ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (2)
ณ เวลานั้น ที่พระเยซูได้ทรงพระราชกิจอยู่ในยูเดีย พระองค์ได้ทรงทำอย่างเปิดเผยยิ่งนัก แต่ ณ ตอนนี้ เราทำงานและพูดอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างลับๆ ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายหาได้ตระหนักรู้ไม่โดยสิ้นเชิง งานของเราท่ามกลางพวกเจ้านั้นถูกปิดกั้นสำหรับพวกคนที่อยู่ภายนอก วจนะเหล่านี้ การตีสอนและการพิพากษาเหล่านี้เป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่พวกเจ้า และไม่มีใครอื่นอีกเลย พระราชกิจทั้งหมดนี้ถูกดำเนินไปในท่ามกลางพวกเจ้าและได้รับการเปิดผ้าคลุมออกต่อพวกเจ้าเท่านั้น ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อนั้นไม่มีใครเลยที่รู้เรื่องนี้ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา ผู้คนเหล่านี้ในที่นี้ใกล้จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้วหลังจากที่ได้สู้ทนการตีสอนมา แต่พวกที่อยู่ภายนอกนั้นไม่รู้อะไรในการนี้เลย การนี้ซ่อนเร้นเกินไป! สำหรับพวกเขาแล้ว การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นถูกซ่อนเร้นเอาไว้ แต่สำหรับบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสนี้ คนเราสามารถพูดได้เลยว่า พระองค์ทรงเปิดกว้าง แม้ว่า ในพระเจ้านั้น ทั้งหมดล้วนเปิดกว้าง ทั้งหมดล้วนได้รับการเปิดเผย และทั้งหมดล้วนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นี่ก็เป็นจริงเฉพาะกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์เท่านั้น เท่าที่พิจารณาถึงพวกที่เหลือ พวกผู้ไม่เชื่อ ไม่มีอะไรเลยที่ถูกทำให้รู้ พระราชกิจที่กำลังถูกดำเนินอยู่ ณ เวลานี้ท่ามกลางพวกเจ้าและในประเทศจีนนั้นถูกปิดบังอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ หากพวกเขากลายเป็นไหวตัวรับรู้เกี่ยวกับพระราชกิจนี้ขึ้นมาแล้วไซร้ ทั้งหมดที่พวกเขาคงจะทำก็คือ กล่าวโทษมันและเป็นเหตุให้มันถูกข่มเหง พวกเขาคงจะไม่เชื่อในพระราชกิจนี้ การทรงพระราชกิจในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง สถานที่ซึ่งล้าหลังที่สุดแห่งนี้ในบรรดาสถานที่ทั้งหลาย หาใช่ภารกิจอันง่ายดายไม่ หากพระราชกิจนี้จะต้องถูกทำไปอย่างเปิดเผย มันคงจะไม่มีทางดำเนินต่อไปได้ ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจย่อมเป็นอันไม่สามารถถูกดำเนินไปในสถานที่แห่งนี้ได้เท่านั้นเอง หากพระราชกิจนี้จะต้องถูกดำเนินไปอย่างเปิดเผย พวกเขาจะยอมปล่อยให้มันเดินหน้าไปได้อย่างไร? นี่จะไม่ทำให้พระราชกิจนี้ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ถึงขั้นใหญ่กว่านี้ขึ้นไปอีกหรือ? หากพระราชกิจนี้ไม่ได้ถูกปกปิด แต่กลับถูกดำเนินไปอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับในกาลสมัยของพระเยซูตอนที่พระองค์ได้ทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจออกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เช่นนั้นแล้วมันจะไม่ “ถูกจับ” โดยพวกมารไปนานแล้วหรอกหรือ? พวกเขาจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? หากบัดนี้ เราต้องเข้าสู่ธรรมศาลาเพื่อประกาศและอบรมสั่งสอนมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเราจะไม่ถูกฟาดฟันออกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้วหรอกหรือ? และหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง งานของเราจะสามารถถูกดำเนินการต่อไปจนเสร็จสิ้นได้อย่างไร? เหตุผลที่ไม่มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดเลยถูกสำแดงออกมาอย่างเปิดเผยนั้น ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปกปิด ดังนั้น ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายจึงไม่สามารถมองเห็น รู้ หรือค้นพบงานของเราได้ หากช่วงระยะนี้ของพระราชกิจต้องถูกทำในลักษณะเดียวกับพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ มันก็คงมิอาจมั่นคงได้มากเท่าที่มันกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ดังนั้นการทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ในหนทางนี้จึงมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าและต่อพระราชกิจโดยรวม เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกมาถึงบทอวสาน นั่นก็คือ เมื่อพระราชกิจลับนี้สรุปตัวลง ถึงตอนนั้น ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจก็จะเผยตัวออกมาอย่างครึกโครมโดยพลัน ทุกคนจะรู้ว่า มีผู้ชนะกลุ่มหนึ่งอยู่ในประเทศจีน ทุกคนจะรู้ว่า พระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นอยู่ในประเทศจีน และรู้ว่าพระราชกิจของพระองค์ได้มาถึงบทอวสานแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะเริ่มตระหนักว่า เหตุใดประเทศจีนจึงยังไม่แสดงความเสื่อมถอยให้เห็นหรือล่มสลายไป? กลายเป็นว่าพระเจ้ากำลังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในประเทศจีนด้วยพระองค์เองและได้ทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งมีความเพียบพร้อมจนกลายเป็นผู้ชนะไปแล้วนี่เอง
พระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ทรงสำแดงพระองค์เองต่อผู้คนส่วนหนึ่งซึ่งติดตามพระองค์ในช่วงเวลานี้ที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น และไม่ได้ทรงสำแดงต่อสิ่งทรงสร้างทั้งหมด พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ และหาใช่เพื่อประโยชน์แห่งการแสดงให้เห็นพระฉายาของพระองค์ต่อมนุษย์ไม่ อย่างไรก็ตาม พระราชกิจของพระองค์จำต้องถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นด้วยพระองค์เอง เมื่อเป็นดังนั้น พระองค์จึงจำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้นในเนื้อหนัง ครั้นพระราชกิจนี้สรุปปิดตัวลง พระองค์จะทรงไปจากโลกมนุษย์ พระองค์ไม่สามารถคงอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ได้เป็นเวลานาน เนื่องจากทรงเกรงว่าจะเป็นการขวางทางพระราชกิจที่กำลังจะมา สิ่งที่พระองค์ทรงสำแดงต่อมวลชนนั้นเป็นเพียงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์และกิจการทั้งหมดของพระองค์เท่านั้น และหาใช่พระฉายาของตอนที่พระองค์ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์สองคราวไม่ เนื่องจากพระฉายาของพระเจ้าสามารถแสดงโดยผ่านทางพระอุปนิสัยของพระองค์ได้เท่านั้น และไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยพระฉายาของมนุษย์ที่พระองค์ทรงจุติมาเป็นได้ พระฉายาในเนื้อหนังของพระองค์ถูกแสดงต่อผู้คนจำนวนจำกัดเท่านั้น เฉพาะต่อบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระราชกิจซึ่งกำลังถูกดำเนินการให้เสร็จสิ้นอยู่ในขณะนี้จึงถูกทำอย่างลับๆ ยิ่งนัก ในทำนองเดียวกัน พระเยซูได้ทรงแสดงพระองค์เองต่อพวกยิวเท่านั้นเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ และไม่เคยทรงแสดงพระองค์เองต่อชนชาติอื่นใดอย่างเปิดเผยเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ทันทีที่พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงไปจากโลกมนุษย์โดยพลันและมิได้ทรงพำนักอยู่ นั่นคือ ต่อมาภายหลัง พระฉายาของมนุษย์นี้ ที่ได้ทรงแสดงพระองค์เองต่อมนุษย์นั้น หาใช่พระองค์ไม่ แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งได้ทรงดำเนินพระราชกิจโดยตรง ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้แล้วเสร็จอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พระองค์จะทรงไปจากโลกมนุษย์ และจะไม่มีวันทรงพระราชกิจใดที่คล้ายคลึงกับที่พระองค์ได้ทรงทำไปเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนังอีก หลังจากนี้ พระราชกิจทั้งหมดได้ถูกปฏิบัติโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ในระหว่างช่วงเวลานี้ ยากที่มนุษย์จะมีความสามารถมองเห็นพระฉายาของพระกายที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์ กล่าวคือ พระองค์มิได้ทรงแสดงพระองค์เองต่อมนุษย์เลย แต่ยังคงทรงซ่อนเร้นตลอดกาล เวลาสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีจำกัด พระราชกิจนี้ถูกดำเนินไปในยุค ในช่วงเวลา ในชนชาติที่เฉพาะเจาะจง และท่ามกลางผู้คนที่เฉพาะเจาะจง พระราชกิจนี้เป็นเพียงตัวแทนของพระราชกิจในระหว่างช่วงเวลาแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเท่านั้น ทั้งนี้ นั่นเป็นตัวแทนยุคหนึ่ง และนั่นเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าในยุคเฉพาะยุคหนึ่ง และไม่ใช่ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น พระฉายาของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์จะไม่ถูกแสดงต่อผู้คนทั้งหมด สิ่งที่ถูกแสดงต่อมวลชนคือความชอบธรรมของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ในความครบถ้วนบริบูรณ์มากกว่าที่จะเป็นพระฉายาของพระองค์ตอนที่พระองค์ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์สองคราว มันไม่ใช่สักพระฉายาเดียวที่ถูกแสดงต่อมนุษย์ ทั้งยังไม่ใช่พระฉายาทั้งสองที่ผนึกผสานกัน ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เนื้อหนังซึ่งทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าควรไปจากแผ่นดินโลกทันทีที่พระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงจำเป็นต้องทำนั้นเสร็จบริบูรณ์ เนื่องจากพระองค์ทรงมาเพื่อทรงพระราชกิจที่พระองค์ทรงพึงกระทำเท่านั้น และหาใช่เพื่อทรงแสดงพระฉายาของพระองค์ต่อผู้คนไม่ แม้ว่านัยสำคัญแห่งการจุติเป็นมนุษย์ได้ลุล่วงไปแล้วโดยพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองคราว แต่พระองค์ก็ยังคงจะไม่ทรงสำแดงพระองค์เองอย่างเปิดเผยต่อชนชาติใดที่ไม่เคยได้เห็นพระองค์มาก่อน พระเยซูจะไม่มีวันทรงแสดงพระองค์เองต่อพวกยิวในฐานะองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมอีกแล้ว ทั้งยังจะไม่ทรงยืนบนยอดภูเขามะกอกเทศและทรงปรากฏต่อผู้คนทั้งหมด กล่าวคือ ทั้งหมดที่พวกยิวได้เห็นกันไปนั้นเป็นรูปภาพของพระเยซูในช่วงระหว่างกาลสมัยของพระองค์ในยูเดีย นี่เป็นเพราะพระราชกิจของพระเยซูในการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นได้จบลงไปเมื่อสองพันปีที่แล้ว พระองค์จะไม่ทรงกลับไปที่ยูเดียในรูปลักษณ์ของคนยิว นับประสาอะไรที่จะทรงแสดงพระองค์เองในรูปลักษณ์ของคนยิวต่อชนต่างชาติใดๆ เพราะพระฉายาของพระเยซูที่ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังนั้นเป็นแค่รูปลักษณ์ของคนยิว และไม่ใช่พระฉายาของบุตรมนุษย์ที่ยอห์นได้เห็น แม้ว่าพระเยซูได้ทรงสัญญาต่อเหล่าผู้ติดตามของพระองค์ว่าพระองค์จะเสด็จมาอีก แต่พระองค์จะไม่ทรงแสดงพระองค์เองในรูปลักษณ์ของคนยิวอย่างเรียบง่ายต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในชนต่างชาติทั้งหมด พวกเจ้าจึงพึงรู้เถิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อเปิดยุคหนึ่งขึ้นมา พระราชกิจนี้จำกัดอยู่ภายในเวลาไม่กี่ปี และพระองค์ไม่สามารถที่จะทำให้พระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณของพระเจ้าเสร็จสิ้นได้ เหมือนดั่งที่พระฉายาของพระเยซูที่เป็นคนยิวจะสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงพระฉายาของพระเจ้าในขณะที่พระองค์ได้ทรงงานอยู่ในยูเดียเท่านั้น และพระองค์ได้สามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเท่านั้น ในระหว่างช่วงเวลาที่พระเยซูได้ทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ไม่ได้สามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งการนำพายุคไปสู่บทอวสานหรือสู่การทำลายล้างมวลมนุษย์ ดังนั้น หลังจากที่พระองค์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนและได้ทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่ความสูงอันสูงที่สุด และทรงปกปิดพระองค์เองจากมนุษย์ตลอดกาล จากนั้นมา บรรดาผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อจากชนต่างชาติทั้งหลายจึงไร้ความสามารถที่จะมองเห็นการสำแดงขององค์พระเยซูเจ้าได้ มีก็แต่เพียงรูปภาพของพระองค์ที่พวกเขาได้ป้ายไว้บนผนังเท่านั้น รูปภาพนี้เป็นแค่รูปภาพที่มนุษย์วาดขึ้นเท่านั้น และหาใช่พระฉายาของพระเจ้าขณะที่พระองค์ทรงแสดงพระองค์เองต่อมนุษย์ไม่ พระเจ้าจะไม่ทรงแสดงพระองค์เองอย่างเปิดเผยต่อมวลชนในพระฉายาของตอนที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองคราว พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำท่ามกลางมวลมนุษย์นั้นก็คือการอนุญาตให้พวกเขาได้เข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ ทั้งหมดนี้ถูกแสดงออกต่อมนุษย์โดยวิถีทางของพระราชกิจของยุคต่างๆ ที่แตกต่างกัน กล่าวคือมันถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยผ่านทางพระอุปนิสัยที่พระองค์ได้ทรงทำให้เป็นที่รู้กันไปแล้ว และโดยผ่านทางพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติไปแล้ว มากกว่าจะโดยผ่านทางการสำแดงของพระเยซู นี่กล่าวได้ว่า พระฉายาของพระเจ้าไม่ได้ถูกทำให้เป็นที่รู้จักต่อมนุษย์โดยผ่านทางพระฉายาที่ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่กลับโดยผ่านทางพระราชกิจที่ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งมีทั้งพระฉายาและพระรูปสัณฐาน และพระฉายาของพระองค์จึงได้ถูกแสดงและพระอุปนิสัยของพระองค์จึงได้ถูกทำให้เป็นที่รู้กันโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์นี่เอง นี่คือนัยสำคัญของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำในเนื้อหนัง
ทันทีที่พระราชกิจของการจุติเป็นมนุษย์สองคราวของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน พระองค์จะทรงเริ่มแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไปทั่วประชาชาติทั้งหลายที่เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นการอนุญาตให้มวลชนได้เห็นพระฉายาของพระองค์ พระองค์จะทรงสำแดงพระอุปนิสัยของพระองค์ และทรงทำให้บทอวสานของมนุษย์ในหมวดหมู่ที่ต่างกันมีความชัดเจนโดยวิถีทางนี้ ด้วยประการฉะนี้จึงเป็นการนำพายุคเดิมไปสู่บทอวสานโดยบริบูรณ์ เหตุผลที่ทำไมพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังจึงไม่ยืดขยายไปทั่วพื้นที่อันไพศาล (เช่นเดียวกับที่พระเยซูได้ทรงพระราชกิจในยูเดียเท่านั้น และวันนี้ เราทำงานท่ามกลางพวกเจ้าเท่านั้น) ก็เพราะพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังมีอาณาเขตและมีขีดจำกัด พระองค์แค่กำลังทรงดำเนินช่วงเวลาสั้นๆ แห่งพระราชกิจในรูปลักษณ์ของมนุษย์ปกติและธรรมดาสามัญคนหนึ่งเท่านั้น พระองค์หาได้กำลังใช้เนื้อหนังที่ทรงจุติเป็นมนุษย์นี้เพื่อทรงพระราชกิจแห่งกัลปาวสานหรือพระราชกิจแห่งการทรงปรากฏต่อประชาชนของประชาชาติทั้งหลายที่เป็นผู้ไม่เชื่อไม่ พระราชกิจในเนื้อหนังนั้นสามารถเพียงถูกจำกัดอยู่ในวงเขตเท่านั้น (ดังเช่น การทรงพระราชกิจแค่ในยูเดียเท่านั้น หรือเพียงท่ามกลางพวกเจ้าเท่านั้น) และต่อจากนั้น โดยวิถีทางของพระราชกิจที่ดำเนินเสร็จสิ้นไปภายในอาณาเขตเหล่านี้ วงเขตของมันจึงสามารถแผ่ขยายได้ แน่นอนว่า พระราชกิจแห่งการแผ่ขยายนั้นจะถูกดำเนินการโดยตรงโดยพระวิญญาณของพระองค์ แล้วก็จะไม่ได้เป็นพระราชกิจของเนื้อหนังที่ทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์อีกต่อไป เพราะพระราชกิจในเนื้อหนังมีอาณาเขตและไม่ได้ยืดขยายออกไปยังทุกมุมของจักรวาล—มันไม่สามารถสำเร็จลุล่วงการนี้ได้ โดยผ่านทางพระราชกิจในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจซึ่งกำลังจะตามมาให้เสร็จสิ้น ดังนั้นพระราชกิจที่ทำในเนื้อหนังนั้นเป็นลักษณะของการเปิดตัวซึ่งถูกดำเนินจนเสร็จสิ้นภายในอาณาเขตหนึ่งโดยเฉพาะ กล่าวคือ หลังจากนี้ พระวิญญาณของพระองค์นี่เองที่ทรงดำเนินพระราชกิจนี้ต่อ และพระองค์ทรงทำยิ่งไปกว่านั้นมากเหลือเกินในวงเขตที่ถูกขยายออกไป
พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกก็เพื่อที่จะทรงนำยุคนี้เท่านั้น พระองค์ทรงหมายที่จะเริ่มยุคใหม่ และนำพายุคเก่าไปสู่บทอวสาน พระองค์มิได้ทรงมาเพื่อทรงดำเนินชีวิตไปตามครรลองของชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลก มิได้ทรงมาเพื่อผ่านประสบการณ์ความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าของชีวิตแห่งโลกมนุษย์เพื่อตัวพระองค์เอง หรือเพื่อทรงทำให้บุคคลเฉพาะหนึ่งคนมีความเพียบพร้อมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง หรือเพื่อทรงเฝ้ามองดูบุคคลเฉพาะหนึ่งคนด้วยพระองค์เองในขณะที่เขาเติบโต นี่ไม่ใช่พระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นเพียงเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ยุคหนึ่งและนำพายุคเก่าไปสู่บทอวสาน นั่นก็คือ พระองค์จะทรงเริ่มต้นยุคใหม่ในสภาวะบุคคล จะทรงนำพาอีกยุคไปสู่บทอวสานในสภาวะบุคคล และจะทำให้ซาตานพ่ายแพ้โดยการดำเนินพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสิ้นในสภาวะบุคคล แต่ละคราวที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ในสภาวะบุคคล มันเป็นราวกับว่าพระองค์กำลังทรงวางหนึ่งพระบาทลงบนสนามรบ ก่อนอื่น ก่อนอื่นพระองค์ทรงกำราบโลกนี้ลงและมีชัยเหนือซาตานในขณะที่ทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ทรงครองพระสิริทั้งมวลและทรงเปิดฉากความครบถ้วนบริบูรณ์พระราชกิจของช่วงสองพันปีนั้น อันเป็นการทำเพื่อให้ผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลกมีเส้นทางที่ถูกต้องที่จะเหยียบย่ำไปและมีชีวิตแห่งสันติสุขและความชื่นบานยินดีต่อการมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้นานนัก เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และจะว่าไปแล้วก็ไม่ทรงเหมือนกับมนุษย์เลย พระองค์ไม่ทรงสามารถใช้ชีวิตตลอดชั่วชีวิตของบุคคลธรรมดาสามัญ นั่นก็คือ พระองค์ไม่ทรงสามารถพักอาศัยบนแผ่นดินโลกในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรพิเศษเลย เนื่องเพราะพระองค์ทรงมีเพียงส่วนน้อยที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ตามปกติของบุคคลปกติคนหนึ่งเท่านั้นในการที่จะยังชีพชีวิตมนุษย์ของพระองค์ กล่าวได้อีกอย่างว่า พระเจ้าจะทรงสร้างครอบครัว มีอาชีพการงาน และฟูมฟักบุตรหลานบนแผ่นดินโลกได้อย่างไรกัน? นี่จะมิใช่ความเสื่อมเสียต่อพระองค์หรอกหรือ? การที่พระองค์ทรงได้รับการทำให้มีคุณสมบัติของสภาวะมนุษย์ตามปกตินั้นก็เพียงเพื่อจุดประสงค์แห่งการดำเนินพระราชกิจในลักษณะที่ปกติธรรมดาเท่านั้น หาใช่เพื่อทำให้พระองค์มีความทรงสามารถที่จะมีครอบครัวและอาชีพการงานเฉกเช่นที่มนุษย์ปกติคนหนึ่งจะพึงทำได้ไม่ สำนึกรับรู้อันปกติของพระองค์ ความนึกคิดจิตใจที่เป็นปกติ และการรับประทานอาหารกับการนุ่งห่มตามปกติของเนื้อหนังของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะพิสูจน์ว่า พระองค์มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่พระองค์จะต้องมีครอบครัวหรือมีหน้าที่การงานเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงได้รับการประดับประดาด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ นี่คงจะไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง! การเสด็จมายังแผ่นดินโลกของพระเจ้าก็คือการที่พระวจนะทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์เพียงทรงอนุญาตให้มนุษย์ได้เข้าใจพระวจนะของพระองค์และมองเห็นพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเอง นั่นก็คือ เป็นการอนุญาตให้มนุษย์มองเห็นพระราชกิจของพระองค์ที่ถูกดำเนินเสร็จสิ้นไปโดยเนื้อหนัง เจตนารมณ์ของพระองค์นั้นหาใช่เพื่อให้ผู้คนปฏิบัติต่อเนื้อหนังของพระองค์ในแบบเฉพาะไม่ แต่เพียงเพื่อให้มนุษย์มีความเชื่อฟังจนถึงจุดสุดท้าย นั่นก็คือ เชื่อฟังทุกพระวจนะที่ทรงปล่อยออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และนบนอบต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงปฏิบัติ พระองค์ก็แค่กำลังทรงพระราชกิจอยู่ในเนื้อหนังเท่านั้นเอง พระองค์หาได้กำลังเจตนาร้องขอให้มนุษย์ยกย่องความยิ่งใหญ่หรือความบริสุทธิ์แห่งเนื้อหนังของพระองค์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับกำลังทรงแสดงให้มนุษย์เห็นถึงปัญญาแห่งพระราชกิจของพระองค์และสิทธิอำนาจทั้งหมดที่ทรงแกว่งไกว ดังนั้น แม้ว่าพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่โดดเด่น พระองค์กลับมิได้ทรงประกาศแสดงออกมาเลย และเพียงทรงมุ่งเน้นอยู่กับพระราชกิจที่พระองค์ทรงพึงกระทำเท่านั้น พวกเจ้าควรรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วและยังไม่ได้ทรงประกาศต่อสาธารณะหรือให้คำพยานต่อสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเพียงแค่ดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำจนเสร็จสิ้นไปอย่างเรียบง่ายเท่านั้นเอง ดังนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้จากพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในเชิงเทวสภาพ กล่าวคือ นี่เป็นเพราะพระองค์ไม่เคยทรงกล่าวประกาศว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในสภาวะมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อให้มนุษย์ทำตามอย่าง มีเพียงเมื่อมนุษย์นำทางผู้คนเท่านั้นพระองค์จึงตรัสถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในสภาวะมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสและความเชื่อมั่นจากพวกเขา และด้วยการนั้นจึงได้บรรลุสภาวะความเป็นผู้นำของผู้อื่น ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงพิชิตมนุษย์โดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์โดยลำพัง (นั่นก็คือ พระราชกิจที่มนุษย์ไม่อาจบรรลุได้) ทั้งนี้ ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงได้รับความเลื่อมใสจากมนุษย์หรือทรงทำให้มนุษย์ชื่นชมบูชาพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำก็คือทรงค่อยๆ ปลูกฝังความรู้สึกยำเกรงต่อพระองค์หรือสำนึกรับรู้แห่งความยากหยั่งถึงได้ของพระองค์เข้าไปในมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้มนุษย์ประทับใจ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องมีก็คือเจ้าต้องยำเกรงพระองค์ทันทีที่ได้เป็นพยานต่อพระอุปนิสัยของพระองค์ไปแล้ว พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเป็นของพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ อีกทั้งมนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้ เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์เอง และนำมาซึ่งยุคใหม่ที่จะนำทางมนุษย์ไปสู่ชีวิตใหม่ๆ ได้ พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นก็เพื่อทำให้มนุษย์สามารถมาเข้าสู่การครองชีวิตใหม่และเข้าสู่ยุคใหม่ พระราชกิจส่วนที่เหลือถูกส่งมอบให้กับบรรดาผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ผู้ซึ่งได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น ดังนั้น ในยุคพระคุณ พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจสองพันปีภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งของเวลาสามสิบสามปีของพระองค์ในเนื้อหนัง เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ให้เสร็จสิ้น พระองค์ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของสองพันปี หรือของทั้งยุคภายในช่วงชีวิตที่สั้นที่สุดเป็นเวลาไม่กี่ปีเสมอ พระองค์ไม่ทรงชักช้า และพระองค์ไม่ทรงทำให้ล่าช้า พระองค์ทรงแค่บีบอัดพระราชกิจของหลายปีเพื่อที่จะให้มันเสร็จลงภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง นี่เป็นเพราะว่า พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ในสภาวะบุคคลนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการเปิดตัวทางออกใหม่และนำทางไปสู่ยุคใหม่ทั้งหมดทั้งสิ้น