78. สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการถูกปลด

โดย ไรลีย์, ประเทศสหรัฐอเมริกา

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน ความทุกข์ และกระบวนการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกบ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)  พระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก  มีเพียงเมื่อถูกพระวจนะพิพากษา ตีสอน และตัดแต่งเท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและสัมฤทธิ์การเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้  ผมเคยทำหน้าที่ด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเองเสมอ  หลังจากถูกปลด ผมจึงรู้จักอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองจากการพิพากษาและการเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า  ผมรู้สึกเสียใจและดูหมิ่นตัวเอง และเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำอีกหน้าที่หนึ่ง ผมจึงทำได้ดีกว่าแต่ก่อน

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และรับผิดชอบงานของคริสตจักรเคียงข้างพี่น้องชายหญิงอีกสองสามคน  ผมติดตามดูงานให้น้ำเป็นหลัก และร่วมตัดสินใจในโครงการต่างๆ ของคริสตจักรด้วย  พวกเราแบ่งความรับผิดชอบกัน แต่ผมรู้ว่างานของคริสตจักรคืองานที่ครอบคลุมเป็นหนึ่งเดียวกัน และรู้ว่าผมต้องร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม  ตอนแรกผมสนใจการประชุมประจำสัปดาห์ของพวกเราอย่างมาก  ผมมีส่วนร่วมในการหารืออย่างแข็งขันและเสนอคำแนะนำต่างๆ  จากนั้นวันหนึ่งในเดือนตุลาคม การให้น้ำผู้มาใหม่ก็เกือบจะล่าช้าเพราะผมติดตามงานไม่ทันเวลา  ผู้นำระดับสูงขึ้นไปตัดแต่งผมอย่างรุนแรง  ผมคิดกับตัวเองว่า “เกิดปัญหาในงานของฉัน ฉันจึงเป็นคนที่ถูกตัดแต่ง  ถ้าเกิดปัญหาเพิ่มขึ้นอีก ผู้นำก็จะมองฉันออกและบอกว่าฉันทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้ แล้วฉันก็จะถูกปลด  จากนั้นฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?  ใครจะยกย่องนับถือฉัน?  ไม่ได้ ฉันต้องพยายามกับงานที่รับผิดชอบให้มากขึ้น และจะต้องไม่เกิดข้อผิดพลาดอีก”

ผ่านไประยะหนึ่ง ขอบเขตความรับผิดชอบของผมก็ขยายออกไป  ผมทำบางอย่างได้ไม่ดีนัก จึงต้องใช้เวลาอย่างมากในการเรียนรู้หลักธรรมที่เกี่ยวข้อง แต่ในการประชุมผู้ร่วมงานทุกครั้งก็จำเป็นต้องหารือและตัดสินใจหลายอย่าง และการนี้ก็ใช้เวลาไปมาก  ผมนึกสงสัยว่าพอผ่านไปสักระยะ มันจะมีผลกระทบกับงานที่ผมรับผิดชอบหรือเปล่า  ถ้างานที่ผมรับผิดชอบไม่มีประสิทธิภาพและมีปัญหาเพิ่มขึ้น ผมจะต้องถูกปลดแน่ๆ แล้วจากนั้นคนอื่นจะคิดอย่างไรกับผม?  คนอื่นๆ ก็ติดตามโครงการอื่นของคริสตจักร  ผมคิดว่าพวกเขาย่อมหารือกันเองได้ แต่ผมมีงานอีกมาก  นอกจากนี้การที่พวกเขาทำงานของพวกเขาให้เสร็จก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม แถมยังไม่ทำให้ผมได้รับการสรรเสริญใดๆ  แต่ผมกลับต้องรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นในขอบเขตของผมโดยตรง ดังนั้นผมจึงควรดูแลงานในความรับผิดชอบของตัวเองก็พอ  หลังจากนั้นผมจึงทุ่มเทเวลาและความพยายามให้กับงานหลักที่ผมรับผิดชอบ และปฏิบัติต่องานอื่นเหมือนเป็นภาระ  ถ้ามีงานของคริสตจักรที่จำเป็นต้องหารือและตัดสินใจด้วยกัน ผมก็จะให้มุมมองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของตน แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ได้อยู่ในขอบเขตนั้น ผมก็แค่ทำงานของตัวเองไป  ผมไม่ได้ตั้งใจฟังการหารือ ดังนั้นเมื่อต้องแสดงจุดยืนหรือตัดสินใจ ผมจึงเอาแต่เออออตามคนอื่น  เมื่อมีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือและตัดสินใจโดยด่วน ทันทีที่ผมเห็นว่าเรื่องนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของผม ผมก็จะมองข้ามและไม่สนใจ

ผ่านไประยะหนึ่ง ผมก็ได้ฟังจากพี่น้องชายหญิงเรื่อยๆ ว่ามีบางเรื่องไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม และถูกผู้นำทั้งหลายของพวกเราตัดแต่ง พี่น้องยังบอกด้วยว่าการจัดเตรียมบุคลากรไม่เป็นไปตามหลักธรรม สร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักร  บางเรื่องก็ต้องให้ทุกคนตัดสินใจและลงชื่อรับรู้  แต่ในเมื่อไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม สุดท้ายจึงก่อให้เกิดผลเสียแก่ผลประโยชน์ของคริสตจักร  นอกจากนี้การจัดซื้อของให้กับคริสตจักรก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมเหมือนกัน ส่งผลให้คริสตจักรสูญเสียเงินทอง  เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ  ผมก็คิดว่าดีนะที่งานของผมไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร และเวลาผู้นำตรวจสอบว่าใครคือคนรับผิดชอบ ความผิดก็จะไม่วกกลับมาที่ผม  นี่คือท่าทีไม่รับผิดชอบที่ผมมีต่อหน้าที่ของตนมาเป็นเวลานานมาก และผมมองไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน  วันหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ผมทำงานด้วยบอกว่าผมไม่ได้แบกรับภาระในการทำหน้าที่ของผมหรือมองภาพรวม เอาแต่สนใจงานของตัวเอง และผมไม่ร่วมตัดสินใจในเชิงรุก  เธอบอกว่าทำแบบนั้นอันตราย และถ้าผมไม่ปรับปรุงการนี้ให้ดีขึ้น ไม่ช้าก็เร็วผมจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป  เธอบอกว่าผมควรทบทวนท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ของตนเองให้ถี่ถ้วน  หลังการสามัคคีธรรมของเธอ ผมก็ยังคงไม่ทบทวนตัวเอง แต่กลับหาเหตุผลให้ตัวเองว่า “คุณมองไม่เห็นความทุกข์ทั้งหมดของผมเลยหรือ?  การจะทำงานนี้ให้ดีต้องใช้ความพยายามมากนะ  ถ้างานที่ผมรับผิดชอบมีปัญหาขึ้นมา ความผิดก็จะตกอยู่กับผม แล้วคนอื่นจะคิดกับผมอย่างไร?  พวกเขาจะคิดว่าผมไร้ความสามารถและทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้  นอกจากนี้งานอื่นๆ พวกนั้นก็มีคนรับผิดชอบอยู่ไม่ใช่หรือ?  การมีผมเข้าร่วมในการตัดสินใจพวกนี้ไม่มีผลอะไรหรอก”  ดังนั้นผมจึงไม่เอาใจใส่และไม่รับผิดชอบงานของคริสตจักร ไม่ทบทวนตัวเองหรือพยายามที่จะรู้จักตนเอง

เดือนมกราคม ค.ศ. 2021 ผู้นำคนหนึ่งมาหาผมและพูดว่า “พี่น้องชายหญิงบอกว่าคุณไม่แบกรับภาระในการทำหน้าที่ ว่าคุณแทบไม่แสดงมุมมองในระหว่างที่หารือเรื่องงาน คุณไม่ได้เสนอคำแนะนำที่เป็นรูปธรรม และคุณก็ไม่รู้สึกรับผิดชอบงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย  คุณไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ  หลังจากหารือกัน ทุกคนจึงตัดสินใจว่าคุณควรถูกปลด”  ฟังผู้นำจบ ผมก็รู้สึกงุนงงไปหมด เกือบจะทรุดลงไป  ผมนึกในใจว่า “ถึงผมไม่ได้มีส่วนร่วมมากนักในงานโดยรวมของคริสตจักร แต่ทุกวันผมก็ง่วนอยู่กับความรับผิดชอบทั้งหลายของตัวเองอย่างมาก และผมก็ทนทุกข์มากมายนัก  คุณพูดได้อย่างไรว่าผมไม่แบกรับภาระ?  การที่ผมทำงานเสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหานี่ไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ?”  ผมยอมรับจุดจบนี้ไม่ได้อยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีงาม และผมยังไม่ตระหนักรู้  ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาการทรงนำของพระองค์ เพื่อให้ผมสามารถทบทวนและรู้จักตนเองได้

ภายหลังผมเห็นบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ทำให้ผมสะเทือนใจมาก  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้ว่า “ทั้งมโนธรรมและเหตุผลควรเป็นองค์ประกอบของสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง  สองสิ่งนี้คือสิ่งที่  เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุด  บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ?  พูดโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด  เมื่อลงรายละเอียด บุคคลผู้นี้แสดงให้เห็นถึงการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปเช่นไร?  จงวิเคราะห์กันตามสบายว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ  (พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า)  ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้าย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกตัวห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับ  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย  พวกเขาคิดถึงสิ่งใดกันเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง?  การกำหนดพิจารณาแรกของพวกเขาก็คือ ‘พระเจ้าจะทรงทราบหรือไม่หากฉันทำการนี้?  มันเป็นที่ประจักษ์แก่ตาต่อผู้คนอื่นๆ หรือไม่?  หากผู้คนอื่นๆ ไม่เห็นว่าฉันทุ่มเทความพยายามทั้งหมดนี้และทำงานอย่างอุตสาหะ และหากพระเจ้ามิได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับการทุ่มเทความพยายามเช่นนั้นหรือการทนทุกข์เพื่อการนั้น’  นี่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุดหรอกหรือ?  นี่คือความตั้งใจที่ต่ำช้าอย่างหนึ่งเช่นกัน  เมื่อพวกเขาคิดและกระทำการในหนทางนี้ มโนธรรมของพวกเขามีบทบาทบ้างหรือไม่?  ในการนี้ มโนธรรมของพวกเขาถูกกล่าวหาบ้างหรือไม่?  ไม่เลย มโนธรรมของพวกเขาไม่ได้มีบทบาทใดๆ ทั้งยังไม่ถูกกล่าวหาอีกด้วย  มีผู้คนบางคนที่ไม่รับผิดชอบใดๆ ไม่ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่  พวกเขาไม่รายงานปัญหาที่พวกเขาพบต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยทันทีอีกด้วย  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเข้ามาขัดจังหวะและก่อกวน พวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วทำความชั่ว พวกเขาไม่พยายามห้ามคนพวกนั้น  พวกเขาไม่ปกป้อง  ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงถึง  หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนแบบนี้ไม่ทำงานจริงจังใดๆ พวกเขาเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและละโมบความสะดวกสบาย พวกเขาพูดและกระทำเพียงเพื่อความถือดี หน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และยินดีที่  จะอุทิศเวลาและความพยายามของตนเพื่อสิ่งต่างๆ  ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น  การกระทำและเจตนาของใครบางคนเยี่ยงนั้นเป็นที่ชัดเจนต่อทุกคน กล่าวคือ พวกเขารีบออกมาเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้เสนอหน้า  หรือชื่นชมกับพระพรบางอย่าง  แต่เมื่อไม่มีโอกาสที่จะได้เสนอหน้า  หรือทันทีที่มีเวลาแห่งการทนทุกข์ พวกเขาก็จะอันตรธานหายไปจากสายตาเหมือนเต่าที่กำลังหดหัว  บุคคลประเภทนี้มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  (ไม่)  บุคคลที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่ประพฤติตนในหนทางนี้รู้สึกตำหนิติเตียนตนเองหรือไม่?  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีสำนึกของการตำหนิติเตียนตนเอง มโนธรรมของบุคคลประเภทนี้ไม่มีประโยชน์อันใด  พวกเขาไม่มีวันรู้สึกถึงการถูกมโนธรรมของตนตำหนิ  ดังนั้นพวกเขาจะสามารถรู้สึกถึงการตำหนิติเตียนหรือการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  ผมรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงหัวใจของผม  ผมเป็นอย่างที่พระเจ้าทรงอธิบายไว้ไม่มีผิด  ผมทอดธุระและไม่ใส่ใจหน้าที่ ไม่สนใจสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของตน  ผมเอาใจใส่แค่งานของตัวเองเท่านั้น  ผมคำนึงแค่ว่าความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะของผมจะเป็นจริงไหม  ผมไม่ได้ดูแลปกป้องงานของคริสตจักรเลย  ในตอนนั้น เวลาทุกคนหารือกันเพื่อตัดสินใจ ผมกลับคิดไปว่าความสำเร็จที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของผมจะไม่ช่วยให้ผมดูดี และถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดี ความรับผิดชอบก็จะไม่ตกมาถึงผม  ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ ผมก็จะไม่เข้าร่วม  ผมแค่ทำไปอย่างนั้น ไหลตามคนอื่น  นั่นคือความไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบ  ผมขยันและทำงานหนักมากเมื่อเป็นงานในขอบเขตของตน กลัวจะถูกตัดแต่งถ้างานมีปัญหา หรือกลัวจะถูกปลดและสูญเสียความน่าเชื่อถือไปสิ้น  เพื่อที่จะดูแลงานของผมเองให้ดี และรักษาสถานะและภาพลักษณ์ของผมที่คนอื่นมี ผมปฏิบัติกับการช่วยกันตัดสินใจเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลา ทำให้ผมไม่ได้ทำงานของตัวเอง  พอทบทวนพฤติกรรมของตัวเองแล้ว ผมก็มองเห็นว่าเจตนาเบื้องหลังการปฏิบัติหน้าที่ของผมคือการทำให้ตัวเองพอใจ และความทุกข์ทั้งหมดของผมเป็นไปเพื่อตัวเอง  ผมไม่ได้แบกรับภาระหรือมีสำนึกรับผิดชอบที่จะปกป้องดูแลงานโดยรวมหรือผลประโยชน์ของคริสตจักร  ผมไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  ผมไม่คู่ควรกับงานที่สำคัญเช่นนี้เลย  ตอนนั้นเองที่ผมยอมรับการที่ตัวเองถูกปลดได้อย่างเต็มที่  แต่แม้ผมจะตระหนักรู้ว่าการกระทำของผมไม่ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง และไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ผมไม่ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำหน้าที่ของตน หมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียงและสถานะ และเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรโดยสิ้นเชิง  หลังจากนั้นผมนำปัญหานี้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำทางให้ผมรู้จักรากเหง้าและแก่นแท้แห่งปัญหาของตน ให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผม เพื่อให้ผมเกลียดตัวเองได้จากก้นบึ้งของหัวใจ

หลังจากนั้นผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความว่า “ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรม เหตุผล หรือความเป็นมนุษย์  พวกเขาไม่เพียงไม่สนใจความละอายเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะเด่นอีกอย่างด้วยคือ พวกเขาเห็นแก่ตัวและเลวทรามผิดปรกติ  ความหมายตามตัวอักษรของ ‘ความเห็นแก่ตัวและเลวทราม’ ของพวกเขาเข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวคือ พวกเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากผลประโยชน์ของตนเอง  สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาเองย่อมได้รับความใส่ใจเต็มที่ และพวกเขาจะยอมทนทุกข์เพื่อสิ่งนั้น ยอมลงทุนลำบาก จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น และอุทิศตัวให้กับสิ่งนั้น  สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาจะทำเป็นมองไม่เห็นและไม่สนใจจะมอง ผู้อื่นสามารถทำตามใจชอบได้—พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจว่าใครจะขัดขวางหรือก่อกวน และสำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่เกี่ยวข้องกับตน  กล่าวอย่างถนอมน้ำใจก็คือ พวกเขานึกถึงกิจธุระของตัวเอง  แต่การพูดว่าบุคคลประเภทนี้เลวทราม ต่ำช้า และโสมม ย่อมถูกต้องแม่นยำกว่า พวกเราจึงให้นิยามพวกเขาว่า ‘เห็นแก่ตัวและเลวทราม’  ความเห็นแก่ตัวและเลวทรามของศัตรูพระคริสต์สำแดงตัวออกมาอย่างไร?  ในการใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสถานะหรือความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาย่อมพยายามทำหรือพูดสิ่งใดก็ตามที่จำเป็น และพวกเขาก็เต็มใจที่จะทนฝ่าความทุกข์ใดๆ  แต่หากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า หรือเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขากลับเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิง  แม้ในยามที่คนชั่วก่อให้เกิดการขัดขวาง ก่อกวน และกระทำความชั่วทุกชนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง พวกเขายังคงไม่ยินดียินร้ายและไม่กังวลสนใจ ราวกับการนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย  และหากใครบางคนค้นพบและรายงานการประพฤติชั่วของคนชั่ว พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นอะไรเลย และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง  แต่ถ้ามีใครรายงานเรื่องของพวกเขาและเปิดโปงว่าพวกเขาไม่ทำงานจริง เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขาย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  รีบเรียกรวมตัวพบปะกันเพื่อหารือว่าจะตอบโต้อย่างไร จัดให้มีการสืบค้นเพื่อดูว่าผู้ใดแอบก่อเรื่องลับหลังพวกเขา ผู้ใดเป็นหัวโจก และผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง  พวกเขาจะไม่กินหรือนอนจนกว่าพวกเขาจะได้ไปถึงก้นบึ้งของการนี้แล้วและเรื่องนี้ได้ถูกทำให้ยุติแล้วอย่างครบบริบูรณ์ บางครั้งพวกเขามีความสุขก็ต่อเมื่อพวกเขาเล่นงานทุกคนที่รายงานเรื่องของพวกเขาหมดแล้ว  นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความเลวทรามมิใช่หรือ?  พวกเขากำลังทำงานของคริสตจักรอยู่หรือไม่?  พวกเขากำลังกระทำการเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอำนาจและสถานะของตัวเอง ไม่มีอะไรอื่นอีก  พวกเขากำลังดำเนินงานของตัวเอง  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใด ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาคำนึงแต่เพียงว่าผลประโยชน์ของตนเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ คิดถึงแต่งานชิ้นเล็กๆ ตรงหน้าพวกเขาที่ทำประโยชน์แก่พวกเขา  สำหรับพวกเขาแล้ว งานหลักของคริสตจักรเป็นเพียงบางสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่างของตน  พวกเขาไม่ได้จริงจังกับงานนั้นเลย  พวกเขาขยับก็ต่อเมื่อถูกเร่งรัดให้ลงมือ เอาแต่ทำสิ่งที่ตนชอบทำ และทำงานเพียงเพื่อธำรงรักษาสถานะและอำนาจของตนเท่านั้น  ในสายตาของพวกเขา งานใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้ให้ งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ล้วนไม่มีความสำคัญ  ไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะมีความลำบากยากเย็นอันใดในงานของตน ระบุและรายงานปัญหาอันใดให้พวกเขารู้ ไม่ว่าคำพูดของผู้อื่นจะจริงใจเพียงใด พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจเลย พวกเขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจะใหญ่โตเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง  แม้ในยามที่มีปัญหาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแท้ๆ พวกเขาก็จัดการแก้ไขอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกเบื้องบนตัดแต่งโดยตรงและถูกออกคำสั่งให้แก้ไขปัญหาเท่านั้น พวกเขาจึงจะกัดฟันทำงานจริงเล็กๆ น้อยๆ และมอบบางสิ่งให้เบื้องบนได้เห็น ไม่นานนัก พวกเขาก็จะทำกิจธุระของตัวเองต่อไป  เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร เป็นเรื่องสำคัญที่มีบริบทกว้างขึ้น พวกเขากลับไม่สนใจและมองข้ามสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาถึงขั้นละเลยปัญหาที่พวกเขาพบเจอ และให้คำตอบอย่างสุกเอาเผากินหรือกระแอมกระไอเมื่อถูกถามถึงปัญหา เอาแต่จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยความอิดออดไม่เต็มใจ  นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความเลวทรามมิใช่หรือ?”  (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สี่: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง))  พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงหัวใจของผม  ศัตรูของพระคริสต์ทำงานเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเท่านั้น และพวกเขาขยันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตน  พวกเขาทนทุกข์ได้ สละแรงใจและแรงกายทั้งหมดเพื่อสิ่งนั้นได้  พวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตน  พวกเขาเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามเป็นอย่างยิ่ง  ผมได้เห็นว่าพฤติกรรมของผมนั้นเหมือนศัตรูของพระคริสต์ และผมเอาแต่ทำงานเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตัวเองเท่านั้น “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” และ “จงอยู่ให้ห่างจากปัญหา” คือปรัชญาเยี่ยงซาตานที่ผมใช้ในการดำเนินชีวิต  ผมสนใจแต่งานที่ตัวเองรับผิดชอบและงานที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและสถานะของผมได้ ผมไม่สนใจงานที่ไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของตน ส่งผลให้งานและเงินทองของคริสตจักรเกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรง  ผมได้เห็นว่าผมคือคนเลวที่เห็นแก่ตัว สนใจแต่ตัวเอง น่าเหยียดหยาม และไม่คู่ควรที่จะได้รับความเชื่อมั่น  เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น มีปัญหาเกิดขึ้นในงานของคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง และพวกผู้นำก็ตัดแต่งพี่น้องชายหญิงคนอื่นที่ทำงานไม่ถูกต้องเหมาะสม  ผมไม่ได้ถูกตัดแต่งโดยตรง แต่ก็เป็นผู้นำคริสตจักรคนหนึ่ง มีความรับผิดชอบที่ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้  ถ้าผมดูแลและมีส่วนร่วมในการหารือเรื่องงานอย่างขยันขันแข็ง ผมก็อาจค้นพบปัญหาบ้างก็ได้  แต่เพื่อรักษาหน้าตาและสถานะ ผมกลับสนใจดูแลแต่ความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง ไม่ได้คำนึงถึงงานโดยรวมหรือผลประโยชน์ของคริสตจักรเลย  เมื่อมองเห็นการฝ่าฝืนนานาประการในการทำหน้าที่ของตน และความสูญเสียที่มิอาจแก้ไขได้ที่ผมก่อไว้ในงานของคริสตจักร ผมก็เต็มไปด้วยความเสียใจและการตำหนิตนเอง พระเจ้าทรงยกชูผมและแสดงพระคุณแก่ผม เปิดโอกาสให้ผมทำหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ และประทานโอกาสให้ผมได้ฝึกฝนตนเอง เพื่อให้ผมเข้าใจความจริงได้เร็วขึ้น  ผมได้ชื่นชมการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปี กระนั้นผมกลับตอบแทนทั้งหมดด้วยความอกตัญญู และไม่ได้อยากทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือตอบแทนความรักของพระเจ้า  ทั้งหมดที่ผมคิดคือจะปกป้องภาพลักษณ์ สถานะ และอาณาเขตเล็กๆ ของผมเองอย่างไร เพื่อที่ผมจะได้ไม่ถูกตัดแต่ง  ผมไม่รอบคอบและไม่รับผิดชอบงานที่สำคัญนี้ เอาแต่ยืนเฉยตอนที่ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียหายและงานของคริสตจักรได้รับผลกระทบ  ผมไม่แยแสและขาดพร่องสำนึกแห่งมโนธรรม  จะยังนับผมเป็นมนุษย์อยู่อีกได้อย่างไร?  เมื่อครอบครัวไหนให้อาหารสุนัข สุนัขตัวนั้นจะจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลาย  ผมแย่ยิ่งกว่าสัตว์ตัวหนึ่งเสียอีก  ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามากเท่านั้น  ถึงตอนนี้ผมได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์คำนึงแต่ชื่อเสียงและสถานะของตนในการทำหน้าที่ ไม่ได้ปกป้องดูแลงานของคริสตจักรเลย  ข้าพระองค์ไร้สภาวะความเป็นมนุษย์ เห็นแก่ตัวและสนใจแต่ตนเอง  การที่ข้าพระองค์ถูกปลดคือการมาถึงแห่งความชอบธรรมของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นความรักและความรอดที่ทรงมีให้แก่ข้าพระองค์  ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะสำนึกกลับใจ”

หลังจากนั้นผมก็ได้อ่านบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “สิ่งใดคือมาตรฐานที่ใช้ตัดสินการกระทำและพฤติกรรมของคนว่าดีหรือชั่ว?  คือการที่ว่าในความนึกคิด สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา และการกระทำทั้งหลายของพวกเขานั้น พวกเขามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือใช้ชีวิตตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วว่าอย่างไร?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความคิดและการกระทำภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานให้พระองค์ และไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูและปราชัย แต่กลับนำความอับอายมาให้พระองค์ และเต็มไปด้วยเครื่องหมายของการทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติเพราะเจ้า  เจ้าไม่ได้กำลังเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เจ้าไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง  ความหมายของ ‘เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง’ คือสิ่งใด?  หากจะกล่าวให้แน่ชัด นี่หมายถึงเพื่อซาตาน  เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การกระทำของเจ้าจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำดี ทั้งหมดจะถูกพิจารณาว่าเป็นการทำชั่ว  การกระทำของเจ้าไม่เพียงไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเท่านั้น—แต่จะถูกกล่าวโทษอีกด้วย  คนเราหวังจะได้รับสิ่งใดจากการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?  สุดท้ายแล้วการเชื่อเช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?”  (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ชอบธรรมและไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน  พระเจ้าทรงมองเข้าไปถึงส่วนลึกในหัวใจของผู้คน และถ้าผู้คนทำหน้าที่ของตนด้วยเจตนาอื่นที่ไม่ใช่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย ขาดพร่องคำพยานแห่งการปฏิบัติความจริง เสนอสนองตัวเองในทุกด้าน ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะของตน พระเจ้าย่อมไม่ทรงชมเชยการนี้  ไม่ว่าใครจะทุกข์ทนในการนี้มากขนาดไหน พระเจ้าก็ไม่ทรงจดจำ แต่พวกเขากลับจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษว่าเป็นคนเลว  เจตนาของผมในการทำหน้าที่ของตนนั้นผิด  มันไม่ใช่การทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ผมกลับดำเนินโครงการของตัวเอง  ผมเต็มใจที่จะทนทุกข์และทุ่มเทความพยายามให้กับงานที่ผมรับผิดชอบ แต่นั่นก็เพื่อปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ของตนในสายตาของผู้อื่น  ผมอยากได้รับความเลื่อมใสจากการทำให้ดูเหมือนว่าผมทนทุกข์และทำงานหนัก เพื่อให้ผู้คนสรรเสริญและยกที่ทางในหัวใจของพวกเขาให้ผม  เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ผมถึงได้รับใช้ในฐานะผู้นำและมีโอกาสฝึกฝนตัวเอง  ผู้นำมีหน้าที่รับผิดชอบงานโดยรวมของคริสตจักร และย่อมมีปัญหา ความยากลำบาก และประเด็นมากมายที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข  การนั้นพึงต้องมีการแสวงหาความจริงและหลักธรรมมากมาย  ผู้นำทั้งหลายอาจมีข้อผิดพลาดต่างๆ ในงาน และพวกเขาสามารถถูกตัดแต่งได้ แต่ด้วยการตรวจสอบ แก้ไข และทบทวนอยู่เป็นนิจ พวกเขาก็จะได้รับอะไรเยอะมาก  ทั้งหมดคือความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเอง  พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความจริงผ่านทางการทำหน้าที่ แต่ผมไม่ได้นึกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือจริงจังกับหน้าที่ของตนเอง  ผมทำเหมือนหน้าที่คือความยุ่งยาก และสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงไปมากมาย  ในหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ ถ้าไม่รับผิดชอบหรือให้ความร่วมมือกับผู้อื่น ไม่เข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจและในการกำกับดูแล  แล้วผมจะทำหน้าที่ของตนจริงๆ ได้อย่างไร?  ผมหลอกลวงและโกงพระเจ้า  ผมกำลังทำความชั่ว!

ในเวลาต่อมา ผมได้อ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  ก่อนอื่นเจ้าควรนึกถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และคำนึงถึงงานของคริสตจักร  จงให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้าหรือนึกถึงสายตาที่ผู้อื่นมองเจ้าได้  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่านี่พอจะง่ายขึ้นบ้างเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นสองขั้นตอนและทำการประนีประนอมบ้าง?  หากเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า วางความอยากได้อยากมี ความตั้งใจและแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวของเจ้าลง เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางปฏิบัติตนอันดีงาม  เป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนที่เลวทรามต่ำช้า นี่คือการดำรงชีวิตอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ แทนที่จะเป็นคนที่น่าดูหมิ่น ต่ำช้า และไม่มีอะไรดี  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติตน และเป็นภาพลักษณ์ที่พวกเขาควรใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต  ความอยากที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้ามอบเส้นทางปฏิบัติให้ผม  ในการทำหน้าที่ของพวกเรา ผลประโยชน์ของคริสตจักรจะต้องมาก่อน  พวกเราต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และมุ่งเน้นการแสวงหาความจริง ละวางหน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเรา และปกป้องงานของคริสตจักรในทุกด้าน  นี่คือหนทางเดียวที่จะกระทำการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และมีชีวิตอย่างเปิดเผยและมีเกียรติ  ผมคิดเสมอมาว่าการเข้าไปมีส่วนช่วยตัดสินใจในเรื่องงานของคริสตจักรจะทำให้งานของผมเองล่าช้า แต่นั่นเป็นแนวคิดที่ไร้สาระ  ที่จริงแล้วตราบใดที่พวกเรามุ่งเน้นการแสวงหาหลักธรรมความจริง ดำรงสำนึกแห่งลำดับความสำคัญ และดูแลกิจต่างๆ ที่จำเป็นเร่งด่วน เช่นนั้นงานก็จะไม่ล่าช้า  และด้วยการเข้าร่วมตัดสินใจ พวกเราก็จะเข้าใจหลักธรรมมากขึ้น เกิดประโยชน์ต่อหน้าที่ของตนและตัวเอง  พระนิเวศของพระเจ้าให้คริสตจักรแต่ละแห่งเลือกผู้นำสองสามคนมารับผิดชอบงานของคริสตจักรร่วมกัน เพื่อให้แต่ละคนสามารถเสริมสร้าง ชี้แนะ และควบคุมดูแลกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นซับซ้อนบางอย่างที่พวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้งานของคริสตจักรเกิดความสูญเสียเพราะการตัดสินใจโดยพลการและการขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกได้ แต่ผมกลับไม่ใส่ใจและละเลยหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้  ผมไม่คู่ควรกับความเชื่อมั่นที่ได้รับเลยจริงๆ และสมควรถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ผมก็ตั้งปณิธานว่าในอนาคต ถึงผมจะมีบางอย่างเป็นงานหลักให้รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นงานของคริสตจักรหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพระนิเวศ นั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของผมด้วย และผมควรปกป้องดูแลงานของคริสตจักร

ต่อมาผมได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำของคริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง  ผมรู้ว่านี่คือการยกชูของพระเจ้า  ผมเคยเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม แต่คริสตจักรก็ยังยอมให้ผมทำหน้าที่สำคัญเช่นนี้  ผมจึงสาบานว่าผมจะทำหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม ว่าผมจะไม่มัวแต่คำนึงถึงงานของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว  ผมเป็นหนึ่งในผู้นำสามคนของคริสตจักรนั้น และแต่ละคนก็รับผิดชอบงานหนึ่งส่วน  ในงานที่ผมรับผิดชอบนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเห็นแล้วไม่เข้าใจ และจำเป็นต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้  ตารางงานผมเต็มทุกวัน และบางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองมีเวลาไม่พอ  วันหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ผมทำงานด้วยมาหาผมและบอกว่าอยากให้ผมช่วยจัดการปัญหาบางอย่าง  ผมก็คิดว่า “ไม่กี่วันก่อนผู้นำระดับสูงคนหนึ่งตรวจงานของฉันและบอกว่ามีหลายอย่างที่ฉันทำไม่ถูกต้อง  เวลาของฉันมีค่ามากนัก  ถ้าฉันไปช่วยเธอแล้วงานของฉันล่าช้า ส่วนตัวฉันเองก็ไม่มีผลงาน ผู้นำจะคิดอย่างไรกับฉัน?  จะบอกว่าฉันไม่มีความสามารถพอ และทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้หรือเปล่า?  ฉันจะถูกปลดอีกไหม?”  ขณะที่คิดอย่างนั้น ผมก็ตระหนักว่ากำลังนึกถึงหน้าตาและสถานะของตัวเองอีกแล้ว ว่างานของคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกันและผมจะแบ่งแยกไม่ได้  ถ้าผมสนใจแต่ความรับผิดชอบของตัวเองและมองข้ามสิ่งที่เหลือ นั่นจะไม่เห็นแก่ตัว น่าเหยียดหยาม และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองหรอกหรือ?  ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้  ผมต้องวางผลประโยชน์ของตัวเอง และร่วมมือกับพี่น้องคนนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของคริสตจักร  ดังนั้นผมจึงตกลงว่าจะช่วยเธอจัดการปัญหา  ตอนที่ผมตอบตกลง ผมรู้สึกมีสันติสุข และรู้สึกถึงอิสรภาพที่มาจากการปฏิบัติความจริง  แม้การถูกปลดจะเจ็บปวดมากสำหรับผม แต่ก็ให้บทเรียนที่มีค่ากับผม ทำให้ผมมีความตระหนักรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน  นอกจากนี้ผมยังได้แก้ไขมุมมองที่ผิดพลาดและท่าทีที่ไม่ใส่ใจในหน้าที่ของผมไปบ้างอีกด้วย  ผมขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยผมให้รอด

ก่อนหน้า: 77. การกระหายความสบายไม่ให้อะไรเลย

ถัดไป: 79. เพียงเพื่อเงินสามแสนหยวน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger