49. หนทางอันมหัศจรรย์ในการดำเนินชีวิต
สมัยเด็กๆ พ่อแม่ของฉันเคยสอนว่า อย่าเถรตรงกับผู้อื่นมากเกินไป และอย่าชักใบให้เรือเสีย และนั่นคือหลักปรัชญาของชีวิต ดังนั้น ฉันจึงใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาของชีวิตเยี่ยงซาตานเหล่านั้นเสมอ อย่างเช่น “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” และ “จงอย่าชกผู้คนใต้เข็มขัด” กับเพื่อนร่วมชั้น มิตรสหาย เพื่อนบ้าน—กับทุกคน เวลาฉันเห็นใครบางคนทำอะไรผิด ฉันก็ไม่อยากทำให้พวกเขาอับอาย และพยายามไม่เปิดเผยถึงข้อบกพร่องของพวกเขา ผู้คนมักจะยกย่องฉัน ว่าเป็นคนที่เข้าใจและใส่ใจคนอื่น และฉันเองก็คิดว่า มันเป็นหนทางที่ดีเช่นกัน คิดว่ามันคือหลักปฏิบัติพื้นฐานที่สุด ในการเข้ากับผู้อื่น หลังจากได้รับความเชื่อ และประสบกับการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่การเป็นคนดี แต่มันคือการประพฤติตนตามหลักปรัชญาชีวิตเยี่ยงซาตาน มันไม่ได้ช่วยใครเลย แถมยังทำร้ายคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ทัศนะที่ฉันมีต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป และพระวจนะของพระเจ้า ก็มอบหลักแห่งการปฏิบัติตนให้ฉันค่ะ
ตอนที่ฉันได้รับเลือก ให้เป็นผู้นำคริสตจักรในเดือนสิงหาคมปี 2019 ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆ สำหรับโอกาสนี้ ฉันตั้งปณิธานอย่างเงียบๆ ว่าจะแบกความรับผิดชอบของหน้าที่นั้น ผ่านไปได้สักพัก ฉันสังเกตเห็นปัญหาบางอย่างในงานของพี่น้องชายหญิง อย่างเช่น บางคนทำหน้าที่แบบไม่รอบคอบ จนทำให้เกิดปัญหาที่เห็นได้ชัดในวิดีโอที่พวกเขาทำ บางคนทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ไม่ดีนัก จึงทำให้งานของทุกคนไม่สอดรับกัน และกระทบต่อประสิทธิภาพของงาน พอเห็นเรื่องนี้ ฉันก็คิดว่า “พวกเขาแสดงถึงความเสื่อมทรามในหน้าที่ของตน ถ้ามันไม่ถูกชี้ให้เห็น งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงแน่ๆ ฉันต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาและวิเคราะห์ความเสื่อมทรามนั้น พวกเขาจะได้เข้าใจและเปลี่ยนแปลง” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันตีแผ่ปัญหาของทุกคนทันทีที่เข้ารับหน้าที่นี้ พวกเขาจะคิดอย่างไรกับฉันนะ พวกเขาจะพูดว่าฉันเข้มงวดเกินไปกับพวกเขา บอกว่าฉันแข็งกร้าวเกินไปและเข้ากันได้ยากไหม ถ้าฉันทำให้พวกเขาเข้าใจไปแบบนั้น มันจะไม่ทำให้ทุกคนบาดหมางกันหรือ ช่างมันเถอะ ฉันจะยังไม่พูดตอนนี้แล้วกัน ฉันต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนก่อน” ดังนั้น ฉันจึงแค่เพิกเฉย ต่อปัญหาทั้งหมดของพี่น้องชายหญิง มักจะกลัวการทำให้คนอื่นอับอายหรือตกเป็นเป้าสายตา ซึ่งจะทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างเราได้
ครั้งหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่งบอกฉันว่าพี่น้องชายหวังหัวรั้นในหน้าที่ของเขามาก และไม่รับฟังข้อเสนอแนะใดๆ เลย และมันขัดขวางความคืบหน้าของงาน ฉันไปไล่ถามความคิดเห็นของคนอื่น พวกเขาต่างก็บอกว่าพี่น้องชายหวังเป็นคนโอหัง เผด็จการ และชอบวางท่าใหญ่โต และคนส่วนใหญ่ที่ร่วมงานกับเขา ต่างก็รู้สึกอึดอัด พอได้ยินเสียงตอบรับเช่นนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่าพี่น้องชายหวังมีปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรง และการไม่จัดการทันทีก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเขา หรือต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย ฉันต้องตามหาเขาเพื่อสามัคคีธรรม ช่วยให้เขาเข้าใจความร้ายแรงของปัญหานี้ แต่พอฉันไปพูดกับพี่น้องชายหวัง ฉันก็อยากหันหลังกลับ ฉันคิดว่า “ปัญหาทั้งหมดที่คนอื่นยกมา คือส่วนที่แย่ที่สุดของพี่น้องชายหวัง ถ้าฉันแสดงให้เห็นหมดทุกปัญหา เขาจะไม่รู้สึกว่า ฉันกำลังดูแคลนราวกับเขาไม่มีอะไรดีเลยหรือ นั่นจะไม่เป็นการดูหมิ่นกันหรือ แล้วถ้าเขารู้สึกว่า ฉันเพ่งเล็งเขาเป็นการส่วนตัว เขาจะไม่พอใจฉันรึเปล่า เราเจอหน้ากันตลอด ทั้งในการชุมนุม ในการทำหน้าที่ของเรา ถ้าอะไรๆ ระหว่างเรามันกระอักกระอ่วน เราจะเข้ากันได้อย่างไร” แล้วฉันก็นึกถึงที่เขามักจะพูดในการชุมนุม ว่าเขามีอุปนิสัยที่โอหังขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ถ้าฉันบอกเขาแค่เป็นนัยๆ ไม่ต้องลงลึกไปจนโดนจุดที่อ่อนไหวเข้า สำหรับเขา มันคงไม่น่าอายจนเกินไป และสิ่งต่างๆ ระหว่างเราคงไม่กระอักกระอ่วนมากนัก ดังนั้น ในการสามัคคีธรรมของเรา ฉันเลยพูดแค่เผินๆ บอกว่าเขาโอหัง และวางท่าใหญ่โตใส่คนอื่น เขาฟังฉันจนจบ และยอมรับว่าเขามีปัญหาพวกนั้น และเขารับรู้ถึงปัญหาพวกนั้นแล้ว ฉันรู้ว่า เขาไม่ได้ตระหนักว่าปัญหามันร้ายแรงแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ด้วยความที่ เขาไม่ได้รับความเข้าใจแท้จริงเกี่ยวกับตัวเอง เขาจึงยังหัวรั้นในหน้าที่ของตนเหมือนเคย ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ และทำให้งานเกิดความล่าช้า ต่อมา เขาก็ถูกย้ายออก เขาได้ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง แต่ยังคงติดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่ เขาไม่มีประสิทธิภาพในหน้าที่นั้นเช่นกัน วันหนึ่ง หัวหน้างานของเขาพูดกับฉันด้วยความโมโหว่า “คุณรู้เรื่องปัญหาของพี่น้องชายหวังรึเปล่า ถ้ารู้ ทำไมคุณไม่สามัคคีธรรมกับเขา เขาส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในงานของเราอย่างร้ายแรงเลย” คำพูดที่ดุดันของเธอ มันรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงตำหนิฉันที่ไม่ปฏิบัติความจริงผ่านเธอ ฉันรู้สึกแย่จริงๆ รู้สึกผิดมากๆ หากฉันแค่ชี้ถึงปัญหาของเขาได้ทันการ และเขาได้ทบทวนถึงปัญหาจริงๆ เขาก็อาจจะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม แต่กลับกัน เขาไม่มีความเข้าใจแท้จริงใดๆ ในธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเอง ดังนั้น เขาจึงไม่เพียงล้มเหลวในหน้าที่เดิม แต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงหลังถูกย้ายด้วย เขายังขัดขวางงานของคริสตจักรอยู่เลย ฉันไม่ได้ทำให้คนอื่นเจ็บปวด และทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าหรือ ฉันเคยคิดว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์ดีแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า ฉันแค่รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นเท่านั้น ฉันจึงจะไม่ทำให้พวกเขาอับอาย และรู้สึกแย่กับฉัน แต่นั่นไม่ดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่น หรือต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย แบบนั้นคือการมีความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือคะ
ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ต้องมีมาตรฐานสำหรับการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี มันไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เส้นทางสายกลางในทุกสรรพสิ่ง การไม่ติดอยู่กับหลักการทั้งหลาย การอุตสาหะพยายามที่จะไม่ทำให้ใครก็ตามขุ่นเคือง การประจบประแจงในทุกหนแห่งที่เจ้าไป การลื่นไหลและแนบเนียนไปกับทุกคนที่เจ้าพบ และการทำให้ทุกคนรู้สึกดี นี่ไม่ใช่มาตรฐาน ดังนั้นสิ่งใดคือมาตรฐานเล่า? มันรวมไปถึงการปฏิบัติต่อพระเจ้า ต่อผู้คนอื่นๆ และต่อเหตุการณ์ทั้งหลายด้วยหัวใจที่แท้จริง การที่สามารถแสดงความรับผิดชอบ และการทำทั้งหมดนี้ในหนทางซึ่งเป็นหลักฐานชัดให้ทุกคนได้เห็นและรู้สึก ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงตรวจค้นหัวใจของผู้คนและทรงรู้จักหัวใจเหล่านั้นทุกๆ ดวง ผู้คนบางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี โดยอ้างว่าไม่เคยได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี ไม่เคยได้ลักขโมยสิ่งครอบครองของผู้อื่น และไม่เคยได้ละโมบสิ่งของของผู้อื่น พวกเขาไปไกลถึงขั้นเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของพวกเขาเองด้วยซ้ำเมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ โดยเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสีย และพวกเขาไม่พูดสิ่งใดที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใดเพียงเพื่อให้ผู้อื่นทุกคนคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีเลย อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย แม้ขณะที่พวกเขาเห็นพวกคนทำชั่วกำลังกระทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงพวกคนทำชั่ว พวกเขาไม่มีหลักธรรมอันใดเลย นี่ไม่ใช่ตัวอย่างของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้า เผยถึงหลักแห่งการปฏิบัติตน คนดีแท้จริงไม่เลือกเดินทางสายกลาง หรือเงียบต่อปัญหาของผู้อื่น พวกเขาไม่แสวงหาความสามัคคีโดยสิ้นเชิง หรือพยายามรักษาสายสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบกับผู้อื่นเช่นกัน มาตรฐานของการเป็นคนดีแท้จริง อยู่ที่การมีหลักการและมีความยุติธรรม มันคือการค้ำจุนหลักปฏิบัติ โดยไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เพื่อปกป้องพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อผลประโยชน์ของพระนิเวศอยู่ในอันตราย ในการปฏิสัมพันธ์ของฉันกับพี่น้องชายหญิง ฉันมุ่งเน้นแค่ การไม่ทำให้คนอื่น อับอายหรือขุ่นเคือง คิดว่า ทุกคนจะมองฉันในแง่ดีตราบเท่าที่ฉันรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ แต่นั่นไม่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติแห่งความจริงเลย ฉันเห็นคนอื่นทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเสื่อมทราม และทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก แต่กลับอยากปกป้องภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเอง ฉันไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร แถมกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ฉันปล่อยให้ปัญหาลอยผ่านไป ทั้งที่เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของพี่น้องชายหวัง ฉันรู้ว่า ปัญหาของเขาส่งผลต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างร้ายแรงแล้ว แต่ฉันกลัวว่า เขาอาจจะคิดว่าฉันเพ่งเล็งเขาเป็นการส่วนตัว กลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ฉันพูด และเกิดอคติกับฉัน ดังนั้น ตอนที่ฉันสามัคคีธรรมกับเขา ฉันเลยเพิกเฉยต่อเรื่องต่างๆ ผลที่เกิดขึ้นคือ เขาไม่ได้จริงจังกับปัญหาของตัวเอง ดูเผินๆ คือฉันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของการเป็นคนไม่มีพิษมีภัยเอาไว้ได้ แต่ที่จริง ฉันกำลังสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิต ของพี่น้องชายหญิง ฉันเห็นว่าตัวเองเป็นแค่ “คนดี” เป็นคนที่เอาใจผู้อื่น เป็นจอมหลอกลวงมาตลอด
ในการเฝ้าเดี่ยวหลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “ผู้นำคริสตจักรบางคนไม่ต่อว่าบรรดาพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างไม่รอบคอบระมัดระวังและอย่างสุกเอาเผากิน แม้ว่าพวกเขาควรต่อว่า เมื่อพวกเขาเห็นบางสิ่งที่เป็นภัยอย่างชัดเจนต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ทำการสืบค้น เพื่อที่จะไม่ก่อให้เกิดการล่วงเกินต่อผู้อื่นแม้แต่น้อย จุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแสดงให้เห็นการคำนึงถึงจุดอ่อนของผู้อื่น—พวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าพวกเขาเจตนาสิ่งใด กล่าวคือ ‘หากฉันทำการนี้ต่อไป และไม่ก่อให้เกิดการล่วงเกินต่อผู้ใด พวกเขาก็จะคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี พวกเขาจะมีข้อคิดเห็นที่ดีที่สูงส่งเกี่ยวกับฉัน พวกเขาจะโปรดปรานฉันและชอบฉัน’ ไม่สำคัญว่าจะสร้างความเสียหายให้กับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้ามากเพียงใด และไม่สำคัญว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะถูกยับยั้งมากเพียงใดในการเข้าไปสู่ชีวิตของพวกเขา หรือชีวิตคริสตจักรของพวกเขาจะถูกรบกวนมากเพียงใด ผู้คนเช่นนี้ก็ยืนกรานในปรัชญาเยี่ยงซาตานของพวกเขาในการไม่ก่อให้เกิดการล่วงละเมิด ไม่มีสำนึกรับรู้แห่งการตำหนิตนเองในหัวใจของพวกเขาเลย อย่างเก่ง พวกเขาก็อาจพาดพิงถึงบางประเด็นปัญหาโดยไม่ตั้งใจผ่านๆ ไป แล้วก็จบเรื่องกับประเด็นปัญหานั้น พวกเขาไม่สามัคคีธรรมความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ชี้ให้เห็นแก่นแท้ของปัญหาของผู้อื่น และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะชำแหละสภาวะของผู้คน พวกเขาไม่นำทางผู้คนเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง และพวกเขาไม่สื่อสารสิ่งที่น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็น หรือความผิดทั้งหลายที่ผู้คนมักจะกระทำบ่อยครั้ง หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกที่ผู้คนเปิดเผยเลย พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับหลงระเริงเป็นนิตย์กับจุดอ่อนและความเป็นลบของผู้อื่น และแม้แต่ความไม่รอบคอบระมัดระวังและความไม่กระตือรือร้นของพวกเขา อย่างคงเส้นคงวา พวกเขาปล่อยให้การกระทำและพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่ถูกตีตราสำหรับสิ่งที่พวกมันเป็น และแน่นอนว่าเพราะพวกเขาทำเช่นนั้นนั่นเอง ผู้คนส่วนใหญ่จึงมาคิดว่า ‘ผู้นำของพวกเราเปรียบเสมือนมารดาของพวกเรา พวกเขามีความเข้าใจในจุดอ่อนของพวกเรามากกว่าพระเจ้าทรงมีด้วยซ้ำ วุฒิภาวะของพวกเราอาจน้อยเกินไปที่จะทำได้ดีเทียบเท่าข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถทำได้ดีเทียบเท่าข้อพึงประสงค์ของผู้นำของพวกเรา พวกเขาเป็นผู้นำที่ดีสำหรับพวกเรา หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อเบื้องบนเปลี่ยนตัวผู้นำของพวกเรา พวกเราก็ควรทำให้เสียงของพวกเราได้ยินไปทั่ว และนำเสนอข้อคิดเห็นและความปรารถนาที่แตกต่างของพวกเรา พวกเราควรพยายามเจรจากับเบื้องบน’ หากผู้คนเก็บงำความคิดเช่นนี้ไว้—หากพวกเขามีสัมพันธภาพจำพวกนี้กับผู้นำของพวกเขา และมีความประทับใจเช่นนี้เกี่ยวกับพวกเขา และได้พัฒนาความรู้สึกแห่งการพึ่งพา การเลื่อมใส ความเคารพ และความรักใคร่บูชาเช่นนี้ต่อผู้นำของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา—เช่นนั้นแล้ว ผู้นำควรที่จะรู้สึกอย่างไร? หากในเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกถึงการตำหนิตนเองบางส่วน ความไม่สบายใจบางส่วน และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรยึดติดสถานะหรือภาพลักษณ์ของพวกเขาในหัวใจของผู้อื่น พวกเขาควรให้คำพยานต่อพระเจ้า และยกย่องพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงมีที่สถิตในหัวใจของผู้คน และเพื่อให้ผู้คนเคารพพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนั้นเท่านั้น หัวใจของพวกเขาจึงจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง และผู้ที่ทำเช่นนั้นคือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างไรก็ตาม หากนี่ไม่ใช่เป้าหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับใช้วิธีการและเทคนิคเหล่านี้ในการล่อใจผู้คนให้ไถลห่างจากหนทางที่แท้จริงและละทิ้งความจริง โดยไปไกลถึงขั้นหลงระเริงกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่รอบคอบระมัดระวัง อย่างสุกเอาเผากิน และขาดความรับผิดชอบของผู้คน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยึดครองพื้นที่เฉพาะหนึ่งในหัวใจของผู้คน และได้รับความปรารถนาดีของพวกเขา นี่ไม่ใช่ความพยายามที่จะชนะใจผู้คนหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่น่าชิงชังหรอกหรือ? ช่างน่ารังเกียจนัก!” (“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (1)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้า เผยให้เห็นถึงเนื้อแท้แห่งแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของฉัน นับตั้งแต่มาเป็นผู้นำ ฉันก็เอาแต่อ้อมค้อม เพื่อมีมิตรภาพที่ดีกับผู้อื่น ฉันไม่ได้ทำให้คนอื่นเห็นถึงปัญหา แต่กลับปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเขา ฉันไม่มีแม้แต่จะเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหวังกำลังก่อปัญหา และขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันคอยระวังคำพูดของตัวเองกับทุกคน ต้องการรักษาตำแหน่งของตัวเองในหมู่พวกเขาไว้ จากภายนอก ฉันดูเป็นคนที่สุภาพและไม่มีพิษมีภัย แต่นั่นเป็นฉากหน้า ที่ทำให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจผิด ฉันใช้สิ่งที่คนมองว่าเป็นคำพูดและการกระทำที่ดีเพื่อเอาชนะใจผู้อื่น พวกเขาจะได้ชอบและเคารพนับถือฉัน แบบนั้น ฉันถึงจะสร้างความมั่นคงให้ตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ ฉันอยากทำให้เส้นทางของตัวเองราบรื่น และฉันก็ทำโดยแลกมาด้วยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันต่อต้านหลักปฏิบัติแห่งความจริง และสร้างความเสียหายต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ถึงจุดนี้ พระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในความคิด “เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเลวร้าย และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน) พระนิเวศของพระเจ้าให้ฉันได้เป็นผู้นำ เพื่อนำคนอื่นปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของพวกเขา เพื่อค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อสามัคคีธรรมตามความจริงในการแก้ปัญหาของผู้อื่น พวกเขาจึงเข้าใจความเสื่อมทรามของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะทำหน้าที่ของตนตามหลักปฏิบัติได้ นั่นคือความรับผิดชอบของฉันค่ะ แต่ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์ ฉันเอาแต่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ และรักษาเกียรติของตัวเองกับผู้อื่น ซึ่งสุดท้าย ก็ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย และขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่น ฉันกำลังทำตัวอยู่ฝั่งซาตาน ฉันได้เห็นว่าตัวเองเป็นอย่างที่พระเจ้าทรงตีแผ่ไว้ในพระวจนะเลยค่ะ ไม่ใช่แค่ฉันไม่ได้เป็นคนดีเท่านั้น แต่ฉันยังเป็นคนชั่วร้ายที่มีเล่ห์เหลี่ยม เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจอีกด้วย ถ้าฉันไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง ฉันก็จะกลายเป็นเพียงเครื่องสะดุดต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงเท่านั้น ในที่สุด ฉันก็ได้เข้าใจกฎของชีวิตในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นค่ะ ฉันได้เห็นจริงๆ ว่า “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” และ “จงอย่าชกผู้คนใต้เข็มขัด” ไม่ใช่หลักปฏิบัติ สำหรับความประพฤติที่แท้จริง ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ยินดีที่จะกลับใจ และแก้ไขการไล่ตามเสาะหาที่ผิดของตัวเอง
ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “หากเจ้าต้องการมีสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าต้องหันเข้าหาพระเจ้า ด้วยการนี้เป็นรากฐาน เจ้ายังจะมีสัมพันธภาพปกติกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำอะไรเพื่อรักษาสัมพันธภาพของเจ้ากับผู้อื่น ไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำงานหนักเพียงใดหรือเจ้าจะออกแรงมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะเป็นแค่เรื่องของปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ เจ้ากำลังรักษาฐานะของเจ้าท่ามกลางผู้คนโดยผ่านทางมุมมองของมนุษย์และปรัชญาของมนุษย์เพื่อที่ว่าผู้คนจะได้สรรเสริญเจ้า แต่เจ้าไม่ได้กำลังติดตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับผู้คน หากเจ้าไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่สัมพันธภาพของเจ้ากับผู้คน แต่รักษาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบหัวใจของเจ้าแด่พระเจ้า และเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระองค์ เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพของเจ้ากับผู้คนทั้งหมดจะกลายมาเป็นปกติเป็นธรรมดา ด้วยวิถีทางนี้ สัมพันธภาพเหล่านี้ไม่ได้ถูกสถาปนาขึ้นบนเนื้อหนัง แต่บนรากฐานของความรักของพระเจ้า แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางเนื้อหนังเลย หากแต่ในวิญญาณนั้นมีการสามัคคีธรรม ความรักซึ่งกันและกัน การปลอบประโลมซึ่งกันและกัน และการจัดเตรียมที่มีให้แก่กันละกัน ทั้งหมดนี้ได้ทำขึ้นบนรากฐานของหัวใจซึ่งทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย สัมพันธภาพเหล่านี้ไม่ได้ถูกรักษาไว้โดยการพึ่งพาปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากแต่ถูกก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากโดยผ่านทางการแบกรับภาระสำหรับพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องใช้ความมานะพยายามที่มนุษย์ทำขึ้น เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวจนะหลักธรรมของพระเจ้าเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็น ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เหมาะสม ไม่สามารถสร้างได้โดยการใช้หลักปรัชญาชีวิตในทางโลก มีเพียงการบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณของผู้อื่นตามพระวจนะเท่านั้น ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน เวลาเห็นผู้อื่นทำหน้าที่ของพวกเขาด้วยความเสื่อมทราม ซึ่งมันส่งผลต่องานของพวกเขา ฉันก็ไม่ควรมุ่งเน้นที่สถานะและภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันควรนำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้กับปัญหา เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และสามัคคีธรรมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนได้อย่างดี พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบ ในการชุมนุม พี่น้องชายหวังเข้าใจตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้าได้อยู่บ่อยๆ ซึ่งแปลว่า เขาต้องการที่จะจัดการแก้ไขปัญหาของตน เขาแค่ไม่เข้าใจรากเหง้าของปัญหา และไม่ได้เกลียดตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้น เวลามีปัญหาเกิดขึ้น เขาจึงยังใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทราม ถ้าฉันใช้พระวจนะของพระเจ้าวิเคราะห์เนื้อแท้ของปัญหา เขาก็คงได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะนั้น สิ่งนี้คงช่วยเขาได้อย่างแท้จริงค่ะ พอตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็อยากเปลี่ยนแปลงการไล่ตามเสาะหาที่ผิดของตัวเอง และทำสิ่งต่างๆ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันได้สรุปปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องหวัง และเขียนปัญหาเหล่านั้นออกมาทีละข้อ ฉันสามัคคีธรรมกับเขา ชำแหละพฤติกรรมของเขาและวิเคราะห์ถึงรากเหง้าของปัญหา หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เกลียดหรือหลบเลี่ยงฉันอย่างที่คิด แต่กลับยอมรับการสามัคคีธรรมของฉันจริงๆ ต่อมา เขาส่งข้อความมาหาฉัน บอกว่า “ดีมากเลยที่คุณยกประเด็นนี้มาให้ผมฟัง ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่เห็นว่าปัญหามันร้ายแรงแค่ไหน” ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ค่ะ พอฉันแก้ไขแรงจูงใจของตัวเอง และไม่มุ่งเน้นในสิ่งที่คนอื่นคิดกับฉัน แต่ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และค้ำจุนหลักปฏิบัติได้ ฉันก็ให้การสนับสนุนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงกับคนรอบตัวได้ ฉันยังรู้สึกสบายใจและสงบสุขด้วยค่ะ
ต่อมา ฉันสังเกตว่าพี่สาวคนหนึ่งชอบผัดวันประกันพรุ่งและเอาแต่ใจในการทำหน้าที่ จนทำให้เกิดปัญหามากมายที่ไม่คาดฝัน เธอเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ และคิดลบกับมันจริงๆ ฉันเห็นว่า ปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากทัศนคติต่อหน้าที่ของเธอ ฉันจึงอยากหยิบเรื่องนี้มาพูด แต่แล้ว ฉันก็คิดว่า “เธอรู้สึกแย่และหมดกำลังใจอยู่แล้วนะ ถ้าฉันพูดเกี่ยวกับปัญหาของเธออีก มันจะไม่เป็นการซ้ำเติมเข้าไปอีกหรือ ถ้าเธอเกิดคิดลบไปมากกว่านี้ คนก็จะพูดกันได้ ว่าฉันขาดความเป็นมนุษย์ ไม่ให้อภัยคน แล้วฉันก็จะถูกขับไล่” ฉันคิดว่า ถ้าหาทางแก้ไขปัญหาในหน้าที่ของเธอให้ได้ก็พอ แล้วฉันก็คงไม่ต้องพูดถึงปัญหาของเธอ จากนั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันกำลังทำตัวตามหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานอีกแล้ว ถ้าฉันไม่แสดงปัญหาให้พี่สาวคนนี้เห็น เธอคงไม่เห็นความเสื่อมทรามของตัวเอง และแบบนั้นก็คงไม่ช่วยอะไรเธอเหมือนกัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหา ความจริงที่ฉันควรเข้าสู่ ในสถานการณ์นั้น หลังจากนั้น ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “พระเจ้าไม่มีวันไม่แน่พระทัยหรือลังเลในการกระทำของพระองค์ หลักธรรมและจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ทั้งหมดมีความชัดเจนและโปร่งใส บริสุทธิ์และไร้ข้อบกพร่อง โดยไม่มีกลโกงหรือกลอุบายใดๆ ผสมปนเปอยู่ภายใน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่ประกอบด้วยความมืดหรือความชั่ว” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) “พระเจ้าไม่ทรงกำกับควบคุม พระองค์ไม่ทรงด่างพร้อยโดยแนวคิดของมนุษย์ สำหรับพระองค์แล้ว หนึ่งคือหนึ่ง และสองคือสอง ถูกคือถูก และผิดคือผิด ไม่มีความกำกวมเลย” (“มีเพียงการเชื่อฟังอย่างแท้จริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อที่แท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะนี้แสดงให้ฉันเห็น ว่าพระเจ้าทรงมีหลักการในพระดำรัสและกิจการของพระองค์มาก และทรงรู้ว่าพระองค์โปรดหรือไม่โปรดอะไร พระเจ้าทรงเห็นชอบ เมื่อมนุษย์ทำในสิ่งทางบวก แต่เมื่อมนุษย์ต่อต้านความจริง และทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย พระองค์ก็ทรงเกลียดชังสิ่งนี้ พระเจ้าทรงชัดเจนในการกระทำของพระองค์มาก—ไม่มีความคลุมเครือใดเลย สิ่งนี้ ทำให้ฉันคิดถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน เปโตรได้กล่าวว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” (มัทธิว 16:22) ทว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” (มัทธิว 16:23) เมื่อตรัสเช่นนี้ เปโตรได้เข้ามาขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงระบุ ว่าสิ่งนี้มาจากซาตาน องค์พระเยซูเจ้า มิได้ทรงลังเลจากความกลัว ทำร้ายความนับถือในตัวเองของเปโตร หรือทำให้เขาไม่พอใจ พระองค์ทรงกำหนดชัดเจนตามการกระทำของเปโตร เขาจะได้เห็นถึงเจตคติที่ชัดเจนของพระเจ้า และได้รู้ถึงธรรมชาติแห่งการกระทำของตน เจตคติของพระเจ้าต่อมนุษย์ ทำให้ฉันเห็นถึงหลักแห่งการปฏิบัติ ความอดทนและอดกลั้น จำเป็นต่อปัญหาบางประการของพี่น้องชายหญิง แต่ถ้าบางสิ่งเกิดส่งผลต่อหน้าที่ของพวกเขา หรือกีดขวางงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งนั้นก็จำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรม และยึดมั่นในหลักปฏิบัติแห่งความจริง ฉันจะเป็นคนชอบเอาใจคนอื่นที่เดินทางสายกลางไม่ได้ ฉันรู้ว่า พี่สาวกำลังรู้สึกในแง่ลบ แต่ด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้อง ไม่มีการดูถูกหรือด่าว่าเธออย่างหมดความอดทน แต่กลับสามัคคีธรรมบนความจริงอย่างเปี่ยมด้วยความรักเพื่อช่วยวิเคราะห์ปัญหาของเธอ เธอก็เข้าใจความเสื่อมทรามของตนได้ จากนั้น เราก็สามารถแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ และฉันก็ทำหน้าที่ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ หลังจากนั้น ฉันตามหาเธอเพื่อสามัคคีธรรมเรื่องปัญหา รวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับมุมมองที่ผิดพลาดของเธอ ฉันยังได้แบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองเพื่อเป็นแนวทางด้วย ตอนแรก ฉันกลัวว่าการสามัคคีธรรมแบบนั้นจะรุนแรงเกินไป และเธออาจจะรับไม่ไหว แต่พอสามัคคีธรรมเสร็จ เธอไม่ได้เศร้าซึมกว่าเดิม หรือมีอคติกับฉันอย่างที่คิด แต่เธอกลับพูดด้วยความจริงใจมากๆ ว่าเมื่อก่อนเธอไม่เข้าใจปัญหาของตัวเองเลย และเธอก็ยอมรับได้ที่ถูกจัดการในทางนั้น ทัศนคติต่อหน้าที่ของเธอดีขึ้นหลังจากนั้น และเธอก็เริ่มตั้งใจแสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริง เห็นแบบนี้ฉันก็ดีใจมากเลยค่ะ การปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของฉันตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามันรู้สึกดีมากๆ
ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ฉันมักจะกลัวว่า จะทำให้ผู้คนอับอายเพราะออกตัวแรงเกินไป ฉันจึงรับมือกับความสัมพันธ์ ตามหลักปรัชญาทางโลก มันช่างเป็นหนทางในการดำเนินชีวิตที่เหนื่อยเหลือเกิน ผ่านประสบการเหล่านี้ รวมถึงการทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้เรียนรู้ว่า การเป็นคนดีที่แท้จริงคืออะไร ฉันยังได้รับประสบการณ์ ว่าการค้ำจุนหลักปฏิบัติแห่งความจริง และปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าเมื่อปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งอีกด้วย นั่นคือหลักปฏิบัติแห่งความประพฤติอันดีที่แท้จริงค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!