61. ความจริงแสดงให้ฉันได้เห็นทาง
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้ หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ? ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์ มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์ ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้ หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ทำให้คิดถึงประสบการณ์หนึ่งของฉันเมื่อ 5 ปีก่อน ฉันเพิ่งได้รับเลือกเป็นหัวหน้าคริสตจักร ฉันกระตือรือร้นจริงๆ และทำหน้าที่ของฉันอย่างจริงจัง ฉันมุ่งมั่นที่จะรับมือกับงานของคริสตจักรให้ดี ตอนที่ฉันเริ่มประเมินสถานการณ์เรื่องงานทั้งหมดของกลุ่ม ฉันพบว่าสมาชิกบางคนไม่เหมาะสมกับงาน และพวกหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ได้แก้ไขเรื่องนี้ บางคนไม่เข้าใจหลักการเลยด้วยซ้ำ และหัวหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ทำการสามัคคีธรรมและช่วยเหลือเร็วพอ ซึ่งกระทบต่องานของคริสตจักร นี่ทำให้ฉันเป็นกังวลมาก และฉันก็คิดว่า “ปัญหาอยู่ทนโท่ขนาดนี้ยังถูกทิ้งไว้ไม่แก้ไข เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รับผิดชอบงานเลย ฉันจะต้องพูดกับพวกเขาให้รู้เรื่องในการชุมนุมครั้งต่อไป และทำให้แน่ใจอย่างที่สุดว่า พวกเขารู้ว่าพวกเขาผิดตรงไหน” ในการชุมนุมครั้งต่อมา ฉันถามหัวหน้ากลุ่มเหล่านั้นเกี่ยวกับงานของพวกเขาซ้ำๆ และชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องและปัญหาที่ฉันเห็น แม้พวกเขาจะรู้ว่า พวกเขาไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันก็ยังไม่พอใจ ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่เข้มงวด จำแนกพวกมันออกมาจริงๆ และจัดการกับพวกเขา ก็จะไม่มีผลอะไรตามมา ฉันใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิ บอกพวกเขาว่า พวกเขาแค่ทำหน้าที่ให้พอเป็นพิธี และไม่ได้แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ว่าสิ่งนี้รบกวนงานของคริสตจักร และอะไรทำนองนั้น หลังจากพูดจบ ฉันไม่ได้ถามว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร แต่แค่ลุกกลับไปเฉยๆ คิดว่าฉันพบปัญหา และจากนั้นก็ได้แก้ไขมันแล้ว แต่สองสามวันต่อมา เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดกับฉันว่า “หัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งบอกว่า เขากลัวการมาพบคุณ เขาคิดว่าคุณจะจัดการกับเขา ถ้าคุณเห็นปัญหาในงานของเขา” การได้ยินแบบนี้ทำให้ฉันไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่ฉันก็คิดทันทีว่า ฉันแค่ทำในสิ่งที่จำเป็น และมันคือการค้นพบปัญหา แล้วจากนั้นก็ทำให้ถูกต้อง และจัดการกับพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ฉันไม่ได้คิดมากอะไร ในการประชุมกับพวกหัวหน้ากลุ่มครั้งต่อมา ฉันเอาแต่สอบถามถึงงานของพวกเขาอย่างเข้มงวด จากนั้นก็จัดการกับพวกเขา และแจกแจงสิ่งต่างๆ เมื่อฉันพบปัญหา ฉันยังพูดอย่างแน่ใจในตัวเองด้วยว่า “พี่น้องชายหญิงบางคนกลัวการถูกถามเกี่ยวกับงานของพวกเขา จะมีอะไรให้ต้องกลัว ถ้าคุณกำลังทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง? มีแต่การเรียนรู้เกี่ยวกับงานของคุณ จึงจะทำให้สามารถพบปัญหาและแก้ไขได้ทันเวลา” หลังการชุมนุม ฉันได้ยินหัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งพูดว่า “ฉันยังเรียนรู้อยู่เลยว่าต้องทำหน้าที่ของฉันอย่างไร และฉันก็มีความยากลำบากมากมาย ฉันอยากให้พวกมันได้รับการแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรมในการชุมนุมของเรา แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ฉันกลับเครียดกว่าเดิมอีก” การได้ยินแบบนี้ไม่สบอารมณ์นิดหน่อยสำหรับฉัน และฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดของฉัน ที่การชุมนุมไม่ได้ออกผล แต่ฉันคิดว่า มันน่าจะเป็นแค่เพราะความรู้อันน้อยนิดของฉัน ที่ทำให้การสามัคคีธรรมของฉันไม่ชัดเจน และมันก็ธรรมดาที่หัวหน้ากลุ่มคนใหม่จะรู้สึกกดดันมาก ฉันเลยสวนกลับไปง่ายๆ ว่า “ความเครียดคือแรงจูงใจ มันจะไม่ถูกต้องเลยถ้าคุณไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” ภายหลัง เพื่อนร่วมงานคนนึ่งมาได้รู้ว่า พวกหัวหน้ากลุ่มกลัวที่จะมาพบฉันและถูกฉันจัดการ และเตือนว่า “การจัดการกับผู้คนแบบนั้น เป็นการทำด้วยความโมโห มันไม่ช่วยกระตุ้นพี่น้องชายหญิงเลย เราควรสามัคคีธรรมความจริงมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาและความยากลำบากของพวกเขา” ฉันไม่ได้เอามันมาคิดมากอะไร เชื่อว่าแรงจูงใจของฉันถูกต้องแล้ว และแม้ว่าฉันจะพูดแรงเกินไปหน่อย ฉันก็แค่รับผิดชอบต่องานของฉัน ดังนั้น ทั้งๆ ที่พวกเพื่อนร่วมงานของฉัน เตือนฉันซ้ำๆ ฉันก็ไม่เคยไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพิจารณาตัวเองเลย ฉันค่อยๆ รู้สึกถึงความดำมืดที่เติบโตขึ้นในวิญญาณของฉัน และฉันก็ไม่สามารถรับรู้งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ ฉันทุกข์ทรมานและเจ็บปวด เมื่อนั้นเอง ที่ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพิจารณาตัวเอง “ทำไม่การทำงานของฉันถึงไม่สำเร็จอะไรเลย แต่ฉันกลับชนกำแพงอยู่ตลอดเวลา? ทำไมเหล่าพี่น้องชายหญิงพูดอยู่เสมอว่า ฉันบีบบังคับพวกเขา? มันเป็นอย่างที่เพื่อนร่วมงานบอกจริงๆ น่ะหรือ ว่าฉันจัดการกับผู้คนด้วยความโมโห? แต่ ฉันก็แค่พูดสิ่งต่างๆ อย่างเข้มงวดเพื่อให้งานของคริสตจักรสำเร็จได้ด้วยดีนี่นา ถ้าฉันไม่ทำแบบนั้น เหล่าพี่น้องชายหญิงจะตระหนักได้ว่า ปัญหาพวกนี้ร้ายแรงแค่ไหนหรือ?” แม้แต่ในช่วงที่ระทมทุกข์นี้ ฉันก็พยายามแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฉันทรมานมากจริงๆ
เมื่ออธิษฐานเสร็จ ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ในฐานะผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร หากเจ้าต้องการที่จะนำทางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งความจริง และที่จะรับใช้ในฐานะพยานของพระเจ้า สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ลึกขึ้นเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอดและจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์อันหลากหลายของพระองค์ที่มีต่อผู้คน เจ้าต้องมีความพยายามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฝึกฝนปฏิบัติให้มากเฉพาะเท่าที่เจ้าเข้าใจและสื่อสารเฉพาะสิ่งที่เจ้ารู้ จงอย่าอวดตัว อย่าฟุ้งเฟ้อ และอย่าให้ข้อคิดแบบขาดความรับผิดชอบ หากเจ้าพูดเกินจริง ผู้คนก็จะรังเกียจเจ้า และเจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิหลังจากนั้น นี่ก็แค่เป็นการไม่เหมาะสมเกินไป เมื่อเจ้าจัดเตรียมความจริงแก่ผู้อื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องจัดการพวกเขาและดุว่าพวกเขาเพื่อให้พวกเขาบรรลุความจริง หากตัวเจ้าเองไม่มีความจริงและเพียงจัดการและดุว่าผู้อื่นเท่านั้น พวกเขาก็จะเกรงกลัวเจ้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง ในงานด้านการบริหารบางอย่าง ไม่เป็นไรเลยที่เจ้าจะจัดการและตัดแต่งผู้อื่นและบ่มวินัยพวกเขาจนถึงระดับเฉพาะหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าไม่สามารถจัดเตรียมความจริงและรู้เพียงวิธีที่จะยกตนข่มท่านและก่นด่าผู้อื่น ความเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์ของเจ้าก็จะถูกเปิดเผย ด้วยการเคลื่อนผ่านของกาลเวลา ในขณะที่ผู้คนไม่มีความสามารถที่จะได้มาซึ่งการจัดเตรียมแห่งชีวิตหรือสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากเจ้า พวกเขาจะมารังเกียจเจ้าและรู้สึกขยะแขยงเจ้า พวกที่ขาดพร่องวิจารณญาณจะเรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบจากเจ้า พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะจัดการและตัดแต่งผู้อื่น เรียนรู้ที่จะเกิดโมโหขึ้นมา และเรียนรู้ที่จะคุมอารมณ์ของพวกเขาไม่อยู่ นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับการนำทางผู้อื่นขึ้นไปบนเส้นทางของเปาโล ขึ้นไปสู่เส้นทางที่ตรงไปยังความพินาศหรอกหรือ? นั่นไม่ใช่การทำชั่วหรอกหรือ? งานของเจ้าควรมุ่งเน้นที่การสื่อสารความจริงและการจัดเตรียมชีวิตให้ผู้อื่น หากทั้งหมดที่เจ้าทำคือจัดการและอบรมสั่งสอนผู้อื่นไปอย่างมืดบอด แล้วพวกเขาจะมีวันเข้าใจความจริงได้อย่างไรเล่า? เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะเห็นว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นใคร และพวกเขาก็จะทอดทิ้งเจ้า เจ้าสามารถคาดหวังที่จะนำพาผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในหนทางนี้ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นการทำงานได้อย่างไรกัน? เจ้าจะสูญเสียทุกคนไป หากเจ้ายังคงทำงานในหนทางนี้ต่อไป งานอะไรหรือที่เจ้าหวังจะทำให้สำเร็จลุล่วงไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม? ผู้นำบางคนไม่สามารถสื่อสารความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็แค่จัดการกับผู้อื่นไปอย่างมืดบอดและโบกโบยพลังอำนาจของพวกเขาเพื่อให้ผู้อื่นมาเกรงกลัวพวกเขาและเชื่อฟังพวกเขา—ผู้คนเช่นนั้นเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเหล่านั้นที่มีอุปนิสัยซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่สามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรได้ และไร้ความสามารถที่จะรับใช้พระเจ้า” (“มีเพียงบรรดาผู้ที่มีความจริงความเป็นจริงเท่านั้นที่สามารถนำทางได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสถานะของฉันเองอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังทำในหน้าที่ของฉันเลย แทนที่จะจดจ่อกับการสามัคคีธรรมบนความจริงเพื่อรับมือกับปัญหา ฉันทำตัวเจ้าอารมณ์ จัดการ ดุว่า และตำหนิคนอื่นๆ ผลก็คือ พวกเขาถูกกักขัง หวาดกลัว และหลีกเลี่ยงฉัน ฉันยังทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจ เพราะว่าฉันใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ฉันสูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจมลงในความมืดมิด เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้น เมื่อฉันพบปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง ฉันแทบจะไม่เสาะหาความจริง หรือหาพระวจนะของพระเจ้าสำหรับการสามัคคีธรรมโดยเฉพาะเจาะจงเลย และฉันก็ไม่ได้นำทางพวกเขาไปสู่วิถีของการปฏิบัติจริงๆ ฉันก็แค่ด่าว่าและตำหนิพวกเขาด้วยอุปนิสัยอันเย่อหยิ่งของฉัน เมื่อฉันเห็นว่าพวกเขารู้สึกอัดอั้นเพราะฉัน ฉันก็ยังไม่พิจารณาตัวเอง ฉันคิดว่าฉันกำลังรับผิดชอบหน้าที่ของฉัน คิดว่าฉันกำลังเอาใจใส่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า และแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พระเจ้าทรงเตือนฉันผ่านเหล่าเพื่อนร่วมงานของฉัน ไม่ให้จัดการกับผู้คนตามอำเภอใจด้วยความโมโห แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ ผลก็คือ พี่น้องชายหญิงบางคนเกิดความรู้สึกเชิงลบ พวกเขากลัวและหลีกเลี่ยงฉัน งานของคริสตจักรเองก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเหมือนกัน พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างชัดเจนให้หัวหน้าและผู้ทำงานทำงานผ่านกการสามัคคีธรรมบนความจริงเป็นหลัก พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องเข้าใจความจริง ก่อนที่พวกเขาจะสามารถยอบรับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และมีเพียงตอนนั้นเท่านั้น ที่พวกเขาจะมีแรงผลักดันในการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดี แต่ฉันก็ยังคิดว่าฉันต้องโหดร้ายในงานของฉัน เมื่อฉันค้นพบปัญหา ฉันต้องดุว่าและตำหนิพวกเขาอย่างไม่ลดละ และนั่นคือหนทางเดียว ที่จะทำให้พวกเขาเห็นถึงปัญหาของพวกเขา และปรับปรุงแก้ไข ฉันคิดว่ามันคือหนทางเดียวที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ ฉันเห็นตอนนั้นเองว่า มุมมองนี้มันไร้สาระแค่ไหน! การทำงานแบบนั้น ฉันได้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของฉัน และด่าว่าและบีบบังคับผู้คนอย่างเย่อหยิ่ง ฉันไม่ได้แก้ไขปัญหาของคนอื่นๆ ด้วยการสามัคคีธรรมบนความจริง พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เหล่าหัวหน้าใช้การสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องชายหญิง และพวกเขาก็มีจุดยืนเท่าเทียมกับทุกๆ คน ให้พวกเขาสามัคคีธรรมบนพระวจนะของพระเจ้า โดยยึดตามความยากลำบากที่แท้จริงของผู้คน และแบ่งปันการสามัคคีธรรมด้วยประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเขาเอง เพื่อชี้นำและช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าพวกเขาจัดการหรือเปิดโปงใครสักคน มันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของการสามัคคีธรรมบนความจริง เพื่อเน้นย้ำให้เห็นแก่นแท้และประเด็นสำคัญของปัญหา เพื่อที่ผู้คนจะได้เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง เพื่อให้พวกเขาสามารถเห็นถึงปัญหาของพวกเขาเองได้อย่างชัดเจน ธรรมชาติของปัญหาของพวกเขา ผลที่ตามมาอันแสนอันตรายของปัญหาของพวกเขา และเพื่อให้พวกเขารู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้สอดล้องกับความจริง และควรทำหน้าที่ของพวกเขาตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างไร แต่ฉันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของฉันตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง ฉันไม่ได้ฟังคำเตือนของพวกเพื่อนร่วมงาน และยิ่งไม่ได้พิจารณา ธรรมชาติและผลที่ตามมาของการดุว่าผู้คนของฉัน เกิดจากอุปนิสัยแบบซาตานในหน้าที่ของฉัน ฉันแก้ตัวกับตัวเอง พูดว่าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง และเพื่องานของคริสตจักร ฉันไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในหน้าที่ของฉัน และไม่ใช่แค่ฉันไม่ได้มอบประโยชน์ให้แก่คนอื่นเลย แต่ความจริงแล้วฉันยังบีบบังคับพวกเขาด้วย พวกเขาทุกคนเป็นทุกข์และอัดอั้น ฉันกำลังทำร้ายพวกเขาอยู่ไม่ใช่หรือ? ฉันกำลังทำความชั่ว! ฉันไม่เคยคิดเลยว่า การทำหน้าที่ของฉันด้วยอุปนิสัยแบบซาตานของฉัน จะทำให้มีผลตามมาที่ร้ายแรงขนาดนี้ ฉันเสียใจจริงๆ ที่จัดการกับพวกเขา และดุว่าพวกเขาแบบนั้น ฉันรีบอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคิดว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้ฉันกระทำความชั่วโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ?
หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!” (“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยรากของการทำความชั่วของฉัน ฉันถูกควบคุมโดยธรรมชาติอันเย่อหยิ่งและทระนงของฉัน เป็นเพราะธรรมชาติอันเย่อหยิ่งและทระนงของฉัน ฉันคิดเสมอว่า ฉันมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น ฉันจึงบงการพวกเขา เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือมองข้ามในงานของพี่น้องชายหญิง ฉันดูถูกพวกเขา ใช้ตำแหน่งเพื่อดุว่าและจัดการกับพวกเขา ฉันไม่ได้เข้าอกเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจเลย เมื่อถูกควบคุมโดยธรรมชาติอันเย่อหยิ่ง ฉันยังมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่ด้วย คิดว่าหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหา คือการจัดการกับผู้คนอย่างเข้มงวด ฉันแสดงมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของฉันเองว่าเป็นความจริง แม้แต่เมื่อฉันเห็นว่า วิธีการทำงานของฉันทำให้คนอื่นๆ อัดอั้น ฉันก็ยังคงทำตามหนทางของฉัน ไม่เต็มใจที่จะรับฟังเหล่าพี่น้องชายหญิง แม้แต่เมื่อพวกเพื่อนร่วมงานเตือนฉัน ฉันก็ยังไม่พิจารณาตัวเอง ฉันคิดว่าฉันแค่ใช้น้ำเสียงที่รุนแรงเล็กน้อย และพวกเขาไม่สามารถรับมือกับการถูกจัดการได้ ฉันได้ทำหน้าที่ตามอุปนิสัยอันเย่อหยิ่งเยี่ยงซาตานของฉัน ทำร้ายเหล่าพี่น้องชายหญิง และทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า ทั้งหมดที่ฉันทำคือความชั่วของการต่อต้านพระเจ้า!
ฉันได้อ่านพระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ในภายหลัง “เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ? ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์ มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์ ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้ หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น หากบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าปฏิบัติตามบุคลิกลักษณะของพวกเขาเองและกระทำตามเจตจำนงของพวกเขาเอง พวกเขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกไปได้ตลอดเวลา พวกที่นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีของตนมาใช้ในการรับใช้พระเจ้าเพื่อที่จะชนะใจผู้อื่น เพื่ออบรมสั่งสอนพวกเขาและควบคุมพวกเขา และเพื่ออยู่ในตำแหน่งสูง—และพวกที่ไม่เคยกลับใจ ไม่เคยสารภาพบาปพวกเขา ไม่เคยประกาศสละผลประโยชน์จากตำแหน่ง—ผู้คนเหล่านี้จะต้องล้มลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเปาโล โดยถือสิทธิความอาวุโสของตนและโอ้อวดเรื่องคุณวุฒิของตน พระเจ้าจะไม่ทรงนำพาผู้คนเยี่ยงนี้ไปสู่การมีความเพียบพร้อม การปรนนิบัติเช่นนั้นแทรกแซงพระราชกิจของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง) พระวจนะเหล่านี้ทำให้ฉันแหลกสลายเมื่อได้อ่าน และฉันก็สามารถรู้สึกว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่อดทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง ฉันเห็นว่าช่วงเวลาหลายปีแห่งความศรัทธาของฉัน ฉันไมได้จดจ่ออยู่กับการเสาะหาหลักปฏิบัติของความจริง แต่เอาแต่ทำหน้าที่ในหนทางของฉันเอง ฉันไร้การควบคุมในอุปนิสัยอันเย่อหยิ่งของฉัน ดุว่าและบีบบังคับผู้คนจากอำนาจของตำแหน่งของฉัน และก็จบลงด้วยการบีบบังคับพี่น้องชายหญิงของฉัน พวกเขาอัดอั้นและเจ็บปวด ฉันช่างขาดมนุษยธรรมเหลือเกิน ฉันไม่เพียงแต่ทำพลาดเรื่องการแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพี่น้องชายหญิง แต่ฉันยังขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา และยับยั้งงานของคริสตจักร นั่นเป็นการทำหน้าที่ของฉันอย่างไร? ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตานหรอกหรือ? ฉันเคยคิดอยู่เสมอว่าแรงจูงใจของฉันถูกต้อง ว่าฉันใส่ใจเกี่ยวกับงานของคริสตจักร แต่แล้วฉันก็ได้เห็น ว่าความกระตือรือร้นเล็กน้อย และการรู้หลักคำสอนนิดหน่อย ไม่เพียงพอที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยกับหน้าที่ของฉัน หากไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยแบบซาตานของฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แล้วจากนั้น หน้าที่ของฉันก็จะไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็แค่ทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้าอย่างขัดแย้งกับตัวเอง ฉันคิดถึงเหล่าหัวหน้าเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกกำจัด พวกเขาไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า หรือปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาได้ทำหน้าที่ด้วยอุปนิสัยแบบซาตานของพวกเขา ช่างเย่อหยิ่ง อวดดี และจองหอง จัดการกับผู้คนตามใจตัวเอง และดุว่าผู้คน ทำตัวสูงส่ง ทำตัวเป็นทรราช ผลกระทบต่อผู้อื่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการทำร้าย และพวกมันก็ไม่ได้เป็นอะไร นอกจากการฉีกทึ้งและรบกวนงานของคริสตจักร งานของพวกเขาไม่ได้เป็นอะไร นอกจากการทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า! มันก็เหมือนกับที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23) สิ่งนี้ทำให้ฉันกลัวนิดหน่อย ถ้าฉันยังทำหน้าที่ของฉันตามอุปนิสัยราวกับซาตานต่อไป เมื่อนั้น ฉันก็จะได้แต่รบกวนงานของคริสตจักร และถูกประณามและถูกกำจัดโดยพระเจ้า เหมือนอย่างคนที่ทำความชั่วที่ต่อต้านพระเจ้าพวกนั้น ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนัก ว่าการที่ชีวิตคริสตจักรและหน้าที่ของฉันไร้ดอกผล เป็นพระเจ้ากำลังทรงเปิดโปงฉัน และว่าฉันควรจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อพิจารณาตัวเองและสำนึกผิดต่อพระองค์ เมื่อคิดถึงธรรมชาติอันเย่อหยิ่งที่ฉันมี หากปราศจากการพิพากษาและการเปิดโปงของพระวจนะของพระเจ้า และสิ่งที่ความจริงได้เปิดเผย ฉันคงไม่มีวันยอมรับได้ ฉันคงไม่มีวันมองเห็นถึงผลที่ตามมาอันแสนอันตรายของการทำหน้าที่ด้วยอุปนิสัยราวกับซาตานของฉัน ตอนนั้นเองที่ฉันประทับใจจริงๆ และฉันก็รู้สึกว่าทำแบบนั้นต่อไปไม่ได้ ฉันต้องเสาะหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของฉัน
จากนั้นฉันก็ได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อประเด็นปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องมีความใจเย็นและวิธีเข้าหาที่ถูกต้อง และเจ้าต้องตัดสินใจเลือก พวกเจ้าควรเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา ในเวลาปกติ สิ่งใดคือประโยชน์ของการเข้าใจความจริงบางอย่าง? นั่นไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าอิ่มท้อง และนั่นไม่ใช่แค่เพื่อเพื่อให้เจ้ามีบางอย่างพูดถึง อีกทั้งนั่นไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้อื่น ที่สำคัญกว่านั้นคือ ประโยชน์ของการเข้าใจความจริงก็คือเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเจ้าเอง ความลำบากยากเย็นของตัวเจ้าเอง—เฉพาะหลังจากที่เจ้าแก้ไขความลำบากยากเย็นของตัวเจ้าเองแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้” (“ผู้คนที่งุนงงสับสนไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เจ้าต้องมีความเข้าใจในผู้คนที่เจ้าสามัคคีธรรมด้วย และเจ้าต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณในชีวิต เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถจัดหาชีวิตให้แก่ผู้อื่น และเติมเต็มความไม่พอเพียงของพวกเขาได้ เจ้าไม่ควรพูดคุยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเชิงอบรมสั่งสอน โดยพื้นฐานแล้ว นั่นเป็นการวางตัวในตำแหน่งที่ผิด ในการสามัคคีธรรม เจ้าต้องมีความเข้าใจในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ เจ้าต้องครองปัญญา และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้คน หากเจ้าจะรับใช้ผู้อื่น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเป็นบุคคลประเภทที่ถูกต้อง และเจ้าต้องสามัคคีธรรมด้วยทั้งหมดทั้งมวลที่เจ้ามี” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) ฉันเข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าในการแก้ปัญหาของผู้อื่น เราต้องปฏิบัติและเข้าถึงพระวจนะของพระเจ้าก่อน เราต้องเสาะหาความจริง และแก้ไขความเสื่อมทรามของเราเอง นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มันสำคัญที่จะมีปัญญาแยกแยะเหนืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา ดังนั้น เมื่อมีใครสักคนเปิดเผยความเสื่อมทรามแบบเดียวกัน เราจะรู้ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร จะสามัคคีธรรมด้วยประสบการณ์และความเข้าใจของเราเองอย่างไร เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นวิถีของการปฏิบัติ เรายังสามารถเข้าหาผู้อื่นอย่างถูกต้อง และเห็นว่าเรามีความเสื่อมทรามแบบเดียวกันกับที่เราเห็นในตัวของผู้อื่น มันเหมือนกันทั้งหมด เมื่อนั้น เราจะไม่คิดว่าเราดีกว่าผู้อื่น แต่เราสามารถสามัคคีธรรมในระดับที่เท่าเทียมกันได้ นั่นคือหนทางเดียวในการสามัคคีธรรมที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ฉันกลับทำอะไรลงไปล่ะ? ฉันไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเข้าถึงของฉันเอง หรือพิจารณาปัญหาในหน้าที่ของฉัน แทนที่จะทำหน้าอย่างนั้น ฉันก็แค่ทำงานเพื่อให้ได้ขึ้นชื่อว่าทำ ราวกับว่าฉันไร้ความเสื่อมทราม ฉันเอาแต่คิดถึงการแก้ไขปัญหาของคนอื่น และเมื่อการสามัคคีธรรมของฉันไม่ช่วยเหลือ ฉันก็วางท่าดุว่าพวกเขา ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์เลย ฉันเหมือนกับปีศาจ ฉันน่ารังเกียจและน่าเกลียดชังต่อพระเจ้า และเป็นปฏิปักษ์กับคนอื่นๆ ความจริงก็คือ พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นต้องการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดี แต่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจหลักปฏิบัติอย่างเต็มที่ เมื่อมีข้อผิดพลาดหรือการละทิ้งในงานเกิดขึ้น เราก็ควรจะเข้าอกเข้าใจและให้อภัย ชี้นำและช่วยเหลือในหนทางเชิงบวกมากกว่า เพื่อที่เราจะสามารถเสาะหาความจริง และแก้ไขสิ่งต่างๆ ด้วยกันได้ เราควรจะตำหนิและตักเตือนผู้คนที่ทอดทิ้งหน้าที่ของพวกเขาอย่างจงใจ เราไม่ควรใช้วิธีการเดียวกันสำหรับทุกๆ สถานการณ์ หัวใจของฉันสว่างขึ้นหลังจากเข้าใจสิ่งนี้ และฉันรู้ว่าฉันควรจะทำหน้าที่ของฉันอย่างไรต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้ยินว่า มีหัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งที่มีความสามารถที่ดี มีความเข้าใจถ่องแท้ในความจริง เป็นคนที่สามารถแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงผ่านการสามัคคีธรรมในความจริง แต่รู้สึกอ่อนแอ และท้อถอยเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบาก ฉันวิตกกังวลอีกครั้งทันทีที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ คิดว่าเธอไม่ได้รับหน้าที่ของเธออย่างจริงจัง และฉันต้องจัดการกับเธออย่างรุนแรง ทันใดนั้นฉันก็ตระหนักว่า ฉันกำลังทำตามอุปนิสัยอันเย่อหยิ่งของฉันอย่างมืดบอดอีกแล้ว ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า และตั้งมั่นที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ในครั้งนี้ แล้วฉันจึงไปหาหัวหน้ากลุ่มคนนั้น และเมื่อได้คุยกับเธอแบบเปิดใจ ฉันก็สามารถเข้าใจสถานะและความยากลำบากของเธอได้ ฉันพบพระวจนะที่เกี่ยวข้องจากพระเจ้า และใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการสามัคคีธรรมของฉัน เธอตระหนักได้ว่า เธอไม่ได้ทุ่มเทให้กับการมอบหมายงานของพระเจ้า และเธอต้องการเปลี่ยนแปลง สำหรับฉันมันน่าประทับใจจริงๆ ที่ได้เห็นน้องสาวของฉันพิจารณาตัวเองได้ และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันได้สำนึกจริงๆ แล้วว่า หัวหน้าคริสตจักรต้องจดจ่ออยู่กับการสามัคคีธรรมในความจริง เพื่อกระตุ้นผู้อื่นอย่างแท้จริง มันเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างประโยชน์ให้ชีวิตของผู้คน