42. ประโยชน์ที่ได้รับผ่านความทุกข์ยาก
ช่วงปลายปี 2019 ญาติคนหนึ่งแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายกับผม ผมเห็นว่าพระวจนะทรงมีสิทธิอำนาจ และเป็นความจริง ผมรู้สึกได้ว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า จึงยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ด้วยความยินดี ผมอ่านพระวจนะทุกวัน และไม่อยากพลาดการชุมนุมเลยสักครั้ง บางทีอินเทอร์เน็ตหรือเครื่องจ่ายไฟแถวบ้านผมก็มีปัญหาจนเข้าชุมนุมออนไลน์ไม่ได้ ผมก็จะหัวเสียมาก แต่หลังจากนั้น ผมจะรีบอ่านรายละเอียดการชุมนุม แล้วส่งความเข้าใจในพระวจนะเข้าไปในกลุ่ม เข้าสนิทกับเหล่าพี่น้อง และทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ
ผ่านไปสักพัก ผมก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ทีแรก ผมแบ่งความรับผิดชอบในงานของคริสตจักรกับผู้นำอีกสองคน เลยไม่รู้สึกว่ามันยากหรือเครียดเกินไปนัก ผ่านไปไม่นาน ผมก็ได้รับเลือกให้ไปดูแลงานของหลายคริสตจักร ในตอนแรก ผมไม่อยากทำหน้าที่นี้ นั่นก็เพราะรู้สึกว่า ผมฝึกทำหน้าที่ผู้นำได้ไม่นาน และผมก็ยังคงมีข้อบกพร่องและสิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่มากมาย ผมเลยกังวลว่า จะทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “โนอาห์ได้ฟังเพียงไม่กี่ข้อความ และในเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระวจนะมากมาย และดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโนอาห์ย่อมไม่เข้าใจความจริงหลายประการ เขาไม่ได้จับใจความวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หรือความรู้สมัยใหม่ เขาเป็นคนธรรมดาเหลือเกิน เป็นสมาชิกที่ไม่น่าสนใจจดจำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระนั้นในแง่มุมหนึ่ง เขากลับไม่เหมือนใครอื่น กล่าวคือ เขารู้จักเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า เขารู้วิธีติดตามและยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เขารู้ว่ามนุษย์มีฐานะอะไร และเขาก็สามารถที่จะเชื่อและนบนอบพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง—ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น หลักความเชื่ออันเรียบง่ายสองสามอย่างเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเปิดโอกาสให้โนอาห์สำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเขา และเขาก็ได้พากเพียรบากบั่นในการนี้ไม่ใช่เป็นเวลาแค่สองสามเดือน ทั้งยังไม่ใช่เป็นเวลาหลายปี ทั้งยังไม่ใช่เป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่เป็นเวลากว่าศตวรรษ ตัวเลขนี้ไม่น่าทึ่งหรอกหรือ? นอกจากโนอาห์แล้วใครหรือที่สามารถทำเช่นนี้ได้? (ไม่มีใครเลย) แล้วเหตุใดจึงไม่ล่ะ? ผู้คนบางคนพูดว่านั่นก็เนื่องมาจากการไม่เข้าใจความจริง—แต่นั่นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โนอาห์เข้าใจความจริงกี่ประการ? เหตุใดโนอาห์จึงสามารถทำทั้งหมดนี้ได้? ผู้เชื่อทุกวันนี้ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย พวกเขาพอเข้าใจความจริงอยู่บ้าง—ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้? ผู้อื่นพูดว่านั่นเป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน—แต่โนอาห์มิได้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมิใช่หรือ? เหตุใดโนอาห์จึงสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ แต่ผู้คนสมัยนี้กลับทำไม่ได้? (เพราะผู้คนในวันนี้ไม่เชื่อพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาทั้งไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นและไม่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้นในฐานะที่เป็นความจริง) แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะที่เป็นความจริง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า? (พวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า) ดังนั้นเมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง และยังไม่ได้ฟังความจริงมากนัก หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจะเกิดขึ้นในตัวพวกเขาได้อย่างไร? (พวกเขาต้องมีความเป็นมนุษย์และมโนธรรม) ถูกต้อง ในความเป็นมนุษย์ของผู้คนนั้นต้องมีสองสิ่งซึ่งล้ำค่าที่สุด สิ่งแรกคือมโนธรรม และสิ่งที่สองคือเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การมีมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดของการเป็นคน เป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดและพื้นฐานที่สุดในการประเมินคน แต่สิ่งนี้กลับขาดหายไปจากผู้คนทุกวันนี้ และดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะได้ฟังและเข้าใจความจริงไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม การมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าย่อมพ้นวิสัยของพวกเขา แล้วสิ่งใดคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้คนทุกวันนี้กับโนอาห์? (พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์) แล้วอะไรคือแก่นแท้ของการไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์? (พวกเขาย่อมเป็นสัตว์ป่าและปีศาจ) ‘สัตว์ป่าและปีศาจ’ ฟังดูไม่ดีนัก แต่นี่ตรงกับข้อเท็จจริง หากจะกล่าวให้สุภาพขึ้นก็คือพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ผู้คนที่ไร้ความเป็นมนุษย์และเหตุผลย่อมไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาต่ำกว่าสัตว์ป่าด้วยซ้ำ การที่โนอาห์สามารถทำพระบัญชาของพระเจ้าจนสำเร็จสมบูรณ์ได้ก็เพราะเมื่อโนอาห์ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า เขาก็สามารถจดจำพระวจนะเหล่านั้นได้ สำหรับเขาแล้ว พระบัญชาของพระเจ้าคือภาระหน้าที่ชั่วชีวิต ความเชื่อของเขาไม่สั่นคลอน เจตจำนงของเขาไม่เปลี่ยนแปลงอยู่หนึ่งร้อยปี นี่เป็นเพราะเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เขาเป็นคนอย่างแท้จริง และมีเหตุผลอันสูงสุดว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาสร้างเรือใหญ่ ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผลมากเท่าโนอาห์นี้หาได้ยากมาก การหาโนอาห์ให้พบอีกสักคนหนึ่งก็ย่อมจะยากมาก” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สอง: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ (ภาคที่หนึ่ง)) โนอาห์ไม่เคยฟังข้อความที่ลึกซึ้ง และไม่เข้าใจความจริงหลายอย่าง แต่เขามีหัวใจที่ยำเกรง และเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงบอกโนอาห์ว่าจะทรงกวาดล้างมวลมนุษยด้วยอุทกภัย และให้เขาจงสร้างเรือ โนอาห์ก็ตอบรับโดยไม่ลังเลเลย โนอาห์ตระหนักดีว่า พระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการสร้างเรือนั้นต้องโค่นต้นไม้ และทำการวัดอย่างแม่นยำ แต่ถึงโครงการนี้จะทั้งใหญ่และยาก โนอาห์ก็ไม่คิดถอย เพราะรู้ว่า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบัญชาแก่เขา พอไตร่ตรองพระวจนะ ผมก็ตระหนักว่า ผมไม่มีความเป็นมนุษย์ หรือสำนึกของโนอาห์เลย พอผู้นำให้ผมรับผิดชอบงานของหลายคริสตจักร ผมก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า และพึ่งพาแต่ความสามารถของตัวเอง ผมรู้สึกว่าความสามารถในการทำงานมีจำกัด รู้สึกว่ายังฝึกเป็นผู้นำคริสตจักรได้ไม่นาน และยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย ผมกังวลว่าจะทำได้ไม่ดี เลยไม่เต็มใจยอมรับหน้าที่นี้ ผมไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างโนอาห์ ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า นับประสาอะไรกับความเป็นมนุษย์หรือสำนึกอย่างที่โนอาห์มี พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ผมก็เลิกกังวล และเต็มใจจะเชื่อฟังและยอมรับหน้าที่เหมือนที่โนอาห์ยอมรับหน้าที่ของเขา
อย่างไรก็ตาม พอผมเริ่มทำงาน ผมก็เจอปัญหาใหม่ ผมพบว่ามีงานที่ต้องทำมากมาย อย่างเช่น ผมต้องพยายามจัดการกับสภาวะของพี่น้องชายหญิง เกื้อหนุนคนที่ไม่ได้มาชุมนุมตามปกติ ทำความรู้จักกับความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คน แล้วสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไข ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้วิธีทำหน้าที่ของตน และอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือความรับผิดชอบที่ผมต้องแบกรับ พอเจอปัญหาพวกนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มตรงไหน ผมไม่รู้ว่าจะทำงานนี้ให้ดีได้ยังไง และรู้สึกเครียดสุดๆ ความยากลำบากเหล่านี้ทำให้ผมเริ่มคิดลบ และแค่อยากบอกผู้นำว่า ผมรู้สึกไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ เพราะผมไม่มีประสบการณ์ และมีความยากลำบากมากมายในเรื่องนี้ ต่อมา ผู้นำก็รู้ถึงสภาวะของผม และส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งมาช่วย ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “ย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าทรงส่งโมเสสไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ปฏิกิริยาที่โมเสสมีต่อการที่พระเจ้าประทานพระบัญชาเช่นนี้แก่เขาคืออะไร? (เขากล่าวว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง) เขามีสิ่งนั้น ซึ่งก็คือความแคลงใจเล็กน้อย ว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง แต่เขาต้านทานพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่? เขาปฏิบัติต่อพระบัญชาอย่างไร? เขาทิ้งตัวหมอบราบ การทิ้งตัวหมอบราบหมายถึงสิ่งใด? หมายถึงการนบนอบและยอมรับ เขาหมอบราบทั้งกายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่คำนึงถึงความชอบส่วนตัวของตน และไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นใดๆ ที่เขาอาจมี ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาจะทำสิ่งนั้นทันที เหตุใดเขาจึงสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าแม้ในเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้? เพราะเขามีความเชื่อใจจริงอยู่ในตัวเขา เขามีประสบการณ์มาบ้างแล้วกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่งและทุกเรื่อง และในช่วงเวลาสี่สิบปีที่เขามีประสบการณ์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาได้รู้ว่าอธิปไตยของพระเจ้านั้นเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และเริ่มลงมือทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำโดยไม่ลังเล ที่กล่าวว่าเขาเริ่มลงมือหมายความว่ากระไร? หมายความว่าเขามีความเชื่อใจที่แท้จริงในพระเจ้า มีการพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง และมีความนบนอบพระองค์อย่างแท้จริง เขาไม่ใช่คนขลาด และเขาไม่ได้เลือกด้วยตนเองหรือพยายามที่จะปฏิเสธ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม และเขาเริ่มลงมือกระทำการตามพระบัญชาที่พระเจ้ามีแก่เขา เปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ เขามีความเชื่อเช่นนี้ ‘หากพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำดังนี้ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จตามที่พระเจ้าตรัส พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ดังนั้นฉันจะไป ในเมื่อนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา พระองค์ย่อมจะเสด็จไปทรงพระราชกิจ และพระองค์จะประทานเรี่ยวแรงแก่ฉัน ฉันเพียงต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น’ นี่คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่โมเสสมี… รูปการณ์แวดล้อมในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยต่อคนอิสราเอลหรือต่อโมเสส การนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ในทรรศนะของมนุษย์ย่อมเป็นเพียงกิจที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เพราะอียิปต์มีทะเลแดงขวางกั้นอยู่ และการข้ามทะเลแดงย่อมจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ โมเสสไม่อาจรู้ได้จริงๆ หรือว่าการทำให้พระบัญชานี้ลุล่วงลำบากยากเย็นเพียงใด? ในหัวใจของเขา เขารู้ แต่เขากลับพูดเพียงว่าเขาพูดจาไม่เก่ง ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา หัวใจของเขาไม่ได้ปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกโมเสสให้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาหมอบราบและยอมรับพระบัญชา เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นต่างๆ? ใช่เพราะหลังจากสี่สิบปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ไม่รู้ถึงภัยทั้งหลายในโลกมนุษย์ หรือไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ในอียิปต์ก้าวหน้าไปถึงสภาวะไหนแล้ว หรือไม่รู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของคนอิสราเอลในห้วงเวลานั้นกระนั้นหรือ? เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนกระนั้นหรือ? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ โมเสสฉลาดและมีปัญญา เขารู้ทั้งหมดนั้นเพราะได้ก้าวผ่าน และมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นในโลกของมนุษย์มาแล้วด้วยตัวเอง และเขาจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านั้น เขารู้ทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดียิ่ง ดังนั้นเขารู้หรือไม่ว่าพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาลำบากยากเย็นเพียงใด? (รู้) หากเขารู้ เขาสามารถยอมรับพระบัญชานั้นได้อย่างไร? เขาวางใจในพระเจ้า ด้วยประสบการณ์ที่เขามีมาตลอดชีวิต เขาจึงเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาครั้งนี้ของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจและไม่กังขาแม้แต่น้อย… จงบอกเราสิว่าในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร โมเสสสามารถมีประสบการณ์หรือไม่ว่าในพระเจ้าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็น และมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า? เป็นเช่นนั้นจริงๆ—นั่นคือประสบการณ์ที่จริงแท้ที่สุดของเขา ในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตของเขา และเขาไม่รู้ว่าเขาจะรอดตายจากสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ทุกวันเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตของตนและอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการปกป้อง นั่นคือความปรารถนาเพียงประการเดียวของเขา ในช่วงสี่สิบปีนั้น สิ่งที่เขามีประสบการณ์ด้วยอย่างลึกซึ้งที่สุดคืออธิปไตยและการปกป้องของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อเขายอมรับพระบัญชาของพระเจ้าในเวลาต่อมา ความรู้สึกแรกของเขาจึงต้องเป็นว่า ‘ไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นในพระเจ้า หากพระเจ้าตรัสว่าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ในเมื่อพระเจ้ามีพระบัญชาเช่นนั้นแก่ฉัน พระองค์ย่อมจะทรงดูแลเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน—เป็นพระองค์ที่จะทรงทำสิ่งนั้น หาใช่มนุษย์คนใดไม่’ ก่อนลงมือกระทำการ ผู้คนต้องวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า พวกเขาต้องจัดการขั้นตอนเบื้องต้นทั้งหลายเสียก่อน พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งเหล่านี้ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการหรือไม่? พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดไม่ว่าจะมีอิทธิพลเพียงใด ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือมีพลังอำนาจเพียงใด ไม่ว่าจะบ้าคลั่งเพียงใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า โมเสสมีความเชื่อใจ ความรู้ และประสบการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความกังขาหรือความกลัวอยู่ในหัวใจของเขาแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อใจที่เขามีต่อพระเจ้าจึงจริงแท้และบริสุทธิ์เป็นพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าเขามีความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการนบนอบที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความไว้วางใจที่แท้จริงได้) การอ่านพระวจนะทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่วางใจและไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าทรงเลือกโมเสสให้นำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาจะได้เลิกถูกกดขี่ โมเสสไม่มีกองทัพที่จะสู้กับฟาโรห์ และการทำให้พระบัญชานี้เสร็จสิ้นก็ยากมาก แต่โมเสสก็สามารถเชื่อฟังพระวจนะ และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เอง พอย้อนมองตัวเองอีกที ผมเห็นงานหลายอย่างที่ผมทำไม่ได้ จนอยากละทิ้งหน้าที่นี้ เพราะผมรู้สึกว่ากดดันมาก รู้สึกว่าหน้าที่นี้เป็นภาระกับผม และผมไม่สามารถทำให้เสร็จได้ ผมไม่วางใจในพระเจ้า และไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ผมเชื่อแต่ความสามารถที่จำกัดของตัวเอง ผมคิดว่าการที่ผมทำหน้าที่ได้ดีนั้นเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถและประสบการณ์ของผม ผมไม่เชื่อว่าทุกงานสำเร็จเพราะพระเจ้า เราสวมบทบาทเป็นแค่ตัวสมทบ ผมโอหังอย่างแท้จริง เป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต ผมจึงสามารถทำหน้าที่นั้นได้ ทุกอย่างพระเจ้าทรงควบคุมและจัดการเตรียมการ ผมต้องมีความเชื่อ เพื่อที่จะร่วมมือได้จริง นับแต่นี้ไป ผมจะปฏิเสธหน้าที่นี้อีกไม่ได้ ผมเชื่อว่าตราบใดที่ผมพึ่งพาพระเจ้าและหวังให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ย่อมจะทรงนำและช่วยเหลือผม ทำให้ผมได้เข้าใจความจริงและหลักธรรมทุกประเภทของการทำหน้าที่ผ่านความยากลำบากทุกรูปแบบ ผมยังได้เรียนรู้ว่าการมีโอกาสในการทำหน้าที่นี้ ก็เพราะพระเจ้าประทานโอกาสในการปฏิบัติมาให้ และด้วยการนี้จะทำให้ความเชื่อของผมจะแข็งแกร่งขึ้นและเสริมจุดอ่อนของผม เพื่อให้ผมสามารถแบกรับภาระที่หนักขึ้นและทำในส่วนของตนได้ ซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นถึงความเมตตา
เนื่องจากมีปัญหาเรื่องน้ำ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ในเวเนซุเอลา เราจึงต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อจุนเจือครอบครัว ทุกๆ เช้าผมกับพ่อจะออกไปหาปลากันตั้งแต่ตีสาม กว่าจะกลับก็ราวสามสี่โมงเย็น ผมรู้สึกว่าการลอยอยู่ในทะเลทั้งวันมันเหนื่อยมาก แต่พอกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่อยากพัก เพราะยังมีอีกหลายอย่างในหน้าที่ ที่ผมทำไม่ได้ และผมต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อศึกษา เตรียมตัวให้พร้อม และชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง จะได้ทำหน้าที่ได้เหมาะสม ถ้าผมไม่ทำหน้าที่ให้ดี ผมคงทำให้พระเจ้าผิดหวัง ผมคิดถึงเหล่าธรรมิกชนในยุคพระคุณ พวกเขาติดตามองค์พระเยซูเจ้า เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ทำหน้าที่ของตน ก้าวผ่านความยากลำบากและอันตรายมากมาย และทนทุกข์สาหัส แล้วสิ่งเล็กน้อยที่ผมทนทุกข์อยู่จะไปเทียบกันได้ยังไง? เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ผมทำตอนกลับบ้านในแต่ละวัน คือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าได้รับมอบหมายงานอะไรบ้าง ผมยังส่งข้อความหาเหล่าพี่น้องอีกด้วย เพื่อถามว่าพวกเขามีความยากลำบากอะไรไหม ถ้ามีคนไม่รู้วิธีทำหน้าที่ของตัวเอง ผมก็จะช่วยเหลือ และเล่าว่าขณะทำหน้าที่ผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง ผมเริ่มเรียนรู้ ที่จะพึ่งพาพระเจ้าในการทำหน้าที่ และเมื่อเหล่าพี่น้องประสบกับความยากลำบาก ผมก็จะอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำ และทรงทำให้ผมเจอพระวจนะที่จะช่วยพวกเขาได้ หลังแบ่งปันพระวจนะ และสามัคคีธรรมประสบการณ์และความเข้าใจไป สภาวะของพวกเขาก็พอจะฟื้นคืนมาบ้าง ในระหว่างการช่วยเหลือเหล่าพี่น้อง ความเข้าใจในความจริงของผมก็เริ่มชัดเจนขึ้นกว่าเดิม การประสบกับเรื่องนี้ทำให้ผมเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากอันใด ตราบใดที่พวกเราพึ่งพาพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ พระองค์ก็จะทรงนำพวกเราเสมอ ถึงจะเจอความยากลำบากทุกวัน แต่ผมก็ไม่อ่อนแอเหมือนตอนแรกแล้ว แต่ไม่นาน ผมก็เจออีกหนึ่งปัญหาใหญ่ เพราะแถวบ้านผมสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี ผมเลยไม่มีทางเข้าชุมนุมหรือสื่อสารกับเหล่าพี่น้องได้ตามปกติ และไม่มีทางที่จะทำหน้าที่ได้ ผมรู้ว่านี่เป็นปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุม ผมเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่นาน ขอให้ทรงนำผมผ่านเรื่องนี้ หลังจากนั้น ผมก็ค่อยๆ สงบใจลง ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “เมื่อเจ้าอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นที่สุดของเจ้า เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้น้อยที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยวอย่างที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกราวกับตนเองไกลห่างจากพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่เจ้าควรทำเหนือสิ่งอื่นใดคืออะไร? จงส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้ามอบพละกำลังให้เจ้า การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงการสถิตของพระองค์ การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อเจ้าส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้า และวางชีวิตของเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่เคียงข้างเจ้าและพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า เมื่อเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างเจ้า ความไว้วางใจของเจ้าจะเติบโตขึ้นหรือไม่? หากเจ้ามีความไว้วางใจที่แท้จริง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความไว้วางใจนั้นจะเสื่อมลงและเลือนหายไปหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการนบนอบที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความไว้วางใจที่แท้จริงได้) เวลาเจอเรื่องยากลำบาก จงร้องหาพระเจ้าด้วยหัวใจ แล้วคุณจะมีความเชื่อและความเข้มแข็ง ความสามารถของมนุษย์นั้นมีจำกัด เราไม่มีทางมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการมองเห็นของเราได้ เราจึงกลัวความยากลำบากที่ปรากฎตรงหน้าอยู่เสมอ พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง ตราบใดที่เราพึ่งพาพระองค์อย่างจริงใจ พระเจ้าจะทรงนำและช่วยเหลือเราในการทำหน้าที่ พระวจนะมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ผม ผมไม่อาจล้มเหลวในการทำหน้าที่ เมื่อเจอกับความยากลำบากมากมาย ผมต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ และยิ่งต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้หนักขึ้น ผมเลยเริ่มออกไปตามถนนเพื่อหาจุดที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตเสถียรพอที่จะทำให้ผมเข้าชุมนุมได้ตามปกติ บางครั้งเวลาที่ผมเป็นผู้จัดการชุมนุม ผมจะออกไปถนนราวสองทุ่ม แล้วกลับเข้าบ้านเกือบห้าทุ่มหลังชุมนุมเสร็จ ระหว่างทางกลับบ้านผมรู้สึกกลัวมาก เพราะผมอยู่ในย่านที่อันตราย และผมกลัวว่าจะมีใครมาขโมยโทรศัพท์ผมไป ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงเข้าชุมนุมหรือทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ผมมักอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงมอบความเข้มแข็งให้ผมยืนหยัดท่ามกลางความยากลำบาก ในไม่ช้า ผมก็ได้รับข้อความหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่งรู้ถึงสถานการณ์ของผม และเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาผมว่า “พี่ชาย ผมรู้ว่าคุณกำลังเผชิญกับช่วงที่ยากลำบาก และต้องออกไปตามถนนดึกๆ ดื่นๆ เพื่อทำหน้าที่ นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก ผมมีจักรยาน ถ้าคุณต้องใช้ก็มายืมกับผมได้ คุณจะได้ไปไหนมาไหนง่ายขึ้น” ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก ผมได้เรียนรู้มากมายผ่านความยากลำบากเหล่านี้ และยังได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าอีกด้วย ผมเริ่มตระหนักได้ว่า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมไว้ให้กับทุกคน ผมได้เห็นการกระทำของพระเจ้าจริงๆ และตอนนี้ความเชื่อของผมก็แข็งแกร่งขึ้น เมื่อคนอื่นเผชิญความยากลำบากอย่างที่ผมเจอ ผมก็แบ่งปันพระวจนะและสามัคคีธรรมประสบการณ์บางส่วนเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และมอบความเชื่อในพระเจ้าให้แก่พวกเขา
แต่ละวันหลังกลับจากหาปลา ผมจะอยู่บ้านและอ่านพระวจนะ แล้วพอถึงเวลาชุมนุม ผมก็จะปั่นจักรยานออกไปตามถนน เพื่อหาที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตดีๆ ทุกครั้งที่ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ผมก็อธิษฐานขอให้ทรงนำผมในการทำหน้าที่ให้ดีขึ้น ผมเลิกกังวลกับสถานการณ์ยากๆ ของตัวเอง ผมแค่อยากทำหน้าที่ให้ดี ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า ต่อให้ต้องเผชิญความยากลำบากยิ่งกว่านี้ ผมก็เต็มใจที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการ เพื่อให้มีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ผม และเพื่อแสวงหาการสนองพระทัย ผ่านไปสักระยะ พี่น้องชายหญิงก็ช่วยผมหาบ้านที่เหมาะสม มีอินเทอร์เน็ตที่เสถียรกว่า ผมขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างมาก เพราะการอยู่ที่นี่ ผมเลยทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และภายใต้การทรงนำ ผมก็คืบหน้าในหน้าที่อย่างมาก หลังจากนั้น ผู้นำบอกผมอีกว่า ผมจะต้องรับผิดชอบงานที่เยอะยิ่งขึ้นไปอีก ภาระของผมจะยิ่งใหญ่ขึ้น จะต้องมีงานให้ทำมากขึ้น และจะต้องดูแลช่วยเหลือเหล่าพี่น้องจำนวนมากขึ้น แต่ผมไม่กังวลหรือพร่ำบ่นอีกต่อไป ตราบใดที่ผมยังวางใจและพึ่งพาพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงนำ และทรงช่วยให้ผมทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะเพิ่มเติมว่า “ยิ่งเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงมอบภาระให้แก่เจ้า แล้วจากนั้นก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับภารกิจซึ่งพระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เมื่อพระเจ้าทรงมอบภาระนี้แก่เจ้า เจ้าก็จะสนใจความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปด้วย หากเจ้ามีภาระที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตของพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นภาระที่พระเจ้าได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าก็จะแบกภาระนี้ไว้กับตัวในการอธิษฐานประจำวันของเจ้าเสมอ เจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่กับตัวแล้ว และเจ้าเต็มใจทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ นี่คือความหมายของการแบกภาระของพระเจ้าเสมือนเป็นภาระของเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม) “ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าเข้าพระทัยเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่ ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าจะมีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ไม่ว่าบททดสอบนี้จะเป็นการบ่มวินัยหรือตักเตือนเจ้าจากพระเจ้าก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบเท่าที่เจ้าไม่รอช้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใคร่ครวญความจริงเป็นนิจเท่านั้น) การอ่านพระวจนะทำให้ผมเข้าใจว่า พระเจ้าจะไม่ทรงมอบภาระที่เราแบกรับไม่ไหว พระเจ้าทรงรู้วุฒิภาวะและสิ่งที่เราทำได้ ยิ่งเราเต็มใจที่จะเอาใจใส่น้ำพระทัย และยิ่งมีภาระในหน้าที่มากเท่าไหร่ ประสบการณ์ของเราก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ความเข้าใจในนามพระทัยของเราก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้น การได้ผ่านความยากลำบากเหล่านี้ ทำให้ตอนนี้ผมเข้าใจว่า ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ผมได้รู้จักตัวเองและการกระทำของพระเจ้าได้ดีขึ้น ตอนที่ผมเพิ่มเริ่มทำหน้าที่นี้ ผมขาดความเชื่อ ผมไม่รู้จักอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือพึ่งพาพระองค์ และไม่แสวงหาการทรงนำ ผมเอาแต่พยายามพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการทำหน้าที่ หลังจากได้อ่านพระวจนะและเริ่มเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ผมก็ได้รับความเชื่อและทำหน้าที่อย่างหนัก ผมมักจะอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า รวมถึงแสวงหาและเข้าสนิทกับเหล่าผู้นำ จนได้รับรู้ถึงหลักธรรมที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ รวมถึงเส้นทางและแนวทางบางอย่างในการทำงานของคริสตจักร การก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมไม่อยู่ในสภาวะคิดลบอีกต่อไป และไม่รู้สึกว่าผมไม่สามารถทำหน้าที่ให้ดีได้อีกต่อไป เมื่อสิ่งต่างๆ มาถึงผมในแต่ละวัน ผมก็เรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง แข็งขันปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม และเมื่อเจอความยากลำบาก ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงนำและช่วยให้ผมก้าวผ่านสภาพแวดล้อมและเรื่องยากลำบากทั้งหลายไปได้ ผมก็ไม่รู้สึกว่าปัญหาหรือความเครียดของผมมันหนักหนาอีกต่อไป ถ้าผมไม่ได้ก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ ผมคงไม่ได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า คงไม่ตระหนักรู้และได้รับประโยชน์เหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงการมีประสบการณ์ที่แท้จริงเลย แบบนั้น ผมคงทำหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมไม่ได้ ตอนนี้ผมเข้าใจที่พระวจนะกล่าวแล้วว่า “ยิ่งเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม) ผมโหยหาที่จะแบกรับภาระมากขึ้น เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า
ตอนนี้ เวเนซุเอลามีความยากลำบากมากมายทางเศรษฐกิจ บริการสาธารณะ และอินเทอร์เน็ต ถึงบางครั้งผมจะรู้สึกเครียด ผมก็ได้เรียนรู้ในการที่จะพึ่งพาและแสวงหาพระเจ้า และมีความเชื่อในพระองค์ ถ้าผมไม่ได้ประสบกับความยากลำบากเหล่านี้ ผมคงไม่เข้าใจความสำคัญของการทำหน้าที่ หรือวิธีแสวงหาพระเจ้าท่ามกลางความยากลำบาก ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ผมได้รับความรู้ และประโยชน์เหล่านี้