41. ความรอดพึงต้องมีสถานะด้วยหรือ?

โดย อี้ฉวิน, ประเทศจีน

หลายปีแล้วที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ไกลจากบ้านและได้รับผิดชอบงานของคริสตจักร  แม้ฉันเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แต่ฉันก็ไม่เคยมีปัญหาสุขภาพที่หนักหนาอะไร  แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นช่วงสองสามปีมานี้ ฉันจึงไม่เหมือนเดิมดังที่เคยเป็นเลยทั้งทางกายและทางใจ  การนอนดึกหน่อยเดียวทำให้ฉันหมดเรี่ยวหมดแรงในวันถัดมา รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว และหัวใจฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี  ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ผู้นำได้พิจารณาสุขภาพของฉัน และเกรงว่าร่างกายฉันจะรับบทบาทผู้นำซึ่งมีความเครียดสูงไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงให้ฉันกลับบ้านไปดูแลเรื่องสุขภาพของฉัน และทำหน้าที่ใดก็ตามที่ฉันทำไหว  ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ฉันเสียความรู้สึกจริงๆ  ฉันคิดว่า “นี่คือช่วงเวลาสำคัญยิ่งในเพิ่มพูนความประพฤติดีในหน้าที่  การถูกโยกย้าย กลายเป็นแค่ผู้เชื่อธรรมดาแทนที่จะเป็นผู้นำ ฉันก็จะมีโอกาสปฏิบัติน้อยลง ฉันจะเรียนรู้ความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ช้าลง ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะได้รับความรอดของฉันก็จะลดลง  นั่นจะไม่เหมือนการเป็นผู้นำ การได้แก้ไขประเด็นปัญหาและความลำบากยากเย็นสารพัดของพี่น้องชายหญิงเสมอ การเรียนรู้และการเข้าสู่ความจริงได้รวดเร็วพร้อมความน่าจะเป็นที่ดีกว่าสำหรับความรอด  พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อเปิดโปงและกำจัดฉันออกไปหรือเปล่า?”  ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งเสียความรู้สึกจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้  ต่อมาหลังจากพี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้เรื่องสภาวะของฉัน เธอก็สามัคคีธรรมกับฉัน  เธอบอกฉันว่า “มีน้ำพระทัยอันเปี่ยมเมตตากรุณาของพระเจ้าอยู่ในเรื่องนี้ และในเวลาที่พวกเราไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า อันดับแรกคือต้องนบนอบ อธิษฐานและแสวงหาให้มากขึ้น แต่เราไม่อาจเข้าใจผิดหรือพร่ำบ่นร้องทุกข์ได้เลย”  สามัคคีธรรมของเธอเตือนใจฉันว่า สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน แต่ว่าต้องมีความจริงที่ฉันควรแสวงหาและเข้าสู่ และฉันควรจะนบนอบ  แต่ฉันก็ยังคงเสียความรู้สึกจริงๆ  เวลาตื่นขึ้นมากลางดึกและนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันก็จะนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมา คิดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ฉันเชื่อมาตลอดหลายปี และในที่สุด พอเป็นช่วงสำคัญยิ่งของพระราชกิจพอดี ฉันกลับเสียโอกาสที่จะได้รับใช้ในฐานะผู้นำ  ฉันเป็นแค่ผู้เชื่อธรรมดา  ฉันจะยังมีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด และทำให้เพียบพร้อมอยู่หรือ?”  ฉันยังคงต้องการทำหน้าที่เป็นผู้นำต่อไป แต่ฉันก็กลัวว่าความเจ็บป่วยของฉันอาจจะกำเริบขึ้นมา และส่งผลต่องานของคริสตจักร  ฉันไม่อาจคิดถึงแต่ตัวเอง และทำให้งานของคริสตจักรตกอยู่ในความเสี่ยง  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น  ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

ในการเฝ้าเดี่ยวของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าที่เปิดเผยวิธีที่พวกศัตรูของพระคริสต์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของพวกเขา และฉันก็ได้เข้าใจตัวเองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  พระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อมีการปรับเปลี่ยนต่างๆ ในหน้าที่ของพวกเขา อย่างน้อยที่สุดผู้คนก็ควรนบนอบ หาประโยชน์จากการทบทวนตนเอง และมีการประเมินอย่างถูกต้องว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตนดีพอหรือไม่  แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์  สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาแตกต่างไปจากผู้คนปกติ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาก็ตาม  ความแตกต่างนี้อยู่ตรงไหน?  พวกเขาไม่เชื่อฟัง พวกเขาไม่ให้ความร่วมมือในเชิงรุก และไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับรู้สึกชิงชังรังเกียจการปรับเปลี่ยนดังกล่าว พวกเขาต้านทาน วิเคราะห์ และใคร่ครวญการปรับเปลี่ยนนั้นๆ และเค้นสมองของพวกเขาเพื่อที่จะคาดเดาว่า  ‘ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่นี้?  ทำไมฉันจึงถูกย้ายไปทำหน้าที่ที่ไม่สำคัญ?  นี่ใช่วิถีทางที่จะเปิดเผยตัวฉันและกำจัดฉันออกไปหรือไม่?’  พวกเขาคอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น วิเคราะห์และตรึกตรองสิ่งนั้นอย่างไม่รู้จบ  เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่เป็นไรโดยแท้ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เริ่มปั่นป่วนอยู่ภายในหัวใจของพวกเขาประหนึ่งว่าอยู่ในห้วงน้ำที่กำลังมีพายุ และในหัวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยคำถาม  ภายนอกนั้นอาจดูเหมือนว่าพวกเขาเก่งกว่าผู้อื่นในการไตร่ตรองประเด็นปัญหา แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์เลวกว่าผู้คนปกติโดยแท้… ศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยทำตามการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขายึดโยงหน้าที่ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเข้ากับความหวังที่จะได้รับพรและบั้นปลายในอนาคตอย่างแนบแน่นเสมอ ราวกับว่าทันทีที่ความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาสูญสิ้น พวกเขาก็หมดหวังที่จะได้รับพรและรางวัล และทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับสูญสิ้นชีวิตไปด้วย  พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องรอบคอบ ฉันต้องไม่ประมาท!  พระนิเวศของพระเจ้า พี่น้องชายหญิง ผู้นำและคนทำงาน และแม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งพาได้  ฉันไม่สามารถไว้ใจพวกเขาคนใดได้  คนที่คุณพึ่งพาได้ที่สุดและคู่ควรแก่ความไว้วางใจที่สุดก็คือตัวคุณเอง  ถ้าคุณไม่วางแผนให้ตัวเองเช่นนั้นแล้วใครจะมาใส่ใจดูแลคุณ?  ใครจะมาคำนึงถึงอนาคตของคุณ?  ใครจะมาคำนึงว่าคุณจะได้รับพรหรือไม่?  เพราะฉะนั้น ฉันต้องวางแผนและคิดคำนวณเพื่อตัวเองให้รอบคอบ  ฉันจะทำผิดพลาดหรือประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นฉันจะทำอย่างไรถ้ามีใครพยายามเอาเปรียบฉัน?’  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงระวังตัวกับเหล่าผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า กลัวว่าจะมีคนรู้ทันหรือดูพวกเขาออก แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะถูกปลด และความฝันที่จะได้รับพรก็จะพังทลาย  พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอาไว้ เพื่อให้พวกเขามีความหวังที่จะได้รับพร  ศัตรูของพระคริสต์มองการได้รับพรว่ายิ่งใหญ่กว่าฟ้าสวรรค์ ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต สำคัญกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย หรือความรอดส่วนบุคคล และสำคัญกว่าการทำหน้าที่ของตนให้ดีและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  พวกเขาคิดว่าการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน การทำหน้าที่ของตนได้ดี และการได้รับการช่วยให้รอดล้วนแต่เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบจะไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงหรือแสดงความคิดเห็น ในขณะที่การได้รับพรเป็นสิ่งเดียวในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาที่ไม่อาจลืมได้เป็นอันขาด  ในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด พวกเขาก็เอามายึดโยงกับการได้รับพร ระมัดระวังและเอาใจใส่อย่างยิ่ง และพวกเขาก็เหลือทางออกไว้ให้ตัวเองเสมอ  ดังนั้นเมื่อหน้าที่ของพวกเขาถูกปรับแก้ หากเป็นการส่งเสริม ศัตรูของพระคริสต์ก็จะคิดว่าพวกเขามีความหวังที่จะได้รับพร  หากเป็นการลดชั้น จากผู้นำทีมไปเป็นผู้ช่วยผู้นำทีม หรือจากผู้ช่วยผู้นำทีมไปเป็นสมาชิกกลุ่มปกติทั่วไป พวกเขาย่อมคาดคิดไปว่านี่จะเป็นปัญหาใหญ่ และคิดว่าความหวังที่ตนจะได้รับพรย่อมมีน้อย  นี่เป็นทัศนคติแบบใด?  ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ทัศนะเช่นนี้ไร้สาระ!(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะและไม่มีความหวังที่จะได้รับพร)  “ในหัวใจของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์คิดเทียบอยู่เสมอว่าสถานะที่สูงหรือต่ำต้อยหมายถึงพรของตนจะมีมากหรือน้อย  ไม่ว่าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือกลุ่มอื่นใด สำหรับพวกเขาแล้ว สถานะและชนชั้นของผู้คนย่อมถูกกำหนดเอาไว้ เช่นเดียวกับจุดจบสุดท้ายของพวกเขา สถานะของใครสูงส่งเพียงใดและพวกเขาใช้อำนาจได้มากเพียงใดในพระนิเวศของพระเจ้าในชีวิตนี้ย่อมเทียบเท่าระดับของพร รางวัล และมงกุฎที่พวกเขาจะได้รับในโลกที่จะมาถึง—สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน  ทัศนะนี้เชื่อได้หรือไม่?  พระเจ้าไม่เคยตรัสเช่นนี้ และพระองค์ก็ไม่เคยทรงสัญญาไว้เช่นนี้ แต่นี่คือการคิดอ่านชนิดที่เกิดขึ้นในตัวศัตรูของพระคริสต์… บอกเราทีเถิด ความคิดอ่านของศัตรูพระคริสต์เหล่านี้ออกจะผิดปกติมิใช่หรือ?  พวกเขาเลวอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  พวกเขาเมินและไม่ยอมรับสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าระบุไว้ คิดไปว่าวิธีคิดและวิธีเชื่อในพระเจ้าของตนนั้นถูกต้อง และพวกเขาก็ยินดีในเรื่องนี้ ชื่นชมและเลื่อมใสตัวเอง  พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริง และไม่เคยตรวจสอบพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดูว่าพระวจนะกล่าวอะไรเช่นนั้นหรือให้สัญญาไว้เช่นนั้นหรือไม่(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบสอง: พวกเขาอยากถอนตัวเมื่อไม่มีสถานะและไม่มีความหวังที่จะได้รับพร)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์มีความเชื่อเพียงเพื่อพรและบำเหน็จเท่านั้น  พวกเขาจัดอันดับหน้าที่ต่างๆ โดยเชื่อมโยงสถานะสูงต่ำอย่างใกล้ชิดกับพรที่มากหรือน้อยกว่าที่อาจได้รับ  พวกเขาคิดว่าหากปราศจากสถานะ พวกเขาย่อมแทบไม่มีโอกาสแห่งความรอด  ดังนั้นพวกเขาจึงติเตียน เข้าใจผิด และถึงกับต่อสู้กับพระเจ้า  พวกเขาห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและห่วงว่าจะได้มาซึ่งพรหรือไม่ แต่ไม่เคยแสวงหาความจริงหรือเรียนรู้บทเรียนต่างๆ เลย  ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่มีความยำเกรงหรือความนบนอบต่อพระเจ้าในหัวใจเลยจริงๆ แต่กลับชั่วและเลี้ยวลดโดยธรรมชาติ  โดยพื้นฐานจากพฤติกรรมของฉันนั้น ฉันเป็นเหมือนศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด  ฉันกำลังเชื่อมโยงสถานะของตัวเองกับขนาดของพรที่ฉันจะได้รับ และฉันก็คิดเสมอว่า การที่ไม่ใช่ผู้นำนั้นหมายความว่า ฉันจะไม่มีสถานะ  และฉันก็คงไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือได้รับพร  เป็นเพราะเรื่องนี้ ฉันจึงไม่อาจรับมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแม้แต่การเปลี่ยนแปลงตามปกติในหน้าที่ และในใจฉันคิดอะไรมากมาย  แต่ในข้อเท็จจริงนั้น คริสตจักรจัดการเตรียมหน้าที่ให้แต่ละคนไปตามหลักธรรมและสถานการณ์ที่เป็นจริงของพวกเขา  ตัวฉันมีปัญหาสุขภาพ  ผู้นำทั้งหลายมีเรื่องต้องรับมือมากมาย มีความเครียดมากมาย และร่างกายฉันก็รับไม่ไหว  นั่นคงส่งผลเสียต่อหน้าที่ของฉัน  การจัดการเตรียมการของคริสตจักรให้ฉันเข้ารับงานที่ฉันสามารถรับทำได้นั้น เป็นการดีทั้งต่อฉันและงานของคริสตจักร  แต่ฉันกลับสงสัยและคาใจ สิ่งแรกที่ฉันคิดเกี่ยวกับการที่ไม่ใช่ผู้นำก็คือ ฉันจะมีความหวังน้อยมากที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ความคิดที่ว่าจะไม่ได้พรและถูกทิ้งไว้โดยปราศจากบั้นปลายที่ดีทำให้ฉันรู้สึกเหมือนความหวังเดียวในความเชื่อของฉันได้ถูกพรากไป  ฉันพลันหมดแรงขับเคลื่อนและกลายเป็นค่อนข้างคิดลบ  ฉันได้เห็นว่า ตัวเองไม่ได้มองสิ่งต่างๆ โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักธรรมความจริง แต่อยู่บนพื้นฐานว่าฉันได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นหรือไม่  เมื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของฉันไม่ได้รับการสนอง ฉันก็คิดว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้สถานการณ์นั้นมากำจัดฉันออกไป  ฉันได้เห็นว่าตัวเองลดเลี้ยวจริงๆ!  ฉันจินตนาการไปว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนมนุษยชาติที่เสื่อมทราม ปราศจากความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม  ฉันคิดว่าพระองค์ทรงประเมินวัดพวกเราและกำหนดพิจารณาจุดจบของพวกเราโดยมีพื้นฐานอยู่บนความยิ่งใหญ่ของสถานะหรือหน้าที่  ฉันคิดว่าหากผู้คนมีสถานะ พระเจ้าก็จะทรงโปรดปรานและช่วยพวกเขาให้รอด  แต่ไม่เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  นั่นไม่ใช่การไม่ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้า และการหมิ่นประมาทพระองค์หรอกหรือ?  ฉันได้เห็นว่าหลังจากเชื่อมาหลายปี ฉันก็ไม่ได้เข้าใจหรือเชื่อฟังพระเจ้าเลย  หากไม่มีข้อเท็จจริงมาคอยเปิดโปง ฉันก็คงจะไม่ได้ตระหนักว่า มุมมองเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาของฉันนั้นผิดไปอย่างไร

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ที่ช่วยให้ฉันเห็นมุมมองที่ผิดของตัวเอง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนมากมายไม่รู้แน่ชัดว่าการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอย่างไร  ผู้คนบางคนเชื่อว่าหากพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน เช่นนั้นก็ยิ่งมีแนวโน้มที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนบางคนคิดว่าหากพวกเขาเข้าใจคำสอนฝ่ายวิญญาณมาก เช่นนั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการช่วยให้รอด หรือบางคนคิดว่าผู้นำและคนทำงานจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  ทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  กุญแจสำคัญคือผู้คนต้องเข้าใจว่าความรอดหมายถึงสิ่งใด  โดยส่วนใหญ่นั้นการได้รับการช่วยให้รอดหมายถึงการเป็นอิสระจากบาป เป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน หันมาหาพระเจ้าและนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้าต้องมีสิ่งใดจึงจะเป็นอิสระจากบาปและจากอิทธิพลของซาตาน?  ความจริง  หากผู้คนหวังจะได้รับความจริง พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วยพระวจนะอันมากมายของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมีประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะได้ เพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเขามีความรู้มากเท่าใด ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งหรือไม่ หรือพวกเขาทนทุกข์มามากเพียงใด  สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับความรอดโดยตรงคือการที่บุคคลผู้หนึ่งสามารถได้รับความจริงหรือไม่  ดังนั้นในวันนี้มีความจริงมากเพียงใดที่เจ้าเข้าใจอย่างจริงแท้?  และมีพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดที่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า?  ในบรรดาข้อพึงประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า เจ้าสัมฤทธิ์การเข้าสู่ข้อใดไปแล้วบ้าง?  ในระหว่างหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใดแล้ว?  หากเจ้าไม่รู้ หรือหากเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะใดของพระเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว กล่าวตามตรงก็คือเจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด  เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษจึงถูกลงโทษเช่นนั้นเพราะความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นโทษทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำที่ชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  บทตอนเหล่านี้ดลใจฉันจริงๆ  ฉันได้เห็นว่า การถูกช่วยให้รอดไม่มีอะไรมาเกี่ยวกับการเป็นผู้นำหรือการมีสถานะเลย  ความรอดเป็นเรื่องของการสลัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของซาตานทิ้งไป และการมานบนอบต่อพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ที่นบนอบต่อพระเจ้าและใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริง  ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไร ตราบที่เรายอมรับความจริง มุ่งเน้นการทบทวนตัวเองได้เมื่อถูกตัดแต่ง รู้จักความเสื่อมทรามและข้อเสียของตัวเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า กลับใจและเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้ว เราก็สามารถได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดโดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหานั้น  ไม่สำคัญว่าว่าสถานะของใครบางคนจะสูงส่งแค่ไหน หรือพวกเขาทนทุกข์มากเท่าใด หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะถูกกำจัดออกไป  ไม่ผิดจากเปาโล  แม้เขาได้มีสถานะและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จลุล่วงไปอย่างมากมาย ความพยายามที่เขาสละให้กับงานที่เขาทำนั้นล้วนเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพรและบำเหน็จ  เขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้มีความเข้าใจอันใดในตัวเองหรือพระเจ้าเลย  ตลอดเวลา เขาเป็นพยานให้กับตัวเอง และให้กับการที่ว่าเขาได้ทนทุกข์เพื่อพระเจ้าขนาดไหน  เขาคุยโวว่า “ข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครทูตพิเศษเหล่านั้นแม้แต่น้อยเลย” (2 โครินธ์ 11:5)  แถมยังโอ้อวดอย่างหน้าไม่อายว่า “ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:8)  การที่สามารถกล่าวถ้อยคำซึ่งเป็นความเห็นนอกรีตที่ว่าเขาคือพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ชีพนั้น เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษ  แต่เปโตรไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาสถานะของตนในความเชื่อของเขา  เขาแค่พยายามที่จะรู้จักและนบนอบต่อพระเจ้า  พยายามที่จะปฏิบัติและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน และในที่สุดเขาก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า  เขานบนอบจนตาย และรักพระเจ้าที่สุด  นี่แสดงให้เราเห็นว่า การมีสถานะสูงและการทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ภาวะหรือมาตรฐานสำหรับความรอด  ใครบางคนซึ่งมีสถานะแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมักจะต่อต้านพระเจ้า ไม่มีคำพยานจริงแห่งการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า ย่อมไม่แคล้วที่จะถูกกำจัดออกไป  ต่อให้บางคนไม่มีสถานะสูงส่ง แต่พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ยังคงสามารถได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  พอตระหนักเรื่องนั้นได้ ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก  ฉันพร้อมที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหลายของพระเจ้า และยอมรับความเปลี่ยนแปลงในหน้าที่อย่างสงบ

ต่อมา ฉันได้อ่านอีกบทตอนของพระวจนะของพระเจ้า ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าดีขึ้น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ต่อหน้าความจริง ทุกคนย่อมเสมอภาค  ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะไม่ได้เก่งกว่าผู้อื่นมากนัก  ทุกคนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  ผู้ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะก็ควรไล่ตามเสาะหาความจริงขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเช่นกัน  ไม่มีผู้ใดอาจตัดสิทธิ์ของผู้อื่นในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนบางคนกระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า และมีขีดความสามารถอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ  นี่เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงมีหลักปฏิบัติเช่นนั้นในการส่งเสริมและใช้ผู้คน?  เนื่องจากมีความแตกต่างกันในขีดความสามารถและบุคลิกภาพของผู้คน แต่ละคนจึงเลือกเส้นทางที่แตกต่าง การนี้ย่อมนำไปสู่จุดจบที่แตกต่างในความเชื่อที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า  ผู้ที่แสวงหาความจริงย่อมได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นประชากรแห่งราชอาณาจักร ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแต่ประการใด ไม่อุทิศตนให้แก่หน้าที่ของตน ย่อมถูกกำจัดออกไป  พระนิเวศของพระเจ้าบ่มเพาะและใช้ผู้คนโดยดูว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาอุทิศตนให้แก่หน้าที่ของตนหรือไม่  มีความแตกต่างในลำดับชั้นของผู้คนที่หลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  ในเวลานี้ยังไม่มีลำดับชั้นในสถานะ ตำแหน่ง คุณค่า หรือคำนำหน้าชื่อของผู้คนที่หลากหลายนั้น  อย่างน้อยก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างลำดับขั้น ตำแหน่ง คุณค่า หรือสถานะของผู้คนที่หลากหลายในระหว่างช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดและนำพวกเขา  สิ่งที่แตกต่างมีแต่เพียงการแบ่งงานและบทบาทหน้าที่ที่ปฏิบัติกันเท่านั้น  แน่นอนว่าในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนบางคนได้รับการส่งเสริมและเลี้ยงดูเป็นพิเศษ และปฏิบัติงานที่พิเศษบางอย่าง ขณะที่ผู้คนบางคนไม่ได้รับโอกาสเช่นนั้นเนื่องจากเหตุผลต่างๆ อาทิ ปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถหรือสภาพแวดล้อมในครอบครัวของพวกเขา  แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยผู้ที่ไม่ได้รับโอกาสเช่นนั้นให้รอดกระนั้นหรือ?  หาเป็นเช่นนั้นไม่  คุณค่าและตำแหน่งของพวกเขาต่ำกว่าผู้อื่นหรือ?  ไม่เลย  ต่อหน้าความจริง ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีโอกาสไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริง และพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผล(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า ในพระนิเวศของพระองค์นั้น ไม่มีการจำแนกความต่างว่าสูงหรือต่ำสำหรับหน้าที่ตรงนี้  ทุกคนรับหน้าที่ต่างกันตามความจำเป็นของงาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันเบื้องหน้าความจริง  ไม่ว่าเรากำลังทำหน้าที่อยู่แห่งหนใด ไม่ว่าเรามีสถานะหรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าก็ให้การค้ำชูแก่พวกเราทุกๆ คน  พระองค์ไม่ทรงมีอคติต่อใครเพราะสถานะของพวกเขา  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสถานการณ์และเหตุการณ์ทุกประเภทโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานตามความต้องการจำเป็นของทุกคน เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจ และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  พระองค์ไม่ทรงปลดเปลื้องโอกาสในการปฏิบัติและเข้าสู่ความจริงไปจากเราเลย  พระเจ้าทรงเป็นธรรมต่อทุกคน  การได้รับความจริงหรือได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าไม่ได้ถูกกำหนดพิจารณาจากหน้าที่ แต่จากการไล่ตามเสาะหาของเราเองทั้งสิ้น  นี่ไม่ได้หมายความว่าหากพวกเราทำหน้าที่เป็นผู้นำ พระเจ้าก็จะมอบพระคุณและทำให้เรารู้แจ้งโดยเฉพาะเป็นพิเศษ และพูดไม่ได้เลยว่า หากเราเป็นผู้เชื่อทั่วไป พระเจ้าก็จะทรงเมินเฉยต่อเรา  พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและค้ำชูผู้คนโดยมีพื้นฐานอยู่บนการไล่ตามเสาะหาและท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  เราสามารถมองเห็นความชอบธรรมของพระองค์ได้ในการนี้  ถึงแม้ผู้คนมีหน้าที่ต่างกัน และเผชิญกับสิ่งที่ต่างกัน แต่อุปนิสัยเสื่อมทรามอันโอหังและเลี้ยวลดที่พวกเขาเผยออกมาล้วนเหมือนกัน  ตราบที่พวกเขาเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง และละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทราม พวกเขาก็สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  อีกแง่หนึ่งก็คือ หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่แสวงหาหรือปฏิบัติความจริงเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำหน้าที่อะไร หรือมีโอกาสมากแค่ไหนให้พวกเขาได้ฝึกฝน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  เหมือนกับตัวฉันนี่เอง หลังจากอยู่ในตำแหน่งผู้นำมาหลายปีพร้อมสถานะและโอกาสทั้งหมดที่จะฝึกฝน ฉันได้รับความจริงไปจริงๆ มากแค่ไหนหรือ?  ฉันคิดถึงเรื่องที่การเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของฉันได้ทิ้งให้ฉันคิดลบ เข้าใจผิด และพร่ำบ่น  ฉันไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าสักนิด และไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยสักนิด  ฉันเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ  แต่กระนั้น ฉันก็ยังเอาแต่คิดอย่างโง่เขลาว่าฉันอาจได้รับความรอดผ่านทางสถานะ  สถานะทำให้ฉันมึนเมาโดยสมบูรณ์  แม้พี่น้องชายหญิงบางคนไม่เคยเป็นผู้นำ แต่พวกเขาก็ยังคอยไล่ตามเสาะหาความจริงต่อไป แบกรับภาระในหน้าที่ มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นโดยไม่คาดฝัน และดำเนินไปตามความจริงที่พวกเขารู้  ความเสื่อมทรามที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ค่อยๆ ลดน้อยลง และพวกเขาก็นบนอบต่อพระเจ้ามากขึ้นทุกที  พวกเขามีคำพยานจริงของการใช้ชีวิตตามพระวจนะ  นั่นเตือนความทรงจำฉันเกี่ยวกับบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเราก็เต็มใจที่จะมอบทางแห่งชีวิตในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันแก่เจ้า ที่จะให้เจ้าเป็นดั่งปลาที่ได้กลับไปอยู่ในน้ำ  หากเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง เราจะเอามันทั้งหมดกลับคืน  เราไม่เต็มใจที่จะมอบคำพูดจากปากของเราให้แก่พวกที่โลภอยากได้สิ่งชูใจ ผู้ที่เป็นดั่งสุกรและสุนัข!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?)  องค์พระเยซูเจ้าก็เคยตรัสไว้ว่าครั้งหนึ่งเช่นกันว่า “เพราะว่าใครที่มีอยู่แล้วจะให้แก่คนนั้นจนมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่มีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา(มัทธิว 25:29)  พระเจ้าทรงเป็นธรรมและชอบธรรมกับมนุษยชาติ และไร้ซึ่งอคติต่อบุคคลใดเลย  ไม่ว่าคนคนนั้นคือผู้เชื่อธรรมดาหรือผู้นำ ตราบที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าย่อมจะทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งและภาวะผู้นำให้  หัวใจสำคัญก็คือ ใครคนหนึ่งมีความแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่  การเข้าใจเรื่องนี้ให้ความรู้แจ้งกับฉันจริงๆ  เมื่อก่อนนั้น ฉันกังวลเสมอว่า หากฉันไม่ใช่ผู้นำ ฉันก็คงจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะปฏิบัติ และฉันก็คงจะมีความหวังน้อยกว่าสำหรับความรอด  ฉันถึงกับคิดว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะกำจัดฉันออกไป ว่าพระองค์คงจะไม่ทรงช่วยฉันให้รอดอีกต่อไป  เหล่านั้นคือความเข้าใจผิดที่ฉันมีต่อพระเจ้า และนั่นคือการหมิ่นประมาท  ฉันไม่มีความเข้าใจในพระเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นจริงจังของพระเจ้า  แต่เมื่อมาคิดดูจริงๆ ตลอดหลายปีของความเชื่อนั้น ฉันถูกควบคุมโดยทรรศนะที่เข้าใจผิด ทำหน้าที่แค่เพื่อให้ได้รับการทรงอวยพร โดยคิดไปว่าฉันมีการไล่ตามเสาะหาที่ยอดเยี่ยม  ฉันหลงผิดไปกับภาพลักษณ์เทียมเท็จของตัวเอง และไม่ได้ทบทวนตนเองหรือรู้จักตัวเองเลย  การแปรเปลี่ยนในหน้าที่ของฉันได้เปิดเผยมุมมองที่เข้าใจผิดในการไล่ตามเสาะหาของฉัน และในที่สุด ฉันก็สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์เพื่อทบทวนและรู้จักตัวเอง  ฉันได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันและปัญหาในมุมมองของตัวเองขึ้นมาบ้าง และฉันก็ได้เห็นอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ฉันยังได้เรียนรู้ด้วยว่า ใครที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดและใครที่พระเจ้าทรงกำจัดออกไป และฉันก็เกิดความนบนอบต่อพระเจ้าขึ้นมาบ้าง  สถานการณ์นี้คือการคุ้มครองและความรอดของพระเจ้าที่มีต่อฉันจริงๆ

ต่อมาฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอน ที่ช่วยให้ฉันมองเห็นเส้นทางที่ฉันควรเดินในการเข้าสู่  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มนุษย์ควรพยายามลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์  บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา  หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง… การที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือถูกกำจัดออกไปนั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ซึ่งก็เป็นการกล่าวอีกด้วยว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)  ฉันได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า  ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสิ่งใด ฉันก็จำเป็นที่จะต้องนบนอบต่อการทรงปกครองและการจัดการเตรียมการนั้น  ฉันจะมีความเชื่อและทำหน้าที่แค่เพื่อพรและบำเหน็จไม่ได้  ไม่ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ฉันสามารถได้รับการช่วยให้รอด หรือได้รับการทรงอวยพรหรือไม่ ตราบที่ยังมีชีวิต ฉันก็ควรไล่ตามเสาะหาความจริง และความรู้เรื่องพระเจ้า  ต่อให้พระเจ้าทรงปฏิเสธและกำจัดฉันออกไปในท้ายที่สุด นั่นก็จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์  หลังจากที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว จะเป็นหน้าที่ใดที่ฉันปฏิบัติก็ไม่มีผลกระทบกับฉันมากนักอีกต่อไป  ฉันสามารถเผชิญหน้ากับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของฉันได้อย่างสงบ

โดยผ่านทางสถานการณ์นี้ที่ถูกทำให้ปรากฏออกมา ฉันได้เรียนรู้บางสิ่งเกี่ยวกับมุมมองอันเข้าใจผิดในความเชื่อของฉัน  ฉันยังได้เรียนรู้ด้วยว่า การที่ใครบางคนจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับสถานะของพวกเขา หรือการที่พวกเขาได้ทำงานไปมากเท่าใดแล้ว  หัวใจสำคัญก็คือการที่พวกเขาได้รับความจริง และเป็นใครคนหนึ่งซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือไม่  จากนั้นมา ฉันจึงแค่ต้องการเป็นคนติดดินและทำหน้าที่ของฉันให้ดีให้พระเจ้าพึงพอพระทัย

ก่อนหน้า: 40. ผลของการไม่เพียรพยายามในหน้าที่ของฉัน

ถัดไป: 42. ประโยชน์ที่ได้รับผ่านความทุกข์ยาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger