79. เพียงเพื่อเงินสามแสนหยวน

โดย หลีหมิง, ประเทศจีน

ราวสามทุ่มของวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ขณะที่ผมกับภรรยาและลูกสาวกำลังชุมนุมกันอยู่ จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ฟังดูรีบร้อน  ผมรีบนำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่เรามีไปซ่อน และขณะเดียวกันกับที่ภรรยาของผมเปิดประตูนั่นเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ็ดนายก็บุกเข้ามาพอดี หนึ่งในพวกเขาตะโกนว่า “พวกเรามาจากกองพันความมั่นคงแห่งชาติ พวกแกมากับเราเสียดีๆ!”  พวกเขาบังคับให้ผมขึ้นรถตำรวจ และเหลือเจ้าหน้าที่สามนายให้อยู่ค้นบ้านของเรา  ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงหลังจากที่พวกเขาพาตัวผมมา ผมก็พบว่าตำรวจพวกนั้นจับภรรยาของผมมาขังด้วย

ขณะที่อยู่บนรถ พวกเขาขู่ผมว่า “ผู้นำของแกโดนจับแล้ว  ตราบที่แกบอกพวกเราทุกเรื่องที่รู้ เราก็จะไม่ทำให้แกลำบาก”  พวกเขายังพูดบางอย่างที่เป็นการให้ร้ายคริสตจักรด้วย ผมโกรธมากที่ได้ยินคำพูดเยี่ยงมารทั้งหมดนั้นจากพวกเขา แต่ก็รู้สึกกลัวอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยความที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทรมานผมอย่างไร  ผมกล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจ โดยขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูผม เพื่อที่ไม่สำคัญว่าผมได้ทนทุกข์ไปอย่างไร ผมก็จะไม่กลายเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า  พวกเขาพาผมเข้าไปในกองพันความมั่นคงแห่งชาติ และมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสองคนมาดึงตัวผมขึ้นไปยังห้องชั้นบน แล้วผลักผมลงบนโซฟา  คนที่เป็นหัวหน้าถามผมว่า “แกกลายมาเป็นคนในศาสนาตั้งแต่เมื่อไร?  พวกแกชุมนุมกันที่ไหน?  ใครคือผู้นำของแก?  ในคริสตจักรของแกมีกี่คน?”  ผมไม่ได้ตอบคำถาม  เขาล้วงภาพถ่ายสองสามใบออกมาจากกระเป๋าและถามผมว่ารู้จักคนในรูปไหม  ผมตอบไปว่า “ไม่” แล้วเขาก็พูดว่า “ในประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่แกเชื่อเป็นสิ่งต้องห้ามที่รู้โดยทั่วกัน  คณะกรรมการกลางประกาศกฤษฎีกามานานแล้วว่า บรรดาคริสตจักรใต้ดินต้องถูกกวาดล้าง เพราะฉะนั้น แกพูดมาตอนนี้ดีกว่า!”  เขาพูดต่อไปโดยเรียกร้องอยากจะรู้สถานที่เก็บเงินสามแสนหยวน (ราวหนึ่งล้านห้าแสนบาท) ของคริสตจักร  หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทุบโต๊ะและถลึงตาพร้อมตะคอกใส่ผมว่า “พวกเราได้ใบเสร็จมาแล้ว และเรารู้ว่าแกมีเงินสามแสนหยวน เอาเงินนั่นมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้!” การได้เห็นสีหน้าดุร้ายของเขาทำให้ผมรู้สึกโกรธมาก และผมได้ตอบเขาไปว่า “นั่นไม่ใช่เงินแก  ทำไมถึงอยากได้นัก?  ทำไมถึงอยากยึดเงินนี้?”  เจ้าหน้าที่สองคนปรี่เข้ามาและลงมือตบเข้าที่ใบหน้าของผม แถมยังทุบตีผมอยู่เป็นระยะๆ จากสี่ทุ่ม ใบหน้าและศีรษะของผมบวมปูดไปหมด หูก็ได้ยินเสียงอื้ออึง และรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว  ผมนอนแผ่หราอยู่บนพื้น หลับตาและเอ่ยคำอธิษฐานเงียบๆ ถึงพระเจ้า เฝ้าวอนให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งและเฝ้าดูหัวใจของผม เพื่อที่ต่อให้ผมถูกซ้อมจนถึงแก่ความตาย ผมก็จะไม่มีวันยกเงินทองของคริสตจักรให้พวกมัน และไม่มีวันเป็นยูดาส  ครั้นพวกตำรวจเห็นว่าผมไม่พูดอะไร พวกเขาจึงนำตัวผมไปยังศูนย์กักกันแห่งหนึ่ง และใส่กุญแจมือผมไว้กับลูกกรงเหล็กทั้งคืน

ต่อมา พวกเขาส่งตัวผมไปยังสถานกักกันแห่งหนึ่ง  ตลอดสองสามวันถัดมา พวกตำรวจก็นำตัวผมไปสอบปากคำถึงสามครั้งเพื่อหาคำตอบว่าเงินของคริสตจักรถูกเก็บไว้ที่ไหน และผมก็ไม่ได้บอกอะไรพวกเขาไปเลย  ราวแปดโมงเศษของเช้าวันที่ 17 ตุลาคม พวกตำรวจพาตัวผมกลับไปที่กองพันความมั่นคงแห่งชาติ ใส่กุญแจมือและเท้าของผมกับเก้าอี้เหล็กในห้องสอบปากคำ แล้วเรียกร้องอยากจะรู้ว่าเงินนั่นอยู่ที่ไหน ผมยังคงไม่พูดอะไรสักอย่าง เจ้าหน้าที่นายหนึ่งจึงหยิบก้านไม้ไผ่บางๆ ที่ซ้อนกันสองชั้นขึ้นมา และเริ่มฟาดมาที่ศีรษะและตามร่างกายส่วนบนของผม และพยายามใช้มันบังคับให้ผมเปิดปาก  เขาบิดและดึงหูของผมยกขึ้นอย่างแรงสุดกำลัง พลางตะโกนว่า “ฉันถามไอ้คำถามบ้านี่กับแก!  หูหนวกหรือไง?  คิดจะเมินใส่ฉันงั้นหรือ?  ถ้าทำตัวยากนัก ฉันจะซ้อมแก แล้วจะได้เห็นกันว่าใครคือสายโหดตัวจริง!” เขาพูดพร้อมดึงผมบริเวณข้างหูของผม แล้วกระชากผมที่กลางศีรษะของผมไปมา  ผมรู้สึกเหมือนหนังศีรษะกำลังจะถูกถลกออก และรู้สึกวิงเวียนจริงๆ  พวกเขาทรมานผมไม่หยุดจนเกือบถึงสี่ทุ่มของคืนนั้น และเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอย่างเด็ดขาด พวกเขาก็พูดอย่างสารเลวว่า “วันนี้พอแค่นี้ แต่คืนนี้แกควรกลับไปคิดให้ดี และมาตอบคำถามเราในวันพรุ่งนี้!”  ผมมีร่องรอยการทุบตีอยู่ทั่วร่าง และแผ่นหลังของผมก็ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ผมรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าพวกเขาเตรียมอะไรไว้รอผมในวันถัดไป ดังนั้น ผมจึงอธิษฐานอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ได้โปรดทรงคุ้มครองและประทานความเชื่อแก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะไม่เป็นยูดาสหรือทรยศพระองค์ ต่อให้นั่นหมายถึงความตายของข้าพระองค์ก็ตาม”

เย็นวันถัดมา หัวหน้ากองพันความมั่นคงแห่งชาติเข้ามาซักถามผม  เขาจ้องผมตาถมึงและตะคอกว่า “หลักฐานคาตาพวกเราขนาดนี้แกก็ยังจะไม่ยอมรับ ฉันขอแนะนำให้แกทำตัวฉลาดและเปิดปากพูดซะ ไม่อย่างนั้น แกก็มีราคาที่จะต้องจ่าย!”  เมื่อเห็นว่าผมยังคงไม่พูด เขาก็โกรธมาก จนเขาทะลึ่งพรวดขึ้นยืน พร้อมกับกำหมัดด้วยสีหน้าเยี่ยงปีศาจ  ผมไม่รู้จริงๆ ว่า ผมจะทนไหวได้อย่างไรหากเขาลงมือใช้กำปั้นพวกนั้นชกผม!  ผมรีบเอ่ยคำอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  ได้โปรดอยู่กับข้าพระองค์และนำความกลัวไปจากพระองค์ที  ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ยืนหยัดเป็นพยานที”  หลังสิ้นคำอธิษฐาน ผมก็นึกได้ถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ ความว่า “พวกคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่นี่เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด  ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเติบโตขึ้น จะไม่มีอะไรลำบากยากเย็นเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75)  ไม่สำคัญว่าพวกตำรวจอาจดุร้ายเพียงใด พวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  พวกเขาไม่อาจทำอะไรผมได้หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ดังนั้น ผมรู้ว่าผมต้องพึ่งพิงพระเจ้าเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน  ความคิดนี้ทำให้ความเชื่อของผมแข็งแกร่งขึ้น และผมก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป  ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่หัวล้านนายหนึ่งก็มองมาที่ผมและตะคอกว่า “ถ้าแกไม่พูด เราก็มีแผนรออยู่แล้วนะ!  เราจะพาตัวแกไปที่ศาลาว่าการจังหวัด คนที่นั่นเปิดปากแกได้แน่”  แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาข่มขู่ผมอย่างไร ผมก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี

สองสามวันต่อมา พวกเขาก็นำตัวผมเข้าไปยังห้องสอบปากคำอีกห้องหนึ่งในกองพันความมั่นคงแห่งชาติ  ผนังทั้งสี่ด้านบุด้วยฟองน้ำที่หนามากและตรงกลางห้องมีเก้าอี้เหล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่  เจ้าหน้าที่นายหนึ่งให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ มัดมือกับเท้าของผมไว้กับเก้าอี้นั้น แล้วก็สอบปากคำผมต่อเกี่ยวกับสถานที่เก็บเงินของคริสตจักร  เขาถามผมอย่างดุร้ายว่า “แกจะส่งมอบเงินสามแสนหยวนนั่นให้พวกเราไหม?  แกคิดว่าถึงไม่พูดก็ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ?  ฉันไม่มีอะไรให้แกทั้งนั้นนอกจากเวลา!”  เขาหยิบท่อนไม้ไผ่ขึ้นมาและเริ่มฟาดอย่างแรงไปตามร่างกายท่อนบนของผม พลางตะคอกว่า “แกหูหนวกหรือไง?  ได้ยินที่ฉันพูดไหม?” แล้วเขาก็กระชากหูผมขึ้นสุดกำลัง อีกทั้งดึงผมตรงขมับของผมอย่างแรง  เขาขยุ้มผมที่กลางศีรษะของผมแล้วกระชากไปมาอย่างแรงที่สุดเท่าที่เขาทำได้  มันเจ็บจนไม่อาจทนไหวราวกับหนังศีรษะของผมจะฉีกออกจากกัน  หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มใช้ไม้ไผ่ฟาดผมอีกครั้ง จนผมมีอาการบวมและเป็นรอยจ้ำเลือดไปทั่วทั้งตัว  ความเจ็บปวดนี้มันยากเกินจะทนจริงๆ  ผมเกลียดตำรวจพวกนั้นอย่างฝังลึกและรู้สึกค่อนข้างกลัว ด้วยความที่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทรมานผมต่อไปหนักหนาแค่ไหน หรือผมจะทานทนได้ไหม  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ซาตานกำลังทรมานข้าพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง พยายามที่จะทำลายความแน่วแน่ของข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ และพวกมันก็จะสามารถขโมยเงินไปจากคริสตจักรได้  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กลัวว่าร่างกายนี้จะไม่อาจรับไหว  ขอได้โปรดคุ้มครองข้าพระองค์และประทานความเชื่อแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังอธิษฐาน ผมก็นึกถึงบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อ “ความเจ็บปวดจากบททดสอบคือพระพรจากพระเจ้า” มีเนื้อร้องว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก!  เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน  การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา?  เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  เมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ตระหนักได้ว่าการได้รับประสบการณ์กับการกดขี่และความยากลำบาก คือการที่พระเจ้าทรงกำลังทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม  พระเจ้ากำลังทรงหวังว่าผมจะเป็นพยานแด่พระองค์ต่อหน้าซาตานได้  ไม่สำคัญว่าเนื้อหนังของผมอาจจะทุกข์ทนเพียงใด ผมก็ไม่อาจโอนอ่อนให้ซาตานได้  แต่ผมต้องยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนทางนั้น ผมก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องลำบากยากเย็นนัก ผมก็แค่กัดฟันและยืนต้านการทรมานของพวกนั้นไป  หลังจากทุบตีผมอยู่ราว 10-15 นาที เมื่อเห็นว่าผมยังคงไม่พูด พวกเขาจึงขู่ผมว่า “แกจะไม่พูดอะไรเลยสินะ-ไม่กลัวติดคุกหรือไง?  ถ้าโดนจับขัง มันจะเป็นมลทินของแกไปตลอดชีวิต  ลูกๆ ของแกจะไม่มีวันได้เข้ารับราชการหรือเข้าร่วมกับพรรค แกกำลังจะทำลายอนาคตของพวกเขา!”  ผมไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าโชคชะตาของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  อนาคตของลูกๆ ผมอยู่ภายใต้การทรงปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกตำรวจไม่มีสิทธิ์มีเสียงเหนือเรื่องนั้น  ถึงตอนนั้น เจ้าหน้าที่นายหนึ่งก็โทรหาลูกสาวของผม และผมได้ยินเสียงของเธอที่ปลายสายพูดว่า “พ่อคะ!  พ่อกับแม่อยู่ในนั้นเป็นอะไรไหมคะ?”  ผมบอกลูกไปว่า “พ่อกับแม่ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง อยู่บ้านดูแลน้องด้วยนะ”  พอเห็นว่ากลยุทธ์นี้ไม่ได้ผล พวกเขาก็ลองอีกวิธี โดยพูดว่า “ฉันจะพูดตรงๆ กับแกแล้วกัน  ฉันกับน้องเขยแกมาจากเมืองเดียวกัน แถมยังทำงานในหน่วยเดียวกันด้วย  เลขาหมู่บ้านของแกกับฉันก็เป็นทหารมาด้วยกัน  ฉันไปถามๆ ดู พวกเขาต่างก็บอกว่าแกเป็นคนดี เพราะฉะนั้นแค่บอกพวกเราในเรื่องที่แกรู้ แล้วเราจะปล่อยแกให้พ้นผิด”  แน่นอนว่านี่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงคุ้มกันหัวใจของผม  เมื่อผมไม่ตอบ เขาก็พูดต่อว่า “เมียแกยอมพูดแล้ว เพราะฉะนั้นบอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้มาเสียดีๆ  เงินสามแสนหยวนนั่นอยู่ที่ไหน?”  ผมตอบไปว่า “ผมไม่มีอะไรจะพูด”  ครั้นเห็นว่าการหลอกล่อนั้นไม่ได้ผล พวกเขาก็เริ่มทรมานผมอีกครั้ง

มีอยู่คืนหนึ่ง พวกเขาไม่ยอมให้ผมกินหรือนอนเลย และวินาทีที่เปลือกตาของผมหลุบลง พวกเขาก็เริ่มใช้ไม้ไผ่เคาะหัวผม  หากหลังของผมค้อมลงเล็กน้อย พวกเขาก็จะฟาดมันอย่างแรง  ตอนนั้นคือเดือนตุลาคม ดังนั้นช่วงกลางคืนอากาศจะหนาวมาก และผมก็สวมเพียงเสื้อเชิ้ตที่คลุมทับด้วยเสื้อสูทสำหรับใส่ทำงานเท่านั้น  ช่วงรุ่งสาง ผมจึงรู้สึกหนาวจัดจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว  เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตะคอกปาวว่า “อย่าคิดว่าถ้าไม่พูดแล้วแกจะได้อยู่สบาย  แกจะตายอย่างทุกข์ทรมาน!”  การได้ยินแบบนี้ทำให้ผมอ่อนแอลงพอดูทีเดียว  ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทรมานผมไปอีกนานแค่ไหน หรือผมจะสามารถทนไหวหรือไม่  ผมพร่ำอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ทรงนำผมและเฝ้าดูผมที  ผมยังตั้งใจแน่วแน่ว่า ไม่สำคัญว่าผมจะเผชิญกับอะไร ผมไม่อาจมีวันทรยศพระเจ้า  ณ เวลานั้น พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาเปลี่ยนกะสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นมาก และพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นหวัด แต่แม้ว่าผมมีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวบาง และถูกพวกเขาทรมานมาทั้งคืน ผมก็ยังคงสบายดีอย่างสมบูรณ์  ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงดูแลของพระองค์  เจ้าหน้าที่นายหนึ่งบ่นพึมพำใส่ผม พลางไอโขลกไปด้วยว่า “ฉันต้องมานั่งหนาวอย่างนี้เพราะแกคนเดียว!”  จากนั้น หนึ่งในพวกเขาก็เข้ามาตบหน้าซีกซ้ายของผมอย่างแรงจนผมเห็นดาว รู้สึกเหมือนทั้งห้องกำลังหมุนคว้าง  อีกคนหนึ่งที่ยืนดูอยู่มุมห้องก็หัวเราะเยาะผมไม่หยุด  แล้วเขาก็เข้ามาตบผมอย่างแรงที่ใบหน้าซีกขวาพร้อมกับตะโกนว่า “จะพูดไหม?  เงินอยู่ที่ไหน?  การสอบปากคำนี่ทำพวกเราพากันป่วยไปหมดแล้ว  เราจะซ้อมแกให้ตายแล้วถือว่าแกสมยอม!”  ขณะที่พูด เขาก็กดกุญแจมือแนบกับข้อมือของผมอย่างแรง แล้วใช้ศอกกระทุ้งกุญแจมือเต็มเหนี่ยวหลายต่อหลายครั้ง จนมันฝังเข้าลงไปในเนื้อของผม  ผมรู้สึกเหมือนมือผมกำลังจะหัก  ไม่นานนัก มือทั้งสองข้างของผมก็ฟกช้ำดำเขียว ผมสุดจะปวดร้าวทรมาน ผมกำลังสั่นเทิ้มไปหมดทั้งร่างและเหงื่อก็แตกพลั่กโทรมกาย  ความเจ็บปวดชนิดนั้นมันสุดจะบรรยาย  ชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในจุดที่กำลังจะรับมือไม่ไหวแล้ว  ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำๆ ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองผมให้ผมตั้งมั่นในคำพยานได้  เมื่อเห็นผมมีสีหน้าที่ดูเจ็บปวด เจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่ยืนดูอยู่ที่มุมห้องก็เย้ยหยันผมว่า “แกเชื่อในพระเจ้านี่ ให้พระเจ้าของแกมาช่วยสิ!”  ผมรู้ว่าซาตานกำลังทดสอบผมอยู่  ผมกำลังคิดว่าพรรคคอมมิวนิสต์ต้องการทรมานผมเพื่อให้ผมทรยศและปฏิเสธพระเจ้า แต่ยิ่งมันข่มเหงผมเท่าไร ผมก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นถึงโฉมหน้าที่ชั่วของมันซึ่งเกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า และยิ่งแน่วแน่ที่จะมีความเชื่อและติดตามพระเจ้าให้มากขึ้นเท่านั้น  จากนั้นผมก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  การทรมานอันโหดเหี้ยมของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทำกับข้าพระองค์ในวันนี้ คือสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถมองเห็นว่ามันคือซาตานมารร้าย เห็นว่ามันคือศัตรูของพระองค์  ข้าพระองค์พร้อมจะละทิ้งและปฏิเสธมันจากหัวใจ และข้าพระองค์ก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระองค์!”

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่นายหนึ่งก็ใช้ส้นรองเท้ากระทืบกุญแจมือของผมอย่างแรงสองถึงสามครั้งจนทำให้มันยิ่งฝังลึกเข้าไปในเนื้อข้อมือของผม  นั่นเป็นความเจ็บปวดที่แรงกล้าจนผมถึงขั้นหายใจไม่ออก  หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ข้อมือของผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ และเส้นเลือดทุกส่วนในร่างกายก็โป่งพอง  ผมรู้สึกเหมือนศีรษะกำลังจะระเบิด และเจ็บกระทั่งไปถึงขั้วหัวใจ  ทั้งร่างผมปวดร้าวเสียจนถึงขั้นที่ไม่อาจบรรยาย  ผมกลัวว่าหากยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ผมคงจะลงเอยด้วยการที่มือใช้งานไม่ได้  ผมนึกถึงคุณพ่อวัยชราของผมที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล และลูกสาวกับลูกชายที่พวกเรายังฟูมฟักอยู่  หากผมเสียมือไป ผมจะดูแลพวกเขาทั้งเด็กและคนแก่ได้อย่างไร?  หรือบางทีผมอาจจะพอบอกเรื่องที่ไม่สลักสำคัญให้พวกเขาได้บ้าง?  แต่แล้ว ผมก็รู้ว่าการขายความลับย่อมจะหมายถึงการที่ผมจะกลายเป็นคนบาปไปตลอดทุกยุคสมัยชั่วกาลนาน  แต่กระนั้น ผมก็ไม่อาจทานทนต่อการทรมานนั้นได้อีกต่อไป และแค่ต้องการตายไปให้ความทุกข์นั้นสิ้นสุดลงเสียที และในหนทางนั้น ผมก็จะไม่ทรยศพระเจ้าด้วย  ผมอยากพุ่งตัวเสียบขอบโต๊ะให้ตายไปเลยและจบเรื่องนี้เสียที  ผมกล่าวคำอธิษฐานสุดท้ายต่อพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  ด้วยพระคุณของพระองค์ ข้าพระองค์จึงสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ต้องการตายเร็วเช่นนี้  แต่ข้าพระองค์รับมือการทรมานของซาตานไม่ไหวแล้ว และข้าพระองค์กลัวจะลงเอยด้วยการทรยศพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ต้องการทำร้ายพระองค์”  ระหว่างการอธิษฐานของผม  พระวจนะของพระเจ้าบางส่วนก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยหนุนพลังให้กับความเชื่อของผม  พระเจ้าทรงกำลังเปิดโอกาสให้ผมก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นเพื่อทำให้ความเชื่อของผมเพียบพร้อม แต่ผมไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมจึงไม่คิดถึงวิธียืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าต่อหน้าซาตาน  ผมนึกถึงแต่วิธีที่จะหนีให้พ้นจากสถานการณ์นั้น  ผมช่างเห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้!  ผมรู้ว่าผมจะตายแบบนั้นไม่ได้ ตราบที่ผมยังมีแม้เพียงหนึ่งลมหายใจเหลืออยู่ ผมก็ต้องยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า!  ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ชีวิตของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และข้าพระองค์ก็ต้องการที่จะนบนอบต่อสิ่งที่พระองค์ทรงวางแผนให้แก่ข้าพระองค์  ได้โปรดประทานความเชื่อ และทรงคุ้มครองให้ข้าพระองค์คงความแข็งแกร่งไว้ได้ด้วยเถิด”  พวกตำรวจมองเห็นว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรจากผม จึงพูดจาข่มขู่ว่า “คืนนี้แกกลับไปคิดดูให้ดี แล้วพรุ่งนี้เราจะกลับมาตั้งคำถามบางอย่างกับแก”

ณ จุดนั้น ผมได้ก้าวผ่านเวลาสามวันสองคืนมาโดยที่ไม่ได้หลับนอนเลย  ผมจวนเจียนจะสิ้นแรงอยู่แล้ว หัวใจผมเจ็บปวด และทั้งร่างกายก็เจ็บร้าวเกินกว่าจะทน  ความคิดที่ว่า พวกตำรวจจะมาสอบปากคำผมเพิ่มเติมในวันรุ่งขึ้น ทำเอาผมตาค้างไปทั้งคืน พลางพร่ำอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุดว่า “โอ้พระเจ้า!  ข้าพระองค์เกรงว่าพรุ่งนี้พวกตำรวจจะจับข้าพระองค์ทรมานต่อ และร่างกายของข้าพระองค์ก็จะทานทนไม่ไหว  ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ และประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด  ข้าพระองค์ต้องการยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้ซาตานอดสูให้ได้”  หลังการอธิษฐาน ผมก็พลันนึกได้ถึงบางสิ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง  สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  ผมคิดทบทวนพระวจนะของพระเจ้า และเห็นได้ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นกับผมเพื่อทดสอบ ว่าผมมีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ อีกทั้งเพื่อประทานโอกาสให้ผมได้ยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า  ผมนึกถึงโยบที่ถูกซาตานทดสอบ โดยการสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมด สูญเสียลูกๆ และมีตุ่มฝีหนองผุดขึ้นทั่วตัว  แม้กระนั้นโยบก็ไม่ติเตียนพระเจ้า แต่กลับสรรเสริญพระนามของพระองค์ และเป็นพยานอันกึกก้องแด่พระเจ้า  เปโตรก็ได้ทนทุกข์จากการข่มเหงเช่นกัน และได้เต็มใจอย่างที่สุดที่จะถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า รักพระเจ้า และนบนอบต่อพระองค์จนถึงจุดที่ยอมสละชีวิตของตน  แต่หลังจากที่ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทรมานอย่างโหดร้ายไปบ้างแล้ว สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงกลับเป็นเนื้อหนังของตนเอง และผมก็ต้องการหนีให้พ้นหลังจากความทุกข์แค่เพียงเล็กน้อย  ผมไม่ได้มีความเชื่อและการเชื่อฟังที่แท้จริงต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะมีคำพยานอันใด  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ จึงได้กล่าวคำอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ชีวิตของข้าพระองค์ช่างไร้ค่านัก  ไม่สำคัญว่าพวกตำรวจทำอะไรกับข้าพระองค์หลังจากนี้ ไม่สำคัญว่าข้าพระองค์จำเป็นต้องก้าวผ่านความทุกข์ทางกายมากเพียงใด ข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการคิดถึงแต่ตนเองอีกต่อไปแล้ว  ข้าพระองค์ต้องการวางชีวิตของตนไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์”  สิ้นคำอธิษฐานก็มีบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเกิดขึ้น ความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกายผมปลาสนาการไปเฉยๆ และผมรู้สึกราวกับว่าตัวผมเบาหวิวขึ้นอย่างฉับพลัน  ผมขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจจริง  เช้าวันรุ่งขึ้นราวแปดโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับมาสอบปากคำผมและเรียกร้องอยากรู้ว่าเงินอยู่ไหน แต่ไม่สำคัญว่าพวกเขาซักไซ้ผมอย่างไร ผมก็ตอบไปเพียงว่าไม่รู้  พวกเขาสอบปากคำผมอีกหลายต่ออีกหลายรอบ และเมื่อพวกเขายังคงไม่สามารถได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากผมเลย พวกเขาก็จากไปพร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า “เตรียมเข้าคุกได้เลย!”  ผมคิดกับตัวเองว่า ต่อให้ผมอยู่ในคุกจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ผมก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า

หลังจากคุมตัวผมไว้ราวหนึ่งเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ให้ผมเข้ารับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานเป็นเวลาหนึ่งปี ทั้งยังโจมตีผมด้วยข้อหา “ใช้องค์กรลัทธิเพื่อบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมาย”  การมองเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์เกลียดชังผู้คนที่มีความเชื่อมากเพียงใด เตือนใจให้ผมนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างมิดชิด กล่าวคือ  ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!… เหตุใดจึงวางสิ่งที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้เช่นนั้นเพื่อกีดขวางพระราชกิจของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า?  ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย?  ไหนเล่าความเป็นธรรม?  ไหนเล่าความชูใจ?  ไหนเล่าความอบอุ่น?  เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า?  เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?  เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร?  ไหนเล่าความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย?”  (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พรรคคอมมิวนิสต์พยายามที่จะดูเหมือนว่า มันเปี่ยมด้วยคุณธรรมและศีลธรรม โดยพูดพล่ามไปเรื่อยเกี่ยวกับอิสรภาพทางศาสนาพลางก็แอบนำกลยุทธ์ทั้งหลายมาใช้เพื่อจับกุมและข่มเหงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คิดเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ว่าพวกเขาจะกวาดล้างผู้เชื่อให้หมดสิ้นไปได้  พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ และการที่พวกเรามีความเชื่อและนมัสการพระเจ้าก็เป็นเรื่องถูกต้องและเป็นไปโดยธรรมชาติ ทว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับกำลังจับกุมและกดขี่พวกเราอย่างบ้าคลั่ง พยายามทำให้เราปฏิเสธและทรยศพระเจ้า  ผมเห็นได้ว่าการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ในอำนาจ ก็คือการมีซาตานอยู่ในอำนาจนั่นเอง  พรรคเกลียดความจริงและชังพระเจ้า โดยแก่นแท้แล้วมันคือซาตานมารร้ายที่เป็นอริต่อพระเจ้า  ผมไม่เคยสามารถมองเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของพรรคคอมมิวนิสต์มาก่อนเลย แต่การจับกุมครั้งนั้นทำให้ผมมีวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง และผมก็ได้กลายเป็นสามารถที่จะละทิ้งและปฏิเสธมันจากหัวใจ  ทั้งผมยังกลายมามีปณิธานมากขึ้นในความเชื่อมั่นที่จะติดตามพระเจ้าอีกด้วย

วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ผมถูกพาตัวไปยังค่ายผู้ใช้แรงงาน โดยที่ตำรวจให้นักโทษอื่นสองคนคอยจับตาดูผมไว้  พวกนั้นไม่เคยห่างกายผม และผมจำเป็นต้องรายงานพวกเขาแม้แค่จะใช้ห้องน้ำ  ผู้คุมเรือนจำจะไม่ปล่อยให้ผมพูดคุยกับใครเพราะกลัวผมจะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา และผมต้องท่องกฎของเรือนจำในทุกวัน  หากผมท่องผิด ผมต้องถูกลงโทษด้วยการยืน  ผมใช้แรงงานอย่างหนักถึงขีดสุดตั้งแต่เช้าจรดค่ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และหากผมไม่สามารถทำกิจของผมได้เสร็จ ผมก็จะถูกสาปแช่ง ทุบตี และต้องยืนเป็นการลงโทษ  สิ่งที่พวกเขาให้ผมรับประทานนั้นแย่ยิ่งกว่าเศษอาหารที่คุณจะใช้เลี้ยงหมูเสียอีก  ในแต่ละมื้อ ผมจะได้รับประทานเพียงซาลาเปาลูกเล็กๆ กับซุปที่ใสเป็นน้ำซึ่งมีเพียงแครอทชิ้นเล็กเท่านิ้วมืออยู่แค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น  ผมใช้แรงงานขณะที่ท้องว่าเสมอ  เมื่อไรที่ผมรู้สึกทุกข์ใจหรือหดหู่ ผมก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้า หรือฮัมบทเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าบางเพลงกับตัวเองเงียบๆ  นั่นเป็นวิธีที่ผมก้าวผ่านปีนั้นของชีวิตในเรือนจำมา

หลังออกจากเรือนจำ พวกตำรวจก็เตือนผมว่า “ตลอดหนึ่งปีนี้ แกห้ามไปไกลบ้าน  ทันทีที่เราเรียก แกต้องพร้อมที่จะมาแสดงตัว”  หลังจากกลับถึงบ้าน ผมได้รู้ว่าหลังจากที่ภรรยาผมถูกจับกุม พวกตำรวจก็เฝ้าซักถามเธอไม่หยุดเช่นกันว่าเงินของคริสตจักรถูกเก็บไว้ที่ไหน  เธอไม่ได้บอกอะไรพวกเขาสักอย่าง และได้รับการปล่อยตัวหลังถูกกักไว้ที่สถานกักกันเป็นเวลายี่สิบสามวัน  เมื่อตำรวจไม่สามารถได้ข้อมูลใดเลยว่าเงินอยู่ที่ไหน พวกเขาจึงมาค้นที่บ้านของพวกเราสองครั้ง ถึงกับเปิดแง้มดูตามฝ้าเพดาน และคาดคั้นลูกผมสองคนเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา  พวกเขาถึงกับไปก่อกวนลูกชายของเราที่โรงเรียน  ลูกๆ ของพวกเราหวาดกลัวมาก จนพวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลาและไม่เคยมีสำนึกของความปลอดภัยเลย  เมื่อเห็นการที่เจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่แม้แต่จะวางมือจากเด็กสองคนเพียงแค่ให้ตนเองได้แตะเงินบ้าง ผมก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์พวกนั้นเหลือเกิน  หลังจากที่ผมได้ออกมา ตำรวจสายตรวจก็กีดกันผมไม่ให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าร่วมการชุมนุม  เพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตน ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปจากเมืองนี้  พวกตำรวจยังคงไล่ล่าผมจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาก็คอยกดดันญาติมิตรของผมและพี่น้องชายหญิงที่ผมเคยติดต่อสัมพันธ์ด้วยเพื่อเอาข้อมูลเกี่ยวกับตำบลแห่งหนที่ผมอยู่

ผมได้ก้าวผ่านความทุกข์ทางกายบางอย่างโดยผ่านทางการข่มเหงและความยากลำบากครั้งนี้ แต่ผมก็ได้รับประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในยามที่ผมกำลังถูกทรมาน ทุกครั้งที่ผมมาถึงขีดจำกัดสูงสุด พระวจนะของพระเจ้านี่เองที่ได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็ง และแสดงให้ผมมองเห็นหนทางในการยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง  เป็นพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกันที่นำทางให้ผมมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งถึงเล่ห์กลของซาตาน และเอาชนะการทดลองของซาตานครั้งแล้วครั้งเล่า  โดยผ่านทางทั้งหมดนี้ ผมจึงได้เห็นพลังและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และได้เห็นว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้  ความเชื่อในพระเจ้าของผมเติบโตขึ้น  อีกทั้งผมยังได้เห็นโฉมหน้าชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ได้เห็นว่ามันเกลียดชังพระเจ้าและทำงานที่ต่อต้านพระองค์  ผมจึงสามารถละทิ้งและปฏิเสธมันได้จากก้นบึ้งของหัวใจ  ไม่สำคัญว่าในอนาคตผมอาจจะทนทุกข์กับการข่มเหงและความยากลำบากมากมายเพียงใด ผมก็จะทำหน้าที่ของตนเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแน่นอน!

ก่อนหน้า: 78. สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการถูกปลด

ถัดไป: 80. รอดพ้นจากวังวนข่าวลือ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger