บทที่ 38

ไม่เคยได้มีร่องรอยใดๆ ของเรา ไม่เคยได้มีการนำแห่งวจนะของเรา ในสิ่งที่มนุษย์ผ่านประสบการณ์  ผลก็คือเราได้กันมนุษย์ให้ห่างออกไปเสมอ และทิ้งเขาไปในเวลาต่อมา  เรารังเกียจการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์  เราไม่รู้ว่าเหตุใด มันดูราวกับว่าเราได้เกลียดชังมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และถึงกระนั้นเราก็รู้สึกเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง  ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงได้มีสองท่าทีต่อเราเสมอ—เนื่องจากเรารักมนุษย์ และเราก็เกลียดชังเขาด้วยเช่นกัน  ผู้ใดท่ามกลางพวกมนุษย์ใส่ใจอย่างแท้จริงต่อความรักของเรา?  และผู้ใดใส่ใจต่อความเกลียดชังของเรา?  ในสายตาของเรา มนุษย์เป็นสิ่งที่ตายแล้ว ปราศจากชีวิต เหมือนรูปปั้นดินเหนียวท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง  เพราะการไม่เชื่อฟังของเขา มนุษย์กระตุ้นความกริ้วของเราเป็นครั้งคราว  เมื่อเราดำรงชีวิตท่ามกลางพวกมนุษย์ พวกเขาให้รอยยิ้มอ่อนๆ เมื่อเรามาถึงโดยฉับพลัน เพราะพวกเขากำลัง “แสวงหา” เราโดยรู้สึกตัวอยู่เสมอ ราวกับว่าเรากำลังเล่นกับพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก  พวกเขาไม่เคยถือจริงจังกับเรา และเพราะท่าทีของพวกเขาต่อเรา เราจึงไม่มีทางเลือกนอกจาก “เกษียณ” จาก “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์  ถึงอย่างไร เราก็ปรารถนาที่จะแถลงว่า ถึงแม้ว่าเราจะ “เกษียณ” แต่ “บำนาญ” ของเราไม่สามารถขาดพร่องแม้เพียงสตางค์เดียว  เพราะ “ความอาวุโส” ของเราใน “หน่วยงาน” ของมวลมนุษย์ เราจึงเรียกร้องการจ่ายเงินที่ยังคงติดค้างต่อเราจากพวกเขาต่อไป  ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ทิ้งเราไปแล้ว พวกเขาจะสามารถรอดพ้นจากการคว้าจับของเราได้อย่างไร?  ครั้งหนึ่งเราได้คลายการยึดเกาะของเรากับผู้คนในระดับหนึ่ง เปิดโอกาสให้พวกเขาปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงกับความอยากได้อยากมีฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขาโดยอิสระ—และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้กล้าที่จะประพฤติตัวในลักษณะที่ไร้การควบคุม ปราศจากการหักห้ามใจใดๆ ซึ่งจากการนั้นสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาไม่รักเราอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดกำลังดำรงชีวิตในเนื้อหนัง  สามารถเป็นไปได้ไหมว่าความรักที่แท้จริงถูกให้เป็นการตอบแทนสำหรับเนื้อหนัง?  สามารถเป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เราขอต่อมนุษย์เป็นเพียงแค่ “ความรัก” แห่งเนื้อหนัง?  หากการณ์เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงแล้วไซร้ มนุษย์จะมีคุณค่าอันใด?  มนุษย์ทั้งหมดเป็นขยะที่ไร้ค่า!  หากไม่เป็นเพราะ “พลังอำนาจพิเศษ” แห่งความสู้ทนของเรา เราก็คงจะได้ทิ้งมวลมนุษย์ไปนานแล้ว—เหตุใดต้องลำบากอยู่กับพวกเขาเพื่อ “ถูกรังแก”?  แต่เราก็ยังคงสู้ทน  เราต้องการไปยังก้นบึ้งของ “ธุรกิจ” ของมนุษย์  ครั้นงานของเราบนแผ่นดินโลกเสร็จสิ้น เราก็จะขึ้นสูงไปในท้องฟ้าเพื่อพิพากษา “เจ้านาย” ของทุกสรรพสิ่ง นี่คืองานลำดับแรกของเรา เนื่องจากความรังเกียจของเราต่อมนุษย์ได้ไปถึงระดับเฉพาะระดับหนึ่งแล้ว  ผู้ใดจะไม่เกลียดชังศัตรูของเขา?  ผู้ใดจะไม่กำจัดศัตรูของเขาจนสิ้น?  ในฟ้าสวรรค์ ซาตานคือศัตรูของเรา บนแผ่นดินโลก มนุษย์เป็นอริของเรา  เพราะการอยู่ร่วมกันระหว่างฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลก เราจึงถือว่าพวกเขาทั้งหมดมีความผิดจนถึงเก้าชั่วโคตร และจะไม่มีสักคนเดียวได้รับการอภัยโทษ  ผู้ใดได้บอกให้พวกเขาต้านทานเรา?  ผู้ใดได้บอกให้พวกเขาไม่เชื่อฟังเรา?  มันเป็นด้วยเหตุใดที่ผู้คนไม่สามารถตัดสายสัมพันธ์ที่อ้อยอิ่งของพวกเขากับธรรมชาติเก่าของพวกเขาได้?  มันเป็นด้วยเหตุใดที่เนื้อหนังของพวกเขาขยายตัวภายในพวกเขาเสมอ?  ทั้งหมดนี้คือหลักฐานของการพิพากษามนุษย์ของเรา  ผู้ใดกล้าที่จะไม่นบนอบต่อข้อเท็จจริง?  ผู้ใดกล้าที่จะพูดว่าการพิพากษาถูกบิดเบือนโดยภาวะอารมณ์?  เราแตกต่างจากมนุษย์ และดังนั้นเราจึงทิ้งเขาไป เนื่องจากเราเพียงแค่ไม่ใช่หนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์

มีพื้นฐาน รากฐาน สำหรับทั้งหมดที่เราทำ เมื่อมนุษย์ “เปิดเผย” “ข้อเท็จจริงที่แท้จริง” ต่อเราด้วยปากของเขา เราไปกับเขายัง “ลานประหาร” เนื่องจากการฝ่าฝืนของมวลมนุษย์ก็เพียงพอที่จะได้รับการตีสอนของเรา  และดังนั้นเราจึงไม่ตีสอนอย่างมืดบอด แต่ตีสอนผู้คนโดยสอดคล้องกับรูปการณ์แวดล้อมที่แท้จริงของการฝ่าฝืนของพวกเขา  หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกมนุษย์ก็จะไม่มีวันกราบไหว้และยอมรับความผิดของพวกเขาต่อเราเพราะความเป็นกบฏของพวกเขา  เป็นเพราะพวกเขาได้มาถึงสภาวการณ์ปัจจุบันแล้วเท่านั้นนั่นเองที่ผู้คนทั้งหมดก้มศีรษะของพวกเขาอย่างไม่เต็มใจ—แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังคงไม่ปักใจเชื่อ  เราได้ให้ผู้คนดื่ม “สารทึบรังสี” และดังนั้น อวัยวะภายในของพวกเขาก็ปรากฏชัดเจนดีภายใต้ “กล้องรังสีทรรศน์”  ความโสมมและความไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ถูกขับออกจากท้องของผู้คน สิ่งสกปรกทุกจำพวกไหลไปตามเส้นเลือดของพวกเขา และดังนั้น พิษภายในร่างกายของพวกเขายิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยไป  เพราะผู้คนได้ดำรงชีวิตในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้มานานหลายปีเหลือเกิน พวกเขาก็ได้ยิ่งคุ้นเคยกับพวกมันและไม่พบว่าพวกมันแปลกอีกต่อไป  ผลก็คือเชื้อโรคภายในร่างกายของพวกเขาก็โตเต็มที่ กลายเป็นธรรมชาติของพวกเขาไป และทุกคนดำรงชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของพวกมัน  นี่คือสาเหตุที่ผู้คนวิ่งวุ่นไปทั่วเหมือนม้าป่า  ถึงกระนั้นพวกเขาไม่มีวันยอมรับรู้การนี้อย่างเต็มที่ พวกเขาเพียงแค่ผงกศีรษะของพวกเขาเพื่อชี้บอกความยินยอมของพวกเขา  ความจริงก็คือพวกมนุษย์ไม่ใส่ใจในวจนะของเรา  หากพวกเขาได้ใช้วจนะของเราในฐานะการเยียวยาที่ดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คงจะ “ทำตามคำสั่งของแพทย์” และเปิดโอกาสให้การเยียวยานี้รักษาอาการป่วยภายในพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ในจิตใจของเรา หนทางที่พวกเขาประพฤติตัวไม่สามารถทำให้ความปรารถนานี้ลุล่วงได้ และดังนั้นทั้งหมดที่เราสามารถทำได้คือ “กัดฟันทน” และพูดกับพวกเขาต่อไปโดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาฟังอยู่หรือไม่ กล่าวคือ เราเพียงแค่กำลังทำหน้าที่ของเราเท่านั้น  พวกมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะชื่นชมพรของเรา แต่กลับอยากจะก้าวผ่านการทรมานของนรกเสียมากกว่า—ดังนั้นทั้งหมดที่เราสามารถทำได้คือยอมทำตามคำขอของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม เพื่อที่นามของเราและวิญญาณของเราไม่ถูกทำให้อับอายในนรก เราจะบ่มวินัยพวกเขาก่อน และจากนั้นจึง “นบนอบ” ต่อความปรารถนาของพวกเขา โดยทำแบบที่ให้พวกเขาจะ “เต็มไปด้วยความปีติยินดี”  เราไม่เต็มใจที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์ ณ เวลาใดก็ตามหรือในสถานที่ใดก็ตาม ทำให้เราอับอายขณะที่กำลังโบกธงของเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราบ่มวินัยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  หากปราศจากการจำกัดควบคุมแห่งถ้อยคำเข้มขรึมของเรา มนุษย์จะได้สามารถยืนเบื้องหน้าเราต่อมาจนกระทั่งวันนี้ได้อย่างไร?  ผู้คนไม่ละเว้นจากความบาปเพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวว่าเราจะจากไปหรือ?  มันไม่แท้จริงหรือที่พวกเขาไม่ร้องทุกข์เพียงเพราะพวกเขาเกรงกลัวการตีสอน?  มีผู้ใดบ้างที่ปณิธานของพวกเขาถูกทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของแผนการของเราทั้งสิ้น?  ผู้คนทั้งหมดคิดว่าธรรมชาติของเราเป็นธรรมชาติจากพระเจ้าที่ขาดพร่อง “คุณภาพแห่งสติปัญญา” แต่ผู้ใดสามารถจับความเข้าใจได้ว่าเราสามารถมองเห็นผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราได้?  ดังที่ผู้คนพูดว่า “เหตุใดต้องใช้ค้อนปอนด์เพื่อตอกตะปู?”  พวกมนุษย์ “รัก” เรา ไม่ใช่เพราะความรักของพวกเขาต่อเรามีมาแต่กำเนิด แต่เพราะพวกเขาเกรงกลัวการตีสอน  ผู้ใดท่ามกลางพวกมนุษย์เกิดมาก็รักเราแล้ว?  มีผู้ใดบ้างที่ปฏิบัติต่อเราเช่นเดียวกันกับที่พวกเขาปฏิบัติต่อหัวใจของพวกเขาเอง?  และดังนั้นเราจึงสรุปการนี้ทั้งหมดด้วยคติพจน์สำหรับพิภพมนุษย์ว่า ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา

เป็นเพียงเพราะเราปรารถนาที่จะนำงานของเราบนแผ่นดินโลกสู่บทอวสานเท่านั้นนั่นเองที่เราได้เร่งความเร็วของงานของเราเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ผู้คนถูกเราเหวี่ยงไปไกล ไกลเสียจนพวกเขาตกลงสู่มหาสมุทรที่ไร้เขตคั่น  เป็นเพราะเราได้บอกความจริงของเรื่องนี้แก่พวกล่วงหน้าอย่างแน่นอนนั่นเองที่พวกเขาค่อนข้างเฝ้าระวัง  หากไม่ใช่เนื่องจากการนี้ จะมีผู้ใดที่จะกางใบเรือขึ้นเมื่อสภาพอากาศที่มีพายุใกล้จะมาถึง?  ทุกคนกำลังทำงานเพื่อทำการป้องกันไว้ก่อน  มันเป็นราวกับว่าในหัวใจของพวกเขา เราได้กลายเป็นโจร  พวกเขาเกรงกลัวว่าเราจะยึดทุกสิ่งทุกอย่างจากบ้านของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงดันประตูของพวกเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พวกเขาสามารถรวบรวมได้ กลัวแทบตายว่าเราจะระเบิดเข้าไปโดยฉับพลัน  เมื่อมองเห็นพวกเขาประพฤติตัวเหมือนพวกหนูขี้ขลาด เราก็จากมาในความเงียบ  ในจินตนาการของผู้คน มันดูเหมือนว่าพิภพกำลังจะก้าวผ่านวันสิ้นโลก และดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงหลบหนีในความอลหม่าน ตกใจกลัวจนลนลาน  ณ เวลานี้เท่านั้นที่เรามองเห็นพวกผีร่อนเร่ไปทุกแห่งบนแผ่นดินโลก  เราอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเรา มนุษย์ประหลาดใจและสยดสยอง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราตระหนักถึงความจริงของเรื่อง และดังนั้นเราจึงกลั้นรอยยิ้มของเราและหยุดมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก แต่กลับไปทำงานโดยสอดคล้องกับแผนการดั้งเดิมของเราแทน  เราไม่คำนึงถึงพวกมนุษย์ในฐานะแบบอย่างที่ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างสำหรับการวิจัยของเราอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าเศษวัสดุ  ครั้นเราละทิ้งพวกเขา พวกเขาจะไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป—พวกเขาเป็นของเสียชิ้นเล็กชิ้นน้อย  ณ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เราทำลายล้างพวกเขาและโยนพวกเขาลงในไฟ  ในจิตใจของพวกมนุษย์ ความปรานีและความเมตตาของเราบรรจุอยู่ภายในการพิพากษา บารมี และความโกรธขึ้งของเรา  แต่พวกเขารู้น้อยนักว่าเราไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนแอของพวกเขามานานแล้ว และว่าเราได้ถอนความปรานีและความเมตตาของเรากลับคืนมานานตั้งแต่นั้นแล้ว และนั่นคือสาเหตุที่พวกเขาอยู่ในสภาวะที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้  ไม่มีผู้ใดสามารถรู้จักเรา อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเข้าใจวจนะของเราหรือมองเห็นใบหน้าของเรา หรือทำความเข้าใจกับเจตจำนงของเรา  เหล่านี้ไม่ใช่สภาวะซึ่งมนุษย์พบตัวเขาเองอยู่ในขณะนี้หรือ?  เช่นนั้นแล้วจะสามารถพูดว่าเรามีความปรานีและความเมตตาได้อย่างไร?  เราไม่นำความอ่อนแอของมนุษย์เข้าสู่การพิจารณา อีกทั้งเราไม่ “ดูแลจัดการกับ” ความบกพร่องของเขา  นี่ยังคงจะสามารถเป็นความปรานีและความเมตตาของเราได้หรือ?  หรือมันยังคงจะสามารถเป็นความรักของเราต่อพวกมนุษย์ได้ไหม?  ผู้คนทั้งหมดคิดว่าเรากำลังพูด “คำพูดหยอกล้อที่ว่างเปล่า” และดังนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อวจนะที่เราพูด  แต่มีผู้ใดบ้างไหมที่รู้ว่า “ในเมื่อนี่เป็นยุคที่แตกต่าง ความปรานีและความเมตตาของเราไม่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ถึงอย่างไร เราก็เป็นพระเจ้าที่ทรงทำดังที่พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำตลอดไป”?  เมื่อเราอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้คนมองเห็นเราในจิตใจของพวกเขาในฐานะองค์สูงสุด และดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าเรารักที่จะพูดจากภายในปัญญาของเรา  นี่เป็นเหตุให้พวกเขาเชื่อวจนะของเราอย่างไม่สนิทใจเสมอ  แต่มีผู้ใดบ้างที่สามารถจับความเข้าใจในกฎที่อยู่เบื้องหลังวาทะของเรา?  หรือต้นกำเนิดของวจนะของเรา?  มีผู้ใดบ้างที่สามารถหยั่งลึกได้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่เราปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงจริงๆ?  หรือผู้ใดสามารถเจาะแทรกรายละเอียดของบทสรุปปิดตัวแห่งแผนการบริหารจัดการของเราได้?  ผู้ใดสามารถที่จะกลายเป็นคนรู้ใจให้กับเราได้?  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ผู้ใดนอกเหนือจากเราสามารถรู้จักสิ่งที่เรากำลังทำอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยน?  และผู้ใดสามารถรู้ได้ว่าสิ่งใดคือจุดประสงค์ท้ายสุดของเรา?

30 เมษายน ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 37

ถัดไป: บทที่ 39

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger