตายเท่านั้น  จงบอกเราเถิดว่าเจ้าถูกพวกเขารังแกไปถึงไหนแล้ว?  ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า การทำชั่วและท่าทางที่น่าเกรงขามของพวกเขาทำให้เจ้าหวาดกลัวใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้ายอมรับข้อเท็จจริงนี้ เจ้ายอมประนีประนอม ดังนั้นพวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผลก็คือเจ้าถูกพวกเขาทำให้เสื่อมทราม?  พวกเขากุมเจ้าเอาไว้มั่นในกำมือของตน เวลาที่พวกเขาทำเรื่องชั่วและละเมิดหลักธรรม เจ้าจะไม่กล้าเอ่ยปากเพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาเตะขาครั้งเดียวก็ส่งเจ้าจากเตียงล่างขึ้นไปเตียงบนแล้ว  เจ้าย่อมจะไม่กล้ายั่วยุพวกเขาอีก เมื่อเจ้าพบหน้าพวกเขา เจ้าจะเดินอ้อมไป และเพียงเอ่ยถึงพวกเขา ก็จะทำให้เจ้าเหงื่อกาฬแตก  นี่คือการหวาดกลัวพวกเขามิใช่หรือ?  เจ้าไม่กล้าปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรมตามหลักธรรม พวกเขากุมเจ้าไว้มั่นในกำมือของตน  การที่พวกเขากุมเจ้าไว้มั่นในกำมือมีแก่นแท้ว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าพวกเขาครอบงำและควบคุมเจ้าเอาไว้แล้ว  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ผู้คนควรรับมือสถานการณ์นี้อย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพวกเขาควบคุม?  เจ้าควรมองเรื่องคนชั่วรังแกผู้คนว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ซาตานทารุณและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  หลังจากที่เจ้ารู้เท่าทันแก่นแท้นี้แล้ว เจ้าควรมีท่าทีเช่นไรต่อเรื่องนี้?  ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า เจ้าควรชิงชังและปฏิเสธคนชั่ว ไม่หวาดกลัวพวกเขา  เจ้าควรคิดว่า “อ้อ คุณอยากให้ฉันนอนเตียงบนหรือ?  ได้ ฉันจะนอนเตียงบน  แต่วันนี้ฉันมองเห็นการกระทำของคนชั่วอีกคนหนึ่งแล้ว ฉันตระหนักรู้แก่นแท้ของคนชั่วอีกคนแล้ว และจากนี้ไปฉันก็จะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพฤติกรรมที่คนชั่วใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาและลับหลังผู้คนได้มากขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  เริ่มจากวันนี้ไป ฉันจะจับตาดูสิ่งที่พวกเขาพูดและทำอย่างใกล้ชิดว่าพวกเขาหลอกลวงหรือเปล่า  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าใช้พวกเขา ฉันก็จะดูว่าพวกเขากระทำการตามหลักธรรมหรือไม่ ค้ำชูผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ ผลาญของถวายหรือไม่ และยังคงทรมานคนอื่นหรือไม่”  ลึกลงไปในหัวใจ เจ้าควรอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดเปิดโปงคนชั่วผู้นี้ ทำให้ข้าพระองค์สามารถใช้วิจารณญาณดูการกระทำอันชั่วและแก่นแท้ของพวกเขาออก  ได้โปรดช่วยข้าพระองค์รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการทำชั่วของพวกเขา ประทานความกล้า และทำให้ข้าพระองค์มีความสามารถที่จะไม่กลัวคนชั่ว มีความเชื่อและความเข้มแข็งที่จะต่อสู้กับพวกเขา”  แม้เจ้าจะยังคงอยู่ห้องเดียวกับพวกเขา และภายนอกแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป แต่ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่กลัวพวกเขาเพราะทุกสิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าไม่ใช่การรังแก นั่นคือการเผยและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาออกมา  เมื่อเจ้ามองพวกเขาเช่นนี้ เจ้าจะยังคงกลัวเกรงพวกเขาหรือไม่?  ทุกการทำชั่วที่พวกเขาเผยออกมาและทุกคำพูดอันไร้สาระที่พวกเขากล่าว เจ้าจะสาปแช่งพวกเขาอยู่ในหัวใจของเจ้าไปพร้อมกันว่า “เธอเป็นมาร เธอคือซาตาน เธอทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า ไม่ช้าก็เร็วเธอย่อมจะถูกสาปแช่ง  พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปได้ เธอจะถูกเปิดโปงในที่สุด!”  นี่คือวิธีที่เจ้าควรใช้รับมือคนชั่ว  เจ้าต้องมีความเชื่อและความเข้มแข็งไว้สู้กับพวกเขา และเจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า เมื่อนั้นหัวใจของเจ้าจึงจะมีความเข้มแข็ง และเจ้าก็จะไม่กลัวพวกเขา  แบบนี้เป็นอย่างไร?  กลวิธีเหล่านี้ย่อมมีประสิทธิผลมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าใช้วิจารณญาณดูพวกเขาตามมุมมองของความจริงเช่นนี้ นี่ย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าสิ่งที่พ่อแม่สอนเจ้าเอาไว้มิใช่หรือว่า “คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน”?  การระวังพวกเขาจะมีประโยชน์อันใด?  เจ้าไม่อาจระวังตัวจากการถูกซาตานทารุณและทำให้เจ้าเสื่อมทรามได้  การที่ซาตานทารุณและทำให้เจ้าเสื่อมทรามไม่ใช่เรื่องที่สามารถระวังตัวกันได้—มันมีอยู่ทั่วไป  การที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามไม่ได้เป็นเฉพาะพื้นผิวเท่านั้น ไม่ได้เป็นแต่ภายนอก มันทำให้เจ้าเสื่อมทรามทางความคิดด้วย  เจ้าจะสามารถระวังเรื่องนี้ได้หรือไม่?  สิ่งสำคัญที่สุดจึงเป็นการที่เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความจริงและพึ่งพาพระเจ้า  ไม่เพียงเจ้าควรดูการกระทำของคนชั่วออกเท่านั้น แต่ควรดูแก่นแท้ของคนชั่วออกด้วย ขณะเดียวกันเจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณดูความคิดและมุมมองต่างๆ ที่คนชั่วแสดงออกมา  จากนั้นก็จงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความจริง ใช้พระวจนะของพระเจ้าและความจริงเปิดโปงและชำแหละพวกเขา เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถมีวิจารณญาณได้ด้วย  เมื่อนั้นทุกคนก็จะสามารถลุกฮือขึ้นมาปฏิเสธพวกเขาด้วยกัน  นั่นย่อมจะวิเศษมากมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าตั้งรับอยู่เสมอ คอยระวังตัวตลอดเวลา ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงอยู่เรื่อย นั่นคือคนขลาด ไม่ใช่การสำแดงของผู้ชนะ

หลังการสามัคคีธรรมทั้งหมดนี้แล้ว คราวนี้พวกเจ้าก็มีทัศนะใหม่ในเรื่องของผู้คนที่ถูกรังแกแล้วใช่หรือไม่?  การรังแกใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ธรรมชาติของการรังแกคืออะไร?  (คือการที่คนชั่วทรมานผู้อื่น)  ถ้าว่ากันตามแก่นแท้ก็คือการที่คนชั่วและซาตานทรมานและหลอกผู้อื่น  ทีนี้ ธรรมชาติของการถูกรังแกคืออะไร?  (คือการอ่อนแอ ไม่ปฏิบัติความจริง ไม่กล้าลุกขึ้นมาต้านทาน)  ถูกต้อง การกลัวคนชั่ว กลัวกองกำลังอันชั่ว ไม่มีความเชื่อที่จะต่อสู้กับซาตาน ไร้ซึ่งความเชื่อที่จะตระหนักรู้ ดูออก และรู้ทันโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตาน ไร้ซึ่งความเชื่อที่จะต้านทานการที่ซาตานเหยียบย่ำและทารุณเจ้า—นี่คือธรรมชาติของการรังแกมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนที่ไม่มีความเชื่อย่อมมีปมในใจอยู่เสมอ หวาดกลัวตลอดเวลาพลางคิดว่า “ฉันต้องไม่ถูกคนอื่นรังแก  ฉันไม่รังแกคนอื่นและต้องไม่ถูกคนอื่นรังแก เหมือนที่แม่เคยบอกนั่นเองว่า ‘คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเด็ดขาด แต่ควรระวังเสมอว่าผู้อื่นอาจจะทำร้ายตน’”  พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์พบเจอคนชั่ว ข้าพระองค์ขลาดกลัว ไร้เล่ห์มารยาและเรียบง่ายอยู่เสมอ  ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์และติดตามพระองค์ พระองค์ต้องทรงคุ้มครองข้าพระองค์!”  นี่คือการทำตัวไร้กระดูกสันหลัง  เจ้าฟังความจริงมามากมาย และเจ้าก็เข้าใจความจริงไปมากมาย  เจ้าไม่กลัวพวกมารและซาตาน แล้วเจ้ากลัวคนชั่วหรือไม่?  เจ้ากลัวพญานาคใหญ่สีแดงหรือไม่?  (ถ้าถูกจับ ข้าพระองค์ย่อมจะกลัว แต่ข้าพระองค์สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ได้)  นั่นหมายความว่าเจ้ายังไม่ถูกความชั่วของมันทำให้หวาดกลัว  นี่ก็เป็นการสำแดงลักษณะที่เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีความเชื่อเป็นรากฐานถึงระดับหนึ่งเท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “คุณบอกว่าฉันกลัวพญานาคใหญ่สีแดง  ถ้าฉันกลัวพญานาคใหญ่สีแดง ฉันจะมาได้ไกลปานนี้หรือ?  นั่นคือข้อเท็จจริงไม่ใช่หรือ?  แต่ถ้าคุณขอให้ฉันพูดว่าฉันไม่กลัวพญานาคใหญ่สีแดง ฉันก็ยังคงรู้สึกกลัวนิดหน่อยที่จะพูดอย่างนั้น  อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพญานาคใหญ่สีแดงได้ยินเข้า?”  ยังคงมีความกลัวอยู่บ้างในกรณีนั้น  ผู้คนเช่นนั้นมีความกลัวอยู่บ้างที่จะกล่าวอย่างเปิดเผยว่าพญานาคใหญ่สีแดงเลวและโหดร้าย พวกเขาไม่มีความเชื่อเช่นนั้นและวุฒิภาวะของพวกเขาก็ยังน้อยเกินไป  เราไม่ได้ขอให้เจ้าขับเคี่ยวกับพญานาคใหญ่สีแดงอย่างเปิดเผยหรือยั่วยุมัน  แต่ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรรู้ว่าพญานาคใหญ่สีแดง เจ้าปีศาจตนนี้ ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างทารุณ ทำให้พวกเขาเสื่อมทราม หลอก เหยียบย่ำ แล้วจากนั้นก็กลืนกินพวกเขา  นี่ไม่ใช่การรังแก ไม่ใช่ว่ามันรังแกและทรมานผู้เชื่อเพราะพวกเขาไร้เล่ห์มารยา ทำตามกฎเกณฑ์ และปฏิบัติตามกฎหมาย  นั่นเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นถ้อยแถลงที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พญานาคใหญ่สีแดงทารุณเจ้า  มันทารุณเจ้าอย่างไร?  มันคุกคาม ขู่ขวัญ ข่มเหง และทรมานเจ้า  มันทารุณเจ้าด้วยจุดประสงค์อันใด?  เพื่อทำให้เจ้ายอมทิ้งความเชื่อ ทำให้เจ้าปฏิเสธพระเจ้า ทอดทิ้งพระเจ้า จากนั้นก็ประนีประนอมกับมัน และในที่สุดก็ทำให้เจ้าเคารพบูชามัน ติดตามมัน ยอมสยบให้มัน ยอมรับความคิดต่างๆ ของมัน และคุกเข่าบูชาอยู่หน้ามัน  มันปลาบปลื้มในเรื่องนี้ นี่คือจุดประสงค์ที่มันข่มเหงเจ้า  เพราะมันมองเห็นว่าเจ้าติดตามพระเจ้า ไม่ใช่มัน มันจึงอิจฉา และจะไม่ปล่อยเจ้าไป  แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่ติดตามพระเจ้า มันจะปล่อยเจ้าไปหรือไม่?  (ไม่ มันทารุณคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเช่นกัน)  ถูกต้อง กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ มันเป็นอะไรพรรค์นั้นนั่นเอง กล่าวให้เที่ยงตรงขึ้นก็คือ นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของมัน  กระทั่งคนที่ติดตามมัน คนที่แซ่ซ้องมัน ก็ยังถูกมันทารุณ หลอก และเหยียบย่ำ และหลังจากใช้พวกเขาแล้ว มันก็โยนพวกเขาทิ้ง มันฆ่าปิดปากพวกเขาบางคนด้วยซ้ำ และในที่สุดก็กลืนกินพวกเขาทั้งตัว  ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด พวกเขาย่อมไม่จบลงด้วยดี  ไม่ว่าอย่างไร ผู้คนก็ควรมองเห็นชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์ที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขและปลูกฝังความคิดและมุมมองอันหลากหลายเอาไว้ในตัวผู้คน แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกเขาหรือพาเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  แต่กลับเป็นไปเพื่อชักนำผู้คนให้ออกห่างจากพระเจ้า ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน และทำให้ผู้คนยอมรับการเหยียบย่ำจากความคิดต่างๆ และการสร้างเงื่อนไขของกระแสนิยมต่างๆ อันชั่วซึ่งมาจากสังคมและซาตาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนเวียนเป็นวัฏจักร  ไม่ว่าเจตนาตั้งต้นหรือจุดประสงค์เบื้องหลังการที่ครอบครัวทำเช่นนี้จะเป็นอย่างไร ในที่สุด นี่ก็ไม่สามารถชี้นำให้ผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือพาพวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและได้รับความรอดในท้ายที่สุดได้  เพราะฉะนั้น ความคิดและมุมมองต่างๆ ที่มาจากครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องปล่อยไป เป็นสิ่งที่พวกเขาควรปล่อยมือเมื่ออยู่ในกระบวนการและบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  เอาละ พวกเรายุติสามัคคีธรรมของวันนี้ไว้เท่านี้เถิด  ลาก่อน!

4 มีนาคม ค.ศ. 2023

เชิงอรรถ:

ก. หานซิ่นคือแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ฮั่น เคยถูกบีบให้คลานลอดหว่างขาของคนขายเนื้อที่เยาะหยันความขลาดของเขาก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (13)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (15)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger