38. มองหาอิสรภาพจากสถานะ

โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส

ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักร  ฉันเต็มไปด้วยความสำนึกผิด  ดังนั้นฉันจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำงานของคริสตจักรให้ดี  ในตอนนั้นมีหัวหน้ากลุ่มสองคนที่ต้องมอบหมายใหม่ แต่ฉันก็หาคนที่เหมาะสมมาแทนไม่ได้  ฉันถูกความวิตกกังวลกัดกิน และคิดว่า “หากฉันหาคนที่เหมาะกับตำแหน่งไม่ได้ ผู้นำของฉันก็จะพูดว่าฉันไร้ความสามารถที่จะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  หากฉันถูกแทนที่จะเป็นอย่างไรล่ะ”  หลังจากขบคิดจนสมองแทบแตก แล้วฉันก็นึกถึงน้องสาวจาง เธอมีขีดความสามารถที่ดีและทำหน้าที่ได้ดี  เธอจะเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ยอดเยี่ยมแน่  พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันรู้สึกเหมือนฉันพบคนมารับตำแหน่งนั้นแล้ว แล้วงานของฉันก็จะง่ายขึ้นเมื่อได้คนที่เหมาะสมมาทำงาน

แต่ทว่าในจังหวะนั้นเอง พี่น้องหญิงหลี่ ผู้นำในอีกคริสตจักร ก็โทรมาพูดกับฉันว่า คริสตจักรของเธอมีผู้เชื่อใหม่หลั่งไหลเข้ามาจนมีคนที่จะรดน้ำพวกเขาไม่พอ  เธออยากคุยกับฉันเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมอบหมายให้น้องจางไปรับหน้าที่รดน้ำผู้เชื่อใหม่ที่คริสตจักรของเธอ  ฉันคัดค้านความคิดนี้หัวชนฝา  “แล้วคริสตจักรของเราล่ะ” ฉันคิด  “เราจะทำอย่างไรถ้าน้องจางถูกมอบหมายไปที่อื่น?  หากฉันหาคนอื่นมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม และจัดการงานนี้ไม่ได้ อาจจะลงเอยที่ฉันถูกแทนที่ก็ได้!”  พอสังเกตได้ว่าฉันไม่พูดอะไร พี่น้องหญิงหลี่ก็พูดว่า “คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรของคุณเป็นผู้เชื่อมานานและมีความเชื่อหนักแน่นแล้ว  หากน้องจางถูกย้ายมา คุณก็ฝึกคนอื่นได้เสมอนั่นแหละ  มันจะไม่กระทบงานคุณมากนักหรอก”  ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้จริงๆ และรู้สึกต่อต้านมาก  ฉันคิดว่า “คุณพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ ยังกับว่าการฝึกใครสักคนมันง่ายอย่างนั้นแหละ!”  ฉันรู้ว่าคริสตจักรของพี่น้องหญิงหลี่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ฉันอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็ไม่ยอมให้ในสิ่งที่เธอต้องการ  ฉันโทษเธออีกด้วย คิดว่าเธอเห็นแก่ตัว และคิดถึงแต่คริสตจักรของเธอเอง  พอเห็นว่าฉันต่อต้านความคิดนั้นแค่ไหน พี่น้องหญิงหลี่ก็เลิกตอแย  หลังจากวางสาย ฉันรู้สึกกระสับกระส่ายมาก และฉันก็ตกลงใจกับตัวเอง ว่าฉันจะไม่ยอมให้ ว่าฉันจะไม่ให้น้องจางไปไม่ว่าใครจะเป็นคนร้องขอ  วันต่อมา ผู้นำของฉันก็มาคุยกับฉันถึงเรื่องนี้  ฉันสาธยายถึงว่าเราขาดคนแค่ไหนและพูดถึงความยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่  ฉันพูดถึงความยากลำบากของเราไม่หยุดเพื่อที่ผู้นำจะได้หาช่องไม่ได้  ในที่สุด เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ และเธอก็ไม่ดึงดันเรื่องนี้  ฉันรู้สึกพอใจทีเดียว ที่ฉันรักษาน้องจางไว้ได้  ค่ำวันนั้น ฉันพบกับมัคทายกเพื่อหารือเรื่องการเลื่อนขั้นให้น้องจาง  แต่ทว่าฉันไม่ได้พูดถึงความยากลำบากที่พี่น้องหญิงหลี่กำลังเผชิญอยู่ในคริสตจักรของเธอ หรือเรื่องที่ผู้นำของเราเองมาขอให้มอบหมายงานให้น้องจางใหม่  เพราะฉันไม่ได้บอกพวกเขาทุกอย่างที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงเห็นด้วยที่จะให้น้องจางมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม  ตอนที่ฉันรู้สึกพอใจกับตัวเองอยู่นั้น ผู้นำของเราก็มาโดยไม่ได้บอกกล่าว เพื่อคุยกับฉันและคู่ทำงานของฉัน  ในที่สุดก็มีการตัดสินแล้วว่า ด้วยความจำเป็นของงาน น้องจางจะถูกมอบหมายงานใหม่  พอเห็นทุกคนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ก็ทำให้ฉันไร้ความสามารถที่จะคัดค้านได้ แต่ฉันไม่พอใจเลย ฉันรู้สึกเหมือนแขนขวาถูกตัดออกไปอย่างไรยังงั้น  สองสามวันหลังจากนั้น ฉันก็หัวเสียมาก เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ผุดขึ้นมาในใจ  ฉันไม่รู้สึกอยากทำหน้าที่ของฉันอีกด้วย  ฉันจะนอนกระสับกระส่ายบนเตียงตอนกลางคืน ไร้ความสามารถที่จะข่มตาหลับได้ นึกถึงเรื่องนี้ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ในที่สุด ฉันก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากให้น้องจางไปเพียงเพื่อปกป้องตำแหน่งของข้าพระองค์  ข้าพระองค์ปล่อยวางไม่ได้จริงๆ  ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงชี้ทางและทรงนำทางข้าพระองค์ผ่านสถานการณ์นี้ด้วย  โปรดทรงทำให้ข้าพระองค์สามารถละวางตัวเองและได้รู้จักตัวเองสักเล็กน้อย”

หลังจากกล่าวคำอธิษฐานนี้ ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า หลังจากกล่าวคำอธิษฐานนี้ ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ผู้คนแทบไม่ปฏิบัติความจริง กล่าวคือ บ่อยครั้งที่พวกเขาหันหลังให้กับความจริง และพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ซึ่งเห็นแก่ตัวและสามานย์  พวกเขามองหาเกียรติยศ ความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และพวกเขาก็ไม่เคยได้รับความจริง  เพราะฉะนั้นเอง ความทุกข์ของพวกเขาจึงใหญ่หลวงนัก ความกังวลของพวกเขาจึงมากมายนัก และโซ่ล่ามที่จองจำพวกเขานั้นก็เหลือคณานับ(“การเข้าสู่ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยประสบการณ์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “มนุษยชาติช่างโหดร้าย!  การรู้เห็นเป็นใจและเล่ห์เพทุบาย การคว้ากระชากและฉกฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนอื่น การแก่งแย่งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การเข่นฆ่ากันและกัน—เมื่อใดมันจะสิ้นสุดเสียที?  ถึงแม้ว่าจะมีพระวจนะนับหลายแสนคำที่พระเจ้าทรงตรัส ไม่มีใครที่คิดได้สักคน  ผู้คนปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของครอบครัว ลูกชายและลูกสาวของตน เพื่ออาชีพการงาน ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้า ตำแหน่งหน้าที่ ความเหลิงในลาภยศ และเงินทองของตน เพื่ออาหาร เสื้อผ้า และเนื้อหนัง  แต่มีใครสักคนหรือไม่ที่มีการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็นไปเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง?  แม้แต่ในท่ามกลางผู้ที่ปฏิบัติเพื่อพระเจ้า ก็มีเพียงไม่กี่คนนักที่รู้จักพระเจ้า  มีผู้คนสักกี่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติบนผลประโยชน์ของตนเอง?  มีสักกี่คนที่ไม่กดขี่หรือกีดกันบุคคลอื่นๆ เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน)  พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงหัวใจของฉัน  พระเจ้าทรงเปิดเผยความน่าเกลียดของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์โดยซาตาน การต่อสู้ภายในของผู้คนเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ นี่เป็นสภาวะของฉันเลยล่ะ ฉันคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งเปิดเผยในปัญหาเรื่องน้องจางนี้  เพื่อจะปกป้องตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำ ฉันไม่คำนึงถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้าโดยรวม กลัวว่าถ้าพวกเราเสียน้องจางไป งานของคริสตจักรของพวกเราก็จะได้รับผลกระทบ และฉันจะเสียตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำไป  เพราะแบบนั้นพอผู้นำของฉันมาถามเรื่องน้องจาง ฉันก็นึกหาเหตุผลร้อยแปดมาปฏิเสธ  ฉันตัดสินใจเป็นคนนำในการจัดการเตรียมการหน้าที่ของน้องจาง  ฉันพยายามหลอกพี่น้องหญิงหลี่และผู้นำของฉัน อีกทั้งวางแผนปกปิดไม่ให้พวกมัคทายกรู้  ฉันใช้ความคิดจนสุดความสามารถเพื่อปกป้องชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะของตัวฉันเองไว้  ฉันช่างเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอะไรอย่างนี้!  นั่นทำให้ฉันคิดถึงสัตว์ป่าในอาณาจักรสัตว์  พวกมันต่อสู้ฆ่าฟันกันเพื่อแย่งพื้นที่และอาหาร และผู้ที่แกร่งที่สุดก็ได้เป็นจ่าฝูง  แล้วก็มีฉัน ด้วยการแข่งขันเพื่อควบคุมผู้คนและพยายามปกป้องตำแหน่งของฉัน ฉันก็กลายเป็นเหมือนสัตว์ป่า ไม่มีความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง  ฉันตระหนักว่าพฤติกรรมของฉันน่ากลัวแค่ไหน  แม้ว่าฉันจะดูเหมือนแบกรับภาระและกำลังพิจารณางานของคริสตจักรของเราก็ตาม แต่สิ่งที่ฉันกำลังพิจารณาลึกลงไปจริงๆ ก็คือตำแหน่งของตัวฉันเอง  เหมือนที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยว่า “มีผู้คนสักกี่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติบนผลประโยชน์ของตนเอง?  มีสักกี่คนที่ไม่กดขี่หรือกีดกันบุคคลอื่นๆ เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง?”  ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันพยายามควบคุมน้องจาง ไม่ยอมปล่อยเธอไปมาตลอด  ฉันคิดถึงเธอในฐานะสมาชิกของคริสตจักรของพวกเรา และพวกเราควรตัดสินใจเรื่องหน้าที่ของเธอ  ฉันต้องได้เป็นคนตัดสินใจ และไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาแทรกแซง  ฉันเห็นว่าฉันโอหังแค่ไหน  ฉันสูญเสียความเป็นมนุษย์และสำนึกรับรู้ของฉันไป ง่ายๆ แค่นั้นเอง!  ตอนนั้น ฉันคิดถึงตอนที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐให้คนเคร่งศาสนา พวกศิษยาภิบาลเห็นว่าสมาชิกการชุมนุมของพวกเขามากมายยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า แล้วพวกเขาไม่สามารถปกป้องตำแหน่งของตัวเองได้  พวกเขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหยุดไม่ให้ผู้คนตรวจสอบหนทางที่แท้จริง  พวกเขาไม่เพียงโจมตีคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ถึงกับอ้างอย่างไร้ยางอายว่า ผู้เชื่อเป็นฝูงแกะของพวกเขา และไม่มีใครจะขโมยไปได้  ฉันตระหนักในตอนนั้น ว่าพฤติกรรมของฉันโดยแก่นแท้แล้วไม่ต่างจากพฤติกรรมของศิษยาภิบาลพวกนั้นเลย  เพื่อจะรักษาตำแหน่งและวิถีชีวิตของฉันไว้ ฉันต้องการจะรักษาพี่น้องชายหญิงให้อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน และฉันจะไม่อนุญาตให้พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายพวกเขาใหม่ไปยังที่อื่น  ฉันพยายามยึดจับแกะของพระเจ้าและแก่งแย่งผู้คนเหล่านี้กับพระเจ้า!  พอคิดแบบนั้น ฉันก็เริ่มกลัว ฉันไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างสั่นเทาด้วยความกลัวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำผิดไป  ข้าพระองค์ต่อต้านพระองค์ และข้าพระองค์ต้องการกลับใจต่อพระองค์”

ไม่นานหลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์มาทดสอบฉันอีกครั้ง ผู้นำคนหนึ่งในคริสตจักรอื่นส่งข้อความมาขอคนที่สามารถจัดการงานแก้ไขเอกสารได้อย่างเร่งด่วน เธอได้ยินว่าพี่น้องหญิงเฉินในคริสตจักรของพวกเราทำเรื่องนี้ได้ดี และรับผิดชอบหน้าที่ของเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงถามว่าพี่น้องหญิงเฉินสามารถมารับตำแหน่งนี้ได้ไหม ฉันรู้ดีมากว่าพี่น้องหญิงเฉินจะเหมาะสมกับงานนี้ แต่เธอเป็นผู้สอนศาสนาในคริสตจักรของเรา และเธอก็ทำได้เยี่ยมเสียด้วย จะเป็นอย่างไรถ้าพี่น้องหญิงเฉินถูกย้ายไป และผลก็คืองานข่าวประเสริฐของพวกเราเกิดความเสียหาย? ถ้าหากลงเอยที่ฉันถูกผู้นำจัดการเพราะไร้ความสามารถที่จะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ล่ะ? ฉันอาจจะไม่มีความสามารถที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ด้วยซ้ำ ฉันตัดสินใจว่าให้พวกเขามองหาคนอื่นจะดีกว่า ฉันจึงตั้งใจละเลยที่จะตอบข้อความของผู้นำคนนั้น แล้วใจฉันก็ฉุกคิดว่า “คราวก่อนฉันไม่เต็มใจมอบน้องจางให้เพื่อปกป้องตำแหน่งของตัวเอง คราวนี้ฉันขัดขวางมากมายไม่ได้หรอก” แต่ฉันก็ยังรู้สึกเจ็บปวดและขัดแย้งมาก ฉันคิดว่า “ทำไมฉันถึงต่อต้านนักเวลามีใครต้องถูกย้ายตำแหน่ง? ฉันเป็นห่วงเสมอเรื่องงานของพวกเราว่าจะได้รับผลกระทบและเสียตำแหน่งของฉันไป ฉันจะสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนและการคุมขังของชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะได้อย่างไร?” ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงชี้แนะและทรงนำทางฉันให้เข้าใจแก่นแท้ของการไล่ตามเสาะหาสถานะ และทรงช่วยให้ฉันละทิ้งเนื้อหนังของตัวเองและปฏิบัติความจริง

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวของฉัน ฉันอ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้า  “แก่นแท้ของพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์คือการใช้วิถีทางและวิธีการต่างๆ อย่างเนืองนิตย์ เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีสถานะ ในการชนะใจผู้คน และในการทำให้ผู้คนติดตามและเคารพพวกเขา  เป็นไปได้ว่าในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่จงใจแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่แย่งชิงพวกมนุษย์กับพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์  ต่อให้วันนั้นมาถึงเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า และพวกเขาเหนี่ยวรั้งตัวพวกเขาเองไว้ แต่พวกเขาก็ยังคงนำวิธีการอื่นๆ มาใช้เพื่อให้ได้รับสถานะท่ามกลางผู้คนและได้รับการยืนยันว่าใช้ได้  กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำดูเหมือนจะประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเจ้า แต่ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่จะควบคุมผู้คน—และได้รับสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางผู้คน—จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงขอสิ่งใดจากผู้คน พวกเขาก็ไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรทำหรือทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงในหนทางที่เหมาะสมกับพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ยกเลิกการไล่ตามเสาะหาพลังอำนาจและสถานะของพวกเขา อันเป็นผลของการเข้าใจถ้อยดำรัสของพระองค์และความจริง ความทะเยอทะยานของพวกเขาครอบงำพวกเขา ควบคุมและชี้นำพฤติกรรมและความคิดของพวกเขา และกำหนดเส้นทางที่พวกเขาเดินมาโดยตลอด  นี่คือข้อสรุปลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์  สิ่งใดได้รับการเน้นย้ำตรงนี้?  ผู้คนบางคนถามว่า ‘พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่พวกที่แข่งกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับผู้คนไว้ และที่ไม่ยอมรับรู้พระองค์หรอกหรือ?’  พวกเขาอาจยอมรับรู้พระเจ้า พวกเขาอาจยอมรับรู้และเชื่ออย่างแท้จริงในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ และพวกเขาอาจเต็มใจที่จะติดตามพระองค์และไล่ตามเสาะหาความจริง แต่สิ่งหนึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือพวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งความทะเยอทะยานของพวกเขาเพื่อพลังอำนาจและสถานะ อีกทั้งพวกเขาก็จะไม่ยอมทิ้งการไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นของพวกเขาเนื่องจากสภาพแวดล้อมของพวกเขาหรือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขา  เหล่านี้คือคุณลักษณะเฉพาะของพวกศัตรูของพระคริสต์  ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะได้ทนทุกข์มากเพียงใดแล้วก็ตาม ไม่ว่าเขาจะได้เข้าใจความจริงไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม ไม่ว่าเขาจะได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม และไม่ว่าเขาจะครองความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันเหนี่ยวรั้งหรือละทิ้งการไล่ตามเสาะหาและความทะเยอทะยานสำหรับสถานะและพลังอำนาจ และนี่จะกำหนดธรรมชาติแก่นแท้ของพวกเขาอย่างแม่นยำ เหนือโพ้นปรากฏการณ์และการสำแดงภายนอกเหล่านี้  ไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อยในการที่พระเจ้าทรงตีตราผู้คนเช่นนี้ว่าเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ การนี้ได้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติแก่นแท้จริงๆ ของพวกเขา(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (3)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระเจ้าทรงเปิดเผยธรรมชาติและบุคลิกลักษณะของศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นการทะนุถนอมพลังอำนาจและสถานะ และใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเหตุผลในการดำรงชีวิต  รากเหง้าและแรงจูงใจสำหรับทุกการกระทำของพวกเขาคือความปรารถนาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ มากเสียจนถึงขนาดเอาแกะของพระเจ้ามาเป็นของตัวเอง ต่อต้านพระเจ้า และไม่ยอมกลับใจอย่างเด็ดขาด จนในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดโปงและกำจัดทิ้ง  ฉันเริ่มรู้สึกกลัวตอนที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า  ฉันทะนุถนอมสถานะของฉันจริงๆ  ครั้งแรกนั้น ฉันไม่ยอมให้น้องจางรับมอบหมายหน้าที่ใหม่เพื่อปกป้องตำแหน่งของฉัน  แล้วตอนนี้ ฉันก็ไม่เต็มใจให้น้องเฉินไปเพื่อตำแหน่งของฉันเอง  ฉันคิดถึงแต่สถานะของฉันและไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเรื่องงานของพระนิเวศของพระเจ้านี่ยิ่งไม่คิดเลย  ฉันตัดสินใจรักษาตำแหน่งไว้ ถึงขนาดสละงานของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงกับสามารถแย่งชิงผู้คนกับพระเจ้าเพื่อสถานะของฉันเอง  ความเคารพพระเจ้าของฉันอยู่ที่ไหน?  ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ฉันวางความเชื่อของฉันในสถานะและพลังอำนาจ แล้วนั่นไม่ใช่ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  ฉันรู้เป็นอย่างดีมากว่าพี่น้องหญิงเฉินเก่งเรื่องการแก้ไขเอกสารและเธอสนุกกับงานแบบนั้น  แต่เพื่อปกป้องตำแหน่งของตัวฉันเอง ฉันจึงไม่ได้ขอความเห็นจากเธอเลย อีกทั้งไม่ได้มอบหมายงานที่เหมาะสมซึ่งสอดคล้องกับจุดแข็งให้เธอ แต่กลับทำเหมือนเป็นเจ้านายเธอ และไม่ยอมให้เธอไปทำหน้าที่ในคริสตจักรอีกแห่ง  ฉันปฏิบัติต่อคริสตจักรเหมือนดินแดนของฉันเองและไม่มีใครสามารถถูกมอบหมายงานใหม่ได้โดยฉันไม่ยินยอม  ฉันไม่ได้พยายามกักขังและควบคุมผู้คนเหมือนอย่างศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  เพื่อยึดตำแหน่งของฉันไว้อย่างเหนียวแน่น ฉันพยายามรักษาพี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถและจุดแข็งไว้ในคริสตจักรของฉัน  ฉันทำเหมือนพวกเขาเป็นทรัพย์สินของฉันเองและปกครองพวกเขา ต้องการให้คนตรากตรำมากขึ้นเพื่อตำแหน่งของฉันเอง  พระเจ้าทรงเกลียดความทะเยอทะยานนี้ของฉันจริงๆ และฉันสมควรถูกสาปแช่ง!  ฉันเห็นว่าทรรศนะของฉันต่อการงานไม่เปลี่ยนไปตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า จนฉันถูกชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะพันธนาการอย่างแน่นหนา และฉันกำลังเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งที่ฉันรู้จักมาก่อนผุดขึ้นในใจฉัน  เขาไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะเสมอ และเมื่อเขาได้เป็นผู้นำ เขาก็พยายามรักษาตำแหน่งของตัวเองให้มั่นคง ด้วยการคอยควบคุมผู้คนและพยายามจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตัวเอง  เขาไม่ยอมรับความจริงเลยสักนิดและทำเหมือนเป็นเผด็จการ  เขาทำให้เกิดการหยุดชะงักรุนแรงต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า และสุดท้ายก็ถูกเปิดโปงและกำจัดทิ้ง  ฉันตระหนักว่าการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะเป็นเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ที่จะนำลงไปสู่นรก!  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์เพื่อเปิดโปงฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อทำให้ฉันตระหนักถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของฉันเอง และเห็นว่าฉันอยู่บนเส้นทางที่ผิด เพื่อที่ฉันจะหันกลับไปทันเวลา  สถานการณ์เหล่านี้เป็นการพิพากษาฉัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดเป็นความรักอันยิ่งใหญ่และความรอดของพระเจ้า!  ขณะที่ฉันใคร่ครวญความมานะอุตสาหะที่พระเจ้าทรงทำไป ฉันก็เริ่มอ่อนข้อและไม่รู้สึกต่อต้านสถานการณ์แบบนี้อีกต่อไป  ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อฉัน  ฉันอยากกลับใจอย่างแท้จริง และรับประสบการณ์สถานการณ์เหล่านั้นด้วยหัวใจที่ยอมจำนน

แล้วฉันก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า  “หน้าที่คืออะไร?  หน้าที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการโดยเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้าเองหรืองานของเจ้าเอง ตรงกันข้าม นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ความร่วมมือของเจ้า ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ของเจ้าขึ้นมา  พระราชกิจของพระเจ้าในส่วนซึ่งมนุษย์ต้องร่วมมือก็คือหน้าที่ของเขา  หน้าที่คือส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้า ไม่ใช่กิจการในครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่กิจการส่วนตัวในชีวิตของเจ้าด้วย  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเกี่ยวข้องกับกิจการภายนอกหรือภายในก็ตาม นั่นคือพระราชกิจในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นก่อเกิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และนั่นคือภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า  นั่นไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า(“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ไม่ว่าเจ้ายอมรับหน้าที่ใดก็ตาม—ตัวอย่างเช่น หากเจ้าได้รับการเลือกสรรให้เป็นหัวหน้าคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว ความเป็นผู้นำคริสตจักรคือหน้าที่ของเจ้า—เจ้าควรทำการนั้นอย่างไรหากเจ้ามองว่านั่นเป็นหน้าที่ของเจ้า?  (ทำอยู่ในแนวเดียวกันกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า)  การทำงานในแนวเดียวกันกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นหนทางทั่วไปในการเริ่มต้น  รายละเอียดจำเพาะเล่าคืออะไรบ้าง?  ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้ว่านี่คือหน้าที่ ไม่ใช่ตำแหน่ง  นั่นจะทำให้เกิดปัญหาหากเจ้าคิดว่าเจ้าได้เข้ารับตำแหน่งหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ากล่าวว่า ‘ฉันได้รับการเลือกสรรให้เป็นผู้นำคริสตจักร ดังนั้น ฉันจำเป็นต้องอยู่ต่ำกว่าคนอื่นๆ ระดับหนึ่ง พวกท่านทั้งหมดอยู่สูงกว่าฉันและใหญ่กว่าฉัน’ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็นท่าทีที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว ข้ออ้างมากมายเพียงใดก็จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย  ในทางกลับกัน เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับความจริง  ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้ว่าหน้าที่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง  คริสตจักรแห่งหนึ่งมีสมาชิกหลายสิบคน และเจ้าต้องคิดถึงวิธีที่จะนำผู้คนเหล่านี้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทำให้ส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง  ยิ่งไปกว่านั้น กับผู้คนที่อ่อนแอและคิดลบนั้น เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะทำให้พวกเขาหยุดการเป็นคนอ่อนแอและคิดลบเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงอย่างกระตือรือร้นได้ และสำหรับบรรดาผู้ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงได้นั้น เจ้าควรทำให้พวกเขาทำเช่นนั้นให้ได้และปฏิบัติงานจนสุดความสามารถของพวกเขา  จงทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงทั้งหลายที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของคนผู้หนึ่งให้ลุล่วง เพื่อที่พวกเขาจะไม่หละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นให้ลุล่วง พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงเป็นอย่างดี และพวกเขาจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าได้  ยังมีพวกที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักและการรบกวนด้วยเช่นกัน หรือพวกที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้วแต่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ชั่วร้าย ในบรรดาผู้คนเหล่านี้นั้น พวกที่ควรจะถูกจัดการก็จะถูกจัดการ และพวกที่ควรจะได้รับการชำระล้างก็จะได้รับการชำระล้าง  จะมีการทำการจัดการเตรียมการที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลตามประเภทของพวกเขา  ยังเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วยที่บรรดาคนส่วนน้อยในคริสตจักรที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี ที่มีขีดความสามารถนิดหน่อย ผู้สามารถรับภาระหน้าที่สำหรับงานในแง่มุมหนึ่ง จะต้องได้รับการปลูกฝังทั้งหมด…เจ้าต้องทำให้ได้มากที่สุดกับทุกบุคคล ใช้ความได้เปรียบให้เต็มที่จากความสามารถแต่ละอย่างของพวกเขา และจัดการเตรียมการหน้าที่ที่เหมาะสมให้แก่พวกเขาไปตามสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ คุณภาพขีดความสามารถของพวกเขา อายุของพวกเขา และระยะเวลายาวนานเท่าใดที่พวกเขาได้เชื่อในพระเจ้า  เจ้าต้องคิดแผนเฉพาะตัวสำหรับบุคคลแต่ละประเภทขึ้นมา และผันแปรแผนนั้นไปทีละคน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้าให้ลุล่วง และทุ่มเทการทำงานของพวกเขาจนสุดความสามารถ(“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่าหน้าที่ไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง  หน้าที่ของพวกเรามาจากพระเจ้า และพวกเราควรกระทำหน้าที่นั้นตามที่พระองค์ทรงพึงประสงค์  การฝึกฝนผู้คนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้บรรดาผู้นำทำ  พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมคนที่มีทักษะทุกรูปแบบสำหรับพระราชกิจของพระองค์ และในฐานะผู้นำของคริสตจักร ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้สอดคล้องกับข้อพึงประสงค์และหลักปฏิบัติของพระองค์  เมื่อฉันพบคนที่มีพรสวรรค์ ฉันควรฝึกฝนพวกเขาและแนะนำพวกเขา เพื่อที่ทุกคนจะได้ใช้จุดแข็งของตัวเองอย่างเต็มที่อย่างถูกที่ถูกทาง ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และทำงานส่วนของพวกเขาให้ลุล่วงเพื่อขยายงานข่าวประเสริฐให้ดีขึ้น  นี่เท่านั้นที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พี่น้องชายหญิงต้องการทำเช่นกัน  เมื่อฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ส่งข้อความไปให้ผู้นำของอีกคริสตจักรหนึ่งเพื่อยืนยันว่าฉันจะมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้พี่น้องหญิงเฉิน  ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อฉันเริ่มปฏิบัติแบบนี้  แล้วฉันก็เห็นพระพรของพระเจ้า  ฉันประหลาดใจมาก เมื่อในเดือนพฤศจิกายนของปีนั้น จำนวนผู้เชื่อใหม่ที่เราได้รับจากงานข่าวประเสริฐของเราเพิ่มเป็นสามเท่าจากเดือนก่อน  ฉันรู้ว่าสิ่งนี้สัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้า และฉันไม่อาจหยุดขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ได้เลย!

ก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยรู้สึกเกลียดความเสื่อมทรามของการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ หรือไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะเลย  ฉันคิดว่า เมื่อเห็นว่าทุกคนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เราทั้งหมดก็ต้องมีอุปนิสัยแบบนั้นเหมือนๆ กัน และมันไม่ใช่อะไรที่สามารถเปลี่ยนได้ภายในวันสองวัน  นั่นกันไม่ให้ฉันแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  ด้วยการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า และด้วยการถูกทดสอบและเปิดโปง ในที่สุดฉันก็มีปัญญาแยกแยะถึงแก่นแท้ของการไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง  ฉันเห็นว่าการไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นเป็นการต่อต้านพระเจ้า และฉันเริ่มเกลียดชังตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ  ฉันกลายเป็นตั้งใจไล่ตามเสาะหาความจริง กลับใจ และเปลี่ยนแปลง  ทั้งหมดเป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้าที่ตอนนี้ฉันมีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังของตัวเองและนำความจริงบางส่วนมาปฏิบัติ  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 37. พระวจนะของพระเจ้าได้สั่นคลอนให้จิตวิญญาณของฉันตื่นขึ้น

ถัดไป: 39. การใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ในที่สุด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger