48. ปฏิบัติความจริงเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์

โดย เหมียวเสี่ยว ประเทศจีน

ฉันเคยคิดว่า ด้วยการทำหน้าที่ของฉัน เข้ากันได้กับพี่น้องชายหญิง และไม่กระทำบาปที่เด่นชัด ฉันได้กำลังใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อยู่  แต่ฉันก็ถูกพระวจนะของพระเจ้าพิพากษาและเปิดโปงครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดฉันก็ได้เห็น ว่าการมีสภาพเสมือนมนุษย์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องพฤติกรรมภายนอก  กุญแจก็คือการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า ปล่อยวางผลประโยชน์ของตัวเราเอง และยึดมั่นในหลักปฏิบัติเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น ค้ำจุนพระราชกิจของพระเจ้า และใส่ใจน้ำพระทัยของพระองค์

ในเดือนกรกฎาคมปี 2018 พี่สาวคนหนึ่งในคริสตจักรของเราถูกจับกุมในขณะที่กำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  เธอเคยมาที่บ้านของฉัน ดังนั้นหากตำรวจเคยสะกดรอยตามเธอก็จะรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน  พวกเรารีบย้ายไปอยู่ที่อื่นทันที  หลังย้ายเสร็จไม่นาน ผู้ดูแลคนหนึ่งมาพูดกับฉันว่า “พี่น้องชายหญิงสามคนถูกติดตามและจับกุม  ทุกคนตามสถานที่ที่พวกเขาไปร่วมชุมนุมได้ย้ายไปแล้ว  คุณควรจะระวังตัวนะ”  ฉันประเมินว่า “ในเมื่อตำรวจได้จับกุมพี่น้องชายหญิงบางคนไปแล้ว พวกเขาต้องสะกดรอยตามพี่น้องชายหญิงเหล่านี้มาพักใหญ่แล้วแน่ๆ  พรรคคอมมิวนิสต์เกลียดชังพระเจ้าและความจริง  พวกนั้นรอคอยเวลาเพื่อค้นหาเบาะแสและจับปลาตัวใหญ่ เพื่อทำลายคริสตจักรของพระเจ้าให้สิ้นซากและจับกุมบรรดาผู้เชื่อ  สถานที่ชุมนุมทั้งหมดของพวกเราอาจจะถูกจับตาดูอยู่ และทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่เหล่านั้นควรย้ายออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”  แต่ผู้ดูแลคนนั้นเพียงแค่แจ้งเตือนสถานที่ต่างๆ ที่พี่น้องชายหญิงที่ถูกจับเคยไปเท่านั้น แต่ไม่ได้แจ้งเตือนที่อื่นๆ เลย  ฉันฉงนใจว่าควรพูดอะไรสักอย่างกับเธอไหม  ถ้าฉันไม่พูดแล้วเกิดอะไรขึ้น ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่อาจจะถูกจับกุมและทรมาน?  นี่จะส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร แต่ถ้าฉันพูดออกไปแล้วเธอไม่ฟัง หรือพูดว่าฉันขี้กลัวเกินไป ภาพดีๆ ที่เธอมองฉันจะไม่ถูกทำลายหรอกหรือ?  ตอนที่ฉันกำลังกังวลถึงเรื่องนี้นั่นเองที่ฉันนึกถึงพระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ “จงทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ทำสิ่งใดที่ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า  จงปกป้องพระนามของพระเจ้า คำพยานของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง)  พระวจนะนี้เตือนฉัน ว่าในฐานะผู้เชื่อ ฉันควรจะค้ำจุนพระราชกิจของพระเจ้า และผลประโยชน์ของคริสตจักร  และดังนั้น ฉันจึงบอกความคิดและความเห็นของฉันให้เธอฟัง  ฉันยังพูดไม่ทันจบเธอก็พูดด้วยสีหน้าเอือมๆ ว่า “ย้ายหรือ?  ถ้าเราวิ่งหนีเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มันจะเป็นความเชื่อในกฎเกณฑ์ของพระเจ้าหรือ?  ฉันเคยคิดว่าคุณมีวุฒิภาวะและสามารถเป็นผู้นำทีมได้ แต่ปรากฏว่าพอมีอะไรเกิดขึ้นคุณก็ถอยกรูดทันที”  พอได้ยินแบบนี้ฉันก็ว้าวุ่นใจมาก  คนอื่นจะคิดอย่างไรหลังจากเธอจัดการฉันแบบนั้น?  หลังจากนั้นฉันจะสู้หน้าเธอได้อย่างไร?  แต่แล้วฉันก็คิดถึงการค้ำจุนงานของคริสตจักรและการปกป้องความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง ฉันจึงอยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง  แต่การเห็นว่าเธอแน่วแน่แค่ไหนก็ทำให้ฉันวิตก  ถ้าฉันยังพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกหลังจากถูกจัดการแล้ว เธอคงจะพูดว่าฉันขาดความเป็นจริงของความจริง และว่าฉันโอหังและดื้อรั้น  เธอจะยังเห็นฉันเป็นผู้แสวงหาความจริงไหม?  เธอให้เกียรติฉันมาตลอด ให้ฉันร่วมทำหน้าที่สำคัญและปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ กับฉัน  ถ้าฉันยืนกรานความเห็นของตัวเอง เธอก็อาจจะหยุดฝึกฝนฉัน แล้วคนอื่นก็จะดูหมิ่นดูแคลนฉัน  ฉันเลยตัดสินใจปล่อยมันไป  ฉันก้มหน้าเงียบ

หลังจากเธอไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ก็เลยกล่าวอธิษฐานเงียบๆ  แล้วพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ก็ผุดขึ้นในใจ “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล  บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ?  พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี  พวกเรามาวิเคราะห์การนี้กันอย่างใกล้ชิดเถิด  บุคคลผู้นี้สำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างไรจนถึงขนาดที่ผู้คนพูดว่าเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์?  ผู้คนเช่นนี้ครองคุณลักษณะเฉพาะใด?  พวกเขานำเสนอการสำแดงเฉพาะอันใด?  ผู้คนเช่นนั้นทำอย่างพอเป็นพิธีในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย…มีแม้กระทั่งผู้คนที่เมื่อได้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็กลับยังคงนิ่งเงียบ  พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการรบกวน กระนั้นก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น  พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบของพวกเขาเองเลย  พวกเขาพูด ปฏิบัติตัว โดดเด่น ทุ่มความพยายามออกไป และสละพลังงานเพียงเพื่อสิ่งไร้ค่า ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ผลประโยชน์ และเกียรติของพวกเขาเองเท่านั้น(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะที่ฉันเป็นอยู่เลยทีเดียว  ฉันรู้ว่าสถานที่เหล่านั้นอาจจะอยู่ในอันตราย และคนที่นั่นก็อาจจะถูกจับถ้าไม่ย้ายออกไป  แต่ฉันกลัวว่าผู้ดูแลจะพูดว่าฉันขี้ขลาดและขาดความเชื่อ และเธอจะไม่นิยมยกย่องฉันเหมือนเดิม ฉันไม่กล้ายึดมั่นในหลักปฏิบัติและค้ำจุนงานของคริสตจักร  ฉันรู้ความจริงแต่ไม่ได้ปฏิบัติ  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า “โอ้พระเจ้า! ความเป็นจริงได้แสดงให้เห็นว่าข้าพระองค์ไม่ปฏิบัติความจริงในความเชื่อ  ข้าพระองค์ไม่ค้ำจุนพระราชกิจของพระเจ้า  ข้าพระองค์คิดถึงเพียงชื่อเสียง สถานะ และผลประโยชน์ของตัวเอง  ข้าพระองค์ช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนัก!  พระเจ้าได้โปรดนำข้าพระองค์ด้วย  ข้าพระองค์ต้องการกลับใจอย่างแท้จริง”  แล้วฉันก็จำได้ว่า การจัดการเตรียมการงานกำหนดเงื่อนไข ว่าเราต้องใส่ใจความปลอดภัยในหน้าที่ของเราเสมอ  ด้วยสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย พี่น้องชายหญิงก็สามารถทำหน้าที่อย่างใจเย็นได้ และงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ถูกทำให้หยุดชะงักได้ง่ายๆ  หลังจากนั้น ฉันก็แบ่งปันความคิดของฉันกับบางคนในทีม และพวกเขาก็เห็นด้วยกับฉันว่าสถานที่อื่นๆ อยู่ในอันตรายและควรย้ายที่  ฉันจึงตัดสินใจว่าพอเจอผู้ดูแล ฉันจะพูดเรื่องนี้กับเธออีกครั้ง  ฉันยังอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอความกล้าหาญที่จะปฏิบัติความจริงจากพระองค์อีกด้วย

สองสามวันต่อมา น้องสาวจางผู้ดูแลอีกคนก็มาเยี่ยมทีมของเรา  เธอถามเราว่าเคยได้ยินเรื่องการจับกุมหรือเปล่า และถามว่าเราคิดอย่างไร  ฉันรีบตอบว่า “ฉันคิดว่าสถานที่ชุมนุมอื่นๆ อาจจะไม่ปลอดภัยเหมือนกันค่ะ พวกเราควรบอกพวกเขาให้ย้ายทันทีเผื่อว่า…”  ฉันพูดไม่ทันจบน้องจางก็พูดเสียงเข้มว่า “ปลอดภัยหรือ?  การเชื่อในพระเจ้าในประเทศจีนมันมีที่ไหนปลอดภัยด้วยหรือ?  เราจะปลอดจากอันตรายที่ไหนกัน?  นี่เป็นเวลาสำคัญสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนะ  เราจะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไรถ้ากลัวหัวหดไปเสียทุกเรื่อง  คุณอยากหลบซ่อนจนกว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้น และพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายหรือ?”  หลังจากได้ยินสิ่งที่เธอพูด ฉันคิดว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ พระเจ้าทรงบอกเราในยุคพระคุณว่า ‘นี่แน่ะ เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางพวกหมาป่า เพราะฉะนั้นจงเฉลียวฉลาดเหมือนงู และไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบ(มัทธิว 10:16)เมื่อพวกเขาข่มเหงท่านในเมืองหนึ่ง จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง(มัทธิว 10:23)  การทำหน้าที่ของเราในประเทศจีนต้องใช้ปัญญา”  แต่จากการโต้ตอบของน้องจางฉันเห็นได้ว่า เธอไม่อยากให้ที่ชุมนุมเหล่านี้ย้ายไป และถ้าฉันยืนกราน เธอก็อาจจะพูดว่าฉันไม่ยอมรับความจริง ว่าฉันมีอะไรผิดปกติสักอย่าง  แล้วเธอก็พูดต่อไปว่า “คนขลาดทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ พอถูกจับก็กลายเป็นยูดาส”  คำพูดนี้ทำให้ฉันรู้สึกขัดแย้งจริงๆ  ถ้าฉันยังเสนอแนะให้ทุกคนย้ายไป พวกผู้ดูแลก็อาจจะแค่เห็นฉันเป็นคนขี้ขลาด  พวกเขาอาจจะปลดฉันจากหน้าที่ด้วยซ้ำ  แล้วคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไรล่ะ?  ด้วยความกระตือรือร้นของฉัน พวกเขาประทับใจในตัวฉัน และขอให้ฉันสามัคคีธรรมถึงปัญหาของพวกเขามาตลอด  ถ้าพวกเขาคิดว่าฉันขี้ขลาดและไม่ยอมรับความจริง พวกเขาก็จะมองฉันไม่เหมือนเดิมอีก แล้วฉันก็คงจะอับอายจนสู้หน้าพวกเขาไม่ได้  ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่ความต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องของฉันมันหายไปแล้ว  ฉันไม่อยากยุ่งยากใจกับผู้ดูแล  ฉันพูดว่า “ฉันแค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้นแหละ  พวกคุณทำตามที่เห็นสมควรได้เลย”

เช้าวันหนึ่งในสองสามวันต่อมาพี่สาวคนหนึ่งบอกเราอย่างว้าวุ่นว่าหลังจากการจับกุมพวกนั้นสถานที่ชุมนุมบางแห่งไม่ได้ย้ายไปเร็วพอ  ตำรวจติดตามสถานที่เหล่านั้นอยู่ ผู้ดูแลสามคนกับพี่น้องอีกจำนวนหนึ่งจากสถานที่ชุมนุมหลายแห่งจึงถูกควบคุมตัว  พอได้ยินแบบนี้ฉันก็เสียใจมาก  ถ้าฉันยึดมั่นในหลักปฏิบัติแล้วอธิบายถึงความสำคัญในตอนนั้น หรือถ้าฉันได้ติดต่อผู้นำคริสตจักรโดยตรง พวกเราก็อาจจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น  คนโดนจับไปเยอะมากและงานของคริสตจักรก็ถูกขัดขวางอย่างร้ายแรง  มันเกี่ยวข้องกับการที่ฉันไม่มีความรับผิดชอบหรือไม่ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติโดยตรง  แล้วตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว  สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือแจ้งเตือนทุกคนที่อาจจะเป็นอันตรายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือชั่วร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ฉันแจ้งเตือนพี่น้องชายหญิงทันที

ฉันมาทบทวนเรื่องนี้ในภายหลัง  ฉันก็รู้ว่าฉันควรปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร แล้วทำไมฉันไม่ทำแบบนั้นในการปฏิบัติล่ะ?  ทำไมฉันถึงเห็นแก่ตัวนัก ทำไมฉันถึงแค่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง?  แล้วฉันก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้  ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า  สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด  ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง  ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา  ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์  พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี(“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยรากเหง้าของความเห็นแก่ตัวของพวกเรา  พวกเราใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาแบบซาตาน เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น”  ปรัชญาเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติลึกๆ ของพวกเรา  ทุกคนต่อสู้และใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง และจะเสียสละผลประโยชน์ของคนอื่นเพื่อตัวเองด้วยซ้ำ  คนเสื่อมทรามใช้ชีวิตแบบนี้กันทั้งนั้น กลายเป็นเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมากขึ้น และโลกก็กลายเป็นมืดขึ้นและชั่วร้ายมากขึ้น  แม้แต่ในฐานะผู้มีความเชื่อ พระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้กลายเป็นชีวิตของฉัน  ความคิดของฉันยังถูกพิษแบบซาตานเหล่านี้กรัดกร่อนอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ฉันรู้จักความจริงแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง  ฉันกลัวว่าจะทำให้บรรดาผู้ดูแลขุ่นเคือง แล้วทำร้ายชื่อเสียงของฉัน  ไม่ใช่ความจริงและงานของคริสตจักรที่อยู่สูงสุด แต่เป็นชื่อและสถานะของฉันเอง  ฉันเห็นแก่ตัวมาก!  พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาล่วงหน้าว่าฉันทำหน้าที่อะไรและเมื่อไหร่  แต่ฉันกลับคิดโง่ๆ ว่าชะตากรรมของฉันอยู่ในมือของบรรดาผู้ดูแล ดังนั้นการทำให้พวกเขาขุ่นเคืองจะเป็นการจบหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่ได้กำลังปฏิเสธว่าความจริงและความชอบธรรมเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ?  ฉันเห็นสิ่งต่างๆ เหมือนกับผู้ปราศจากความเชื่อไม่มีผิด  ฉันไม่ใช่ผู้เชื่อ  แล้วฉันก็คิดถึงบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ไม่สำคัญว่าความสูญเสียต่อพระราชกิจของพระเจ้าและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระองค์จะใหญ่หลวงเพียงใด เจ้าจะไม่รู้สึกถึงการตำหนิมาจากมโนธรรมของเจ้า ซึ่งหมายความว่า เจ้าจะเป็นใครคนหนึ่งที่ดำรงชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา  ซาตานควบคุมเจ้าและเป็นเหตุให้เจ้าดำรงชีวิตในฐานะบางสิ่งที่ทั้งไม่ใช่มนุษย์เสียทีเดียวและไม่ใช่ปีศาจเสียทีเดียว  เจ้ากินสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ดื่มสิ่งที่เป็นของพระเจ้า และชื่นชมทั้งหมดที่มาจากพระองค์ ถึงกระนั้น เมื่องานในพระนิเวศของพระเจ้าทนทุกข์กับความสูญเสียอันใด เจ้าคิดว่าการนั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า และเมื่อเจ้ามองเห็นการนั้นเกิดขึ้น เจ้าถึงขั้น ‘งอข้อศอกไปด้านนอก’[ก] และไม่มาอยู่ข้างพระเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่ค้ำชูพระราชกิจของพระเจ้าหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่หมายความว่าซาตานมีอำนาจเหนือเจ้า มิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นดำรงชีวิตอย่างพวกมนุษย์หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นปีศาจ ไม่ใช่มนุษย์!(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเหมือบดาบแทงใจฉัน  ฉันสูดอากาศและกินอาหารที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ชื่นชมกับชีวิตและความจริงจากพระองค์ โดยไม่คิดตอบแทนความรักของพระองค์  ฉันเห็นว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายอย่างร้ายแรง และพี่น้องชายหญิงอยู่ในอันตราย แต่ฉันไม่กล้าค้ำชูหลักปฏิบัติ เพราะกลัวจะเดือดร้อน  นั่นแปลว่ามากกว่า 20 คนถูกจับ ขัง และทรมาน และงานข่าวประเสริฐของพวกเราก็ถูกขัดขวางอย่างร้ายแรง  การใช้ชีวิตในความเสื่อมทราม มีผลที่ไม่สามารถบรรยายได้ตามมา  ฉันได้กำลังทำชั่วอยู่นั่นเอง  ฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าทรงเกลียดชังคนเห็นแก่ตัว ทำไมพระองค์ตรัสว่าพวกนั้นขาดความเป็นมนุษย์และเป็นของซาตาน  ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าคนเห็นแก่ตัวคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น และถึงขนาดปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองจนงานของคริสตจักรเสียหาย  นั่นมีมนุษยธรรมตรงไหน?  แม้แต่สัตว์ยังดีกว่า  สุนัขรู้ว่าจะปกป้องบ้านเจ้าของของมันและจงรักภักดีได้อย่างไร แต่แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงให้ฉันมากมาย ฉันก็ยังแว้งกัดพระหัตถ์ที่ประทานอาหารให้ฉัน  ฉันไม่ได้จงรักภักดีสักนิด และไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่ามนุษย์  แล้วฉันก็เห็นว่าการที่พระเจ้าทรงเรียกคนเห็นแก่ตัวว่าซาตานที่มีชีวิตนั้นไม่เกินกว่าเหตุเลย  ถ้าฉันไม่ได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติความจริง ฉันก็คงทำความชั่ว ต่อต้านพระเจ้า และถูกพระองค์ทรงลงโทษ  ความล้มเหลวนี้แสดงให้ฉันเห็นว่าหากไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน พวกเราก็ปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้  แล้วพวกเราจะไม่มีทางเปลี่ยนอุปนิสัยของพวกเราหรือได้รับการช่วยให้รอดไม่ว่าพวกเราจะเชื่อนานแค่ไหน พวกเราเสียสละหรือทนทุกข์มากแค่ไหน  แล้วฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  เกิดความเสียหายต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงมากมายนัก เพราะข้าพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติความจริงหรือยึดหลักปฏิบัติ  พระเจ้า ข้าพระองค์ได้กระทำชั่ว ข้าพระองค์พร้อมจะกลับใจและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  หากข้าพระองค์ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เห็นแก่ตัวและไม่สนับสนุนงานของพระนิเวศของพระเจ้า ก็ขอให้พระองค์ทรงพิพากษาและตีสอนข้าพระองค์”

หลังจากการอธิษฐานแล้วฉันก็อ่านบทพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “เมื่อเจ้าเปิดเผยตัวเจ้าเองว่าเห็นแก่ตัวและต่ำศักดิ์ และได้กลับกลายเป็นรู้สึกตัวเกี่ยวกับการนี้ เจ้าควรแสวงหาความจริงว่า  ฉันควรทำสิ่งใดเพื่อให้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า?  ฉันควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้มันเป็นประโยชน์ต่อทุกคน?  นั่นคือ เจ้าต้องเริ่มต้นโดยการพักวางผลประโยชน์ของเจ้าเองลง ค่อยๆ ล้มเลิกสิ่งเหล่านั้นไปทีละน้อยโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเจ้า  หลังจากที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับการนี้ไปสักสองสามครั้ง เจ้าก็จะได้พักวางสิ่งเหล่านั้นแล้วอย่างครบบริบูรณ์ และเมื่อเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกหนักแน่นมั่นคงมากขึ้นทุกที  ยิ่งเจ้าพักวางผลประโยชน์ของเจ้าลงมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าในฐานะมนุษย์แล้ว เจ้าควรมีมโนธรรมและมีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกว่าหากไม่มีสิ่งจูงใจทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว เจ้าก็กำลังเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาและซื่อตรง และเจ้าก็กำลังทำสิ่งทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เจ้าจะรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนั้นทำให้เจ้าควรค่าที่จะถูกเรียกว่า ‘มนุษย์’ และว่าในการดำรงชีวิตแบบนี้บนแผ่นดินโลก เจ้ากำลังเปิดกว้างและซื่อสัตย์ เจ้ากำลังเป็นบุคคลที่จริงแท้ เจ้ามีมโนธรรมที่ชัดเจน และควรค่ากับสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าประทานให้เจ้า  ยิ่งเจ้าดำรงชีวิตเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกหนักแน่นมั่นคงและสดใสมากขึ้นเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ได้ก้าวเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแล้วหรอกหรือ?(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง  จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง  เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง  ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  จากนั้นฉันก็เข้าใจว่าในฐานะคริสเตียน ทางเดียวที่จะใช้ชีวิตด้วยความซื่อตรง เกียรติ และความเป็นมนุษย์ ก็คือการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ใส่ใจในน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อปล่อยวางผลประโยชน์ของเราและปกป้องพระราชกิจของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง  แล้วพวกเราจะรู้สึกมีสันติสุข  ฉันรู้ว่าฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาการเป็นคนซื่อตรง

ค่ำวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน หลัง 4 ทุ่ม เมื่อพี่น้องหญิงหลี่ ผู้ดูแลคนใหม่มาที่ทีมของเรา เธอพูดว่าน้องหลิว คู่ทำงานของเธอ ออกไปพบพี่สาวคนหนึ่งที่มาจากนอกเมืองเมื่อสองวันก่อนหน้านั้น แต่เธอไม่กลับมาอีกเลย เธอกลัวว่าน้องหลิวอาจถูกจับไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องบอกคนอื่นๆ ให้ย้ายกันทันที เธอคิดว่าน้องหลิวอาจจะมีเหตุผลให้ต้องกลับบ้านไปก็ได้และการย้ายทุกคนก็จะกระทบหน้าที่ของพวกเขา เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็คิดว่า “น้องหลิวเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าเธอกลับบ้าน เธอจะต้องแจ้งพวกเราแน่ เธออาจจะถูกจับไปก็ได้ ฉันควรบอกพวกผู้นำทันที” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “พี่น้องหญิงหลี่เป็นผู้ดูแล ถ้าเธอไม่แน่ใจ แล้วก็กลัวว่าจะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ฉันจะแน่ใจได้อย่างไร? หากเราวุ่นวายย้ายทุกคนแต่น้องหลิวไม่ได้ถูกจับ ผู้นำก็อาจจะจัดการพวกเรา และพูดว่าเรากำลังทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ฉันควรพูดดีหรือไม่พูดดี?”

ในขณะที่สับสนอยู่ ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า “จงทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ทำสิ่งใดที่ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า  จงปกป้องพระนามของพระเจ้า คำพยานของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง)  “หากมันเป็นชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดกว่า ผู้คนก็จะยิ่งสามารถนบนอบและปล่อยมือจากผลประโยชน์ส่วนตัว ความทระนง และความภูมิใจของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงจดจำพวกเขา  เหล่านั้นเป็นความประพฤติดีทั้งหมด!  โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ผู้คนทำแล้ว สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความทระนงและความภูมิใจของพวกเขา หรือพระสิริของพระเจ้า?  (พระสิริของพระเจ้า)  สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความรับผิดชอบของเจ้า หรือผลประโยชน์ของเจ้าเอง?  การทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเจ้ามีภาระหน้าที่ต่อความรับผิดชอบเหล่านั้น(“การได้รับพระเจ้าและความจริงไว้เป็นสิ่งซึ่งมีความสุขที่สุด” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระเจ้าทรงบอกพวกเราอย่างชัดเจนให้ค้ำชูพระราชกิจของพระองค์และทำหน้าที่ของเราให้ดี  ตอนนี้เมื่อเผชิญความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของฉันและของคนในคริสตจักร พระเจ้ากำลังทอดพระเนตรอยู่  หากฉันเห็นแก่ตัวเหมือนก่อนหน้านั้น ก็จะเป็นการขาดความเป็นมนุษย์  ครั้งก่อนเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด เป็นราคาเลวร้ายที่ต้องจ่าย ฉันจะทำผิดซ้ำอีกไม่ได้ ฉันจึงพูดกับพี่น้องหญิงหลี่ว่า “เป็นไปได้นะที่น้องหลิวกลับบ้านไป แต่เราก็แน่ใจอะไรไม่ได้  เราควรป้องกันเหตุร้ายไว้ก่อนโดยการย้ายพี่น้องชายหญิงไป  ถึงเราจะคิดมากไปเอง มันก็เพื่องานของคริสตจักร และเพื่อความปลอดภัยของทุกคน  เรากำลังมองภาพใหญ่กันอยู่  ถ้าเราอยู่ในอันตรายแล้วไม่ลงมือให้ทันเวลา แล้วผู้คนถูกจับ เราก็จะเป็นยูดาส แล้วจะมานึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว  ยิ่งปล่อยวันให้ผ่านไปก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น  เรามาจัดการเรื่องนี้ทันทีเลย”  ฉันบอกเธอเรื่องที่สมาชิกคริสตจักรบางคนถูกจับก่อนหน้านั้น แล้วเธอก็เห็นด้วยกับฉัน  เธอเริ่มจัดแจงทุกอย่างตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น และในคืนหลังจากนั้น เราก็เคลียร์สถานที่ของพวกเราด้วย

ผู้ดูแลพูดในขณะที่เราเคลียร์ที่นั่นอยู่ว่า “น้องหลิวกับน้องสาวอีกคนถูกจับ แล้วตำรวจก็ได้ตัวอีกสี่คนจากที่ชุมนุมแห่งหนึ่ง  เราย้ายทันเวลาพอดีเลย  ถ้าเรามัวรีรอ ก็คงจะมีคนโดนจับเพิ่มอีกแน่”  พอได้ยินเรื่องนี้ฉันก็โกรธมาก  พรรคคอมมิวนิสต์ชั่วร้ายมาก!  ในประเทศที่ใหญ่อย่างจีน ไม่มีที่ให้คริสเตียนหลบซ่อนเลย!  ฉันรู้สึกด้วยว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร  ฉันรู้สึกดีขึ้นเพราะครั้งนี้ฉันสามารถปฏิบัติความจริงได้ อีกทั้งมีความรับผิดชอบและดังนั้นจึงเกิดความเสียหายน้อยลง  ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตด้วยความเป็นมนุษย์  ฉันยังได้รับประสบการณ์เป็นการส่วนตัวด้วยว่าหากไม่มีการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็คงยังถูกผูกมัดด้วยปรัชญาและอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า  ฉันคงไม่สามารถวางผลประโยชน์ของตัวเองลงและยึดมั่นในหลักปฏิบัติได้ และฉันก็จะไม่มีทางมีความเป็นมนุษย์ ดังที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “หากเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต  มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย  เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

เชิงอรรถ:

ก. “งอข้อศอกของคนเราไปด้านนอก” เป็นจำนวนจีน ซึ่งหมายความว่า บุคคลหนึ่งกำลังช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการสูญเสียผู้คนที่ใกล้ชิดกับบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น บิดามารดา ลูกหลาน เครือญาติ หรือพี่น้อง

ก่อนหน้า: 47. คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นจะได้รับความรอดของพระเจ้าหรือไม่

ถัดไป: 49. หนทางอันมหัศจรรย์ในการดำเนินชีวิต

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger