49. ในวันแห่งการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์

โดย จ้าวฝาน, ประเทศจีน

ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำของคริสตจักรในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2020  เนื่องจากงานของเราได้รับผลกระทบเพราะขาดผู้ให้น้ำ ฉันจึงร้อนใจมาก  ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่หาคนมาแทน ผู้นำทั้งหลายอาจคิดว่าฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ขณะที่ฉันกังวลใจกับเรื่องนี้ ผู้นำคนหนึ่งก็ให้คนที่มีคุณสมบัติมา บอกว่าพี่น้องหญิงเสี่ยวตานที่เพิ่งย้ายมาคนนี้ทำหน้าที่ให้น้ำได้  ฉันตื่นเต้นดีใจมากและสบายใจจริงๆ  ฉันจัดการนัดประชุมกับเสี่ยวตานทันทีเพื่อเตรียมการให้เธอให้น้ำแก่ผู้มาใหม่

เพื่อจะฝึกฝนเสี่ยวตานและพัฒนางานให้น้ำของพวกเราให้ดีขึ้นโดยเร็ว ฉันจึงหาคนที่จะช่วยให้เธอคุ้นเคยกับการเป็นผู้มาใหม่  ไม่นาน ผู้นำคนเดียวกันก็ส่งข้อความมาว่าพี่น้องหญิงโจวนั่วที่รับผิดชอบดูแลงานวิดีโอ ต้องการให้เสี่ยวตานไปช่วยทำวิดีโอ และเสี่ยวตานก็ยินดีจะไป  ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นเช่นนี้ เพราะฉันจัดการทุกอย่างตั้งแต่ติดต่อเธอไปจนถึงจัดเตรียมหน้าที่ให้เธอ ฉันอยากให้เธอรู้ข้อมูลล่าสุดเพื่อพัฒนางานของพวกเรา แต่โจวนั่วกลับแทรกเข้ามากลางคัน  ฉันคิดไปว่าถ้าเสี่ยวตานไป ฉันก็ต้องหาคนอื่นมาช่วย และถ้าฉันหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผู้มาใหม่ก็จะไม่ได้รับการให้น้ำ  ถ้าเป็นอย่างนั้น เหล่าผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร?  การที่ฉันฝึกฝนให้เสี่ยวตานไปนั้นจะสูญเปล่าหรือ?  จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้  ฉันอยากหาวิธีรั้งตัวเธอไว้  ฉันเลยตอบผู้นำไปทันทีว่าพวกเราต้องการผู้ให้น้ำโดยด่วน และควรชั่งน้ำหนักการมอบหมายงานให้ผู้คนตามความจำเป็นเร่งด่วนของงานและจุดแข็งของคน  นอกจากนี้ฉันยังย้ำว่าเสี่ยวตานเคยทำงานให้น้ำมาก่อน ฉันจึงอยากให้ผู้นำคุยกับโจวนั่วว่าขอให้เสี่ยวตานทำงานให้น้ำต่อ  ฉันได้รับคำตอบในอีกสองวันต่อมาว่าเสี่ยวตานมีพื้นฐานด้านการผลิตวิดีโอ  เธอเองก็สนใจงานนี้ด้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วเธอเหมาะกับการผลิตวิดีโอมากกว่า  ฉันผิดหวังจริงๆ และคิดว่าเสี่ยวตานไม่มีทางจะสนใจงานนั้นแน่ถ้าโจวนั่วไม่มาชวน  แต่ในเมื่อตกลงกันไปแล้ว ฉันจึงต้องหาคนใหม่ และต้องหาโดยเร็วด้วย ไม่อย่างนั้นงานของพวกเราจะมีปัญหา และผู้นำคงหาว่าฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเป็นแน่  ฉันพิจารณาสมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ และเจอพี่น้องหญิงที่มีขีดความสามารถดีสองสามคน เป็นผู้แสวงหาที่ดีและเหมาะกับงานนี้  ในกลุ่มนี้มีพี่น้องหญิงหยางหมิงอี้ที่อบอุ่นและคุยง่าย และผู้มาใหม่ก็ชอบชุมนุมกับเธอ  เธอเหมาะสมกับตำแหน่งดี  ฉันดีใจมาก เริ่มฝึกฝนพี่น้องหญิงเหล่านั้นโดยเน้นที่หมิงอี้เป็นพิเศษ  ฉันคิดว่าฉันต้องคอยติดตามเรื่องนี้และทำให้เธอได้รับการบ่มเพาะโดยเร็วที่สุด ทุกคนจะได้เห็นว่าฉันมีความสามารถ

แม้ว่าฉันจะได้พี่น้องหญิงสองสามคนมาทำงานให้น้ำ แต่ฉันก็ยังอยากได้เสี่ยวตานกลับมา  ในการชุมนุมวันหนึ่ง เมื่อผู้นำอีกคนถามถึงเสี่ยวตาน ฉันจึงแอบเคือง และคิดในใจว่า “ฉันต้องบอกเธอเรื่องที่โจวนั่วจัดแจงให้เสี่ยวตานไปทำวิดีโอ เธอจะได้ตัดแต่งโจวนั่วและช่วยฉันเอาตัวเสี่ยวตานกลับมา  ฉันจะได้มีคนช่วยให้น้ำอีกแรง และพวกเราจะได้ทำงานได้ดีขึ้น”  ดังนั้นฉันจึงเล่าทุกอย่างให้ผู้นำคนนี้ฟังว่าโจวนั่วดึงตัวเสี่ยวตานไปทำวิดีโอ และย้ำว่าฉันเป็นคนฝึกฝนเธอก่อน แต่โจวนั่วกลับดึงตัวเธอไปจากฉัน  นึกไม่ถึงว่าผู้นำจะพูดว่า “คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกันและแบ่งแยกไม่ได้  ไม่ว่าเสี่ยวตานจะถูกส่งไปที่ไหน ก็เป็นไปเพื่องานของพวกเรา และงานผลิตวิดีโอจำเป็นต้องได้คนไปเพิ่ม พวกเราจึงไม่ควรทะเลาะกัน  ในเมื่อเสี่ยวตานได้รับมอบหมายให้ไปที่นั่น พวกเราก็ต้องนบนอบ”  ฉันผิดหวังที่ผู้นำไม่เข้าข้างฉัน

ต่อมา พี่น้องหญิงสองคนที่เพิ่งได้รับการบ่มเพาะก็ลงเอยด้วยการมารับหน้าที่ให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ได้เอง ฉันจึงเป็นสุขและรู้สึกว่าความพยายามของฉันไม่ได้สูญเปล่า และเมื่อผู้นำทั้งหลายรู้เรื่องงานนี้ ฉันก็จะดูดีในสายตาของพวกเขา  แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่วันหนึ่งพี่น้องหญิงหลี่เซี่ยงเจินที่เป็นคู่ทำงานของฉัน บอกฉันว่าโจวนั่วอยากได้หมิงอี้ไปทำงานผลิตวิดีโอ ฉันรู้สึกขุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่งจึงพูดว่า “ฉันฝึกฝนหมิงอี้แล้ว ทำไมโจวนั่วถึงจะมาเอาตัวเธอไปทำวิดีโออีก?  ทีแรกก็เอาเสี่ยวตานไป มาตอนนี้ก็หมิงอี้  เธอเอาทุกอย่างที่ฉันทุ่มเททำงานไปหมดและไม่เหลือใครไว้ให้ฉันเลย  อย่างนี้ที่ฉันพยายามมาไม่สูญเปล่าหมดหรือ?”  ฉันสับสนไปหมด และขึ้นเสียงใส่เซี่ยงเจินไปว่า “คุณไปบอกโจวนั่วไม่ได้หรือว่าหมิงอี้ทำงานให้น้ำแล้ว โจวนั่วควรหาคนอื่น?”  เซี่ยงเจินพูดอย่างไม่สะดวกใจว่า “ทั้งการผลิตวิดีโอและการให้น้ำต่างก็สำคัญมาก แล้วก็หาคนทำงานผลิตวิดีโอได้ยากกว่า  พวกเราควรหารือกันอีกหน่อยว่าควรจะเตรียมการสำหรับงานที่กำลังจะมาถึงอย่างไรบ้าง”  ฉันคิดในใจว่า “ต้องคุยอะไรกันอีก?  โจวนั่วแย่งคนที่ฉันอยากได้ไปหมด ฉันรั้งคนที่ฉันฝึกไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วทุกคนจะคิดกับฉันอย่างไร?  จะให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้  ไม่ว่าอย่างไร คราวนี้ฉันต้องคุยเรื่องนี้กับผู้นำให้ได้ และให้พวกเขาออกความเห็น ไม่อย่างนั้นก็จะน่าขายหน้าจริงๆ”

ฉันว่าจะเขียนจดหมายถึงพวกเขาทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่ฉันกลับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี  ฉันเลยคิดว่า “ช่างเถอะ ฉันควรนัดคุยกับหมิงอี้โดยตรงและขอให้เธอทำงานให้น้ำต่อไป ฉันจะได้รั้งเธอเอาไว้ได้”  แต่พอจะเขียนถึงหมิงอี้ สมองของฉันกลับว่างเปล่า ไม่รู้จะเขียนอะไรดี  ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ และย้อนคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น  ทำไมฉันถึงได้โกรธนักหนาเมื่อคนที่ฉันฝึกมาถูกย้ายไปอยู่กับโจวนั่ว และถึงกับอยากร้องเรียนต่อผู้นำ?  ทำไมฉันถึงมุ่งมั่นจะให้หมิงอี้กลับมา?  ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและเริ่มสงบใจ แล้วจากนั้นก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนเป็นหนึ่งเดียวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่แบ่งแยก  พวกเขาทุกคนทำงานมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำหน้าที่ให้ลุล่วง การทำงานที่ตกมาถึงพวกเขา การปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง การทำตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ และการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  หากเป้าหมายของเจ้าไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งการนี้ แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นก็คือการการเปิดเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น การทำหน้าที่ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ในขณะที่การกระทำของผู้ไม่มีความเชื่อถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขากำกับเอาไว้ นี่คือสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างมาก  ผู้ไม่มีความเชื่อไม่บอกว่าตนคิดอะไรอยู่ แต่ละคนจะอยู่กับจุดมุ่งหมายและแผนการของตัวพวกเขาเอง ทุกคนดำรงชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเอง  นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาตะเกียกตะกายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และไม่เต็มใจที่จะวางมือจากสิ่งที่พวกเขาได้รับแม้สักนิ้วเดียว  พวกเขาถูกแบ่งแยก ไม่เป็นหนึ่งเดียว เพราะพวกเขาไม่มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน  ความตั้งใจและธรรมชาติเบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเหมือนกัน  พวกเขาล้วนมุ่งมั่นเพื่อตัวพวกเขาเอง  ไม่มีความจริงเข้าครองอำนาจอยู่ในการนั้น สิ่งที่เข้าครองอำนาจอยู่จริงและกำกับดูแลอยู่ในการนั้นก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  พวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตัวเองและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และดังนั้นพวกเขาจึงร่วงลงสู่บาปลึกลงทุกที  ในพระนิเวศของพระเจ้า หากหลักธรรม วิธีการ แรงจูงใจ และจุดเริ่มต้นของการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้านั้นไม่แตกต่างจากพวกผู้ไม่มีความเชื่อ หากเจ้าก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานบงการ ควบคุมและใช้เป็นของเล่น และหากจุดเริ่มต้นของการกระทำของพวกเจ้าก็คือผลประโยชน์ ความมีหน้ามีตา ความภาคภูมิใจ และสถานะของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างไม่แตกต่างเลยจากหนทางที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำสิ่งทั้งหลาย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  จากนั้นฉันจึงทบทวนว่าช่วงที่ผ่านมาฉันทำตัวอย่างไร  นี่ฉันกำลังต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อหน้าตาและสถานะของตัวเองไม่ใช่หรือ?  ทันทีที่ฉันรู้ว่าเสี่ยวตานจะมาที่คริสตจักรของพวกเรา สิ่งแรกที่ฉันคิดก็คือว่าหลังจากฝึกอบรมให้เธอแล้ว ผลงานของทีมย่อมจะดีขึ้นและฉันก็จะได้พิสูจน์ทักษะของตัวเอง ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำ  ฉันจึงฝึกฝนเธออย่างสุดฝีมือ  เมื่อพบว่าโจวนั่วจัดแจงย้ายเธอไปทำงานผลิตวิดีโอ ฉันก็กลัวงานของพวกเราจะมีปัญหา ถ้าฉันหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไม่ได้ และฉันจะพลอยดูไม่ดีในสายตาของเหล่าผู้นำและสูญเสียตำแหน่งไป  ฉันมีอคติกับโจวนั่ว พยายามให้ผู้นำเอาตัวเสี่ยวตานกลับมาให้ฉัน แล้วพอได้ยินว่าหมิงอี้จะถูกย้าย ฉันก็สติขาดผึง และถึงกับอยากร้องเรียนต่อผู้นำ เอาตัวหมิงอี้กลับมา ทั้งหมดก็เพื่อรักษาชื่อและสถานะของฉันเอง  ฉันทำตัวเหมือนผู้ไม่เชื่อ ต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตน ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนซาตานที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่ง  พระนิเวศของพระเจ้าบ่มเพาะผู้คนเพื่อให้พี่น้องชายหญิงได้ใช้จุดแข็งของตนเองและทำหน้าที่ของตนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  แต่ฉันกลับใช้การบ่มเพาะผู้คนเป็นช่องทางโอ้อวดชื่อเสียงและสถานะของฉัน แข่งขันกับผู้อื่นเพื่อรักษาหน้าตาและสถานะของตัวเอง  นั่นไม่ใช่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ!  ฉันจำต้องถามตัวเองว่าทำไมฉันถึงต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อหน้าตาและสถานะของตนอยู่เสมอ  ในการแสวงหาของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์แข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำคริสตจักรและเกียรติยศท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาใช้ทุกวิถีทางที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อโจมตีผู้อื่นและยกระดับตนเอง  พวกเขาไม่คำนึงว่าพวกเขาอาจทำความเสียหายให้แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพียงใด  พวกเขาเพียงคำนึงว่าความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาสามารถได้รับการตอบสนองหรือไม่ และพวกเขาจะสามารถได้สถานะและความมีหน้ามีตามาเป็นของตนเองหรือไม่  บทบาทของพวกเขาในคริสตจักรและในท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคือการเป็นปีศาจ เป็นคนชั่ว เป็นลูกสมุนของซาตาน  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ติดตามพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นผู้คนที่รักและยอมรับความจริง  เมื่อเจตนาและเป้าหมายของพวกเขายังไม่สัมฤทธิ์ พวกเขาย่อมไม่เคยทบทวนและทำความรู้จักตนเอง พวกเขาไม่เคยทบทวนว่าเจตนาและเป้าหมายของพวกเขาตรงกับความจริงหรือไม่ พวกเขาไม่เคยค้นหาว่าการเดินบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อสัมฤทธิ์ความรอดนั้นทำอย่างไร  พวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าและเลือกเส้นทางที่พวกเขาควรเลือกเดินด้วยสภาพจิตใจที่นบนอบ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเค้นสมองคิดว่า ‘ทำอย่างไรฉันจึงจะเข้าสู่ตำแหน่งของผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งได้?  ฉันจะแข่งขันกับพวกผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรได้อย่างไร?  ทำอย่างไรฉันจึงจะชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด ควบคุมคนเหล่านั้น และเปลี่ยนพระคริสต์ให้เป็นเพียงหุ่นเชิดได้?  ฉันจะมีที่ทางสำหรับตัวเองในคริสตจักรได้อย่างไร?  ฉันสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าฉันจะมีที่ยืนอันมั่นคงในคริสตจักรและได้มาซึ่งสถานะ โดยรับประกันว่าฉันจะประสบผลสำเร็จและจะไม่ล้มเหลว รวมทั้งจะบรรลุเป้าหมายในการควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและสถาปนาราชอาณาจักรของตนเองได้ในท้ายที่สุด?’  เหล่านี้คือสิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ใช้เวลาขบคิดทั้งวันทั้งคืน(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  “ศัตรูของพระคริสต์ครุ่นคิดจริงจังว่าจะปฏิบัติต่อหลักธรรมความจริง พระบัญชาของพระเจ้า และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร หรือจะจัดการสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญอย่างไร  พวกเขาไม่คำนึงถึงวิธีสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า วิธีที่จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า วิธีทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือวิธีทำประโยชน์แก่เหล่าพี่น้องชายหญิง เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึง  พวกศัตรูของพระคริสต์คำนึงถึงสิ่งใด?  สถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ และเกียรติยศของพวกเขาจะลดลงหรือไม่  หากการทำบางสิ่งตามหลักธรรมความจริงเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง แต่จะเป็นเหตุให้ความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองเสียหาย และทำให้ผู้คนหลายคนตระหนักถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาและรู้ว่าพวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติจำพวกใด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงเป็นแน่  หากการทำงานจริงบางอย่างจะทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นมายกย่องพวกเขา นับถือและเลื่อมใสพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขายิ่งมีเกียรติยศมากขึ้น หรือทำให้คำพูดของพวกเขามีสิทธิอำนาจ และทำให้ผู้คนในจำนวนที่มากขึ้นนบนอบพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเลือกทำสิ่งนั้นในหนทางนั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีวันเลือกการทิ้งผลประโยชน์ของตนเองเพราะคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือของพี่น้องชายหญิง  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกศัตรูพระคริสต์  นี่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมิใช่หรือ?  ไม่ว่าในสถานการณ์ใด พวกศัตรูของพระคริสต์ก็มองว่าสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขามีความสำคัญสูงสุด  ไม่มีผู้ใดสามารถแข่งขันกับพวกเขาได้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ว่าเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ถือผลประโยชน์ของตนสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  หากใครทำอะไรกระทบชื่อเสียงและสถานะของพวกเขา พวกเขาจะเค้นสมองสู้กับคนเหล่านั้น โดยไม่คิดว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงเลย  ฉันทบทวนตัวเองและตระหนักว่ากำลังทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์  ฉันอยากจัดแจงให้เสี่ยวตานและหมิงอี้ให้น้ำผู้มาใหม่ ใช้พวกเธอปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของฉันเอง เพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากเหล่าผู้นำ  เมื่อโจวนั่วมาย้ายพวกเธอไป ฉันก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อผลงานของฉัน และจะพลอยเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงและสถานะของฉัน ดังนั้นฉันจึงอยากชิงดีกับโจวนั่วเพื่อเอาตัวพี่น้องหญิงสองคนนั้นกลับมา โดยไม่ได้คิดเลยว่าพฤติกรรมของฉันอาจเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรหรือไม่  ฉันคิดถึงแต่ชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง  ช่างเห็นแก่ตัว ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง  พี่น้องชายหญิงไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร  พระเจ้าทรงกำหนดขีดความสามารถและจุดเข็งของพวกเขา และประทานแก่พวกเขาเพื่อพระราชกิจของพระองค์เอง  ไม่มีว่า “คนนี้ของฉัน คนนั้นของเธอ” หรือ “มาก่อนได้ก่อน”  ผู้คนควรไปยังที่ใดก็ตามในคริสตจักรที่พวกเขาเป็นที่ต้องการ  นั่นถูกต้องอย่างชัดเจน  การที่โจวนั่วทำตามหลักธรรมและฝึกฝนผู้คนตามจุดแข็งของพวกเขาให้แก่คริสตจักรนั้นสมเหตุสมผลและถูกต้องเหมาะสมแล้ว  แต่ฉันกลับคิดว่าในเมื่อฉันเลือกที่จะฝึกฝนพี่น้องหญิงสองคนนั้นก่อน ก็ไม่ควรมีใครแตะต้องพวกเธอ  ฉันถึงกับโบกสะบัดธงประกาศว่าฉันฝึกฝนผู้คนให้แก่คริสตจักร ใช้พี่น้องชายหญิงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของฉัน ใช้พวกเขาเติมเต็มความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีที่อยากจะให้ผู้คนเลื่อมใสฉัน  เมื่อการกระทำของโจวนั่วส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและสถานะของฉัน ฉันก็พยายามใช้วิธีต่างๆ มาขัดขวางเธอและแสดงความไม่พอใจ  นั่นไม่เหมือนนักบวชคริสตจักรที่อ้างว่า “นี่คือแกะของฉัน ใครก็ลักพวกเขาไปไม่ได้” หรอกหรือ?  ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพยายามอย่างที่สุดที่จะต้านทานและกล่าวโทษพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเพื่อปกป้องสถานะของตนและรักษาความเป็นอยู่ของตน กีดกันผู้เชื่อไม่ให้สืบหาหนทางที่แท้จริง ควบคุมผู้ชุมนุมไว้ในเงื้อมมืออย่างแน่นหนา  ฉันเองก็อยากกุมคนที่ฉันฝึกฝนไว้ในเงื้อมมือตัวเอง เพื่อที่จะได้รับความเห็นชอบจากผู้นำและความนับถือจากสมาชิกคริสตจักร ทำกับพวกเขาเหมือนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว ไม่ยอมให้ถูกย้ายไป  ฉันแตกต่างจากสมาชิกนักบวชเหล่านั้นตรงไหน?  นี่ฉันอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  พอตระหนักอย่างนี้ ฉันก็เหงื่อกาฬแตก  ฉันมองเห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจขนาดไหน ฉันไม่ได้ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักรเลย แต่ทำเพื่อสถานะของตัวเองเท่านั้น  ความอยากได้อยากมีชื่อเสียงและสถานะทำให้ฉันมืดบอด ช่างอันตรายจริงๆ  ฉันนึกถึงพวกศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับออกไปเพราะไล่ตามชื่อเสียงและสถานะโดยไม่สำนึกกลับใจ และลงเอยด้วยการทำชั่วมากเกินไป  ถ้าฉันยังอยู่บนเส้นทางนั้นต่อ ฉันรู้ว่าฉันก็จะลงเอยแบบเดียวกัน

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เมื่อเจ้ามีความคิดและความอยากที่จะแข่งขันเพื่อสถานะอยู่เสมอ เมื่อนั้นเจ้าต้องตระหนักว่าสภาวะเช่นนี้จะนำไปสู่สิ่งเลวร้ายอันใดหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข  ดังนั้น จงค้นหาความจริงเสียแต่เดี๋ยวนี้ เอาชนะความอยากแข่งขันเพื่อสถานะของเจ้าในขณะที่มันกำลังก่อตัว และจงแทนที่ความอยากนั้นด้วยการปฏิบัติความจริง  เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานที่จะแข่งขันเพื่อสถานะของเจ้าก็จะลดลง และเจ้าจะไม่ก่อกวนงานของคริสตจักร  ในหนทางนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงจดจำและเห็นชอบในการกระทำของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน เมื่อฉันต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ฉันต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าทันทีและละทิ้งตัวเอง เพื่อปล่อยวางความอยากได้อยากมี แสวงหาและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง  อันที่จริง ไม่ว่าเสี่ยวตานและหมิงอี้จะได้รับมอบหมายให้ไปที่ไหน ก็ล้วนเป็นไปเพื่อบ่มเพาะผู้คนให้แก่คริสตจักร และจุดหมายปลายทางคือการดึงจุดแข็งของแต่ละคนออกมาเพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเป็นพยานให้พระเจ้า  ฉันควรมีความสุข ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง  และการบ่มเพาะในคริสตจักรก็เป็นไปตามหลักธรรม ทำตามความจำเป็นในงานของคริสตจักร และสอดคล้องกับจุดแข็งส่วนบุคคลของผู้คน  ใครเหมาะกับหน้าที่ใดก็ควรพิจารณาตามจุดแข็งของพวกเขา  หากใครมีความสามารถพิเศษหลายอย่าง ก็ควรไปทำหน้าที่ตามแต่ว่าที่ใดต้องการพวกเขามากที่สุด หน้าที่ใดต้องการคนเพิ่ม งานใดต้องการความร่วมมือเร่งด่วน และหน้าที่ใดที่พวกเขาเต็มใจจะไปทำ  มีคนไม่มากที่มีจุดแข็งเป็นการผลิตวิดีโอ  แต่สำหรับการให้น้ำ คนที่มีความเข้าใจที่ถ่องแท้ เข้าใจความจริงเกี่ยวกับนิมิตทั้งหลายในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง เปี่ยมรักและอดทน ย่อมสามารถทำได้ดี  พวกเรามีคนที่เหมาะสมกับงานให้น้ำมากกว่าการผลิตวิดีโอ  เสี่ยวตานมีประสบการณ์ในการตัดต่อภาพ เธอจึงมีทักษะสำหรับการผลิตวิดีโออยู่บ้าง  ทั้งเธอยังชอบทำวิดีโอด้วย ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่ให้เธอไปทำหน้าที่นั้น  ถึงฉันจะเสียเสี่ยวตานและหมิงอี้ไป ฉันก็ยังหาพี่น้องชายหญิงคนอื่นในคริสตจักรมาบ่มเพาะได้  เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความพยายามเพิ่มอีกเล็กน้อย  หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้า  ฉันพร้อมจะแก้ไขแรงจูงใจของฉันให้ถูกต้อง ปฏิบัติตามหลักธรรมในหน้าที่ของตนเอง และหยุดต่อสู้กับโจวนั่วเพื่อหน้าตาและสถานะของฉันเอง

สองวันต่อมา โจวนั่วก็ส่งข้อความมาบอกว่าคริสตจักรอีกแห่งได้โอนคนมาให้เธอสองคน เธอจึงส่งตัวเสี่ยวตานกับหมิงอี้กลับมาให้ได้แล้ว  โจวนั่วบอกว่าให้มอบหมายหน้าที่อื่นๆ ให้ทั้งสองตามจุดแข็งของพวกเธอได้เลย  ฉันมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง  เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันละอายใจอย่างมาก  หลังจากนั้นฉันก็จัดเตรียมให้พี่น้องหญิงทั้งสองกลับมาให้น้ำแก่ผู้มาใหม่  จากนั้นไม่นาน ฉันได้ข่าวว่าผู้นำคริสตจักรกำลังจะจัดแจงให้หมิงอี้เขียนภาพ  ฉันคิดในใจว่า “หมิงอี้เก่งเรื่องการให้น้ำ ทำไมถึงจะส่งเธอไปทำหน้าที่นั้น?  ถ้าเธอถูกย้ายไป ความพยายามของฉันที่ฝึกสอนเธอมาจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?  ฉันต้องคุยกับเธอและขอให้เธออยู่ทำหน้าที่ให้น้ำ”  เมื่อเกิดความคิดเหล่านี้ขึ้น ฉันก็ตระหนักว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะอีกแล้ว ฉันจึงรีบกล่าวคำอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ละทิ้งตนเอง ยอมให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรมาก่อน  ไม่ว่าหมิงอี้จะถูกส่งไปที่ไหน ย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อคริสตจักรอย่างแน่นอน  ฉันไม่อาจทำงานเพื่อชื่อเสียงและสถานะได้ ฉันควรนบนอบ  พอคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก  ต่อมาฉันได้พบผู้นำคนนั้น เธอบอกว่าหมิงอี้เขียนรูปเก่ง ดังนั้นตามหลักธรรมแล้ว เธอเหมาะที่จะทำหน้าที่นั้นมากกว่า  ฉันไม่รู้สึกโกรธหรือผิดหวังที่ได้ยินแบบนั้น ฉันกลับยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า!  ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันรู้เลยว่าฉันคงต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะ แต่เพราะสิ่งที่เผยอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงได้ตระหนักว่าตัวเองเคยเห็นแก่ตัวขนาดไหน และนั่นทำให้พระเจ้าขัดเคืองพระทัยเพียงไร ฉันรู้ว่าไม่ว่าคริสตจักรจะจัดแจงอะไร ก็ล้วนเป็นไปตามหลักธรรม  หมิงอี้เขียนภาพได้ดี การให้เธอทำหน้าที่นั้นจึงสอดคล้องกับหลักธรรม และฉันไม่มีปัญหา”  ผู้นำยิ้มเมื่อได้ยินฉันพูดแบบนั้น

ประสบการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นว่า การคำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง แทนที่จะต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกทั้งสบายใจและมีสันติสุข  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 48. สิบเก้าปีแห่งเลือดและน้ำตา

ถัดไป: 50. บทเรียนที่ขมขื่นจากการติดตามมนุษย์แทนพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger