ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (12)

ในการชุมนุมไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานเรื่อง “การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” ใช่หรือไม่?  (ใช่)  โดยทั่วไปพวกเราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานไปแล้ว  คราวนี้พวกเราควรสามัคคีธรรมหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวกับครอบครัว  มาดูกันก่อนเถิดว่าครอบครัวมีแง่มุมใดบ้างที่เกี่ยวพันกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  ผู้คนควรคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องครอบครัว  สิ่งแรกที่ผู้คนนึกถึงเมื่อใดก็ตามที่มีการหยิบยกหัวข้อนี้ขึ้นมาก็คือองค์ประกอบและสมาชิกของครอบครัว รวมทั้งบางเรื่องและบางคนที่เกี่ยวพันกับครอบครัว  มีหัวข้อดังกล่าวที่เกี่ยวพันกับครอบครัวอยู่มากมาย  ไม่ว่าจะมีภาพและความคิดอ่านมากมายเพียงใดอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเชื่อมโยงกับ “การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” ที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันในวันนี้หรือไม่?  ก่อนที่พวกเราจะเริ่มสามัคคีธรรม พวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งเหล่านั้นเชื่อมโยงกันหรือไม่  ดังนั้น ก่อนที่จะสามัคคีธรรมกันต่อ พวกเจ้าบอกเราได้ไหมว่าในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ครอบครัวคืออะไร หรือบอกอะไรที่พวกเจ้านึกออกว่าเป็นสิ่งที่ควรปล่อยมือในเรื่องของครอบครัว?  ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันถึงหลายๆ แง่มุมที่สัมพันธ์กับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน  พวกเจ้าเคยระบุลงไปหรือไม่ว่าแต่ละแง่มุมของหัวข้อนี้ที่พวกเราสามัคคีธรรมไปแล้วนั้นเกี่ยวพันกับอะไรบ้าง?  ไม่ว่าจะเกี่ยวพันในแง่มุมใด สิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องปล่อยมือไม่ใช่ตัวเรื่องราวเอง แต่เป็นแนวคิดและทัศนะที่ผิดๆ ที่พวกเขาใช้รับมือเรื่องราว รวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับเรื่องนี้  ปัญหาต่างๆ เหล่านี้คือปมสำคัญของสิ่งที่พวกเราต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับแง่มุมดังกล่าว  ปัญหาต่างๆ เหล่านี้คือปัญหาที่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน หรือกล่าวให้แน่ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาและเข้าสู่ความจริง  นั่นหมายความว่าถ้ามีความเบี่ยงเบนหรือปัญหาในสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งๆ เช่นนั้นแล้วก็จะมีปัญหาแบบเดียวกันในท่าที แนวทาง หรือวิธีการที่เจ้าใช้จัดการเรื่องนี้ และปัญหาทั้งหลายในทำนองเดียวกันนี้ก็คือหัวข้อที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรม  เหตุใดพวกเราจึงต้องสามัคคีธรรมถึงปัญหาเหล่านี้?  เพราะปัญหาเหล่านี้ส่งผลอย่างมากหรืออย่างท่วมท้นต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และต่อทัศนะที่ถูกต้องและเป็นไปตามหลักธรรมที่เจ้ามีในเรื่องหนึ่งๆ และพลอยส่งผลต่อความบริสุทธิ์ของวิธีปฏิบัติที่เจ้าใช้ในเรื่องนี้ ตลอดจนหลักธรรมที่เจ้าใช้จัดการเรื่องดังกล่าวไปด้วย  ในทำนองเดียวกับที่พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องความสนใจส่วนตัว งานอดิเรก และการแต่งงานไปแล้ว พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมเรื่องครอบครัวก็เพราะผู้คนมีแนวคิด ทัศนะ และท่าทีที่ไม่ถูกต้องมากมายเกี่ยวกับครอบครัว หรือเพราะตัวครอบครัวเองมีอิทธิพลมากมายต่อผู้คนในทางลบ และอิทธิพลที่เป็นลบเหล่านี้ย่อมจะพาให้พวกเขาใช้แนวคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องไปเอง  แนวคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้จะส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และพาให้เจ้าทำสิ่งที่สุดโต่ง จนกระทั่งเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับครอบครัวหรือเผชิญปัญหาที่เชื่อมโยงกับครอบครัว เจ้าก็จะไม่มีทัศนะหรือเส้นทางที่ถูกต้องไว้รับมือหรือจัดการเรื่องราวและปัญหาเหล่านี้ และไว้แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากเรื่องราวและปัญหาเหล่านี้  นี่คือหลักธรรมของสามัคคีธรรมของพวกเราในแต่ละหัวข้อ และเป็นปัญหาหลักที่ต้องแก้ไขอีกด้วย  ดังนั้นในส่วนของหัวข้อเรื่องครอบครัวนี้ พวกเจ้าคิดออกหรือไม่ว่าอิทธิพลเชิงลบที่ครอบครัวมีต่อพวกเจ้านั้นมีอะไรบ้าง และครอบครัวขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเจ้าอย่างไรบ้าง?  ระหว่างที่เจ้าเชื่อและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ระหว่างที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือแสวงหาหลักธรรมความจริง และปฏิบัติความจริง ครอบครัวมีอิทธิพลและขัดขวางการคิดอ่านของเจ้า หลักธรรมในการวางตน คุณค่า และทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตอย่างไรบ้าง?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าเกิดมาในครอบครัวหนึ่ง ดังนั้นมีอะไรบ้างที่เป็นอิทธิพล แนวคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้อง อุปสรรคและการขัดขวางที่ครอบครัวนี้นำมาสู่ชีวิตประจำวันของผู้เชื่ออย่างเจ้า รวมทั้งการไล่ตามเสาะหาและการทำความรู้จักความจริงของเจ้า?  การสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องการแต่งงานดำเนินตามหลักธรรมฉันใด การสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องครอบครัวก็ดำเนินตามหลักธรรมฉันนั้น  การนี้ไม่ได้เรียกร้องให้เจ้าปล่อยมือจากแนวคิดเรื่องครอบครัวอย่างเป็นทางการหรือในแง่ที่เป็นการคิดอ่านและทัศนะของเจ้า และไม่ได้เรียกร้องให้เจ้าปล่อยมือจากครอบครัวทางกายภาพที่แท้จริงของเจ้า หรือสมาชิกคนใดในครอบครัวทางกายภาพของเจ้า  แต่เรียกร้องให้เจ้าปล่อยมือจากอิทธิพลเชิงลบต่างๆ ที่ตัวครอบครัวเองมีต่อเจ้า และปล่อยมือจากอุปสรรคและการขัดขวางที่ตัวครอบครัวเองก่อให้เกิดแก่การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  กล่าวให้เจาะจงลงไปก็คือ อาจกล่าวได้ว่าครอบครัวของเจ้าก่อให้เกิดเรื่องยุ่งเหยิงและปัญหาเฉพาะตัวที่ชัดเจนซึ่งเจ้าสามารถรู้สึกได้และมีประสบการณ์ด้วยระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่ และนั่นก็ตีกรอบเจ้าเอาไว้จนเจ้าไม่สามารถหาทางออกหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงให้เกิดประสิทธิผลได้  เรื่องยุ่งเหยิงและปัญหาเหล่านี้ทำให้เจ้ายากที่จะทิ้งกรอบและอิทธิพลที่เกิดจากคำว่า “ครอบครัว” นี้หรือเกิดจากผู้คนหรือเรื่องราวที่ครอบครัวเกี่ยวข้องด้วย และทำให้เจ้ารู้สึกว่าถูกกดขี่ระหว่างที่เจ้าเชื่อและปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะมีครอบครัวอยู่ หรือเพราะอิทธิพลเชิงลบใดๆ ที่ครอบครัวมีต่อเจ้า  เรื่องยุ่งเหยิงและปัญหาเหล่านี้มักจะทำให้มโนธรรมของเจ้าทุกข์ร้อนและขัดขวางไม่ให้ร่างกายและจิตใจของเจ้าพบทางออกอีกด้วย มักจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าถ้าเจ้าไม่ทำตามแนวคิดและทัศนะที่เจ้าได้มาจากครอบครัว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีความเป็นมนุษย์ และจะสูญเสียความมีศีลธรรมของตน รวมทั้งมาตรฐานและหลักธรรมขั้นต่ำสุดของการวางตน  เมื่อเป็นเรื่องภายในครอบครัว เจ้ามักจะติดอยู่ระหว่างเส้นศีลธรรมที่ข้ามไม่ได้กับการปฏิบัติความจริง ไม่สามารถพบทางออกและถอนตัวเจ้าออกมาได้  มีปัญหาจำเพาะอะไรบ้าง—พวกเจ้าคิดออกหรือไม่?  พวกเจ้าเคยรู้สึกถึงสิ่งที่เราเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  (ด้วยสามัคคีธรรมของพระเจ้า ข้าพระองค์จึงนึกได้ว่าเพราะข้าพระองค์มีทัศนะบางอย่างที่ผิดเกี่ยวกับครอบครัวของตน ข้าพระองค์จึงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ และรู้สึกว่าถูกมโนธรรมโบยตีในเรื่องนี้  ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งเรียนจบและอยากอุทิศตนให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน ข้าพระองค์ก็รู้สึกขัดแย้งอยู่ข้างใน  รู้สึกว่าเป็นเพราะครอบครัวเลี้ยงดูข้าพระองค์มาจนโตและส่งเสียให้เล่าเรียนมาโดยตลอด ตอนนี้พอข้าพระองค์เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าไม่หาเงินมาจุนเจือครอบครัว ข้าพระองค์ก็จะอกตัญญูและไม่มีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่กดทับมโนธรรมของข้าพระองค์อย่างหนัก  ตอนนั้นข้าพระองค์ดิ้นรนในเรื่องนี้อยู่หลายเดือน จนในที่สุดข้าพระองค์ก็พบทางออกในพระวจนะของพระเจ้า และตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด  ข้าพระองค์รู้สึกว่าทัศนะที่ผิดเกี่ยวกับครอบครัวนี้ส่งผลต่อผู้คนจริงๆ)  นี่เป็นตัวอย่างที่พบเห็นกันทั่วไป  เหล่านี้คือโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นซึ่งครอบครัวใช้ล่ามผู้คนเอาไว้ และเป็นปัญหาที่ความรู้สึก แนวคิด หรือทัศนะที่ผู้คนมีต่อครอบครัวของตนก่อให้เกิดกับชีวิต การไล่ตามเสาะหา และความเชื่อของพวกเขา  ในระดับหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้สร้างแรงกดดันและภาระในหัวใจส่วนลึกของเจ้า ซึ่งบางครั้งก็ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างอยู่ลึกๆ  มีใครสามารถเพิ่มเติมอะไรได้อีกบ้าง?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีทัศนะอย่างหนึ่งว่าในฐานะลูกที่ตอนนี้โตแล้ว ข้าพระองค์ควรแสดงความกตัญญูและจัดการความกังวลและปัญหาทั้งปวงให้พ่อแม่  แต่เพราะข้าพระองค์ทำหน้าที่ของตนเต็มเวลา จึงไม่สามารถกตัญญูต่อพ่อแม่หรือทำบางสิ่งให้พ่อแม่ได้  พอเห็นพ่อแม่ยังคงวิ่งวุ่นทำมาหาเลี้ยงชีวิต ข้าพระองค์ก็รู้สึกอยู่ในหัวใจว่าติดค้างพวกท่าน  ตอนแรกที่ข้าพระองค์มาเชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์เกือบจะทรยศพระเจ้าเพราะเรื่องนี้)  นี่ก็เป็นผลลบที่การถ่ายทอดวัฒนธรรมภายในครอบครัวของคนเรามีต่อการคิดอ่านและแนวคิดของคนเราเช่นกัน  เจ้าเกือบจะทรยศพระเจ้า แต่บางคนก็ทรยศพระเจ้าไปแล้วจริงๆ  บางคนไม่อาจปล่อยมือจากครอบครัวของตนได้เพราะพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับครอบครัว  ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เลือกที่จะดำเนินชีวิตเพื่อครอบครัวของพวกเขาต่อไป และทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ของตน

ทุกคนมีครอบครัว ทุกคนเติบโตมาในครอบครัวที่ต่างกัน และมาจากสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่ต่างกัน  สำหรับทุกคนแล้ว ครอบครัวสำคัญมากและเป็นสิ่งที่ทิ้งรอยประทับที่สำคัญที่สุดไว้ในชีวิตของคนคนหนึ่ง เป็นบางสิ่งจากส่วนลึกข้างในที่ยากจะตัดใจและปล่อยมือ  สิ่งที่ผู้คนไม่สามารถปล่อยมือได้และสิ่งที่พวกเขาพบว่ายากที่จะตัดใจนั้นไม่ใช่ตัวบ้านของครอบครัวหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว และข้าวของทั้งปวงภายในบ้าน แต่เป็นสมาชิกที่ประกอบกันเป็นครอบครัวนั้นๆ หรือบรรยากาศและความรักใคร่เอ็นดูที่กระจายอยู่ทั่วครอบครัวนั้นๆ  นี่คือแนวคิดเรื่องครอบครัวในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  ตัวอย่างเช่น สมาชิกอาวุโสในครอบครัว (ปู่ย่าตายายและพ่อแม่) คนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้า (พี่น้องทั้งชายและหญิง และคู่ครอง) และคนรุ่นอ่อนกว่า (ลูกๆ ของเจ้าเอง) เหล่านี้คือสมาชิกคนสำคัญในแนวคิดที่ผู้คนมีต่อครอบครัว และเป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกครอบครัวเช่นกัน  สำหรับผู้คนแล้ว ครอบครัวหมายถึงอะไร?  สำหรับผู้คน ครอบครัวหมายถึงเครื่องหล่อเลี้ยงอารมณ์และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวฝ่ายวิญญาณ  ครอบครัวยังหมายถึงอะไรอีก?  เป็นที่ที่คนเราสามารถหาความอบอุ่นได้ ระบายความในใจได้ หรือตามใจตัวเองและทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอยได้  บ้างก็บอกว่าครอบครัวคือที่พักพิงอันปลอดภัย เป็นสถานที่ที่คนเราสามารถได้รับสิ่งหล่อเลี้ยงทางอารมณ์ ที่ที่ชีวิตของคนคนหนึ่งเริ่มต้น  มีอะไรอีก?  พวกเจ้าบรรยายให้เราฟังเถิด  (พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าบ้านของครอบครัวก็คือที่สำหรับให้ผู้คนเติบโต เป็นที่ที่สมาชิกในครอบครัวอยู่เคียงข้างกันและพึ่งพากัน)  ดีมาก  มีอะไรอีก?  (ข้าพระองค์เคยคิดว่าครอบครัวคือที่พักพิงที่สบาย  ไม่ว่าข้าพระองค์จะทนทุกข์กับความอยุติธรรมในโลกภายนอกมากเท่าใด พอกลับเข้าบ้านทีไร บ้านก็สามารถผ่อนคลายอารมณ์และวิญญาณของข้าพระองค์ได้หมดเพราะแรงเกื้อหนุนและความเข้าใจที่ได้จากครอบครัว ดังนั้นข้าพระองค์จึงรู้สึกว่าครอบครัวคือที่พักพิงที่ปลอดภัยตามนัยนั้น)  บ้านของครอบครัวคือที่ที่เต็มไปด้วยความชูใจและความอบอุ่น จริงไหม?  ครอบครัวมีความสำคัญในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนมีความสุข พวกเขาก็หวังที่จะให้ครอบครัวของตนมีส่วนในความเบิกบานนั้น เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนทุกข์ใจและเศร้าโศก พวกเขาก็หวังในทำนองเดียวกันว่าจะสามารถเล่าปัญหาให้ครอบครัวของตนฟัง  เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนมีความรู้สึกเบิกบาน โกรธเคือง เศร้า และเป็นสุข พวกเขาก็มักจะเล่าความรู้สึกเหล่านั้นให้ครอบครัวของตนฟัง โดยไม่มีแรงกดดันหรือภาระใดๆ  สำหรับทุกคนแล้วครอบครัวคือสิ่งที่อบอุ่นและสวยงาม เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงวิญญาณอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่อาจตัดใจหรือไม่อาจไม่มีได้ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนของชีวิต และบ้านของครอบครัวก็เป็นที่ที่ให้การเกื้อหนุนแก่จิตใจ ร่างกาย และวิญญาณของผู้คนอย่างยิ่งยวด  เพราะฉะนั้น ครอบครัวจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ชีวิตของแต่ละคนขาดไม่ได้  แต่สถานที่ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่และชีวิตของผู้คนนี้มีอิทธิพลเชิงลบแบบใดต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา?  ก่อนอื่น สามารถกล่าวได้แน่นอนว่า ไม่ว่าครอบครัวจะสำคัญเพียงใดต่อการดำรงอยู่และชีวิตของผู้คน หรือมีบทบาทและหน้าที่เช่นใดในการดำรงอยู่และชีวิตของพวกเขา ครอบครัวก็ยังคงสร้างปัญหาบางอย่าง—ทั้งใหญ่และเล็ก—ให้แก่ผู้คนบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา  ระหว่างที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง แม้ครอบครัวจะมีบทบาทสำคัญ แต่ครอบครัวก็สร้างความไม่สบายใจและปัญหาสารพัดรูปแบบที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย  กล่าวคือ ระหว่างที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง ปัญหาต่างๆ นานาทางจิตใจและอุดมคติที่ครอบครัวสร้างขึ้นมา และปัญหาในแง่มุมที่เป็นทางการ ย่อมก่อความเดือดร้อนมากมายให้แก่ผู้คน  แท้จริงแล้วปัญหาเหล่านี้พ่วงเอาอะไรมาด้วย?  แน่นอนว่าระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนก็มีประสบการณ์เป็นปัญหาเหล่านี้อยู่แล้วในจำนวนและระดับที่แตกต่างกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจพิจารณาและใคร่ครวญปัญหาเหล่านี้เพื่อค้นหาว่าแท้จริงแล้วธรรมชาติของปัญหาเหล่านี้คืออะไร  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้ตระหนักรู้แก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้ และยิ่งไม่ตระหนักรู้หลักธรรมความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจและยึดปฏิบัติตาม  ดังนั้นในวันนี้ พวกเรามาสามัคคีธรรมหัวข้อเรื่องครอบครัวกันเถิด รวมทั้งเรื่องที่ว่าครอบครัวสร้างความเดือดร้อนและอุปสรรคอะไรไว้บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนบ้าง และผู้คนควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันใดบ้างในเรื่องของครอบครัว  นี่เองคือตัวปัญหาที่แท้จริง

แม้เรื่องของครอบครัวจะเป็นหัวข้อใหญ่ แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาจำเพาะ  ปัญหาที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันในวันนี้ก็คืออิทธิพลเชิงลบ การแทรกแซง และการขัดขวางที่ผู้คนบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงพบเจอเพราะครอบครัว  ปัญหาแรกที่คนเราควรปล่อยมือในเรื่องของครอบครัวคืออะไร?  คืออัตลักษณ์ที่คนเราสืบทอดมาจากครอบครัว  นี่เป็นเรื่องสำคัญ  มาคุยกันเป็นการเฉพาะเถิดว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด  ทุกคนมาจากครอบครัวที่ต่างกัน แต่ละครอบครัวก็มีภูมิหลังและสภาพความเป็นอยู่ที่ต่างกันออกไป มีคุณภาพชีวิตของตนเอง มีวิถีความเป็นอยู่และความเคยชินในชีวิตแบบจำเพาะ  แต่ละคนจึงสืบทอดอัตลักษณ์ที่ต่างกันตามสภาพความเป็นอยู่และภูมิหลังของครอบครัว  อัตลักษณ์ที่ต่างกันนี้ไม่เพียงแสดงถึงคุณค่าจำเพาะของแต่ละคนในสังคมและในหมู่ผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายที่ต่างออกไปอีกด้วย  แล้วเครื่องหมายนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าคนคนหนึ่งย่อมถูกคนในกลุ่มของตนมองว่าโดดเด่นหรือต่ำต้อย  อัตลักษณ์ที่ต่างกันนี้คือเครื่องกำหนดสถานะของคนคนหนึ่งในสังคมและในหมู่ผู้อื่น และสถานะนี้ก็ตกทอดมาจากครอบครัวที่พวกเขาเกิดมา  เพราะฉะนั้น ภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้าและประเภทของครอบครัวที่เจ้าอาศัยอยู่ด้วยจึงสำคัญมาก เพราะเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์และสถานะที่เจ้ามีท่ามกลางผู้อื่นและในสังคม  ดังนั้น อัตลักษณ์และสถานะของเจ้าจึงเป็นตัวกำหนดว่าที่ยืนที่เจ้ามีในสังคมนั้นโดดเด่นหรือต่ำต้อย เจ้าได้รับความเคารพ ยกย่อง และนับถือจากผู้อื่น หรือถูกผู้อื่นดูหมิ่น เลือกปฏิบัติ และเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า  เป็นเพราะอัตลักษณ์ที่ผู้คนสืบทอดมาจากครอบครัวของตนส่งผลต่อสถานการณ์และอนาคตของพวกเขาในสังคมโดยแท้ สำหรับแต่ละคนแล้ว อัตลักษณ์ที่สืบทอดมานี้จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง  แท้จริงแล้วเป็นเพราะอัตลักษณ์นี้ส่งผลต่อเกียรติยศ สถานะ และคุณค่าของเจ้าในสังคม ส่งผลต่อความรู้สึกว่ามีเกียรติหรือถูกเหยียดหยามในชีวิตนี้ ตัวเจ้าเองจึงโน้มเอียงที่จะให้ความสำคัญอย่างมากกับภูมิหลังทางครอบครัวและอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของตนด้วย  ด้วยเหตุที่เรื่องนี้ส่งผลต่อเจ้าอย่างมากมาย สำหรับเจ้าแล้ว นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญและมีนัยสำคัญอย่างมากบนเส้นทางแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า  เนื่องจากนี่เป็นเรื่องสำคัญและมีนัยสำคัญดังกล่าว เรื่องนี้จึงมีที่ทางอันสำคัญยิ่งในส่วนลึกของดวงจิตของเจ้า และมีความสำคัญอย่างมากในทัศนะของเจ้า  อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวไม่เพียงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังมองอัตลักษณ์ของใครๆ ที่เจ้ารู้จักหรือไม่รู้จักจากมุมมองเดียวกัน ด้วยสายตาและในหนทางเดียวกันอีกด้วย เจ้าใช้มุมมองนี้ประเมินอัตลักษณ์ของทุกคนที่เจ้าติดต่อด้วย  เจ้าใช้อัตลักษณ์ของพวกเขามาตัดสินลักษณะนิสัยของพวกเขา และกำหนดว่าจะมีท่าทีและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างไร—จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาฉันมิตรและเท่าเทียม หรือนอบน้อมและทำตามพวกเขาทุกคำ หรือเพียงแต่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาเท่านั้นและมองพวกเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยามและอคติ หรือคบค้าและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรมและไม่เสมอภาคด้วยซ้ำ  วิธีการมองผู้คนและรับมือสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ส่วนใหญ่กำหนดตามอัตลักษณ์ที่คนคนหนึ่งได้มาจากครอบครัวของตน  ภูมิหลังและที่ยืนที่ครอบครัวของเจ้ามีคือตัวกำหนดว่าเจ้าจะมีสถานะทางสังคมเช่นใด และสถานะทางสังคมเช่นที่เจ้ามีย่อมกำหนดวิธีการและหลักธรรมที่เจ้าใช้มองและรับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ท่าทีและวิธีการที่คนคนหนึ่งใช้รับมือสิ่งทั้งหลายย่อมขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัวของตนเป็นส่วนมาก  เหตุใดเราจึงกล่าวว่า “เป็นส่วนมาก”?  มีสถานการณ์เฉพาะบางอย่างที่พวกเราจะไม่พูดถึง  สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว สถานการณ์ก็เป็นดังที่เราเพิ่งกล่าวมา  ทุกคนมีแนวโน้มที่จะได้รับอิทธิพลจากอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่ตนได้รับจากครอบครัว และทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการทำนองเดียวกันนั้นมองและรับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมนี้อีกด้วย—นี่เป็นปกติมาก  แท้จริงแล้วเป็นเพราะนี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นทัศนคติต่อการดำรงอยู่ที่เกิดจากครอบครัวของคนเราตามปกติ ต้นกำเนิดของทัศนคติต่อการดำรงอยู่และวิถีชีวิตของคนคนหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัว  อัตลักษณ์ที่คนคนหนึ่งสืบทอดมาจากครอบครัวของตนคือเครื่องกำหนดวิธีการและหลักธรรมที่พวกเขาใช้มองและรับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งท่าทีของพวกเขาเวลาเลือกและตัดสินใจขณะที่มองและรับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลายไปด้วย  นี่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างหนึ่งที่ร้ายแรงมากในตัวผู้คนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  ในแง่หนึ่ง ต้นกำเนิดของแนวคิดและมุมมองที่ผู้คนใช้มองและรับมือผู้คนและสิ่งทั้งหลายย่อมได้รับอิทธิพลจากครอบครัวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ในอีกแง่หนึ่งก็ย่อมได้รับอิทธิพลจากอัตลักษณ์ที่คนคนหนึ่งสืบทอดมาจากครอบครัวของตน—ยากมากที่ผู้คนจะก้าวออกห่างจากอิทธิพลนี้  ผลก็คือผู้คนไม่สามารถปฏิบัติต่อตนเองได้อย่างถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล และเป็นธรรม หรือปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรม และไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนและทุกสิ่งตามหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงสอนอีกด้วย  พวกเขากลับจัดการเรื่องราว ใช้หลักธรรม และตัดสินใจเลือกด้วยวิธีที่ยืดหยุ่นตามความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ของตนกับอัตลักษณ์ของผู้อื่น  เนื่องจากวิธีที่ผู้คนใช้มองและรับมือสิ่งทั้งหลายในสังคมและในหมู่ผู้อื่น ได้รับอิทธิพลจากที่ยืนที่ครอบครัวของพวกเขามี วิธีการเหล่านี้จึงต้องขัดแย้งกับหลักธรรมและวิธีรับมือสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับผู้คนมาโดยตลอด  กล่าวให้แน่ชัดลงไปก็คือ วิธีการเหล่านี้ย่อมต้องเป็นปฏิปักษ์ ขัดแย้ง และละเมิดหลักธรรมและหนทางที่พระเจ้าทรงสอนไว้  ถ้าวิธีที่ผู้คนใช้ทำสิ่งต่างๆ เป็นไปตามอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัว เช่นนั้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้วิธีการและหลักธรรมจำเพาะหรือแตกต่างออกไปในการทำสิ่งทั้งหลาย อันเนื่องมาจากอัตลักษณ์ที่แตกต่างหรือพิเศษของพวกเขาเองและของผู้อื่น  หลักธรรมทั้งหลายที่พวกเขาใช้ไม่ใช่ความจริง และไม่สอดคล้องกับความจริง  หลักธรรมเหล่านี้ไม่เพียงละเมิดความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลเท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือหลักธรรมเหล่านี้ละเมิดความจริง เพราะหลักธรรมเหล่านี้เป็นตัวกำหนดว่าคนคนหนึ่งควรยอมรับหรือปฏิเสธอะไรบ้างตามความชอบส่วนตน ความสนใจของพวกเขา และระดับของการเรียกร้องที่ผู้คนมีต่อกัน  ดังนั้น ในบริบทเช่นนี้ หลักธรรมที่ผู้คนใช้มองและรับมือสิ่งทั้งหลายจึงไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับความจริง เป็นไปตามความต้องการทางอารมณ์และความต้องการที่ผู้คนมีต่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น  ไม่ว่าเจ้าจะสืบทอดอัตลักษณ์ที่โดดเด่นหรือต่ำต้อยมาจากครอบครัวของเจ้า อัตลักษณ์นี้ก็ยึดครองที่ทางในหัวใจของเจ้า และถึงกับมีฐานะที่สำคัญมากในกรณีของบางคน  ดังนั้น ถ้าเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาความจริง อัตลักษณ์นี้ย่อมจะมีอิทธิพลและแทรกแซงการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  กล่าวคือ ระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะเผชิญปัญหาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น ควรปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร และควรรับมือสิ่งทั้งหลายอย่างไร  เมื่อพูดถึงปัญหาและเรื่องสำคัญเหล่านี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายโดยใช้มุมมองหรือทัศนะที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัว และเจ้าก็อดไม่ได้ที่จะใช้วิธีที่โบราณหรือเป็นที่ยอมรับกันมากในสังคมมามองผู้คนและรับมือสิ่งทั้งหลาย  ไม่ว่าอัตลักษณ์ที่เจ้าได้มาจากครอบครัวจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าสถานะของเจ้าในสังคมโดดเด่นหรือต่ำต้อยก็ตาม อย่างไรแล้วอัตลักษณ์นี้ย่อมจะส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า ทัศนคติที่ถูกต้องที่เจ้ามีต่อชีวิต และเส้นทางที่ถูกต้องที่เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  กล่าวให้แน่ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ย่อมจะส่งผลต่อหลักธรรมที่เจ้าใช้รับมือสิ่งทั้งหลาย  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?

ครอบครัวที่ต่างกันย่อมนำอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่ต่างกันมาให้แก่ผู้คน  การมีสถานะทางสังคมที่ดีและอัตลักษณ์ที่โดดเด่นคือสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบยินดีและหลงใหลได้ปลื้ม ส่วนคนที่สืบทอดอัตลักษณ์มาจากครอบครัวที่ไร้ความสำคัญและต่ำต้อยย่อมรู้สึกว่าด้อยกว่าและอายที่จะสู้หน้าผู้อื่น ทั้งยังรู้สึกด้วยว่าไม่มีใครสนใจตนจริงจังหรือยกย่อง  ผู้คนดังกล่าวมักจะถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกปวดร้าวและไม่ค่อยยอมรับนับถือตนเองลึกลงไปในหัวใจของตน  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของบางคนอาจเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกผักขาย พ่อแม่ของบางคนอาจเป็นคนค้าขายที่ทำกิจการเล็กๆ เช่น เปิดแผงขายของริมถนนหรือเร่ขายของตามถนน พ่อแม่ของบางคนอาจทำงานในอุตสาหกรรมการฝีมือ ตัดเย็บและซ่อมเสื้อผ้า หรือพึ่งพางานหัตถกรรมในการเลี้ยงชีพและหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว  พ่อแม่ของบางคนอาจทำงานในอุตสาหกรรมบริการเป็นคนทำความสะอาดหรือพี่เลี้ยงเด็ก พ่อแม่บางคนอาจทำงานในธุรกิจขนย้ายหรือขนส่ง บ้างก็อาจเป็นช่างนวด ช่างเสริมสวย หรือช่างตัดผม และพ่อแม่บางคนก็อาจซ่อมสิ่งของให้แก่ผู้คน เช่น รองเท้า จักรยาน แว่นตา และอื่นๆ  พ่อแม่บางคนอาจมีทักษะงานฝีมือที่สูงชั้นขึ้นมาและซ่อมสิ่งของ เช่น เครื่องประดับหรือนาฬิกาข้อมือ ขณะที่ผู้อื่นอาจมีสถานะทางสังคมที่ยิ่งต่ำต้อยลงไปอีกและพึ่งพาการเก็บขยะไปขายเพื่อหาเลี้ยงลูกๆ และเลี้ยงดูคนในครอบครัวของตนให้เติบใหญ่  พ่อแม่ทั้งหมดนี้มีสถานะทางอาชีพที่ค่อนข้างต่ำต้อยในสังคม และเห็นได้ชัดว่าผลที่ตามมาคือสถานะทางสังคมของทุกคนในครอบครัวของพวกเขาย่อมจะต่ำต้อยไปด้วย  ดังนั้น ในสายตาของชาวโลก ผู้คนที่มาจากครอบครัวเหล่านี้จึงมีสถานะและอัตลักษณ์ที่ต่ำต้อย  เป็นเพราะสังคมใช้วิธีมองอัตลักษณ์ของคนคนหนึ่งและประเมินคุณค่าของคนคนหนึ่งกันแบบนี้โดยแท้ ถ้าพ่อแม่ของเจ้าเป็นเกษตรกรรายย่อยและมีใครสักคนถามเจ้าว่า “พ่อแม่ของคุณทำงานอะไร?  ครอบครัวของคุณเป็นอย่างไร?” เจ้าก็จะตอบว่า “พ่อแม่ของฉัน... อ้อ ท่านก็แบบว่า... ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงหรอก” และเจ้าก็จะไม่กล้าพูดออกมาว่าพวกเขาทำงานอะไร เพราะเจ้าอายเกินไป  เวลาพบหน้าเพื่อนร่วมชั้นและมิตรสหายหรือออกไปกินอาหารค่ำ ผู้คนจะแนะนำตัวและเล่าภูมิหลังอันดีของครอบครัวหรือสถานะทางสังคมที่สูงส่งของตนให้ฟัง  แต่ถ้าเจ้ามาจากครอบครัวของเกษตรกรรายย่อย คนค้าขายรายเล็กหรือหาบเร่ เจ้าก็จะไม่อยากบอกออกมา และย่อมจะรู้สึกอับอาย  มีคำกล่าวที่นิยมพูดกันในสังคมว่า “อย่าถามผู้กล้าถึงที่มาของเขา”  คำกล่าวนี้มีฟังดูสูงส่งมาก และสำหรับผู้ที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำต้อย นี่ทำให้เกิดความหวังและความสว่างขึ้นมาบ้าง รวมทั้งความชูใจนิดหน่อย  แต่ทำไมประโยคแบบนี้ถึงเป็นที่นิยมในสังคม?  ใช่เพราะผู้คนในสังคมสนใจอัตลักษณ์ คุณค่า และสถานะทางสังคมของตนมากเกินไปหรือไม่?  (ใช่)  คนที่มาจากพื้นเพที่ไร้ความสำคัญย่อมขาดความมั่นใจอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้คำกล่าวนี้มาชูใจตัวเอง และทำให้ผู้อื่นสบายใจ คิดไปว่าแม้สถานะและอัตลักษณ์ของตนจะต่ำต้อย แต่พวกเขาก็มีสภาพจิตใจที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียนรู้กันได้  ไม่ว่าอัตลักษณ์ของเจ้าจะต่ำต้อยเพียงใด ถ้าสภาพจิตใจของเจ้าเหนือกว่า นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่มีเกียรติยิ่งกว่าผู้คนที่มีอัตลักษณ์และสถานะที่โดดเด่นเสียอีก  นี่บ่งชี้ปัญหาอันใด?  ยิ่งผู้คนกล่าวว่า “อย่าถามผู้กล้าถึงที่มาของเขา” ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาใส่ใจอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของตน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของคนคนหนึ่งไร้ความสำคัญและต่ำต้อยมาก พวกเขาย่อมใช้คำกล่าวนี้มาชูใจตนเองและชดเชยความว่างเปล่าและความไม่พอใจในหัวใจของตน  พ่อแม่ของบางคนมีสภาพแย่กว่าคนค้าขายรายเล็ก คนขายหาบเร่ เกษตรกรรายย่อย และช่างฝีมือเสียอีก หรือแย่กว่าพ่อแม่ที่ทำงานอันไร้ความสำคัญ ต่ำต้อย และรายได้น้อยเป็นพิเศษในสังคมเสียอีก ดังนั้นอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่พวกเขาสืบทอดมาจากพ่อแม่ของตนจึงยิ่งต่ำต้อยลงไปอีก  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของบางคนมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักในสังคม พวกเขาไม่ทำสิ่งที่ตนพึงทำเท่าใดนัก และไม่มีอาชีพที่สังคมให้การยอมรับหรือมีรายได้ที่แน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงดิ้นรนที่จะเกื้อหนุนค่ากินอยู่ในครอบครัว  พ่อแม่บางคนมักจะเล่นพนันและเสียเงินไปกับการเดิมพันแต่ละครั้ง  ในที่สุดครอบครัวก็หมดเงินและสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้  เด็กที่เกิดในครอบครัวแบบนี้ย่อมแต่งตัวปอนๆ ไม่มีกิน และอยู่อย่างยากจน  เมื่อใดก็ตามที่โรงเรียนจัดงานประชุมผู้ปกครองและครู พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ก็ไม่เคยมาเข้าร่วม และครูทั้งหลายก็รู้ว่าพวกเขาหายไปเล่นการพนัน  ไม่ต้องพูดเลยว่าเด็กเหล่านี้ย่อมมีอัตลักษณ์และสถานะเช่นใดในสายตาของครูและในหมู่เพื่อนร่วมห้อง  เด็กที่เกิดมาในครอบครัวแบบนี้ไม่แคล้วที่จะรู้สึกว่าตนนั้นไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้เวลาอยู่กับผู้อื่น  ต่อให้พวกเขาเรียนดีและขยันหมั่นเพียร ต่อให้พวกเขามีจิตใจที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าผู้อื่น อัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัวนี้ก็กำหนดสถานะและคุณค่าของพวกเขาในสายตาของผู้อื่นไปแล้ว—นี่สามารถทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกเก็บกดและปวดร้าวอย่างมาก  ความปวดร้าวและเก็บกดนี้มาจากไหน?  มาจากโรงเรียน จากครู จากสังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทัศนะที่ไม่ถูกต้องที่มวลมนุษย์ใช้ติดต่อเจรจากับผู้คน  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่บางคนไม่ได้มีชื่อเสียงไม่ดีเป็นพิเศษในสังคม แต่ก็ทำเรื่องไม่พึงประสงค์บางอย่าง  ยกตัวอย่างกรณีของพ่อแม่ที่ต้องขังและถูกตัดสินว่ากระทำผิดฐานยักยอกและรับสินบน หรือเพราะพวกเขาทำผิดกฎหมายด้วยการทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือเก็งกำไรและค้ากำไรเกินควร  ผลก็คือพวกเขาก่อให้เกิดผลในทางลบและเลวร้ายต่อครอบครัวของตนเอง บีบให้สมาชิกในครอบครัวต้องทนทุกข์ไปกับความเสื่อมเสียนี้พร้อมกับตนด้วย  ดังนั้น การเป็นคนของครอบครัวแบบนี้จึงส่งผลต่ออัตลักษณ์ของคนคนหนึ่งมากขึ้นโดยแท้  ไม่เพียงอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของพวกเขาจะต่ำต้อยเท่านั้น แต่พวกเขายังถูกดูแคลน และถึงกับถูกตีตราด้วยคำเรียกขานอย่าง “นักยักยอก” และ “สมาชิกครอบครัวโจร” อีกด้วย  เมื่อคนคนหนึ่งถูกตีตราด้วยคำเรียกขานเช่นนี้ ก็ยิ่งจะมีผลต่ออัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของพวกเขามากขึ้น และจะทำให้สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่พวกเขามีในสังคมยิ่งหนักข้อ ทำให้พวกเขารู้สึกมากยิ่งขึ้นว่าไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากเพียงใดหรือเป็นมิตรเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของตนอยู่ดี  แน่นอนว่าผลสืบเนื่องดังกล่าวเป็นผลที่ครอบครัวนั้นๆ มีต่ออัตลักษณ์ของคนคนหนึ่ง  จากนั้นยังมีโครงสร้างครอบครัวที่ค่อนข้างซับซ้อน  ตัวอย่างเช่น บางคนไม่มีแม่ผู้ให้กำเนิด มีแต่แม่เลี้ยงที่ไม่ค่อยใจดีหรือคำนึงถึงพวกเขานัก และไม่ได้ให้ความเอาใจใส่หรือความรักของแม่แก่พวกเขามากนักยามที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา  ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว การเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแบบนี้จึงให้อัตลักษณ์จำเพาะแก่พวกเขาโดยแท้ อัตลักษณ์ของการไม่เป็นที่ต้องการ  ภายในบริบทของอัตลักษณ์จำเพาะนี้ หัวใจของพวกเขาย่อมเกิดเงื้อมเงามากขึ้น และพวกเขาก็รู้สึกว่าสถานะของตนในหมู่ผู้อื่นต่ำต้อยกว่าของใครๆ  พวกเขาไม่มีความรู้สึกที่เป็นสุข ไม่รู้สึกว่ามีตัวตน และยิ่งไม่มีจุดประสงค์ที่จะมีชีวิตอยู่ และพวกเขาก็รู้สึกว่าต่ำต้อยและโชคร้ายเป็นพิเศษ  ยังมีผู้คนอื่นๆ ที่โครงสร้างครอบครัวซับซ้อนเพราะแม่ของพวกเขาแต่งงานครั้งแล้วครั้งเล่าอันเนื่องมาจากรูปการณ์จำเพาะบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงมีพ่อเลี้ยงหลายคนและไม่รู้ว่าใครคือพ่อแท้ๆ ของตน  ไม่ต้องพูดเลยว่าคนคนนี้จะได้อัตลักษณ์แบบใดจากการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวจำเพาะนี้  สถานะทางสังคมของพวกเขาย่อมจะต่ำต้อยในสายตาของผู้อื่น และบางครั้งบางคราวก็จะมีผู้คนที่ใช้ประเด็นเหล่านี้หรือความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวมาเหยียดหยามคนคนนี้ ป้ายสีและยั่วยุพวกเขา  นี่ไม่เพียงทำให้อัตลักษณ์และสถานะในสังคมของคนคนนี้ต่ำต้อยลงไปอีกเท่านั้น แต่ยังจะทำให้พวกเขารู้สึกอับอายและไม่อาจแสดงตัวให้ผู้อื่นเห็นหน้าได้อีกด้วย  สรุปแล้ว อัตลักษณ์และสถานะจำเพาะทางสังคมที่ผู้คนสืบทอดมาจากการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหนึ่งๆ ดังเช่นครอบครัวที่เรากล่าวถึง หรืออัตลักษณ์และสถานะธรรมดาทั่วไปทางสังคมที่ผู้คนสืบทอดมาจากการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวธรรมดาทั่วไป ก็เป็นความเจ็บปวดจางๆ อย่างหนึ่งอยู่ในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา  เป็นทั้งโซ่ตรวนและภาระ แต่ผู้คนก็ไม่อาจทำใจทิ้งไปได้ และไม่เต็มใจที่จะปล่อยไว้ข้างหลัง  เพราะสำหรับทุกคนแล้ว บ้านของครอบครัวก็คือสถานที่ที่พวกเขาเกิดและเติบโต และเป็นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งหล่อเลี้ยงอีกด้วย  สำหรับคนที่ครอบครัวผูกเอาไว้กับสถานะทางสังคมและอัตลักษณ์ที่ไร้ความสำคัญและต่ำต้อย ครอบครัวเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เพราะในทางจิตใจแล้วผู้คนไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีครอบครัว แต่ในแง่ของความต้องการที่แท้จริงและตามความเป็นจริงของพวกเขานั้น ครอบครัวกลับนำความเสื่อมเสียมาให้พวกเขาในระดับที่แตกต่างกันไป ขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้รับความเคารพและความเข้าใจที่พวกเขาสมควรได้ในหมู่ผู้อื่นและในสังคม  ดังนั้น สำหรับประชากรกลุ่มนี้ บ้านของครอบครัวจึงเป็นสถานที่ที่พวกเขาทั้งรักทั้งเกลียด  ครอบครัวแบบนี้ไม่ว่าใครในสังคมก็ไม่ให้ค่าหรือยกย่อง แต่กลับถูกผู้อื่นเลือกปฏิบัติและดูแคลน  เป็นเพราะเหตุนี้โดยแท้ ผู้คนที่เกิดในครอบครัวเช่นนี้จึงสืบทอดอัตลักษณ์ สถานะ และคุณค่าแบบเดียวกันไปด้วย  ความอับอายที่พวกเขารู้สึกจากการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้มักจะส่งผลต่ออารมณ์ส่วนลึกที่สุดของพวกเขา ทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งทั้งหลาย และวิธีการที่พวกเขาใช้รับมือสิ่งทั้งหลายอีกด้วย  นี่ส่งผลอย่างมากต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งการปฏิบัติความจริงของพวกเขาระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่  เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาและการปฏิบัติความจริงของผู้คนโดยแท้ ว่าไม่ว่าจะเป็นอัตลักษณ์แบบใดก็ตามที่ตกทอดมาจากครอบครัวของเจ้า เจ้าก็ควรปล่อยมือจากอัตลักษณ์นั้น

บางคนอาจกล่าวว่า “พ่อแม่ที่คุณเพิ่งพูดถึงล้วนเป็นเกษตรกรรายย่อย เจ้าของกิจการเล็กๆ คนขายของหาบเร่ คนทำความสะอาด และคนทำงานเบ็ดเตล็ด  สถานะทางสังคมเหล่านี้ต่ำต้อยมาก และถูกต้องแล้วที่ผู้คนควรปล่อยมือจากสถานะเหล่านี้  ดังคำกล่าวที่ว่า ‘มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ’  ผู้คนควรมองสูงและใฝ่สูง ไม่ควรมองสิ่งเหล่านี้ที่เชื่อมโยงกับสถานะอันต่ำต้อย  ตัวอย่างเช่น ใครบ้างอยากเป็นเกษตรกรรายย่อย?  ใครบ้างอยากเป็นคนค้าขายรายเล็ก?  ทุกคนอยากทำเงินก้อนโต อยากเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง มีสถานะในสังคม และประสบความสำเร็จอย่างพรวดพราด  ไม่มีใครมุ่งมาดที่จะเป็นเกษตรกรรายย่อยตั้งแต่อายุยังน้อย และพอใจกับการเพาะปลูกและมีพอกินพอดื่ม  ไม่มีใครมองเรื่องนั้นว่าเป็นความสำเร็จ ไม่มีผู้คนแบบนั้น  เป็นเพราะครอบครัวแบบนี้นำความอับอายมาให้ผู้คนและทำให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะอัตลักษณ์ของตนโดยแท้ พวกเขาจึงควรปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่ตกทอดมาจากครอบครัว”  เป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  ไม่ได้เป็นเช่นนี้  ถ้าพวกเราเสวนากันจากแง่มุมที่ต่างออกไป บางคนก็เกิดในครอบครัวที่ได้เปรียบ มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี หรือมีสถานะที่สูงส่งทางสังคม ดังนั้นพวกเขาจึงสืบทอดอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่โดดเด่น และได้รับการยกย่องจากทุกฝ่าย  เมื่อเติบโตขึ้นมา พ่อแม่และผู้อาวุโสในครอบครัวก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างทะนุถนอม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปฏิบัติที่พวกเขาได้รับในสังคม  เป็นเพราะภูมิหลังทางครอบครัวที่พิเศษและสูงส่ง ครูและเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนของพวกเขาจึงล้วนยกย่องพวกเขา และไม่มีใครกล้ารังแกพวกเขา  ครูทั้งหลายพูดคุยกับพวกเขาอย่างอ่อนโยนและมีไมตรี และเพื่อนร่วมชั้นก็ให้เกียรติพวกเขาเป็นพิเศษ  ด้วยเหตุที่พวกเขามาจากครอบครัวที่ได้เปรียบ มีภูมิหลังที่โดดเด่น ซึ่งทำให้พวกเขามีอัตลักษณ์ที่สูงส่งในสังคมและทำให้ผู้อื่นยกย่องพวกเขา พวกเขาจึงมีความรู้สึกว่าเหนือกว่า และรู้สึกว่าตนมีอัตลักษณ์และสถานะที่น่านับถือในสังคม  ผลก็คือไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด พวกเขาก็แสดงความมั่นใจเกินตัว พูดทุกอย่างตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของใคร และทำทุกสิ่งโดยไม่ยับยั้งชั่งใจแต่อย่างใด  ในสายตาของผู้อื่น พวกเขารู้จักการเข้าสังคมและสง่างาม ไม่กลัวที่จะคิดการใหญ่ พูดสิ่งที่คิด และลงมือทำ และไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวหรือทำสิ่งใด ด้วยเหตุที่พวกเขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่งของครอบครัวคอยเกื้อหนุน จึงมีผู้ทรงคุณวุฒิบางคนคอยช่วยเหลือพวกเขาเสมอ และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นไปอย่างราบรื่น  ยิ่งสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความเหนือกว่า  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็ตั้งใจวางอำนาจ ทำตัวเด่นเหนือผู้อื่น และแตกต่างจากผู้อื่น  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากินร่วมกับผู้อื่น พวกเขาจะเลือกอาหารจานโต และถ้าไม่ได้ตามนั้น พวกเขาก็จะโกรธ  เวลาใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็ยืนกรานที่จะนอนเตียงที่ดีที่สุด—ตัวที่ตั้งอยู่ในจุดที่รับแดดมากที่สุด หรือใกล้เครื่องทำความร้อน หรือตรงไหนก็ได้ที่อากาศสดชื่น—และเตียงนั้นย่อมเป็นของพวกเขาเท่านั้น  นี่คือความรู้สึกว่าตนเหนือกว่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ของบางคนมีรายได้ดี หรือเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือน หรือเป็นมืออาชีพที่มีความสามารถและได้เงินเดือนสูง ดังนั้นครอบครัวของพวกเขาจึงสุขสบายและมีฐานะดีเป็นพิเศษ ไม่มีความกังวลเรื่องการซื้อหาของอย่างอาหารหรือเสื้อผ้า  ผลที่ตามมาคือผู้คนดังกล่าวรู้สึกถึงความเหนือกว่าอย่างมาก  พวกเขาสามารถสวมใส่อะไรก็ได้ตามต้องการ ซื้อเสื้อผ้าที่ทันสมัยที่สุด และพอหมดสมัยก็ทิ้งไป  พวกเขาสามารถกินทุกสิ่งที่อยากกินอีกด้วย—เพียงพูดออกมาก็จะมีคนส่งให้กิน  พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องใดเลย และรู้สึกอย่างยิ่งถึงความเหนือกว่า  อัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดจากครอบครัวที่ได้เปรียบเช่นนี้ย่อมหมายความว่าในสายตาของผู้อื่น ถ้าพวกเขาเป็นหญิงก็เป็นเจ้าหญิงโดยแท้ หรือถ้าเป็นชายก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ  พวกเขาสืบทอดอะไรมาจากครอบครัวแบบนี้?  อัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่สูงส่ง  สิ่งที่พวกเขาได้รับตกทอดมาจากครอบครัวแบบนี้ไม่ใช่ความอับอาย แต่เป็นความเกรียงไกร  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดหรือกับคนกลุ่มใด พวกเขาก็รู้สึกอยู่เสมอว่าตนอยู่เหนือทุกคน  พวกเขาย่อมพูดอะไรทำนองว่า “พ่อแม่ของฉันเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่ง  ครอบครัวของฉันมีเงินมากมาย  ฉันอยากใช้เมื่อไรก็ใช้ และไม่เคยต้องคำนวณค่าใช้จ่าย” หรือ “พ่อแม่ของฉันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง  ไม่ว่าฉันจะไปติดต่อเรื่องอะไรที่ไหน เพียงฉันพูดคำเดียวก็สามารถทำให้สิ่งต่างๆ เสร็จเรียบร้อยได้ ไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามปกติ  คุณดูสิว่าพวกคุณต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนถึงจะทำเรื่องต่างๆ ให้เสร็จได้ คุณต้องผ่านขั้นตอนที่ถูกควร รอให้ถึงลำดับของคุณ แล้วเข้าไปขอร้องผู้คน  ดูฉันสิ ฉันแค่บอกผู้ช่วยคนใดคนหนึ่งของพ่อแม่ฉันเท่านั้นว่ามีอะไรต้องทำ แล้วก็เสร็จเรื่อง  อัตลักษณ์กับสถานะทางสังคมนี่เยี่ยมจริงๆ!”  พวกเขารู้สึกถึงความเหนือกว่าหรือไม่?  (รู้สึก)  บางคนกล่าวว่า “พ่อแม่ของฉันเป็นบุคคลสาธารณะที่เด่นดัง คุณสามารถค้นชื่อของพวกเขาทางอินเทอร์เน็ตดูได้ว่ามีชื่อขึ้นมาหรือไม่”  เมื่อใครบางคนตรวจสอบรายชื่อคนดังและมีชื่อพ่อแม่ของพวกเขาอยู่ด้วยจริงๆ ก็ทำให้ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกถึงความเหนือกว่า  ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ถ้าใครสักคนถามพวกเขาว่า “คุณชื่ออะไร?” พวกเขาย่อมตอบว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าฉันชื่ออะไร พ่อแม่ของฉันชื่อนี้ๆ”  สิ่งแรกที่พวกเขาบอกผู้คนก็คือชื่อพ่อแม่ของตน เพื่อให้ผู้อื่นรู้จักอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของพวกเขา  บางคนคิดในใจว่า “ครอบครัวของคุณมีสถานะ พ่อแม่ของคุณเป็นเจ้าหน้าที่ หรือคนดัง หรือนักธุรกิจที่มั่งคั่งทั้งคู่ ซึ่งทำให้คุณที่เป็นลูกที่มีอภิสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือพ่อแม่ที่รวยมาก  แล้วฉันล่ะ?”  หลังจากคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็ตอบว่า “พ่อแม่ของฉันไม่มีอะไรที่พิเศษ  พวกเขาเป็นเพียงพนักงานทั่วไปที่ได้เงินเดือนปานกลาง เลยไม่มีอะไรให้คุยโต—แต่บรรพบุรุษของฉันคนหนึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์อะไรสักอย่าง”  ผู้อื่นก็กล่าวว่า “บรรพบุรุษของคุณเป็นอัครมหาเสนาบดี  ว้าว อย่างนั้นคุณก็มีสถานะพิเศษ  คุณเป็นลูกหลานของอัครมหาเสนาบดี  ไม่ว่าใครที่สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดีย่อมไม่ใช่คนธรรมดา นี่หมายความว่าคุณเป็นลูกหลานของคนดังเหมือนกัน!”  เจ้าดูเถิด เมื่อคนคนหนึ่งโยงตัวเองเข้ากับคนดัง อัตลักษณ์ของพวกเขาก็จะต่างออกไป สถานะทางสังคมของพวกเขาก็จะยกระดับขึ้นมาทันที และพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ได้รับความนับถือ  มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “บรรพบุรุษของฉันเคยมีรุ่นที่เป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่ง  พวกเขารวยมาก  ต่อมาเพราะความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความเปลี่ยนแปลงในระบบสังคม ทรัพย์สินของพวกเขาจึงถูกยึด  บ้านหลายหลังที่ผู้คนอาศัยอยู่ตอนนี้ ภายในรัศมีหลายสิบไมล์รอบบริเวณนี้ เคยเป็นบ้านของบรรพบุรุษของฉัน  สมัยก่อนบ้านของครอบครัวของฉันมีถึงสี่หรือห้าร้อยห้อง หรืออย่างน้อยที่สุดก็สองสามร้อยห้อง และมีคนรับใช้รวมๆ แล้วร้อยกว่าคน  ปู่ของฉันเป็นเจ้าของธุรกิจ  ท่านไม่เคยทำงานอะไรเลย แค่สั่งให้คนอื่นทำเท่านั้น  ส่วนย่าก็ใช้ชีวิตที่มีคนคอยดูแล ทั้งสองคนมีคนรับใช้คอยแต่งตัวและซักเสื้อผ้าให้  ต่อมาเพราะสภาพสังคมเปลี่ยนไป ครอบครัวเลยล่มจม แล้วพวกเราก็ไม่ได้เป็นส่วหนึ่งของชนชั้นสูงอีกต่อไป แต่กลายเป็นคนธรรมดา  ในอดีตครอบครัวของฉันเคยใหญ่โตและมีเกียรติยศ  ถ้าพวกเขากระทืบเท้าที่ฟากหนึ่งของหมู่บ้าน อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านก็จะรู้สึกถึงแรงสะเทือนได้ทันที  ทุกคนรู้ว่าพวกเขาคือใคร  ฉันมาจากครอบครัวแบบนั้น แล้วคุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหม?  คุณควรเคารพยกย่องฉัน จริงไหม?”  แต่ก็มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “ความมั่งคั่งของบรรพบุรุษของคุณไม่เห็นมีอะไรน่าประทับใจ  บรรพบุรุษของฉันเคยเป็นจักรพรรดิ แล้วก็เป็นปฐมจักรพรรดิที่ก่อตั้งราชวงศ์ด้วย  เล่ากันว่านามสกุลของฉันสืบทอดมาจากเขา  ครอบครัวของฉันล้วนเป็นญาติพี่น้องสายตรงของเขา ไม่ใช่ญาติห่างๆ  คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  ตอนนี้เมื่อคุณรู้ภูมิหลังของบรรพบุรุษของฉันแล้ว คุณก็ควรจะมองฉันใหม่ด้วยความเลื่อมใสและแสดงความนับถือฉันเสียหน่อยไม่ใช่หรือ?  คุณควรเคารพยกย่องฉันไม่ใช่หรือ?”  บางคนก็กล่าวว่า “แม้บรรพบุรุษของฉันจะไม่มีใครเป็นจักรพรรดิ แต่มีคนหนึ่งเป็นแม่ทัพที่สังหารข้าศึกไปนับไม่ถ้วน สร้างวีรกรรมทางการทหารไว้มากมายเกินจะนับ และกลายเป็นเสนาบดีคนสำคัญในราชสำนัก  ครอบครัวของฉันเป็นลูกหลานสายตรงของเขาทั้งหมด  จวบจนทุกวันนี้ครอบครัวของฉันก็ยังร่ำเรียนกระบวนท่าศิลปะการต่อสู้ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งเก็บเป็นความลับไม่ให้คนนอกรู้  คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  อัตลักษณ์ของฉันพิเศษไม่ใช่หรือ?  สถานะของฉันโดดเด่นไม่ใช่หรือ?”  อัตลักษณ์พิเศษที่ผู้คนสืบทอดมาจากครอบครัวของตนที่เรียกกันว่าบรรพชนอันไกลโพ้น และจากครอบครัวสมัยใหม่ของตนนี้ มีผู้คนมองว่าทรงเกียรติและเกรียงไกร และบางครั้งพวกเขาก็อ้างชื่อคนเหล่านั้นมาอวดในฐานะสัญลักษณ์แทนอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของตน  ด้านหนึ่งพวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าอัตลักษณ์และสถานะของตนไม่ธรรมดา  อีกด้านหนึ่งเมื่อผู้คนเล่าเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็กำลังพากเพียรสรรค์สร้างให้ตนเองมีที่ยืนและสถานะทางสังคมสูงขึ้น จะได้เพิ่มคุณค่าของตนในหมู่ผู้อื่น ดูเป็นคนที่ไม่ธรรมดาและพิเศษ  การเป็นคนที่ไม่ธรรมดาและพิเศษมีจุดประสงค์อะไร?  เพื่อให้ได้รับความเคารพ เลื่อมใส และยอมรับนับถือจากผู้อื่นมากขึ้น พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตที่สุขสบาย ง่ายดาย และมีศักดิ์ศรีมากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างในสภาพแวดล้อมที่พิเศษบางอย่าง มีผู้คนที่ไม่สามารถแสดงตนให้เป็นที่รับรู้ในกลุ่ม หรือได้รับความเคารพและยอมรับนับถือจากผู้อื่น  ดังนั้น พวกเขาจึงมองหาโอกาสและบางครั้งก็ใช้อัตลักษณ์ที่พิเศษของตนหรือภูมิหลังที่พิเศษของครอบครัวมาทำให้ตนเป็นที่รับรู้และให้ผู้คนรู้ว่าตนนั้นไม่ธรรมดา ทำให้ผู้คนเห็นค่าและเคารพตน จะได้มีเกียรติยศในหมู่คน  พวกเขากล่าวว่า “แม้อัตลักษณ์ สถานะ และขีดความสามารถของตัวฉันเองจะธรรมดา แต่บรรพบุรุษของฉันคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษาของครอบครัวเจ้าชายองค์หนึ่งในราชวงศ์หมิง  คุณเคยได้ยินชื่อนี้ๆ ไหม?  นั่นละบรรพบุรุษของฉัน เป็นทวดของปู่ฉัน เขาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของครอบครัวเจ้าชาย  ได้ชื่อว่าเป็น ‘จอมวางแผน’  เขาเชี่ยวชาญทุกด้านตั้งแต่ดาราศาสตร์ไปจนถึงภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์โบราณและสมัยใหม่ รวมทั้งกิจการในประเทศจีนและต่างประเทศ  เขายังสามารถพยากรณ์ได้อีกด้วย  ครอบครัวของพวกเรายังมีเข็มทิศฮวงจุ้ยในศาสตร์ภูมิลักษณ์พยากรณ์ที่เขาเคยใช้”  แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก แต่ก็เล่าเกร็ดประวัติอันน่าตื่นตาตื่นใจของบรรพบุรุษของตนให้ผู้อื่นฟังสนุกๆ เป็นครั้งคราว  ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่พวกเขาเล่านั้นจริงหรือไม่ และบ้างก็อาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่บ้างก็อาจเป็นเรื่องจริง  ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด อัตลักษณ์ที่พวกเขาสืบทอดมาจากครอบครัวย่อมสำคัญยิ่งในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  เป็นตัวกำหนดที่ยืนและสถานะของพวกเขาท่ามกลางผู้อื่น การปฏิบัติที่พวกเขาได้รับในหมู่ผู้คน ตลอดจนสถานการณ์และระดับชนชั้นที่พวกเขามีท่ามกลางผู้คน  เป็นเพราะเวลาอยู่ท่ามกลางผู้อื่น ผู้คนตระหนักรู้โดยแท้ว่าพวกเขาได้สิ่งเหล่านี้จากอัตลักษณ์ที่ตกทอดมาถึงตัวพวกเขา พวกเขาจึงมองว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก  ด้วยเหตุนี้ บางครั้งพวกเขาจึงอวดประวัติของครอบครัวตอนที่ “เกรียงไกร” และ “เจิดจรัส” พลางหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงแง่มุมของภูมิหลังทางครอบครัวหรือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในครอบครัวของตนซึ่งน่าละอาย หรืออาจถูกดูแคลน หรือทำให้ตนถูกเลือกปฏิบัติ  สรุปแล้ว อัตลักษณ์ที่ผู้คนสืบทอดมาจากครอบครัวของตนนั้นสำคัญมากในหัวใจของพวกเขา  เมื่อพวกเขามีประสบการณ์เป็นเหตุการณ์จำเพาะบางอย่าง พวกเขาก็มักจะใช้อัตลักษณ์พิเศษของครอบครัวเป็นต้นทุนและเหตุผลที่จะอวดตัว เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้คนและมีสถานะท่ามกลางผู้อื่น  ไม่ว่าครอบครัวของเจ้าจะนำความเกรียงไกรหรือความอับอายมาให้เจ้า ไม่ว่าอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะสูงส่งหรือต่ำต้อย สำหรับเจ้าแล้ว ครอบครัวนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้น  ไม่ได้เป็นเครื่องกำหนดว่าเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่ เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ หรือเจ้าสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  เพราะฉะนั้น ผู้คนก็ไม่ควรมองว่าอัตลักษณ์และสถานะเป็นเรื่องสำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่ได้เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของคนคนหนึ่ง อนาคตของคนคนหนึ่ง และยิ่งไม่ได้กำหนดเส้นทางที่คนคนหนึ่งเลือกเดิน  อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าทำได้เพียงกำหนดความรู้สึกและการรับรู้ที่เจ้ามีเวลาอยู่กับผู้อื่นเท่านั้น  ไม่ว่าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะเป็นสิ่งที่เจ้าดูหมิ่นหรือมีค่าให้คุยอวด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดได้ว่าเจ้าจะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าสืบทอดอัตลักษณ์หรือสถานะทางสังคมเช่นใดมาจากครอบครัวของเจ้า  ต่อให้อัตลักษณ์ที่ตกทอดมาถึงเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกเหนือกว่าและมีเกียรติ สิ่งนี้ก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง  หรือถ้าทำให้เจ้ารู้สึกละอาย ด้อยกว่า และไม่ค่อยยอมรับนับถือตนเอง นี่ก็จะไม่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่จะไม่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าแม้แต่น้อย และจะไม่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของเจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าเจ้าจะสืบทอดอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมเช่นใดมาจากครอบครัวของเจ้า ตามมุมมองของพระเจ้าแล้ว ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันที่จะได้รับการช่วยให้รอด ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยสถานะและอัตลักษณ์ที่เหมือนกัน  อัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัว ไม่ว่าจะมีเกียรติหรือน่าละอาย ก็ไม่ได้กำหนดความเป็นมนุษย์ของเจ้า และไม่ได้กำหนดเส้นทางที่เจ้าเดิน  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าให้ความสำคัญกับมันมาก และมองว่าอัตลักษณ์คือส่วนสำคัญในชีวิตและตัวตนของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะยึดอัตลักษณ์นั้นไว้มั่น ไม่มีวันปล่อยมือ และภาคภูมิใจในอัตลักษณ์นั้นๆ  ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นสูงส่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองว่านั่นเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง แต่ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวนั้นต่ำต้อย เจ้าก็จะมองว่าเป็นเรื่องน่าละอาย  ไม่ว่าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวจะสูงส่ง เกรียงไกร หรือน่าละอาย นั่นก็เป็นเพียงความเข้าใจส่วนตัวของเจ้า และผลจากการมองเรื่องนี้ตามมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้น  นี่เป็นเพียงความรู้สึก การรับรู้ และความเข้าใจของเจ้าเองเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงตามความจริงและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  นี่ไม่ใช่ต้นทุนให้เจ้าใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง และแน่นอนว่าไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า  ถ้าสถานะทางสังคมของเจ้าสูงส่งและได้รับการยกชู นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะนั้นคือต้นทุนสำหรับความรอดของเจ้า  ถ้าสถานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยและไร้ความสำคัญ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะคืออุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และยิ่งไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการไล่ตามเสาะหาความรอดของเจ้า  แม้สภาพแวดล้อม ภูมิหลัง คุณภาพชีวิต ตลอดจนภาวะความเป็นอยู่ของครอบครัวจะมาจากการลิขิตของพระเจ้าทั้งสิ้น แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอัตลักษณ์ที่แท้จริงของคนคนหนึ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ไม่ว่าใคร ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวใด หรือภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขาจะเด่นดังหรือเป็นรองผู้อื่น ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้าทั้งสิ้น  ต่อให้ครอบครัวของเจ้ามีภูมิหลังอันเด่นดังและเจ้ามีอัตลักษณ์และสถานะอันสูงส่ง เจ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่ดี  ในทำนองเดียวกัน ถ้าสถานะครอบครัวของเจ้าต่ำต้อยและเจ้าถูกผู้อื่นดูแคลน เจ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้าอยู่ดี—ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวเจ้า  ภูมิหลังทางครอบครัวที่แตกต่างกันย่อมทำให้ผู้คนมีสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่ต่างกัน และสภาพความเป็นอยู่ในครอบครัวที่แตกต่างกันก็ย่อมทำให้ผู้คนมีมุมมองที่ต่างออกไปในการจัดการวัตถุสิ่งของ โลก และชีวิต  ไม่ว่าคนเราจะมีฐานะดีหรือขัดสนในชีวิต ไม่ว่าสภาพการณ์ของครอบครัวคนเราจะมีความได้เปรียบหรือไม่ก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงประสบการณ์ที่ต่างกันออกไปสำหรับผู้คนต่างๆ  เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่ยากไร้และครอบครัวของพวกเขาก็มีมาตรฐานความเป็นอยู่ค่อนข้างต่ำย่อมมีประสบการณ์ชีวิตที่ลงลึกกว่า ส่วนคนที่ร่ำรวยและครอบครัวของพวกเขาก็มีความได้เปรียบเป็นพิเศษ ย่อมได้ประสบการณ์แบบนี้ยากกว่า ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ไม่ว่าเจ้าจะโตมาในสภาพครอบครัวเช่นใด และไม่ว่าเจ้าจะได้อัตลักษณ์และสถานะทางสังคมแบบใดจากสภาพครอบครัวนั้นๆ เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงรับรู้และยอมรับว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าย่อมเป็นเหมือนผู้คนอื่นๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทัดเทียมกับผู้อื่น ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวเจ้า และพระเจ้าก็จะทรงใช้วิธีเดียวกันและมาตรฐานเดียวกันในส่วนของข้อกำหนดที่พระองค์มีต่อเจ้า  ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ฉันมีสถานะทางสังคมที่พิเศษ” เช่นนั้นแล้ว เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็ต้องไม่สนใจ “ความพิเศษ” นี้ ถ้าเจ้ากล่าวว่า “สถานะทางสังคมของฉันต่ำต้อย” เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องเลิกสนใจ “ความต่ำต้อย” นี้ด้วย  เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเจ้าแต่ละคนต้องก้าวออกมาจากอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้า ปล่อยไป ยอมรับอัตลักษณ์ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และใช้อัตลักษณ์นี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดี  ถ้าเจ้ามาจากครอบครัวที่ดีและมีสถานะสูงส่ง เจ้าก็ไม่มีอะไรให้คุยอวด และเจ้าก็ไม่ได้สูงส่งกว่าใครอื่น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตราบใดที่เจ้าเป็นมนุษย์ทรงสร้าง เจ้าย่อมเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเป็นหนึ่งในคนที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอด  ในทำนองเดียวกัน ถ้าอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าต่ำต้อยและไร้ความสำคัญ เจ้าก็ต้องยอมรับอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าอยู่ดี และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อน้อมรับความรอดจากพระองค์  เจ้าอาจกล่าวว่า “สถานะทางสังคมของครอบครัวของฉันนั้นต่ำต้อย และอัตลักษณ์ของฉันก็ต่ำต้อยเช่นกัน  ผู้คนดูแคลนฉัน”  พระเจ้าย่อมตรัสว่านั่นไม่สำคัญ  วันนี้ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่ได้ดูเหมือนคนที่มีอัตลักษณ์ตามที่ได้มาจากครอบครัวของเจ้าอีกต่อไป  อัตลักษณ์ของเจ้าในตอนนี้คืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และสิ่งที่เจ้าควรยอมรับก็คือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างใคร  พระองค์ไม่ทรงมองภูมิหลังทางครอบครัวหรืออัตลักษณ์ของเจ้า เพราะในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าก็เป็นเช่นทุกคน  เจ้าถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทราม และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอด  ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือพ่อแม่ที่รวยมาก เป็นคนหนุ่มที่มีอภิสิทธิ์หรือเป็นเจ้าหญิง หรือเป็นลูกของเกษตรกรรายย่อยหรือคนธรรมดา  สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ และพระเจ้าก็ไม่ทรงมองอะไรแบบนี้  เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอดก็คือเจ้าที่เป็นตัวบุคคล  พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า ไม่ใช่อัตลักษณ์ของเจ้า  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้มีอัตลักษณ์ของเจ้าเป็นเครื่องกำหนด คุณค่าของเจ้าก็ไม่ได้กำหนดตามอัตลักษณ์ของเจ้า และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าก็ไม่ได้มาจากครอบครัวของเจ้า  พระเจ้าทรงต้องการช่วยเจ้าให้รอด ไม่ใช่เพราะสถานะของเจ้าอาจต่ำต้อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่เพราะสถานะของเจ้าอาจโดดเด่น  แต่พระเจ้าทรงเลือกเจ้าเอาไว้ก็เพราะแผนการและการบริหารจัดการของพระองค์ เพราะเจ้าถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทราม  เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะสืบทอดอัตลักษณ์แบบใดมาจากครอบครัวของเจ้า เจ้าก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ทุกคน  พวกเจ้าทุกคนคือสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ตัวเจ้าไม่มีอะไรพิเศษ  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น คราวหน้าเมื่อใครบางคนรอบตัวเจ้ากล่าวว่า “ฉันเคยเป็นผู้พิพากษาของศาลเทศมณฑล” หรือ “ฉันเคยเป็นผู้ว่าการมณฑล” หรือบางคนกล่าวว่า “บรรพบุรุษของพวกเราเป็นจักรพรรดิ” หรือบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยเป็นสมาชิกสภา” หรือ “ฉันเคยชิงตำแหน่งประธานาธิบดี” หรือบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยเป็นประธานบริษัทใหญ่” หรือ “ฉันเคยเป็นนายใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ” มีอะไรน่าทึ่งในเรื่องนั้นนักหรือ?  สำคัญหรือไม่ที่เจ้าเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือเป็นผู้บังคับบัญชา?  โลกนี้และสังคมนี้ให้ความสำคัญอย่างมากต่ออัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของผู้คน และตัดสินใจว่าควรปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรตามอัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของเจ้า  แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะไม่ทรงมองเจ้าต่างออกไปด้วยเหตุผลว่าเจ้าเคยเจิดจรัสเพียงใดในอดีต หรืออัตลักษณ์ของเจ้าเคยเจิดจรัสและเกรียงไกรเพียงใด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่พระองค์ทรงกำหนดให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง มีประโยชน์อะไรหรือไม่ที่จะอวดคุณวุฒิ สถานะทางสังคม และคุณค่าของเจ้า?  (ไม่มี)  การทำเช่นนั้นเป็นเรื่องเบาปัญญาหรือไม่?  (เป็น)  ผู้คนที่เบาปัญญาย่อมโน้มเอียงที่จะใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินตนเองโดยเทียบกับผู้อื่น  นอกจากนี้ยังมีผู้เชื่อใหม่บางคนที่มีวุฒิภาวะน้อยและไม่เข้าใจความจริง มักจะใช้สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากสังคมและครอบครัวมาเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น  โดยทั่วไปแล้วผู้คนที่พอจะมีรากฐานและวุฒิภาวะอยู่บ้างในการเชื่อในพระเจ้า ย่อมจะไม่ทำเช่นนี้และไม่พูดถึงสิ่งดังกล่าว  การใช้อัตลักษณ์ของครอบครัวหรือที่ยืนในสังคมของตนมาเป็นต้นทุนนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง

บัดนี้ที่เราสามัคคีธรรมเรื่องนี้ไปมากแล้ว พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากล่าวในเรื่องของอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ลองกล่าวอะไรสักอย่างในเรื่องนี้ให้เราฟังบ้างเถิด  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะขอพูดบางสิ่งในเรื่องนี้  ผู้คนมักจะให้ความสำคัญกับครอบครัวที่พวกเขาเกิดมาเป็นพิเศษ รวมทั้งอัตลักษณ์และสถานะที่ครอบครัวมีในสังคม  ผู้คนที่เกิดในครอบครัวที่มีสถานะทางสังคมต่ำต้อยย่อมโน้มเอียงที่จะคิดว่าตนนั้นค่อนข้างด้อยกว่าผู้อื่น  พวกเขารู้สึกว่าตนมีที่มาต่ำต้อยมาก และไม่อาจเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากพากเพียรให้สถานะทางสังคมของตนดีขึ้น ส่วนคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีที่ยืนและสถานะค่อนข้างสูงส่งก็โน้มเอียงที่จะโอหังและทะนงตนมาก พวกเขาชอบอวดตัว และรู้สึกถึงความเหนือกว่าอยู่ภายใน  แต่ที่จริงแล้ว สถานะทางสังคมของผู้คนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ผู้คนมีอัตลักษณ์และสถานะเหมือนกันคือ—พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อัตลักษณ์และสถานะของคนคนหนึ่งไม่อาจเป็นเครื่องกำหนดว่าพวกเขาจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง หรือได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ ดังนั้นคนเราจึงไม่อาจตีกรอบตัวเองตามอัตลักษณ์และสถานะของตนได้)  ดีมาก  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเอาใจใส่อัตลักษณ์และสถานะทางสังคมของคนคนหนึ่งเป็นอันมาก ดังนั้นในรูปการณ์บางอย่างที่พิเศษ พวกเขาย่อมจะกล่าวอะไรทำนองว่า “คุณก็รู้จักคนนั้นๆ ในคริสตจักรของพวกเรา ครอบครัวของพวกเขาฐานะดีมาก!”  ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายเวลาที่พวกเขากล่าวคำว่า “ฐานะดี” ซึ่งบ่งชี้ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาที่อิจฉาและริษยาเป็นอย่างยิ่ง  ความรู้สึกอิจฉาของพวกเขาเพิ่มพูนยาวนานจนถึงจุดที่พวกเขาอยากเป็นแบบผู้คนแบบนั้นและกล่าวว่า “คุณก็รู้จักผู้คนตรงโน้น พ่อของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง และพ่อของเขาก็เป็นผู้พิพากษาประจำเขต แม่ของเธอคนนั้นเป็นนายกเทศมนตรี ส่วนพ่อของคนนั้นก็เป็นเลขากรมอะไรสักอย่าง!”  เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนสวมเสื้อผ้าสวยๆ แต่งตัวดี หรือพอจะมีระดับหรือมีความเข้าใจเชิงลึกอยู่บ้าง หรือใช้ของที่หรูเป็นพิเศษ พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาและคิดว่า “ครอบครัวของพวกเขาร่ำรวย พวกเขาต้องมีเงินมาก” แล้วความชื่นชมและความอิจฉาก็กลืนกินพวกเขา  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดคุยว่าคนนั้นคนนี้ได้เป็นนายใหญ่ของบริษัทบางแห่ง พวกเขาก็ใส่ใจอัตลักษณ์ของคนคนนั้นมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก  พวกเขาพูดถึงการงานของคนคนนั้นเสมอ ต่อให้คนคนนั้นไม่เคยหยิบยกเรื่องงานขึ้นมาพูดเองก็ตาม และพวกเขาถึงกับลงคะแนนเลือกคนคนนั้นเมื่อถึงเวลาเลือกผู้นำคริสตจักร  พวกเขามีความรู้สึกที่พิเศษให้กับผู้คนที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่าตน และให้ความสนใจในตัวพวกเขาเป็นพิเศษ  พวกเขาพยายามตามใจ เข้าไปใกล้ชิด และประจบเอาใจผู้คนเหล่านั้นอยู่เสมอ พลางนึกเกลียดตัวเองและคิดว่า “ทำไมพ่อของฉันถึงไม่เป็นเจ้าหน้าที่?  ทำไมฉันถึงเกิดมาในครอบครัวนี้?  ทำไมฉันถึงไม่มีอะไรดีๆ ให้พูดถึงครอบครัวของตัวเองบ้าง?  พวกเขาเกิดมาในครอบครัวที่ถ้าไม่ใช่ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่ง แต่ครอบครัวของฉันกลับไม่มีอะไรสักอย่าง  พี่น้องของฉันต่างก็เป็นผู้คนธรรมดา เป็นเกษตรกรรายย่อยที่ทำไร่ไถนา และทุกคนก็อยู่ที่ฐานล่างของสังคม  ส่วนพ่อแม่ของฉันนั้นยิ่งไม่พูดถึงเลยยิ่งดี—พวกเขาไม่มีการศึกษาด้วยซ้ำ  น่าอายจริงๆ!”  ทันทีที่ใครต่อใครเอ่ยถึงพ่อแม่ของพวกเขา พวกเขาก็พูดจาบ่ายเบี่ยงและบอกว่า “อย่าหยิบยกเรื่องนี้มาคุยกันเลย พูดเรื่องอื่นเถิด  มาคุยเรื่องนี้ๆ ในคริสตจักรของพวกเรากัน  ดูตำแหน่งบริหารจัดการที่เขาถือครองอยู่สิ เขารู้ว่าจะเป็นผู้นำได้อย่างไร  เขาทำงานนี้มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีใครแทนที่เขาได้  คนคนนั้นเกิดมาเป็นผู้นำ  ถ้าพูดถึงพวกเราในแบบเดียวกันได้ก็คงดี  คราวนี้พอเขาเชื่อในพระเจ้า ก็เลยเป็นพรสองชั้น  เขาเป็นคนที่มีพรจริงๆ เพราะเขามีทุกสิ่งที่คนเราอยากที่จะมีได้ในสังคมแล้ว และตอนนี้เมื่อเขามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เขาก็สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรและมีบั้นปลายที่งดงามได้อีกด้วย”  พวกเขาเชื่อว่าเมื่อเจ้าหน้าที่มายังพระนิเวศของพระเจ้า เขาหรือเธอควรเป็นผู้นำคริสตจักรและมีบั้นปลายที่สวยงาม  ใครตัดสินเรื่องนั้น?  พวกเขามีสิทธิ์ชี้ขาดหรือไม่?  (ไม่มี)  ชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่ผู้ไม่เชื่อพูดกัน  ถ้าพวกเขาพบเห็นคนที่มีความสามารถและมีพรสวรรค์ในตัวอยู่บ้าง แต่งตัวดีและสุขสำราญกับสิ่งดีๆ ในชีวิต ขับรถสวยๆ และอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมดึงดันคบค้ากับคนคนนั้น ประจบเอาใจและทำตัวให้ถูกใจคนคนนั้น  จากนั้นก็ยังมีผู้อื่นที่รู้สึกว่าตนมีสถานะและที่ยืนอันสูงส่งในสังคม  เมื่อพวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็เรียกร้องสิทธิพิเศษอยู่เสมอ ตะโกนสั่งพี่น้องชายหญิง และปฏิบัติต่อพี่น้องเหมือนทาส เพราะพวกเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเจ้าหน้าที่กันมาก  ผู้คนดังกล่าวคิดว่าพี่น้องชายหญิงอยู่ใต้อาณัติของตนใช่หรือไม่?  พอถึงเวลาเลือกผู้นำคริสตจักร ถ้าพวกเขาไม่ได้รับเลือก พวกเขาย่อมโกรธและกล่าวว่า “ฉันจะไม่เชื่ออีกแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรม ไม่ให้โอกาสผู้คน พระนิเวศของพระเจ้าดูแคลนผู้คน!”  พวกเขาเคยชินกับการเป็นเจ้าหน้าที่ในโลกภายนอก และคิดว่าตนคือของจริง ดังนั้นเมื่อพวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจึงพยายามตลอดเวลาที่จะมีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาด เป็นผู้นำในทุกเรื่อง และเรียกร้องสิทธิพิเศษต่างๆ และพวกเขาก็ปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนที่ทำกับโลกและสังคม  บางทีอาจมีสักคนที่เป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่ในโลกภายนอก แต่พอเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าก็ยังคงอยากได้รับการปฏิบัติด้วยเหมือนภรรยาของเจ้าหน้าที่ อยากให้ผู้คนประจบประแจงและคอยเดินตามเธอ  ระหว่างการชุมนุม ถ้าพี่น้องชายหญิงละเลยไม่ทักทายเธอ เธอย่อมโกรธและเลิกมาชุมนุมเพราะรู้สึกว่าผู้คนไม่ให้ความสำคัญกับเธอ รู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่มีความหมาย  นี่ไร้เหตุผลมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าเจ้าจะมีอัตลักษณ์พิเศษเช่นใดในสังคม เมื่อเจ้ามาที่พระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมสูญสิ้นอัตลักษณ์พิเศษนั้น  เบื้องพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าความจริง ผู้คนมีอัตลักษณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เมื่ออยู่ในโลกภายนอก ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือภรรยาของเจ้าหน้าที่ เป็นสมาชิกของอภิสิทธิ์ชนในสังคมหรือเป็นพนักงานธุรการ เป็นนายพลหรือพลทหาร เจ้าก็มีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในพระนิเวศของพระเจ้า คืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ตัวเจ้าไม่มีอะไรที่พิเศษ ดังนั้นจงอย่าแสวงหาสิทธิพิเศษหรือทำให้ผู้คนเคารพบูชาเจ้า  ยังมีผู้อื่นที่มาจากครอบครัวคริสตชนที่พิเศษ หรือครอบครัวที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายรุ่นแล้ว  บางทีแม่ของพวกเขาอาจได้รับการฝึกอบรมในโรงเรียนสอนศาสนา และพ่อของพวกเขาก็เป็นศิษยาภิบาล  พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีเป็นพิเศษในชุมชนศาสนา และผู้เชื่อก็ห้อมล้อมพวกเขา  หลังจากยอมรับพระราชกิจระยะนี้ของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองมีอัตลักษณ์เช่นเดียวกับเมื่อก่อน แต่พวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในแดนฝัน!  ถึงเวลาที่พวกเขาจะเลิกฝันและตื่นขึ้นมาแล้ว  ไม่สำคัญว่าเจ้าเป็นศิษยาภิบาลหรือผู้นำ เมื่อเจ้ามาที่พระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ต้องทำความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของตน  นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าต้องทำ  เจ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูง และไม่ใช่พนักงานธุรการ เจ้าไม่ใช่นักธุรกิจที่มั่งคั่ง และไม่ใช่คนจนที่สิ้นเนื้อประดาตัว  เมื่อเจ้ามาที่พระนิเวศของพระเจ้า เจ้ามีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคืออัตลักษณ์ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า—อัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำสิ่งใด?  เจ้าไม่ควรอวดอ้างประวัติครอบครัวของเจ้า หรือสถานะทางสังคมที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัว และไม่ควรใช้สถานะทางสังคมที่เหนือกว่ามาอาละวาดในพระนิเวศของพระเจ้าและแสวงหาสิทธิพิเศษ และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรใช้ประสบการณ์ที่เจ้าสั่งสมมาในสังคมและความรู้สึกว่าเหนือกว่าที่ได้รับมาจากสถานะทางสังคมของเจ้า มาทำตัวเหมือนนักปกครองที่มีอำนาจสูงสุดในพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด  กลับกัน ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง วางตนให้ถูกควร ไม่เอ่ยถึงภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้า ไม่มีความรู้สึกว่าเหนือกว่า และเจ้าก็ไม่ควรมีปมด้อยเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้สึกต่ำต้อย หรือมีความรู้สึกว่าเหนือกว่า  สรุปว่าเจ้าจำเป็นต้องทำสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำให้ดีและด้วยความเชื่อฟัง รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติให้ดี  บางคนกล่าวว่า “แล้วนั่นหมายความว่าฉันต้องฝืนใจตัวเองและสงบเสงี่ยมเจียมตนหรือเปล่า?”  ไม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองหรือสงบเสงี่ยมเจียมตน เจ้าไม่จำเป็นต้องนอบน้อม และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำตัวสูงส่งและทรงอำนาจ  เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามทำตัวเด่น ไม่ต้องเสแสร้ง และไม่ต้องยอมอ่อนข้อเพียงเพื่อที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมและในลักษณะที่เที่ยงธรรม เพราะพระเจ้าคือความจริง  พระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายแก่ผู้คน ทรงวางข้อกำหนดไว้มากมาย และในท้ายที่สุดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างถูกควร และทำทุกสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำให้ถูกควร  สำหรับการรับมือเรื่องของอัตลักษณ์ที่ผู้คนสืบทอดมาจากครอบครัวของพวกเขานี้ เจ้าพึงต้องมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์อีกด้วย แทนที่จะอวดอ้างความรู้สึกเหนือกว่าที่ได้รับมาจากครอบครัวของเจ้า  และแน่นอนว่าถ้าเจ้ามาจากครอบครัวที่เสียเปรียบ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดอกเล่าให้ทุกคนฟังตามตรงว่าแย่เพียงใด  ผู้อื่นอาจกล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเรา ‘อย่าถามผู้กล้าถึงที่มาของเขา’ ไม่ใช่หรือ?”  คำกล่าวนี้ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คำกล่าวนี้ไม่ใช่ความจริง ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องประเมินสิ่งใดตามคำกล่าวนี้ และไม่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักเกณฑ์เหมือนที่ยึดปฏิบัติตามข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า  ส่วนเรื่องอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้านั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าทำก็คือให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน  เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า อัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวของเจ้าก็คืออัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นเจ้าก็ควรปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายที่สามารถส่งผลต่อการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดี หรือขัดขวางไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นได้  เจ้าไม่ควรมีพื้นที่ให้กับสิ่งเหล่านี้ในหัวใจของเจ้า และไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป  ไม่ว่าจะในแง่ของลักษณะท่าทางหรือท่าที เจ้าก็ควรปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่ต่างออกไปซึ่งตกทอดมาจากครอบครัวของเจ้า  เจ้าคิดอย่างไรในเรื่องนี้?  ทำได้หรือไม่?  (ได้)  บางทีเจ้าอาจสืบทอดอัตลักษณ์ที่มีเกียรติมาจากครอบครัวของเจ้า หรือบางทีภูมิหลังทางครอบครัวของเจ้าอาจทอดเงาอยู่เหนืออัตลักษณ์ของเจ้า  ไม่ว่าอย่างไร เราก็หวังว่าเจ้าจะเป็นอิสระจากสิ่งนั้น จริงจังกับเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์บางอย่างที่พิเศษ และสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการลุล่วงหน้าที่ของเจ้า มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติต่อผู้อื่น และส่งผลต่อหลักธรรมอันถูกต้องที่เจ้าใช้รับมือสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งหลักธรรมที่เจ้าใช้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เราก็หวังว่าเจ้าจะเลิกอยู่ใต้อิทธิพลของอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวได้ ปฏิบัติต่อทุกคนและรับมือทุกสิ่งได้อย่างถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีใครบางคนในคริสตจักรที่สุกเอาเผากินในหน้าที่ของเธอเสมอ และคอยขัดขวางอย่างต่อเนื่อง  เจ้าควรรับมือเธออย่างไร?  เจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้พลางคิดว่า “ฉันต้องตัดแต่งเธอ เพราะถ้าฉันไม่ตัดแต่งเธอ ก็จะส่งผลต่องานของคริสตจักร”  ดังนั้นเจ้าจึงลงมือตัดแต่งเธอ  แต่เธอกลับไม่ยอมลงให้ และสรรหาข้อแก้ตัวมาอ้างมากมาย  เจ้าไม่กลัวเธอ ดังนั้นเจ้าจึงสามัคคีธรรมและตัดแต่งเธอต่อไป  เธอก็กล่าวว่า “คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” และเจ้าก็ตอบว่า “เรื่องคุณเป็นใครนี่สำคัญอะไรกับฉันอย่างนั้นหรือ?”  เธอก็บอกว่า “สามีของฉันเป็นเจ้านายของสามีคุณ  ถ้าคุณก่อเรื่องยุ่งยากให้ฉันในวันนี้ สามีของคุณก็จะเดือดร้อน”  เจ้าจึงตอบไปว่า “นี่เป็นงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ถ้าคุณไม่ทำงานให้ดีและคอยขัดขวางอยู่เรื่อย ฉันจะปลดคุณออกจากหน้าที่ของคุณ”  ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็บอกคุณไปแล้วว่าเรื่องจะเป็นเช่นไร  ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว่าควรทำอย่างไร!”  ที่ว่า “ตัดสินใจเอาเอง” นี้ เธอหมายความว่าอย่างไร?  เธอกำลังบอกเจ้าว่าถ้าเจ้ากล้าปลดเธอ เธอก็จะทำให้สามีของเจ้าถูกไล่ออก  ถึงจุดนี้ เจ้าย่อมคิดว่า “ผู้หญิงคนนี้มีคนที่มีอำนาจคอยหนุนหลัง มิน่าเธอถึงพูดจาโอหังอย่างนี้ตลอดเวลา” และแล้วเจ้าก็เลยเปลี่ยนน้ำเสียงและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ฉันจะปล่อยผ่าน แต่คราวหน้าฉันจะไม่ลงให้!  ฉันไม่ได้หมายความตามที่พูดไปหรอก ทั้งหมดก็เพื่องานของคริสตจักร  พวกเราทุกคนคือพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้า  ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น  คิดดูสิ ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร จะไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ถ้าฉันไม่มีความรับผิดชอบ พวกคุณก็คงไม่เลือกฉันขึ้นมา จริงไหม?”  เจ้าเริ่มพยายามเกลี่ยเรื่องให้เบาลง  มีหลักธรรมเบื้องหลังการทำเช่นนี้หรือไม่?  กำแพงป้องกันในหัวใจส่วนลึกของเจ้าพังทลายลงมาแล้ว เจ้าไม่กล้ายืนคำตามหลักธรรม และเจ้าก็ยอมให้อีกฝ่าย  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นเจ้าจึงลงเอยด้วยการปล่อยเธอไป  เจ้าละอายที่อัตลักษณ์ของเจ้าไม่สูงส่งเท่าของเธอ และสถานะทางสังคมของเธอก็สูงกว่าสถานะของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกว่าจำต้องปล่อยให้ตัวเองถูกเธอควบคุมเอาไว้และเชื่อฟังเธอ  แม้พวกเจ้าทั้งคู่จะเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงปล่อยให้ตัวเองถูกเธอขู่กรรโชก  ถ้าเจ้าไม่สามารถขจัดอิทธิพลที่สถานะทางสังคมมีต่อเจ้าได้ เจ้าก็จะไม่สามารถค้ำชูหลักธรรม เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติความจริง และจะไม่สัตย์ซื่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า พระเจ้าจะทรงยอมรับเจ้ากระนั้นหรือ?  พระเจ้าจะทรงเชื่อใจเจ้ากระนั้นหรือ?  พระองค์จะยังคงไว้วางพระทัยมอบหมายงานสำคัญให้แก่เจ้ากระนั้นหรือ?  สำหรับพระองค์แล้ว เจ้าย่อมจะเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ เพราะเมื่อถึงช่วงเวลาที่วิกฤติ เจ้ากลับขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าเอง  เมื่อถึงช่วงเวลาที่วิกฤติ เจ้ากลับตกใจกลัวกองกำลังอันชั่วที่มาจากสังคมและซาตาน ทำให้เจ้าขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและล้มเหลวที่จะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  นี่คือการกระทำผิดร้ายแรงและเป็นเครื่องหมายของการหลู่เกียรติพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเมื่อเจ้าทำแบบนี้ เจ้าก็ทรยศอัตลักษณ์ของเจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้ว และละเมิดหลักธรรมของการทำสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำ  เวลารับมือเรื่องนี้ เจ้ากลับยอมให้ตนเองถูกสถานะและอัตลักษณ์ของตนในสังคมครอบงำ  เวลาเผชิญหน้าปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้าเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากอิทธิพลเชิงลบซึ่งอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้าสร้างขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจมีปฏิกิริยาตอบสนองปัญหาเหล่านี้ด้วยการทำสิ่งที่คาดไม่ถึง  ในแง่หนึ่ง สิ่งเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้าละเมิดความจริง และในอีกแง่หนึ่งก็จะทำให้เจ้าจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าควรเลือกสิ่งใด  นี่จะพาให้เจ้ากระทำผิดและเสียใจโดยง่าย แล้วเจ้าก็จะด่างพร้อยเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและถูกมองว่าเป็นคนที่เชื่อไม่ได้ ละเมิดหลักธรรมที่พระเจ้าทรงตราไว้ให้แก่มวลมนุษย์ ซึ่งก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดี และทำตามที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำ  จงคิดดูเถิด เรื่องนี้ออกจะเล็กน้อย แต่ความร้ายแรงของมันกลับมีนัยสำคัญอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)

เมื่อครู่เราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้า  เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่?  (ทำง่าย)  ทำง่ายกระนั้นหรือ?  เรื่องนี้จะส่งผลต่อเจ้าและรบกวนเจ้าภายใต้สภาพการณ์เช่นใด?  เมื่อเจ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องและถ่องแท้ในเรื่องนี้ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่างที่เจ้าย่อมจะถูกมันครอบงำเอาไว้ เรื่องนี้ย่อมจะส่งผลต่อความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี รวมทั้งส่งผลต่อวิธีการรับมือสิ่งทั้งหลายและผลลัพธ์ที่จะตามมา  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของอัตลักษณ์ที่เจ้าสืบทอดมาจากครอบครัว เจ้าจึงควรปฏิบัติต่ออัตลักษณ์ให้ถูกต้อง และไม่ถูกมันครอบงำหรือควบคุม แต่เจ้าควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามวิธีที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนให้เป็นปกติ  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจึงจะมีท่าทีและหลักธรรมที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้เป็นที่ยอมรับควรมีในด้านนี้  ต่อไปพวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้า  ในสังคมนี้หลักธรรมที่ผู้คนใช้รับมือโลก วิธีการใช้ชีวิตและดำรงอยู่ของพวกเขา และแม้กระทั่งท่าทีและมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีต่อศาสนาและการเชื่อ ตลอดจนมโนคติอันหลงผิดและทัศนะต่างๆ ที่พวกเขามีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย—ทั้งหมดนี้ถูกครอบครัวสร้างพฤติกรรมเอาไว้ให้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  ก่อนที่ผู้คนจะมาเข้าใจความจริง—ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าใด เพศอะไร ทำอาชีพอะไร หรือมีท่าทีเช่นใดต่อทุกสิ่ง ไม่ว่าจะสุดโต่งหรือเป็นเหตุเป็นผลก็ตาม—สรุปแล้ว ในเรื่องราวทุกรูปแบบ ความคิด ทัศนะ และท่าทีที่ผู้คนมีต่อสิ่งทั้งหลายได้รับอิทธิพลจากครอบครัวเป็นอย่างมาก  กล่าวคือ ผลพวงต่างๆ ของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อคนคนหนึ่งย่อมกำหนดท่าทีส่วนใหญ่ที่คนคนนั้นมีต่อสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีการรับมือสิ่งเหล่านั้น และทัศนคติที่พวกเขามีต่อการดำรงอยู่ และถึงกับส่งผลต่อความเชื่อของพวกเขาอีกด้วย  เนื่องจากครอบครัวสร้างพฤติกรรมและส่งผลต่อผู้คนอย่างมีนัยสำคัญเช่นนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ครอบครัวจะเป็นต้นตอของวิธีการและหลักธรรมที่ผู้คนใช้รับมือสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งทัศนคติที่พวกเขามีต่อการดำรงอยู่ และทัศนะที่พวกเขามีต่อความเชื่อ  ด้วยเหตุที่บ้านของครอบครัวไม่ใช่สถานที่ที่ก่อเกิดความจริง และไม่ใช่ที่มาของความจริง ในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจึงมีแรงจูงใจหรือจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผลักดันให้ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้าเป็นแนวคิด มุมมอง หรือวิธีการดำรงอยู่—ซึ่งก็คือแนวคิด มุมมอง หรือวิธีการที่ลงมือเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเจ้าเอง  สิ่งทั้งหลายที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเจ้านี้ ไม่ว่าจะมาจากไหน—มาจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษของเจ้า—สรุปแล้ว ทั้งหมดล้วนมีเจตนาที่จะทำให้เจ้าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในสังคมและในหมู่ผู้อื่นได้ ป้องกันไม่ให้เจ้าถูกรังแก และทำให้เจ้าสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนได้ในลักษณะที่ไม่ถูกตีกรอบและไว้ไมตรีกันมากขึ้น ในลักษณะที่เจตนาปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าให้ได้มากที่สุด  การสร้างพฤติกรรมที่เจ้าได้รับจากครอบครัวนั้นหมายที่จะปกป้องเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าถูกรังแกหรือทนทุกข์กับการถูกเหยียดหยาม และหมายที่จะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นคนที่เหนือชั้น ต่อให้นั่นหมายถึงการรังแกหรือทำร้ายผู้อื่นก็ตาม ตราบใดที่เจ้าไม่ถูกทำร้ายเสียเองเป็นพอ  เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้า ทั้งยังเป็นแก่นแท้และจุดมุ่งหมายหลักเบื้องหลังแนวคิดทั้งปวงที่ถูกสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้า  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าพิจารณาจุดมุ่งหมายและแก่นแท้ของทุกสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้า มีสิ่งใดสอดคล้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  ต่อให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับจริยธรรมหรือสิทธิ์ตามกฎหมายและผลประโยชน์ของมนุษยชาติ แต่มีความเชื่อมโยงอันใดกับความจริงหรือไม่?  ใช่ความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  อาจกล่าวได้อย่างแน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่ความจริงอย่างสิ้นเชิง  ไม่ว่ามนุษย์จะเชื่อว่าสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้านั้นเป็นบวกและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีมนุษยธรรมและจริยธรรมเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความจริง ไม่สามารถแสดงถึงความจริง และแน่นอนว่าไม่สามารถแทนที่ความจริง  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของครอบครัว สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือ  หากจะกล่าวให้แน่ชัด แง่มุมนี้คือสิ่งใด?  คือผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้า—นี่คือแง่มุมที่สองที่เจ้าควรปล่อยมือเมื่อเป็นเรื่องของครอบครัว  ในเมื่อพวกเรากำลังเสวนาถึงผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้า พวกเราก็มาคุยกันก่อนเถิดว่าแท้จริงแล้วผลพวงของการสร้างพฤติกรรมนี้มีอะไรบ้าง**  ถ้าพวกเราแยกแยะผลพวงเหล่านี้ออกมาตามแนวคิดที่ผู้คนมีในเรื่องของความถูกผิด บ้างก็ค่อนข้างถูกต้อง เป็นบวก ดูดี และอาจนำมาพิจารณาได้ แต่บ้างก็ค่อนข้างเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น ต่ำช้า ค่อนข้างเป็นลบ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวนี้ก็เป็นเหมือนเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่โดยรวมแล้วคอยพิทักษ์ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของคนคนหนึ่งเอาไว้ รักษาศักดิ์ศรีของพวกเขาในหมู่ผู้อื่น และปกป้องพวกเขาไม่ให้ถูกรังแก  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาคุยกันเถิดว่าผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้านั้นมีอะไรบ้าง  ตัวอย่างเช่น เวลาที่ผู้อาวุโสในครอบครัวมักจะบอกเจ้าว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” นี่ก็เพื่อให้เจ้าเห็นความสำคัญของการเป็นที่นับหน้าถือตา มีชีวิตที่น่าภาคภูมิใจ และไม่ทำสิ่งที่จะนำความเสื่อมเสียมาถึงตัว  ดังนั้น คำกล่าวนี้ชี้นำผู้คนในทางที่เป็นบวกหรือเป็นลบ?  สามารถพาเจ้าไปหาความจริงได้หรือไม่?  สามารถพาให้เจ้าเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าอาจกล่าวได้อย่างมั่นใจที่สุดว่า “ไม่ได้!”  จงคิดดูเถิด พระเจ้าตรัสว่าผู้คนควรวางตนเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์  เมื่อเจ้าฝ่าฝืน ทำบางสิ่งที่ผิด หรือทำสิ่งที่กบฏต่อพระเจ้าและขัดกับความจริง เจ้าจำเป็นต้องยอมรับความผิดของตน ทำความเข้าใจตนเอง และชำแหละตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การกลับใจที่แท้จริง แล้วจากนั้นจึงปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น ถ้าผู้คนวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ นั่นขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” หรือไม่?  (ขัดแย้ง)  ขัดแย้งกันอย่างไร?  คำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” ตั้งใจที่จะทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตตามด้านที่สว่างไสวและมีสีสันของตน รวมทั้งการทำสิ่งที่ทำให้ตนดูดีให้มากขึ้น—แทนที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีหรือไร้เกียรติ หรือเปิดโปงด้านอัปลักษณ์ของตนออกมา—และตั้งใจที่จะป้องกันไม่ให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างไร้ความภาคภูมิใจหรือศักดิ์ศรี  เพื่อความมีหน้ามีตา ความภาคภูมิใจ และเกียรติของตน คนเราไม่สามารถพูดทุกสิ่งเกี่ยวกับตนเองในทางที่ไม่ดี และยิ่งไม่สามารถเล่าด้านมืดและแง่มุมที่น่าละอายของตนให้ผู้อื่นฟัง เพราะคนเราต้องใช้ชีวิตด้วยความภาคภูมิใจและมีศักดิ์ศรี  การที่จะมีศักดิ์ศรีนั้น คนเราจำต้องเป็นที่นับหน้าถือตา และเพื่อที่จะเป็นที่นับหน้าถือตา คนเราก็จำต้องเสแสร้งและแต่งตัวให้ดูดีขึ้นมา  นี่ขัดแย้งกับการวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สิ่งที่เจ้าทำย่อมไปกันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับคำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น”  ถ้าเจ้าอยากวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ก็อย่าให้ความสำคัญกับความภาคภูมิใจ ความภาคภูมิใจของคนคนหนึ่งไม่มีค่าสักแดงเดียว  เมื่อเผชิญหน้าความจริง คนเราควรเปิดโปงตนเอง ไม่ใช่เสแสร้งหรือสร้างภาพลักษณ์ที่เทียมเท็จ  คนเราต้องเผยให้พระเจ้าเห็นความนึกคิดที่แท้จริง ความผิดที่ตนทำไว้ และแง่มุมที่ละเมิดหลักธรรมความจริง เป็นต้น และแผ่วางสิ่งเหล่านี้ให้พี่น้องชายหญิงของตนดูอีกด้วย  นี่ไม่ใช่เรื่องของการใช้ชีวิตเพื่อความมีหน้ามีตาของคนเรา แต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตเพื่อที่จะวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ มีชีวิตเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง ดำเนินชีวิตเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และดำรงชีวิตเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยและเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด  แต่เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริงข้อนี้และไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า สิ่งที่ถูกครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้า ย่อมโน้มเอียงที่จะมีอำนาจครอบงำ  ดังนั้นเมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด เจ้าจึงปกปิดและเสแสร้ง พลางคิดว่า “ฉันจะพูดอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ และจะไม่ยอมให้ใครอื่นที่รู้เรื่องนี้พูดอะไรออกมาเช่นกัน  ถ้าพวกคุณคนไหนพูดอะไรออกมา ฉันจะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ  ความมีหน้ามีตาของฉันย่อมมาก่อน  การมีชีวิตอยู่ย่อมไร้ประโยชน์ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความมีหน้ามีตาของตนเอง เพราะความมีหน้ามีตาสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด  ถ้าคนคนหนึ่งสูญเสียความมีหน้ามีตาของตนไป พวกเขาย่อมสูญสิ้นศักดิ์ศรีทั้งหมด  ดังนั้นฉันจะบอกเรื่องนี้ตามตรงไม่ได้ ฉันต้องเสแสร้งเข้าไว้ ต้องปิดบังเอาไว้ ไม่เช่นนั้นฉันก็จะสูญเสียความมีหน้ามีตาและศักดิ์ศรีของตนเอง และชีวิตของฉันก็จะไร้ค่า  ถ้าไม่มีใครนับถือฉัน เช่นนั้นแล้วฉันย่อมเป็นแค่ขยะชั้นต่ำที่ไร้ค่า”  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะวางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ด้วยการปฏิบัติแบบนี้?  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดใจและชำแหละตนเองออกมาให้หมด?  (เป็นไปไม่ได้)  เห็นได้ชัดว่าด้วยการทำเช่นนี้ เจ้ากำลังทำตามคำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” ซึ่งครอบครัวของเจ้าได้สร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้า  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าปล่อยมือจากคำกล่าวนี้เพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติความจริง คำกล่าวนี้ก็จะไม่มีผลกับเจ้า และจะเลิกเป็นคติประจำใจหรือหลักธรรมที่เจ้าใช้ทำสิ่งต่างๆ สิ่งที่เจ้าทำกลับจะตรงข้ามกับคำกล่าวที่ว่า “ต้นไม้ต้องมีเปลือกฉันใด ผู้คนต้องมีความภาคภูมิใจฉันนั้น” โดยแท้  เจ้าจะไม่ใช้ชีวิตเพื่อความมีหน้ามีตาและเพื่อศักดิ์ศรีของตน แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริง วางตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ รวมทั้งเสาะแสวงที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและใช้ชีวิตอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  ถ้าเจ้ายึดปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ เจ้าย่อมจะปล่อยมือจากผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้าไปแล้ว

ครอบครัวไม่ได้สร้างพฤติกรรมให้กับผู้คนด้วยคำกล่าวเพียงหนึ่งหรือสองข้อเท่านั้น แต่ด้วยคำอ้างอิงและคำพังเพยที่รู้จักกันดีอีกมาก  ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสในครอบครัวและพ่อแม่ของเจ้ามักจะเอ่ยอ้างคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขากำลังบอกเจ้าว่า “ผู้คนต้องดำเนินชีวิตเพื่อความมีหน้ามีตาของตน  ผู้คนไม่แสวงหาสิ่งอื่นใดในชีวิตของตนนอกจากการบากบั่นสร้างความนับหน้าถือตาในหมู่ผู้อื่นและสร้างความประทับใจ  ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ก็ให้ใจกว้างกล่าวคำทักทาย คำพูดที่เสนาะหู และคำชมเชยให้มากขึ้น กล่าววาจาที่มีเมตตาให้มากขึ้น  อย่าล่วงเกินผู้คน แต่จงทำดีและกระทำการที่ใจดีมีเมตตาให้มากขึ้น”  ผลพวงจำเพาะของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวนี้ส่งผลบางอย่างต่อพฤติกรรมหรือหลักประพฤติปฏิบัติของผู้คน โดยให้ผลสืบเนื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้คือทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและผลประโยชน์  นั่นคือพวกเขาให้ความสำคัญอย่างมากกับความมีหน้ามีตาและเกียรติยศของตน ภาพจำที่พวกเขาสร้างไว้ในความรู้สึกคิดของผู้คน และการประเมินที่ผู้อื่นมีต่อทุกสิ่งที่พวกเขาทำและทุกความคิดเห็นที่พวกเขาแสดงออก  เมื่อให้ความสำคัญอย่างมากกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ เจ้าย่อมไม่ค่อยเห็นความสำคัญว่าหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัตินั้นเป็นไปตามความจริงและหลักธรรมหรือไม่ เจ้ากำลังทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ และเจ้าลุล่วงหน้าที่ของตนได้ดีพอหรือไม่ โดยที่เจ้าเองก็ไม่ทันรู้ตัว  เจ้ามองว่าเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญน้อยกว่าและเป็นสิ่งที่ต้องทำในลำดับรองลงไป ส่วนคำกล่าวที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” ซึ่งครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมให้กับเจ้า ย่อมมีความสำคัญต่อเจ้าอย่างยิ่ง  ทำให้เจ้าสนใจเป็นอันมากว่ารายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้านั้นดูเป็นเช่นไรในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนให้ความสนใจเป็นพิเศษว่าแท้จริงแล้วผู้อื่นคิดอย่างไรกับตนเมื่ออยู่ลับหลังตน จนถึงขนาดแอบฟังข้างผนัง แง้มประตูฟัง และแม้กระทั่งแอบชำเลืองมองว่าผู้อื่นเขียนอะไรเกี่ยวกับตนบ้าง  ทันทีที่มีคนเอ่ยชื่อของพวกเขา พวกเขาก็คิดว่า “ฉันต้องรีบฟังว่าพวกเขาพูดถึงฉันว่าอย่างไร มีความเห็นดีๆ เกี่ยวกับฉันบ้างหรือไม่  แย่แล้ว พวกเขาบอกว่าฉันเกียจคร้านและชอบกินอาหารดีๆ  ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต่อไปจะเกียจคร้านไม่ได้ ฉันต้องขยัน”  หลังจากขยันไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็คิดในใจว่า “ฉันฟังมาพักหนึ่งแล้วว่าทุกคนพูดว่าฉันเกียจคร้านบ้างหรือเปล่า ดูเหมือนช่วงนี้ไม่มีใครพูดแบบนั้นเลย”  แต่พวกเขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงทำเป็นหยอดคำพูดตามสบายเข้าไปในบทสนทนากับคนรอบตัวว่า “ฉันเกียจคร้านนิดหน่อย”  และผู้อื่นก็ตอบว่า “คุณไม่ได้เกียจคร้านหรอก ตอนนี้คุณขยันกว่าที่เคยมาก”  เมื่อได้ฟังเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกมั่นใจ ลิงโลด และรู้สึกชูใจขึ้นมาทันที  “ดูสิ ความเห็นที่ทุกคนมีต่อฉันเปลี่ยนไป  ดูเหมือนทุกคนสังเกตเห็นแล้วว่าพฤติกรรมของฉันมีการปรับปรุงดีขึ้น”  ทุกสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้เป็นไปเพื่อที่จะปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่เป็นไปเพื่อความมีหน้ามีตาของเจ้าเอง  อันที่จริง เมื่อเป็นดังนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมกลายเป็นอะไรไปแล้ว?  กลายเป็นพิธีกรรมทางศาสนาไปแล้วโดยแท้  แล้วแก่นแท้ของเจ้าย่อมกลายเป็นเช่นไร?  เจ้ากลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นฟาริสี  เส้นทางของเจ้ากลายเป็นเช่นไร?  กลายเป็นเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  พระเจ้าทรงนิยามไว้เช่นนั้น  ดังนั้น แก่นแท้ของทุกสิ่งที่เจ้าทำจึงด่างพร้อย ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เจ้าไม่ปฏิบัติหรือไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์  ท้ายที่สุด สำหรับพระเจ้าแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น—กล่าวสั้นๆ ก็คือ—ไม่ดีพอ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะเจ้าอุทิศตนให้กับความมีหน้ามีตาของตนเองเท่านั้น ไม่ได้อุทิศตนให้กับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ หรือให้กับหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เมื่อพระเจ้าทรงนิยามไว้เช่นนั้น ในหัวใจของเจ้ารู้สึกอย่างไร?  รู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้สูญเปล่าใช่หรือไม่?  นั่นย่อมหมายความว่าตลอดมาเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลยใช่หรือไม่?  เจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับสนใจความมีหน้ามีตาของตนเองเป็นพิเศษ และมูลเหตุของเรื่องนี้ก็คือผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้า  คำกล่าวใดที่ถูกใช้มากที่สุดในการสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้า?  คำกล่าวที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของเจ้าและกลายเป็นคติประจำใจไปแล้ว  คำกล่าวนี้ครอบงำและสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเล็ก แม้เมื่อโตขึ้นมาแล้ว เจ้าก็มักจะพูดคำกล่าวนี้ซ้ำๆ เพื่อส่งอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อไปในครอบครัวของเจ้าและผู้คนรอบตัวเจ้า  แน่นอนว่าสิ่งที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือการที่เจ้าใช้คำกล่าวนี้เป็นวิธีการและหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตนและรับมือสิ่งทั้งหลาย และแม้กระทั่งเป็นเป้าหมายและทิศทางให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้าในชีวิต  เป้าหมายและทิศทางของเจ้าย่อมผิด ดังนั้นจึงแน่นอนว่าผลสุดท้ายย่อมเป็นลบ  เพราะแก่นแท้ของทุกสิ่งที่เจ้าทำเป็นไปเพื่อความมีหน้ามีตาของเจ้าเท่านั้น เพียงเพื่อที่จะปฏิบัติตามคำกล่าวที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” เท่านั้น  เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง กระนั้นเจ้าเองกลับไม่รู้ตัว  เจ้านึกว่าคำกล่าวนี้ไม่มีอะไรผิด เพราะผู้คนก็ควรดำเนินชีวิตเพื่อความมีหน้ามีตาของตนมิใช่หรือ?  ดังคำกล่าวทั่วไปที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น”  คำกล่าวนี้ดูเหมือนเป็นบวกและถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นเจ้าจึงยอมรับผลพวงของการสร้างพฤติกรรมด้วยคำกล่าวนี้โดยไม่รู้ตัวและมองว่าคำกล่าวนี้คือสิ่งที่เป็นบวก  เมื่อเจ้ามองว่าคำกล่าวนี้คือสิ่งที่เป็นบวก เจ้าก็ไล่ตามไขว่คว้าและปฏิบัติตามคำกล่าวนี้โดยไม่รู้ตัว  พร้อมกันนั้นด้วยความสับสนและโดยไม่รู้ตัว เจ้าก็เข้าใจผิดว่าคำกล่าวนี้คือความจริงและเป็นหลักเกณฑ์ของความจริง  เมื่อเจ้ามองว่าคำกล่าวนี้คือหลักเกณฑ์ของความจริง เจ้าก็ไม่ฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสอีกต่อไป และไม่อาจเข้าใจได้  เจ้าปฏิบัติตามคติประจำใจที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” อย่างมืดบอด กระทำการตามนั้น และสิ่งที่เจ้าได้จากการทำเช่นนั้นในท้ายที่สุดก็คือการเป็นที่นับหน้าถือตา  เจ้าได้สิ่งที่เจ้าอยากได้ แต่ในการทำเช่นนั้น เจ้ากลับละเมิดและละทิ้งความจริง สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดไปแล้ว  ในเมื่อนี่คือผลลัพธ์ในท้ายที่สุด เจ้าก็ควรปล่อยมือและละทิ้งแนวคิดที่ว่า “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” ซึ่งครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมในตัวเจ้า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรยึดถือ และไม่ใช่คำกล่าวหรือแนวคิดที่เจ้าควรใช้ความพยายามและพลังงานทั้งชีวิตมาปฏิบัติตาม  แนวคิดและทัศนะที่เจ้าถูกปลูกฝังและสร้างพฤติกรรมให้นี้ผิด ดังนั้นเจ้าจึงควรปล่อยมือจากมันเสีย  สาเหตุที่เจ้าควรปล่อยมือจากมันไม่ได้เป็นเพียงเพราะนี่ไม่ใช่ความจริงเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะนี่จะพาให้เจ้าหลงผิดและท้ายที่สุดก็จะพาให้เจ้าย่อยยับอีกด้วย ดังนั้นผลที่ตามมาจึงร้ายแรงยิ่ง  สำหรับเจ้าแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เป็นเนื้อร้าย—เป็นช่องทางและวิธีการที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  เพราะในพระวจนะของพระเจ้า ท่ามกลางข้อกำหนดทั้งปวงที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน พระเจ้าไม่เคยทรงขอให้ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าการเป็นที่นับหน้าถือตา หรือแสวงหาเกียรติยศ ทำให้ผู้คนประทับใจ ได้รับความเห็นชอบจากผู้คน หรือได้รับคำชื่นชมจากผู้คน และพระองค์ก็ไม่เคยให้ผู้คนดำรงชีวิตเพื่อชื่อเสียงหรือเพื่อเป็นที่นับหน้าถือตาตลอดไป  พระเจ้าทรงต้องการให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี นบนอบพระองค์และความจริงเท่านั้น  เพราะฉะนั้น สำหรับเจ้าแล้ว คำกล่าวนี้คือการสร้างพฤติกรรมอย่างหนึ่งโดยครอบครัวของเจ้าซึ่งเจ้าควรปล่อยมือเสีย

ผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้ายังมีอีกอย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น เมื่อพ่อแม่หรือผู้อาวุโสหนุนใจเจ้า พวกเขามักจะพูดว่า “เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ”  จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการพูดเช่นนี้ก็เพื่อสอนให้เจ้าสู้ทนความทุกข์ ขยันและมุมานะ ไม่กลัวที่จะทนทุกข์ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม เพราะมีแต่คนที่สู้ทนความทุกข์ ต้านทานความยากลำบาก ขยันขันแข็ง และมีจิตใจที่จะต่อสู้เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ชนะได้  การ “เป็นผู้ชนะ” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่ถูกรังแก หรือถูกดูแคลน หรือเลือกปฏิบัติ หมายถึงการมีเกียรติยศและสถานะอันสูงส่งท่ามกลางผู้คน มีอำนาจที่จะพูดให้คนอื่นรับฟัง มีอำนาจที่จะตัดสินใจ นี่หมายถึงการสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าผู้อื่น มีผู้คนยกย่อง เลื่อมใส และอิจฉาเจ้า  ตามหลักแล้วนี่หมายความว่าเจ้าเป็นคนระดับบนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง  ที่ว่า “ระดับบน” นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามีผู้คนมากมายยอมอยู่แทบเท้าเจ้าและเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทนรับการปฏิบัติที่ไม่ดีจากพวกเขา—นี่คือความหมายของการ “เป็นผู้ชนะ”  การที่จะเป็นผู้ชนะนั้น เจ้าต้อง “ทนทุกข์ใหญ่หลวง” ซึ่งหมายความว่าเจ้าต้องสามารถสู้ทนความทุกข์ที่ผู้อื่นไม่สามารถทนได้  ดังนั้น ก่อนที่เจ้าจะเป็นผู้ชนะได้ เจ้าต้องสามารถสู้ทนสายตาดูแคลน การยิ้มหยัน คำพูดประชดประชัน การใส่ร้าย ตลอดจนความไม่เข้าใจจากผู้อื่น และแม้กระทั่งการปรามาสจากพวกเขา เป็นต้น  นอกจากความทุกข์ทางกายแล้ว เจ้าต้องสามารถทนรับความคิดเห็นที่ประชดประชันและหัวเราะเยาะหยันของคนส่วนใหญ่อีกด้วย  ด้วยการเรียนรู้ที่จะเป็นคนแบบนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถโดดเด่นท่ามกลางผู้คน และมีที่เฉพาะของตนเองในสังคม  จุดมุ่งหมายของคำกล่าวนี้ก็คือการทำให้ผู้คนกลายเป็นจ่าฝูงแทนที่จะเป็นลูกน้อง เพราะการเป็นลูกน้องนั้นยากลำบากมาก—เจ้าต้องทนรับการปฏิบัติที่ไม่ดี รู้สึกว่าตนใช้ไม่ได้ และเจ้าก็ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีหรือหน้าตา  นี่คือผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้าเช่นกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเจ้า  ครอบครัวของเจ้าทำเช่นนี้เพื่อให้เจ้าไม่ต้องทนรับการปฏิบัติที่ไม่ดีจากผู้อื่น มีชื่อเสียงและอำนาจ กินดีและมีความสุขสำราญ และเพื่อที่ว่าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า เจ้าสามารถทำตัวเผด็จการและมีอำนาจสั่งการเสียเอง และทุกคนก็จะพินอบพิเทาเจ้า  ด้านหนึ่ง เจ้าย่อมเสาะแสวงที่จะเป็นคนเหนือชั้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง อีกด้านหนึ่ง เจ้าก็ทำเช่นนั้นเพื่อยกสถานะทางสังคมของครอบครัวและนำเกียรติมาให้บรรพชนของตนอีกด้วย เพื่อให้พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวของเจ้าได้ประโยชน์จากการเกี่ยวข้องกับเจ้าและไม่ทนทุกข์กับการถูกปฏิบัติในทางที่ไม่ดีเช่นกัน  ถ้าเจ้าสู้ทนความทุกข์ใหญ่หลวงและกลายเป็นผู้ชนะด้วยการเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง พร้อมรถสวย บ้านหรู และมีคนเป็นขบวนคอยวิ่งวุ่นรอบตัวเจ้า ครอบครัวของเจ้าย่อมจะได้ประโยชน์ในทำนองเดียวกันจากการเกี่ยวข้องกับเจ้า และสมาชิกครอบครัวของเจ้าก็จะสามารถขับรถสวย กินดี และใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้ด้วย  หากเจ้าต้องการ เจ้าก็สามารถกินอาหารเลิศรสราคาแพงที่สุดได้ ไปที่ใดก็ได้ตามชอบ ให้ทุกคนทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ เจ้าสามารถทำตามใจชอบ ใช้ชีวิตตามอำเภอใจด้วยความโอหังโดยไม่จำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวหรือดำรงชีวิตอย่างหวาดกลัว สามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการต่อให้เป็นเรื่องที่อยู่เหนือกฎหมายก็ตาม และกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง—นี่คือจุดมุ่งหมายที่ครอบครัวสร้างพฤติกรรมให้เจ้าเช่นนี้ เพื่อปกป้องเจ้าจากการถูกกระทำ และทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ชนะ  กล่าวตามตรง จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือการทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่นำผู้อื่น กำกับและสั่งผู้อื่น และเปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นคนที่ได้แต่รังแกผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีวันถูกรังแกเสียเอง รวมทั้งทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ชนะ แทนที่จะเป็นคนถูกนำ  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้านี้เป็นผลดีต่อเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าไม่เป็นผลดีต่อเจ้า?  ถ้าทุกครอบครัวอบรมสั่งสอนคนรุ่นต่อไปแบบนี้ ก็จะเพิ่มความขัดแย้งทางสังคมและทำให้สังคมยิ่งแข่งขันกันและไม่เป็นธรรมมากขึ้นใช่หรือไม่?  ทุกคนจะอยากอยู่เหนือคน ไม่มีใครอยากอยู่ใต้คน หรือเป็นคนธรรมดา—พวกเขาจะอยากเป็นคนที่ครอบงำและรังแกผู้อื่นกันทุกคน  ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าสังคมจะยังดีงามได้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าสังคมจะไม่หันไปในทิศทางที่เป็นบวก และมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งในสังคมรุนแรงยิ่งขึ้น เพิ่มพูนการแข่งขันในหมู่ผู้คน และทำให้ข้อพิพาทระหว่างผู้คนยิ่งหนักข้อ  จงดูโรงเรียนเป็นตัวอย่าง  นักเรียนพยายามให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยการทุ่มเทพยายามร่ำเรียนอย่างหนักเวลาไม่มีใครอยู่ด้วย แต่พอพบหน้ากัน พวกเขากลับพูดว่า “แย่ละ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ดูหนังสืออีกแล้ว  แต่กลับไปสนุกสนานตามที่เลิศๆ ทั้งวัน  แล้วเธอไปที่ไหนมา?”  ใครอีกคนก็จะพูดขึ้นมาว่า “ฉันนอนตลอดเสาร์อาทิตย์และไม่ได้ดูหนังสือเหมือนกัน”  อันที่จริง พวกเขาต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายใช้เวลาตลอดเสาร์อาทิตย์ร่ำเรียนจนเหนื่อยล้า แต่ต่างก็ไม่ยอมรับว่าเล่าเรียนหรือทุ่มเทพยายามมากมายเวลาไม่มีใครเห็น เพราะทุกคนอยากเป็นผู้ชนะและไม่อยากให้ใครอื่นเก่งกว่าตน  พวกเขากล่าวว่าตนไม่ได้ดูหนังสือ เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าแท้จริงแล้วตนดูหนังสือ  การพูดปดเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด?  เจ้าเล่าเรียนเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น  ถ้าเจ้าพูดปดได้เมื่ออายุยังน้อยขนาดนั้น พอเจ้าเข้าสังคม เจ้าจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การเข้าสังคมย่อมพ่วงเอาเรื่องความสนใจส่วนตัว เงินทอง และสถานะมาด้วย ดังนั้นการแข่งขันก็มีแต่จะดุเดือดขึ้น  ผู้คนจะไม่ยอมหยุดยั้งและจะใช้ทุกวิถีทางที่ตนมีเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน  พวกเขาย่อมจะเต็มใจและสามารถทำทุกสิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามต่อให้หมายถึงการสู้ทนการถูกเหยียดหยามเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น  ถ้าสิ่งทั้งหลายยังคงดำเนินไปเช่นนี้ สังคมจะออกมาดีงามได้อย่างไร?  ถ้าทุกคนทำเช่นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะออกมาดีงามได้อย่างไร?  (ย่อมทำไม่ได้)  รากเหง้าของจารีตสังคมที่ไม่ถูกควรและกระแสนิยมอันชั่วสารพัดชนิดมาจากการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อผู้คน  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดในเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นผู้ชนะ ห้ามไม่เก่ง ห้ามเป็นคนพื้นๆ ไม่เด่น หรือธรรมดา แต่ให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง และสูงส่งหรือไม่?  นี่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากผู้คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ชัดเจนยิ่งว่าคำกล่าวที่ครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมให้กับเจ้าว่า—“เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ”—ไม่ได้ชี้นำเจ้าไปในทิศทางที่เป็นบวก และแน่นอนว่าไม่ได้เชื่อมโยงกับความจริงอีกด้วย  จุดมุ่งหมายที่ครอบครัวของเจ้าให้เจ้าสู้ทนความทุกข์นั้นไม่ค่อยบริสุทธิ์ใจเท่าใดนัก แฝงไว้ด้วยวางอุบาย ควรดูหมิ่นและไม่ซื่อตรงอย่างยิ่ง  พระเจ้าทรงให้ผู้คนสู้ทนความทุกข์ก็เพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  ถ้าผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน พวกเขาก็ต้องก้าวผ่านความทุกข์—นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ประจักษ์  นอกจากนี้ พระเจ้ายังทรงกำหนดให้ผู้คนสู้ทนความทุกข์ก็เพราะนี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ เป็นสิ่งที่คนปกติควรทนรับ และเป็นท่าทีที่คนปกติควรมีอีกด้วย  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เจ้าเป็นผู้ชนะ  พระองค์เพียงกำหนดให้เจ้าเป็นคนปกติธรรมดาที่เข้าใจความจริง ฟังพระวจนะของพระองค์ นบนอบพระองค์ ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้  พระเจ้าไม่เคยทรงกำหนดให้เจ้าทำให้พระองค์ประหลาดใจ หรือทำสิ่งใดที่สะท้านสะเทือนโลก และไม่ได้ทรงต้องการให้เจ้าเป็นคนดังหรือคนที่ยิ่งใหญ่  พระองค์เพียงต้องการให้เจ้าเป็นคนจริงที่ปกติและธรรมดาเท่านั้น และไม่ว่าเจ้าจะสามารถสู้ทนความทุกข์ได้มากเพียงใด หรือสามารถสู้ทนความทุกข์ได้บ้างหรือไม่ก็ตาม ถ้าในท้ายที่สุดเจ้าสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ นี่ก็คือคนดีที่สุดที่เจ้าจะเป็นได้แล้ว  สิ่งที่พระเจ้าต้องการไม่ใช่ให้เจ้าเป็นผู้ชนะ แต่ให้เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เป็นคนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้  นี่คือคนธรรมดาที่ไม่โดดเด่น เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีมโนธรรมและเหตุผล ไม่ใช่คนที่สูงส่งหรือยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้ไม่มีความเชื่อหรือมนุษย์ที่เสื่อมทราม  พวกเราเคยสามัคคีธรรมแง่มุมนี้กันไปมากแล้ว ดังนั้นครั้งนี้พวกเราจะไม่เสวนาเรื่องนี้กันอีก  คำกล่าวที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ” นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือ  แท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าควรปล่อยมือคืออะไร?  คือทิศทางที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมให้เจ้าไล่ตามไขว่คว้า  นั่นคือ เจ้าควรเปลี่ยนทิศทางของการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้า  จงอย่าทำสิ่งใดเพียงเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ สะดุดตาคนและเด่นกว่าผู้อื่น หรือเป็นที่เลื่อมใสของผู้อื่น  แต่เจ้าควรปล่อยมือจากเจตนา จุดมุ่งหมาย และแรงจูงใจเหล่านี้ ทำทุกสิ่งแบบติดดินเพื่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  ที่ว่า “แบบติดดิน” นี้เราหมายความว่าอย่างไร?  หลักธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดก็คือการทำทุกสิ่งตามหนทางและหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนเอาไว้  สมมุติว่าสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ทำให้ทุกคนทึ่งหรือประทับใจ ไม่มีใครสรรเสริญหรือให้ค่าด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ดี ถ้านี่คือสิ่งที่เจ้าพึงทำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ทำเหมือนว่านี่คือหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติ  ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเป็นที่ยอมรับในสายพระเนตรของพระเจ้า—เรื่องก็ง่ายเช่นนั้น  สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงก็คือการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าในเรื่องการวางตัวและทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิต

ครอบครัวยังสร้างพฤติกรรมและครอบงำเจ้าในหนทางอื่น ยกตัวอย่างคำกล่าวที่ว่า “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” สมาชิกครอบครัวมักจะสอนเจ้าว่า “มีเมตตาเข้าไว้และอย่าไปเถียงคนอื่นหรือสร้างศัตรู เพราะถ้าลูกสร้างศัตรูมากเกินไป ลูกก็จะหาที่ยืนในสังคมไม่ได้ และถ้าผู้คนที่เกลียดลูกมีมากเกินไป และมุ่งมาเล่นงานลูก แบบนั้นลูกก็จะไม่ปลอดภัยเวลาอยู่ในสังคม ถูกคุกคามอยู่เสมอ  ความอยู่รอด สถานะ ครอบครัว ความปลอดภัยส่วนตัว และแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมในอาชีพการงานก็จะมีอันตรายและเกิดอุปสรรคเพราะคนใจร้ายพวกนั้น  ดังนั้นลูกต้องเรียนรู้ว่า ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’  ใจดีกับทุกคนเข้าไว้ อย่าทำลายสัมพันธภาพดีๆ อย่าพูดอะไรที่ถอนคืนไม่ได้ในภายหลัง หลีกเลี่ยงการทำร้ายความภาคภูมิใจของผู้คน และอย่าเปิดโปงข้อบกพร่องของพวกเขา  หลีกเลี่ยงหรือเลิกพูดสิ่งที่ผู้คนไม่อยากฟังกัน  พูดแต่คำชมก็พอ เพราะการชมเชยใครสักคนไม่เคยทำให้เสียหาย  ลูกต้องหัดอดกลั้นและประนีประนอมทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เพราะ ‘การประนีประนอมจะทำให้ความขัดแย้งแก้ไขง่ายดายขึ้นมาก’”  จงคิดดูเถิด ครอบครัวของเจ้าปลูกฝังแนวคิดและทัศนะสองอย่างนี้เอาไว้ในตัวเจ้าในคราวเดียวกัน  นัยหนึ่งพวกเขากล่าวว่าเจ้าต้องเมตตาผู้อื่น อีกนัยหนึ่งพวกเขาก็อยากให้เจ้าอดกลั้น ไม่พูดเมื่อไม่สมควรพูด และถ้าเจ้ามีสิ่งที่อยากพูด เจ้าก็ควรเก็บปากเก็บคำจนกว่าจะถึงบ้าน แล้วตอนนั้นค่อยเล่าให้ครอบครัวของเจ้าฟัง  หรือจะให้ดีขึ้นอีก แม้แต่ครอบครัวของเจ้าก็จงอย่าเล่าอะไรให้ฟังเลย เพราะกำแพงมีหู—ถ้าความลับเกิดรั่วไหลออกไป อะไรๆ ก็จะไม่เป็นไปด้วยดีสำหรับเจ้า  การที่จะมีที่ยืนและอยู่รอดในสังคมนี้ ผู้คนต้องเรียนรู้สิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือการเหยียบเรือสองแคม  กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ เจ้าต้องลื่นไหลและเจ้าเล่ห์  เจ้าจะพูดแต่เรื่องที่เจ้าคิดไม่ได้  ถ้าเจ้าเดินหน้าพูดจาตามที่คิด นั่นเรียกว่าโง่เขลา ไม่ได้เรียกว่าหลักแหลม  บางคนก็ไม่สงบปากสงบคำและพูดจาตามใจชอบ  ลองนึกภาพคนที่ทำเช่นนั้นแล้วลงเอยด้วยการล่วงเกินเจ้านายของตนเอง  จากนั้นเจ้านายก็ทำให้ชีวิตของเขายุ่งยาก ยกเลิกเงินโบนัส และคอยหาเรื่องทะเลาะกับเขาตลอดเวลา  ในที่สุดเขาก็ทนทำงานนั้นต่อไปไม่ไหว  ถ้าเขาออกจากงาน เขาก็ไม่มีลู่ทางทำมาหากินอย่างอื่น  แต่ถ้าเขาไม่ออกจากงาน เขาก็จะทำได้เพียงอดทนทำงานที่เขาทนทำไม่ไหวอีกต่อไป  เวลาที่เจ้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นเรียกว่าอะไร?  “ติด” อยู่กับที่  จากนั้นครอบครัวของเขาก็ต่อว่าเขาแรงๆ ว่า “ลูกสมควรถูกปฏิบัติด้วยในทางไม่ดีแล้ว ลูกน่าจะจำเอาไว้ว่า ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’!  นี่ไม่สงบปากสงบคำแล้วยังทำปากดีก็ควรแล้ว!  พวกเราบอกลูกแล้วว่าให้ถ้อยทีถ้อยอาศัยและคิดให้รอบคอบเวลาจะพูดอะไร แต่ลูกก็ไม่อยากจะทำตาม ต้องไปพูดจาตรงๆ  คิดหรือว่าจะไปมีเรื่องกับเจ้านายของตัวเองได้ง่ายอย่างนั้น?  คิดหรือว่าการอยู่รอดในสังคมมันง่ายอย่างนั้น?  ลูกคิดอยู่เสมอว่าตัวเองก็แค่ตรงไปตรงมา  คราวนี้ก็เลยต้องรับความเจ็บปวดที่ตามมา  ให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน!  ต่อไปข้างหน้า ลูกควรจำคำกล่าวที่ว่า ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’ เอาไว้!”  เมื่อเขาได้รับบทเรียนดังนี้แล้ว เขาก็จดจำพลางคิดว่า “แท้จริงแล้วที่พ่อแม่เคยอบรมสั่งสอนฉันนั้นถูกต้อง  นี่คือประสบการณ์ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจเชิงลึก เป็นความรู้ประดับปัญญาอย่างแท้จริง ฉันจะเพิกเฉยต่อไปไม่ได้  ถ้าฉันเมินผู้อาวุโสของตนเองก็ต้องรับความเสี่ยงเอาเอง ดังนั้นต่อไปฉันจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้”  หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้าและเข้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว เขาก็ยังคงจดจำคำกล่าวที่ว่า “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” นี้เอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทักทายพี่น้องชายหญิงทุกครั้งที่พบเจอพวกเขา และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกล่าววาจาไพเราะกับพวกเขา  เมื่อผู้นำกล่าวว่า “ฉันเป็นผู้นำมาระยะหนึ่งแล้ว แต่กลับมีประสบการณ์ในการทำงานไม่มากพอ”  เขาก็กล่าวแทรกเป็นคำชมเชยขึ้นมาว่า “คุณทำได้ดีมากแล้ว  ถ้าไม่ได้คุณมานำพวกเรา พวกเราก็จะรู้สึกเหมือนไม่มีที่พึ่ง”  เมื่ออีกคนบอกว่า “ฉันมาเข้าใจตัวเองอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนหลอกลวงเอาการ”  เขาก็ตอบคำไปว่า “คุณไม่ได้หลอกลวง แท้จริงแล้วคุณเป็นคนซื่อสัตย์มาก ฉันต่างหากที่หลอกลวง”  พอมีคนให้ความเห็นที่ใจร้ายกับเขา เขาก็บอกตัวเองในใจว่า “ไม่จำเป็นต้องกลัวความเห็นร้ายๆ พวกนั้น ร้ายกว่านี้ฉันก็ทนได้  ไม่ว่าความคิดเห็นของคุณจะร้ายกาจอย่างไร ฉันแค่ทำเป็นไม่ได้ยินก็พอ และจะคอยชมคุณต่อไป พยายามประจบประแจงคุณอย่างสุดความสามารถ เพราะการชมเชยคุณย่อมไม่เสียหายอะไร”  เมื่อใดก็ตามที่มีคนขอให้เขาออกความเห็นหรือเปิดใจระหว่างสามัคคีธรรม เขาก็ไม่พูดจาตามตรง และรักษาภาพลักษณ์ที่สนุกสนานร่าเริงเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน  บางคนถามเขาว่า “ทำไมคุณถึงสนุกสนานร่าเริงตลอดเวลาได้อย่างนี้?  หรือว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นพยัคฆ์ยิ้ม?”  เขาก็คิดในใจว่า “ฉันเป็นพยัคฆ์ยิ้มมาหลายปีแล้ว และที่ผ่านมานั้นก็ไม่เคยถูกเอารัดเอาเปรียบ นี่เลยกลายเป็นหลักการสำคัญที่ฉันใช้ติดต่อเจรจากับชาวโลก”  เขาทำตัวเป็นหินลื่นก้อนหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนล่องลอยไปตามสังคมเช่นนี้มาหลายปีแล้ว และยังคงทำเช่นนี้ต่อไปหลังจากที่เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาไม่เคยพูดจาซื่อตรงสักคำ ไม่เคยกล่าวจากหัวใจ และไม่ยอมพูดถึงความเข้าใจที่พวกเขามีต่อตนเอง  แม้ในยามที่พี่น้องชายหญิงเปิดใจแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่พูดจาตามตรง และไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกนึกคิดเช่นไร  พวกเขาไม่เคยเผยว่าตนคิดอะไรหรือมีทัศนะอย่างไร พวกเขารักษาสัมพันธภาพกับทุกคนอย่างดีเยี่ยม และเจ้าก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนชนิดใดหรือมีบุคลิกแบบไหน หรือแท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไรกับผู้อื่น  ถ้ามีใครถามพวกเขาว่าคนนั้นๆ เป็นคนแบบไหน พวกเขาย่อมตอบว่า “เขาเป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปีแล้ว และเขาก็ดีใช้ได้”  ไม่ว่าเจ้าจะถามถึงใครก็ตาม พวกเขาก็จะตอบว่าคนคนนั้นดีใช้ได้หรือค่อนข้างดี  ถ้าใครบางคนถามพวกเขาว่า “คุณเคยพบเจอข้อบกพร่องหรือข้อเสียในตัวเขาบ้างไหม?”  พวกเขาก็จะตอบว่า “จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่พบเจอเลย ต่อไปฉันจะตั้งใจมองให้มากขึ้น” แต่ลึกลงไปพวกเขากลับคิดว่า “คุณกำลังขอให้ฉันล่วงเกินคนคนนั้น ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าฉันจะไม่ทำ!  ถ้าฉันพูดเรื่องจริงกับคุณ แล้วเขาเกิดรู้เข้า เขาก็รังแต่จะกลายเป็นศัตรูของฉันมิใช่หรือ?  ครอบครัวของฉันบอกฉันมานานแล้วว่าไม่ให้สร้างศัตรู ฉันยังไม่ลืมคำของพวกเขา  คุณนึกว่าฉันโง่หรือไร?  คุณคิดว่าฉันจะลืมการอบรมสั่งสอนและการสร้างพฤติกรรมที่ได้รับจากครอบครัวมาโดยตลอดเพียงเพราะคุณสามัคคีธรรมความจริงมาสองประโยคอย่างนั้นหรือ?  นั่นจะไม่เกิดขึ้น!  คำกล่าวที่ว่า ‘ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง’ และ ‘การประนีประนอมจะทำให้ความขัดแย้งแก้ไขง่ายดายขึ้นมาก’ ยังไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง แล้วก็เป็นเครื่องรางคุ้มครองฉัน  ฉันไม่คุยเรื่องข้อเสียของใคร และถ้ามีคนมายั่วยุฉัน ฉันก็จะอดกลั้นให้ดู  คุณมองไม่เห็นหรือว่าบนหน้าผากของฉันมีตัวอักษรตัวนั้นประทับอยู่?  เป็นตัวอักษรจีนที่แปลว่า ‘อดกลั้น’ ซึ่งประกอบด้วยอักษรที่หมายถึงมีดอยู่เหนืออักษรที่หมายถึงหัวใจ  ใครก็ตามที่แสดงความเห็นในทางร้ายๆ ฉันจะอดกลั้นให้ดู  ใครก็ตามที่มาตัดแต่งฉัน ฉันจะอดกลั้นให้พวกเขาดู  ฉันมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นเพื่อนที่ดีของทุกคนและรักษาสัมพันธภาพในระดับนี้เอาไว้  อย่ายึดหลักธรรม อย่าโง่เขลาอย่างนั้น อย่าทำตัวไม่รู้จักยืดหยุ่น คุณต้องเรียนรู้ที่จะยอมจำนนตามรูปการณ์!  คุณคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมเต่าถึงอายุยืนนัก?  เป็นเพราะมันซ่อนตัวอยู่ในกระดองทุกครั้งที่เกิดเรื่องยุ่งยากไม่ใช่หรือ?  แบบนั้นพวกมันถึงสามารถปกป้องตัวเองได้และมีอายุหลายพันปี  ทำเช่นนั้นจึงจะมีชีวิตยืนนานและเป็นวิธีรับมือกับโลกด้วย”  เจ้าย่อมไม่ได้ยินผู้คนแบบนั้นเอ่ยสิ่งใดที่เป็นความสัตย์หรือแท้จริง พวกเขาไม่เคยเผยมุมมองที่แท้จริงและหลักเกณฑ์สำคัญที่พวกเขาใช้ในการวางตน  พวกเขาคิดและตรึกตรองแต่เรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ แต่ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องเหล่านี้ด้วย  คนแบบนี้ภายนอกก็ใจดีกับทุกคน ดูมีอัธยาศัยดี และไม่ทำร้ายหรือทำอันตรายใคร  แต่ข้อเท็จจริงก็คือ แท้จริงแล้วพวกเขาเหยียบเรือสองแคมและทำตัวเป็นหินลื่น  คนแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของบางคนในคริสตจักรอยู่เสมอ เพราะพวกเขาไม่เคยทำความผิดใหญ่ๆ ไม่เคยเผยตัวตนออกมา แล้วผู้นำคริสตจักรกับพี่น้องชายหญิงก็ประเมินพวกเขาว่าเข้ากับทุกคนดีใช้ได้  พวกเขาไม่ยินดียินร้ายกับหน้าที่ของตน ทำตามที่ขอให้ทำเท่านั้น  เชื่อฟังและประพฤติตัวดีเป็นพิเศษ ไม่เคยทำร้ายผู้อื่นเวลาสนทนากันหรือเวลาจัดการเรื่องต่างๆ และไม่เคยเอาเปรียบใครอย่างไม่เป็นธรรม  พวกเขาไม่เคยพูดถึงผู้อื่นในทางไม่ดี และไม่เคยตัดสินผู้คนลับหลัง  อย่างไรก็ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่ และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับผู้อื่นหรือมีความคิดเห็นเช่นไรในเรื่องของผู้อื่น  เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เจ้ารู้สึกด้วยซ้ำไปว่าคนแบบนี้แท้จริงแล้วออกจะแปลกและเข้าใจยาก และการให้พวกเขาอยู่ด้วยต่อไปก็อาจจะพาให้เดือดร้อน  เจ้าควรทำอย่างไร?  ตัดสินใจยากใช่หรือไม่?  เวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ เจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาทำงานของตนไป แต่พวกเขาไม่เคยใส่ใจหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าคอยสื่อสารกับพวกเขา  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามใจชอบ ทำตามขั้นตอนให้เสร็จแล้วก็จบกันตรงนั้น แค่พยายามหลีกเลี่ยงความผิดพลาดใหญ่ๆ เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่อาจจับผิดหรือระบุข้อบกพร่องอันใดได้  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้ตำหนิ แต่พวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ?  พวกเขาอยากปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  ถ้าไม่มีกฎการปกครองของคริสตจักร หรือการกำกับดูแลจากผู้นำคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิง คนคนนี้จะคบค้าสมาคมกับคนชั่วหรือไม่?  พวกเขาจะทำเรื่องไม่ดีและทำความชั่วร่วมกับคนชั่วหรือไม่?  เป็นไปได้มาก และพวกเขาก็สามารถทำเช่นนั้น แต่ว่ายังไม่ทำ  คนแบบนี้เป็นคนประเภทที่มีปัญหาที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีของหินลื่นหรือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์  พวกเขาไม่ถือโกรธใคร  ถ้ามีคนพูดอะไรให้พวกเขาเจ็บช้ำน้ำใจ หรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่หมิ่นศักดิ์ศรีของพวกเขา พวกเขาย่อมคิดอย่างไร?  “ฉันจะอดกลั้นให้ดู จะไม่ถือสาคุณ แต่จะมีสักวันที่คุณจะทำให้ตัวเองขายหน้า!”  เมื่อคนคนนั้นถูกจัดการหรือทำตัวเองขายหน้าเข้าจริงๆ พวกเขาก็แอบหัวเราะชอบใจ  พวกเขาพร้อมที่จะหัวเราะเยาะผู้อื่น ผู้นำ และพระนิเวศของพระเจ้า แต่ไม่หัวเราะล้อเลียนตนเอง  พวกเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองมีปัญหาหรือข้อเสียอันใด  ผู้คนแบบนี้ระวังที่จะไม่เผยสิ่งใดที่สามารถทำร้ายผู้อื่นหรือทำให้ผู้อื่นสามารถรู้ทันพวกเขาได้แม้พวกเขาจะคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจก็ตาม  แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สามารถทำให้ผู้อื่นด้านชาหรือชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด พวกเขากลับแสดงออกมาให้ผู้คนเห็นตามสบาย  ผู้คนแบบนี้ยอกย้อนและจัดการยากเป็นที่สุด  แล้วพระนิเวศของพระเจ้ามีท่าทีเช่นไรต่อผู้คนแบบนี้?  ถ้าสามารถใช้พวกเขาได้ก็ใช้ และถ้าใช้พวกเขาไม่ได้ก็เอาตัวออกไปเสีย—นี่คือหลักธรรม  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เหตุผลก็คือผู้คนแบบนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อที่หัวเราะเยาะหยันพระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง และผู้นำเวลามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา  แล้วพวกเขามีบทบาทเช่นไร?  ใช่บทบาทของซาตานและหมู่มารหรือไม่?  (ใช่)  เวลาพวกเขาอดทนกับพี่น้องชายหญิง ความอดทนนั้นไม่ใช่ทั้งการทนยอมรับอย่างแท้จริงและความรักที่จริงแท้  พวกเขาทำไปเพื่อปกป้องตนเองและหลีกเลี่ยงการดึงศัตรูหรือภัยเข้ามาหาตัว  พวกเขาไม่ได้ทนยอมรับพี่น้องชายหญิงเพื่อปกป้องพี่น้อง ไม่ได้ทำไปเพราะรัก และยิ่งไม่ได้ทำไปเพราะกำลังไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  ท่าทีของพวกเขาคือท่าทีที่เน้นการเออออตามผู้อื่นและชักพาให้ผู้อื่นหลงเชื่อ  ผู้คนดังกล่าวเหยียบเรือสองแคมและทำตัวเป็นหินลื่น  พวกเขาไม่ชอบความจริงและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง มีแต่เออออไปเรื่อยเท่านั้น  ชัดเจนว่าการสร้างพฤติกรรมที่ผู้คนเช่นนี้ได้รับจากครอบครัวของพวกเขาส่งผลต่อวิธีที่พวกเขาใช้วางตนและรับมือสิ่งทั้งหลายอย่างมาก  และแน่นอนที่จะต้องกล่าวว่าไม่อาจแยกวิธีและหลักการรับมือโลกแบบนี้ออกจากแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้  นอกจากนี้ ผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของพวกเขาก็มีแต่จะยิ่งขับเน้นและทำให้การกระทำของพวกเขาเป็นรูปธรรมมากขึ้น และมีแต่จะยิ่งเผยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาออกมาอย่างหมดเปลือกมากขึ้น  เพราะฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาสำคัญที่เป็นเรื่องของความถูกผิด และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ถ้าผู้คนดังกล่าวสามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้อง และปล่อยมือจากปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกที่พวกเขาเก็บงำไว้ในหัวใจได้ เช่น “ความปรองดองคือขุมทรัพย์ ความอดกลั้นคือความปราดเปรื่อง” เพื่อมาค้ำชูผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ลดการกระทำผิดของตน และลดการประพฤติชั่วเบื้องหน้าพระเจ้า—นี่จะเป็นผลดีต่อพวกเขาอย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด ในอนาคตเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของแต่ละคน นี่ย่อมจะบรรเทาโทษของพวกเขาและลดการสั่งสอนที่พวกเขาจะได้รับจากพระเจ้า  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ ผู้คนดังกล่าวย่อมไม่มีอะไรให้เสียและมีแต่จะได้มิใช่หรือ?  ถ้าให้พวกเขาปล่อยมือจากปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกให้หมด นั่นจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา เพราะเกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าตัว แล้วคนที่ทำตัวเป็นหินลื่นและเหยียบเรือสองแคมเหล่านี้ก็ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด  การที่พวกเขาจะปล่อยมือจากปรัชญาของซาตานที่ครอบครัวของพวกเขาใช้สร้างพฤติกรรมให้กับพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาและง่ายเท่าใดนัก เพราะ—ต่อให้วางผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ได้รับจากครอบครัวของตนได้—ตัวพวกเขาเองก็หมกมุ่นเชื่อในปรัชญาของซาตาน และชอบแนวทางของการรับมือโลกแบบนี้ซึ่งเป็นแนวทางตามความชอบของแต่ละคนโดยแท้  แต่ถ้าผู้คนดังกล่าวมีความหลักแหลม—ถ้าพวกเขาปล่อยมือจากการปฏิบัติพวกนี้ได้บ้าง และหันมาปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเหมาะสมตราบเท่าที่ผลประโยชน์ของพวกเขาไม่ถูกคุกคามหรือเสียหาย—เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สามารถบรรเทาความผิดของพวกเขา ลดการสั่งสอนที่พระเจ้าจะทรงมีต่อพวกเขา และถึงขั้นพลิกสถานการณ์ให้พระเจ้าประทานบำเหน็จและจดจำพวกเขาได้ แทนที่จะทรงสั่งสอนพวกเขา  นั่นย่อมจะวิเศษแท้!  นั่นย่อมจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  สามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับแง่มุมนี้ก็สรุปจบลงตรงนี้

ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้าด้วยวิธีใดอีกบ้าง?  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของเจ้ามักจะบอกเจ้าว่า “ถ้าพูดมากและพูดไม่คิด ไม่ช้าก็เร็วนั่นจะทำให้ลูกเดือดร้อน!  ลูกต้องจำไว้ว่า ‘คนพูดมากย่อมผิดมาก’!  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าถ้าลูกพูดมากเกินไป ก็แน่นอนว่าลูกจะลงเอยด้วยการพูดไม่คิด  ไม่ว่าจะในโอกาสไหนก็อย่าพูดจาวู่วาม—ดูเสียก่อนว่าคนอื่นเขาพูดว่าอย่างไรก่อนที่ตัวเองจะพูดอะไรออกไป  ถ้าลูกเข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ดี ลูกก็จะไม่เป็นไรโดยแท้  แต่ถ้าพยายามทำตัวเด่นอยู่เสมอ และพูดจาวู่วามตลอดเวลา เผยมุมมองของตนโดยที่ไม่รู้ว่าหัวหน้า เจ้านาย หรือทุกคนรอบตัวลูกคิดอะไรอยู่ แล้วกลับกลายเป็นว่าหัวหน้าหรือเจ้านายไม่ได้คิดเหมือนลูก เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะทำให้ลูกลำบาก  แบบนั้นจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นได้กระนั้นหรือ?  เด็กโง่เอย วันข้างหน้าลูกต้องระมัดระวัง  คนพูดมากย่อมผิดมาก  จำเรื่องนี้เอาไว้ก็พอ และอย่าพูดจาวู่วาม!  ปากมีไว้กินและหายใจ มีไว้ยกยอคนที่อยู่สูงกว่าและพยายามเอาใจคนอื่น ไม่ได้มีไว้พูดเรื่องจริง  ลูกต้องฉลาดเลือกใช้คำพูด ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม ใช้วิธีการ และต้องใช้สมอง  ก่อนที่คำพูดจะหลุดจากปากนั้น ให้กลืนกลับลงไปและนึกทบทวนสิ่งที่จะพูดไปมาในใจ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยพูด  แท้จริงแล้วสิ่งที่จะพูดนั้นควรดูสถานการณ์ด้วย  ถ้าเริ่มออกความเห็น แต่แล้วกลับสังเกตว่าผู้คนไม่ชอบใจหรือมีปฏิกิริยาไม่ค่อยดีก็ให้หยุดอยู่ตรงนั้นทันที และคิดว่าจะพูดอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ แล้วค่อยพูดต่อ  เด็กฉลาดย่อมทำอย่างนั้น  ถ้าลูกทำเช่นนั้น ลูกก็จะไม่เดือดร้อนและทุกคนก็จะชอบลูก  แล้วถ้าทุกคนชอบลูก  นั่นย่อมจะเอื้อประโยชน์ให้ไม่ใช่หรือ?  นั่นย่อมจะสร้างโอกาสให้ลูกมากขึ้นในอนาคตไม่ใช่หรือ?”  ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมให้กับเจ้าไม่เพียงด้วยการบอกเจ้าว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นที่นับหน้าถือตา ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ชนะและมีที่ยืนอันมั่นคงในหมู่ผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังบอกด้วยว่าจะใช้สิ่งที่เห็นภายนอกมาหลอกผู้อื่นและจะไม่พูดเรื่องจริงได้อย่างไร ส่วนเรื่องการพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง  บางคนที่เศร้าเสียใจหลังจากพูดความจริงออกมา ก็นึกถึงที่ครอบครัวของตนบอกตนเรื่องคำกล่าวที่ว่า “คนพูดมากย่อมผิดมาก” และได้บทเรียนจากคำกล่าวนี้  นับแต่นั้นพวกเขาก็เต็มใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะปฏิบัติตามคำกล่าวนี้และใช้เป็นคติประจำใจของตน  ผู้อื่นแม้ยังไม่เคยเศร้าเสียใจ แต่ก็ยอมรับการสร้างพฤติกรรมจากครอบครัวในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และปฏิบัติตามคำกล่าวนี้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะในโอกาสใด  ยิ่งพวกเขาปฏิบัติตามก็ยิ่งรู้สึกว่า “พ่อแม่และปู่ย่าของฉันดีต่อฉันมาก พวกเขาทุกคนจริงใจกับฉันและอยากให้ฉันได้สิ่งที่ดีที่สุด  ฉันโชคดีมากที่พวกเขาพูดถึงคำกล่าวที่ว่า ‘คนพูดมากย่อมผิดมาก’ นี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะเศร้าเสียใจบ่อยมากเพราะความปากมากของตัวเอง และคงจะมีผู้คนมากมายหาเรื่องกลั่นแกล้งหรือมองฉันด้วยสายตาดูแคลน หรือหัวเราะเยาะเย้ยและล้อเลียนฉัน  คำกล่าวนี้มีประโยชน์และช่วยได้มาก!”  พวกเขาได้ประโยชน์ที่จับต้องได้จากการปฏิบัติตามคำกล่าวนี้เป็นอันมาก  แน่นอนว่าเมื่อพวกเขามาเบื้องพระพักตร์พระเจ้าในภายหลัง พวกเขาก็ยังคงคิดว่าคำกล่าวนี้คือสิ่งที่เป็นประโยชน์และให้ผลดีที่สุด  เมื่อใดก็ตามที่พี่น้องชายหญิงเปิดใจสามัคคีธรรมถึงสภาวะของตน ความเสื่อมทราม หรือประสบการณ์และสิ่งที่เขาหรือเธอรู้เป็นการส่วนตัว พวกเขาก็อยากสามัคคีธรรมและเป็นคนที่ตรงไปตรงมาและเปิดเผยเช่นกัน พวกเขาอยากพูดอย่างซื่อสัตย์ถึงสิ่งที่ตนคิดหรือรู้อยู่แก่ใจเช่นกัน จะได้ผ่อนคลายสภาพจิตใจที่ถูกสะกดกลั้นมาหลายปีเป็นการชั่วคราว หรือเป็นอิสระและได้ปลดปล่อยบ้าง  แต่ทันทีที่พวกเขานึกถึงสิ่งที่พ่อแม่พร่ำสอนว่า “‘คนพูดมากย่อมผิดมาก’  อย่าพูดจาด้วยความวู่วาม ควรเป็นผู้ฟังมากกว่าเป็นผู้พูด และเรียนรู้ที่จะฟังคนอื่น” พวกเขาก็กลืนสิ่งที่อยากพูดลงไป  เมื่อผู้อื่นพูดจบแล้ว พวกเขาก็ไม่กล่าวอะไร แต่กลับคิดในใจว่า “ดีมาก ดีที่คราวนี้ฉันไม่ได้พูดอะไร เพราะเมื่อฉันพูดจบ ทุกคนก็อาจจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวฉัน และฉันก็อาจจะสูญเสียบางอย่างไป  การไม่พูดอะไรนี้ดีมาก บางทีทำแบบนี้ ทุกคนก็อาจจะมัวคิดว่าฉันซื่อสัตย์และไม่ค่อยหลอกลวง แต่เป็นคนที่พูดน้อยเป็นปกติเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ใช่คนเจ้าอุบายหรือคนที่เสื่อมทรามมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่คนที่มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่กลับเป็นคนที่เรียบง่ายและเปิดเผย  การที่ผู้คนคิดกับฉันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แล้วฉันควรต้องพูดอะไรไปทำไม?  ที่จริงฉันก็เห็นผลบางอย่างจากการทำตามคำกล่าวที่ว่า ‘คนพูดมากย่อมผิดมาก’ อยู่แล้ว ดังนั้นฉันก็จะทำตัวแบบนี้ต่อไป”  การยึดปฏิบัติตามคำกล่าวนี้ให้ความรู้สึกที่ดีและน่าพอใจแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงนิ่งเงียบเสียหนึ่งครั้ง สองครั้ง และทำต่อไปจนวันหนึ่งพวกเขาก็มีคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจมากมายและอยากจะเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงของตน แต่ปากของพวกเขากลับรู้สึกเหมือนถูกผนึกและปิดตาย แม้ประโยคเดียวก็กล่าวออกมาไม่ได้  เนื่องจากพวกเขาไม่อาจบอกพี่น้องชายหญิงได้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะพยายามบอกพระเจ้าแทน แล้วพวกเขาก็คุกเข่าเบื้องพระพักตร์พระองค์และกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีเรื่องจะบอกพระองค์  ข้าพระองค์...”  แต่แม้พวกเขาจะคิดไว้ในใจมาอย่างดี พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะกล่าวออกมาอย่างไร พวกเขาพูดไม่ออก เหมือนเป็นใบ้ไปแล้วจริงๆ  พวกเขาไม่รู้ว่าจะเลือกคำที่เหมาะสมอย่างไรหรือแม้กระทั่งจะร้อยเรียงให้เป็นประโยคได้อย่างไร  ความรู้สึกที่อัดอั้นมาหลายต่อหลายปีทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกสะกดกลั้นเอาไว้อย่างสิ้นเชิง มีชีวิตที่มืดมนและเลวร้าย และเมื่อพวกเขาตัดสินใจบอกความในใจแก่พระเจ้าและถ่ายทอดความรู้สึกของตนออกมา พวกเขากลับจนคำพูดและไม่รู้จะเริ่มตรงไหน หรือจะพูดอย่างไร  พวกเขาน่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจึงไม่มีอะไรจะกล่าวกับพระเจ้า?  พวกเขาได้แต่แนะนำตัวเท่านั้น  พวกเขาอยากบอกความในใจกับพระเจ้า แต่ก็ไม่มีคำพูด และในที่สุดก็ได้แต่พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดประทานคำพูดที่ข้าพระองค์พึงกล่าวด้วยเถิด!”  แล้วพระเจ้าก็ตรัสตอบว่า “มีเรื่องมากมายที่เจ้าควรพูด แต่เจ้ากลับไม่อยากกล่าวออกมา และพอให้โอกาส เจ้าก็ไม่พูด ดังนั้นเราจึงเอาทุกสิ่งที่เรามอบให้เจ้าคืนมา  เราจะไม่ให้เจ้าอีก เจ้าไม่สมควรได้รับ”  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขารู้สึกว่าหลายปีมานี้ตนพลาดไปมาก  แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีมาก ปิดบังตัวตนเอาไว้อย่างมิดชิด และสร้างภาพให้ตัวเองดูสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้พี่น้องชายหญิงก้าวหน้าขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงพูดคุยถึงประสบการณ์ของตนเองโดยไม่มีความหวาดหวั่นอันใดและเปิดใจเรื่องความเสื่อมทรามของตน ผู้คนเหล่านี้ก็มาตระหนักว่าพวกเขาพูดไม่ออกสักประโยคเดียว และไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว อยากพูดคุยถึงสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตนเอง อยากเสวนาเรื่องที่ตนได้สัมผัสและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า อยากได้ความรู้แจ้งบางอย่างและความสว่างจากพระเจ้าบ้าง และอยากได้อะไรบางอย่าง  แต่น่าเสียดาย ด้วยเหตุที่พวกเขาต่างก็ยึดถือความคิดเห็นที่ว่า “คนพูดมากย่อมผิดมาก” บ่อยเกินไป และมักจะถูกแนวคิดนี้พันธนาการและควบคุมเอาไว้ พวกเขาจึงดำเนินชีวิตตามคำกล่าวนี้มาหลายปีนัก ไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างใดๆ จากพระเจ้า และเมื่อเป็นเรื่องการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาก็ยังคงขัดสน น่าเวทนา และไม่ได้อะไรไว้ในมือ  พวกเขาปฏิบัติตามคำกล่าวและแนวคิดนี้อย่างสมบูรณ์แบบและเชื่อฟังอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่แม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขากลับไม่ได้อะไรที่เป็นความจริงเลย ยังคงอัตคัดขัดสนและมืดบอด  พระเจ้าประทานปากให้แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่มีความสามารถอันใดที่จะสามัคคีธรรมความจริง และไร้ความสามารถที่จะกล่าวความรู้สึกและสิ่งที่ตนรู้ออกมา และยิ่งไม่สามารถสื่อสารกับพี่น้องชายหญิงของตน  สิ่งที่ยิ่งน่าเวทนาก็คือพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะพูดคุยกับพระเจ้าด้วยซ้ำ และสูญสิ้นความสามารถที่จะทำเช่นนั้น  พวกเขาน่าสมเพชมิใช่หรือ?  (ใช่)  น่าสมเพชและชวนให้สังเวชใจ  เจ้าไม่ชอบพูดมิใช่หรือ?  เจ้ากลัวมิใช่หรือว่าคนพูดมากย่อมผิดมาก?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ควรพูดอะไรอีกเลย  เจ้าปิดกั้นความคิดในใจส่วนลึกสุดและสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าเอาไว้ กดเอาไว้ ปิดผนึกไม่ยอมให้เล็ดลอดออกมาได้  เจ้ากลัวตลอดเวลาว่าจะเสียหน้า กลัวการรู้สึกว่าถูกคุกคาม กลัวว่าผู้อื่นจะรู้ทันเจ้า และกลัวเสมอว่าเจ้าจะไม่ใช่คนดีที่ซื่อสัตย์และสมบูรณ์พร้อมในสายตาของผู้อื่นอีกต่อไป ดังนั้นเจ้าจึงปกปิดตัวเองเอาไว้ และไม่พูดความคิดอ่านที่แท้จริงของเจ้าออกมา  แล้วเกิดอะไรขึ้นในที่สุด?  เจ้ากลายเป็นคนใบ้ในทุกๆ ทาง  ใครทำร้ายเจ้าแบบนั้น?  เมื่อดูที่มูลเหตุ การสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้านั่นเองที่ทำร้ายเจ้า  แต่ในแง่ของตัวเจ้าเอง นี่ยังเป็นเพราะเจ้าชอบใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานอีกด้วย ดังนั้นเจ้าจึงเลือกที่จะเชื่อว่าการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้านั้นถูกต้อง และไม่เชื่อว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าคือสิ่งที่เป็นบวก  เจ้าเลือกที่จะมองว่าผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้าคือสิ่งที่เป็นบวก และมองว่าพระวจนะของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระองค์ เสบียง ความช่วยเหลือ และการสอนของพระองค์คือสิ่งที่พึงระวัง คือสิ่งที่เป็นลบ  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในตอนแรกเริ่มพระเจ้าจะประทานแก่เจ้ามากเท่าใด แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าคอยระแวดระวังและปฏิเสธ ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นว่าพระเจ้าทรงเอาทุกสิ่งคืนไปและไม่ประทานสิ่งใดแก่เจ้า เพราะเจ้าไม่คู่ควร  ดังนั้น ก่อนที่จะกลายเป็นเช่นนั้น เจ้าควรปล่อยมือจากผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้าในด้านนี้ และอย่าไปยอมรับแนวคิดผิดๆ ที่ว่า “คนพูดมากย่อมผิดมาก”  คำกล่าวนี้ทำให้เจ้ายิ่งปิดตัว ยอกย้อนมากขึ้น และหน้าซื่อใจคดยิ่งขึ้น  เป็นคำกล่าวที่อยู่คนละขั้วและตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ผู้คนซื่อสัตย์ รวมทั้งข้อกำหนดของพระองค์ที่ให้พวกเขาตรงไปตรงมาและเปิดเผย  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าและผู้ติดตามพระเจ้า เจ้าควรมุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  และเมื่อเจ้ามุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็ควรมุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่เจ้านึกฝันเอาว่าเป็นผลพวงอันดีงามของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวของเจ้ามีต่อเจ้า—ไม่ควรมีการเลือก  ไม่ว่าผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อเจ้าจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าจะดีหรือเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างไร ไม่ว่าจะปกป้องเจ้าได้มากเท่าใด สิ่งเหล่านั้นก็มาจากผู้คนและซาตาน และเจ้าควรปล่อยไป  แม้พระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนจะขัดแย้งกับผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้า หรือถึงกับส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของเจ้าและริบสิทธิ์ของเจ้าไป ต่อให้เจ้าคิดว่าพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าไม่ได้ปกป้องเจ้า แต่กลับเจตนาที่จะทำให้เจ้าขายหน้าและดูโง่เขลา เจ้าก็ควรมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกอยู่ดี เพราะเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า เป็นความจริง และเจ้าก็ควรน้อมรับ  ถ้าสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้ามีผลต่อการคิดอ่าน การวางตน ทัศนคติในการดำรงอยู่ และเส้นทางที่เจ้าเลือก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปล่อยมือและไม่ยึดถือเอาไว้  แต่เจ้าควรแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริงที่เกี่ยวข้องกันจากพระเจ้า และเมื่อทำดังนั้น เจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะอยู่เสมอและตระหนักรู้ปัญหาและแก่นแท้โดยธรรมชาติของสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าสร้างพฤติกรรมเอาไว้ในตัวเจ้า แล้วจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติด้วยการทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างเที่ยงตรง สัมพันธ์กับชีวิตจริง และแท้จริงยิ่งขึ้น  การยอมรับแนวคิด ทัศนะเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งหลักธรรมของการปฏิบัติที่มาจากพระเจ้า—นี่คือความรับผิดชอบตามหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ และนี่ยังเป็นแนวคิดและทัศนะที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีอีกด้วย

พ่อแม่บางครอบครัว นอกจากจะปลูกฝังสิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นบวกและมีประโยชน์ต่อการอยู่รอด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และอนาคตของตนแล้ว ยังปลูกฝังแนวคิดและทัศนะบางอย่างที่ค่อนข้างสุดโต่งและบิดเบี้ยวไว้ในตัวลูกๆ อีกด้วย  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ดังกล่าวบอกว่า “เป็นคนเลวแท้ดีกว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ”  นี่คือคำกล่าวที่บอกเจ้าว่าควรวางตนเช่นไร  คำกล่าวที่ว่า “เป็นคนเลวแท้ดีกว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ” นี้ทำให้เจ้าเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เจ้าเลือกการเป็นคนเลวแท้ ซึ่งก็คือเลวอย่างเปิดเผย แทนที่จะเลวลับหลังผู้คน  แบบนั้น ต่อให้ผู้คนคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำไม่ค่อยดีงามนัก แต่พวกเขาก็จะยังคงเลื่อมใสเจ้าและเห็นชอบในตัวเจ้า  นี่หมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งเลวร้ายอันใด เจ้าก็ต้องทำต่อหน้าผู้คน ทำอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา  บางครอบครัวสร้างพฤติกรรมและอบรมสั่งสอนลูกของตนกันอย่างนี้  ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ดูหมิ่นผู้คนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมต่ำช้าและควรเหยียดหยามในสังคมเท่านั้น แต่พวกเขาถึงกับอบรมสั่งสอนลูกๆ ด้วยการบอกว่า “อย่าประเมินผู้คนเหล่านี้ต่ำเกินไป  ที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนไม่ดี—พวกเขาอาจจะดีกว่าสัตบุรุษเทียมเท็จด้วยซ้ำ”  ในแง่หนึ่ง พวกเขาบอกเจ้าว่าควรเป็นคนอย่างไร ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็บอกเจ้าด้วยว่าควรแยกแยะผู้คนอย่างไร ควรมองผู้คนแบบใดว่าเป็นบวก และควรมองผู้คนแบบใดว่าเป็นลบ สอนให้เจ้าแยกแยะสิ่งที่เป็นบวกออกจากสิ่งที่เป็นลบ และยังสอนเจ้าอีกด้วยว่าควรวางตนเช่นไร—นี่คือชนิดของการอบรมสั่งสอนและการสร้างพฤติกรรมที่พวกเขามอบให้แก่เจ้า  ดังนั้น การสร้างพฤติกรรมแบบนี้ส่งผลที่มิอาจสังเกตเห็นได้เช่นใดต่อผู้คน?  (ไม่แยกแยะดีชั่ว)  ถูกต้อง ไม่แยกแยะดีชั่วถูกผิด  มาดูกันก่อนเถิดว่ามนุษย์มองคนที่ได้ชื่อว่าเลวและเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จว่าอย่างไร  ก่อนอื่นมนุษย์คิดว่าคนเลวแท้ไม่ใช่คนไม่ดี และคนที่เป็นสัตบุรุษเทียมเท็จโดยแท้ต่างหากคือผู้คนที่ไม่ดี  ผู้คนประเภทที่ทำเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น แต่ภายนอกกลับแสร้งทำตัวดีงาม ได้ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ  เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน พวกเขาล้วนพูดถึงความเมตตากรุณา ความชอบธรรม และความมีศีลธรรม แต่ลับหลังกลับลุกขึ้นมาทำเรื่องไม่ดีสารพัดอย่าง  พวกเขาทำเรื่องไม่ดีทั้งหมดนี้พลางกล่าวสิ่งดีๆ สารพัดชนิดไปพร้อมกัน—ผู้คนแบบนี้ย่อมถูกหยามหยัน  ส่วนคนเลวแท้นั้น พวกเขาเพียงแต่เลวต่อหน้าผู้คนเหมือนกับที่เลวลับหลัง กระนั้นพวกเขากลับกลายเป็นแบบอย่างที่ได้รับการสนับสนุนและใช้สอนสั่ง แทนที่จะถูกผู้คนหยามหยัน  คำกล่าวและทัศนะแบบนี้มักจะสร้างความสับสนให้กับมโนทัศน์ของผู้คนว่าแท้จริงแล้วอะไรคือคนดีและอะไรคือคนชั่วกันแน่  ดังนั้นผู้คนจึงไม่แน่ใจและไม่รู้ และแนวคิดของพวกเขานั้นคลุมเครือยิ่ง  เมื่อครอบครัวสร้างพฤติกรรมให้กับผู้คนในลักษณะนี้ บางคนจึงถึงกับคิดไปว่า “ด้วยการเป็นคนเลวแท้ ฉันจึงเป็นคนซื่อตรง  ฉันทำสิ่งต่างๆ อย่างเปิดเผย  ถ้ามีอะไรจะพูด ฉันก็พูดซึ่งหน้า  ถ้าฉันทำร้ายใคร หรือไม่ชอบหน้าใคร หรืออยากเอารัดเอาเปรียบใคร ฉันก็ต้องทำเช่นนั้นซึ่งหน้าให้พวกเขารู้เช่นกัน”  แท้จริงแล้วนี่คือตรรกะแบบใด?  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติประเภทใด?  เวลาคนชั่วทำสิ่งที่ไม่ดีและประพฤติชั่ว พวกเขาจำเป็นต้องหาหลักทฤษฎีมารองรับ และนี่ก็คือตรรกะที่พวกเขาคิดขึ้นมา  พวกเขาบอกว่า “ดูสิ สิ่งที่ฉันทำอยู่นี้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าการเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ  ฉันทำต่อหน้าผู้คน และทุกคนก็รู้เห็น—นี่จึงเรียกว่าซื่อตรง!”  ด้วยเหตุนี้คนเลวจึงเข้าใจไปว่าตนเองเป็นคนที่ซื่อตรง  เมื่อผู้คนนึกคิดเช่นนี้ในใจ แนวคิดของพวกเขาเรื่องความซื่อตรงที่แท้จริงและความชั่วที่แท้จริงจึงพร่าเลือนโดยที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้  พวกเขาไม่รู้ว่าการเป็นคนซื่อตรงนั้นเป็นเช่นไร และคิดไปว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งที่ฉันพูดจะทำร้ายคนอื่นหรือไม่ ถูกต้องหรือเปล่า มีเหตุผลหรือไม่ หรือเป็นไปตามหลักธรรมและความจริงหรือเปล่า  ตราบใดที่ฉันกล้าพูด และไม่ใส่ใจผลที่ตามมา ตราบใดที่ฉันมีอุปนิสัยที่จริงใจ มีธรรมชาติที่ตรงไปตรงมา และเป็นคนที่ตรงมาก ตราบใดที่ฉันไม่เก็บงำจุดมุ่งหมายที่ยอกย้อนซ่อนเงื่อนเอาไว้ ตราบนั้นก็ย่อมเหมาะสม”  นี่คือการกลับผิดให้เป็นถูกมิใช่หรือ?  (ใช่)  แบบนี้สิ่งที่เป็นลบก็ถูกพลิกให้เป็นบวก  เพราะฉะนั้น บางคนจึงใช้หลักการแบบนี้และวางตนตามคำกล่าวนี้ ถึงกับทึกทักเอาว่าความยุติธรรมอยู่ข้างตน พลางคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่ได้เอาเปรียบคุณ ไม่ได้เล่นไม่ซื่อลับหลังคุณ  ฉันทำสิ่งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย  คุณอยากคิดอะไรก็คิดไปเถิด  สำหรับฉันแล้ว นี่คือการเป็นคนซื่อตรง!  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าคนเราซื่อตรง ก็ไม่ต้องกังวลกับข่าวลือ’ ฉะนั้นก็คิดตามที่คุณอยากคิดเถิด!”  นี่คือตรรกะของซาตานมิใช่หรือ?  นี่เป็นตรรกะของโจรมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ามีเหตุอันควรให้ทำเรื่องไม่ดี สร้างความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล ทำตัวเผด็จการ และทำความชั่วกระนั้นหรือ?  การทำความชั่วก็คือการทำความชั่ว กล่าวคือ ถ้าแก่นแท้ของสิ่งที่เจ้าทำคือการทำความชั่ว สิ่งนั้นย่อมชั่ว  เจ้าใช้อะไรประเมินการกระทำของเจ้า?  การกระทำของเจ้าไม่ได้ประเมินโดยดูว่าเจ้ามีแรงจูงใจหรือไม่ เจ้าทำอย่างเปิดเผยหรือเปล่า หรือเจ้ามีอุปนิสัยที่จริงใจหรือไม่  การกระทำของเจ้าย่อมประเมินตามความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  ความจริงคือหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินทุกสิ่ง และประโยคนี้ก็ใช้กับกรณีนี้ได้อย่างสมบูรณ์  ตามการประเมินด้วยความจริง ถ้าสิ่งใดชั่ว สิ่งนั้นก็ชั่ว ถ้าสิ่งใดเป็นบวก สิ่งนั้นก็เป็นบวก ถ้าสิ่งใดไม่เป็นบวก สิ่งนั้นก็ไม่เป็นบวก  แล้วสิ่งที่ผู้คนคิดว่าซื่อตรง คิดว่าเป็นการมีอุปนิสัยที่จริงใจและมีธรรมชาติที่ตรงไปตรงมานี้คืออะไร?  นี่เรียกว่าการบิดคำและยัดเยียดตรรกะ สร้างความสับสนในแนวคิดต่างๆ และพูดจาเหลวไหล นี่เรียกว่าการชี้นำผู้คนไปในทางที่ผิด และถ้าเจ้าชี้นำผู้คนไปในทางที่ผิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังทำชั่ว  ไม่ว่าจะทำลับหลังผู้คนหรือต่อหน้า ความชั่วก็คือความชั่ว  ความชั่วที่ทำลับหลังคนคือความเลว ส่วนความชั่วที่ทำต่อหน้าคนย่อมมุ่งร้ายและโหดเหี้ยมโดยแท้ แต่ทั้งหมดล้วนยึดโยงอยู่กับความชั่ว  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าผู้คนควรยอมรับคำกล่าวที่ว่า “เป็นคนเลวแท้ดีกว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ” นี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  สิ่งใดเป็นบวก—หลักการประพฤติตนของสัตบุรุษเทียมเท็จ หรือหลักการประพฤติตนของคนเลวแท้?  (ไม่ใช่ทั้งคู่)  ถูกต้อง เป็นลบทั้งหมด  ดังนั้น จงอย่าทำตัวเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จและคนเลวแท้ และอย่ารับฟังเรื่องเหลวไหลจากพ่อแม่ของเจ้า  ทำไมพ่อแม่ถึงพูดเรื่องเหลวไหลอยู่เสมอ?  เพราะแท้จริงแล้วพ่อแม่ของเจ้าวางตนกันแบบนี้  พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันมีอุปนิสัยที่จริงใจ ฉันเป็นคนจริงใจ  ฉันตรงไปตรงมา ฉันซื่อสัตย์ในเรื่องความรู้สึกของตนเอง ฉันเป็นคนห้าวหาญ ฉันซื่อตรงและไม่จำเป็นต้องกังวลกับข่าวลือ ฉันประพฤติตัวดีพอและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วฉันต้องกลัวอะไร?  ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นฉันจึงไม่กลัวว่าพวกปีศาจจะมาเคาะประตู!”  ตอนนี้ปีศาจไม่ได้เคาะประตูของเจ้าอยู่ แต่เจ้ากลับทำความชั่วไว้ไม่น้อยและไม่ช้าก็เร็วย่อมจะถูกลงโทษ  เจ้าซื่อตรงและไม่กลัวข่าวลือ แต่การเป็นคนซื่อตรงแสดงถึงสิ่งใด?  ใช่ความจริงหรือไม่?  การเป็นคนซื่อตรงหมายถึงการปฏิบัติตนตามความจริงหรือไม่?  ตัวเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่?  จงอย่าคิดหาข้อแก้ตัวและข้ออ้างให้กับการทำชั่วของเจ้า ไม่มีประโยชน์!  ตราบใดที่ไม่สอดคล้องกับความจริง นั่นก็คือความชั่ว!  เจ้าถึงกับรู้สึกว่าตัวเจ้ามีอุปนิสัยที่จริงใจ  เพียงเพราะเจ้ามีอุปนิสัยที่จริงใจ นั่นหมายความกระนั้นหรือว่าเจ้าสามารถเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นได้?  หรือสามารถทำร้ายผู้อื่นได้?  นี่เป็นตรรกะแบบใด?  (ตรรกะของซาตาน)  นี่เรียกว่าตรรกะของโจรและพวกมาร!  เจ้าทำความชั่ว แต่กลับบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะควร หาข้ออ้างและเสาะแสวงที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับการทำชั่ว  นี่ไร้ความละอายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เราขอบอกเจ้าอีกครั้งว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงการปล่อยให้ผู้คนเป็นคนเลวแท้หรือสัตบุรุษเทียมเท็จ และไม่เคยมีข้อกำหนดชนิดที่ให้เป็นคนเลวแท้หรือสัตบุรุษเทียมเท็จ  คำกล่าวเหล่านี้คือวาจาเยี่ยงมารที่ไร้ยางอาย หลอกลวง และชักพาผู้คนให้หลงผิดทั้งสิ้น  สามารถชักพาผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงให้หลงผิดได้ แต่ถ้าเจ้าเข้าใจความจริงในวันนี้ เจ้าก็ไม่ควรยึดมั่นหรือถูกคำกล่าวจำพวกนี้ครอบงำเอาไว้อีกต่อไป  ไม่ว่าผู้คนจะเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จหรือคนเลวแท้ พวกเขาก็ล้วนเป็นมาร เป็นสัตว์ร้าย และเป็นทุรชนกันทุกคน ไม่มีดีสักคน เลวกันทั้งหมด และเกี่ยวพันกับความชั่วทั้งสิ้น  ถ้าไม่ใช่คนเลว พวกเขาก็โหดร้าย ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่างสัตบุรุษเทียมเท็จกับคนเลวแท้อยู่ที่รูปแบบการลงมือทำ กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งลงมือในที่แจ้ง ส่วนอีกฝ่ายลอบทำ  นอกจากนี้พวกเขายังประพฤติปฏิบัติตัวในลักษณะที่แตกต่างกัน  ฝ่ายหนึ่งทำชั่วอย่างเปิดเผย ส่วนอีกฝ่ายเล่นสกปรกลับหลังผู้คน ฝ่ายหนึ่งยอกย้อนและคิดคดทรยศมากกว่า ส่วนอีกฝ่ายยกตนข่มผู้อื่น เป็นจอมบงการ และแยกเขี้ยวยิงฟันมากกว่า ฝ่ายหนึ่งออกไปทางเล่นสกปรกและซุ่มเงียบ ส่วนอีกฝ่ายก็ออกไปทางน่าดูหมิ่นและโอหัง  พวกเขาบังเอิญเป็นวิธีทำสิ่งต่างๆ เยี่ยงซาตานสองทาง ทางหนึ่งเปิดเผยและอีกทางหนึ่งแอบแฝง  ถ้าเจ้ากระทำการอย่างเปิดเผย เจ้าก็เป็นคนเลวแท้ และถ้าเจ้าซุ่มลงมือ เจ้าก็เป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ  มีอะไรให้คุยอวดกระนั้นหรือ?  ถ้าเจ้าถือเอาคำกล่าวนี้เป็นคติประจำใจของตน เจ้าก็เบาปัญญามิใช่หรือ?  ดังนั้น ถ้าเจ้าถูกสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมหรือปลูกฝังให้กับเจ้าในเรื่องนี้ทำร้ายเจ้าอยู่ลึกๆ หรือถ้าเจ้ายึดมั่นในสิ่งดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น เราก็หวังว่าเจ้าจะสามารถปล่อยมือได้ สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและรู้ทันสิ่งเหล่านี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  เลิกยึดถือคำกล่าวนี้และคิดไปว่ามันปกป้องเจ้าอยู่ หรือทำให้เจ้าเป็นคนจริงหรือคนที่มีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว มีความเป็นมนุษย์ และอุปนิสัยที่จริงใจ  คำกล่าวนี้ไม่ใช่มาตรฐานว่าคนเราควรวางตนอย่างไร  สำหรับเราแล้ว เรากล่าวโทษคำกล่าวที่ทำให้เราขยะแขยงยิ่งกว่าสิ่งใดนี้อย่างมาก  เราไม่ได้ขยะแขยงเฉพาะสัตบุรุษเทียมเท็จเท่านั้น แต่รวมถึงคนเลวแท้อีกด้วย—ผู้คนทั้งสองจำพวกนี้คือคนที่เราขยะแขยง  ดังนั้น ถ้าเจ้าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้ว ตามมุมมองของเรา เจ้าก็ไม่ใช่คนดี และเกินเยียวยา  แต่ถ้าเจ้าเป็นคนเลวแท้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่  เจ้าตระหนักรู้หนทางที่แท้จริงเป็นอย่างดี แต่กลับจงใจทำบาป เจ้ารู้ความจริงอย่างชัดเจน แต่กลับละเมิดความจริงอย่างโจ่งแจ้งและไม่ปฏิบัติความจริง กลับต่อต้านความจริงอย่างเปิดเผย ดังนั้นเจ้าย่อมจะตายเร็วขึ้น  จงอย่าคิดว่า “ฉันมีธรรมชาติที่ตรงไปตรงมา ฉันไม่ใช่สัตบุรุษเทียมเท็จ  แม้ฉันจะเป็นคนเลว แต่ก็เป็นคนเลวแท้”  เจ้าแท้อย่างไร?  “ความแท้” ของเจ้าไม่ใช่ความจริง และไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก  “ความแท้” ของเจ้าคือการสำแดงให้เห็นแก่นนิสัยที่โอหังและโหดร้ายของเจ้า  เจ้า “แท้” แบบซาตานแท้ มารแท้ และโหดเหี้ยมแท้ ไม่ใช่แท้อย่างความจริงหรือสิ่งที่จริงแท้  ดังนั้น ในเรื่องคำกล่าวที่ว่า “เป็นคนเลวแท้ดีกว่าเป็นสัตบุรุษเทียมเท็จ” ที่ครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมให้กับเจ้านี้ เจ้าก็ควรปล่อยมือจากมันด้วย เพราะไม่ได้เชื่อมโยงกับหลักธรรมของการวางตนที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนเลย ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้น เจ้าควรปล่อยมือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แทนที่จะยึดถือเอาไว้ต่อไป

ครอบครัวยังก่อให้เกิดผลพวงของการสร้างพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น สมาชิกครอบครัวของเจ้าบอกเจ้าอยู่เสมอว่า “อย่าเด่นเกินคนอื่นมากไป ลูกต้องดึงตัวเองและยับยั้งวาจากับการกระทำเอาไว้บ้าง รวมทั้งพรสวรรค์ส่วนตัว ความสามารถ เชาวน์ปัญญา และอื่นๆ ด้วย  อย่าทำตัวเป็นคนเด่น  เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง’ และ ‘จันทันที่ยื่นออกไปย่อมผุเป็นสิ่งแรก’  ถ้าลูกอยากปกป้องตัวเองและมีที่ทางมั่นคงในระยะยาวภายในกลุ่มของตน ก็อย่าเป็นนกที่ยื่นคอยืดยาว ลูกควรรั้งตัวเองเอาไว้และไม่ทะยานอยากที่จะผงาดเหนือทุกคน  จงนึกถึงสายล่อฟ้าที่ถูกฟ้าผ่าเป็นสิ่งแรกกลางพายุ เพราะฟ้าย่อมผ่าจุดที่สูงที่สุด และเมื่อลมพัดกรรโชกแรง ต้นไม้ที่สูงที่สุดย่อมรับแรงลมมากที่สุดและถูกโค่นเป็นต้นแรก ยามที่อากาศหนาวเย็น ภูเขาที่สูงที่สุดก็มีน้ำแข็งปกคลุมก่อน  ผู้คนก็เช่นเดียวกัน—ถ้าลูกเด่นกว่าคนอื่นและดึงดูดความสนใจอยู่เสมอ แล้วทางพรรคสังเกตเห็นลูกเข้า พรรคก็จะพิจารณาลงโทษลูกอย่างจริงจัง  อย่าเป็นนกที่ยื่นคอยืดยาว อย่าบินเดี่ยว  ลูกควรอยู่ในฝูง  ไม่เช่นนั้นถ้ามีการจัดขบวนประท้วงทางสังคมโดยที่ลูกเป็นศูนย์กลาง ลูกก็จะถูกลงโทษเป็นคนแรก เพราะลูกคือนกที่ยื่นคอออกไป  อย่าเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่มในคริสตจักร  ไม่เช่นนั้นในกรณีที่เกิดความสูญเสียหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานในพระนิเวศของพระเจ้า ลูกก็จะเป็นคนแรกที่ถูกเพ่งเล็งในฐานะที่เป็นผู้นำหรือผู้ดูแล  ดังนั้นอย่าเป็นนกที่ยื่นคอยืดยาว เพราะนกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง  ลูกต้องเรียนรู้ที่จะหดหัวและยอบตัวเหมือนเต่า”  เจ้าจำคำพูดเหล่านี้ของพ่อแม่เอาไว้ และเมื่อถึงเวลาเลือกผู้นำ เจ้าก็ไม่รับตำแหน่งพลางกล่าวว่า “ฉันทำไม่ไหวหรอก!  ฉันมีครอบครัว มีลูก และติดพันอยู่กับเรื่องของพวกเขามากเกินไป  เป็นผู้นำไม่ได้  พวกคุณนั่นละที่ควรเป็นผู้นำ อย่าเลือกฉันเลย”  สมมุติว่าเจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำอยู่ดี เจ้าก็ยังคงอิดออดที่จะทำ  “เกรงว่าฉันคงต้องลาออก” เจ้าว่า  “พวกคุณเป็นผู้นำเถิด ฉันยกโอกาสทั้งหมดนี้ให้พวกคุณ  ปล่อยให้พวกคุณรับตำแหน่งไป ฉันหลีกทางให้”  ในใจเจ้าก็นึกตรองว่า “เฮ้อ!  นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง  ยิ่งไต่สูงก็ยิ่งตกแรง และอยู่บนยอดก็รู้สึกโดดเดี่ยว  ฉันจะปล่อยให้คุณเป็นผู้นำ พอคุณได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีสักวันหนึ่งที่คุณจะทำให้ตัวเองขายหน้า  ฉันไม่เคยอยากเป็นผู้นำ ฉันไม่อยากไต่บันได ซึ่งหมายความว่าฉันจะไม่ตกจากที่สูงมากนัก  คิดดูสิ คนนั้นๆ ถูกปลดจากการเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ?  พอถูกปลดแล้ว เขาก็ถูกขับไล่—เขาไม่มีโอกาสเป็นผู้เชื่อธรรมดาด้วยซ้ำ  นี่เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของคำกล่าวที่ว่า ‘นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง’ และ ‘จันทันที่ยื่นออกไปย่อมผุเป็นสิ่งแรก’  ฉันพูดถูกไม่ใช่หรือ?  เขาถูกลงโทษไม่ใช่หรือ?  ผู้คนต้องหัดปกป้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะมีสมองไปทำไม?  ถ้าหัวคุณมีสมอง คุณก็ต้องใช้สมองปกป้องตัวเอง  บางคนไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แต่ในสังคมและในกลุ่มคนไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้คือ—‘นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง’  ระหว่างที่คุณยื่นคอยืดยาว คุณก็จะได้รับการนับหน้าถือตาอย่างยิ่งจวบจนคุณถูกยิง  ถึงตอนนั้นคุณก็จะตระหนักว่าผู้คนที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวิถีกระสุน ไม่ช้าก็เร็วย่อมได้รับโทษที่สาสมแล้ว”  เหล่านี้คือคำสอนที่จริงจังจากพ่อแม่และครอบครัวของเจ้า และยังเป็นเสียงจากประสบการณ์ เป็นปัญญาที่กลั่นกรองมาจากชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาอีกด้วย ซึ่งพวกเขาก็ไม่รั้งรอที่จะกระซิบเข้าหูเจ้า  ที่ว่า “กระซิบเข้าหูเจ้า” นี้ เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าวันหนึ่งแม่ของเจ้าก็พูดกรอกหูเจ้าว่า “แม่จะบอกเจ้าว่าถ้ามีสักเรื่องที่แม่เรียนรู้มาในชีวิตนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ว่า ‘นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง’ ซึ่งหมายความว่าถ้าใครสักคนยื่นคอยืดยาวเกินควรหรือดึงดูดความสนใจมากเกินไป พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะถูกลงโทษที่ทำตัวเช่นนั้น  ดูสิว่าตอนนี้พ่อของลูกถูกกำราบและไร้เล่ห์มารยาขนาดไหน นี่เป็นเพราะเขาถูกลงโทษในการรณรงค์ปราบปรามบางอย่าง  พ่อของลูกมีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม เขาสามารถเขียนและกล่าวสุนทรพจน์ มีทักษะของการเป็นผู้นำ แต่เขาเด่นในหมู่คนมากเกินไปและลงเอยด้วยการถูกลงโทษในการรณรงค์ครั้งนั้น  ทำไมตั้งแต่นั้นมาพ่อของเจ้าถึงไม่เคยพูดเรื่องที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและคนดังอีกเลย?  ก็เป็นเพราะเหตุนั้น  แม่พูดกับลูกจากหัวใจและเล่าเรื่องจริงให้ฟัง  ลูกต้องรับฟังและจดจำให้ดี  อย่าลืม ไม่ว่าจะไปที่ไหน ลูกก็ต้องจำเอาไว้  นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่จะให้ได้ในฐานะแม่ของลูก”  จากนั้นมาเจ้าก็จำคำแม่เอาไว้ และเมื่อใดก็ตามที่เจ้านึกถึงคำกล่าวที่ว่า “นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง” คำกล่าวนี้ก็เตือนให้เจ้านึกถึงพ่อ และเมื่อใดที่เจ้านึกถึงพ่อ เจ้าก็นึกถึงคำกล่าวนี้  พ่อของเจ้าเคยเป็นนกที่ยื่นคอยืดยาวและถูกยิง แล้วตอนนี้ท่าทางที่ดูมัวหม่นและไม่มีแก่จิตแก่ใจของเขาก็ทิ้งภาพจำอันแจ่มชัดเอาไว้ในใจของเจ้า  ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากยื่นคอยืดยาว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากพูดความในใจ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความจริงใจ คำแนะนำจากหัวใจของแม่ที่กรอกหูเจ้าว่า—“นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง”—ก็จะผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง  ดังนั้น เจ้าจึงถอยหนีอีกคราพลางคิดว่า “ฉันจะแสดงพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษออกมาไม่ได้ ฉันต้องยับยั้งตัวเองเอาไว้และสะกดกลั้นความสามารถเหล่านี้  ส่วนคำเตือนสติของพระเจ้าที่ให้ผู้คนทุ่มเทหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และเรี่ยวแรงให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้น ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านี้แต่พอประมาณ และไม่ทำตัวเด่นด้วยการพยายามมากเกินไป  ถ้าฉันเด่นเพราะพยายามมากเกินไป และยื่นคอยืดยาวด้วยการเป็นผู้นำในงานของคริสตจักร แล้วถ้าเกิดความผิดพลาดในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าขึ้นมาและฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบ จะเกิดอะไรขึ้น?  ฉันควรแบกรับความรับผิดชอบนี้อย่างไร?  ฉันจะถูกเอาตัวออกไปหรือไม่?  ฉันจะกลายเป็นแพะรับบาป เป็นนกที่ยื่นคอยืดยาวหรือไม่?  ในพระนิเวศของพระเจ้านี้ยากที่จะบอกว่าเรื่องเหล่านี้จะลงเอยเช่นไร  ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็แน่นอนว่า ฉันต้องเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง แน่นอนว่าฉันต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง และต้องแน่ใจว่าตัวเองเตรียมการไว้อย่างครอบคลุมก่อนที่จะพูดและทำอะไรลงไป  นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ชาญฉลาดที่สุด เพราะ ‘นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง’ อย่างที่แม่ของฉันบอกไว้”  คำกล่าวนี้ถูกฝังอยู่ลึกๆ ในหัวใจของเจ้าและมีอิทธิพลอย่างลึกล้ำในชีวิตประจำวันของเจ้าอีกด้วย  แน่นอนว่าที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นก็คือมันส่งผลต่อท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน  มีปัญหาอันร้ายแรงอยู่ในที่นี้มิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า อยากสละตนด้วยใจจริง และอยากใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวง คำกล่าวที่ว่า—“นกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง”—นี้ย่อมหยุดเจ้าเอาไว้กลางทางเสมอ และในที่สุดเจ้าก็เลือกที่จะเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองอยู่เสมอและเหลือพื้นที่ให้เจ้ายักย้ายถ่ายเทบ้าง หลังจากที่เตรียมทางหนีไว้ให้ตนเองแล้ว เจ้าก็ทำหน้าที่ของตนอย่างระแวดระวังเท่านั้น  เรากล่าวถูกต้องมิใช่หรือ?  การสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้าในแง่นี้ปกป้องเจ้าอย่างถึงที่สุดจากการถูกเปิดโปงและถูกจัดการใช่หรือไม่?  สำหรับเจ้าแล้ว นี่คือเครื่องรางอีกชิ้นหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)

ตามที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ผู้คนมีเครื่องรางอันเป็นผลจากการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของพวกเขากันกี่อย่างแล้ว?  (เจ็ดอย่าง)  เมื่อมีเครื่องรางมากมายเช่นนี้ ก็ไม่มีมารและปีศาจธรรมดาตนใดกล้าตอแยเจ้า ถูกต้องหรือไม่?  เครื่องรางทั้งหมดนี้ทำให้เจ้ารู้สึกปลอดภัยมาก ชูใจมาก และมีความสุขมากในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์แห่งนี้  ขณะเดียวกันก็ทำให้เจ้ารู้สึกว่าครอบครัวสำคัญต่อเจ้าเพียงใด รู้สึกว่าการปกป้องและเครื่องรางที่ครอบครัวมอบให้เจ้านี้มาถูกเวลาและสำคัญเพียงใด  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้ประโยชน์และได้รับการปกป้องที่จับต้องได้อันเป็นผลจากเครื่องรางเหล่านี้ เจ้าก็รู้สึกยิ่งกว่าเคยว่าครอบครัวมีความสำคัญ และเจ้าก็จะคอยพึ่งพาครอบครัวอยู่เสมอ  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยาก มีแต่ความลังเลและฉงนใจ เจ้าย่อมตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่า “พ่อแม่บอกไว้ว่าอย่างไร?  ปู่ย่าสอนทักษะอะไรไว้ให้?  คติประจำใจที่พวกเขาถ่ายทอดให้ฉันกล่าวว่าอย่างไร?”  เจ้ารีบหวนนึกตามสัญชาตญาณและจิตใต้สำนึกถึงแนวคิดและสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า แสวงหาและเรียกร้องให้สิ่งเหล่านั้นปกป้องเจ้า  ในห้วงเวลาเช่นนั้น ครอบครัวกลายเป็นที่พักพิงอันปลอดภัยของเจ้า เป็นหลักยึด เป็นแรงสนับสนุนและพลังขับเคลื่อนที่แข็งแกร่ง ไม่สั่นคลอนและไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจที่ทำให้เจ้าสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ทำให้เจ้าเลิกงุนงง เลิกลังเล  ในห้วงเวลาที่กล่าวมานี้ เจ้าย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่า “ครอบครัวสำคัญกับฉันมาก มอบแรงใจให้ฉันอย่างมหาศาล ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของแรงเกื้อหนุนฝ่ายวิญญาณด้วย”  เจ้ามักจะยินดีกับตัวเองโดยคิดไปว่า “โชคดีที่ฉันฟังสิ่งที่พ่อแม่บอก ไม่อย่างนั้นป่านนี้ฉันคงลงเอยอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายมากไปแล้ว ไม่ถูกรังแกก็ถูกทำร้าย  โชคดีที่ฉันมีไพ่เด็ด มีเครื่องราง  ดังนั้นแม้จะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและในคริสตจักร แม้จะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอยู่ ฉันก็จะไม่ถูกใครรังแก และจะไม่มีความเสี่ยงว่าจะถูกเอาตัวออกไปหรือถูกคริสตจักรจัดการ  สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับฉันเพราะการสร้างพฤติกรรมที่ฉันได้จากครอบครัวคอยปกป้องฉันอยู่”  แต่เจ้าลืมบางสิ่ง  ตลอดมาเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งที่เจ้าคิดฝันเอาว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องรางคุ้มกันและเป็นสภาพแวดล้อมที่เจ้าสามารถปกป้องตนเองได้ แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าตัวเจ้าลุล่วงพระบัญชาจากพระเจ้าหรือไม่  เจ้าเพิกเฉยต่อพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า ไม่สนใจอัตลักษณ์ของตนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และหน้าที่ที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้ายังเมินท่าทีที่เจ้าควรใช้และทุกสิ่งที่เจ้าควรทุ่มเทมอบให้ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอีกด้วย ขณะเดียวกันทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตอย่างแท้จริงและคุณค่าที่เจ้าพึงชื่นชูก็ถูกแทนที่ด้วยทัศนะที่ครอบครัวของเจ้าใช้สร้างพฤติกรรมให้กับเจ้า โอกาสที่เจ้าจะได้รับความรอดก็ได้รับผลกระทบและอิทธิพลจากการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของเจ้าไปด้วย  เพราะฉะนั้น การที่ทุกคนปล่อยมือจากผลพวงต่างๆ ของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัวของตนจึงมีความสำคัญมาก  นี่คือความจริงแง่มุมหนึ่งที่ต้องปฏิบัติกัน และเป็นความเป็นจริงที่ควรมีการเข้าสู่โดยไม่รอช้า  เพราะถ้าสังคมบอกบางสิ่งแก่เจ้า เจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจปฏิเสธสิ่งนั้นตามเหตุผลหรือตามจิตใต้สำนึก ถ้าคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับเจ้าบอกบางสิ่งแก่เจ้า เจ้าย่อมโน้มเอียงที่จะตัดสินใจอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือผ่านการไตร่ตรองแล้วว่าจะยอมรับไว้หรือไม่ แต่ถ้าครอบครัวของเจ้าบอกอะไรบางอย่างแก่เจ้า เจ้าย่อมโน้มเอียงที่จะยอมรับไว้หมดโดยไม่ลังเลหรือใช้วิจารณญาณ และนี่คือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเจ้าโดยแท้  เพราะเจ้าย่อมคิดไปว่าครอบครัวไม่มีวันสามารถทำร้ายคนคนหนึ่งได้ และทุกสิ่งที่ครอบครัวของเจ้าทำเพื่อเจ้าก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง เพื่อปกป้องเจ้า และเพื่อตัวเจ้า  ตามหลักการที่คิดเอาเองนี้ ผู้คนจึงถูกสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ซึ่งก็คือครอบครัวของตนนี้ ก่อกวนและครอบงำโดยง่าย  สิ่งที่จับต้องได้ก็คือสมาชิกครอบครัวของตนและกิจธุระทั้งปวงของครอบครัว ส่วนสิ่งที่จับต้องไม่ได้ก็คือแนวคิดและการอบรมสั่งสอนต่างๆ ที่มาจากครอบครัว รวมทั้งการสร้างพฤติกรรมบางอย่างว่าเจ้าควรวางตนและทำกิจธุระของเจ้าเองอย่างไร  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

มีเรื่องให้เสวนามากมายเกี่ยวกับผลพวงของการสร้างพฤติกรรมโดยครอบครัว  หลังจากที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ในวันนี้จบแล้ว พวกเจ้าควรใคร่ครวญทั้งหมดนี้และสรุปออกมา ครุ่นคิดว่าแนวคิดและทัศนะใด—นอกเหนือจากที่เราเอ่ยถึงในวันนี้—อาจยังความเดือดร้อนให้แก่พวกเจ้าในชีวิตประจำวัน  สิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันเมื่อครู่นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับหลักการและวิธีที่ผู้คนใช้รับมือโลก และมีหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอยู่บ้าง  ผลพวงของการสร้างพฤติกรรมที่ครอบครัวมีต่อผู้คนนั้นโดยทั่วไปแล้วมีขอบเขตครอบคลุมสิ่งเหล่านี้  นอกจากนี้ก็มีประเด็นบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับทัศนคติที่ผู้คนมีต่อชีวิตหรือวิธีที่พวกเขาใช้รับมือโลก ดังนั้นพวกเราก็จะไม่กล่าวอีกต่อไปถึงประเด็นเหล่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สิ้นสุดสามัคคีธรรมของพวกเราในวันนี้ไว้เท่านี้เถิด  แล้วพบกันคราวหน้า!

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (11)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (13)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger