6. ชื่อเสียงและโชคลาภนำความทุกข์ทรมานมาสู่ฉัน
ฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่ง คุณหมออาวุโสบางคนกับฉันพากันออกไปทำอาหารกินกันนอกสถานที่ ระหว่างทางนั้น มีชาวบ้านในพื้นที่บางคนจำคุณหมอหวังได้ พวกเขาดูมีความสุขและสำนึกบุญคุณมาก พวกเขาให้การต้อนรับเธออย่างอบอุ่น จากนั้นตอนที่พวกเรากำลังทำอาหารกันอยู่ พวกเราก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเรายังขาดของบางอย่างอยู่ พวกชาวบ้านก็ช่างใจดีอย่างเหลือเชื่อ พอพวกเขาเห็นว่าพวกเราต้องการอะไร พวกเขาก็จะหยิบยื่นของตัวเองมาให้ สมัยนั้น ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันบางอย่างขาดตลาดและค่อนข้างมีมูลค่า ตัวอย่างเช่น นม ซึ่งมีไม่มากนัก หลายคนต้องไปต่อแถวเพื่อซื้อมา แต่คนจากโรงงานนมกลับเอามาให้พวกเราโดยตรงเลย…ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะภาพพจน์ของคุณหมอหวังล้วนๆ ฉันเห็นคุณหมอหวังยิ้มจนตาหยีแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาเธอ พลางคิดว่า “ผู้คนช่างคิดกับหมอหวังกันอย่างสูงส่งจริงๆ! ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มีคนนับถือ และเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น แค่เธอโผล่หน้าไป อะไรๆ ก็เรียบร้อยได้โดยง่าย แต่กับตัวฉันเอง ฉันเป็นแค่หมอรักษาโรคธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ฉันไม่สามารถได้รับการปฏิบัติแบบนั้นได้ ทำได้ก็แค่เกาะชายเสื้อคลุมเธอไปเท่านั้น” แต่แล้วในความผิดหวังนั้น ฉันก็มองไปที่ผมขาวๆ ของหมอหวังพลางคิดว่า “ฉันยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ถ้าฉันศึกษาเรื่องการแพทย์อย่างเหมาะสมและเรียนรู้จากแพทย์ที่มีประสบการณ์ และทำงานหนัก ไม่ช้าก็เร็วฉันก็สามารถมีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือเหมือนพวกเขาได้”
ต่อมา หลังความมานะพยายามต่อเนื่องนานกว่าหนึ่งเดือน ฉันก็สามารถเข้าเวรตามลำพังได้ และได้โอกาสฝึกผ่าตัดอีกด้วย แต่นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ฉันยังต้องทำงานให้หนักกว่านี้อีก หลังจากนั้น ฉันจึงศึกษาทฤษฎีด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ฉันไปเข้าสอบวัดทักษะ รวมถึงไปเรียนเสริมหลักสูตรการเยียวยารักษาทุกประเภทนอกเวลางาน เมื่อเกิดมีการผ่าตัดฉุกเฉิน ไม่ว่าจะอยู่ในเวลางานหรือไม่ ฉันก็ไม่เคยปล่อยผ่านโอกาสในการฝึกผ่าตัด บางครั้งฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับการผ่าตัดจนหิวมาก แต่ฉันก็ไม่สนใจร่างกายตัวเอง เพราะการผ่าตัดเป็นเรื่องห้ามพลาดโดยเด็ดขาด บางครั้งฉันถึงกับต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเต็ม พอเลิกงานฉันก็รู้สึกเหมือนหัวหลุดจากร่างไปเลย แถมร่างกายก็รู้สึกเหนื่อยล้า ฉันรู้สึกต้องการการพักผ่อนแทบขาดใจ แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ที่พ่อคอยบอกฉันอยู่เสมอว่า “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด” รวมถึงเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ฉันจึงให้กำลังใจตัวเองให้ไปต่อ และบังคับตัวเองให้ทำงานหนักต่อไป ตกกลางคืน พอกลับถึงบ้าน หัวฉันก็จะพุ่งลงหมอนทันที ฉันจะยืดเส้นยืดสายและผ่อนคลายความอ่อนล้าและร่างกายที่ปวดระบม พอฉันหลับตาลง ต้องการที่จะหลับ ทุกรายละเอียดของการผ่าตัดก็จะแวบเข้ามาในความคิด ฉันกลัวว่าสภาวะความรู้สึกนึกคิดที่อิดโรยของตัวเองจะทำให้ฉันทำพลาดในการผ่าตัด ฉันจะนึกถึงบรรดาเพื่อนร่วมงานเก่าๆ ที่เคยทำงานพลาดเพียงนิดเดียว แต่กลับไม่เคยมีสิทธิ์ทำการผ่าตัดอีกเลย ถ้ามีอะไรผิดพลาด ฉันก็คงไม่มีวันประสบความสำเร็จ แล้ว ฉันก็จะรู้สึกเครียด เหนื่อยล้า หวาดผวาและเป็นกังวลขึ้นมาทันที ทั้งร่างกายและจิตใจของฉันเหนื่อยล้ามาก บางครั้งพอนึกถึงกำหนดการผ่าตัดที่รออยู่สำหรับวันถัดไป ไม่ว่าฉันจะกลับถึงบ้านดึกแค่ไหน ฉันก็จะต้องตรวจสอบและทบทวน ความรู้ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นซ้ำไปซ้ำมา เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ทำอะไรผิดพลาด ฉันเหนื่อยมาก แต่ก็จะคอยกระตุ้นตัวเองเอาไว้ เพื่อที่ฉันจะได้ทำสำเร็จในสักวันหนึ่ง “ขยันเข้าไว้! แสงสว่างรออยู่ที่ปลายอุโมงค์นะ!”
หลังจากความมานะบากบั่นในการทำงานหนักกว่าเจ็ดปี ในที่สุดฉันก็ได้เป็นแพทย์ผู้สามารถออกใบรับรองแพทย์ได้ วินาทีนั้น คำพูดที่สะดุดโดดเด่นที่สุดในความคิดของฉันคือคำว่า ทุกอย่างช่างคุ้มค่าจริงๆ! พออันดับของฉันสูงขึ้น ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าพบฉันก็สูงขึ้นตาม ฉันจะเป็นคนผ่าตัดทุกครั้งที่แพทย์ผู้ออกใบรับรองสามารถทำได้ และชื่อของฉันก็ได้อยู่ในรายชื่อของหัวหน้าศัลยแพทย์ เงินเดือนและสถานะของฉันสูงขึ้น ขณะที่เพื่อนร่วมงานของฉันยังอืดอาดอยู่ข้างหลัง ฉันรู้สึกถึงความสุขที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด โดยเฉพาะเวลาอยู่บนถนนที่พลุกพล่านแล้วมีใครบางคนจำฉันได้ ฉันไม่รู้จักพวกเขา แต่พวกเขารู้จักฉัน พวกเขาถึงกับชมว่าฉันเป็นศัลยแพทย์ที่เก่ง สายตาที่แสดงถึงความเลื่อมใสที่บรรดาผู้ป่วยมีให้ฉัน กับสิ่งที่พวกเขาพูดว่า “ฉันเคยมาพบคุณหมอ แล้วไม่นานอาการของฉันก็ดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากมายเลย แต่หมอคนอื่นของฉันรักษาอยู่เป็นชาติโดยไม่มีอะไรดีขึ้นเลย” และมีบางคนก็พูดว่า “มีคนบอกว่าคุณหมอเก่ง เธอแนะนำให้ฉันมาหาคุณหมอดู แต่เดี๋ยวนี้การได้พบคุณหมอมันยากจังเลย…” พอฉันได้ยินอะไรแบบนี้ ฉันก็จะยิ้มจนแก้มปริ ในใจฉันรู้สึกมีความสุขมาก ผู้คนยังคงจำสิ่งเหล่านี้ได้แม้จะผ่านไปนานแล้ว และคนอื่นก็ถึงกับมาหาฉันเพราะฉันเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนภาพพจน์ของตัวเองเติบโตขึ้น และตอนนี้ฉันก็รู้ถึงรสชาติแห่งความสำเร็จแล้ว แต่หลังจากความสุขนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาว่าตัวเองยังห่างไกลจากการเป็นแพทย์ประจำแค่ไหน ฉันทำได้แค่ผ่าตัดทั่วไปเท่านั้น ถ้าฉันได้เป็นแพทย์ประจำและสามารถทำการผ่าตัดในระดับที่สูงขึ้นได้ ผู้ป่วยก็จะยิ่งเลื่อมใสฉันมากกว่านี้ และยิ่งอยากเจอฉันมากกว่านี้ สถานะของฉันในสายตาพวกเขาจะไม่ยิ่งสูงขึ้นหรอกหรือ?
หลังจากนั้น ฉันก็เร่งฝีเท้ามุ่งไปสู่ชื่อเสียงและโชคลาภ สามีบ่นและทะเลาะกับฉันบ่อยมาก โดยพูดว่าฉันใช้เวลากับเขาน้อยลงทุกที ฉันรู้สึกเหนื่อยและถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมากๆ และฉันก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ฉันพยายามแบบนั้นไปเพื่ออะไรหรือ? ไม่ใช่เพื่อประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและมีชีวิตที่ดีหรือไง? ฉันทำอะไรผิดไปงั้นหรือ? ก็เปล่านี่ สามีของฉันต่างหากที่ไม่มีเหตุผล เขาต่างหากที่ไม่มีความทะเยอทะยาน” ฉันปาดน้ำตาและสมัครขอรับโอกาสที่เสนอให้ไปอยู่ที่หน่วยแพทย์ระดับเทศบาลสำหรับการศึกษาต่อ เพื่อจะได้พัฒนาทักษะทางการแพทย์ของตัวเองและกลายเป็นแพทย์ประจำ มันเป็นโอกาสเหมาะที่หายากมากและฉันก็หวงแหนโอกาสนี้มาก แต่ระหว่างการฝึก ฉันก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเองตั้งท้อง การรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ทำให้ฉันรู้สึกทำอะไรไม่ถูก และฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะแก่การมีลูกด้วย ฉันได้ผ่านอะไรมามากมายเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา ฉันจะเลิกล้มเพราะมีลูกและทำลายความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของตัวเองไม่ได้ แต่แล้วฉันก็นึกถึงทารกน้อยขึ้นมา ฉันไม่ได้มีความต้องการที่จะทำแท้ง ต่อมา ด้วยความที่ฉันต้องยืนผ่าตัดเป็นเวลานานและทำงานหนักมากเกินไป รวมถึงการที่ฉันอดข้าวเพื่อจะทำการผ่าตัดนอกตาราง สุดท้ายฉันก็แท้งไปเอง แต่ฉันก็ไม่เคยหยุดไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภเลยแม้แต่อึดใจเดียว ฉันอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้นหลังจากขูดมดลูกไปแล้ว แต่วันนั้นร่างกายของฉันก็อ่อนแอมาก ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายฉันกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท้องก็ปวดและแขนขาก็อ่อนปวกเปียกไปหมด สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือนอนอยู่บนเตียงและพักผ่อน แต่ฉันก็ไม่ได้คิดถึงลูกที่แท้งไป หรือคิดถึงการดูแลร่างกายตัวเองเลย ฉันเอาแต่กังวลว่าเวลาเรียนของฉันจะล่าช้าออกไป และอาจจะส่งผลต่อการเรียนจบของฉันได้ ทั้งหมดที่ทำมามันไม่ได้มีค่าเลยหรือ?
หลังจากการทำงานอย่างหักโหมต่อมาอีกเจ็ดปี ในที่สุดฉันก็ได้เป็นแพทย์ประจำอย่างที่ฝันมาตลอด ผู้ป่วยทุกคนที่ฉันเคยเจอต่างทักทายฉันเวลาที่พวกเขาเห็นฉัน แถมยังพูดกับคนรอบตัวพวกเขาว่า “หมอเถียนเป็นคนผ่าตัดฉันและช่วยชีวิตฉันไว้” บางคนมาเยี่ยมฉันที่บ้านและนำเอาของดีประจำท้องถิ่นทุกชนิดมาฝาก บางคนนำของขวัญและบัตรกำนัลสำหรับซื้อของมาให้ฉันเพื่อแสดงความสำนึกบุญคุณ บางครั้งฉันกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร พอพวกเขาเห็นฉัน พวกเขาก็จะแอบออกค่าอาหารให้โดยที่ฉันไม่รู้เรื่องเลย แม้ว่าทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้คนอิจฉา แต่ความสุขของฉันกลับอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเสมอ ไม่มีใครรู้ถึงความยากลำบากและความเจ็บปวดเบื้องหลังความสุขของฉันเลย ในการผ่าตัดนั้น ฉันพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะผลที่ตามมานั้นคงไม่อาจนึกถึงได้เลย และฉันก็กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำความผิดพลาดซึ่งทำลายตัวฉันเอง ฉันระวังตัวมากราวกับกำลังเดินอยู่บนคมมีด ฉันอยู่ภายใต้ความเครียดมากเกินไปจนจิตใจรับไม่ไหว สุขภาพของฉันย่ำแย่ และน้ำหนักก็ลดลงไปเหลือแค่ประมาณสี่สิบกว่ากิโล จากการทำงานหนักเกินไปเป็นเวลานาน สุขภาพของฉันจึงทรุดโทรม จนทำให้ฉันทรมานกับอาการนอนไม่หลับ ปวดท้อง และถุงน้ำดีอักเสบ ฉันรับประทานอาหารไม่ลง นอนก็ไม่หลับ ฉันนอนนับแกะทุกคืนและกินยานอนหลับถึงสี่เม็ด แต่มันก็ไม่ได้ผล ในระหว่างวัน ฉันก็รู้สึกมึนงงและไม่มีเรี่ยวแรง ขาของฉันหนักอึ้งราวกับทำด้วยตะกั่ว มันลำบากจนสุดจะทน ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและคิดว่า “ฉันได้มีสถานะและเป็นที่เลื่อมใสของผู้อื่น แต่ตอนนี้ฉันกลับกินข้าว หรือแม้แต่นอนหลับแบบคนปกติก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ” ฉันถึงขั้นอยากจะหลบงาน หลบหน้าจากทุกสิ่งทุกอย่าง และขอแค่ได้นอนหลับแบบดีๆ ก็พอ แต่มันก็กลายเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ สิ่งที่ทำให้ยิ่งแย่ลงไปอีกก็คือ ตอนที่ฉันต้องการการใส่ใจและดูแลมากที่สุด สามีของฉันกลับออกไปดื่มและหาความสุขใส่ตัว ส่วนฉันต้องทนอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง ฉันรู้สึกตรอมใจและอับจนหนทางในค่ำคืนที่ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น การนอนหลับเป็นเรื่องยาก และฉันก็มักจะฝันอยู่บ่อยๆ ว่า ฉันกำลังคลำสะเปะสะปะอยู่ในความมืด มองไม่เห็นว่าตัวเองกำลังมุ่งไปทิศทางไหน หรือทางไหนคือทางกลับบ้าน ฉันรู้สึกหวาดผวาและฉันก็ดิ้นกระเสือกกระสน มีครั้งหนึ่งที่ฉันตื่นขึ้นมาและร้องว่า “อ๊า!” เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ฉันกดเปิดไฟและนั่งอยู่ที่ขอบเตียง พลางนึกถึงความนับถือจากผู้ป่วยและการสรรเสริญจากครอบครัว แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเลย พอนึกย้อนถึงความมานะพยายามที่ฉันทุ่มเทมาตลอดหลายปี ฉันก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า “ฉันทำงานหนักมาครึ่งชีวิตเพื่อความก้าวหน้า แต่สุดท้ายแล้ว นอกจากความรุ่งโรจน์ในช่วงสั้นๆ นั้น สิ่งเดียวที่ฉันได้มาคือร่างกายที่เจ็บป่วย สามีที่ทรยศ รวมถึงความทุกข์ทนและความเจ็บปวดที่ไม่มีสิ้นสุด ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? บุคคลหนึ่งควรใช้ชีวิตอย่างไรหรือ จึงจะมีชีวิตที่คุ้มค่าและมีความหมาย?” ฉันต้องการหนีพ้นจากความเจ็บปวดนั้นเหลือเกินแล้ว ฉันทั้งไปหาหมอดู ไปหาคำตอบจากคำพูดที่ยกมาอ้างของผู้คนที่มีชื่อเสียง รวมถึงไปคลุกคลีกับ “พลังงานบวก” ที่ผู้คนต่างแสวงหากันนัก ฉันเข้าไปในโลกออนไลน์เพื่อพยายามหาคำตอบในพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ และคำตอบนั้นก็แก้ปัญหาของฉันไม่ได้เลย ทันทีที่อาการป่วยของฉันกลายเป็นความเจ็บปวดจนเกินทน ตอนที่ฉันมองไม่เห็นความหวังในชีวิต หรือไม่สามารถเจอทางไปต่อได้แล้ว พระคุณแห่งความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็มาสู่ฉัน
หลังจากได้เชื่อในพระเจ้า ฉันก็พบคำตอบในพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อชื่นชมกับสถานภาพอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมกับชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีที่ฟุ้งเฟ้อของเนื้อหนัง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติซึ่งมวลมนุษย์อยากได้มาก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ ถึงแม้ว่าไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่ชั่วขณะ ไม่รู้เท่าทันในความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมาอยู่เรื่อยไป ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่เมื่อพวกเขาได้หลบภัยในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งสู่หล่มอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนติดหล่มในชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สว่างไสว สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติมีเหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งของสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสว่างขึ้นมา ฉันยังจำการออกไปทำอาหารกินนอกสถานที่กับคุณหมอหวังได้ ตอนนั้นฉันตั้งใจเอาไว้ว่า ตราบใดที่ฉันมีสถานะและมีทักษะทางการแพทย์ในระดับสูง เมื่อนั้นก็จะมีคนนับถือฉัน และฉันจะได้รับการปฏิบัติที่พิเศษและมีชีวิตที่ราบรื่น ฉันยังได้ยอมรับยาพิษเยี่ยงซาตานมาอีกด้วย อย่างเช่น “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” มามากมาย จนการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภ กลายมาเป็นการไล่ตามเสาะหาและเป็นวัตถุประสงค์ในชีวิตของฉัน ฉันทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หน้าที่การงานไปไกลขึ้น หลังจากฉันได้รับการนับถือและการสรรเสริญจากคนรอบข้าง ฉันก็รู้สึกจริงๆ ถึงความสำเร็จ ซึ่งมันทำให้ฉันติดอยู่บนเส้นทางที่ผิด โดยไม่มีแม้เพียงแค่จะชายตาไปมองทางด้านหลัง ฉันใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปสิบกว่าปีเพื่อไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ พลีอุทิศทั้งครอบครัวและลูกในท้องของฉัน ฉันทำลายสุขภาพของตัวเองและเหลือเพียงร่างกายที่เจ็บป่วย ช่างเป็นเรื่องน่าละอายมากที่ฉันเพิ่งคิดได้ หลังจากการพลีอุทิศทั้งหมดนั้นเองว่า “ชื่อเสียงและโชคลาภให้ประโยชน์อะไรกับฉันหรือ? การไล่ตามเสาะหาทำให้ฉันทั้งเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทรมาน และในที่สุดหลังจากได้มันมา ฉันก็ยังคงทุกข์ทรมานจนเกินคำบรรยาย เห็นได้ชัดว่า สุดท้ายแล้วการไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภก็เป็นเส้นทางที่ผิด” ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า การต่อสู้เพื่อไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภคือกำลังบังคับชั่วที่พันอยู่รอบตัวมนุษย์ราวกับเชือกและทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก มันเหมือนแอกที่ซาตานพาดไว้บนร่างฉัน ซึ่งทำให้ฉันยินดีที่จะทนทุกข์และพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุด ซาตานก็ได้ตัวฉันไปอยู่ในที่ที่มันต้องการ นั่นเหมือนกันไม่มีผิดกับที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) ฉันได้เห็นว่าแท้จริงแล้วซาตานน่าเกลียดชังแค่ไหน และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ ทันทีที่ซาตานต้อนฉันมาจนมุม พระเจ้าก็ไม่ทรงนั่งทอดพระเนตรเฉยๆ พระองค์ยื่นพระหัตถ์แห่งความรอดของพระองค์มาหาฉัน ทรงชูใจฉันด้วยพระวจนะ ทรงหนุนใจฉัน และทรงช่วยฉันพบกับต้นตอของความเจ็บปวด มีเพียงพระเจ้าที่ทรงรักมนุษย์ที่สุด พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงความจริง เพื่อสอนให้พวกเราแยกแยะความดีจากความชั่ว และสิ่งที่เป็นบวกจากสิ่งที่เป็นลบ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถไปต่อบนเส้นทางที่ผิด ใช้ชีวิตเพื่อไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลตอบแทนได้อีกต่อไป ฉันควรนมัสการพระผู้สร้าง หลังจากนั้น ฉันจึงใช้เวลาว่างไปกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น รวมถึงสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ และพวกเราก็ได้ช่วยเหลือและได้สนับสนุนอีกฝ่าย ฉันได้เข้าใจความจริงบางอย่างและจับความเข้าใจในบางสิ่งได้ดีขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว จิตใจฉันผ่อนคลายขึ้นมาก อาการนอนไม่หลับของฉันพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ และอาการปวดท้องและอาการถุงน้ำดีอักเสบก็หายไป เหล่านี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถได้มาจากการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลตอบแทน ฉันได้รับประสบการณ์ถึงความสุขแห่งอิสรภาพทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง
ต่อมา ฉันก็เห็นว่าเพื่อนร่วมงานทุกคนล้วนทำงานเพื่อการได้เลื่อนขั้น และคนที่มีทักษะทางวิชาชีพน้อยกว่าฉัน หรือเพื่อนร่วมงานบางคนที่ฉันฝึกสอนมากับมือ ต่างก็ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์กันหมด ฉันรู้สึกถึงความสูญเสียพ่ายแพ้ ฉันคิดว่าถ้าสุขภาพของฉันไม่พังจนถ่วงเวลาฉันไปเป็นสิบปี ถ้าว่ากันตามทักษะความชำนาญแล้ว อย่างน้อยฉันก็คงได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ แต่พอคิดย้อนไปถึงการที่ฉันเคยไล่ตามเสาะหาการเลื่อนขั้นจนร่างกายเจ็บป่วย เจ็บปวดและทุกข์ทน ฉันก็ตระหนักได้ว่า นี่คือหนึ่งในกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตาน ซาตานกำลังใช้ความอยากได้อยากมีของฉันมาล่อใจให้ฉันกลับเข้าสู่วังวนของชื่อเสียงและผลตอบแทน ถ้าหากฉันเริ่มไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลตอบแทนอีก ฉันคงลงเอยด้วยการสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ฉันนึกถึงบางอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?” (มัทธิว 16:26) และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ตรัสว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและที่ไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และคือชีวิตหนึ่งซึ่งมีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพระพรมากไปกว่าพวกเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เนื่องจากพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์นี่เอง ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหน หรือภาพพจน์ของเขาจะเป็นอย่างไร การไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภก็เป็นเส้นทางที่ผิด และมันคือเส้นทางที่นำไปสู่ความตาย พวกเราไม่สามารถได้รับพระพรหรือการทรงอารักขาของพระเจ้าได้จากการเดินล่องลงไปตามเส้นทางนี้ มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง กำจัดความเสื่อมทรามออกจากตัวพวกเราโดยการได้รับประสบการณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าและการพยายามรู้จักพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้พวกเราได้มีชีวิตที่มีนัยสำคัญและมีคุณค่า และท้ายที่สุดก็ได้รับพระพรของพระเจ้า นี่คืออนาคตแท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์พึงมี ถ้าฉันพยายามที่จะตอบสนองผลประโยชน์แห่งเนื้อหนังต่อไป ไม่ใช่แค่พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรฉันเท่านั้น แต่พระองค์คงจะทรงเกลียดชังฉันไปจริงๆ มีตัวอย่างชีวิตจริงของบางคนที่ฉันรู้จักอยู่ตรงนี้ นั่นก็คือ ลูกสาวหัวหน้าของฉันซึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีอาชีพการงานที่ดีทำอยู่ที่เมืองนอก แต่หลังจากการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายและภาวะเครียดเกินขนาดอยู่นานหลายปี เธอก็เป็นโรคซึมเศร้าและกระโดดตึกฆ่าตัวตาย และลูกชายของเพื่อนฉันซึ่งได้เป็นผู้จัดการตั้งแต่อายุยังน้อยและประสบความสำเร็จ ก็เกิดเป็นโรคตับแข็งขึ้นมาจากการดื่มเพื่อเข้าสังคมมากเกินไป เขาตายในเวลาไม่ถึงหกเดือนด้วยซ้ำ และผมของเพื่อนฉันกลับหงอกเป็นสีเทาไปในชั่วข้ามคืนจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “มนุษย์ตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) ชื่อเสียงและผลตอบแทนไม่สามารถกำจัดความทุกข์ให้มนุษย์และไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ มันเพียงแค่ยั่วใจผู้คนให้กลับสู่นรกขุมลึกแห่งความตายหลังความสุขอันแสนสั้นเท่านั้นเอง การได้เข้าใจสิ่งนี้ทำให้ฉันไม่ถูกรบกวนหรือได้รับผลกระทบจากคนรอบข้างอีกต่อไปแล้ว ฉันยินดีจะใช้เวลาที่มีจำกัดในการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรู้จักพระเจ้า ใช้ชีวิตตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และดำเนินงานตามหน้าที่ของตัวเองในพระนิเวศของพระเจ้า
วันหนึ่งฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการของอีกโรงพยาบาลหนึ่ง เขาพูดว่า “ตอนนี้คุณก็เกษียณแล้ว พวกเราเลยวางแผนจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ และพวกเราจะได้คุยกันเรื่องการทำงานร่วมกันตามที่เคยคุยไว้ก่อนหน้านี้ พวกเราอยากได้ใบอนุญาตแพทย์ประจำของคุณมาแขวนที่โรงพยาบาลของเรา เพื่อเป็นการดึงดูดผู้ป่วยรายเดิมๆ ของคุณ คุณจะมาทำงานกับเรา หรือจะเป็นผู้ถือหุ้นที่นี่ก็ได้ สุดแต่คุณจะสะดวกเลยครับ” ตอนที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “ฉันใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไล่ตามชื่อเสียงและผลตอบแทน แล้วฉันได้อะไรจากการนั้น? ฉันจะใช้เวลาทั้งชีวิตฝังตัวเองอยู่กับชื่อเสียงและผลตอบแทนจริงๆ หรือ? การสลัดความเจ็บปวดแห่งการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภมันไม่ง่ายเลย ฉันไม่อยากนับแกะตอนกลางคืน หรือใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกังวลและเกรงกลัวไปทั้งวันอีกแล้ว ฉันได้ลิ้มรสชาติของสันติสุขแห่งจิตใจที่มาจากการเชื่อในพระเจ้าและการเข้าใจความจริงแล้ว ฉันขอกำความสุขนี้ไว้ในแน่นๆ ดีกว่า แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ฉันแค่ต้องแขวนใบอนุญาตของตัวเองไว้ที่โรงพยาบาล ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ฉันก็ต้องเข้าไปอยู่ดี มันจะไม่เป็นการแทรกแซงการการดำเนินงานตามหน้าที่ของฉันหรือ?” ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “ตอนนี้ แต่ละวันที่พวกเจ้าใช้ชีวิตผ่านไปนั้นมีความสำคัญยิ่งยวด และมีความสำคัญสูงสุดต่อบั้นปลายของพวกเจ้าและชะตากรรมของพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องทะนุถนอมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ามีวันนี้ และหวงแหนความล้ำค่าของแต่ละนาทีที่ผ่านไป เจ้าต้องใช้เวลามากที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อให้ตัวเจ้าได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อที่ว่าเจ้าจะได้ไม่ใช้ชีวิตนี้ไปโดยไร้ค่า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?) ฉันวาสนาดีที่ได้พบพระเจ้าในโอกาสเหมาะที่หาได้ยากเหลือเกิน พระเจ้านั่นเองที่ทรงทำให้ฉันเข้าใจความหมายของชีวิต และทรงพาฉันออกจากนรกขุมลึกแห่งความเจ็บปวด ฉันจะมีวันกลับไปสู่อ้อมกอดของซาตานอีกได้อย่างไร? พระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะถึงปลายทางแล้ว และฉันยังไม่ได้รับความจริงเลย ฉันต้องทะนุถนอมทุกวันเอาไว้ และไล่ตามเสาะหาความจริงในเวลาที่ฉันมีจำกัด สิ่งนี้นั่นเองที่เป็นชีวิตซึ่งสวยงาม! การได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าทำให้ฉันปฏิเสธข้อเสนอของผู้อำนวยการไป จังหวะที่วางโทรศัพท์ลง ฉันรู้สึกเป็นอิสระยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาเป็นไหนๆ ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฉันควรเลิกไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลตอบแทนไปเสียตั้งนานแล้ว” อีกหลายโรงพยาบาลเข้ามาคุยกับฉันเรื่องทำงานร่วมกัน และฉันก็ได้ปฏิเสธไปทั้งหมด ตอนนี้ ฉันทุ่มทุนให้กับการดำเนินงานตามหน้าที่ของตัวเอง ฉันรู้สึกสบายใจและพึงพอใจมากในทุกๆ วัน นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ความชื่นชมยินดีทางวัตถุ หรือชื่อเสียง หรือสถานะก็ไม่สามารถนำมาให้ได้ ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงช่วยฉันให้รอด!