37. พระวจนะของพระเจ้าได้สั่นคลอนให้จิตวิญญาณของฉันตื่นขึ้น

โดย หนานหนาน ประเทศสหรัฐอเมริกา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจในเรื่องเหล่านี้ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่เพียงแค่ประทานพระคุณและพระพรแก่มนุษย์เหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำมาก่อน อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเกลี้ยกล่อมมนุษย์ให้ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป  ในระหว่างช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ มนุษย์ได้เห็นอะไรจากแง่มุมทั้งหมดของพระราชกิจของพระเจ้าที่เขาได้รับประสบการณ์มาแล้ว? มนุษย์ได้เห็นความรักของพระเจ้าและการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ในระหว่างช่วงเวลานี้พระเจ้าทรงจัดเตรียม ทรงสนับสนุน ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์จะได้ค่อยๆ มารู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์ รู้จักพระวจนะที่พระองค์ตรัส และความจริงที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์…การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์  สิ่งซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ความรู้แจ้งของพระองค์เกี่ยวกับมนุษย์ และการทรงนำของพระองค์ทั้งหมดเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์รู้จักแก่นแท้ของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในสิ่งที่ผู้คนต้องการ ถนนเส้นที่พวกเขาควรใช้ พวกเขาใช้ชีวิตเพื่ออะไร คุณค่าและความหมายของชีวิตของพวกเขา และวิธีเดินไปบนถนนข้างหน้า…เมื่อหัวใจของมนุษย์ฟื้นคืน มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันต่ำทรามและเสื่อมทรามอีกต่อไป แต่กลับปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เมื่อหัวใจของมนุษย์ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มนุษย์ก็ย่อมสามารถตัดขาดตัวเองออกจากซาตานได้อย่างสิ้นเชิง  เขาจะไม่ถูกซาตานทำอันตรายอีกต่อไป ไม่ถูกควบคุมหรือถูกมันหลอกอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์สามารถให้ความร่วมมืออย่างเป็นเชิงรุกในพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของพระราชกิจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  ฉันมีประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับบทตอนนี้

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 ฉันได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในทีมนำสวดภาษาอังกฤษ และรู้สึกมีความสุขมาก เพราะในที่สุดฉันก็ได้นำทักษะภาษาอังกฤษมาใช้งาน  ฉันจะได้อวดแสดงทักษะของตัวเองอย่างเต็มที่สักที!  ฉันรอที่จะไปเล่าให้พี่น้องชายหญิงที่บ้านเกิดฟัง และบอกข่าวดีให้พวกเขารู้แทบไม่ไหว  ฉันถึงกับฝันเฟื่องนึกถึงสีหน้าอิจฉาของพวกเขาตอนที่รู้เรื่องนี้

หลังจากที่ฉันก็เริ่มทำหน้าที่ ฉันก็สังเกตเห็นว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ อ่านภาษาอังกฤษคล่องมาก แถมยังออกเสียงคำได้ดีเยี่ยม  พวกเขาจะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ แม้แต่ระหว่างการชุมนุมและขณะที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาก็จะสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  ภาษาอังกฤษของฉันไม่ใกล้เคียงกับพวกเขาเลย  ฉันทั้งรู้สึกอิจฉาและวิตกกังวล แต่ฉันก็พูดกับตัวเองว่า ตราบใดที่ตั้งใจเรียน สักวันฉันก็จะเก่งเท่า หรือถึงขั้นเก่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ!  ฉันจึงเริ่มตื่นเช้าเป็นพิเศษและอยู่ดึกเป็นพิเศษเพื่อเรียนภาษาอังกฤษและท่องจำคำศัพท์  ฉันคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองอย่างไร  เวลาที่ได้ฟังใครก็ตามแบ่งปันประสบการณ์การทำงาน ฉันก็จะหยิบปากกาออกมาและเริ่มจดบันทึก  แต่พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วหลายเดือน ฉันยังคืบหน้าได้ช้าที่สุด และทำงานได้แย่ที่สุดในบรรดาทุกคนในทีม  การรู้ว่าฉันไม่ได้กำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วง รู้ว่าฉันต้องขอเคล็ดลับและความช่วยเหลือจากน้องๆ ชายหญิงอยู่บ่อยๆ แถมยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ช่วงนั้นผู้นำทีมมักจะมอบหมายงานชั้นต่ำจำเจให้กับฉัน ทิ้งให้ฉันรู้สึกเหมือนว่า ทีมไม่ต้องมีฉันเลยก็ได้  ฉันหดหู่และเสียความรู้สึกมาก  ต่อมา มีน้องสาวคนใหม่เข้ามาทำงานในทีมของพวกเรา  เธอไม่คุ้นกับหน้าที่ของทีม ฉันจึงถูกขอไปช่วยเธอ  ฉันแอบดีใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนที่มีทักษะน้อยสุดในทีมอีกต่อไป  แต่ฉันก็ต้องแปลกใจที่น้องคนนี้มีความสามารถพิเศษและเรียนรู้เร็วมาก ภาษาอังกฤษของเธอจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  ภายในสองหรือสามเดือน เธอก็ทำได้ดีกว่าฉันแล้ว  เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกตระหนกว่า สิ่งที่เป็นอยู่นี้กำลังจะทำให้ฉันกลายเป็นสมาชิกที่แย่ที่สุดของทีมอีกครั้ง  การที่ฉันทำงานได้ไม่ดีเท่าคนที่ทำมานานกว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้  ตอนนี้พอมีเด็กใหม่เข้ามา และมีคนขอให้ฉันไปช่วยเธอ แต่เพียงพริบตาเธอก็กลับเก่งกว่าฉันแล้ว  มันช่างน่าอัปยศ!  ฉันใช้ชีวิตแต่ละวันแข่งขันเพื่อสถานะและเกียรติยศ และรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา  ฉันผ่านแต่ละวันไปด้วยความทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด  ฉันเริ่มคิดถึงวันเก่าๆ สมัยที่กำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงอยู่ที่บ้านเกิด  ฉันเคยเป็นผู้ที่นำการหารือและวางแผนต่างๆ  พี่น้องชายหญิงทุกคนเห็นด้วยกับทรรศนะต่างๆ ของฉัน และผู้นำคริสตจักรก็โปรดปรานฉันมาก  ฉันเคยเป็นคนสำคัญ แต่ตอนนี้ฉันกลับตกต่ำเหลือเกิน  ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งโศกเศร้าและรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  ครั้งหนึ่ง ฉันลงเอยด้วยการซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำและร้องไห้  คืนนั้น ฉันได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงและนอนไม่หลับ  ฉันหยุดคิดไม่ได้ว่า “ฉันเป็นคนที่แย่ที่สุดในทีมมาตั้งแต่แรก  พี่น้องชายหญิงต้องมองฉันอย่างไรกันนี่?  ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”  แต่แล้วฉันก็นึกถึงการที่ฉันถวายปฏิญญาต่อพระเจ้าว่าฉันจะสละตัวเองเพื่อพระองค์ เพื่อชดใช้คืนความรักของพระองค์ตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่  ถ้าฉันทิ้งหน้าที่ของตัวเองไปจริงๆ ฉันจะไม่ผิดคำสัญญาหรือ?  ฉันจะไม่ได้กำลังโกงและทรยศพระเจ้าอยู่หรือ?  ฉันรู้สึกเสียความรู้สึกมาก จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์ไม่แน่ใจว่าจะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างไร หรือจะเรียนรู้อะไรจากมัน  ได้โปรดทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันก็หยิบโทรศัพท์มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป  พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า  ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  เหตุผลที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของผู้คนนั้นเป็นเพราะพิษของซาตานที่คอยกัดกร่อนความคิดของผู้คนอยู่ตลอดเวลาโดยทั้งสิ้น และผู้คนมักจะไร้ความสามารถที่จะสลัดการทดลองเหล่านี้ของซาตานอยู่ตลอดเวลา  พวกเขากำลังใช้ชีวิตในท่ามกลางบาปแต่กระนั้นก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นบาป และพวกเขายังคงคิดว่า  ‘พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ต้องประทานพระพรแก่พวกเราและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเราอย่างเหมาะสม พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องเหนือกว่าคนอื่น และพวกเราต้องมีสถานะที่มากกว่าและอนาคตที่มากกว่าใครอื่น  เนื่องจากพวกเราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ต้องทรงมอบพระพรอันไร้ขีดจำกัดแก่พวกเรา  มิฉะนั้นแล้ว มันก็คงจะไม่ได้เรียกว่าการเชื่อในพระเจ้า’  เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ  ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน  พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้  ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน  ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง  พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)  พระวจนะของพระเจ้าช่างอธิบายสถานการณ์ของฉันได้อย่างสมบูรณ์แบบ!  ฉันเจ็บปวดมากเหลือเกิน และถึงขั้นต่อต้านการทำหน้าที่ให้ลุล่วง รวมถึงอยากทิ้งหน้าที่และทรยศพระเจ้าเพราะการที่ความอยากของฉันที่มีต่อสถานะนั้น ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ใช่หรือ?  ตลอดมานับตั้งแต่ฉันเข้าร่วมทีม เหตุผลที่ฉันเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ก็เพราะฉันอยากพิสูจน์ตัวเองและโดดเด่นขึ้นมาในทีม  พอเห็นน้องสาวคนใหม่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันก็กังวลว่าเธอจะเก่งกว่า และฉันก็จะกลับไปเป็นคนที่แย่ที่สุดในทีมอีก  ฉันหน้าดำคร่ำเครียดกับเรื่องสถานะทั้งวัน และใช้ชีวิตอย่างทุกข์ระทมที่สุด  พอมองดูพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมา” ฉันก็ถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงเพียรพยายามเพื่อสถานะ?  ความคิดอะไรที่ทำให้ฉันทุกข์ใจไปหมดแบบนี้?”  มีเพียงหลังการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้ฉันตระหนักได้ว่า ฉันกำลังใช้ชีวิตตามคติพจน์เยี่ยงซาตาน เช่น “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ และจงนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเจ้า” “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด”  ตั้งแต่เล็ก พวกเราถูกครูสอนว่า ต้องเก่งที่สุด ต้องเป็นที่หนึ่ง  ฉันมักนิยมยกย่องและอิจฉาพวกคนผู้ที่มีชื่อเสียงเกียรติยศอยู่เสมอ และฉันก็อยากเป็นแบบพวกเขา  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันก็อยากให้ผู้คนคิดกับฉันอย่างสูงส่งเสมอ และถ้าทุกคนเลื่อมใส สนับสนุน และสรรเสริญฉัน ก็จะยิ่งดีเข้าไปอีก  ฉันคิดว่านี่คือหนทางในการดำรงชีวิตที่น่าชื่นชมและคุ้มค่า  พอฉันไม่ได้รับความเลื่อมใสและการสรรเสริญจากคนอื่น ชีวิตก็แสนระทม และฉันก็จะรู้สึกจิตตกเหลือเกิน  หลังจากเริ่มการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าให้ลุล่วง ฉันก็ยังไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้  แต่พอฉันไม่ได้เห็นการพัฒนาขึ้นมากนักแม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว และไม่ได้รับการสรรเสริญและเลื่อมใสจากผู้อื่น ฉันก็กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หดหู่ และท้อแท้ถึงขั้นคิดจะทิ้งหน้าที่ของตัวเองและทรยศพระเจ้า  ฉันถูกความย้ำคิดอยู่กับเกียรติยศเสพกินจนหมดสิ้น  ฉันจะทนทุกข์ต่อความยากลำบากใดๆ และฟาดฟันทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา จนถึงจุดที่โลกทั้งใบของฉันหมุนรอบสิ่งนี้สิ่งเดียว  ตอนนั้นเองที่ฉันได้ตระหนักว่า ฉันเพียรพยายามในสิ่งที่ผิด  ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและชดใช้คืนความรักของพระเจ้า ฉันแค่ตอบสนองความอยากที่มีต่อเกียรติยศและสถานะของตัวเองเท่านั้น

วิวรณ์ในพระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า การไล่ตามเสาะหาของฉันนั้นผิดทางอย่างไร  ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “สำหรับเจ้าแต่ละคนที่กำลังลุล่วงหน้าที่ ไม่สำคัญว่า เจ้าเข้าใจความจริงอย่างลุ่มลึกเพียงใด หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว หนทางที่เรียบง่ายที่สุดที่จะฝึกฝนปฏิบัติก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า ความตั้งใจแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า สิ่งจูงใจทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียง และสถานะ  วางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—นี่คือน้อยที่สุดแล้วที่เจ้าควรทำ…นอกจากนี้ หากเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต  มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน  ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองจะลดลงทีละน้อยๆ(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้ตระหนักว่า การมีคนมาเลื่อมใสนั้นไม่ได้สำคัญอะไรเลย  การนบนอบต่ออธิปไตยและแผนการของพระเจ้า การค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ให้ลุล่วง—นี่ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ และนี่คือการดำรงชีวิตอยู่อย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์  หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกอย่างใหญ่หลวงถึงการหลุดพ้น  ฉันยังคงเป็นสมาชิกที่ปฏิบัติงานได้แย่ที่สุดในทีม แต่ฉันไม่รู้สึกแย่กับมันแล้ว  และเวลามีบางอย่างมาทำร้ายเกียรติยศและสถานะของฉัน ฉันก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเคยแล้ว  ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างมีสติและละทิ้งเหตุจูงใจที่ผิดของตัวเอง และฉันก็สามารถตั้งหลักและทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงได้  แต่น้ำพิษของซาตานได้ฝังรากลึกอยู่ในตัวฉัน และกลายมาเป็นธรรมชาติจริงๆ ของฉันไปแล้ว  แค่ความเข้าใจนั้นไม่มากพอให้ถอนรากถอนโคนมันได้  ฉันยังจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์การพิพากษาและตีสอนให้มากกว่านี้ เพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลง

ผู้นำทีมของพวกเรามอบหมายให้พี่สาวหลิวและพี่สาวจางมาดูแลงานของพวกเรา เพราะทั้งคู่มีชุดทักษะทางวิชาชีพที่แข็งแกร่ง  ฉันทั้งจึงอิจฉาและริษยา  การได้เป็นพี่เลี้ยงให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นดูเหมือนเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ  ทำไมนะ ฉันจึงไม่สามารถเป็นแบบพวกเขาได้?  ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือการยุ่งหัวหมุนอยู่กับงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะอะไร  ต่อมา ฉันได้รับการแนะนำให้ไปทำหน้าที่ให้น้ำในทีม คอยช่วยพี่น้องคนอื่นๆ แก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขา  แต่ฉันไม่ตื่นเต้นกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ตรงนี้เลย แถมยังดูแคลนหน้าที่นี้ด้วยซ้ำ  สำหรับฉัน หน้าที่นี้ดูเหมือนจะมอบหมายให้คนที่ไม่มีทักษะจริงๆ อะไรเลยเท่านั้น  ถ้าทีมของพวกเราทำผลงานได้ดี ทุกคนคงบอกว่าเป็นเพราะพี่สาวสองคนนั้นล้วนๆ  จะมีใครมีวันมาสังเกตเห็นตัวฉันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง คอยสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา?  เพราะว่าฉันมีกรอบความคิดที่ผิด และไม่ได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจึงไม่ได้รู้สึกมีแรงจูงใจที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง และบางครั้งก็คิดกับตัวเองว่า “ทำไมขีดความสามารถของฉันถึงไม่เท่าคนอื่นเลยสักคน?  ฉันเก่งอะไรกันแน่?  เมื่อไหร่ฉันจะได้เอาทักษะมาอวดแสดงให้เห็นกันอย่างเต็มที่สักที?”  ฉันค่อยๆ เริ่มต่อต้านและกระวนกระวายขึ้นเรื่อยๆ  แล้วไม่ทันไรเลย ตอนที่พี่จางขอให้ฉันช่วยปิดประตูหรือเปิดหน้าต่างตามปกติ ฉันก็รู้สึกเหมือนอารมณ์เสียขึ้นมา  ฉันคิดว่า “คุณเป็นผู้เชื่อมานานแค่ไหนกัน?  คุณก็มีทักษะดีกว่าหน่อย ก็เท่านั้นเอง  นั่นทำให้คุณมีคุณสมบัติพอจะมาวางท่าเป็นเจ้านายฉันไปทั่วได้แล้วหรือ?”  สุดท้ายแล้ว ฉันก็แค่เมินใส่พี่จางเวลาเธอพูดกับฉัน  บางครั้งเวลาเธอถามคำถามฉัน ฉันก็จะแค่ทำเป็นหูทวนลม  ถ้าฉันตอบ ก็จะไม่ตอบแบบดีๆ  พอฉันเห็นว่า ผลลัพธ์ก็คือ เธอรู้สึกอึดอัด ฉันก็รู้สึกแย่จริงๆ แต่พอเป็นเรื่องของสถานะหรือเกียรติยศ ฉันก็ยังปล่อยให้ภาวะอารมณ์เข้าครอบงำอยู่ดี

เช้าวันหนึ่ง ฉันเห็นพี่หลิวและพี่จางออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย  พวกเธอแต่งตัวมีระดับและทันสมัยมาก ฉันก็เกิดหงุดหงิดและอิจฉาพวกเธอขึ้นมา  ฉันคิดกับตัวเองว่า “พวกเธอเอาสง่าราศีไปหมด ในขณะที่ฉันกลับถูกทิ้งให้ตรากตรำอย่างไม่มีใครรู้สึกขอบคุณอยู่เบื้องหลัง  ไม่มีใครเคยรู้ด้วยซ้ำว่าฉันทำงานหนักแค่ไหน”  คืนนั้นพอทั้งคู่กลับมา ทุกคนในทีมของพวกเราต่างรีบไปทักทายพวกเธอ และบางคนถึงกับเตรียมอาหารเย็นไว้ให้พวกเธอด้วย  ตอนแรก ฉันก็อยากเข้าไปทักทายพวกเธอและถามว่างานเป็นอย่างไรบ้าง แต่พอฉันเห็นปฏิกิริยาที่ทุกคนมีต่อพวกเธอ ฉันก็อิจฉาขึ้นมาอีกและคิดว่า “เธอสองคนได้สง่าราศไปหมดอีกแล้ว ทีนี้ฉันก็ยิ่งดูไร้ค่าเข้าไปอีก”  พอคิดแบบนั้น ฉันก็หันหลังและเดินกลับห้องทันที  ฉันไม่สามารถทำตัวให้สงบลงได้ จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกว่า “ข้าแต่พระเจ้าที่รัก ความย้ำคิดอยู่กับสถานะของข้าพระองค์โผล่หน้าแสนอัปลักษณ์ขึ้นมาอีกแล้ว  ข้าพระองค์ต้องการปล่อยวางความความอยากที่มีต่อสถานะและเกียรติยศของตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้  ได้โปรดทรงแสดงให้ข้าพระองค์เห็นว่า จะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการแห่งภาพพจน์และสถานะได้อย่างไรด้วยเถิด”

วันรุ่งขึ้น พี่สาวคนหนึ่งเห็นว่าฉันอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่และได้อ่านบทตอนต่อไปนี้ให้ฉันฟังว่า “ทันทีที่พูดไพล่ไปถึงตำแหน่ง หน้าตา หรือความมีหน้ามีตา หัวใจของทุกคนโลดเต้นในความคาดหวัง และเจ้าแต่ละคนต้องการที่จะโดดเด่น มีชื่อเสียง และได้รับการระลึกถึงเสมอ  ทุกคนไม่เต็มใจที่จะอ่อนข้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะขับเคี่ยวกัน—แม้ว่า การขับเคี่ยวกันนั้นน่าอึดอัด และไม่ได้รับอนุญาตในพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม โดยปราศจากการขับเคี่ยวกัน เจ้าก็ยังคงไม่พอใจ  เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่น เจ้ารู้สึกหวงแหน เกลียดชัง และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม  ‘ทำไมฉันถึงไม่สามารถโดดเด่นได้?  ทำไมต้องเป็นบุคคลนั้นเสมอที่ได้โดดเด่น และไม่เคยถึงคราวของฉันเลย?’  จากนั้นเจ้าก็รู้สึกถึงความคับแค้นใจบางอย่าง  เจ้าพยายามจะข่มปรามมันไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้  เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่จากนั้น ทันทีที่เจ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์จำพวกนี้อีกครั้ง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้  นี่ไม่ได้เป็นการแสดงตัวของวุฒิภาวะที่ยังเติบโตไม่เต็มวัยหรอกหรือ?  การที่บุคคลหนึ่งตกเข้าไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ใช่กับดักหรอกหรือ?  เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดพวกมนุษย์(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า ฉันไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่ฉันไล่ตามเสาะหาเลยจริงๆ  ฉันยังแสวงหาภาพพจน์ สถานะ และการยอดเยี่ยมเหนือผู้อื่น  พอถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำ ฉันก็ต้องการที่จะโดดเด่นและเป็นที่สังเกตอยู่เสมอ และอยากทำหน้าที่ที่สำคัญหรือที่ต้องมีทักษะ  ฉันคิดว่านี่คือหนทางเดียวที่ฉันจะได้รับการนับถือและมองเห็นคุณค่าจากคนอื่น ได้รับการยอมรับและได้รับการทรงอวยพรจากพระเจ้าในที่สุด  ฉันไม่ไยดีกับงานใดก็ตามที่ฉันคิดว่าไม่สำคัญ และถึงกับมองหน้าที่ให้น้ำของตัวเองด้วยความดูถูก  การได้เห็นพี่สาวทั้งสองได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ ขณะที่ฉันได้แค่งานสัพเพเหระที่ไม่เคยมีใครสังเกตเห็น ทำให้ฉันรู้สึกอิจฉาและคับแค้นใจ และถึงขั้นพร่ำบ่นติเตียนพระเจ้าที่ไม่ทรงทำให้ฉันมีขีดความสามารถหรือมีทักษะที่ดีกว่านี้  ฉันช่างไร้เหตุผลอะไรขนาดนี้!  เพราะความอยากที่มีต่อสถานะของฉันยังไม่ได้รับการสนอง ฉันจึงไม่ได้ทุ่มความมานะพยายามลงไปในในหน้าที่มากนัก และถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่พี่สาวทั้งคู่เพื่อระบายความไม่พอใจของตัวเอง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องนี้ทำให้พวกเธออึดอัดและเจ็บปวด  ยิ่งทบทวนเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด  ฉันได้ตระหนักแล้วว่า ที่ผ่านมาฉันเห็นแก่ตัวและขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์แค่ไหน

ต่อมา ฉันได้บังเอิญมาเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ผู้คนต้องการที่จะมีกิตติศัพท์หรือมีความเด่นดัง พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ และที่จะนำพาเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา  เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวกหรือ?  เหล่านี้ไม่อยู่ในแนวเดียวกับสิ่งที่เป็นบวกแต่อย่างใดเลย ที่มากกว่านั้นคือ สิ่งเหล่านั้นขัดต่อธรรมบัญญัติแห่งการมีอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์  เหตุใดหรือ เราจึงจะพูดถึงการนั้น?  บุคคลประเภทใดหรือที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์?  พระองค์ทรงต้องประสงค์บุคคลแห่งความยิ่งใหญ่ คนเด่นคนดัง บุคคลสูงศักดิ์ หรือบุคคลที่กำลังเขย่าโลกใช่หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นแล้ว บุคคลประเภทใดเล่าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์?  พระองค์ทรงต้องประสงค์บุคคลหนึ่งซึ่งท่าทีต่อชีวิตของเขานั้นปักหลักอยู่กับความเป็นจริง ผู้ซึ่งแสวงหาที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมของพระเจ้า ผู้ซึ่งสามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง และผู้ซึ่งสามารถประมาณตนในฐานะมนุษย์ได้(“มีเพียงการแสวงหาความจริงและการพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  เมื่อทบทวนตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงต้องการคนที่สูงศักดิ์หรือมีความสามารถพิเศษแบบเขย่าโลก แต่ทรงต้องการผู้คนซึ่งมีท่าทีต่อชีวิตอยู่บนความเป็นจริง ผู้ซึ่งสามารถทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าให้ลุล่วงได้  พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ให้ฉันมีขีดความสามารถยิ่งใหญ่หรือมีทักษะแบบมืออาชีพชั้นหนึ่ง  พระองค์ทรงขอให้ฉันประมาณตนและทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างดีที่สุดเท่านั้น  และนี่คือบางสิ่งที่ฉันทำได้  พระเจ้าทรงมอบขีดความสามารถและความสามารถพิเศษที่ต่างกันให้ทุกคน  ตราบใดที่พวกเราใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือกันและทำงานร่วมกัน  พวกเราก็จะทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

ฉันยังได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม กล่าวคือ พระเจ้าทรงชมเชยใคร อวสานและบั้นปลายที่พระองค์กำหนดไว้สำหรับแต่ละคนคืออะไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเกียรติยศหรือมีกิตติศัพท์หรือไม่ พวกเขามีคนสนับสนุนและเห็นชอบด้วยมากแค่ไหน หรือพวกเขาต้องดึงอะไรมาใช้  ในทางกลับกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาปฏิบัติความจริง นบนอบต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าหรือไม่  ให้ดูพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีเป็นตัวอย่าง  พวกเขามีทั้งสถานะและอิทธิพล มีคนนิยมชมชอบและทำตามพวกเขามากมาย แต่ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขาก็ไม่ได้แสวงหาความจริงหรือยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าเลย  พวกเขาถึงกับกล่าวโทษและต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง เพื่อปกป้องสถานะและรายได้ของตัวเอง จนสุดท้ายก็ตรึงพระองค์บนกางเขน และทนทุกข์กับคำสาปแช่งและการลงโทษของพระเจ้า  ฉันนึกถึงโนอาห์ด้วย—เขาเชื่อฟังพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์ ขายของมีค่าทั้งหมดเพื่อสร้างเรือใหญ่  ตอนนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าเขาบ้า แต่เพราะเขาฟังพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ เขาจึงได้รับการชมเชยจากพระเจ้าและรอดชีวิตจากน้ำท่วม  แล้วก็มาหญิงม่ายผู้ยากจนในพระคัมภีร์  สำหรับคนอื่น สองเหรียญที่เธอมอบให้อาจดูไม่มากมายนัก แต่พระเจ้าก็ทรงชมเชยเธอ เพราะเธอมอบทุกอย่างที่มีให้กับพระเจ้า  พอทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ ฉันก็ได้เห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริง  พระเจ้าทรงให้ค่าความจริงใจของผู้คน  มีเพียงการฟังพระวจนะของพระเจ้า นบนอบต่อพระเจ้า ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเท่านั้น ที่คนเราจะสามารถใช้ชีวิตที่มีความหมาย  การเพียรพยายามที่จะได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นนั้นจะนำทางให้พวกเราทำชั่ว ต่อต้านพระเจ้า และถูกพระองค์ลงโทษเท่านั้น  ฉันตระหนักได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการให้ฉันทำหน้าที่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงต้องการให้ฉันทนทุกข์หรืออับอาย แต่เพราะพระองค์ทรงมีแผนการสำหรับฉัน  ฉันแค่ย้ำคิดในเรื่องสถานะมากเกินไป จึงต้องได้รับประสบการณ์การตีแผ่และถลุงเพื่อให้ได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง เพื่อสลัดโซ่ล่ามแห่งเกียรติยศและสถานะออกไป อีกทั้งใช้ชีวิตที่เป็นอิสระและไม่ถูกเหนี่ยวรั้งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นี่คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าในการแปลงสภาพและชำระฉันให้บริสุทธิ์  มันคือความรักและความรอดของพระเจ้านั่นเอง  เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า “โอ พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับการทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมเหล่านี้เพื่อชำระข้าพระองค์ให้สะอาดและช่วยข้าพระองค์ให้รอด  ข้าพระองค์ไม่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อเกียรติยศและสถานะอีกต่อไป ไม่ว่าข้าพระองค์จะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ใด ไม่ว่ามันจะต่ำต้อยในสายตาคนอื่นขนาดไหน ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบนอบและทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิง เพื่อทำหน้าที่ของพวกเราให้ลุล่วง”

ต่อมา ทีมของฉันต้องการคนออกไปจัดการธุระของคริสตจักร  ตอนที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ ความอยากได้อยากมีในตัวฉันก็เอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง  ฉันคิดว่าฉันน่าจะมีโอกาสได้อวดตัวเองสักครั้ง  ขณะที่พี่น้องชายหญิงกำลังตัดสินใจว่าใครจะไป ฉันก็ยังหวังว่าตัวเองจะได้รับเลือก แต่สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจส่งพี่หลิวและพี่จางไป  ฉันรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เหมือนกับฉันไม่เคยมีวันของฉันเลย  ฉันตระหนักได้ว่าฉันกำลังต่อสู้เพื่อชื่อเสียงอีกแล้ว  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและปล่อยมือจากเหตุจูงใจที่ผิดของตัวเอง  ฉันนึกถึงตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ฉันไม่เคยจดจ่อกับงานของตัวเอง แต่กลับเสียเวลาและพลังงานทั้งหมดอันมีค่าไปกับการยื้อยุดสถานะ และไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงแม้แต่น้อย  ฉันต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะอยู่ทุกวัน และมันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายจริงๆ  มันทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าถูกซาตานหลอกใช้เล่ห์กล  สถานะและเกียรติยศสามารถทำให้ผู้คนเสียหายได้จริงๆ  อันที่จริงแล้ว พี่น้องชายหญิงทุกคนในทีมต่างมีทักษะและความสามารถแตกต่างกัน  พระได้เจ้าทรงจัดการเตรียมการให้พวกเรามาทำงานด้วยกัน เพราะพระองค์ทรงต้องการให้แต่ละคนเอาทักษะของตนมาใช้ เรียนรู้และเติมเต็มซึ่งกันและกัน อีกทั้งทำงานร่วมกันให้ดีเพื่อทำหน้าที่ของพวกเราให้ลุล่วง  พระเจ้าทรงตัดสินขีดความสามารถและวุฒิภาวะของฉันไว้นานแล้ว  ฉันจะได้รับบทบาทไหน ได้ทำงานอะไรในทีมนั้น พระเจ้าก็ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเช่นกัน  ฉันจึงควรมีความสุขในจุดที่ตัวเองอยู่ ทำเต็มที่เพื่อให้หน้าที่ลุล่วง และเป็นบุคคลที่มีเหตุผลผู้ซึ่งสามารถนบนอบต่อพระเจ้า  หลังจากตระหนักในเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมากมาย  เมื่อใดก็ตามที่พี่สาวทั้งสองออกไปทำหน้าที่ ฉันก็จะอธิษฐานให้พวกเขา และทำเต็มที่เพื่อให้งานประจำทั้งหมดนั้นเสร็จสิ้น  พี่น้องหญิงคนอื่นๆ จะได้จดจ่อกับการทำหน้าที่ของพวกเธอได้   ฉันยังรบเร้าให้พี่น้องชายหญิงทำการเฝ้าเดี่ยวทางจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย เพื่อให้พวกเขาได้หาเวลาสำหรับการเข้าสู่ชีวิตเพิ่มเติมนอกเหนือจากงาน  ตอนที่ฉันเริ่มทำสิ่งต่างๆ อย่างเอาใจใส่  ฉันก็รู้สึกหนักแน่นและสงบสุขมากขึ้น  ฉันรู้สึกได้กลายเป็นใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น และสัมพันธภาพกับพี่น้องชายหญิงก็กลายเป็นปกติไป  ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับเกียรติยศและสถานะอย่างมากมายอีกแล้ว และฉันยังกลายเป็นเปิดกว้างมากขึ้นอีกด้วย  หัวใจของฉันเปี่ยมไปด้วยความสำนึกบุญคุณพระเจ้าสำหรับแปลงสภาพอันเล็กน้อยนี้  นี่คือการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าที่ปลุกหัวใจฉันให้ตื่น ทำให้ฉันเห็นความว่างเปล่าและความทุกข์ของการแสวงหาชื่อเสียงและสถานะ และช่วยให้ฉันเข้าใจว่า มีเพียงการเชื่อในพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างให้ลุล่วงเท่านั้น ที่ทำให้พวกเราสามารถใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายได้!

ก่อนหน้า: 36. ปลดเปลื้องจากชื่อเสียงและโชคลาภ

ถัดไป: 38. มองหาอิสรภาพจากสถานะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger