5. การดิ้นรนที่จะพูดอย่างซื่อสัตย์
ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อ ค.ศ. 2017 เวลาได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงคือเวลาที่ฉันมีความสุขมาก เพราะได้เรียนรู้ความจริงมากขึ้น และได้อะไรบางอย่างจากการชุมนุมแต่ละครั้งอยู่เสมอ ตอนแรกพวกเราสามัคคีธรรมผ่านทางการแชทข้อความ นั่นคือพวกเราพิมพ์สื่อสารกันทางออนไลน์หมด ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ยั้งอะไรไว้ และฉันกระตือรือร้นมากที่จะพูดถึงความเข้าใจที่ฉันมีต่อพระวจนะของพระเจ้า ผู้นำทั้งหลายมักจะพูดบ่อยๆ ว่าฉันมีความเข้าใจที่ดี แล้วพี่น้องชายหญิงก็ยอมรับนับถือฉัน พวกเขาบอกว่าชอบฟังฉันสามัคคีธรรม และบอกว่าฉันพูดภาษาอังกฤษได้ดี ฉันตื่นเต้นที่ได้ยินคำยกย่องจากพวกเขา และรู้สึกว่าฉันทำได้ดี จากนั้นพี่น้องหญิงคนหนึ่งก็เสนอแนะให้พวกเราชุมนุมด้วยการโทรศัพท์ผ่านแอปพลิเคชันหรือวอยซ์คอลล์ แล้วปัญหาก็เริ่มปรากฏให้เห็น
ในการชุมนุมครั้งแรกด้วยการโทรศัพท์นั้น หลังจากที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พี่น้องหญิงสองคนก็แบ่งปันความเข้าใจในบทตอนดังกล่าวก่อน ฉันประหม่าและไม่ได้ฟังการสามัคคีธรรมของพวกเธอเท่าใดนัก เมื่อก่อนนี้ทุกอย่างเป็นข้อความ ฉันจึงไม่ค่อยเคยชินกับการสามัคคีธรรมเป็นเสียงพูดโดยตรง การสื่อสารด้วยเสียงคือจุดอ่อนของฉัน ตอนที่ใช้ข้อความ ฉันสามารถเลือกคำและเกลาสิ่งต่างๆ ได้ แต่ในการสนทนากันทันทีนี้ ฉันมีเวลาตระเตรียมไม่มากพอ ถึงฉันจะมีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ฉันก็กลัวว่าการสามัคคีธรรมของฉันจะยุ่งเหยิงและไม่เป็นระเบียบ ว่าภาษาอังกฤษของฉันจะไม่คล่องแคล่วพอ และฉันกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะผิดหวังในตัวฉัน ฉันหมกมุ่นอยู่กับปัญหาเหล่านี้ตลอดการชุมนุม ลังเลว่าจะแบ่งปันดีหรือไม่ ถ้าไม่แบ่งปัน คนอื่นก็จะคิดเป็นแน่ว่าฉันไม่ได้มีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมอย่างแข็งขัน และผู้นำก็จะผิดหวังในตัวฉัน แต่ถ้าแบ่งปัน ฉันก็ต้องเปิดไมโครโฟน และฉันเกรงว่าถ้าฉันพูดได้ไม่ดี พี่น้องชายหญิงก็จะดูแคลนฉัน นั่นย่อมจะทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ที่พวกเขามีต่อฉัน ความคิดพวกนี้ทำให้ฉันยิ่งประหม่าเสียจนพูดอะไรไม่ออกเลย พี่น้องหญิงสองคนที่เรียกฉันให้รับเชื่อก็อยู่ในการชุมนุมนั้น และฉันคิดว่าพวกเธอจะผิดหวังถ้าฉันสามัคคีธรรมได้ไม่ดี และแล้วผู้นำคนหนึ่งชื่อ ฟลอร่า ชิ ก็พูดกับฉันว่า “น้องเวเนียลา คุณจะแบ่งปันสักหน่อยได้ไหม? ทุกคนแบ่งปันกันหมดแล้ว คุณลืมแบ่งปันการสามัคคีธรรมหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเธอผิดหวัง ฉันรู้สึกอึดอัดและอับอายจริงๆ เพื่อที่จะซ่อนข้อบกพร่องของฉันและรักษาภาพลักษณ์ในสายตาของพวกเขา ฉันตัดสินใจว่าจากนั้นไปฉันจะเขียนสิ่งที่อยากสามัคคีธรรมเอาไว้ก่อนการชุมนุม แล้วพอถึงคราวตัวเอง ฉันจะได้อ่านไปตามนั้นก็พอ และไม่ตกประหม่ามากนัก พวกเขาก็จะพากันคิดว่าฉันพูดคล่อง และสามัคคีธรรมตรงประเด็น ฉันคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
ค่ำวันหนึ่งพี่น้องหญิงสองคนจากจีนเป็นผู้จัดการชุมนุม พวกเราทุกคนใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันเพื่อความสะดวก พี่น้องชายหญิงบางคนอายมากเพราะภาษาอังกฤษของตัวเองไม่ค่อยดีนัก แต่พวกเขาก็สามารถสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าได้ พอถึงคราวตัวเอง ฉันก็สามัคคีธรรมอย่างแข็งขันมาก และฟังดูมั่นใจมากเพราะเขียนสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเอาไว้ล่วงหน้า ฉันเป็นคนสุดท้ายที่สามัคคีธรรม และฉันพยายามเต็มที่ที่จะพูดอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด พวกเขาจะได้ไม่ทันสังเกตว่าฉันอ่าน หลังจากนั้นทุกคนก็ชมเชยการสามัคคีธรรมของฉันและบอกว่ามีประโยชน์ต่อพวกเขา และพูดว่าภาษาอังกฤษของฉันดีมาก ฉันแอบดีใจที่ได้ฟังคำยกย่องของพวกเขา และรู้สึกเหมือนตัวเองชนะใจพวกเขา จากนั้นฉันได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม และฉันก็ยิ่งสนใจมากกว่าเดิมว่าคนอื่นคิดกับฉันอย่างไร แต่ฉันเริ่มรู้สึกผิดและค่อนข้างไม่สบายใจทุกครั้งที่คนอื่นสรรเสริญฉัน เพราะว่าฉันไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเห็นตัวตนที่แท้จริง ฉันไม่ได้รู้สึกว่าการนี้ถูกต้อง แต่ก็ยังคงทำเช่นเดิมต่อไป ในการชุมนุม ฉันไม่ได้ฟังการสามัคคีธรรมของคนอื่นอย่างแท้จริง เพราะฉันง่วนอยู่กับการเขียนความเข้าใจของตัวเอง ฉันสนใจแต่จะเขียนสิ่งที่ฟังดูดีเพื่อสนองความถือดีของฉันและปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง การนี้ทำให้ฉันไม่ได้อะไรมากขึ้นจากการชุมนุม และสูญเสียความหมายของการชุมนุม ฉันรู้ว่าทำตัวเช่นนี้ไม่ดีเลย และอยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะบอกความจริงให้คนอื่นรู้ แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น ฉันกลัวว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าที่ผ่านมาฉันเขียนสิ่งที่ฉันสามัคคีธรรมไว้ล่วงหน้า พวกเขาจะดูแคลนและอาจพูดว่าฉันไม่จริงใจ โกหกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ฉันอยากเลิกทำแบบนั้นหลายต่อหลายครั้ง เพราะมันไม่เป็นประโยชน์กับฉันเลย แถมยังทำให้ฉันไม่สบายใจอย่างมาก แต่ความวิตกกังวลนั้นไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับภาพลักษณ์ของฉันและความเลื่อมใสจากผู้อื่น เพราะฉันใส่ใจในหน้าตาและชื่อเสียงของตัวเองมากกว่า แต่ทุกครั้งที่ทำสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง ฉันถึงกับพยายามโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อว่าฉันทำไปเพื่อที่จะแบ่งปันความเข้าใจของตัวเองได้ชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น คนอื่นจะได้เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดได้ดียิ่งขึ้น ฉันเฝ้าบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่ความไม่สบายใจและความรู้สึกผิดก็ยังคงทรมานฉัน ฉันคิดในใจว่า “ถ้าฉันปล่อยวางความภาคภูมิใจได้และบอกความจริงกับทุกคน ฉันก็จะหนีพ้นสภาวะนี้ แต่ฉันกลัวว่าถ้าพวกเขารู้เข้าว่าภาษาอังกฤษของฉันไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น พวกเขาก็จะหัวเราะเยาะฉัน แล้วฉันจะเผชิญหน้าพวกเขาได้อย่างไร?” ฉันดิ้นรนต่อสู้กับเรื่องนี้อยู่นานมาก แต่ก็ยังเปิดใจไม่สำเร็จ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันจึงพยายามเพิ่มทักษะทางภาษาให้ตัวเอง ฉันฝึกสามัคคีธรรมด้วยตัวเองที่บ้าน บันทึกเสียงตัวเอง แล้วก็เปิดฟังเพื่อดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดว่า “ถ้าฉันทำอย่างนี้แล้วพัฒนาทักษะการพูดได้ ฉันก็จะไม่ต้องคอยเขียนสิ่งที่ฉันจะสามัคคีธรรมไว้ล่วงหน้าอีก และสามารถแบ่งปันไปตามตรง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับทุกคน ตราบใดที่ฉันยังคงสามัคคีธรรมได้ดีและภาษาอังกฤษของฉันก็ฟังดูคล่อง พวกเขาก็จะนับถือฉันต่อไป” แต่ไม่ว่าฉันจะฝึกซ้อมมากขนาดไหน ฉันก็เกร็งทุกครั้งที่สามัคคีธรรมในที่ชุมนุม ดังนั้นฉันจึงเอาแต่อ่านบทสามัคคีธรรมของตนเหมือนที่เคยทำมา ฉันผิดหวังในตัวเองมากและเพราะฉันติดอยู่ในสภาวะคิดลบ การทำหน้าที่ของฉันจึงพลอยได้รับผลกระทบ ลงท้ายฉันก็ถูกปลด
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งแบ่งปันพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้า ซึ่งกระทบความรู้สึกของฉันอย่างมาก พระวจนะของพระเจ้าระบุว่า “หากเจ้าอยากให้ผู้อื่นไว้ใจเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องซื่อสัตย์ การที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น อันดับแรกเจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และมองดูใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามอำพรางหรือปิดบังตนเอง เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงจะไว้ใจเจ้า และมองว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ นี่คือการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุด และเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ถ้าเจ้าเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งทำอยู่เสมอว่าเจ้านั้นบริสุทธิ์ ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ และมีบุคลิกที่สูงส่ง ถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามและข้อเสียของเจ้า ถ้าเจ้าเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จให้ผู้คนเห็นเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าซื่อตรง ยิ่งใหญ่ รู้จักปฏิเสธตัวเอง ยุติธรรม และไม่เห็นแก่ตัว—นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและความเทียมเท็จมิใช่หรือ? เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนย่อมจะมองเจ้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งมิใช่หรือ? ดังนั้น จงอย่าใช้อะไรมาปลอมแปลงหรือปิดบังตัวเจ้าเอง แต่จงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—นั่นก็คือความซื่อสัตย์มิใช่หรือ? หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าให้ผู้อื่นดู เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ย่อมจะมองเห็นเจ้าด้วย พระองค์ย่อมจะตรัสว่า ‘ถ้าเจ้าตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราเป็นแน่’ แต่หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าเวลาอยู่นอกสายตาของผู้อื่น และแสร้งทำตัวยิ่งใหญ่และประเสริฐอยู่เสมอ หรือไม่เห็นแก่ตัวเวลาอยู่ร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเจ้า? พระองค์จะตรัสว่าอย่างไร? พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงโดยแท้ หน้าซื่อใจคดและต่ำทรามอย่างแท้จริง เจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์’ พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าเช่นนี้ หากเจ้าอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าก็ควรให้คำอธิบายถึงสภาวะภายในตัวเจ้า รวมทั้งความในใจของเจ้าได้อย่างถ่องแท้และเปิดเผย เรื่องนี้ทำได้ง่ายหรือไม่? นี่ต้องมีระยะเวลาฝึกฝน ต้องหมั่นอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าต้องฝึกตัวเองให้กล่าวความในใจออกมาอย่างเรียบง่ายและเปิดเผยในทุกเรื่อง ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้ เจ้าจึงจะก้าวหน้าได้ ถ้าเจ้าเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง เจ้าจำเป็นต้องต่อสู้อยู่ในหัวใจของตนและเอาชนะเนื้อหนัง จนกระทั่งเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้ เมื่อฝึกฝนตนเองแบบนี้ไปทีละนิด หัวใจของเจ้าก็จะค่อยๆ เปิดกว้าง เจ้าจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ และผลจากคำพูดและการกระทำของเจ้าย่อมจะแตกต่างจากเมื่อก่อน เรื่องโกหกและเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าจะลดน้อยลงทุกที และเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วในแก่นแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ และไม่โปรดความตลบตะแลงหรือความไม่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามหรือน่าเกลียด พวกเราต้องเปิดใจในการสามัคคีธรรม พูดจาโดยไม่โกหก และไม่มีความตลบตะแลงในหัวใจ พวกเราต้องไม่แสร้งเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น และพวกเราต้องไม่สวมหน้ากาก นั่นคือการซื่อสัตย์ ฉันรู้สึกผิดมากตอนที่อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ฉันอยากเปิดใจกับทุกคนจริงๆ อยากวางความถือดีและความมีหน้ามีตาของตนเอง แต่ถึงจะพยายามอยู่สองสามครั้ง ฉันก็ไม่เคยทำเช่นนี้ได้ ฉันอยากมีหน้ามีตามากเกินไป ฉันถูกความถือดีของตัวเองจองจำไว้ ฉันมองเห็นว่าฉันเสื่อมทรามอย่างเหลือเชื่อจริงๆ รู้สึกผิดและโกรธมากในเวลาเดียวกัน ฉันคิดในใจว่า “ทำไมฉันถึงเสแสร้งตลอดเวลา ทำให้คนอื่นประทับใจในตัวฉันอย่างผิดๆ? ทำไมฉันถึงปฏิบัติความจริงและเลิกโกหกไม่ได้? ความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้าจะสูญเปล่าทั้งหมดอย่างนั้นหรือ? การชุมนุมและการไล่ตามเสาะหาความจริงทั้งหมดนั้นจะไร้ผลหรือ?” ฉันรู้สึกเหมือนจะหนีพันธนาการแห่งความถือดีของตัวเองไม่พ้น ฉันอยากจะออกจากกลุ่มและใช้เวลาปรับตัวเองให้มีสภาวะที่ถูกต้องสักพัก และเมื่อฉันปรับสภาวะของตนได้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ฉันจะได้กลับมาร่วมการชุมนุมและเลิกทำอะไรแบบนั้น ดังนั้นฉันจึงออกจากกลุ่มและหยุดใช้บัญชีของตน อยากอยู่คนเดียวและทบทวนตัวเอง ฉันกลัดกลุ้มและท้อแท้ใจอยู่ระยะหนึ่ง และเหงาด้วย ฉันผิดหวังในตัวเองมาก ฉันเป็นผู้เชื่อมาสองปี แต่ยังคงดิ้นรนที่จะซื่อสัตย์และปล่อยวางความถือดี ฉันใส่ใจมากไปว่าคนอื่นคิดเห็นกับฉันอย่างไร แค่นึกภาพปฏิกิริยาของคนอื่นหลังได้รู้ความจริง ก็ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจมากแล้ว
ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงอ่านพระวจนะของพระเจ้า วันหนึ่งฉันมองเห็นบทตอนนี้ที่ว่า “ในการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น คนเราต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริง แต่คนเราควรเริ่มปฏิบัติความจริงจากที่ใด? ไม่มีข้อบังคับในเรื่องนี้ เจ้าควรปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจ หากเจ้าเริ่มทำหน้าที่แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะเริ่มปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามีความจริงหลายแง่มุมให้ปฏิบัติ และเจ้าควรปฏิบัติความจริงในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจ ตัวอย่างเช่น เจ้าสามารถเริ่มจากการเป็นคนซื่อสัตย์ด้วยการพูดจาอย่างซื่อสัตย์ และด้วยการเปิดหัวใจของตน หากมีบางสิ่งซึ่งเจ้าตะขิดตะขวงอับอายเกินไปที่จะพูดกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรคุกเข่าลงและบอกสิ่งนั้นกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน เจ้าควรพูดอะไรกับพระเจ้าหรือ? จงบอกพระเจ้าถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า จงอย่าใช้คำพูดอันน่ายินดีซึ่งว่างเปล่าหรือพยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ จงเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด หากเจ้าเลวมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าเลวมาโดยตลอด หากเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด หากเจ้ามีความคิดที่เลวทรามและเคลือบแฝงมาโดยตลอด ก็จงทูลบอกพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าแข่งขันเพื่อสถานะอยู่เสมอ ก็จงทูลบอกพระองค์ถึงการนี้เช่นกัน จงยอมให้พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้า จงยอมให้พระองค์ทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมแก่เจ้า จงเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงช่วยให้เจ้าผ่านพ้นความลำบากยากเย็นทั้งปวงของเจ้าไปได้และแก้ไขปัญหาทั้งหมดของเจ้า เจ้าควรเปิดใจให้พระเจ้า จงอย่าปิดใจของเจ้าเรื่อยไป ต่อให้เจ้าปิดกั้นพระองค์ พระองค์ก็ยังคงพินิจพิเคราะห์เจ้าได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเปิดหัวใจให้พระองค์ เจ้าจะสามารถได้รับความจริง ดังนั้น เจ้าควรเลือกเส้นทางใด? เจ้าควรเปิดหัวใจของตนและบอกให้พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ควรพูดสิ่งที่เทียมเท็จหรือปลอมแปลงตนเองแต่อย่างใด เจ้าควรเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นเวลาหลายปีที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงความจริงที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ในวันนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงไม่แยแส พูดและกระทำตามเจตนา ความอยากได้อยากมี และจุดมุ่งหมายของตนเองเท่านั้น และไม่เคยมีการกลับใจเกิดขึ้นเลย นี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้คนที่ซื่อสัตย์ เหตุใดพระเจ้าจึงทรงขอให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์? เพื่อให้ควบคุมผู้คนได้ง่ายขึ้นกระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนซื่อสัตย์เพราะพระเจ้าทรงรักและทรงอวยพรคนซื่อสัตย์ การเป็นคนซื่อสัตย์หมายถึงการเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล สิ่งนี้หมายถึงการเป็นใครบางคนที่น่าไว้วางใจ ใครบางคนที่พระเจ้าทรงรัก และใครบางคนที่สามารถปฏิบัติความจริงและรักพระเจ้าได้ การเป็นคนซื่อสัตย์คือการสำแดงที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง หากใครบางคนไม่เคยเป็นคนซื่อสัตย์ หรือไม่เคยถูกมองว่าเป็นคนซื่อสัตย์เลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาสามารถได้รับความจริง หากเจ้าไม่เชื่อเรา จงไปและดูให้เห็นกับตาตนเอง หรือจงไปและมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ด้วยตนเอง ด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเปิดใจให้พระเจ้า ยอมรับความจริงได้ แล้วความจริงก็กลายเป็นชีวิตของเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าได้ และเจ้าก็จะสามารถเข้าใจและได้รับความจริง หากหัวใจของเจ้าปิดอยู่เสมอ หากเจ้าไม่เปิดใจหรือไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนให้ใครฟัง จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้าใจเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วกำแพงของเจ้าย่อมหนาเกินไป และเจ้าย่อมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากที่สุด หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ยังไม่สามารถเปิดใจตนเองให้พระเจ้าได้อย่างหมดจด หากเจ้าสามารถพูดปดกับพระเจ้า หรือพูดเกินจริงเพื่อหลอกลวงพระเจ้าได้ หากเจ้าไม่สามารถเปิดหัวใจของตนให้พระเจ้า อีกทั้งยังคงสามารถพูดวกวนและซ่อนเร้นเจตนารมณ์ของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะทำให้ตนเองเสียหายเท่านั้น และพระเจ้าจะทรงเมินเจ้าและไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า เจ้าจะไม่เข้าใจความจริงใดเลย และเจ้าจะไม่ได้รับความจริงใดเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) บทตอนนี้แสดงให้ฉันเห็นว่าการเข้าใจความจริงสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าหน้าตาและความถือดี ฉันต้องเริ่มที่การซื่อสัตย์เพื่อที่จะได้รับความจริง หนึ่งคือหนึ่ง และสองคือสอง ไม่เสแสร้งหรือโกงอีก นานทีเดียวที่ฉันเล่นละคร หลอกลวงคนอื่น ฉันเขียนสิ่งที่อยากสามัคคีธรรมเพื่อให้พวกเขาคิดว่าฉันเข้าใจได้ดี พูดภาษาอังกฤษเก่ง พวกเขาจะได้ยกย่องและยอมรับนับถือฉันต่อไป ถึงแม้ฉันจะเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและวิตกกังวล แต่ฉันก็ไม่มีความกล้าที่จะเปิดใจกับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่อยากให้พวกเขาเห็นความขาดตกบกพร่องของฉันและดูถูกฉัน พูดว่าฉันเป็นจอมโกหก ฉันถึงกับเลือกออกจากกลุ่มแทนการบอกความจริงกับพวกเขา ฉันกลับกลอกจริงๆ ฉันตระหนักว่าการที่ตัวเองหดหู่ขนาดนี้คือภัยที่ซาตานกำลังทำกับฉัน และตระหนักด้วยว่าการมีชีวิตแบบนี้กำลังดึงรั้งฉันไว้ไม่ให้เข้าสู่ชีวิต นี่อาจถึงกับทำลายฉันก็ได้ ฉันควรรวบรวมความกล้าที่จะบอกคนอื่นถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของฉันจริงๆ ฉันจะได้ลงมือปฏิบัติความซื่อสัตย์ได้บ้าง ไม่ว่าการบอกความจริงจะกระอักกระอ่วนขนาดไหน ฉันก็รู้ว่าต้องออกห่างจากการทำสิ่งที่ผิดทาง พระเจ้าโปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์และทรงรังเกียจผู้คนที่ตลบตะแลง ถ้าฉันยังเล่นละครต่อไป สร้างความประทับใจผิดๆ และไม่ตรงไปตรงมา ฉันก็จะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดต่อไป ไม่มีวันได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะไม่มีวันได้รับความจริง ฉันต้องเปิดใจให้กว้างต่อพระเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงช่วยแก้ไขความหลอกลวงในตัวฉัน ดังนั้นฉันจึงกล่าวคำอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้ปฏิบัติความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์
ในเวลาต่อมา ฉันเปิดใจและสามัคคีธรรมกับพี่น้องหญิงคอนนี่ที่เป็นผู้นำของเราในที่สุด ฉันเล่าให้เธอฟังถึงสาเหตุที่ฉันออกจากกลุ่มและปิดบัญชีตัวเอง หลังจากฟังฉันพูด พี่น้องคอนนี่ก็บอกว่า “ฉันไม่เคยดูถูกคุณในเรื่องพวกนั้นเลย และชื่นชมความซื่อสัตย์ของคุณมาก” ฉันโล่งใจอย่างเหลือเชื่อที่ได้เปิดใจและสามัคคีธรรมกับเธอ ฉันได้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าการซื่อสัตย์วิเศษขนาดไหน เพราะการลงมือปฏิบัติความจริงพาให้ฉันเป็นอิสระ พี่น้องคอนนี่ยังให้คำแนะนำบางอย่างแก่ฉันด้วยว่า เวลาแบ่งปันความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอย่างมีคารมคมคาย หรือแบ่งปันทฤษฎีระดับสูงอะไร แค่พูดออกมาจากหัวใจ แค่เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆ และรู้จริงก็พอ ฉันรับข้อเสนอแนะของเธอเอาไว้ และรู้สึกว่าพร้อมที่จะนำไปปฏิบัติ
ต่อมา พี่น้องหญิงอีกคนก็ส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ให้ความรู้แจ้งอย่างมากมาให้ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “แทนที่จะสำรวจค้นหาความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นอันหยุมหยิมของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ หน้าตาของพวกเขาเอง และตำแหน่งแห่งที่หรือจุดยืนที่พวกเขามีในจิตใจของผู้อื่นล้วนมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทะนุถนอม พวกเขาเกาะติดสิ่งเหล่านี้ไว้แน่นหนาและถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขา และการที่พระเจ้าทรงมีทัศนะหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับรอง ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพิกเฉยต่อการนั้น ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพียงพิจารณาว่าพวกเขาเป็นเจ้านายของกลุ่มหรือไม่ ว่าผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาหรือไม่ และคำพูดของพวกเขามีน้ำหนักหรือไม่ ความกังวลอันดับแรกของพวกเขาอยู่ที่การครอบครองตำแหน่งนั้น เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ผู้คนเกือบจะทั้งหมดมองหาฐานะประเภทนี้ โอกาสเหมาะประเภทนี้ เมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษสูง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นจ่าฝูง หากพวกเขามีความสามารถปานกลาง พวกเขาก็จะยังคงต้องการครองตำแหน่งที่สูงกว่าในกลุ่มอยู่ดี และหากพวกเขาครองตำแหน่งที่ต่ำในกลุ่ม มีขีดความสามารถและความสามารถโดยเฉลี่ย พวกเขาก็จะต้องการให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นดูแคลนพวกเขา หน้าตาและศักดิ์ศรีของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขายอมไม่ได้ กล่าวคือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยึดเกาะสิ่งเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาไม่อาจมีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่อาจครองทั้งความเห็นชอบและความยอมรับของพระเจ้าได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเสียความเคารพนับถือ สถานะ หรือความเชื่อมั่นที่พวกเขาเพียรพยายามให้ได้มาในหมู่ผู้อื่นไปได้โดยเด็ดขาด—ซึ่งเป็นอุปนิสัยของซาตาน แต่ผู้คนไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เป็นความเชื่อของพวกเขานั่นเองว่าพวกเขาต้องเกาะติดอยู่กับหน้าตาอันกระจิริดนี้ไปจนถึงปลายทาง พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่า มีเพียงเมื่อปล่อยมือและละวางสิ่งที่ไร้ประโยชน์และผิวเผินเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนที่แท้จริง หากคนคนหนึ่งปกป้องสิ่งเหล่านี้ที่ควรละทิ้งไปเสียว่าเป็นชีวิต พวกเขาก็ย่อมสูญเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเสี่ยงที่จะสูญเสียอะไรบ้าง ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาจึงยื้อยุดบางสิ่งเอาไว้อยู่เสมอ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง พวกเขาให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก โดยพูดเพียงเพื่อจุดหมายปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อการแก้ต่างอันจอมปลอมให้ตัวพวกเขาเองเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อตัวพวกเขาเอง พวกเขารีบรุดไปยังสิ่งใดก็ตามที่สาดแสง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น อันที่จริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะถูกทิ้งไว้หลังฉาก พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะดูแคลนพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งอันใดได้ ว่าพวกเขาไม่มีทักษะ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? เมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายอย่างเช่นหน้าตาและสถานะไปได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายขึ้นและเป็นอิสระขึ้นมาก เจ้าจะก้าวเท้าไปบนเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่สำหรับหลายคนแล้ว นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์ ตัวอย่างเช่นเมื่อมีกล้องปรากฏให้เห็น พวกเขาแย่งกันไปอยู่ด้านหน้า พวกเขาชอบให้มีหน้าของตัวเองติดในกล้อง ยิ่งออกสื่อมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากพอ และจะจ่ายทุกราคาเพื่อโอกาสที่จะได้ออกสื่อ แล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? เหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา ดังนั้น เจ้าจึงได้เป็นข่าว—แล้วอย่างไรต่อเล่า? ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง—แล้วอย่างไรเล่า? พวกเขาชื่นชูเจ้า—แล้วอย่างไร? มีสิ่งใดบ้างในการนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง? ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีคุณค่าเลย เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อเจ้ากลายเป็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้และไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอีกต่อไป เมื่อหน้าตา ความถือดี สถานะ และความเลื่อมใสจากผู้คนไม่ได้ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป และยิ่งไม่ได้ควบคุมวิธีที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกทีและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นทุกที” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าผู้คนให้คุณค่ากับหน้าตาและสถานะมากกว่าชีวิตของตน และเมื่อเผชิญบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่พวกเขาคิดถึงก่อนอื่นก็คือชื่อเสียง ความถือดี และตำแหน่ง ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย พระเจ้าไม่ได้อยากให้พวกเราเล่นละคร พระองค์ไม่ได้อยากให้พวกเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นอันดับแรก หรือไล่ตามไขว่คว้าสถานะท่ามกลางผู้คน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พวกเราได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และไม่สามารถทำให้พวกเราเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหรือได้รับการช่วยให้รอด ชื่อและสถานะคือวิธีการที่ซาตานใช้ผูกมัดและทำให้พวกเราเสื่อมทราม และการไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเราถือดีและกลับกลอกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แบบนั้นพวกเราย่อมสูญเสียความรอดจากพระเจ้าในท้ายที่สุด พระเจ้าไม่โปรดผู้คนที่ตลบตะแลง และพระองค์ไม่อยากให้ผู้คนเล่นไม่ซื่อเพื่อให้คนอื่นสรรเสริญหรือเลื่อมใส ทรงอยากให้พวกเราปล่อยชื่อเสียงและสถานะไป ไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือต่อหน้าคนอื่น พวกเราจะใช้เล่ห์ลวงหรือเสแสร้งไม่ได้ ฉันล้มเหลวอย่างต่อเนื่องที่จะเปิดใจและแบ่งปันการดิ้นรนต่อสู้ของฉันกับคนอื่น เพราะมัวกังวลกับหน้าตาและความถือดีมากเกินไป ฉันปฏิบัติความจริงไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือแห่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเองอย่างแน่นหนา ฉันก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริง ความอยากมีหน้าตาและสถานะของฉันมีกำลังมากเกินไป
ภายหลังฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะใช้การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาล่อใจและดักผู้คนให้ติดบ่วง หรืออวดตน หรือใช้การสร้างภาพมาชักพาผู้คนให้หลงผิด และไม่ว่าดูภายนอกแล้ว พวกเขาจะเหมือนได้ประโยชน์และความพึงพอใจจากการทำเช่นนี้ไปมากเท่าใด พอมองในตอนนี้ นี่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? ใช่เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? ใช่เส้นทางที่สามารถนำความรอดมาให้คนเราได้หรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ไม่ว่าวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้จะหลักแหลมเพียงใด ก็ไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ และในท้ายที่สุดก็ย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและเกลียดชังทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมดังกล่าวก็คือความทะเยอทะยานของมนุษย์ รวมทั้งท่าทีและแก่นแท้ที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า ในพระทัยของพระเจ้า แน่นอนที่สุดว่าพระองค์จะไม่มีวันยอมรับผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นคนที่กำลังทำหน้าที่ของตน กลับจะทรงนิยามพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่ว เวลาจัดการคนทำชั่ว พระเจ้าให้คำวินิจฉัยว่าอย่างไร? ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า ‘จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ พระองค์ทรงต้องการให้ผู้คนเช่นนั้นไปที่ใด? พระองค์กำลังทรงส่งมอบพวกเขาให้ซาตาน สู่สถานที่ซึ่งมีพวกซาตานอาศัยอยู่กันเป็นฝูงๆ ผลสืบเนื่องในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาคือสิ่งใด? พวกเขาย่อมถูกพวกวิญญาณชั่วทรมานจนตาย กล่าวคือ พวกเขาย่อมถูกซาตานกลืนกิน พระเจ้าไม่ทรงต้องการผู้คนเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาไม่ใช่แกะของพระเจ้า และยิ่งไม่ใช่ผู้ติดตามของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยู่ในหมู่คนที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอด พระเจ้าทรงนิยามผู้คนเหล่านี้ไว้เช่นนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันมองเห็นว่าผู้คนที่ขโมยที่ทางในหัวใจคนช่างปลอมและหน้าซื่อใจคด แม้พวกเขาจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น และความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาก็ได้รับการตอบสนอง แต่พวกเขาได้อะไรไว้ในท้ายที่สุด? ด้วยการทำตัวเช่นนี้ พวกเขาอาจหลอกคนได้ชั่วขณะ แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้ ที่สุดแล้วพระเจ้าจะทรงเดียดฉันท์และกำจัดพวกเขาออกไป เนื่องจากพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ พระองค์จึงทรงเกลียดพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเก็บงำเจตนาของตนเอาไว้ พวกที่อยากยึดครองพื้นที่ในหัวใจของผู้คน พระองค์ทรงมองพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่ว และไม่ทรงยอมรับรู้หน้าที่ที่คนพวกนั้นทำ ฉันทบทวนดูพฤติกรรมของตนเองและตระหนักว่าฉันเดินบนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้ามาโดยตลอดจริงๆ เพราะความคิดและการกระทำทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ผู้อื่นสรรเสริญและเลื่อมใส หากฉันมัวทำเช่นนี้ต่อไป ในที่สุดฉันก็จะย่อยยับ เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็เกิดความกลัวหลายอย่างขึ้นมา ฉันกลัวว่าจะถูกพระเจ้าทอดทิ้ง กลัวว่าพระเจ้าจะส่งตัวฉันให้ซาตาน และกลัวว่าฉันจะสูญเสียความรอดจากพระเจ้า ฉันอยากเปลี่ยนแปลงและหลีกหนีจากสภาวะนั้นจริงๆ เป็นตัวเองโดยแท้จริง และไม่โกหกหรือเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอีกต่อไป
แต่เมื่อเวลาแห่งการลงมือปฏิบัติมาถึง พอนึกถึงการเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงเรื่องความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันกลับลังเลอย่างมาก จากนั้นฉันก็เห็นพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่มอบความกล้าหาญให้แก่ฉัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์ การเรียนรู้วิธีเปิดใจเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต อันดับถัดไป เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะชำแหละความคิดและการกระทำของตนเองเพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิด และมีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่โปรด และเจ้าจำเป็นต้องพลิกสิ่งเหล่านั้นกลับมาทันทีและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง อะไรคือจุดประสงค์ของการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง? นั่นคือการยอมรับและรับเอาความจริง ในขณะที่กำจัดสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่เป็นของซาตานและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริง ก่อนหน้านี้เจ้าทำทุกสิ่งตามอุปนิสัยอันหลอกลวงของเจ้า ซึ่งคือการโกหกและหลอกลวง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จหากไม่พูดปด บัดนี้ที่เจ้าเข้าใจความจริงและเกลียดชังหนทางแห่งการทำสิ่งทั้งหลายของซาตาน เจ้าก็ไม่กระทำการในหนทางนั้นอีกต่อไป เจ้ากระทำการด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ซื่อสัตย์ สะอาดบริสุทธิ์ และนบนอบ หากเจ้าไม่ปิดบังอะไรเอาไว้ หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ หรือปกปิดสิ่งทั้งหลายไว้ หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นแนวคิดและความคิดในส่วนลึกที่สุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนคนได้จริงๆ เมื่อพวกเราเรียนรู้ว่าจะเปิดใจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามที่แท้จริงของตนและแสวงหาความจริงได้อย่างไร แนวคิดผิดๆ และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย พระเจ้าทรงเปิดโปงความคิดที่ผิดของฉัน เปิดเผยการไล่ตามไขว่คว้าผิดๆ เพื่อชื่อและสถานะของฉัน แล้วก็ทรงนำฉันผ่านทางพระวจนะให้ค้นหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ฉันต้องเริ่มก้าวแรกเพื่อเปิดใจกับคนอื่น เพื่อที่จะเลิกคิดถึงชื่อเสียงและหน้าตาของตัวเอง หยุดตลบตะแลง ใช้เล่ห์ลวง และไม่จริงใจ ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและยอมให้พระวจนะนำทางภายในตัวฉัน
เช้าวันอาทิตย์นั้น ฉันเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ และบอกตัวเองว่าต้องจริงใจ ฉันอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ครั้งนี้ข้าพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติความจริง หนีพ้นพันธนาการของซาตาน และเผยความหน้าซื่อใจคดและการหลอกลวงของตน ต่อให้ต้องถูกพวกเขาดูแคลน ข้าพระองค์ก็อยากเป็นคนซื่อสัตย์เพื่อให้พระองค์พอพระทัยเท่านั้น ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้สามารถเปิดใจและซื่อสัตย์” หลังอธิษฐานเช่นนี้ ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงมาก ระหว่างการชุมนุม ฉันคิดตรึกตรองตามพระวจนะอย่างแท้จริง ตั้งใจฟังคนอื่นสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเขา ไม่ได้เอาเวลานั้นมาเขียนบทสามัคคีธรรมของตัวเอง และไม่ได้คิดว่าทุกคนจะชอบการสามัคคีธรรมแบบไหน พอได้ทำแบบนั้นแล้ว ฉันก็ได้รับความรู้แจ้งใหม่ๆ จากการสามัคคีธรรมที่คนอื่นเล่าประสบการณ์ของตน เมื่อฉันกำลังจะสามัคคีธรรม แม้จะยังประหม่าอยู่มาก แต่ฉันไม่ได้คิดแล้วว่าการสามัคคีธรรมของฉันดีหรือคมคายขนาดไหน และไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะพูดว่าอย่างไรหลังจากที่พวกเขาได้รับรู้ ฉันพูดถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า ที่กระทบใจฉันอย่างมาก ความว่า “ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์… หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) ฉันเชื่อมโยงพระวจนะบทตอนนี้เข้ากับประสบการณ์ของตนเอง เผยให้พี่น้องชายหญิงเห็นใบหน้าที่แท้จริงที่สุดของฉัน ฉันบอกพวกเขาว่า “ตลอดเวลามานี้ฉันเล่นละครฉากใหญ่ แสร้งทำเป็นพูดภาษาอังกฤษคล่อง ความจริงคือฉันเขียนการสามัคคีธรรมทั้งหมดไว้ล่วงหน้า และถึงกับอัดเสียงไว้ใช้ฝึกซ้อม เพื่อให้ฟังดูเป็นธรรมชาติ พวกคุณจะได้คิดว่าฉันสามัคคีธรรมได้ดี ทั้งหมดก็เพื่อให้พวกคุณสรรเสริญและเลื่อมใสฉันเท่านั้น ฉันหลอกลวงพวกคุณ…” ฉันนึกว่าพวกเขาจะผิดหวังในตัวฉัน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาบอกฉันว่าฉันไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะสามัคคีธรรมได้ไม่ดี พระเจ้าอยากให้พวกเราจริงใจ ไม่ใช่ใช้สำบัดสำนวนและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ถ้าฉันไม่สามัคคีธรรมจากหัวใจ และมีแต่คำพูดและคำสอนเท่านั้น นั่นจะดีได้อย่างไร? การนี้สะเทือนใจฉันมาก พวกเขาไม่ได้ดูถูกฉันเลย และบางคนก็บอกว่าพวกเขาเข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น และพูดว่าประสบการณ์ของฉันช่วยพวกเขาเอาไว้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันทั้งประหลาดใจและยินดี หลังเปิดใจกับทุกคนถึงความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันรู้สึกโล่งใจ ซาตานใช้ความถือดีและชื่อเสียงมาพันธนาการฉันเอาไว้และกีดกันไม่ให้ฉันปฏิบัติความจริง แต่พอได้เรียนรู้ตัวเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ลงมือปฏิบัติเพื่อเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดใจตามความสัตย์จริง ฉันก็รู้สึกว่าได้เข้าใกล้พระเจ้าอีกก้าวหนึ่ง ได้ขจัดข้อสงสัยและกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างฉันกับพี่น้องชายหญิง นานเหลือเกินที่ฉันเลือกอำพรางตนเองเพื่อตอบสนองความถือดีของตนและหลงเพ้อไปกับคำยกย่องจากคนอื่น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ที่จริงฉันทำร้ายพระเจ้าอยู่นานมาก แต่พระเจ้าทรงให้อภัยและอดทนเสมอ ทรงรอให้ฉันกลับตัว ฉันสำนึกรู้คุณในความรักของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ประสบการณ์นี้สอนให้ฉันรู้จักความสำคัญสูงสุดของการไล่ตามเสาะหาความจริง หนทางเดียวที่จะหนีพ้นจากโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานคือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติความจริงเท่านั้น หนทางเดียวที่จะได้รับความสุขและสันติที่แท้จริงคือการปฏิบัติความจริงเท่านั้น ฉันเคยเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างมาก หน้าซื่อใจคดมาก แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจว่าจะปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน ทั้งหมดที่ฉันต้องการมีเพียงให้พระเจ้าทรงนำฉันต่อไป เพื่อให้ฉันสามารถปฏิบัติความจริงได้มากขึ้น