ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (1)
ในยุคพระคุณ ยอห์นได้ปูทางไว้ให้พระเยซู ยอห์นไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้นอกจากแค่ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ลุล่วงเท่านั้น ถึงแม้ว่ายอห์นจะเป็นผู้เบิกทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็ไร้ความสามารถที่จะเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ เขาเป็นแค่เพียงมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน หลังจากพระเยซูได้ทรงรับบัพติศมา พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาอยู่กับพระองค์เหมือนนกพิราบ พระองค์จึงได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระคริสต์ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงเข้ารับพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า เพราะพระองค์ได้เสด็จมาจากพระเจ้านั่นเอง ไม่สำคัญว่าความเชื่อของพระองค์จะเคยเป็นอย่างไรก่อนหน้านี้—มันอาจเคยอ่อนแอมาหลายครั้ง หรือแข็งแกร่งในหลายครั้ง—ทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแบบมนุษย์ที่ปกติซึ่งพระองค์ได้ทรงดำเนินอยู่ก่อนการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับบัพติศมา (นั่นก็คือ ได้รับการเจิม) ฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าก็อยู่กับพระองค์โดยทันที และดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระองค์สามารถทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลาย ทรงแสดงปาฏิหาริย์ และพระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ เพราะพระองค์กำลังทรงพระราชกิจในนามของพระเจ้าพระองค์เองโดยตรง พระองค์กำลังทรงพระราชกิจของพระวิญญาณแทนพระวิญญาณ และกำลังทรงแสดงพระสุรเสียงของพระวิญญาณ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง การนี้ไม่สามารถโต้แย้งได้ ยอห์นเป็นใครบางคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ อีกทั้งเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะเป็นตัวแทนของพระเจ้า หากเขาเคยปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงจะไม่ทรงอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เพราะเขาไร้ความสามารถที่จะทำงานที่พระเจ้าพระองค์เองได้ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงได้ บางทีในตัวเขาอาจมากไปด้วยสิ่งที่เป็นเจตจำนงของมนุษย์ หรือบางสิ่งบางอย่างที่เบี่ยงเบน ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่เขาจะสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยตรงได้ ความผิดพลาดและความไร้เหตุผลของเขาเป็นตัวแทนของตัวเขาเองเท่านั้น แต่งานของเขาเป็นตัวแทนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงกระนั้น เจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าทั้งหมดของเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า ความเบี่ยงเบนและความมีข้อผิดพลาดของเขาสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ด้วยกระนั้นหรือ? การมีข้อผิดพลาดในการเป็นตัวแทนของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากใครคนหนึ่งเบี่ยงเบนในการเป็นตัวแทนของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นจะไม่เป็นการทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติหรอกหรือ? นั่นจะไม่เป็นการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ยืนในที่ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาจะได้รับการยกย่องจากผู้อื่น หากเขาไม่ใช่พระเจ้า สุดท้ายแล้ว เขาก็คงจะไร้ความสามารถที่จะตั้งมั่นได้อยู่ดี พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์เป็นตัวแทนของพระเจ้าตามที่มนุษย์ยินดี! ตัวอย่างเช่น พระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ทรงเป็นพยานแก่ยอห์น และพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกเช่นกันนั่นเองที่ทรงเปิดเผยว่าเขาเป็นผู้ที่ปูทางให้แก่พระเยซู แต่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำกับเขานั้นมีการประเมินวัดเป็นอย่างดี ทั้งหมดที่ยอห์นถูกขอก็คือให้เป็นผู้ปูทางให้แก่พระเยซู ให้ตระเตรียมหนทางให้แก่พระองค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงแค่ทรงค้ำจุนงานของเขาในการปูทางและได้ทรงอนุญาตให้เขาทำงานเช่นนั้นเท่านั้น—เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอื่น ยอห์นเป็นตัวแทนของเอลียาห์ และเขาเป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งผู้ที่ได้ปูทาง พระวิญญาณบริสุทธ์ได้ทรงค้ำจุนเขาในการนี้ ตราบเท่าที่งานของเขาคือการปูทาง พระวิญญาณบริสุทธ์ก็ทรงค้ำจุนเขา อย่างไรก็ตาม หากเขาได้ทำการกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และได้พูดว่าเขามาเพื่อทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้เสร็จสิ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงจะต้องทรงบ่มวินัยเขา ไม่สำคัญว่างานของยอห์นจะยิ่งใหญ่เพียงใด และถึงแม้ว่ามันจะได้รับการค้ำจุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ งานของเขาก็ไม่ได้ไม่มีอาณาเขต สมมุติว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงค้ำจุนงานของเขาจริง อำนาจที่ได้มอบให้กับเขา ณ เวลานั้นก็ถูกจำกัดอยู่ที่การปูทางของเขา เขาไม่สามารถทำงานอื่นใดได้เลย เพราะเขาเป็นเพียงยอห์นผู้ที่ได้ปูทางเท่านั้น และไม่ใช่พระเยซู เพราะฉะนั้น คำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเป็นกุญแจสำคัญ แต่งานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอนุญาตให้มนุษย์ทำนั้นยิ่งมีความสำคัญยิ่งยวดกว่าเสียอีก ยอห์นไม่ได้รับพยานที่ดังกึกก้อง ณ เวลานั้นหรอกหรือ? งานของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นกันหรอกหรือ? แต่งานที่เขาทำไม่สามารถเหนือกว่าพระราชกิจของพระเยซูได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นมากไปกว่ามนุษย์คนหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน และไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าโดยตรงได้ และดังนั้นเอง งานที่เขาทำจึงถูกจำกัด หลังจากที่เขาได้ทำงานแห่งการปูทางเสร็จสิ้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ได้ทรงค้ำจุนคำพยานของเขาอีกต่อไป ไม่ได้มีงานใหม่ตามหลังเขามา และเขาได้จากไปขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้เริ่มต้นขึ้น
มีบางคนผู้ถูกวิญญาณชั่วเข้าครองและส่งเสียงร้องอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ว่า “เราคือพระเจ้า!” กระนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผย เพราะพวกเขาทำผิดในสิ่งที่พวกเขาเป็นตัวแทน พวกเขาเป็นตัวแทนซาตาน และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใส่พระทัยพวกเขา เจ้าจะยกย่องตัวเจ้าเองอย่างสูงเพียงใดก็ตาม หรือเจ้าจะส่งเสียงร้องอย่างแข็งกร้าวเพียงใดก็ตาม เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งและเป็นผู้ที่เป็นของซาตาน เราไม่มีวันส่งเสียงร้องว่า “เราคือพระเจ้า เราเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า!” แต่งานที่เราทำคือพระราชกิจของพระเจ้า เราจำเป็นต้องตะโกนหรือ? ไม่มีความจำเป็นต้องมีการยกย่อง พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์มอบสถานะแก่พระองค์หรือให้สมญาซึ่งเป็นการให้เกียรติพระองค์ กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์เป็นตัวแทนของพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ ก่อนหน้าการบัพติศมาของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเนื้อหนังซึ่งเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าหรอกหรือ? แน่ใจหรือไม่ว่าไม่สามารถกล่าวได้ว่า หลังจากการได้รับพยานแล้วเท่านั้นพระองค์จึงทรงกลายเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า? มนุษย์ผู้มีนามว่าเยซูไม่ได้มีอยู่แล้วเนิ่นนานก่อนที่พระองค์จะได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ? เจ้าไร้ความสามารถที่จะสร้างเส้นทางใหม่ๆ ขึ้นมา หรือเป็นตัวแทนพระวิญญาณได้ เจ้าไม่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือพระวจนะที่พระองค์ตรัส เจ้าไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ และเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระวิญญาณได้ พระปัญญา การอัศจรรย์ และความมิอาจหยั่งถึงได้ของพระเจ้า และความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงใช้ตีสอนมนุษย์—เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเกินความสามารถของเจ้าที่จะแสดงออกได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า เจ้าคงจะมีเพียงชื่อเท่านั้นและไม่มีสิ่งใดจากเนื้อแท้เลย พระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดจำพระองค์ได้ กระนั้นพระองค์ยังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และทรงทำเช่นนั้นในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณ ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่ามนุษย์หรือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ หรือเรียกพระองค์ว่าพี่น้องหญิง นั่นก็ไม่สำคัญ แต่พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณและเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับพระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์ พระนามนั้นสามารถกำหนดพระราชกิจของพระองค์ได้หรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่าอย่างไร เท่าที่พระเจ้าทรงคำนึงก็คือ พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและได้รับความเห็นชอบโดยพระวิญญาณ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะกรุยทางให้แก่ยุคใหม่ หรือนำพายุคเก่าไปถึงปลายทาง หรือนำยุคใหม่เข้ามา หรือทำงานใหม่ได้ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกเจ้าว่าพระเจ้าได้!
แม้กระทั่งมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองได้ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการกล่าวว่ามนุษย์เช่นนั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการกล่าวว่างานที่เขาทำก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยตรงได้เช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประสบการณ์แบบมนุษย์ไม่สามารถถูกนำมาวางไว้โดยตรงภายในการบริหารจัดการของ และมันไม่สามารถเป็นตัวแทนของการบริหารจัดการของพระเจ้า พระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำล้วนเป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เองทั้งสิ้น และมันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ งานที่มนุษย์ทำประกอบด้วยการจัดหาประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขา มันประกอบด้วยการค้นหาเส้นทางใหม่แห่งประสบการณ์ที่นอกเหนือจากเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำโดยผู้ที่ได้ไปแล้วก่อนหน้านั้น และเส้นทางแห่งการนำพี่น้องชายหญิงของพวกเขาขณะที่อยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้จัดหาคือประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขาหรืองานเขียนเชิงจิตวิญญาณของผู้คนฝ่ายวิญญาณ ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้ถูกใช้งานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่งานที่พวกเขาทำก็ไม่มีความสัมพันธ์กับพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่แห่งการบริหารจัดการในแผนหกพันปี พวกเขาเป็นแค่บรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงอุ้มชูขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อนำทางผู้คนในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้จะสิ้นสุดลงหรือจนกว่าชีวิตของพวกเขาจะมาถึงปลายทาง งานที่พวกเขาทำเป็นเพียงเพื่อตระเตรียมเส้นทางอันเหมาะควรไว้สำหรับพระเจ้าพระองค์เอง หรือเพื่อสานต่อแง่มุมเฉพาะบางอย่างจากการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก ในตัวของผู้คนเหล่านี้นั้น พวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเปิดหนทางใหม่ๆ ออกไปได้ นับประสาอะไรที่พวกเขาคนใดจะสามารถนำพาพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าจากยุคก่อนหน้านั้นไปสู่บทสรุปได้ เพราะฉะนั้น งานที่พวกเขาทำจึงเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่หน้าที่รับผิดชอบของเขาเท่านั้น และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองที่ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้ นี่เป็นเพราะงานที่พวกเขาทำไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ งานแห่งการนำยุคใหม่เข้ามาไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถทำแทนพระเจ้าได้ งานนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้นอกจากพระเจ้าพระองค์เอง งานทั้งหมดที่มนุษย์ทำนั้นประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำไปเมื่อเขาได้รับการขับเคลื่อนหรือได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ การนำที่ผู้คนเหล่านี้จัดเตรียมนั้นประกอบด้วยการแสดงให้มนุษย์เห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติในชีวิตประจำวันและวิธีที่เขาควรปฏิบัติตนอย่างกลมกลืนกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น งานของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า อีกทั้งไม่เป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังตัวอย่างหนึ่งคือ งานของวิทเนสลีและวอทช์แมนนี คือการนำทาง ไม่ว่าหนทางนั้นจะใหม่หรือเก่า งานนั้นก็ตั้งอยู่บนหลักธรรมแห่งการคงอยู่ภายในพระคัมภีร์ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นการฟื้นฟูคริสตจักรท้องถิ่นหรือสร้างคริสตจักรท้องถิ่น งานของพวกเขาจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการสถาปนาคริสตจักรทั้งหลาย งานที่พวกเขาทำได้ทำให้งานที่พระเยซูและอัครทูตทั้งหลายของพระองค์ทิ้งไว้แบบยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ได้พัฒนาคืบหน้าในยุคพระคุณได้ดำเนินการต่อไปจริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำในงานของพวกเขาก็คือ การฟื้นฟูสิ่งที่พระเยซูได้ทรงขอจากชนรุ่นที่จะมาภายหลังพระองค์ไว้ในพระราชกิจของพระองค์ในกาลสมัยนั้น เช่น การคลุมศีรษะของพวกเขา การรับบัพติศมา การหักขนมปัง หรือการดื่มเหล้าองุ่น อาจกล่าวได้ว่า งานของพวกเขาคือการปฏิบัติตามพระคัมภีร์และการแสวงหาเส้นทางต่างๆ ภายในพระคัมภีร์ พวกเขาไม่ได้ทำความรุดหน้าใหม่ๆ ประเภทใดเลย ดังนั้นในงานของพวกเขา คนเราจึงสามารถมองเห็นเพียงการค้นพบหนทางใหม่ๆ ภายในพระคัมภีร์เท่านั้น ตลอดจนการปฏิบัติแบบสมจริงที่ดีขึ้นและมากขึ้น แต่คนเราไม่สามารถพบน้ำพระทัยปัจจุบันของพระเจ้าในงานของพวกเขาได้ นับประสาอะไรที่จะพบพระราชกิจใหม่ที่พระเจ้าในยุคสุดท้ายทรงวางแผนที่จะทำ นี่เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นยังคงเป็นเส้นทางเก่า—ไม่มีการเริ่มใหม่และไม่มีความรุดหน้า พวกเขายังคงยึดมั่นต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู ยังคงรักษาการปฏิบัติในการขอให้ผู้คนกลับใจและสารภาพบาปของพวกเขา ยังคงยึดติดอยู่ต่อไปกับคำกล่าวทั้งหลายที่ว่า เขาผู้ซึ่งสู้ทนจนถึงปลายทางจะได้รับการช่วยให้รอด และคำกล่าวที่ว่า บุรุษเป็นหัวหน้าของสตรี และสตรีต้องเชื่อฟังสามีของเธอ และยิ่งยึดติดมากเข้าไปใหญ่กับมโนคติที่หลงผิดตามประเพณีที่ว่าพี่น้องหญิงไม่สามารถเทศนาได้ ได้แต่เชื่อฟังเท่านั้น หากความเป็นผู้นำในลักษณะนั้นได้รับการถือปฏิบัติต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คงจะไม่มีวันทรงสามารถดำเนินการพระราชกิจใหม่ ปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ หรือนำทางพวกเขาไปสู่อาณาจักรแห่งอิสรภาพและความงดงามได้ ดังนั้น พระราชกิจช่วงระยะนี้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงยุค จึงพึงต้องให้พระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจและตรัส มิฉะนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำเช่นนั้นแทนพระองค์ได้ จนถึงบัดนี้แล้ว พระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นอกเหนือจากกระแสนี้ได้มาถึงจุดหยุดนิ่ง และบรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานก็ได้สูญเสียทิศทางของตน ดังนั้น ในเมื่องานของผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานนั้นไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ อัตลักษณ์ของพวกเขาและบุคคลเป้าหมายที่พวกเขากระทำการแทนก็แตกต่างไปในทำนองเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำนั้นแตกต่างออกไป และด้วยเหตุผลนี้ บรรดาผู้ที่ทำงานเหมือนกันจึงได้รับมอบอัตลักษณ์และสถานะที่แตกต่างกัน ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานอาจทำงานบางอย่างที่ใหม่ด้วยเช่นกัน และอาจจะขจัดงานบางอย่างที่เคยทำในยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและน้ำพระทัยของพระเจ้าในยุคใหม่ได้ พวกเขาทำงานเพียงแค่เพื่อลบงานของยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไป และไม่ใช่เพื่อที่จะทำงานใหม่เพื่อจุดประสงค์แห่งการเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เองโดยตรง ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาลบล้างการปฏิบัติที่ล้าสมัยไปมากเพียงใด หรือพวกเขาแนะนำการปฏิบัติใหม่ๆ มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นตัวแทนของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงดำเนินพระราชกิจ พระองค์ไม่ทรงประกาศสำแดงการลบล้างการปฏิบัติต่างๆ ของยุคเก่าอย่างเปิดเผยหรือทรงประกาศสำแดงการตั้งต้นยุคใหม่โดยตรง พระองค์ทรงซื่อตรงและตรงไปตรงมาในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเฉียบขาดในการปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำ นั่นก็คือ พระองค์ทรงแสดงออกโดยตรงถึงพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำให้เกิดขึ้น ทรงทำพระราชกิจของพระองค์โดยตรงตามที่ได้ตั้งพระทัยไว้แต่เดิม อันเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์ ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ล้วนแตกต่างไปจากพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระองค์ในยุคต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของพระเจ้าพระองค์เอง นี่เป็นเพียงความต่อเนื่องและการพัฒนาคืบหน้าในพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ออกมาและทรงนำพาพระราชกิจใหม่มาโดยตรง ในทางตรงกันข้าม เมื่อมนุษย์ทำงาน มันเป็นไปโดยผ่านทางการตรึกตรองและการศึกษา หรือมันเป็นการขยายความรู้และความเป็นระบบของการปฏิบัติซึ่งมีรากฐานอยู่บนงานของผู้อื่น นั่นกล่าวได้ว่า แก่นสารของงานที่มนุษย์ทำคือการปฏิบัติตามระเบียบที่ตั้งไว้และการ “เดินบนเส้นทางเก่าในรองเท้าคู่ใหม่” นี่หมายความว่า แม้กระทั่งเส้นทางที่ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานได้เดินไป ก็ถูกสร้างขึ้นบนเส้นทางที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเริ่มไว้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทุกอย่างแล้ว มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ และพระเจ้าก็ยังทรงเป็นพระเจ้าอยู่ดี
ยอห์นเกิดมาโดยพระสัญญา พอกันกับที่อิสอัคได้มาเกิดกับอับราฮัม เขาได้ปูทางไว้ให้พระเยซูและได้ทำงานมากมาย แต่เขาไม่ใช่พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะ เพราะเขาเพียงแค่ได้ปูทางไว้ให้พระเยซูเท่านั้น งานของเขาก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน และมีเพียงหลังจากที่เขาได้ปูทางไว้แล้วเท่านั้นพระเยซูจึงได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการ ในสาระสำคัญแล้ว เขาเพียงแค่ลงแรงเพื่อพระเยซู และงานที่เขาทำเป็นการปรนนิบัติพระราชกิจของพระเยซู หลังจากที่เขาได้เสร็จสิ้นการปูทางแล้ว พระเยซูก็ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจที่ใหม่กว่า เป็นรูปธรรมกว่า และมีรายละเอียดมากกว่า ยอห์นได้ทำเพียงส่วนแรกเริ่มของงานนั้นเท่านั้น ส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าของงานใหม่นั้นทำโดยพระเยซู ยอห์นได้ทำงานใหม่ด้วยเช่นกัน แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่นำมาซึ่งยุคใหม่ ยอห์นเกิดมาโดยพระสัญญา และทูตสวรรค์ได้ตั้งชื่อให้เขา ในเวลานั้น บางคนต้องการที่จะตั้งชื่อเขาตามเศคาริยาห์พ่อของเขา แต่แม่ของเขาได้พูดออกมาว่า “เด็กคนนี้ไม่สามารถถูกเรียกด้วยชื่อนั้น เขาควรถูกเรียกว่ายอห์น” ทั้งหมดนี้เป็นไปตามพระราชโองการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูก็ได้รับการตั้งพระนามตามพระราชโองการของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน พระองค์ประสูติจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงได้รับพระสัญญาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระคริสต์ และบุตรมนุษย์ แต่งานของยอห์นก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน เหตุใดเล่าเขาจึงไม่ถูกเรียกว่าพระเจ้า? ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจที่พระเยซูทรงทำกับงานที่ยอห์นทำคือสิ่งใดกันแน่? เหตุผลเดียวก็คือว่ายอห์นเป็นผู้ที่ได้ปูทางให้แก่พระเยซูใช่หรือไม่? หรือเพราะการนี้พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว? ถึงแม้ว่ายอห์นได้กล่าวไว้ด้วยว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” และเขาได้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เช่นกัน แต่งานของเขาก็ไม่ได้พัฒนาคืบหน้าและเพียงแค่ประกอบขึ้นเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พระเยซูได้ทรงนำยุคใหม่เข้ามา ตลอดจนทรงนำยุคเก่าไปสู่ปลายทาง แต่พระองค์ก็ยังทรงทำให้ธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิมลุล่วงไปด้วยเช่นกัน พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นยิ่งใหญ่กว่างานของยอห์น และสิ่งที่มากกว่าคือพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง—พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจช่วงระยะนั้นสำเร็จลุล่วง สำหรับยอห์นนั้น เขาแค่ตระเตรียมเส้นทาง ถึงแม้ว่างานของเขาจะยิ่งใหญ่ คำพูดของเขามีมากมาย และบรรดาสาวกที่ติดตามเขาก็มีจำนวนมาก แต่งานของเขาก็ไม่ได้มากไปกว่าการนำพามนุษย์มาสู่จุดเริ่มต้นใหม่ มนุษย์ไม่เคยได้รับชีวิต หนทาง หรือความจริงที่ลึกซึ้งมากขึ้นจากเขา อีกทั้งมนุษย์ไม่ได้รับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยผ่านทางเขา ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ (เอลียาห์) ผู้ซึ่งได้เปิดฐานใหม่สำหรับพระราชกิจของพระเยซู และได้ตระเตรียมผู้ได้รับการเลือกสรร เขาเป็นผู้เบิกทางของยุคพระคุณ เรื่องทั้งหลายเช่นนั้นไม่สามารถหยั่งรู้ได้เพียงแค่โดยการสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกแบบมนุษย์ปกติของพวกเขา ทั้งหมดนี้ยิ่งเหมาะเจาะเข้าไปอีกเมื่อยอห์นได้ทำงานที่สำคัญยิ่งด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้รับพระสัญญาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และงานของเขาได้รับการค้ำจุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คนเราสามารถแยกแยะระหว่างอัตลักษณ์เฉพาะของพวกเขาโดยผ่านทางงานที่พวกเขาทำเท่านั้น เพราะไม่มีหนทางใดที่จะบอกถึงแก่นแท้ของมนุษย์จากรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อีกทั้งไม่มีหนทางใดสำหรับมนุษย์ที่จะสืบให้แน่ใจว่าคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใด งานที่ยอห์นทำกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงทำนั้นไม่เหมือนกันและมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน จากการนี้นี่เองคนเราจึงอาจกำหนดพิจารณาได้ว่ายอห์นเป็นพระเจ้าหรือไม่ พระราชกิจของพระเยซูคือเพื่อริเริ่ม เพื่อสานต่อ เพื่อสรุปปิดตัว และเพื่อนำมาซึ่งการผลิดอกออกผล พระองค์ได้ทรงดำเนินการแต่ละขั้นตอนเหล่านี้ ในขณะที่งานของยอห์นไม่ได้มากไปกว่าการทำจุดเริ่มต้น ในตอนเริ่มต้น พระเยซูได้ทรงเผยแพร่ข่าวประเสริฐและได้ทรงประกาศหนทางแห่งการกลับใจใหม่ และต่อมาได้ทรงดำเนินการต่อไปถึงการบัพติศมามนุษย์ รักษาคนป่วย ขับไล่พวกปีศาจ ในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์จากบาป และได้ทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์สำหรับทั้งยุคนั้น พระองค์ยังได้เสด็จไปทั่วทุกที่ด้วยเช่นกัน โดยทรงประกาศต่อมนุษย์และทรงเผยแพร่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในด้านนี้ พระองค์กับยอห์นนั้นเหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่พระเยซูได้ทรงนำยุคใหม่เข้ามาและได้ทรงนำพายุคพระคุณมาสู่มนุษย์ พระวจนะที่มนุษย์ควรปฏิบัติตามและหนทางที่มนุษย์ควรติดตามในยุคพระคุณได้มาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ ยอห์นไม่มีทางสามารถดำเนินการงานนี้ได้ และดังนั้น จึงเป็นพระเยซูนั่นเองที่ได้ทรงทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นพระองค์นั่นเองที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยตรง มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์กล่าวว่า บรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้เกิดมาด้วยพระสัญญา ได้เกิดมาจากพระวิญญาณ ได้รับการค้ำจุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ที่เปิดหนทางใหม่ๆ ออกมานั้นเป็นพระเจ้า จากการให้เหตุผลดังนี้ ยอห์นก็คงจะเป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน และโมเสส อับราฮัม และดาวิด… พวกเขาทั้งหมดก็คงจะเป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน การนี้ไม่ใช่เรื่องตลกสมบูรณ์แบบเลยหรอกหรือ?
ก่อนหน้าการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระเยซูด้วยเช่นกันเป็นเพียงมนุษย์ปกติคนหนึ่งที่ได้ปฏิบัติตนสอดคล้องกับสิ่งใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ ไม่ว่าพระองค์จะทรงตระหนักรู้ถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์เองในเวลานั้นหรือไม่ก็ตาม พระองค์ก็เชื่อฟังทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยทรงเปิดเผยพระอัตลักษณ์ของพระองค์ก่อนที่พันธกิจของพระองค์จะได้ตั้งต้น เพียงหลังจากพระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์แล้วเท่านั้นนั่นเอง ที่พระองค์ได้ทรงลบล้างกฎเกณฑ์เหล่านั้นและธรรมบัญญัติเหล่านั้น และจนกระทั่งเมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการนี่เอง พระวจนะของพระองค์จึงได้กลายมาอิ่มเอิบไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ เพียงหลังจากที่พระองค์ได้ทรงตั้งต้นพันธกิจของพระองค์แล้วเท่านั้น พระราชกิจของพระองค์ในการนำยุคใหม่เข้ามาจึงได้เริ่มต้นขึ้น ก่อนหน้านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงซ่อนเร้นอยู่ภายในพระองค์เป็นเวลา 29 ปี ซึ่งในช่วงระหว่างเวลานั้นพระองค์ได้ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นและทรงปราศจากพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นกับการที่พระองค์ทรงพระราชกิจและทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ไปตามแผนการซึ่งอยู่ภายในของพระองค์โดยไม่คำนึงถึงว่ามนุษย์รู้เกี่ยวกับพระองค์มากเพียงใด และพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำคือการเป็นตัวแทนโดยตรงของพระเจ้าพระองค์เอง ในเวลานั้น พระเยซูได้ทรงถามบรรดาผู้ที่อยู่รอบตัวพระองค์ว่า “พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาตอบว่า “ท่านคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้เผยพระวจนะและแพทย์ผู้เป็นเลิศของพวกเรา” และบางคนตอบว่า “ท่านเป็นมหาปุโรหิตของพวกเรา” และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน คำตอบทุกประเภทได้ถูกตอบออกมา บางคนถึงขั้นกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นยอห์น ว่าพระองค์ทรงเป็นเอลียาห์ พระเยซูจึงได้ทรงหันไปหาซีโมนเปโตรและตรัสถามว่า “ท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรได้ตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนได้กลายเป็นตระหนักรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตอนที่พระอัตลักษณ์ของพระองค์ได้มาเป็นที่รู้กันนั้น เปโตรนั่นเองคือคนแรกที่ได้มาตระหนักรู้การนี้ และนั่นก็ได้ถูกพูดออกไปจากปากของเขานั่นเอง เช่นนั้นแล้วพระเยซูจึงได้ตรัสว่า “มนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราทรงเปิดเผยให้ทราบ” ภายหลังจากการบัพติศมาของพระองค์ ไม่ว่าผู้อื่นจะได้รู้เรื่องนี้หรือไม่ พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็เป็นไปในนามของพระเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อเปิดเผยพระอัตลักษณ์ของพระองค์ เป็นเพียงหลังจากเปโตรได้พูดถึงมันแล้วเท่านั้นที่พระอัตลักษณ์ของพระองค์ได้กลายเป็นที่รู้กันโดยเปิดเผย ไม่ว่าเจ้าจะตระหนักรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่ ครั้นพอถึงเวลา พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ และไม่ว่าเจ้าจะรู้การนั้นหรือไม่ พระองค์ก็ได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปเหมือนเมื่อก่อน ต่อให้เจ้าได้ปฏิเสธมัน พระองค์ก็จะยังคงทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอยู่ดี และคงจะทรงดำเนินการพระราชกิจนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำเช่นนั้น พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์และปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อที่มนุษย์อาจจะได้รู้จักเนื้อหนังของพระองค์ แต่เพื่อให้มนุษย์รับพระราชกิจของพระองค์ไว้ หากเจ้าได้ล้มเหลวที่จะระลึกได้ว่าช่วงระยะของงานในวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นก็เป็นเพราะเจ้าขาดนิมิต แม้กระนั้น เจ้าก็ไม่สามารถปฏิเสธช่วงระยะนี้ของพระราชกิจได้ ความล้มเหลวของเจ้าในการระลึกได้ถึงการนี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มิได้กำลังทรงพระราชกิจหรือว่าพระราชกิจของพระองค์นั้นผิด มีพวกที่ถึงขั้นตรวจเทียบพระราชกิจในปัจจุบันกับพระราชกิจของพระเยซูในพระคัมภีร์ และใช้ความไม่สอดคล้องตรงกันอันใดก็ตาม มาปฏิเสธช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ นี่มิใช่การกระทำของคนตาบอดหรอกหรือ? สิ่งทั้งหลายที่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีขีดจำกัด สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันได้ รวมพระกิตติคุณทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้วก็มีน้อยกว่าหนึ่งร้อยบท ซึ่งในนั้นเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจำนวนที่จำกัด อาทิเช่น พระเยซูทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อ คำปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งของเปโตร พระเยซูทรงปรากฏแก่บรรดาสาวกภายหลังการตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ของพระองค์ การสอนเรื่องการอดอาหาร การสอนเรื่องการอธิษฐาน การสอนเรื่องการหย่า การประสูติและลำดับพงศ์ของพระเยซู การแต่งตั้งบรรดาสาวกของพระเยซู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ให้คุณค่าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า ถึงขั้นเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นเชื่อว่าพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์รวมกันได้มากแค่นั้นเท่านั้นเอง ราวกับว่าพระเจ้าทรงสามารถทำได้มากแค่นี้เท่านั้นและไม่มีสิ่งใดเกินไปจากนี้ นี่ไม่ไร้สาระสิ้นดีหรอกหรือ?
เวลาที่พระเยซูทรงมีบนแผ่นดินโลกคือสามสิบสามปีครึ่ง นั่นก็คือ พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บนแผ่นดินโลกเป็นเวลาสามสิบสามปีครึ่ง มีเพียงสามปีครึ่งจากเวลานั้นเท่านั้นที่ได้ใช้ไปในการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ เวลาที่เหลือนั้นพระองค์แค่ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่อย่างมนุษย์ปกติ ในตอนเริ่มต้น พระองค์ได้ทรงเข้าร่วมการปรนนิบัติในธรรมศาลา และที่นั่นพระองค์ได้ทรงรับฟังการแสดงธรรมจากองค์คัมภีร์ทั้งหลายของเหล่าปุโรหิต และการเทศนาของผู้อื่น พระองค์ทรงได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ กล่าวคือ พระองค์มิได้ทรงประสูติมาพร้อมกับความรู้เช่นนั้น และทรงได้รับความรู้นั้นโดยผ่านทางการอ่านและการฟังเท่านั้น มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ได้ตรัสถามคำถามกับครูทั้งหลายในธรรมศาลาเมื่อตอนมีอายุสิบสองปีว่า คำเผยพระวจนะทั้งหลายของบรรดาผู้เผยพระวจนะรุ่นเก่าแก่คือสิ่งใดบ้าง? ธรรมบัญญัติของโมเสสคือสิ่งใด? ภาคพันธสัญญาเดิมหรือ? และมนุษย์รับใช้พระเจ้าอย่างไรในเสื้อคลุมอย่างปุโรหิตในพระวิหาร?… พระองค์ได้ตรัสถามคำถามมากมาย เพราะพระองค์ทั้งไม่มีความรู้และไม่มีความเข้าใจ ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงอยู่ในครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ก็ประสูติมาในฐานะมนุษย์ปกติโดยสิ้นเชิง แม้ว่าพระองค์จะได้ทรงมีคุณลักษณะพิเศษบางอย่างก็ตาม พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นมนุษย์ปกติ พระปัญญาของพระองค์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสัดส่วนอันเหมาะสมกับวุฒิภาวะของพระองค์และพระชันษาของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงก้าวผ่านระยะต่างๆ ของชีวิตของมนุษย์ปกติคนหนึ่ง ในจินตนาการของผู้คนนั้น พระเยซูไม่ทรงได้รับประสบการณ์กับวัยเด็กและวัยหนุ่ม พระองค์ทรงเริ่มดำรงพระชนม์ชีพเป็นมนุษย์วัยสามสิบปีทันทีที่พระองค์ประสูติ และพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเมื่อมีความครบบริบูรณ์ในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์น่าจะไม่ได้ทรงก้าวผ่านระยะต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์ปกติ พระองค์ไม่ได้เสวยอีกทั้งไม่ได้ร่วมคบค้าสมาคมกับผู้คนอื่นๆ และไม่ง่ายเลยที่ผู้คนจะได้มองเห็นพระองค์แม้เพียงแวบหนึ่ง พระองค์น่าจะทรงเป็นผู้ที่ผิดปกติซึ่งคงจะทำให้บรรดาผู้ที่มองเห็นพระองค์ประหวั่นพรั่นพรึง เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงมาในเนื้อหนังไม่ทรงดำรงพระชนม์อยู่อย่างที่บุคคลปกติทำอย่างแน่นอน พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงสะอาดโดยไม่ต้องสีพระทนต์หรือสรงพระพักตร์ เพราะพระองค์ทรงเป็นบุคคลผู้บริสุทธิ์ เหล่านี้ไม่ใช่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ล้วนๆ หรอกหรือ? พระคัมภีร์ไม่ได้ทำการบันทึกถึงพระชนม์ชีพของพระเยซูในฐานะมนุษย์ มีเพียงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น แต่การนี้มิใช่พิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือว่าพระองค์ไม่ได้ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่แบบมนุษย์ปกติก่อนถึงพระชันษาสามสิบปี พระองค์ได้ทรงตั้งต้นพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการเมื่อพระชันษา 29 ปี แต่เจ้าไม่สามารถขีดฆ่าตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ในฐานะมนุษย์ก่อนที่จะถึงพระชันษานั้นทิ้งไปได้ พระคัมภีร์ก็แค่ละเว้นไม่บันทึกช่วงเวลานั้นไว้ เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นพระชนม์ชีพของพระองค์ในฐานะมนุษย์ปกติคนหนึ่งและไม่ใช่ระยะของพระราชกิจแบบพระเจ้าของพระองค์ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับช่วงเวลานั้นที่จะต้องถูกบันทึกลงไป เนื่องจากก่อนหน้าการบัพติศมาของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์มิได้ทรงพระราชกิจโดยตรง แต่เพียงแค่ทรงธำรงรักษาพระองค์ไว้ในพระชนม์ชีพของพระองค์ในฐานะมนุษย์ปกติจนกระทั่งถึงกำหนดวันที่พระเยซูต้องทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ก็ได้ก้าวผ่านกระบวนการของการโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนอย่างที่มนุษย์ปกติคนหนึ่งก้าวผ่าน กระบวนการแห่งการโตเป็นผู้ใหญ่นี้ได้ถูกละเว้นจากพระคัมภีร์ กระบวนการนี้ถูกละเว้นไปเพราะมันไม่สามารถจัดเตรียมการให้ความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่อันใดให้แก่การเติบโตในชีวิตของมนุษย์ ช่วงเวลาก่อนการบัพติศมาของพระองค์เป็นช่วงเวลาที่ซ่อนเร้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันใด มีเพียงหลังจากการบัพติศมาของพระเยซูเท่านั้นพระองค์จึงได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจทั้งหมดแห่งการไถ่มวลมนุษย์ พระราชกิจอันอุดมและเต็มเปี่ยมไปด้วยพระคุณ ความจริง และความรักและความกรุณา การเริ่มต้นพระราชกิจนี้ก็เป็นการตั้งต้นยุคพระคุณไปด้วยพอดีเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้ นั่นจึงถูกเขียนลงไปและส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน นั่นเป็นไปเพื่อเปิดหนทางออกไปและนำพาคนเหล่านั้นทั้งหมดในยุคพระคุณไปสู่การผลิดอกออกผล เพื่อย่ำเท้าไปบนเส้นทางแห่งยุคพระคุณและเส้นทางแห่งกางเขน ถึงแม้นั่นจะออกมาจากบันทึกที่เขียนโดยมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นข้อเท็จจริง ยกเว้นที่มีการพบข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ตรงนั้นตรงนี้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าบันทึกเหล่านี้ไม่เป็นความจริง เรื่องทั้งหลายที่ถูกบันทึกไว้ล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ผู้คนได้สร้างข้อผิดพลาดขึ้นจริงๆ ก็ในการที่เขียนเรื่องเหล่านั้นลงไปเท่านั้นเอง มีบางคนที่จะกล่าวว่า หากพระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติและธรรมดา จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์ทรงมีความสามารถในการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลายได้? สี่สิบวันแห่งการทดลองที่พระเยซูได้ทรงก้าวผ่านเป็นหมายสำคัญที่เปี่ยมปาฏิหาริย์ เป็นหมายสำคัญที่มนุษย์ปกติคงจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ สี่สิบวันแห่งการทดลองของพระองค์อยู่ในธรรมชาติของการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้ว คนเราจะสามารถพูดได้อย่างไรว่าไม่มีความเหนือธรรมชาติสักนิดในตัวพระองค์? ความสามารถของพระองค์ในการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่เหนือล้ำและไม่ใช่มนุษย์ปกติ นั่นเป็นแค่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์ปกติเช่นพระองค์ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เป็นไปได้สำหรับพระองค์ที่จะทรงแสดงปาฏิหาริย์และทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ก่อนหน้าที่พระเยซูจะทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ หรือดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ก่อนหน้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาอยู่กับพระองค์นั้น พระเยซูทรงเป็นแต่เพียงมนุษย์ปกติคนหนึ่ง และไม่มีความเหนือธรรมชาติในทางใดเลย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาอยู่กับพระองค์ กล่าวคือ เมื่อพระองค์ได้ทรงตั้งต้นการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นอิ่มเอิบไปด้วยความเหนือธรรมชาติ ในหนทางนี้ มนุษย์จึงได้มาเชื่อว่าเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคิดอย่างเข้าใจผิดว่าพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงมีเพียงเทวสภาพเท่านั้น ไม่ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ มนุษย์ทั้งหมดมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหลายที่เหนือธรรมชาติ สิ่งที่พวกเขามองเห็นด้วยตาของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาได้ยินด้วยหูของพวกเขานั้นล้วนเหนือธรรมชาติ เพราะพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ไม่อาจจับใจความได้และไม่อาจบรรลุถึงได้สำหรับพวกเขา หากบางสิ่งบางอย่างจากสวรรค์ถูกนำพามายังแผ่นดินโลก มันจะเป็นสิ่งใดได้อย่างไรนอกจากเหนือธรรมชาติ? เมื่อความล้ำลึกทั้งหลายของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ถูกนำพามายังแผ่นดินโลก ความล้ำลึกทั้งหลายที่ไม่อาจจับใจความได้และหยั่งถึงไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ ที่น่าอัศจรรย์และมีปัญญาเกินไป—สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เหนือธรรมชาติทั้งหมดหรอกหรือ? อย่างไรก็ตาม เจ้าควรรู้ไว้ว่า ไม่สำคัญว่ามันจะเหนือธรรมชาติเพียงใด ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินการอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ เนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้านั้นอิ่มเอิบไปด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ หากพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ก็คงจะไม่ได้ทรงเป็นเนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า พระเยซูได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมายยิ่งนักในยุคของพระองค์ สิ่งที่คนอิสราเอลในยุคนั้นได้มองเห็นเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายที่เหนือธรรมชาติ พวกเขาได้เห็นทูตสวรรค์และทูตสื่อสาร และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ เหล่านี้ทั้งหมดไม่เหนือธรรมชาติหรอกหรือ? แน่นอนว่า วันนี้มีวิญญาณชั่วบางตนที่หลอกลวงมนุษย์ด้วยสิ่งทั้งหลายที่เหนือธรรมชาติ นั่นไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากการเลียนแบบที่พวกเขาทำขึ้น เพื่อที่จะหลอกลวงมนุษย์โดยผ่านทางงานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงทำในปัจจุบัน มนุษย์จำนวนมากแสดงปาฏิหาริย์และรักษาคนป่วยและขับพวกปีศาจออก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากงานของวิญญาณชั่ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจเช่นนั้นอีกต่อไปในยุคปัจจุบัน และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้เลียนแบบพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จากเวลานั้นเรื่อยมาคือวิญญาณชั่วโดยแท้ งานทั้งหมดที่ได้ดำเนินการในอิสราเอลในเวลานั้นคืองานที่มีลักษณะเหนือธรรมชาติ ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในลักษณะเช่นนั้นแล้วตอนนี้ และงานใดๆ เช่นนั้นในตอนนี้คือการเลียนแบบและการปลอมตัวของซาตานและการรบกวนของมัน แต่เจ้าไม่สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เหนือธรรมชาตินั้นมาจากวิญญาณชั่ว—การนี้คงจะขึ้นอยู่กับยุคของพระราชกิจของพระเจ้า จงพิจารณาพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงกระทำในปัจจุบันนี้เถิดว่า แง่มุมใดของพระราชกิจนี้หรือที่ไม่เหนือธรรมชาติ? พระวจนะของพระองค์ไม่อาจจับใจความได้และไม่อาจบรรลุได้สำหรับเจ้า และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำได้ มนุษย์ไม่มีหนทางที่จะเข้าใจสิ่งที่พระองค์เข้าพระทัย และสำหรับความรู้ของพระองค์นั้น มนุษย์ไม่รู้ว่าความรู้นั้นมาจากที่ใด มีบางคนกล่าวว่า “ฉันก็เป็นคนปกติในแบบเดียวกับที่ท่านเป็น แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันไม่รู้สิ่งที่ท่านรู้? ฉันแก่กว่าและมั่งคั่งกว่าในด้านประสบการณ์ แต่ทว่าท่านสามารถรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ได้อย่างไร?” เท่าที่มนุษย์คิดเห็นนั้น ทั้งหมดนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ไม่มีทางที่จะบรรลุได้ แล้วก็มีพวกที่กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับงานที่ได้ดำเนินการในอิสราเอล และแม้กระทั่งบรรดาผู้อธิบายความพระคัมภีร์ก็ไม่สามารถให้คำอธิบายใดอันได้ ท่านมารู้ได้อย่างไร?” เหล่านี้ทั้งหมดไม่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรอกหรือ? พระองค์ไม่ทรงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการอัศจรรย์ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงรู้ทั้งหมด พระองค์ตรัสและทรงแสดงออกถึงความจริงด้วยความง่ายดายที่สุด นี่ไม่เหนือธรรมชาติหรอกหรือ? พระราชกิจของพระองค์อยู่เหนืองานที่เนื้อหนังสามารถบรรลุไปถึงได้ มันไม่อาจบรรลุได้สำหรับความคิดของมนุษย์คนใดที่มีร่างแห่งเนื้อหนัง และไม่อาจมโนภาพได้โดยสิ้นเชิงต่อการใช้เหตุผลในจิตใจของมนุษย์ ถึงแม้พระองค์ไม่เคยได้ทรงอ่านพระคัมภีร์ แต่พระองค์ก็เข้าพระทัยพระราชกิจของพระเจ้าในอิสราเอล และถึงแม้พระองค์ประทับยืนบนแผ่นดินโลกขณะที่พระองค์ตรัส แต่พระองค์ก็ตรัสถึงความล้ำลึกทั้งหลายของสวรรค์ชั้นที่สาม เมื่อมนุษย์อ่านพระวจนะเหล่านี้ เขาจะท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกนี้ที่ว่า “นี่ไม่ใช่ภาษาของสวรรค์ชั้นที่สามหรอกหรือ?” เหล่านี้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกินกว่าสิ่งที่มนุษย์ปกติจะมีความสามารถสัมฤทธิ์ได้ไม่ใช่หรือ? ในเวลานั้น เมื่อพระเยซูได้ทรงก้าวผ่านสี่สิบวันแห่งการอดอาหาร นั่นไม่ใช่เหนือธรรมชาติหรอกหรือ? หากเจ้ากล่าวว่าสี่สิบวันแห่งการอดอาหารนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติในทุกกรณี เป็นการกระทำของวิญญาณชั่ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ได้กล่าวโทษพระเยซูไปแล้วหรอกหรือ? ก่อนที่จะมีการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นเหมือนมนุษย์ปกติคนหนึ่ง พระองค์ทรงไปโรงเรียนด้วยเช่นกัน พระองค์จะทรงสามารถได้เรียนรู้การอ่านและการเขียนด้วยวิธีอื่นได้อย่างไรเล่า? เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระวิญญาณทรงซ่อนเร้นอยู่ภายในเนื้อหนังนั้น แม้กระนั้นก็ตาม ในการเป็นมนุษย์ปกติ จำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงก้าวผ่านกระบวนการแห่งการเติบโตและการเป็นผู้ใหญ่ และจนกระทั่งเมื่อความสามารถด้านการรู้คิดของพระองค์ได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว และพระองค์ทรงมีความสามารถที่จะหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายได้ จึงจะสามารถถือว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ปกติได้ มีเพียงหลังจากสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ได้เป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้นพระองค์จึงจะทรงสามารถปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้ พระองค์อาจทรงสามารถปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้อย่างไร ในขณะที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ยังไม่เป็นผู้ใหญ่และการใช้เหตุผลของพระองค์ไม่มั่นคง? แน่นอนว่าไม่สามารถคาดหวังได้ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้เมื่อพระชันษาหกหรือเจ็ดปี! เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงสำแดงพระองค์เองอย่างเปิดเผยเมื่อพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรก? นั่นเป็นเพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของเนื้อหนังของพระองค์ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ กระบวนการเชิงรู้คิดของเนื้อหนังของพระองค์ ตลอดจนสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเนื้อหนังนี้ยังไม่อยู่ในการทรงครองของพระองค์อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงเป็นความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับพระองค์ที่ต้องทรงครองสภาวะความเป็นมนุษย์และสามัญสำนึกของมนุษย์ปกติ—จนถึงจุดที่พระองค์ทรงมีพร้อมอย่างเพียงพอที่จะเข้ารับพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง—ก่อนที่พระองค์จะทรงสามารถเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ทรงทัดเทียมกับกิจนั้น ก็คงจะจำเป็นที่พระองค์ต้องทรงเติบโตต่อไปและเป็นผู้ใหญ่ หากพระเยซูได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์เมื่อพระชันษาเจ็ดหรือแปดปี มนุษย์จะไม่ถือว่าพระองค์ทรงเป็นเด็กอัจฉริยะหรอกหรือ? ผู้คนทั้งหมดจะไม่คิดว่าพระองค์ทรงเป็นเด็กคนหนึ่งหรอกหรือ? ผู้ใดจะพบว่าพระองค์ทรงน่าเชื่อถือ? เด็กที่อายุเจ็ดหรือแปดปีไม่สูงไปกว่าแท่นปราศรัยที่ตั้งอยู่ข้างหน้าพระองค์—พระองค์จะทรงเหมาะกับการเทศนาหรือไม่? ก่อนที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์จะเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ไม่ทรงเหมาะสมกับกิจนี้ เมื่อคำนึงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ งานนั้นก็แค่ไม่สามารถบรรลุถึงได้ในสัดส่วนที่พอสมควรเลยทีเดียว พระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าในเนื้อหนังยังถูกควบคุมด้วยหลักธรรมของพระราชกิจนั้นเองด้วยเช่นกัน มีเพียงเมื่อพระองค์ทรงมีพร้อมด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้น พระองค์จึงทรงสามารถเข้ารับพระราชกิจและรับหน้าที่ของพระบิดาได้ เมื่อนั้นเท่านั้นพระองค์จึงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ได้ ในวัยเด็กของพระองค์ พระเยซูยังไม่ทรงสามารถจับใจความสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในยุคเก่าแก่ได้มากนัก และพระองค์ได้มาเข้าใจโดยผ่านทางการถามเหล่าครูในธรรมศาลาเท่านั้น หากพระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ทันทีที่พระองค์ทรงเรียนรู้การตรัส จะเป็นไปได้อย่างไรสำหรับพระองค์ที่จะไม่ทรงทำความผิดพลาด? จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าอาจจะสามารถทำการก้าวพลาด? ดังนั้น จึงมีเพียงหลังจากที่พระองค์สามารถที่จะทรงพระราชกิจได้เท่านั้นพระองค์จึงได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงดำเนินพระราชกิจจนกระทั่งพระองค์ทรงมีความสามารถอย่างเต็มที่ในการเข้ารับพระราชกิจนั้น เมื่อพระชันษา 29 ปี พระเยซูทรงเติบโตเต็มที่อย่างยิ่งแล้วและสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็เพียงพอที่จะเข้ารับพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำ เป็นตอนนั้นเท่านั้นเองที่พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นทรงพระราชกิจในตัวพระองค์อย่างเป็นทางการ ในเวลานั้น ยอห์นได้ตระเตรียมมาเป็นเวลาเจ็ดปีแล้วเพื่อที่จะเปิดหนทางให้แก่พระองค์ และในการสรุปปิดตัวงานของเขานั้น เขาถูกโยนเข้าคุก เมื่อนั้นภาระหนักจึงได้ตกอยู่กับพระเยซูอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หากพระองค์ได้ทรงเข้ารับพระราชกิจนี้เมื่อพระชันษา 21 หรือ 22 ปี ในเวลาที่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ยังคงขาดพร่องอยู่ เมื่อพระองค์เพิ่งได้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเท่านั้น และมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พระองค์ยังคงไม่เข้าพระทัย เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะไม่ทรงสามารถเข้าควบคุมได้ ในเวลานั้น ยอห์นได้ดำเนินงานของเขาไปแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่พระเยซูจะได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ก็ทรงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ในวัยนั้น สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ก็เพียงพอที่จะเข้ารับพระราชกิจที่พระองค์ควรทรงทำ บัดนี้ พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติด้วยเช่นกัน และถึงแม้ว่าจะทรงห่างไกลจากการเป็นผู้ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สูงวัยกว่าท่ามกลางพวกเจ้า แต่สภาวะความเป็นมนุษย์นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้ารับพระราชกิจของพระองค์ รูปการณ์แวดล้อมที่ห้อมล้อมพระราชกิจของวันนี้ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงกับรูปการณ์แวดล้อมในยุคของพระเยซู เหตุใดเล่าพระเยซูจึงได้ทรงเลือกอัครทูตสิบสองคน? ทั้งหมดนั้นเพื่อเป็นการเกื้อหนุนพระราชกิจของพระองค์และร่วมมือกับพระราชกิจนั้น ในด้านหนึ่ง มันเป็นการวางรากฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์ในเวลานั้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมันเป็นการวางรากฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์ในยุคที่จะตามมา ตามพระราชกิจในเวลานั้นแล้ว เป็นน้ำพระทัยของพระเยซูนั่นเองในการเลือกอัครทูตสิบสองคน เหมือนเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์ควรทรงเลือกอัครทูตสิบสองคนแล้วจึงทรงนำทางพวกเขาไปประกาศในทุกที่ แต่วันนี้ ไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับการนี้ท่ามกลางพวกเจ้า! เมื่อพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง มีหลักธรรมต่างๆ มากมาย และมีเรื่องต่างๆ มากมายที่มนุษย์แค่ไม่เข้าใจ มนุษย์ใช้มโนคติที่หลงผิดของเขาเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะประเมินวัดพระองค์ หรือเพื่อสร้างข้อเรียกร้องที่มากเกินไปจากพระเจ้า กระนั้นจนถึงวันนี้แล้ว ผู้คนจำนวนมากไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิง ว่าความรู้ของพวกเขาประกอบด้วยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นยุคใดหรือสถานที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์มนุษย์ หลักธรรมทั้งหลายสำหรับพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์แต่ทว่าเหนือกว่าเนื้อหนังในพระราชกิจของพระองค์ได้ นับประสาอะไรที่พระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แต่ทว่าไม่ทรงพระราชกิจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเนื้อหนังนี้ มิฉะนั้นแล้ว นัยสำคัญแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าก็คงจะสลายไปเป็นความสูญเปล่า และพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ก็คงจะกลายเป็นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงพระบิดาในสวรรค์ (พระวิญญาณ) เท่านั้นที่ทรงรู้เกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า และไม่มีผู้อื่นรู้ ไม่แม้แต่เนื้อหนังพระองค์เองหรือบรรดาทูตสื่อสารแห่งสวรรค์ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังก็ล้วนเป็นปกติมากยิ่งขึ้นและล้วนสามารถดียิ่งขึ้นในการแสดงให้เห็นว่า พระวจนะได้บังเกิดเป็นมนุษย์โดยแท้ และเนื้อหนังหมายถึงมนุษย์ปกติและธรรมดาคนหนึ่ง
บางคนอาจประหลาดใจว่า “เหตุใดยุคนั้นต้องได้รับการนำเข้ามาโดยพระเจ้าพระองค์เอง? สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้หรือ?” พวกเจ้าล้วนตระหนักรู้ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงออกถึงจุดประสงค์แห่งการนำยุคใหม่เข้ามา และแน่นอนว่า เมื่อพระองค์ทรงนำยุคใหม่เข้ามา พระองค์จะได้ทรงสรุปปิดตัวยุคก่อนหน้านั้นไปแล้วในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงเป็นองค์ปฐมและองค์อวสาน เป็นพระองค์ด้วยพระองค์เองนั่นเองที่ทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์เคลื่อนไหว และดังนั้นก็ต้องเป็นพระองค์ด้วยพระองค์เองที่ทรงสรุปปิดตัวยุคก่อนหน้านั้น นี่คือข้อพิสูจน์ของการที่พระองค์ทำให้ซาตานพ่ายแพ้และการที่พระองค์ทรงพิชิตโลก แต่ละครั้งที่พระองค์ทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง มันเป็นการเริ่มต้นการสู้รบครั้งใหม่ หากไม่มีการเริ่มต้นงานใหม่ ก็คงจะไม่มีการสรุปปิดตัวของงานเก่าเป็นธรรมดา และเมื่อไม่มีการสรุปปิดตัวงานเก่า นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าการสู้รบกับซาตานยังไม่มาถึงปลายทาง มีเพียงเมื่อพระเจ้าพระองค์เองเสด็จมาและทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น มนุษย์จึงสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของซาตานได้โดยสิ้นเชิง และได้รับชีวิตใหม่และการเริ่มต้นใหม่ มิฉะนั้นมนุษย์จะต้องดำรงชีวิตอยู่ในยุคเก่าไปตลอดกาลและดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลเก่าๆ ของซาตานไปตลอดกาล ด้วยทุกยุคที่พระเจ้าได้ทรงนำนั้น มนุษย์ส่วนหนึ่งได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ และด้วยเหตุนั้นมนุษย์จึงรุดหน้าไปพร้อมกับพระราชกิจของพระเจ้าไปสู่ยุคใหม่ ชัยชนะของพระเจ้าหมายถึงชัยชนะสำหรับคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระองค์ หากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ทรงสร้างได้รับหน้าที่ให้ทำการสรุปปิดตัวยุค เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองของมนุษย์หรือของซาตาน การนี้คงจะไม่เป็นมากไปกว่าการกระทำของการต่อต้านหรือทรยศพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า และงานของมนุษย์ก็คงจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับซาตาน มีเพียงเมื่อมนุษย์เชื่อฟังและติดตามพระเจ้าในยุคที่พระเจ้าพระองค์เองทรงนำเข้ามาเท่านั้นซาตานจึงจะถูกโน้มน้าวอย่างเต็มที่ เพราะนั่นคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้น เรากล่าวว่าพวกเจ้าจำเป็นแต่เพียงต้องติดตามและเชื่อฟังเท่านั้น และไม่มีการพึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเจ้าอีก นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการที่แต่ละคนรักษาหน้าที่ของเขาและแต่ละคนปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะของเขา พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เอง และไม่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ที่ต้องทำการนั้นแทนพระองค์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีส่วนร่วมในงานของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ของเขาเองและไม่มีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการเชื่อฟัง และการพิสูจน์ถึงความพ่ายแพ้ของซาตาน หลังจากที่พระเจ้าพระองค์เองได้ทรงเสร็จสิ้นการนำยุคใหม่เข้ามา พระองค์ก็ไม่เสด็จลงมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ด้วยพระองค์เองอีกต่อไป เป็นเพียงเมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเขาและดำเนินภารกิจของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เหล่านี้คือหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ ซึ่งไม่มีผู้ใดอาจฝ่าฝืนได้ มีเพียงการทรงพระราชกิจในหนทางนี้เท่านั้นที่สมเหตุสมผลและมีเหตุผล พระราชกิจของพระเจ้าจะถูกทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้ทำให้พระราชกิจของพระองค์เคลื่อนที่ และพระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้สรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ พระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้วางแผนพระราชกิจนั้น และพระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้บริหารจัดการพระราชกิจ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้นำพาพระราชกิจไปสู่การผลิดอกออกผล ดังที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราเป็นปฐมกาลและอวสาน เราคือผู้หว่านและผู้เก็บเกี่ยว” ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์นั้นกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองแผนการบริหารจัดการหกพันปี ไม่มีผู้ใดสามารถทำพระราชกิจของพระองค์แทนพระองค์ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถนำพาพระราชกิจของพระองค์มาสู่การปิดตัวได้ เพราะพระองค์นั่นเองทรงเป็นผู้ถือครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อได้ทรงสร้างโลกแล้ว พระองค์จะทรงนำทางทั้งโลกให้ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์ และพระองค์จะทรงสรุปปิดตัวทั้งยุคด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการนำพาแผนการทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ไปสู่การผลิดอกออกผล!