71. บททดสอบจากสภาพแวดล้อมอันยากลำบาก

โดย จูเนียร์, ซิมบับเว

ตั้งแต่ผมยังเด็ก สังคมมีอิทธิพลต่อตัวผมมาโดยตลอด ผมชอบการเข้ากับคนอื่นได้ดีในทุกอย่างที่ทำ  คนรอบตัวผมต่างก็เป็นคริสเตียน ผมก็เลยเป็นด้วย แต่พอผมโหยหาที่จะเรียนรู้เรื่องพระเจ้า ผมก็เริ่มไตร่ตรองคำถามบางข้อ ทำไมเราถึงเชื่อในพระเจ้า?  เราจะรู้จักพระเจ้าได้ยังไง? ในโลกที่ชั่วและมืดมิดนี้ ความจริงอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมผู้คนถึงทนทุกข์กับความยากลำบากในชีวิต? คำถามเหล่านี้เป็นเหมือนปริศนาที่ทยอยตามกันมา และผมก็ไม่เคยพบคำตอบเลย โชคดีที่ผมยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผมก็พบคำตอบของทุกเรื่องที่สับสนเหล่านี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้รู้ว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของประสบการณ์ต่อพระวจนะและพระราชกิจ และจากการผ่านเรื่องนี้ทำให้ได้รู้จัก เชื่อฟัง และรักพระองค์  ผมยังได้รู้ว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการการถลุง ทำให้ผู้คนเพียบพร้อมและชำระความเสื่อมทรามของพวกเขาให้สะอาด ผมเลยอธิษฐานให้บททดสอบนั้นมาถึงผม  ผมถึงกับอยากให้ตัวเองเกิดในประเทศจีน จะได้ประสบกับการกดขี่ข่มเหงของระบอบซาตานเหมือนเหล่าพี่น้องชาวจีน และผมจะได้เป็นพยานอันกึกก้อง และถูกพระเจ้าทรงทำให้กลายเป็นผู้มีชัยผ่านความยากลำบากนั้น ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ประสบกับสภาพแวดล้อมแบบนั้นรวดเร็วขนาดไหน

เนื่องจากการระบาดใหญ่ ทำให้บริษัทที่ผมทำงานอยู่ปิดตัวลงและผมก็ตกงาน  ผมพยายามหางานจากบริษัทอื่นๆ หลายแห่ง แต่ก็ไม่มีที่ไหนโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เลย  ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไป อะไรๆ ก็ยิ่งแย่ลง  ผมไม่มีรายได้ หรือเงินที่จะมาซื้ออาหาร  ผมไม่รู้จะทำยังไงดี  เมื่อก่อน หลังเลิกงานผมก็จะเข้าชุมนุมทางออนไลน์ อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดูภาพยนตร์ของคริสตจักร และทำหน้าที่ร่วมกับคนอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดสำหรับผม ผมรู้สึกว่านั่นเป็นหนทางเพื่อการปฏิบัติความเชื่อที่ดีมาก  แต่ตอนนี้ ผมกำลังก้าวผ่านความยากลำบากนี้ จึงคิดว่า ในเมื่อผมเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระองค์ก็จะทรงดูแลและช่วยเหลือผมอย่างแน่นอน  ผมยังอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานงานให้ผม  คิดว่าในผมเมื่อเป็นผู้เชื่อ พระเจ้าก็จะทรงประทานทุกสิ่งที่ผมขอ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น ตอนนั้นผมก็รู้สึกอ่อนแอและสับสนอย่างมาก ผมอ่านพระวจนะและอธิษฐานทุกวัน แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงช่วยเหลือในยามที่ผมทนทุกข์? พอสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับผม ผมก็นึกถึงโยบ  ตอนที่เขาเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป เขาก็ยังยืนหยัดในคำพยานของตนได้ โยบเชื่อว่าทุกอย่างทั้งดีและร้าย เป็นอธิปไตยการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเขาไม่เคยพร่ำบ่นเลย เขาขอบคุณพระเจ้าที่ประทานพรทางวัตถุมาให้ และเมื่อสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป เขาก็ยังคงสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า พอคิดถึงความเชื่อและคำอธิษฐานของโยบจริงๆ  ผมจึงตระหนักได้ว่าความเชื่อของผมนั้นน้อยนิดเพียงใด เทียบไม่ได้กับของโยบเลย ผมรู้ว่าควรเอาอย่างโยบ นบนอบต่ออธิปไตยการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างที่เขาทำ  แต่พอคิดถึงเรื่องที่ไม่พออยู่พอกิน  และเรื่องที่ผมใช้อินเทอร์เน็ตจนหมดเลยไม่สามารถเข้าชุมนุมออนไลน์ได้ ผมก็จนปัญญา ได้แต่อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะหิวตายหรือไม่ ไม่ว่าจะสามารถเข้าร่วมชุมนุมได้หรือไม่ ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะมอบความยากลำบากเหล่านี้และนบนอบต่ออธิปไตยการจัดการเตรียมการของพระองค์”  การอธิษฐานแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบ  วันเดียวกันนั้น หลังจากอธิษฐาน จู่ๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ลุงของผมโทรมาถามว่า ผมอยากไปทำงานที่บริษัทก่อสร้างของท่านไหม  ถึงงานก่อสร้างจะเหนื่อย แต่พอทำไปสัปดาห์หนึ่งผมก็ได้เงินมาพอที่จะจุนเจือตัวเองไปสักพัก  ผมขอบคุณพระเจ้าจริงๆ พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ผมเผยออกมาในช่วงระยะเวลานี้ ผมก็สงสัยว่า ทำไมผมถึงได้คิดว่า เพียงเพราะผมเชื่อในพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงจัดเตรียมให้ผมทุกอย่างตามที่ขอ แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้อ่านพระวจนะที่ทำให้ผมเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง  เมื่อเราทำให้มนุษย์เผชิญความโกรธเคืองของเราและริบเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ  เมื่อเรามอบความทุกข์จากนรกให้มนุษย์และเอาพรของสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ  เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน  เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และสิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็มีมากเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)  “สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้  ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น  ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี  ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น  ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น  บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้?  และมีสักกี่คนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้เลวร้ายมากขนาดไหนแล้ว?  เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชื่นบานยินดีเป็นที่ยิ่งกับการได้รับพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น)  พระวจนะเผยถึงแรงจูงใจของเราต่อการได้รับพระพร รวมถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราด้วย  จริงๆ แล้วหลายคนแสวงหาเพียงแค่การชูใจของพระเจ้าจากความเชื่อของตน พวกเขาไม่อยากทนทุกข์กับความอับโชคใดๆ และหวังว่าพระเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ พวกเขาไม่เคยสนใจว่าตนเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ สำหรับพวกเขา การนบนอบต่อพระเจ้าและสมดังพระประสงค์นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่พระเจ้าประทานในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในช่วงเวลาแห่งการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของผม ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมักให้พวกเราอธิษฐานขอพร แต่การไล่ตามเสาะหาแบบนั้น ทำให้สัมพันธภาพของเรากับพระเจ้าผิดปกติ เหมือนที่พระวจนะเปิดเผยว่า “สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้  ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น”  พระวจนะเป็นความจริง และผมต้องประเมินตัวเอง ผมได้เห็นว่า ตัวผมก็เชื่อเพียงเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพรเหมือนกัน เจตนานั้นถูกซ่อนไว้ลึกลงไปในซอกหลืบของหัวใจผม ผมคิดว่าในเมื่อพระเจ้าทรงกลับมายังแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์จะทรงอวยพรทุกคนที่ยอมรับพระองค์อย่างแน่นอน ผมคิดว่าในเมื่อผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายแล้ว พระพรก็คงอยู่ไม่ไกล คิดว่าชีวิตของผมกำลังจะดีขึ้น  แต่ว่า สิ่งต่างๆ กลับไม่เป็นไปในหนทางนั้น ผมเจอกับความยากลำบากและชีวิตผมก็ลำบากยากเย็นขึ้น จนผมกลายเป็นคนอ่อนแอและคิดลบ ผมไม่มีรายได้ ไม่มีอาหาร ผมใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าชุมนุมทางออนไลน์ไม่ได้  แล้วจะปฏิบัติความเชื่อต่อไปได้ยังไง? ผมไม่พอใจ เหมือนพระเจ้าไม่ใส่ใจผม ผมวิ่งวุ่นหางานทำไปทั่ว และอธิฐานถึงพระเจ้าให้ทรงช่วย แต่พระองค์ไม่ตอบกลับ และไม่ให้ในสิ่งที่ผมอธิษฐานขอ  ผมไม่อาจเข้าใจได้และเริ่มเกิดความแคลงใจในพระเจ้า เหมือนกับที่พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเราทำให้มนุษย์เผชิญความโกรธเคืองของเราและริบเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)  การเปิดเผยของพระวจนะทำให้ผมละอายกับสิ่งที่เผยออกไป พระวจนะยังแสดงให้ผมเห็นว่า การมีความเชื่อเพื่อเห็นแก่พระพรนั้นเป็นทัศนะที่ผิด เพราะผมมองว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานพร ส่วนตัวผมก็เป็นผู้รับพร เมื่อพระเจ้าไม่ประทานงานดีๆ มาให้อย่างที่ผมต้องการ ผมก็ตำหนิพระองค์ และคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจผมเลยสักนิด ผมได้เห็นว่ามุมมองต่อความเชื่อของผมนั้นไร้สาระ ไม่รู้ความ และโง่เขลาแค่ไหน ผมนึกถึงตอนที่เข้าร่วมชุมนุมทางศาสนาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก และได้ยินแต่คำว่า “พระเจ้าจะประทานพรอันยิ่งใหญ่แก่คุณ! พระองค์จะทรงอวยพรถ้าหากคุณเป็นผู้เชื่อ จงอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบกลับอย่างแน่นอน” สิ่งที่ผมได้ยินจากโลกศาสนาเหล่านี้ พ่อแม่ และคนรอบตัว มีผลกับผมอย่างมาก และทำให้รู้สึกว่าผมแค่ต้องเชื่อเพื่อให้ได้รับพระพรและเป็นอิสระจากความทุกข์ทางโลก  เมื่อก่อน ผมไม่เคยคิดว่าการมีความเชื่อด้วยความปรารถนาอยากได้พระพรเป็นเรื่องที่ผิด แล้วนับประสาอะไรกับการตระหนักว่านั่นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ผมไม่มีความเข้าใจใดๆ ในเรื่องนี้เลย จนกระทั่งได้มาอ่านพระวจนะที่เปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คน

หลังจากนั้น ผมถามตัวเองว่า การมีความเชื่อเป็นไปเพียงเพื่อให้ได้รับพรทางวัตถุจริงๆ หรือ? คนที่มีเงินและทรัพย์สมบัติทางวัตถุมากพอเหล่านั้น คือคนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมองค์พระเยซูเจ้าถึงตรัสไว้ในยอห์นบทที่ 6 ข้อ 27 ว่า “อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว”?  ทำไมพระองค์ยังตรัสอีกด้วยว่า “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจทะลวงลักเอาไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย(มัทธิว 6:19-21)  ผมตระหนักได้ในตอนนั้นว่า การขอพรทางวัตถุกับพระเจ้าอยู่เรื่อย เป็นความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อของมวลมนุษย์ นั่นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และพระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะซาตานชักพาให้มนุษย์หลงผิด ด้วยการกีดกันไม่ให้เรารู้จักพระอัตลักษณ์ โดยเฉพาะไม่ให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงกฎเกณฑ์ชะตากรรมของเรา  เรานบนอบต่อพระผู้สร้างไม่ได้ แต่กลับร้องขอต่อพระองค์อยู่ไม่หยุดหย่อน  เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น เราก็ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า แต่เมื่อเจอเรื่องยากลำบากในชีวิต เมื่อพระเจ้าไม่ทรงสนองต่อความต้องการของเรา เราก็หนีหน้าและตำหนิพระองค์  ผมนึกถึงอับราฮัม เขาเต็มใจที่จะนบนอบต่อทุกสิ่งจากพระเจ้า  จะดีหรือร้าย เขาก็ไม่มีตัวเลือกของตัวเองเลย  เมื่อพระเจ้าทรงบอกให้อับราฮัมสละลูกชายของเขา อับราฮัมก็พร้อมทำตามที่พระเจ้าทรงขอ  มันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากสำหรับเขา แต่เขาก็ไม่ได้ถามพระเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงขอเช่นนี้?  พระองค์ทรงทำกับข้าพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไร?”  อับราฮัมเชื่อว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใด สิ่งนั้นถูกต้องและเขาก็ควรเชื่อฟัง  เขารู้ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้าง และเขาเองก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เขาจึงไม่ควรมีเงื่อนไข ควรยอมรับและนบนอบต่อพระบัญชาหรือพระประสงค์ใดๆ ของพระเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมได้รับการทรงเห็นชอบ  แต่ผู้คนในวันนี้ แตกต่างจากอับราฮัมโดยสิ้นเชิง เราคิดหมกมุ่นอยู่กับพรทางวัตถุตลอด และเพิกเฉยต่อน้ำพระทัย องค์พระเยซูเจ้าทรงเตือนสติเราว่า “พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้(มัทธิว 6:33)  เราไม่ควรแสวงหาพรทางวัตถุ แต่ควรแสวงหาการที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของเราให้ดี นั่นคือสิ่งที่สำคัญ  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงรู้ความคิดเราดีที่สุด และยังรู้ถึงความต้องการของเราได้ดีที่สุดอีกด้วย  แต่เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน ความคิดของมวลมนุษย์จึงถูกครอบงำด้วยความโลภและพรทางวัตถุจนหมดสิ้น ความเชื่อในพระเจ้าของเราไม่ได้เป็นไปเพื่อการเชื่อฟังและทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย แต่เพียงเพื่อให้ได้รับพระพรและสนองความต้องการของเราเอง เหมือนที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เผยว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล  โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับผมได้ตรงเผง ผมได้เห็นความไม่รู้ความและความเห็นแก่ตัวของตัวเอง และได้รู้ว่าผมควรอธิษฐานและนบนอนต่อพระเจ้าเมื่อสภาวการณ์ไม่ได้เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของผม  ผมไม่ควรเอาแต่ร้องขอพระคุณและพระพร

หลังจากนั้นไม่นานผมก็เจอปัญหาเดิมอีก  ด้วยความที่ผมทำงานในบริษัทของลุงได้แค่สัปดาห์เดียวแล้วลาออก จากนั้นผมก็อยู่แต่บ้าน มุ่งเน้นกับหน้าที่ จึงทำให้เงินหมดไปค่อนข้างเร็ว ผมไม่รู้ว่าจะเอาข้าวมื้อต่อไปมาจากไหน หรือควรไปหางานยังไง เพราะผมไม่มีวุฒิการศึกษา หรือใบประกาศสำหรับการจ้างงานเลย ผมไม่เหลืออะไรเลย และไม่มีแม้แต่เงินที่จะมาซื้ออินเทอร์เน็ตเพิ่ม ผมจำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ตใช้ เพื่อเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ พอคิดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้ผมกลับมารู้สึกอ่อนแออีกครั้ง และรู้สึกเหมือนมองไม่เห็นความหวังใดเลย แล้วตอนนั้นเอง แม่ก็บอกกับผมว่า เป็นเพราะการระบาดใหญ่ ทำให้พวกท่านไม่มีกิน และหวังว่าผมจะหาอะไรมาให้พวกท่านได้บ้าง การรู้ว่าแม่ก็ตกอยู่ในความลำบากยากแค้นเหมือนกัน ก็ทำให้ผมอ่อนแอและเจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี รู้สึกเหมือนตัวเองทนทุกข์กว่าคนอื่นมาก รู้สึกว่าชีวิตผมนั้นช่างยากจริงๆ  ผมไม่อาจเข้าใจน้ำพระทัยได้อย่างชัดเจน  ผมคิดว่า ในเมื่อผมยุ่งอยู่กับหน้าที่ทุกวัน พระเจ้าก็ควรดูแลผม แล้วทำไมสถานการณ์ของผมถึงเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ?  ระหว่างช่วงนั้น ผมอ่านพระวจนะเยอะมากและฟังบทเพลงสรรเสริญค่อนข้างเยอะ มีพระวจนะสองบทตอนในนั้นที่ช่วยให้ผมเข้าใจน้ำพระทัย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพระพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา  ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้  แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุง  ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเผยให้เห็นความเสื่อมทราม ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงตรงนั่นเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง  ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้ายอมตายเพื่อล้มเลิกกลอุบายและความอยากได้อยากมีของเจ้า และเพื่อนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดการจำกัดบังคับแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้  ในแง่มุมใดก็ตามที่ผู้คนยังคงอยู่ภายใต้การจำกัดบังคับของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา และในแง่มุมใดก็ตามที่พวกเขายังมีความอยากได้อยากมีของตนเองและมีข้อเรียกร้องของตนเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่พวกเขาควรทนทุกข์  เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจเจตนารมณ์พระเจ้า  ในข้อเท็จจริงนั้น การมีประสบการณ์กับการทดสอบอันเจ็บปวดทั้งหลายทำให้เกิดการเข้าใจความจริงมากมาย  ไม่มีใครสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตระหนักรู้ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกและสบาย หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ  นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลย!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “ผู้คนยื่นข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าอยู่เสมอ พลางคิดอยู่เสมอว่า ‘เราตัดขาดครอบครัวของเราไปแล้วเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเรา ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะทรงอวยพรเรา  เราปฏิบัติตนสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ควรจะประทานรางวัลให้แก่เรา’  ผู้คนจำนวนมากเก็บงำสิ่งเช่นนี้ในหัวใจของตนขณะที่เชื่อในพระเจ้า… ผู้คนช่างไร้ซึ่งเหตุผล พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แล้วพวกเขาก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ  ผู้คนควรจะเลือกเส้นทางในการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขารังเกียจความจริง พวกเขากระหายความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง และพวกเขาแสวงหาเพื่อจะได้มาซึ่งพระพรและเปรมปรีดิ์ในพระคุณอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็พร่ำบ่นว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นมีมากเกินไป  พวกเขาเอาแต่ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาต่อพวกเขาและประทานพระคุณแก่พวกเขาให้มากขึ้น และอนุญาตให้พวกเขารู้สึกถึงความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนัง—พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?… ถ้อยคำเหล่านี้ที่ผู้คนพูดนั้นขาดเหตุผลและความเชื่อโดยสิ้นเชิง  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาเพราะข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของผู้คนไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่พึงพอใจพระเจ้า  ถ้อยคำเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเปิดเผยออกมาจากหัวใจ และถ้อยคำเหล่านี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติของผู้คนอย่างสมบูรณ์  สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวผู้คน และหากไม่ถูกสลัดทิ้งไป สิ่งเหล่านี้ก็สามารถนำผู้คนไปสู่การเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าได้ในทุกเวลาหรือสถานที่  ผู้คนจะมีแนวโน้มที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า และพวกเขาอาจจะละทิ้งหนทางที่แท้จริงได้ในทุกขณะและทุกสถานที่  นี่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  เมื่อก่อน ผมมุ่งเน้นกับหน้าที่ทุกวัน จนถึงจุดที่ผมไม่ค่อยใส่ใจครอบครัว ด้วยความเชื่อว่า พระเจ้าก็ควรปูนบำเหน็จและประทานพรแก่ผม ผมไม่ได้ต้องการบำเหน็จใหญ่โตจากพระเจ้า ขอแค่งานที่ได้เงินมาพอดำรงชีวิต หลังจากได้งานทำ ผมก็จะสามารถทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ผมรู้สึกว่านั่นเป็นคำขอที่สมเหตุสมผล ไม่ได้มากเกินไปเลยสักนิด  แต่พอคิดทบทวนว่าพระวจนะได้เปิดโปงสิ่งใด ผมก็ได้เห็นว่า การมีความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อและอยากได้อยากมีเหล่านั้น แสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้นบนอบต่อพระองค์ แต่กลับเรียกร้องให้พระองค์ทรงทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ พระวจนะยังแสดงให้ผมเห็นว่า หากใครมีคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าอยู่เสมอ ก็ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติความจริง และเป็นไปได้ที่พวกเขาจะทรยศและละทิ้งพระองค์เมื่อไม่ได้อย่างที่ขอ  ผมได้เข้าใจในตอนนั้นเองว่า ทำไมผมถึงได้ประสบกับความยากลำบากเหล่านี้ ดูผิวเผินเหมือนผมทนทุกข์อย่างมาก เหมือนกับว่าผมช่างน่าสงสารจริงๆ แต่ที่จริงแล้ว ผมกำลังก้าวผ่านการบรรเทาทุกข์ ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเหมือนทนไม่ไหว แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งผม  การนี้ก็เพื่อให้ผมได้เห็นมุมมองที่ไม่ถูกต้องและความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อของผม แล้วเปลี่ยนให้กลับมาในทิศทางที่ถูกดังที่พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนทำตาม  ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า “ผมอยากได้งานดีๆ ที่ทำให้ผมพอหาเงินได้บ้างไม่ใช่หรือ?  ผมอยากได้อินเทอร์เน็ตเพื่อเติมเต็มความต้องการพื้นฐานไม่ใช่หรือ?  ผมอยากทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคไม่ใช่หรือ?  ใช่ ผมอยากได้อย่างนั้น ดังนั้น ในเมื่อผมหวังที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ทำไมพระเจ้าถึงไม่จัดการเตรียมการเพื่อให้ผมได้มา?  ผมก็แค่โชคร้าย แค่อับโชคงั้นหรือ?” ไม่ใช่เลย ผมโชคดีอย่างเหลือเชื่อ  นี่คือความรักของพระเจ้าที่มาสู่ผม พระเจ้าทรงเห็นชอบในสภาวการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับผม ทั้งหมดเป็นการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ที่ผมอาจได้แสวงหาความจริง เรียนรู้บทเรียน และชำระความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อให้สะอาด ถ้าผมปฏิบัติความเชื่อในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและดีไปเสียหมด ไม่ประสบกับเรื่องที่ส่งผลร้าย หรือสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจใดๆ เลย ความรักและความเชื่อในพระเจ้าของผม ก็คงมีแรงจูงใจ ความปรารถนา และความไม่บริสุทธิ์ซึ่งพระองค์คงจะไม่เห็นชอบ พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนอุทิศตนและเชื่อฟังต่อพระองค์อย่างแท้จริงในทุกสถานการณ์  ก็เหมือนกับเด็ก  หากพวกเขารักพ่อแค่ตอนที่พ่อมอบความสะดวกสบายทางวัตถุในชีวิตให้ แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้นก็กลับเกลียดพ่อและพูดว่า “ถ้าพ่อไม่ให้ทุกสิ่งที่หนูอยากได้ หนูก็จะไม่เคารพ หรือยอมรับว่าพ่อเป็นพ่อ”  นั่นเป็นเด็กแบบไหนกัน?  นั่นคือเด็กอกตัญญูที่ขาดมโนธรรมและเหตุผล ขอบคุณพระเจ้า! ผมก็กำลังเจอสถานการณ์นั้นอยู่เหมือนกัน การก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผมอย่างแน่นอน เพื่อชำระความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อของผมให้สะอาด

หลังจากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะเพิ่มเติมว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อะไรคือการเชื่อแท้จริงในพระเจ้าในวันนี้?  มันคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความเป็นจริงชีวิตของเจ้าและการรู้จักพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ในความรักที่แท้จริงสำหรับพระองค์  กล่าวให้ชัดเจนก็คือ การเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจนบนอบพระเจ้า รักพระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ซึ่งควรได้รับการลุล่วงโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้า  เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ในความรู้หนึ่งเกี่ยวกับความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงคู่ควรเพียงใดต่อความเคารพ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์และการทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม—เหล่านี้คือสาระจำเป็นอันประจักษ์แจ้งของการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า  การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นการสลับเปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งของเนื้อหนังไปสู่ชีวิตหนึ่งของการรักพระเจ้า จากการใช้ชีวิตภายในความเสื่อมทรามไปสู่การใช้ชีวิตภายในชีวิตของพระวจนะของพระเจ้า  มันคือการออกมาจากภายใต้อำนาจของซาตานและการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า มันคือการที่สามารถจะสัมฤทธิ์ความนบนอบต่อพระเจ้าและความไม่นบนอบต่อเนื้อหนัง มันคือการยอมให้พระเจ้าทรงได้รับหมดทั้งหัวใจของเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อที่ฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าอาจได้รับการสำแดงในตัวเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำให้แผนของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ต่อหน้าซาตาน  การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรวนเวียนอยู่กับความอยากที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งไม่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเนื้อหนังส่วนตัวของเจ้า  มันควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า และการสามารถนบนอบพระเจ้า และ เช่นเดียวกับเปโตร การนบนอบพระองค์จนกระทั่งคนเราถึงแก่ความตาย  เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายหลักของการเชื่อในพระเจ้า  พวกเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เจ้ามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เพียงหลังจากนั้นแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถนบนอบพระองค์ได้  ด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระองค์ได้ และนี่คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรมีในการเชื่อของเขาในพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า)  ถึงแม้ว่าผมจะได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ในทันทีที่ได้รับความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง หลังจากที่ได้ก้าวผ่านความยากลำบากทั้งหมดเหล่านั้นมา ผมถึงได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าขึ้นมาเล็กน้อย  ความเชื่อที่แท้จริง ไม่เหมือนที่ผมคิดไว้ ที่ว่าตราบใดที่ผมเชื่อในพระเจ้าและสละตนเพื่อพระองค์ พระองค์ก็ควรจะเฝ้าดูและคุ้มครองผม และให้ทุกสิ่งที่ผมต้องการ ทัศนะต่อความเชื่อแบบนั้นไม่ถูกต้อง  ในความเชื่อ เราควรมีประสบการณ์กับพระวจนะ และทำให้พระองค์พอพระทัยในทุกสิ่ง  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้หรือพรากสิ่งใดไป เราก็ควรนบนอบต่อพระองค์และสละตนอย่างแท้จริง  ถ้าหากในความเชื่อ ผู้คนล้วนพากันไล่ตามเสาะหาเพื่อจะรู้จักพระเจ้าผ่านพระวจนะ และนบนอบต่ออธิปไตยการจัดการเตรียมการของพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบความเชื่อของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่สามารถรักพระเจ้าได้ถึงที่สุดและเชื่อฟังพระองค์ได้จนวันตายอย่างเปโตร ย่อมเป็นคนที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อม โชคดีที่พระเจ้าทรงทำให้ผมได้รู้แจ้ง ที่จะรู้จักแง่มุมที่ถูกต้องของความเชื่อผ่านสถานการณ์นี้ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเด็ดเดี่ยวและสงบสุข  ผมอธิษฐานด้วยความนบนอบต่อพระเจ้า เพียงแค่ขอให้พระองค์ทรงมอบความเข้มแข็งให้ผมอดทนต่อความยากลำบากนั้นให้ได้ รุ่งขึ้นผมก็ประหลาดใจที่ลุงส่งเงินมาให้ผมเล็กน้อย พอที่จะซื้ออาหารและเติมอินเทอร์เน็ตได้บ้าง ผมขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริงที่ทรงเปิดเส้นทางให้ผม

ยิ่งกว่านั้น ผมยังหาทางจนได้ทำงานพิเศษ  งานนั้นไม่ใช่งานง่ายเลย แต่ผมก็ได้เงินมาพอใช้สำหรับความจำเป็นพื้นฐานได้  ผมได้ประสบอย่างแท้จริงว่า การยอมรับและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เป็นบทเรียนพื้นฐานที่เราควรเรียนรู้ผ่านชีวิตจริง และนั่นจะช่วยให้เรารู้จักอธิปไตยอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านประสบการณ์ของเรา นี่คือท่าทีที่เราควรมีต่อปัญหาทุกรูปแบบในชีวิต ผมนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ในเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตจริง เจ้าควรรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์อย่างไร?  เมื่อเจ้าถูกประจันหน้าด้วยปัญหาเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจ รับมือ และรับประสบการณ์กับมันอย่างไร ท่าทีอะไรที่เจ้าควรนำมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นจริงถึงเจตนาของเจ้าที่จะนบนอบ ความอยากที่จะนบนอบ และความเป็นจริงของการนบนอบของเจ้าต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า?  ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย จากนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหา แล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ  ‘การรอคอย’ หมายถึงการรอคอยเวลาของพระเจ้า  การรอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมไว้ให้เจ้า การรอคอยให้เจตนารมณ์ของพระองค์ค่อยๆ เผยตัวให้เจ้ารู้  ‘การแสวงหา’ หมายถึง การสังเกตและการทำความเข้าใจพระเจตนาอันเปี่ยมด้วยพระดำริของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงวางโครงร่างเอาไว้ การทำความเข้าใจความจริงโดยผ่านทางสิ่งเหล่านั้น การเข้าใจสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงและหนทางต่างๆ ที่พวกเขาต้องยึดถือไว้ การทำความเข้าใจในผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์และความสำเร็จลุล่วงอะไรที่พระองค์ทรงตั้งใจบรรลุในพวกเขา  ‘การนบนอบ’ แน่นอนว่าย่อมอ้างอิงถึงการยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ การยอมรับในอธิปไตยของพระองค์ และโดยผ่านการยอมรับนี้ มารู้ว่าพระผู้สร้างทรงลิขิตขีดเขียนชะตากรรมมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงจัดหาให้กับมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงพระราชกิจความจริงในมนุษย์อย่างไร  ทุกสรรพสิ่งภายใต้การจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้าเป็นไปโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติต่างๆ และหากเจ้าตั้งปณิธานว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและลิขิตขีดเขียนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะรอคอย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบ  นี่คือท่าทีที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะนบนอบสิทธิอำนาจของพระเจ้าต้องนำมาใช้ คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต้องมี  เพื่อที่จะมีท่าทีเช่นนั้น เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น  นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงได้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  ถึงแม้ผมจะเคยอ่านพระวจนะบทตอนนี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกแตกต่างออกไปเมื่อได้มาอ่านหลังจากผ่านความยากลำบากมาแล้ว  ผมเห็นได้จากพระวจนะว่า การแสวงหาน้ำพระทัย การรอคอย และการนบนอบ เป็นการเข้าหาข้อแรกที่คนเราควรมีเมื่อเจอกับปัญหา  แต่นั่นไม่ใช่การรอคอยอย่างเอื่อยเฉื่อย ต้องประกอบด้วยการอธิษฐาน การอ่านพระวจนะ การแสวงหาน้ำพระทัย และการคิดทบทวนตัวเองด้วย  ด้วยหนทางนี้คุณสามารถจะเรียนรู้สภาวะที่แท้จริงของตนได้ และเข้าใจว่าคุณควรเข้าสู่สิ่งใด  ผ่านการแสวงหาและประสบการณ์รูปแบบนี้ เราสามารถเห็นอธิปไตยอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และกิจการที่แท้จริงของพระเจ้าได้

ทีแรก ผมอยากทำงานพิเศษยากๆ นั้นแค่เดือนเดียว แค่ให้หาเงินมาได้พอใช้ดำรงชีวิต และเอาเวลาที่เหลือไปทำหน้าที่ แต่โทรศัพท์ผมกลับมีปัญหา ผมคิดว่าถ้าทำงานต่ออีกเดือน ก็คงซื้อโทรศัพท์และแล็ปท็อปได้ ผมเป็นผู้นำคริสตจักร ถึงอย่างไรก็มีงานมากมายที่ต้องจัดการ การทำหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม สำคัญเป็นอันดับแรก ผมจึงตัดสินใจลาออกจากงาน  พอผู้นำระดับสูงรู้สถานการณ์ของผม เธอก็บอกว่า เพื่อจะช่วยให้ผมทำหน้าที่ได้ดี ทางคริสตจักรจะช่วยซื้อแล็ปท็อปและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ผม ผมตื่นเต้นมากที่ได้ยินอย่างนั้น มีความสุขมากจนอธิบายไม่ถูก  ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้คือพระคุณของพระเจ้า  ผมยังเห็นอีกด้วยว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรให้ลำบากยากเย็นสำหรับผมเลย พระองค์แค่อยากให้ผมจริงใจและเชื่อฟัง  ผมได้มีประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าผ่านการทนทุกข์  เมื่อก่อน สิ่งที่ผมจินตนการไว้เกี่ยวกับความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นคลุมเครือและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง  แต่หลังจากได้มีประสบการณ์ในสภาวการณ์และเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว จึงทำให้ผมตระหนักได้ว่าแต่ละสภาวการณ์เหล่านั้นเป็นการจัดวางเรียบเรียงจากพระเจ้า  พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อทดสอบผม เพื่อนำผมให้เกิดความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระองค์ทีละเล็กละน้อย เพื่อเปลี่ยนแปลงมุมมองที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความเชื่อ และเพื่อให้ผมได้มาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหา นี่คือความรักที่พระเจ้าทรงมีให้ผมโดยแท้ ผมยังได้เข้าใจท่าทีที่ถูกต้องที่ต้องมีเพื่อให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากอีกด้วย

ไม่นาน ผมก็เจอการทดสอบจริงอีกครั้ง พอทำงานนั้นไปได้หนึ่งเดือน หลังจากรับเงินเดือนผมก็ถูกปล้น  พวกโจรได้เงินเดือนผมไปครึ่งหนึ่ง  แต่เป็นเพราะการคุ้มครองของพระเจ้า ถึงพวกเขาจะมีมีด แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำร้ายผม  ผมฉุกคิดได้ว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจตนารมณ์อันดี  ผมนึกถึงโยบที่ร่ำรวยมาก แต่เมื่อเขาถูกพรากทรัพย์สมบัติไปจนหมด และลูกทุกคนก็เสียชีวิต เขากลับนบนอบอย่างไร้เงื่อนไข ไม่พร่ำบ่น และยังสรรเสริญพระนามของพระเจ้า  ผมไม่ได้ร่ำรวย เป็นแค่คนธรรมดา ถึงแม้ว่าผมต้องการเงินนั้น และมีแผนมากมายที่ต้องใช้จ่ายด้วยเงินก้อนนี้ ผมก็พร้อมเชื่อและเชื่อฟังให้ได้อย่างโยบ ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสุดจะหยั่งถึง ข้าพระองค์ไม่อาจเข้าใจได้ถี่ถ้วนว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น แต่ข้าพระองค์เชื่อว่าในเรื่องนี้มีน้ำพระทัยซ่อนอยู่ ข้าพระองค์พร้อมนบนอบต่อการจัดการเตรียมการ ได้โปรดดลใจและทรงนำข้าพระองค์ เพื่อไม่ให้จมลงสู่สภาวะคิดลบด้วยเถิด”  ผมก็รู้สึกสงบใจจริงๆ หลังจากได้อธิษฐาน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  ผมยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างสงบเช่นเคย โดยไม่รู้สึกกังวลหรือร้อนใจ  เทียบกับท่าทีก่อนที่ผมจะเข้าใจความจริงแห่งอธิปไตยของพระเจ้าแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นเพราะผมได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ ในหนทางนั้นเพื่อชำระผมให้สะอาดและช่วยให้ผมรอด ความเข้าใจในความรักของพระเจ้าของผมก็ลึกซึ้งขึ้นอีกด้วย ความรักของพระเจ้า ไม่ใช่แค่การให้พรทางวัตถุแก่เราเท่านั้น เพราะสิ่งของเหล่านั้นทำได้แต่สนองความต้องการทางเนื้อหนังของเรา  ความรักที่แท้จริงของพระเจ้าคือเพื่อให้เราเรียนรู้ความจริงผ่านประสบการณ์การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงจากพระวจนะ เพื่อให้เรารู้ว่าทำไมเราถึงมีความเชื่อ รู้วิธียำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว วิธีรักและทำให้พระเจ้าพอพระทัย และนบนอบต่อทุกการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการได้ถึงที่สุด ผมนึกถึงพระวจนะที่ว่า “ความรักต่อพระเจ้าของมนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของกระบวนการถลุงและการพิพากษาของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงแค่ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า ด้วยการมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขหรือพรทางวัตถุต่างๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่สามารถถือว่าประสบผลสำเร็จได้  พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งพระคุณในเนื้อหนังไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว และได้ประทานพรทางวัตถุต่างๆ  แก่มนุษย์แล้ว แต่มนุษย์นั้นไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้ด้วยพระคุณ ความรัก และความเมตตาเพียงอย่างเดียว  ในประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์นั้น เขาเผชิญกับความรักบางส่วนของพระเจ้า และมองเห็นความรักและความปรานีของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้น ด้วยการได้รับประสบการณ์มาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง เขามองเห็นว่าพระคุณของพระเจ้าและความรักกับความปรานีของพระองค์นั้นไม่สามารถพอที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ ไม่สามารถพอที่จะเปิดเผยถึงสิ่งที่เสื่อมทรามภายในมนุษย์ได้ และไม่สามารถขจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ไปจากเขาได้ หรือทำให้ความรักและความเชื่อของเขามีความเพียบพร้อมได้  พระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าคือพระราชกิจในช่วงเวลาหนึ่ง และมนุษย์ไม่สามารถอาศัยการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  “การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด?  มันสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  พออ่านพระวจนะ ผมก็รู้สึกลึกๆ ว่า พระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า คือการชำระล้างมวลมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวงจริงๆ ความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราจะถูกชำระให้สะอาดได้ด้วยการผ่านการพิพากษาและการเผย บททดสอบและกระบวนการถลุงจากพระวจนะเท่านั้น  การนั้นจะไม่มีทางสัมฤทธิ์ได้ด้วยการชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้า ผมจะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เลยถ้าไม่มีพระวจนะ และไม่มีสภาวการณ์ที่ลำบากยากเย็นเหล่านี้  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 70. การทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระเจ้าในประเทศจีนนั้นสำคัญยิ่ง

ถัดไป: 72. การทดลองต่างๆ ในชั้นเรียนล้างสมอง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger