96. เส้นทางสู่การเลิกสร้างภาพ
เมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีม รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้นฉันคิดว่าการได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนั้นหมายความว่าฉันมีขีดความสามารถและมีฝีมืออยู่บ้าง ว่าฉันนำหน้าพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ในด้านความเข้าใจที่ฉันมีต่อความจริงและการเข้าสู่ชีวิต ฉันรู้สึกว่าต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าฉันสามารถทำงานนั้น
ตอนแรกฉันไม่คุ้นชินกับงาน ดังนั้นพอมีอะไรเกิดขึ้นซึ่งฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ ฉันก็จะถามผู้นำหรือพี่น้องชายหญิงที่ฉันทำงานด้วย ฉันคิดว่าในเมื่อฉันใหม่ในงานนั้น ทุกคนย่อมจะเข้าใจว่าต้องมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้ และการแสวงหาให้มากขึ้นอาจช่วยให้ฉันเติบโตเร็วขึ้น เมื่อทำเช่นนั้น ฉันย่อมจะทำให้ทุกคนประทับใจ และพวกเขาก็จะคิดว่าฉันแสวงหาความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ แต่ภายหลังฉันประสบปัญหามากมายอย่างต่อเนื่อง และลังเลที่จะถามอยู่ร่ำไป ถึงตอนนั้นฉันก็ทำหน้าที่นั้นมานานพอสมควรแล้ว ทุกคนจะคิดกับฉันอย่างไรถ้าฉันยังมีคำถามมากมายอยู่เรื่อยๆ? พวกเขาจะคิดไหมว่าฉันมีขีดความสามารถไม่ดีนัก ว่าแม้แต่ปัญหาง่ายๆ ก็แก้ไม่ได้ และทำงานเป็นผู้นำทีมไม่ได้? ดังนั้นพอพบพานปัญหาอื่นๆ ที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ฉันจึงอดคิดไม่ได้ว่าคำถามเหล่านี้ควรค่าที่จะถามหรือไม่ มีเหตุผลพอที่จะถามไหม? ฉันกังวลว่าการคิดอ่านของฉันจะดูเหมือนไม่รอบด้าน สำหรับปัญหาบางอย่างที่ดูไม่ซับซ้อน ฉันจะไม่ถาม แต่จะพยายามคิดหาคำตอบเอาเอง ผลก็คือปัญหาต่างๆ พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และมีหลายปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที นี่ทำให้ฉันร้อนใจยิ่งขึ้นว่าทุกคนจะคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำทีม ระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผู้นำของฉันอยู่ด้วย ขณะที่ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็จะกังวลตลอดเวลาว่า “การสามัคคีธรรมของฉันสัมพันธ์กับชีวิตจริงไหม? ความเข้าใจของฉันชัดเจนแจ่มแจ้งหรือเปล่า?” หลังการสามัคคีธรรมของตัวเอง ฉันจะจับสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน และถ้ามีใครขยายความจากสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป นั่นหมายความว่าการสามัคคีธรรมของฉันกระทบใจ มีความรู้แจ้ง และแสดงว่าฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ และสามารถจัดการงานได้ แต่ถ้าไม่มีใครตอบสนองเมื่อฉันพูดจบ ฉันจะรู้สึกเสียใจมาก ผ่านไปสักพัก หน้าที่ของฉันเริ่มทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ฉันจะย้ำคิดมากเกินไปในทุกคำที่ฉันพูดและทุกความคิดเห็นที่ฉันกล่าวอยู่เสมอ และไม่สามารถผ่อนคลายได้ ฉันอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ดี แต่ฉันก็กระวนกระวายตลอดเวลา และฉันไม่ได้เติบโตหรือได้เรียนรู้อะไรเลย
ฉันมาอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระองค์บทตอนหนึ่ง ความว่า “ผู้คนเองก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้าง สิ่งที่ทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์มหิทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ข้อตำหนิได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความสามารถในทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถ อย่างไรก็ตาม ภายในตัวมนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่ กล่าวคือ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าพวกเขาจะธรรมดาเพียงใด พวกเขาก็ล้วนต้องการนำเสนอตัวเองว่าเป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลพิเศษ ต้องการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนดังที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเพียบพร้อมและไร้ที่ติ ไม่มีข้อบกพร่องสักอย่างเดียว พวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีอำนาจ หรือยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอยากกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม สามารถทำได้ทุกสิ่งโดยไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาได้แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น พวกเขาก็คงจะดูเหมือนไม่สามารถ อ่อนแอและด้อยกว่า และว่าผู้คนจะดูแคลนพวกเขา ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงมีหน้าฉากตั้งไว้เสมอ เมื่อถูกขอให้ทำบางสิ่ง ผู้คนบางคนจะพูดว่าพวกเขารู้วิธีทำทั้งที่พวกเขาทำไม่ได้จริง หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นดูและพยายามเรียนรู้วิธีทำอย่างลับๆ แต่หลังจากศึกษามาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งนี้อย่างไร เมื่อถามว่าพวกเขาทำไปถึงไหนกันแล้ว พวกเขาก็บอกว่า ‘จะเสร็จแล้ว อีกไม่นาน!’ แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากลับคิดว่า ‘ฉันยังไปไม่ถึงไหนเลย ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฉันต้องไม่เผยความลับ ฉันต้องเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ฉันไม่อาจปล่อยให้ผู้คนเห็นข้อบกพร่องและความไม่รู้ความของฉันได้ ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาดูถูกฉันได้!’ ปัญหานี้คืออะไร? นี่คือนรกคนเป็นซึ่งก็คือการพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาหน้า นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? ความโอหังของผู้คนเช่นนี้ไม่มีขอบเขต พวกเขาสูญสิ้นเหตุผลทั้งปวงไปแล้ว พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พวกเขาไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แต่ต้องการเป็นคนที่เหนือมนุษย์ เป็นบุคคลพิเศษ หรือดาวรุ่ง นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก! สำหรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความไม่รู้เท่าทัน ความโง่เขลา และการขาดพร่องความเข้าใจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจะห่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ และไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และจากนั้นก็ปลอมแปลงตัวพวกเขาเองต่อไป… ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มีชีวิตอย่างเหม่อลอยฝันกลางวันหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ? พวกเขาไม่รู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะนำสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติมาทำให้เป็นชีวิตจริง พวกเขาไม่เคยได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยสักครั้ง หากเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างขอไปที ฝันกลางวัน และไม่ทำสิ่งใดตามความเป็นจริง หากเจ้าดำเนินชีวิตตามจินตนาการของตนเสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่คือปัญหา เส้นทางในชีวิตที่เจ้าเลือกนั้นไม่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า) การคิดทบทวนเรื่องนี้ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตัวเองขึ้นบ้าง ฉันคิดเรื่องตัวเองมากเกินไป รู้สึกเหมือนว่าการได้รับเลือกเป็นผู้นำทีมหมายความว่าฉันมีขีดความสามารถและฝีมือในการทำงานระดับหนึ่ง พอมองตัวเองแบบนั้น ฉันก็เริ่มห่วงว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร และอยากพิสูจน์ให้เร็วที่สุดว่าตัวเองสามารถทำงานได้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาและความยากลำบากมากขึ้นในหน้าที่ ฉันจึงไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาพูดได้ง่ายๆ และกังวลเสมอว่าคนอื่นจะมองฉันออก และพูดว่าฉันไม่มีขีดความสามารถและไม่เก่งพอที่จะทำงาน ฉันเริ่มสร้างภาพ ไม่ปริปากเมื่อเกิดปัญหาขึ้น และคิดหาทางออกด้วยตัวเอง นั่นพาให้ปัญหามากมายในหน้าที่ของฉันไม่ได้รับการจัดการ ซึ่งทั้งขัดขวางงานของพวกเราให้ช้าลงและส่งผลกระทบต่อสภาวะของฉันเอง การคิดอ่านของฉันขาดความชัดเจน และฉันเริ่มสับสนในสิ่งต่างๆ ที่ฉันเคยเข้าใจ ฉันถึงกับสงสัยการสามัคคีธรรมของตนเองในที่ชุมนุมอยู่เรื่อย กลัวว่าทุกคนจะดูแคลนฉันถ้าการสามัคคีธรรมนั้นไม่ดี ฉันรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง ฉันตระหนักว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันทั้งสิ้น ฉันโอหังและไม่มีเหตุผลอย่างมาก และไม่สามารถเผชิญหน้าข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม ฉันเสแสร้งแกล้งทำเสมอเพื่อให้คนอื่นยกย่องฉัน ที่จริงแล้วหน้าที่นั้นคือโอกาสที่คริสตจักรมอบให้ฉันฝึกฝนตัวเอง และไม่ได้แฝงความนัยว่าฉันเข้าใจความจริงหรือสามารถทำงานได้ดีแต่อย่างใด ฉันเพียงแต่มีความสามารถในการจับใจความ แต่มีหลายสิ่งที่ฉันไม่สามารถเข้าใจและไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวด้วยเลย ฉันไม่มีอะไรพิเศษอย่างสิ้นเชิง แต่กลับยกย่องตัวเอง แสร้งทำเป็นสูงส่ง เป็นคนที่เข้าใจความจริง ฉันประเมินตัวเองไว้สูงเกินไปมากๆ! ฉันควรจะยืนอยู่บนความเป็นจริงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น ถามคนอื่นเมื่อฉันไม่เข้าใจบางสิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่กับความเป็นจริงและสมควรที่จะทำ
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งให้แนวทางบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแก่ฉัน พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) การคิดทบทวนเรื่องนี้ช่วยให้ฉันตระหนักว่าการที่จะทำหน้าที่อย่างผ่อนคลายและไร้กังวลนั้น ก้าวแรกคือต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจถึงข้อบกพร่องของตนเองและเลิกสร้างภาพ ฉันต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันเป็นเพียงคนเสื่อมทรามที่แทบจะไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมมีหลายเรื่องที่ฉันไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นั่นปกติธรรมดาที่สุด ไม่จำเป็นต้องแสร้งแสดงบทบาทปกปิดอะไรเพื่อภาพลักษณ์ของตัวเอง ถ้ามีคำถาม ฉันก็ควรปล่อยวางความภาคภูมิใจ และแสวงหาการชี้แนะและการสามัคคีธรรมจากพวกเขาอย่างเปิดเผย นี่เป็นหนทางเดียวที่จะผ่อนคลายในหน้าที่ของตนเอง พอตระหนักเช่นนี้ หัวใจของฉันก็เบิกบาน และฉันก็เริ่มตั้งใจปฏิบัติในหนทางนี้ เมื่อฉันไม่แน่ใจในบางสิ่งบางอย่าง ฉันก็ขวนขวายที่จะไถ่ถาม และเวลาแบ่งปันความคิดเห็นของตัวเอง ฉันก็พูดสิ่งที่ฉันคิดจริงๆ และสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ฉันรู้เท่านั้น เมื่อฉันปฏิบัติเช่นนี้ ฉันก็เริ่มเข้าใจบางสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนอย่างช้าๆ สามารถค้นพบและแก้ไขข้อผิดพลาดในหน้าที่ของฉันได้ ฉันเข้าใจข้อบกพร่องของตนเองมากขึ้นด้วย ฉันตระหนักในที่สุดว่าการที่คนอื่นมองเห็นฉันอย่างที่ฉันเป็นนั้นคือสิ่งดี ว่านี่ช่วยให้เข้าใจหลักธรรมความจริงและช่วยให้ค้นพบข้อเสียของตัวเอง ถึงจุดนี้ ฉันรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก และสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติในเวลาต่อมา
ไม่นานกลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบก็ก้าวหน้าดีในชีวิตคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงก็อยากนำปัญหามาสามัคคีธรรมกับฉัน แต่โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันเริ่มหมกมุ่นอีกว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับฉัน ครั้งหนึ่งในการประชุมผู้ร่วมงาน ผู้นำของฉันพูดถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักรของพวกเราและถามพวกเราว่าคิดอย่างไร ฉันคิดขึ้นมาว่า “ตรงนี้มีพี่น้องชายหญิงอยู่กันมากมาย ถ้าฉันสามารถให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ไม่เหมือนใครได้ นั่นก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันมีความสามารถขนาดไหน” แต่ใช้ความคิดอยู่เป็นนาน ฉันก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ ในตอนนั้นเองผู้นำก็ถามความคิดเห็นของฉัน ฉันพูดจาตะกุกตะกักอยู่นาน จากนั้นก็ให้ข้อเสนอแนะที่คลุมเครือออกมาอย่างหนึ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งพี่น้องหญิงอีกสองคนก็แบ่งปันความคิดเห็นของพวกเธอ และข้อเสนอแนะเหล่านั้นก็ตรงข้ามกับของฉัน สิ่งที่พวกเธอพูดมีเหตุผลดีมากและผู้นำก็เห็นด้วย ฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที คิดไปว่าไม่เพียงทำให้ตัวเองดูดีไม่สำเร็จเท่านั้น ฉันยังทำให้ตัวเองได้อายอีกด้วย ผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร? เธอจะคิดว่าฉันไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรในเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรือเปล่า คิดว่าฉันไม่ได้เติบโตขึ้นเลยหรือเปล่า? ในช่วงสองสามวันต่อมา มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบอยู่ ฉันไม่เข้าใจปัญหาเหล่านั้น ดังนั้นฉันควรขอความช่วยเหลือในทันที แต่แล้วฉันก็นึกสงสัยว่าถ้าฉันถามทั้งหมดนั้น จะดูเหมือนว่าฉันไม่สามารถทำงานของตนเองไหม? จะทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ที่ฉันสร้างไว้หรือเปล่า? ในทางกลับกัน ฉันรู้ว่าปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขจะขัดขวางงานของพวกเรา ฉันจึงคิดกลยุทธ์เฉพาะหน้าขึ้นมาว่าฉันจะแบ่งคำถามเอาไปถามหลายๆ คน เช่นนี้ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไขโดยที่ไม่ดูเหมือนว่าฉันถามมากเกินไปและไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เมื่อฉันสร้างภาพด้วยวิธีการเช่นนี้ สภาวะของฉันก็เสื่อมลงเรื่อยๆ ฉันคิดอ่านอะไรไม่ออกมากขึ้นและเริ่มต้องดิ้นรนพยายามกับหลายสิ่งหลายอย่าง จากนั้นฉันก็คิดทบทวนและมองเห็นว่าในเมื่อฉันไม่เกิดความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในบางสิ่งที่ตัวเองเคยเข้าใจ ปัญหาจะต้องอยู่ที่สภาวะของฉัน ดังนั้นฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เห็นได้ชัดว่าข้าพระองค์มีปัญหา แต่กลับไม่กล้าซื่อสัตย์และเปิดใจเกี่ยวกับข้อด้อยของตัวเอง ข้าพระองค์อยากทำการใหญ่โตอยู่เสมอ ทำไมถึงได้ยากเย็นนักที่จะถามเวลาข้าพระองค์ไม่เข้าใจบางสิ่ง? ราวกับว่าริมฝีปากของข้าพระองค์ถูกปิดผนึกเอาไว้ การทำหน้าที่แบบนี้เหนื่อยล้ายิ่งนัก ได้โปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักและเปลี่ยนแปลงความเสื่อมทรามของตนเองด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนซึ่งเปิดโปงสภาวะของฉันโดยสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มนุษย์ที่เสื่อมทรามเก่งเรื่องการอำพรางตน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดหรือเผยความเสื่อมทรามอันใดออกมา พวกเขาก็ต้องอำพรางตนอยู่เสมอ หากเกิดเรื่องผิดพลาดหรือพวกเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาก็อยากที่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น พวกเขาอยากได้ความดีความชอบจากการทำเรื่องที่ดีไว้กับตัว และให้ผู้อื่นรับผิดในเรื่องไม่ดี ในชีวิตจริงมีการอำพรางเช่นนี้อยู่มากมิใช่หรือ? มีอยู่มากเกินไป เป็นการทำผิดพลาดหรือการอำพรางตนที่เชื่อมโยงกับอุปนิสัย? การอำพรางเป็นเรื่องของอุปนิสัย เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันโอหัง ความเลว และความหลอกลวง พระเจ้าทรงเกลียดชังการอำพรางเป็นพิเศษ… หากเจ้าไม่พยายามเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง หากเจ้ายอมรับความผิดพลาดของเจ้าได้ ทุกคนย่อมจะพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์และมีปัญญา แล้วอะไรเล่าทำให้เจ้ามีปัญญา? ทุกคนทำความผิดพลาด ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่พยายามปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง และเจ้าจะไม่ถือสาความผิดพลาดของผู้อื่น—เจ้าจะเผชิญหน้าทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างถูกต้อง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา ซึ่งจะทำให้เจ้ามีปัญญา พวกที่ไม่มีปัญญาย่อมเป็นคนที่โง่เขลา พวกเขาย่อมวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขาอยู่เสมอ พลางทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่หลังฉาก เห็นแล้วชวนให้ขยะแขยง ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นเห็นได้ชัดในทันทีทันใดสำหรับผู้คนอื่นๆ แต่กระนั้นเจ้าก็ยังคงเล่นละครอย่างไม่รู้จักอาย สำหรับผู้อื่นแล้ว นี่ดูเหมือนการแสดงตลก นี่ย่อมโง่เขลามิใช่หรือ? นี่โง่เขลาจริงๆ ผู้คนที่โง่เขลาย่อมไม่มีปัญญาแม้แต่น้อย ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือมองสิ่งอันใดในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ พวกเขาไม่ยอมเลิกทำตัวหยิ่งยโส นึกว่าพวกเขานั้นแตกต่างจากทุกคนและน่าเคารพกว่า นี่คือความโอหังและความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ นี่คือความโง่เขลา คนเขลาย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณใช่หรือไม่? เรื่องใดที่เจ้าเขลาและไม่มีปัญญา นั่นก็คือเรื่องที่เจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถเข้าใจความจริงได้โดยง่าย นี่คือความเป็นจริงของเรื่องนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) “ในเวลาที่ผู้คนปั้นหน้าอยู่เสมอ ล้างความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ ทำตัวใหญ่โตอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น นี่คืออุปนิสัยชนิดใด? นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด นี่คืออุปนิสัยของซาตาน เป็นสิ่งที่เลว จงดูสมาชิกของระบอบซาตานเอาเถิดว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันในความมืดมากมายเพียงใด ก็ไม่ยอมให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา พวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของตน และพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้ ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และไม่มีทางผิดพลาดเพียงใด นี่คือธรรมชาติของซาตาน ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดในธรรมชาติของซาตานคือเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้? การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้และตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันยืนยาวขึ้น ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีทัศนะที่เป็นคุณต่อตัวพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และยกชูสถานะของพวกเขาในหัวใจของคนเหล่านั้นให้สูง นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และหากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นสิ่งที่ตระหนักรู้ได้ยากที่สุดเหนือทุกสิ่ง การตระหนักรู้ข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของตนเองนั้นง่าย แต่การตระหนักรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเจ้าเองไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้คนที่ไม่รู้จักตนเองย่อมไม่ยอมพูดถึงสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขา—พวกเขาคิดเสมอว่าตนเองใช้ได้ และเมื่อไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็เริ่มอวดตนว่า ‘ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันก้าวผ่านการข่มเหงมามากเหลือเกิน และทนทุกข์กับความยากลำบากมามากนัก พวกคุณรู้ไหมว่าฉันฝ่าฟันทั้งหมดนั้นมาได้อย่างไร?’ นี่ใช่อุปนิสัยอันโอหังหรือไม่? มีแรงจูงใจอันใดอยู่เบื้องหลังการแสดงออกของพวกเขา? (เพื่อให้ผู้คนยกย่องพวกเขา) สิ่งใดคือเหตุจูงใจให้พวกเขาทำให้ผู้อื่นมายกย่องตนเอง? (เพื่อให้มีสถานะในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเหล่านั้น) เมื่อเจ้ามีสถานะในความรู้สึกนึกคิดของใครบางคน เมื่อนั้นเวลาพวกเขาอยู่กับเจ้า พวกเขาย่อมมีสัมมาคารวะกับเจ้า และพูดคุยกับเจ้าด้วยความสุภาพเป็นพิเศษ พวกเขาเทิดทูนเจ้าอยู่เสมอ พวกเขายอมให้เจ้าเสมอในทุกสิ่ง พวกเขาหลีกทางให้เจ้า อีกทั้งประจบประแจงและเชื่อฟังเจ้า พวกเขามาหาเจ้าและให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจในทุกเรื่อง เจ้าย่อมรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีในการนี้—เจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าและดีกว่าใคร ทุกคนชอบความรู้สึกนี้ นี่คือความรู้สึกของการมีสถานะในหัวใจของใครบางคน ผู้คนปรารถนาที่จะดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ นี่คือสาเหตุที่ผู้คนแข่งขันกันเพื่อสถานะ และต่างปรารถนาที่จะมีสถานะในหัวใจของผู้อื่น ได้รับการยกย่องและบูชาจากผู้อื่น หากพวกเขาไม่รู้สึกถึงความชื่นชมยินดีจากทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมจะไม่ไล่ตามไขว่คว้าสถานะ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็สามารถมองเห็นว่าระหว่างการสร้างภาพเทียมเท็จกับการทำผิดพลาด การสร้างภาพเท็จร้ายแรงกว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ดังนั้นการประสบปัญหาและผิดพลาดในหน้าที่จึงเป็นเรื่องปกติที่สุด แต่เบื้องหลังฉากหน้าอันเป็นเท็จคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่โอหัง ฉลาดแกมโกง และชั่ว การเก็บซ่อนความไม่สมบูรณ์แบบและข้อบกพร่องของตนอยู่เสมอ ให้ผู้คนเห็นแต่ด้านดีของตัวเอง เพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับนับถิอและเลื่อมใสนั้น ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้ามากขึ้นไปอีก คนที่มีปัญญาอย่างแท้จริงย่อมเผชิญหน้าข้อบกพร่องของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง และเติมเต็มสิ่งที่ตนขาดพร่อง เมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะสามารถเติบโต แต่คนเขลา รู้ไม่เท่าทัน ไม่ตระหนักรู้ในตนเองนั้นไม่มีวันยอมรับข้อด้อยของตัวเองได้ และพวกเขาถึงกับสร้างภาพซึ่งหมายความว่าปัญหาบางอย่างจะไม่มีวันได้รับการแก้ไข และพวกเขาก็จะไม่มีวันเติบโตในชีวิต เมื่อย้อนทบทวนพฤติกรรมของตนเอง ฉันจึงตระหนักว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนเขลาและโอหังที่พระเจ้าทรงเปิดโปง ตอนที่ฉันเริ่มมีผลงานในหน้าที่ของตนบ้าง ฉันรู้สึกเหมือนว่าจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้แย่ และมีความสามารถพอที่จะทำงานเป็นผู้นำทีม นอกจากนี้ฉันยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ฉันจึงยกชูตัวเองและคิดขึ้นมาจริงๆ ว่าตัวเองสูงส่งมาก ดังนั้นพอเผชิญสิ่งที่ฉันไม่รู้จะรับมืออย่างไร ฉันก็ระวังตัวและไม่กล้าตัดสินใจ กังวลว่าฉันจะพูดอะไรผิดและทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเอง และแล้วฉันก็ตัดสินใจแสดงความเห็นน้อยลงและถามให้น้อยลง แม้แต่ตอนที่ฉันขอความช่วยเหลือ ฉันก็จะเลือกคำถามที่ยากขึ้นเพื่อแสดงความสามารถของตนเอง ไม่ต้องการให้ทุกคนมองเห็นข้อบกพร่องของฉัน ฉันถึงกับเล่นสงครามจิตวิทยา แบ่งไปถามคนนั้นทีคนนี้ที ผู้คนจะได้มองฉันไม่ออก ฉันโอหังและฉลาดแกมโกงจริงๆ และไม่รู้จักตัวเองอย่างสิ้นเชิง ฉันเล่นละครต่างๆ นานาเพื่อให้ผู้คนยอมรับนับถือฉัน ฉันช่างเขลาจริงๆ เป็นที่ชิงชังของพระเจ้าและเป็นที่รังเกียจของคนอื่น ฉันซ่อนข้อเสียของตัวเองเพื่อปกป้องชื่อและสถานะ ส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ในหน้าที่ของฉันไม่ได้รับการแก้ไข ฉันกำลังขัดขวางงานของคริสตจักร นี่ฉันคิดอะไรอยู่? ฉันช่างน่าดูหมิ่นและชั่วนัก ในระยะสั้นฉันสามารถรักษาฐานะของตนเอาไว้ได้ด้วยการเสแสร้ง แต่พระเจ้าทรงสังเกตดูทุกสิ่ง และไม่ช้าก็เร็วฉันก็จะถูกพระเจ้าเปิดโปงและกำจัดออกไปเพราะเล่นไม่ซื่อกับพระองค์และถ่วงงานของคริสตจักรให้ช้าลง ฉันนึกขึ้นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์มองสถานะว่าล้ำค่าเป็นพิเศษ และเพื่อสถานะของตนแล้ว พวกเขาจะไม่ละเว้นแม้กระทั่งผลประโยชน์ของคริสตจักร อุปนิสัยและมุมมองที่ฉันมีต่อการไล่ตามเสาะหานั้นต่างจากที่ศัตรูของพระคริสต์มีตรงไหน? สถานะมีประโยชน์ต่อฉันสักนิดหรือไม่? สถานะทำให้ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับรู้หรือเผชิญหน้าข้อเสียของตัวเอง สูญเสียเหตุผลของตัวเอง เมื่อฉันพบเจอปัญหา ฉันก็ไม่อยากแสวงหา แต่กลับเล่นละครและฉลาดแกมโกงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ฉันย่อมจะลงเอยบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ถูกพระเจ้าดูหมิ่นและกำจัดออกไป นั่นจะทำร้ายงานของคริสตจักรและทำลายตัวฉันเอง เมื่อคิดถึงจุดนั้น ฉันก็ตระหนักว่าการเดินบนหนทางนั้นต่อไปจะเป็นอันตรายขนาดไหน นี่คือการปลุกฉันให้ตื่นว่าจะทำหน้าที่แบบนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมในส่วนที่มีเส้นทางให้ปฏิบัติ และนี่ก็ยิ่งทำให้ฉันเป็นอิสระมากขึ้นอีก พระเจ้าตรัสว่า “บางคนได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากคริสตจักร ได้รับโอกาสอันดีที่จะฝึกฝน นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับการยกชูและได้รับพระคุณจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรต่อจากนั้น? หลักธรรมข้อแรกที่พวกเขาควรปฏิบัติตามก็คือการทำความเข้าใจความจริง—เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริง และหลังจากแสวงหาด้วยตนเองแล้ว ถ้าพวกเขายังคงไม่เข้าใจ พวกเขาก็สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมและแสวงหาด้วย ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้นและทันเวลามากขึ้น ถ้าเจ้ามุ่งแต่จะใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเองให้มากขึ้น และใช้เวลาใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและแก้ปัญหา นี่ย่อมช้าเกินไป ดังคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำที่อยู่ห่างไกลดับกระหายทันทีไม่ได้’ เมื่อเป็นเรื่องของความจริง หากเจ้าอยากก้าวหน้าโดยเร็ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ว่าจะทำงานกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวได้อย่างไร จะตั้งคำถามให้มากขึ้นได้อย่างไร และต้องแสวงหาให้มากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นชีวิตของเจ้าจึงจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยไม่มีการประวิงเวลาในด้านใดด้านหนึ่ง เนื่องจากเจ้าเพิ่งได้รับการส่งเสริมและยังอยู่ในช่วงเวลาของการทดสอบ ไม่เข้าใจความจริงหรือมีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริง—เนื่องจากเจ้ายังขาดวุฒิภาวะเช่นนี้—จงอย่าคิดว่าการเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย นี่เป็นเพียงเพราะเจ้าสำนึกในภาระที่เจ้ามีต่องานและมีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ เจ้าจึงถูกเลือกให้ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ เจ้าควรมีเหตุผลตามนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5)) ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้และเห็นว่าคริสตจักรส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนเพื่อให้พวกเขามีโอกาสปฏิบัติ นี่ไม่ได้หมายความว่าแต่อย่างใดพวกเขาเข้าใจความจริง แก้ได้ทุกปัญหา หรือเหมาะที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งาน ในการปฏิบัติของพวกเขา พวกเขาย่อมจะเผชิญปัญหาทุกรูปแบบตามจริง และถ้าพวกเขาแสวงหาและสามัคคีธรรมต่อไป พวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใจแง่มุมต่างๆ ของหลักธรรม เมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาจึงจะสามารถแก้ปัญหาและทำหน้าที่ของตนได้ดี ฉันรู้ว่าฉันจำต้องเผชิญหน้าข้อเสียของตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสมและรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร แสวงหาความจริงมากขึ้น หารือและสามัคคีธรรมกับคนอื่นมากขึ้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มี เมื่อนั้น ต่อให้เห็นได้ชัดในวันหนึ่งว่าฉันมีขีดความสามารถไม่เพียงพอจริงๆ ว่าฉันทำงานนี้ไม่ได้ อย่างน้อยมโนธรรมของฉันก็จะชัดเจน พอคิดตก ฉันก็รู้สึกโล่งใจจริงๆ ฉันไม่ต้องสร้างภาพอีกต่อไป แต่ฉันต้องซื่อสัตย์ และเผชิญหน้าข้อด้อยกับข้อบกพร่องของตัวเองตรงๆ
ตอนที่พวกเราหารือกันในทีมหลังจากนั้น ฉันได้แบ่งปันความคิดเห็นของตนตามความสัตย์จริง ฉันค่อนข้างลังเลในตอนแรก กังวลว่าจะพูดอะไรผิดและดูเหมือนมีความเข้าใจที่ตื้นเขินและมีขีดความสามารถอ่อนด้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีปัญหาที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ความคิดเห็นที่ฉันแบ่งปันก็พลอยไม่ชัดเจนนัก และเมื่อพูดจบ หัวใจของฉันจะเริ่มเต้นตุบๆ พลางนึกสงสัยว่าทุกคนจะมองฉันออกหรือเปล่า แต่แล้วฉันก็จะเตือนตัวเองว่าฉันอยู่ที่ระดับนี้จริงๆ และถ้าพวกเขาดูแคลนฉัน ก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือการเป็นคนซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นหน้าที่ของฉันที่จะแสดงความคิดของตัวเองออกมาและมีส่วนร่วมในการหารือทั้งหลาย นั่นเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสันติสุข หลังจากนั้นเมื่อฉันมีคำถามในหน้าที่ของตนเอง ฉันก็จะพยายามไปขอความคิดเห็นจากคนอื่น ในบางครั้งฉันจะยังคงกังวลเรื่องการถูกดูแคลนอยู่บ้าง แต่พอตระหนักว่าการซ่อนเร้นข้อด้อยของตัวเองเพื่อปกป้องความภาคภูมิใจส่วนตนอาจทำร้ายงานของคริสตจักรได้ ฉันก็พยายามหันหลังให้กับความรู้สึกชั่วแล่นนั้นและขอความช่วยเหลือ พอทำแบบนั้น ฉันก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และฉันรู้สึกสงบลง มีสันติสุขมากขึ้น บางครั้งพี่น้องชายหญิงมีความเข้าใจที่ถูกต้องกว่าฉัน และฉันก็จะเริ่มนึกสงสัยว่าทุกคนกำลังคิดว่าฉันไม่เก่งหรือเปล่า แต่ฉันมองออกว่านั่นไม่ใช่การมองสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง ฉันต้องเรียนรู้จากจุดแข็งของคนอื่นเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตนเอง นั่นไม่ใช่ของประทานอย่างหนึ่งหรอกหรือ? พอคิดในมุมนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันขอบคุณการทรงนำของพระเจ้าที่ทำให้ฉันมีประสบการณ์ว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ให้อิสระขนาดไหน แล้วตอนนี้ฉันก็มีความเชื่อมากขึ้นที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ