5. การได้รับพระพรผ่านเคราะห์หามยามร้าย

โดย ตู้จวน ประเทศญี่ปุ่น

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อคนเรามองย้อนกลับไปยังถนนที่คนเราได้เดินมา เมื่อคนเราย้อนรำลึกถึงทุกระยะของการเดินทางของคนเรา คนเราย่อมมองเห็นว่า ในทุกย่างก้าว ไม่ว่าการเดินทางนั้นจะทุลักทุเลหรือราบรื่น พระเจ้าก็กำลังทรงนำทางของคนเรา กำลังทรงวางแผนเส้นทางนั้น  การจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระเจ้า การวางแผนอันระมัดระวังของพระองค์นี่เองที่นำทางคนเรามาถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัว  การสามารถยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง การสามารถรับความรอดของพระองค์—ช่างเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!…เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถระลึกรู้อย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของพระเจ้า ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา  ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีการดำเนินชีวิตของคนเราและการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายของคนเราไม่ได้นำอะไรมาให้คนเราเลยนอกจากหัวใจที่สลายอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปในอดีตของคนเราได้  มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และแสวงหาชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงเท่านั้นที่คนเราจะค่อยๆ เริ่มหลุดพ้นจากความทุกข์ทนและความเจ็บปวดหัวใจทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าทำให้ฉันสะเทือนใจมาก เพราะพระวจนะนั้นพรรณนาภาพชีวิตของฉันได้ถูกต้องทีเดียว

ฉันเกิดมาในครอบครัวยากจนในชนบท และถูกคนอื่นดูถูกมาตลอดชีวิต ครอบครัวของฉันยากจน จนบางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าจะหาข้าวมื้อต่อไปมาจากไหนด้วยซ้ำ ฉันมักจะใส่เสื้อผ้าต่อจากน้องสาวเสมอ เสื้อผ้าที่ฉันใส่แล้วหลวมโคร่ง เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนต่างก็ล้อและไม่อยากคบหากับฉัน ฉันมีวัยเด็กที่เจ็บปวดมากค่ะ นับจากตอนนั้นฉันก็ตัดสินใจเลยว่า เมื่อโตขึ้นฉันจะต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ มีชีวิตที่ดี และก็จะไม่มีใครดูถูกฉันได้อีกแน่นอน ด้วยความที่ครอบครัวของฉันไม่มีเงินเลย ฉันจึงต้องออกจากโรงเรียนโดยไม่ทันจบมต้น เพื่อไปทำงานในโรงงานผลิตยาของจังหวัด ฉันจะทำงานล่วงเวลาถึงสี่ทุ่มอยู่บ่อยครั้ง เพื่อที่จะได้เงินเพิ่มอีกสักหน่อย ต่อมาฉันได้ยินว่าพี่สาวของฉันขายผักอยู่ห้าวันก็ได้เงินเท่าเงินเดือนทั้งเดือนของฉันแล้ว ฉันลาออกจากโรงงานผลิตยาเพื่อไปขายผักทันที หลังแต่งงาน ฉันกับสามีก็เปิดร้านอาหารกัน ฉันคิดว่าฉันคงหาเงินได้มากขึ้นจากการทำร้านอาหาร แล้วฉันก็คงได้มีชีวิตที่หรูหราและสง่างาม เป็นที่อิจฉาและเป็นที่นับถือจากคนอื่นๆ แต่การแข่งขันในธุรกิจนั้นโหดร้ายมาก และเราก็จ้างพนักงานเสิร์ฟแค่คนเดียวเพื่อประหยัดเงิน ฉันทำเองทุกอย่าง วิ่งวุ่นระหว่างครัวกับบริเวณที่ทานอาหาร บางครั้งฉันก็เหนื่อยเกินกว่าจะยืนไหว เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนแวะมากินแต่ก็ไม่เคยจ่ายเงิน แล้วยังมีพวกค่าปรับและภาษีที่ต้องจ่ายอีก บางครั้งพวกเขาก็จะอ้างข้อกล่าวหามาปรับเงินเรา และจากไปพร้อมกับรายได้ในหนึ่งวัน เรื่องนี้ทำให้ฉันโกรธมาก แต่ในจีนฉันทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ฉันแค่ต้องก้มหน้าก้มตายอมๆ ไป ต่อให้ทำงานหนักอย่างที่เราทำ เราก็หาเงินไม่ได้มากมายอะไร หลังทำธุรกิจนี้ไปได้สักพักฉันก็เริ่มกังวล คิดว่า “เมื่อไหร่ฉันจะได้มีชีวิตที่ดีและมีเงินเยอะๆ สักที”

ในปี 2008 เพื่อนคนหนึ่งได้บอกฉันว่า ในการทำงานที่ญี่ปุ่นหนึ่งวัน คุณสามารถได้เงินเท่ากับทำงานที่จีนสิบวัน ฉันดีใจสุดๆ เลยค่ะที่ได้ยินเรื่องนี้ ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็เจอโอกาสดีๆ ที่จะหาเงินได้สักก้อนแล้ว ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้คนกลางเพื่อจะไปญี่ปุ่นก็สูงทีเดียว แต่ฉันคิดว่า “คุณไม่สามารถทำไข่เจียวได้โดยไม่ตีไข่ให้แตก ตราบใดที่เราได้งานทำที่ญี่ปุ่น เราก็จะได้เงินก้อนนั้นคืนเร็วแน่ๆ” ฉันกับสามีตัดสินใจไปญี่ปุ่นทันทีเพื่อไล่ตามความฝันนั้น ตอนอยู่ที่นั่น เราต้องทำงานกันวันละ 13-14 ชั่วโมงทุกวัน พวกเราเหนื่อยสายตัวแทบขาด พอเลิกงานเราก็แค่อยากนอนพักและไม่อยากกินอะไรเลย ฉันปวดหลังช่วงล่างอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็ไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอ ฉันจึงได้แต่กินยาแก้ปวดเพื่อช่วยให้ฉันรับมือกับความปวดนั้นได้ ฉันไม่เพียงแต่เจ็บปวดอยู่เท่านั้น ฉันยังถูกเจ้านายดุด่าและถูกเพื่อนร่วมงานรังแกอีกด้วย ครั้งหนึ่งสมัยที่ฉันยังใหม่กับงานนี้ ฉันทำพลาดในเรื่องเล็กน้อย เจ้านายด่าฉันอย่างรุนแรง และฉันรู้สึกเสียใจมากจนร้องไห้ แต่ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะคะ ฉันแค่ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้จะได้ทำงานหาเงินต่อไปได้ ฉันบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ตอนนี้ก็ยากหน่อย แต่พอฉันหาเงินได้สักก้อนฉันก็จะสามารถยืนหยัดขึ้นและเผชิญหน้ากับผู้คนได้แบบไม่ต้องกลัว ฉันต้องอดทน” ดังนั้น ฉันจึงทำงานทุกวันราวกับเครื่องจักรผลิตเงิน โดยไม่ทันตั้งตัว ภายในปี 2015 ฉันก็ล้มป่วยด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ฉันได้ไปตรวจที่โรงพยาบาล และหมอก็บอกกับฉันว่า ฉันมีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท และถ้าฉันยังทำงานต่อไปฉันก็จะล้มป่วยและฉันจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เรื่องนี้เหมือนสายฟ้าที่จู่ๆ ก็ผ่าลงมาที่ฉัน ฉันรู้สึกอ่อนแอไปหมดในทันที สิ่งต่างๆ ในชีวิตของฉันเพิ่งกำลังจะดีขึ้น และความฝันก็กำลังใกล้เข้ามา แต่ฉันกลับลงเอยด้วยการบาดเจ็บ ฉันรับไม่ได้เลยค่ะ และคิดว่า “ฉันยังสาวอยู่เลย ถ้ากัดฟันทนเอาหน่อยฉันก็จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ ถ้าตอนนี้ฉันหาเงินสักก้อนไม่ได้และกลับจีนไปแบบมือเปล่า มันจะไม่ขายหน้าเอาหรือ” ดังนั้น ฉันจึงกัดฟันและลากสังขารที่บาดเจ็บของตัวเองไปทำงานต่อ เวลาที่ปวดมากๆ ฉันก็แค่แปะแผ่นแก้ปวดและดิ้นรนให้ผ่านไป ฉันทำงานแบบเต็มวัน แล้วตอนกลางคืนมันก็จะปวดมากจนฉันนอนไม่ได้ ฉันแทบพลิกตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่กี่วันต่อมา ฉันก็ไม่สบายจนถึงขั้นคลานลงจากเตียงไม่ไหว

การนอนอยู่บนเตียงแบบนั้น ทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวังและโดดเดี่ยวมากๆ แล้วฉันก็สงสัยว่า “ฉันมาอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยได้อย่างไร ฉันจะลงเอยด้วยการล้มป่วยจริงๆ หรือ” ฉันรู้สึกเสียใจมากจนแสดงออกมาไม่ได้เลยค่ะ และฉันก็ต้องสงสัยว่า “สุดท้ายแล้วมนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน แค่เพื่อหาเงินและโดดเด่นกว่าใครจริงหรือ เงินหมายถึงความสุขจริงๆ หรือเปล่า การทำงานหนักสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมันคุ้มจริงๆ หรือ” ตลอดเกือบสามสิบปีที่ฉันทำงานตัวเป็นเกลียว ฉันเคยทำงานในโรงงาน ขายผัก เปิดร้านอาหาร และมาญี่ปุ่นเพื่อทำงาน ตลอดเวลามานี้ฉันทำงานได้เงินประมาณหนึ่ง แต่ก็มีความทุกข์ยากมากมาย ตอนแรกฉันคิดว่าฉันคงทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ด้วยการมาที่ญี่ปุ่น ว่าฉันคงจะร่ำรวยในชั่วข้ามคืนและได้มีชีวิตที่น่าอิจฉา แต่ฉันกลับมาติดแหง็กอยู่บนเตียง และอาจจะถึงขั้นได้ใช้ชีวิตที่เหลือบนรถเข็น พอคิดแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเสียใจที่ ฉันทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเงินสักก้อนและได้เหนือกว่าคนอื่น ฉันรู้สึกโศกเศร้า ทุกข์ระทม และเสียใจมากจนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ฉันร้องตะโกนออกมาในหัวใจว่า “สวรรค์คะ ช่วยฉันที!  ทำไมชีวิตของฉันถึงเหน็ดเหนื่อยและยากเย็นขนาดนี้”

และในช่วงเวลาที่ฉันสิ้นหวังและเจ็บปวดอยู่นั้นเอง ความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายก็เข้ามาหาฉัน ฉันได้พบกับพี่สาวสองคนที่เชื่อในพระเจ้าโดยบังเอิญผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับพวกเธอ รวมถึงฟังการสามัคคีธรรมบนความจริงของพวกเธอ ฉันก็ได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงปกครองทั่วทั้งจักรวาล โชคชะตาของทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงนำและทรงค้ำจุนมนุษยชาติมาโดยตลอด อีกทั้งพระองค์ทรงดูแลและทรงคุ้มครองมนุษยชาติเสมอ แต่ฉันยังคงสับสนเกี่ยวกับบางเรื่องอยู่ โชคชะตาของเราถูกควบคุมโดยพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงนำและทรงคุ้มครองพวกเรามาโดยตลอด อย่างนั้นเราควรจะมีความสุขสิ ทำไมพวกเราถึงยังทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและเจ็บปวดอยู่ ทำไมชีวิตถึงยากเย็นนัก ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้มาจากไหนกันแน่ ฉันได้ถามเรื่องนี้กับพี่สาวทั้งสองคน  

และพี่ฉินก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนให้ฉันฟังว่า “อะไรคือแหล่งที่มาของความทุกข์ตลอดชีวิตตั้งแต่การเกิด ความตาย การเจ็บป่วย และการแก่ที่มนุษย์สู้ทน?  อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมีสิ่งเหล่านี้?  เหล่ามนุษย์ไม่มีพวกมันตอนที่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาในครั้งแรกไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมามาหลังจากที่พวกมนุษย์ถูกซาตานทดลอง และเนื้อหนังของพวกเขาก็กลายเป็นเสื่อมถอยลง ความเจ็บปวดของเนื้อหนังมนุษย์ ความทุกข์ร้อนของมัน และความว่างเปล่าของมัน รวมถึงเรื่องราวที่น่าเวทนาอย่างยิ่งต่างๆ ของโลกมนุษย์ ได้มาถึงทันทีที่ซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเท่านั้น  หลังจากที่พวกมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มันก็เริ่มทรมานพวกเขา ผลก็คือ พวกเขากลายเป็นเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ โรคภัยของมนุษยชาติมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และความทุกข์ของพวกเขากลายเป็นสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนสำนึกรับรู้ถึงความว่างเปล่า และโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการไร้ความสามารถ ที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปของพวกเขา และพวกเขารู้สึกถึงความหวังที่มีต่อโลกน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์นี้จึงถูกซาตานนำพาลงมาให้กับพวกมนุษย์(“นัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงรับรสชาติของความทุกข์ทางโลก” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  จากนั้นเธอได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ “สมัยที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ ห่วงใย และได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความกังวลหรือสิ่งกวนใจใดๆ มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลในสวนแห่งเอเดน เพลิดเพลินกับทุกสรรพสิ่งที่เพลิดเพลินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสนุกสนานภายใต้การทรงนำของพระเจ้า แต่แล้วมนุษย์ก็ถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทราม พวกเขาหลงเชื่อคำโกหกของมัน ทำบาปและทรยศต่อพระเจ้า จึงสูญเสียความใส่พระทัยและการทรงคุ้มครองของพระเจ้าไป พวกเราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานนับตั้งแต่นั้น และได้ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด พวกเราใช้ชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อย กังวล เจ็บปวด และเศร้าโศก เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ที่ซาตานใช้ความนอกศาสนาและความเชื่อที่ผิดอย่างแนวคิดวัตถุนิยม อเทวนิยม และวิวัฒนาการ รวมถึงใช้คติพจน์ที่เผยแพร่โดยคนมีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ทำให้คนหลงผิดและสร้างความเสียหายต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เช่น ‘ไม่มีพระเจ้าแต่อย่างใดเลย’ ‘ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง’ ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ ‘จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า’ และ ‘มนุษย์จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมั่งคั่ง’ ‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ และอื่นๆ หลังจากยอมรับในความเข้าใจที่ผิดเยี่ยงซาตานเหล่านี้แล้ว มนุษย์ก็ปฏิเสธการสถิตและกฎเกณฑ์ของพระเจ้า พวกเขาพาตัวเองออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ พวกเขากลายเป็นโอหังและถือดีมากขึ้น เห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ และมุ่งร้ายมากขึ้น มนุษย์พัวพันอยู่กับการวางอุบาย ต่อสู้ และเข่นฆ่า เพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง สถานะ และความมั่งคั่ง สามีกับภรรยา บรรดาเพื่อนฝูงต่างก็คดโกงและหักหลังกันเอง แม้แต่พ่อกับลูกชายก็หันมาจู่โจมกัน พี่ชายน้องชายโจมตีกันเอง เราได้สูญสิ้นความเป็นมนุษย์ที่เหมาะสมไปโดยสิ้นเชิง และใช้ชีวิตที่เหมือนกับปีศาจมากกว่ามนุษย์ ความเข้าใจที่ผิดของซาตานได้สร้างความเสียหายต่อคนมากมาย พวกเขาคิดว่าสามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงมันได้ พวกเขาต่อสู้กับโชคชะตาของตัวเอง พวกเขาต่อสู้มาทั้งชีวิต และไม่เพียงแต่พวกเขาล้มเหลวในการพยายามเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเท่านั้น พวกเขายังทำลายตัวเองในความพยายามนั้นอีกด้วย มนุษยชาติถูกซาตานชี้นำไปในทางที่ผิดและทำให้เสื่อมทราม เราเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ทรมานทั้งกายและใจ ความเจ็บไข้ได้ป่วยและความทุกข์ทรมานทุกประเภทกำลังเพิ่มมากขึ้น ความทุกข์ทรมานและความวิตกกังวลเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ช่างยากเย็นและเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซาตานสร้างความเสียหายให้เรา และนี่ยังเป็นผลที่ขมขื่นของการปฏิเสธพระเจ้าและการทรยศพระเจ้าของมนุษยชาติอีกด้วย”

การสามัคคีธรรมของพี่ฉินแสดงให้ฉันเห็น ว่าแต่เดิมนั้นความเจ็บป่วยของมนุษย์มาจากซาตาน หลังจากซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม เราก็สูญเสียการใส่พระทัยและการทรงคุ้มครองของพระเจ้าไป เกิดเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วยและความเจ็บปวดทุกประเภทขึ้นมา ต่อมาพี่สาวก็ได้กล่าวว่า “พระเจ้าทรงทนไม่ได้ที่เห็นมนุษย์ถูกซาตานหลอกใช้และทำให้เป็นทุกข์ พระองค์ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ถึงสองครั้งเพื่อไถ่และช่วยมนุษชาติให้รอด ครั้งแรก พระองค์ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้า ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปแก่มนุษยชาติ เพื่อไถ่พวกเราจากบาป โดยการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า บาปของเราก็ได้รับการอภัย แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมด้วยบาปของเรายังคงอยู่ และเรายังคงไม่ได้เป็นอิสระจากบาปโดยสมบูรณ์ พระเจ้าทรงมาจุติเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย เพื่อทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระให้สะอาด เพื่อที่เราจะได้รับการช่วยให้รอดจากซาตาน ละทิ้งบาป และได้รับการชำระให้สะอาดได้โดยสมบูรณ์ จนในที่สุดเราก็ถูกนำไปยังราชอาณาจักรของพระเจ้า การอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ทำให้เราเข้าใจความจริงและมีปัญญาแยกแยะ เราจะเข้าใจว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร และมองเห็นถึงเนื้อแท้ของมันได้ทะลุปรุโปร่ง แล้วเราจึงสามารถปฏิเสธและรอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานได้ จากนั้นมันก็ไม่สามารถหลอกใช้หรือสร้างความเสียหายให้แก่เราได้อีกต่อไป” ฉันตื่นเต้นมากเลยค่ะที่ได้ยินว่าพระเจ้าทรงมาเพื่อช่วยเราให้รอดด้วยพระองค์เอง ฉันไม่อยากให้ซาตานสร้างความเสียหายต่อฉันแบบนั้นอีกต่อไป แต่ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันสร้างความเสียหายให้ฉันอย่างไร ฉันเลยถามพี่ๆ ไปว่า “ฉันทำงานหนักมาตลอดเพื่อให้ตัวเองได้อยู่เหนือคนอื่นและโดดเด่น แต่มันกลับทำให้ฉันเจ็บปวดจนเกินจะทานทน ซาตานเป็นผู้ทำแบบนี้กับฉันใช่ไหมคะ”

พี่จางจึงได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำถามของฉัน “ซาตานใช้วิธีการแบบที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันได้ดีมากกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย โดยผ่านวิธีการนี้มันทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมันโดยที่ไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และในการทำเช่นนั้นพวกเขายังมามีความทะเยอทะยานในชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน ไม่สำคัญว่าความทะเยอทะยานในชีวิตเหล่านี้อาจดูยิ่งใหญ่เพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ทรัพย์สมบัติ’ อย่างแยกกันไม่ออก ทุกสิ่งที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงแล้วคือผู้คนทั้งหมด—ติดตามในชีวิตเกี่ยวข้องกับถ้อยคำสองคำนี้เท่านั้น: ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ทรัพย์สมบัติ’ ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อชื่นชมกับสถานภาพอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมกับชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีที่ฟุ้งเฟ้อของเนื้อหนัง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติซึ่งมวลมนุษย์อยากได้มาก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ ถึงแม้ว่าไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่ชั่วขณะ ไม่รู้เท่าทันในความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมาอยู่เรื่อยไป ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่เมื่อพวกเขาได้หลบภัยในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งสู่หล่มอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนติดหล่มในชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สว่างไสว สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติมีเหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งของสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  “ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)

หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เธอก็ได้สามัคคีธรรมบนความจริงว่าซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามได้อย่างไร ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่าซาตานนั้นน่ารังเกียจแค่ไหน!  ซาตานใช้การศึกษาทางการและอิทธิพลทางสังคม เพื่อปลูกฝังเราด้วยกฎของมันมาทั้งชีวิต เช่น “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด” “ถ้าเราอยากดูสง่างามตอนที่มีคนมอง เราก็ต้องทนลำบากตอนที่พวกเขาไม่ได้มอง” และ “เงินทำให้โลกหมุนไป” เมื่อถูกหลอกลวงด้วยกฎของชีวิตเหล่านี้ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเงิน รู้สึกว่าพอพวกเขาร่ำรวย คนอื่นๆ ก็จะนับถือพวกเขา และพวกเขาก็จะมีเกียรติ และการเป็นคนจนหมายความว่าพวกเขามีค่าน้อยกว่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงดิ้นรนทั้งชีวิตเพื่อเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และถึงขั้นยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้นโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา มนุษย์เสื่อมทรามมากขึ้น และชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น นี่คือโซ่ตรวนของซาตานที่พันธนาการพวกเราไว้ และนี่ก็คืออุบายของซาตานเพื่อทำให้เราเสื่อมทรามเช่นกัน การมุ่งมั่นที่จะอยู่เหนือคนอื่นๆ หาเงินให้ได้มากขึ้นเพื่อที่ผู้อื่นจะได้เคารพฉัน ทำให้ฉันกลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน ความปรารถนาของฉันเติบโตขึ้น ฉันไม่เคยพอใจ ฉันจำใจต้องหยุดก็ตอนที่ฉันทำสุขภาพของตัวเองพังแล้วเท่านั้น ฉันกลายเป็นทาสของเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ การไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ทำให้ชีวิตของฉันแสนยากเย็นและเหน็ดเหนื่อย!  การแสวงหาสิ่งนั้นมาตลอดหลายปี ทำให้ความเจ็บปวดถาโถมเข้าหาฉัน จนลงเอยด้วยการบาดเจ็บ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดนั้นมาจากการถูกซาตานทำให้เสียหายและเสื่อมทราม!  หากไร้ซึ่งการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันคงไม่มีวันได้รู้ว่าซาตานใช้เงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงและผลประโยชน์ซึ่งเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการมนุษย์เลย

หลังจากนั้นพี่ฉินก็ได้มาสามัคคีธรรมกับฉันอยู่หลายครั้ง พอเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มเห็นถึงกลยุทธ์ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ฉันยังได้มาเข้าใจด้วยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไล่ตามความจริง รวมถึงเชื่อฟังกฎและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นั่นคือหนทางในการใช้ชีวิตที่มีความหมายและเปี่ยมสุขที่สุด และเป็นหนทางเดียวที่พระเจ้าทรงยกย่อง!

วันหนึ่ง ฉันได้พบว่าตัวเองมีเพื่อนร่วมงาน ที่มาประเทศญี่ปุ่นกับสามีเพื่อทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงิน แม้พวกเขาจะได้เงินมาก้อนหนึ่ง แต่ต่อมาสุขภาพของสามีของเธอก็ย่ำแย่จนเขาต้องกลับจีนเพื่อไปรักษา สุดท้ายเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ครอบครัวของพวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวและโศกเศร้า ผ่านเคราะห์ร้ายของเธอ ฉันก็ได้รู้สึกถึงความเปราะบางและความล้ำค่าของชีวิตของเราอย่างแท้จริง ถ้าไม่มีชีวิต การมีเงินมากๆ จะมีประโยชน์อะไร เงินซื้อชีวิตได้ไหม หลังจากนั้น ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความว่า “ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย  แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา  พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย  พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจได้ดีขึ้นว่า ถ้าเราไม่เชื่อในพระเจ้าหรือเข้าใจความจริง เราจะไม่สามารถมองอุบายของซาตานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเราจะไม่สามารถเห็นได้ว่าซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม เราถูกดูดเข้าไปในวังวนที่เราไม่สามารถหนีออกไปได้ เราถูกซาตานหลอกและทำให้เสียหายเพราะตัวเราเอง ถึงขนาดที่ทำลายชีวิตของตัวเอง น่าเศร้าจังเลยนะคะ เป็นเพราะความเชื่อของฉันและการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเยอะๆ ทำให้ในที่สุดฉันก็ได้มาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ค่ะ ถ้าฉันไม่มีความเชื่อหรือไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันคงไม่มีวันละทิ้งความเสื่อมทรามของซาตานออกไปได้ ฉันคงทําได้แค่ดิ้นรนอยู่ในความมืดมิดและเจ็บปวดอย่างไร้ทางออก

ระหว่างที่ฉันบาดเจ็บอยู่นั้น พี่สาวทั้งสองจากคริสตจักรก็แวะมาดูฉันอยู่บ่อยๆ และช่วยให้ฉันบรรเทาความเจ็บปวดไปได้ พวกเธอยังทำงานบ้านและดูแลฉัน ราวกับฉันเป็นครอบครัวของพวกเธอเองด้วย การอยู่ต่างประเทศนี้ การที่พี่สาวดูแลเอาใจใส่ฉันทำให้ฉันซาบซึ้งใจมาก ฉันก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณพระเจ้าผู้มหิทธิฤทธิ์มากขึ้นไปอีก ด้วยการใส่พระทัยและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า ฉันก็ดีขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวเลยค่ะ

ต่อมาฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์: “เมื่อคนเรามองย้อนกลับไปยังถนนที่คนเราได้เดินมา เมื่อคนเราย้อนรำลึกถึงทุกระยะของการเดินทางของคนเรา คนเราย่อมมองเห็นว่า ในทุกย่างก้าว ไม่ว่าการเดินทางนั้นจะทุลักทุเลหรือราบรื่น พระเจ้าก็กำลังทรงนำทางของคนเรา กำลังทรงวางแผนเส้นทางนั้น  การจัดการเตรียมการอันพิถีพิถันของพระเจ้า การวางแผนอันระมัดระวังของพระองค์นี่เองที่นำทางคนเรามาถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัว  การสามารถยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง การสามารถรับความรอดของพระองค์—ช่างเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! หากบุคคลมีท่าทีที่เป็นลบต่อชะตากรรม นั่นก็พิสูจน์ว่า พวกเขากำลังฝืนต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเขา ว่าพวกเขาไม่มีท่าทีนบนอบ  หากคนเรามีท่าทีที่เป็นบวกต่ออธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ของพระเจ้าแล้วไซร้ เมื่อคนเราย้อนมองการเดินทางของคนเรา เมื่อถึงคราวที่มนุษย์เริ่มที่จะเข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า คนเราจะมีความต้องการอย่างจริงจังตั้งใจมากขึ้นที่จะนบนอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ จะมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความมั่นใจที่จะยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของคนเราและหยุดทำการกบฏต่อต้านพระเจ้า ด้วยความที่คนเรามองเห็นว่า เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อคนเราคลำทางไปข้างหน้าอย่างดื้อรั้น พยุงสังขารเดินโซเซฝ่าม่านหมอก การเดินทางนั้นย่อมยากเกินไป รวดร้าวหัวใจเกินไป  ดังนั้นเมื่อคนเราระลึกรู้อธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนที่ฉลาดย่อมเลือกที่จะรู้จักและยอมรับมัน อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘เป้าหมายชีวิต’ ในหนทางของพวกเขาเอง  เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถระลึกรู้อย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของพระเจ้า ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา  ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีการดำเนินชีวิตของคนเราและการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายของคนเราไม่ได้นำอะไรมาให้คนเราเลยนอกจากหัวใจที่สลายอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปในอดีตของคนเราได้  มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และแสวงหาชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงเท่านั้นที่คนเราจะค่อยๆ เริ่มหลุดพ้นจากความทุกข์ทนและความเจ็บปวดหัวใจทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  พระวจนะของพระเจ้าช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ละประโยคพูดเข้าไปถึงลงก้นบึ้งของหัวใจของฉัน ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และพวกเราก็คือสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ภายใต้การทรงควบคุมและจัดการเตรียมการของพระองค์ ทุกอย่างที่เราได้มาในชีวิตนี้อยู่ภายใต้การทรงควบคุมของพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นผู้ดลบันดาล การวิ่งวุ่นไปมาไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจอย่างแน่นอน เราได้รับเท่าที่พระเจ้าได้ประทานให้ หากพระเจ้าไม่ได้ประทานสิ่งใดแก่เรา ไม่ว่าเราจะทำงานหนักแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี มันก็เหมือนการพูดว่า “การเพาะปลูกขึ้นอยู่กับมนุษย์ ผลผลิตนั้นขึ้นอยู่กับสวรรค์” และ “มนุษย์วางแผน พระเจ้าตัดสิน” ในชีวิตนี้เราควรนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง นี่คือความลับแห่งความสุขในชีวิตค่ะ!  ฉันยังตระหนักได้ด้วยว่า เงินทองและตำแหน่งคือสิ่งครอบครองในทางโลก การทุ่มเทตัวเองในการไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ สิ่งเดียวที่คุณจะได้รับก็คือความว่างเปล่าและความเจ็บปวด สุดท้ายแล้วคุณจะถูกซาตานกลืนกินค่ะ ฉันนึกย้อนกลับไป ถึงการที่ฉันใช้ชีวิตโดยหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่าง “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด” รวมถึงการที่ฉันไล่ตามเงินทองและชื่อเสียง ฉันคิดว่าตัวเองคงได้มีชีวิตอันแสนสุข และคิดว่าคนอื่นคงจะยกย่องและอิจฉาฉัน แต่ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งที่ฉันได้รับนั้นกลับเป็นความเจ็บปวดและความขมขื่น ฉันไม่ได้รับสันติสุขหรือความสุขใดๆ เลย ตอนนี้ที่ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันไม่อยากต่อสู้กับโชคชะตาของตัวเองอีกต่อไปแล้ว และฉันก็ไม่อยากไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์แล้วจริงๆ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการอีกต่อไปแล้วค่ะ ฉันตัดสินใจที่จะเลือกทางอื่นในชีวิต และสิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือวางชีวิตที่เหลือของฉันเอาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงจัดการเตรียมการ เพื่อมุ่งมั่นที่จะเชื่อฟังพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองค่ะ

เพื่อให้ฉันได้มีเวลาสำหรับความเชื่อของตัวเองและได้เข้าร่วมการชุมนุมมากขึ้น ฉันจึงยอมทิ้งงานเก่า และได้งานใหม่ซึ่งเป็นงานที่ง่ายกว่า ฉันมักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ในเวลาที่ไม่ได้ทำงาน และยิ่งอ่านหัวใจของฉันก็ยิ่งสว่างไสวมากขึ้น ฉันยังได้เรียนรู้ถึงต้นตอแห่งการทำบาปของมนุษย์ด้วยค่ะ ฉันได้เข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดทีละขั้นตอนอย่างไร มนุษย์ควรใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร และเขาควรใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างไร ฉันได้พบปะพี่น้องชายหญิงอยู่บ่อยๆ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเราและเรียนรู้ที่จะร้องเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้า ตอนนี้ชีวิตฉันมีความสุขมากเลยค่ะ ฉันไม่ได้มีรายได้มากเท่ากับที่เคย แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงสันติสุขและความมั่นคงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป ฉันได้รับพระพรจากเคราะห์หามยามร้ายนี้ค่ะ!  สิ่งนี้คือความรอดของพระองค์สำหรับฉันจริงๆ ค่ะ

ก่อนหน้า: 4. บททดสอบพงศ์พันธุ์ของโมอับ

ถัดไป: 6. ชื่อเสียงและโชคลาภนำความทุกข์ทรมานมาสู่ฉัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger