45. ออกจากโรงพยาบาลบ้า
เดือนมกราคม ค.ศ. 2012 ฉันยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจากรับเชื่อ อาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบและข้อไหล่ติดอย่างรุนแรงที่ฉันทนทุกข์มานานเพราะโหมทำธุรกิจหนักเกินไป ก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ สามีกับลูกชายของฉันตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่—ก่อนหน้านี้แขนของฉันทั้งสองข้างเจ็บมากจนฉันแทบจะยกแขนไม่ขึ้น แม้แต่จะหวีผมหรือแต่งตัวก็ยังยากเย็น และยาก็ไม่ช่วยอะไร เมื่อเห็นว่าฉันมีอาการดีขึ้น ทั้งสองก็สนับสนุนความเชื่อของฉันอย่างมาก แต่ว่าหลายเดือนต่อมา สามีของฉันเห็นเรื่องโกหกบางอย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์เผยแพร่ไว้ทางออนไลน์เพื่อป้ายสี โจมตี และกล่าวโทษคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และนับแต่นั้นมาเขาก็เริ่มต่อต้านความเชื่อของฉัน เขาบอกว่า “รัฐบาลต่อต้านพระเจ้าองค์นี้ของคุณ ถ้าสุดท้ายคุณถูกจับเพราะเรื่องนี้ ก็อาจส่งผลต่ออาชีพของลูกชายพวกเราได้ คุณควรล้มเลิกความเชื่อนี้เสีย” ครั้งหนึ่ง ตอนฉันเพิ่งกลับมาจากการแบ่งปันข่าวประเสริฐ เขาพูดด้วยสีหน้าโมโหว่า “กองพลความมั่นคงแห่งชาติโทรหาผมและถามว่าคุณเป็นผู้เชื่อหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นแบบนั้น คุณต้องส่งมอบหนังสือของคุณเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขายังขอให้ผมระบุตัวคนจากรูปถ่ายจำนวนมากอีกด้วย ถ้าคุณยังเชื่อต่อไป คุณจะถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจนะ” ฉันตอบว่า “ความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และฉันไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย พวกเขาไม่มีสิทธิ์!” เขาพูดว่า “ซื่อเหลือเกินนะคุณ! พรรคคอมมิวนิสต์จีนเขม่นผู้เชื่ออย่างคุณเป็นพิเศษ ถ้าคุณเชื่อต่อไป พวกเขาอาจจับคุณและซ้อมคุณได้ แล้วคุณจะเห็นว่าพวกเขาโหดเหี้ยมขนาดไหน คุณจะเชื่อต่อไปไม่ได้แล้ว!” หากสามีต่อต้านความเชื่อของฉัน การเดินบนเส้นทางนี้ก็จะยากขึ้นอย่างแน่นอน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของฉัน และขอให้พระองค์ทรงนำฉันบนเส้นทางข้างหน้า ฉันยังตั้งปณิธานด้วยว่า ไม่ว่าสามีจะขวางทางฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันล้มเลิกความเชื่อ
วันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 ฉันถูกจับและคุมขังเพราะมีคนชั่วแจ้งความว่าฉันประกาศข่าวประเสริฐ วันที่พวกเขาปล่อยตัวฉัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเตือนว่า “พอถึงบ้านแล้ว ก็ล้มเลิกความเชื่อเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกตัดสินโทษเมื่อถูกจับกุม!” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สามีก็มารับตัวฉัน เขาดูกังวล สีหน้าก็แย่มาก เขาตรงเข้าไปในสำนักงานตำรวจ ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยอะไรกันในนั้น พอพวกเราถึงบ้าน ฉันก็เห็นพี่ชาย น้องสาว และน้องเขย ทุกคนยืนอยู่ที่ลานบ้าน พี่ชายของฉันเป็นผู้นำระดับเทศมณฑล และเรื่องโกหกทุกรูปแบบทางออนไลน์ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่กล่าวโทษและหมิ่นประมาทคริสตจักรล้วนผ่านตาเขามาแล้วทั้งนั้น เขาพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ และบอกว่าถ้าฉันไม่เลิกเชื่อ ลูกชายของฉันก็จะถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย และตัวเขาเองก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องและจะพาให้เขาสูญเสียตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ฉันรู้แน่แก่ใจว่าพวกเขามากดดันให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ ฉันจึงรีบกล่าวคำอธิษฐาน ขอพระเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองฉันจากการรบกวนเหล่านี้ พี่ชายฉันพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เธอควรล้มเลิกเรื่องพระเจ้านี่เสีย อยู่กับบ้านและทำตัวดีๆ การดูแลครอบครัวนี้ให้ดีคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอจะทำได้แล้ว ลูกชายเธอก็มีการงานที่ดี ถ้าเธอยังเชื่อต่อไป งานของลูกชายก็จะมีอันตราย เขาจะเกลียดเธอตลอดไปนะ” จากนั้นน้องเขยก็ออกท่าออกทางพลางตะคอกฉันว่า “ความเชื่อในพระเจ้าหรือ? ไหนล่ะพระเจ้า? ผมไม่เชื่อในพระเจ้าและผมก็มีชีวิตที่สมบูรณ์ดี!” แล้วสามีฉันก็พูดอย่างโกรธๆ ว่า “ไม่ง่ายนะที่ลูกชายของพวกเราจะมีคนสังเกตเห็นและได้งานที่ดีสักงาน ถ้าเขาเสียงานไปเพราะความเชื่อของคุณ จะเป็นอย่างไร?” น้องสาวของฉันก็เข้ามากดดันฉันว่า “พี่ควรทิ้งสิ่งนี้ สามีของพี่ดีกับพี่เหลือเกิน แล้วลูกชายก็มีงานดีๆ ทำ นั่นควรจะเพียงพอแล้ว คอยดูแลครอบครัวของพี่ให้ดีก็พอ” พอได้ฟังทั้งหมดนี้ ฉันก็คิดว่า “สามีและฉันทำงานกันหนักมากเพื่อหาเงินให้ได้มากพอที่จะส่งเสียให้ลูกชายได้ร่ำเรียน และตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่ดีแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังใช้การงานของลูกชายฉันมาข่มขู่ให้ฉันทรยศพระเจ้า และถ้าเขาเสียงานเสียการเพราะเรื่องนี้เข้าจริงๆ เขาจะเกลียดฉันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?” แต่ถ้าฉันล้มเลิกความเชื่อของตน นั่นย่อมจะเป็นการทรยศพระเจ้า! ในฐานะผู้เชื่อ ฉันได้เรียนรู้ความจริงบางอย่าง และฉันรู้ว่าการนมัสการพระเจ้าในฐานะสิ่งทรงสร้างคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและชอบธรรมโดยสมบูรณ์ และเป็นเส้นทางที่ถูกต้องและควรเดิน พระเจ้าทรงรักษาอาการบาดเจ็บของฉัน เมื่อได้ชื่นชมพรมากมายอย่างนั้นที่พระเจ้าประทานมา ฉันก็ไม่อาจไร้มโนธรรมเช่นนั้นได้ ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ อยู่ในหัวใจว่า “พระเจ้า ครอบครัวของข้าพระองค์พยายามบีบบังคับให้ข้าพระองค์เลิกเชื่อ และข้าพระองค์ก็ไม่รู้สึกยินดีด้วย ได้โปรดประทานความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ฉันได้เห็นว่าเบื้องหลังการที่ครอบครัวรุมต่อว่าฉัน ที่จริงแล้วคือการที่ซาตานกำลังทดลองและโจมตีฉัน ครอบครัวของฉันหลงเชื่อข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารของพรรค และกำลังเอาการงานของลูกชายมาขู่ให้ฉันกลัว เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะหลงกลซาตานไม่ได้ และต้องยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า ลูกชายของฉันจะได้ทำงานอะไรล้วนเป็นไปตามการกำกับดูแลและจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ ดังนั้นฉันจึงพูดว่า “การมีความเชื่อนั้นถูกต้องและเหมาะสม ทั้งยังเป็นเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และฉันก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายข้อไหน การที่พรรคคอมมิวนิสต์จับกุมฉันและลากทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือความชั่วของพรรคเอง ทุกคนไม่ควรที่จะพลอยกดขี่ฉันไปพร้อมกับพรรคหรือขัดขวางความเชื่อของฉัน ทุกคนก็รู้ว่าก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า อาการบาดเจ็บของฉันเลวร้ายจนฉันถึงกับดูแลตัวเองไม่ได้ พอได้รับเชื่อ ฉันก็หายสนิท ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าทั้งนั้น ถ้าฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะยังมีมโนธรรมอยู่หรือ? นับแต่รับเชื่อมา ไม่เพียงอาการบาดเจ็บของฉันจะหายดีเท่านั้น แต่ฉันยังมาเข้าใจความจริงอีกมากมายด้วย หัวใจของฉันเต็มอิ่ม และฉันได้สัมผัสความเบิกบานมากเหลือเกิน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่วิเศษ แต่พวกเธอไม่เข้าใจและเข้าข้างพรรคคอมมิวนิสต์ คัดค้านความเชื่อของฉัน พวกเธอเอาแต่สับสนและแยกแยะถูกผิดไม่เป็น! ไม่ว่าทุกคนจะต่อต้านอย่างไร ฉันก็จะยึดมั่นในเส้นทางความเชื่อของฉัน” สามีของฉันชี้หน้าฉันและพูดอย่างฮึดฮัดว่า “เธอนี่สิ้นคิด!” แล้วเขากับพี่ชายของฉันก็สบตากัน แล้วเดินไปที่หลังบ้านด้วยกัน ฉันสับสน พวกเขากำลังคุยอะไรกันถึงต้องลับๆ ล่อๆ อย่างนั้น? ไม่นานนักพี่ชายก็กลับมาและส่งสายตาให้น้องสาวของฉัน แล้วพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัยว่า “พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ!” น้องสาวและลูกเขยของเธอตรงเข้ามาหาฉัน แล้วดึงมือฉันคนละข้างไปที่รถ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างชอบกล ฉันสะบัดมือพวกเขาหลุดและพูดว่าฉันไม่อยากไป แต่พวกเขาก็เอาแต่ผลักฉันเข้าไปในรถ หลังจากขับไปได้ครึ่งชั่วโมง รถก็จอด ฉันแปลกใจที่เห็นพวกเรามาที่โรงพยาบาลจิตเวช พี่ชายและสามีฉันลงจากรถ ฉันอยากจะหนี แต่ก็ถูกขังอยู่ในรถ ฉันเห็นพวกเขาเดินไปที่ออฟฟิศของโรงพยาบาล และรู้สึกโกรธและขยะแขยง ฉันทำใจเชื่อไม่ลงว่าพวกเขาพาฉันมายังสถานที่แบบนี้ พวกเขาช่างไม่มีหัวใจ คนที่ได้ชื่อว่ารักกันทั้งนั้น! ฉันนึกถึงที่สามีคุยสั้นๆ กับตำรวจตามลำพังตอนที่เขาไปพบฉันที่สถานีตำรวจ และนึกถึงที่ครอบครัวของฉันส่งสายตาให้กันอย่างมีความหมายตอนที่พวกเขาพูดว่าพวกเราจะไปหาอะไรกิน ฉันตระหนักว่านี่น่าจะเป็นแผนการที่ตำรวจคิดให้ พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อจะให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งจนน้ำตารื้น ฉันพูดกับน้องสาวอย่างขุ่นเคืองว่า “ทุกคนพาฉันมาที่นี่เพื่อให้ฉันถูกทรมาน เพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น พวกเธอนั่นละที่เป็นบ้า! สิ่งที่ทุกคนทำอยู่นี้ล่วงเกินสวรรค์และผิดหลักเหตุผล ทุกคนจะได้รับการลงโทษของตน!” ตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่สองคนก็ออกมาจากโรงพยาบาล ถือเครื่องผูกยึดมาสวมให้ฉัน สามีฉันและพี่ชายเอาแต่ยืนมองอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันหัวใจสลายและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ฉันไม่เคยนึกฝันเลยว่าพี่ชายและสามีของฉันจะฟังคำพูดเยี่ยงมารของพรรคคอมมิวนิสต์จริงๆ เพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง เพียงเพื่อเลี่ยงการติดร่างแหไปด้วย และจับฉันส่งโรงพยาบาลจิตเวชซึ่งเป็นที่ที่ฉันจะถูกทรมาน โดยไม่คิดเลยว่าฉันจะอยู่หรือตายในเมื่อฉันปกติดีทุกอย่าง พวกเขาไม่ใช่คนที่รักกันประเภทไหนเลย—พวกเขาคือปีศาจ! พอคิดแบบนั้น ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ฉันไม่อยากจะมองพวกเขาด้วยซ้ำ ฉันพูดกับเจ้าหน้าที่อย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันไม่ได้ผิดปกติอะไร! พวกเขาหลอกพาฉันมาที่นี่ ให้ฉันมาเป็นผู้ป่วยทางจิตเพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า พวกคุณยังไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำ ทำไมถึงมามัดฉัน?” แต่พวกเขาก็เมินฉันอย่างสิ้นเชิง พวกเขารับตัวฉันไว้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการขั้นรุนแรง และขังฉันไว้ที่แผนกผู้ป่วย 1
ระเบียง ประตู หน้าต่างในแผนกผู้ป่วย 1 ติดลูกกรงเหล็กทั้งหมด ห้องของฉันมีขนาดราว 40 หรือ 50 ตารางฟุตและโล่งหมด มีเพียงเตียงเดี่ยวตัวหนึ่งพร้อมผ้านวมสกปรกผืนหนึ่งที่ยังมีรอยปัสสาวะเก่าๆ อยู่บนผืนผ้านวม มีกลิ่นปัสสาวะฉุน และมีแต่ห้องน้ำรวมของทั้งชายและหญิงซึ่งล็อกอยู่ตลอดเวลาตรงโถงของแผนก ฉันต้องตามหาเจ้าหน้าที่ทุกครั้งที่ต้องการจะใช้ห้องน้ำ และถ้าพวกเขายุ่งอยู่ ก็จะไม่เปิดประตูให้ ฉันก็ต้องกลั้นเอาไว้ โรงพยาบาลเต็มไปด้วยเสียงคนไข้จิตเวชร้องคร่ำครวญตลอดเวลา บางครั้งพวกเขาก็ร้องเพลงหรือร้องไห้ หรือเริ่มตะโกน “ปล่อยฉันออกไป! ปล่อยฉันออกไป!” พวกเขายังตบลูกกรงเหล็กไม่หยุดอีกด้วย ที่นั่นฟังดูเหมือนเต็มไปด้วยฝูงผีที่กรีดร้องและฝูงหมาป่าที่เห่าหอน ทำให้เลือดในตัวฉันเย็นเฉียบ “นี่เป็นสถานที่สำหรับมนุษย์แบบไหนกัน? ทันทีที่ตำรวจปล่อยตัวฉัน ครอบครัวของฉันเองก็ส่งฉันมาทรมานอยู่ในโรงพยาบาลบ้า นี่คือการโจนออกจากกระทะลงไปในกองไฟ ฉันจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครอบครัวของฉันก็จะไม่ทำกับฉันอย่างนี้” ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่และเริ่มร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ขณะที่ร้องไห้อยู่นั้น ฉันก็คิดถึงพวกเราพี่น้องชายหญิงในการชุมนุม ขับร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีพระเจ้า ฉันอยากจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันเคียงข้างพวกเขาอย่างมาก แต่ฉันออกไปไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะถูกขังอยู่ในนี้อีกนานเท่าไร เมื่อไรความทุกข์ของฉันจะจบสิ้นลง? ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ถูกขังอยู่กับคนไข้จิตเวช ข้าพระองค์ทุกข์ใจเหลือเกิน พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปอย่างไร ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังการอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ฉันเข้าใจว่าในประเทศจีนนี้ ผู้เชื่อทั้งหลายต้องก้าวผ่านการถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหงอย่างมากมาย เพราะพรรคคือศัตรูคู่อาฆาตของพระเจ้า ที่จะไม่ยอมให้ผู้คนมีความเชื่อและติดตามพระเจ้า พรรคจับกุมและข่มเหงเหล่าผู้เชื่ออย่างเสียสติ แพร่ข่าวลือและเรื่องโกหกสารพัดชนิด และกล่าวโทษคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ไม่รู้ความจริง พรรคดึงสมาชิกครอบครัวของผู้เชื่อให้เข้ามาติดร่างแหไปด้วย ทำลายอาชีพและอนาคตทางการงานของพวกเขา กระตุ้นให้ครอบครัวของผู้เชื่อเกลียดชังพวกเขา และใช้ครอบครัวมาบีบบังคับให้ผู้เชื่อทรยศพระเจ้า พรรคช่างชั่วจนน่าดูหมิ่น! แม้ว่าการถูกพรรคข่มเหงเช่นนี้จะทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างมาก แต่ก็ทำให้ฉันมองแก่นแท้อันชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์ออก และยังเป็นการทดสอบที่พระเจ้าทรงมีต่อความเชื่อของฉันอีกด้วย ฉันต้องพึ่งพิงพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า พอคิดแบบนี้ ฉันก็อธิษฐานขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันและปกป้องคุ้มครองฉันจากความทุกข์ร้อนที่ซาตานและพวกวิญญาณชั่วนำมาให้ ยิ่งพญานาคใหญ่สีแดงกดขี่ฉัน ฉันก็ยิ่งจะเชื่อในพระเจ้า
วันต่อมาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของโรงพยาบาลนำยามาให้ฉันกิน ฉันบอกเขาด้วยความเดือดดาลว่า “ฉันไม่ได้ผิดปกติอะไร ฉันปกติดีทุกอย่างและจะไม่กินยานี่!” ฉันยืนกรานว่าจะไม่ยอมกินยา ในวันที่สามมีคนที่มีอาการขั้นรุนแรงเข้ามารักษาตัว และฉันถูกย้ายไปอยู่แผนกผู้ป่วย 3 เพราะแผนกผู้ป่วย 1 ไม่มีเตียงว่างเลย แผนก 3 นี้ไม่ได้ถูกควบคุมเข้มงวด—ฉันสามารถออกจากห้องตัวเองไปทำอะไรต่างๆ ได้ ฉันได้เห็นว่ากางเกงของคนไข้บางคนเก่าบางมากจนเห็นบั้นท้ายของพวกเขา ใบหน้าและลำคอของพวกเขามอมแมมมาก และผมเผ้าก็เหมือนกับรังนก เสื้อผ้าบางคนสกปรกจนดูเหมือนมันเยิ้ม—น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ ฉันมีเพื่อนร่วมห้องสองคนในแผนกผู้ป่วยนั้น คนหนึ่งมีดวงตาที่ไร้แววและหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ และบางครั้งก็จะพูดพึมพำกับตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนอีกคนหนึ่งจะเดินไปเดินมาไม่หยุดตรงโถงทางเดินทุกเช้า สูบบุหรี่ไปด้วย ทั้งสองทำให้ฉันกลัวจริงๆ ฉันกลัวว่าในช่วงที่อาการกำเริบ พวกเขาอาจจะตีฉันหรือทึ้งผมฉันตอนที่ฉันเผลอ หรืออาจจะบีบคอฉันจนตายตอนฉันหลับ ฉันจึงไม่เคยหลับลึกในเวลากลางคืน ทุกครั้งฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้าซ้ำๆ อย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงอารักขาฉัน นั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะผ่อนคลายพอที่จะนอนหลับพักผ่อนได้บ้าง ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่หนึ่งคนแวะมาให้ยาพวกเราทีละคน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูพวกเรา ฉันจึงต้องกินยา บางครั้งเวลาที่พวกเขาไม่ได้มองมา ฉันก็จะเอาไปทิ้ง คนไข้อีกคนเคยเห็นฉันทิ้งยาและบอกฉันว่า “คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ ฉันเคยถูกเจ้าหน้าที่จับได้ว่าโยนยาทิ้งครั้งหนึ่ง เขาตบฉันสองครั้ง แล้วเอาหลอดพลาสติกมาเสียบเข้ารูจมูกฉัน และกรอกยาเข้าทางนั้น เจ็บมาก” ฉันไม่เคยรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นบอกเจ้าหน้าที่เรื่องฉันโยนยาทิ้งหรือเปล่า แต่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลก็จับตาดูคนไข้กินยาอย่างใกล้ชิดขึ้นหลังจากนั้น พวกเจ้าหน้าที่จะยืนที่โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงสองฟุตทุกวันเพื่อตรวจตราพวกเรา ให้พวกเราเปิดปากและเอาไฟฉายส่องดูว่าพวกเรากลืนยาลงไปแล้วหรือไม่ ฉันจึงต้องกินยาเม็ดเหล่านั้นอย่างไม่มีทางเลือก
ไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็มาตรวจดูห้องหับต่างๆ และจู่ๆ ก็ถามฉันว่า “มหาพิบัติจะเกิดในวันที่ 21 ใช่ไหม?” ฉันคิดว่าคำถามนั้นประหลาดมาก และพูดว่า “มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่บอกได้ว่าความวิบัติจะมาเมื่อไร” คำตอบของเขาคือ “ผมมองเห็นได้ละว่าคุณไม่สบายจริงๆ พวกเราจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาให้คุณ” หลังจากนั้นฉันต้องกินยาสองเม็ดแทนที่จะเป็นหนึ่งเม็ด ฉันเดือดดาลมาก ผู้อำนวยการนั่นไม่รู้เลยว่าฉันผิดปกติจริงหรือไม่ แต่กลับเพิ่มยาให้ฉันเป็นสองเท่าเอาดื้อๆ เขาไม่สนใจชีวิตมนุษย์เลย โรงพยาบาลควรเป็นสถานที่รักษาอาการเจ็บไข้ แต่นี่กลับกลายเป็นที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์สามารถข่มเหงคริสเตียน พวกเขาทำร้ายฉันอย่างมุ่งร้ายเพียงเพราะความเชื่อของฉัน ฉันเกลียดชังพรรคอย่างถึงแก่น
สิบวันหลังจากที่ฉันกินยา ฉันเริ่มรู้สึกอ่อนแอมาก แค่เดินก็ยังลำบาก ฉันนึกอยู่ว่าเพียงกินยาเข้าไปหลายวัน ฉันยังเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ฉันเป็นห่วงว่าถ้าขืนกินต่อไป ยาจะต้องทำให้ฉันป่วยแน่นอน ต่อให้ฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมาแต่แรกก็ตาม แล้วเมื่อเผชิญหน้าผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมดนั้นทุกวัน รู้สึกทุกข์ใจและซึมเศร้า ฉันก็พลอยรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มมีปัญหาทางจิตจากการถูกทรมานนั่น ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าบ่อยครั้งยามที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ขอให้พระองค์ทรงนำฉันและประทานความเชื่อแก่ฉัน ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งหลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปลดปล่อยลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ เขาตายมาสี่วันและร่างของเขาก็ส่งกลิ่นแล้ว แต่พระเจ้าก็ทรงนำเขากลับมาจากความตายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระเจ้านั้นทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงกำกับดูแลชะตากรรมของมวลมนุษย์ ชีวิตของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกันมิใช่หรือ? ฉันนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) ยานั่นจะทำให้ฉันเป็นบ้าหรือไม่ และฉันจะได้ออกไปเมื่อไร ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยความเชื่อและด้วยการพึ่งพิงพระเจ้า ความคิดนี้มอบความเชื่อให้แก่ฉัน และฉันก็ไม่รู้สึกกลัวมากขนาดนั้นอีกต่อไป
เย็นวันหนึ่งในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ฉันครุ่นคิดถึงการโทรศัพท์หาครอบครัวเพื่อดูว่าฉันจะออกไปเร็วขึ้นได้ไหม เช้าวันต่อมาสามีของฉันก็ขับรถมาที่โรงพยาบาล ฉันบอกเขาว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับมนุษย์ ว่าขืนอยู่นานเกินไป คนดีๆ อาจกลายเป็นบ้าไปได้ และว่าเขาควรพาฉันออกไปเสีย เขาโทรหาพี่ชายของฉันเพื่อหารือกัน และฉันได้ยินพี่ชายพูดมาตามสายว่า “เธอต้องเลิกล้มความเชื่อของเธอ! ให้เธอเซ็นรับรองว่าจะล้มเลิกความเชื่อก่อน ถึงจะให้ออกมาได้ ให้เธอตายในนั้นได้เลย ถ้ายังจะเชื่อต่อไป” ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายของฉันจะพูดอะไรแบบนั้น ได้ยินแล้วสะท้านใจจริงๆ นี่คือครอบครัวประเภทไหนกัน? นี่ก็แค่มารตนหนึ่งเท่านั้น! พอเห็นว่าสามีของฉันไม่มีเจตนาที่จะเอาฉันออกไป ฉันก็คิดว่า “ถ้าเขาปล่อยฉันไว้ที่นี่และทอดทิ้งฉัน ไม่ให้มีวันถูกปล่อยตัว แล้วฉันจะปฏิบัติความเชื่ออย่างไร?” ดังนั้นฉันจึงแสร้งทำทีว่าตกลง หลังจากที่เขาพาฉันกลับบ้าน เขาก็คอยตามฉันไปทุกที่ทั้งวันและทุกวัน เขาไม่ยอมให้ฉันไปร่วมการชุมนุมหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า บางครั้งระหว่างที่ฉันนอนพักในช่วงบ่าย เขาถึงกับเข้ามาดูว่าฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่หรือเปล่า ฉันจึงทำได้เพียงแอบอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยเครื่องเล่นเอ็มพีห้าเวลาที่เขาไม่ได้มาสนใจมอง และแล้วในเช้าวันหนึ่ง เขาก็จับได้ตอนฉันกำลังชาร์จแบต เขายึดเครื่องไปและตะคอกฉันอย่างโกรธจัดว่า “คุณยังเชื่ออยู่ได้อย่างไร? ถ้าคุณถูกจับแล้วต้องเข้าคุก และลูกชายของพวกเราเสียการเสียงานเพราะคุณ คุณจะมองหน้าเขาได้อย่างไร? คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามพระเจ้าอีกแล้ว!” ตอนที่เขาพูดเช่นนี้ เขาผลักฉันอย่างแรง และหัวของฉันก็ชนขอบเตียงเสียงดัง ฉันคิดในใจว่าฉันแค่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขากลับทำกับฉันแบบนี้ เขาไม่เพียงส่งฉันเข้าโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ตอนนี้ยังลงไม้ลงมือกับฉันด้วย ทั้งยังจะไม่ยอมให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า เมื่อรู้สึกแย่ลงทุกที ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! สามีของข้าพระองค์บังคับขู่เข็ญข้าพระองค์อย่างหนัก และข้าพระองค์ก็อ่อนแอ ไม่รู้ว่าจะอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไปอย่างไรดี ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด!” หลังการอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้นั้น พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า พวกเขาถูกโลกประกาศตัดขาด ชีวิตในบ้านของพวกเขามีปัญหา พวกเขาไม่เป็นที่รักของพระเจ้า และความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขามืดมัว ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง! พระเจ้าทรงใคร่กระหายที่จะให้มนุษย์รักพระองค์ แต่ยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด ความทุกข์ของมนุษย์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมนุษย์รักพระองค์มากขึ้นเท่าใด บททดสอบของมนุษย์ก็จะหนักหนาขึ้นเพียงนั้น… ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) ด้วยการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเริ่มชัดเจนว่าถึงแม้การบังคับขู่เข็ญและความทุกข์ลำบากที่ฉันเผชิญจะทำให้ฉันทุกข์ทน แต่ถ้าไม่มีสถานการณ์เหล่านี้มาเปิดโปง ฉันก็จะไม่เห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของตนเอง หรือสามารถที่จะมีความเชื่อที่แท้จริง มีคุณค่าอยู่ในการทนทุกข์กับความยากลำบากเหล่านี้ แต่ฉันไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และเพราะฉันไม่สามารถสู้ทนความทุกข์ ฉันจึงคิดลบและอ่อนแอ ฉันได้เห็นว่าตัวเองช่างขลาดนัก การเปิดเผยข้อเท็จจริงยังทำให้ฉันมองเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจนอีกด้วย เพื่อที่จะกดดันให้ฉันทอดทิ้งพระเจ้า สามีของฉันไม่สนใจว่าฉันจะอยู่หรือตาย พาฉันไปที่โรงพยาบาลจิตเวชด้วยตนเอง และตอนนี้ยังถึงกับทำร้ายฉัน—ฉันมองเห็นอย่างแท้จริงว่าเขาคือปีศาจที่เกลียดและต่อต้านพระเจ้า ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) สามีกับฉันคือคนสองประเภทที่แตกต่างกันบนสองเส้นทางที่ต่างกัน ฉันจะติดตามพระเจ้าต่อไปไม่ว่าสามีจะกดขี่ฉันอย่างไร ฉันจะไม่ให้เขาฉุดรั้งฉันไว้อีกแล้ว ดังนั้นฉันจึงพูดกับเขาว่า “พวกเราหย่ากันเถอะ คุณอยู่บนวิถีของทางโลก ไล่ตามไขว่คว้าเงินทอง ส่วนฉันอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อ เราสองอยู่บนเส้นทางที่ต่างกันและไม่มีอะไรเหมือนกันเลย คุณกลัวแทนลูกชาย อย่างนั้นพวกเราก็ควรหย่าขาด แบบนั้นความเชื่อของฉันก็จะไม่ส่งผลถึงพวกคุณสองคน ฉันไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ ของพวกเราเลย ฉันต้องการเพียงห้องหนึ่งห้อง สถานที่ให้ใช้ชีวิต ตราบใดที่ฉันติดตามพระเจ้าได้ ตราบนั้นฉันก็ไม่เป็นไร” เขาพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดี ผมไม่ต้องการหย่า” ฉันบอกเขาว่า “ถ้าคุณไม่ต้องการหย่า ก็คืนอิสรภาพของฉันให้ฉันมา ฉันเป็นผู้เชื่อ และคุณจะมาขวางฉันไม่ได้” เขาพูดว่า “คุณมีอิสระได้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องลงชื่อทำข้อตกลงกับผมว่าคุณจะเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” ฉันก็พูดว่า “ฉันต้องรักษาความเชื่อของตัวเองเอาไว้—ฉันลงชื่อทำข้อตกลงนั่นไม่ได้” เขาพูดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นพอเห็นว่าเขากีดกันไม่ให้ฉันเชื่อไม่ได้ เขาก็ไม่ขัดขวางฉันในการปฏิบัติตามความเชื่อมากนัก ฉันสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ได้ตามปกติ
เวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง และแล้วค่ำวันหนึ่ง ฉันก็ไปพบพี่น้องหญิงที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อหารือเรื่องการให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ทันทีที่พวกเรานั่งลง ลูกชายของฉันก็ปรากฏตัวและพูดกับพี่น้องหญิงอย่างโกรธจัดว่า “คุณเป็นคนทำให้แม่ของผมรับเชื่อ!” แล้วเขาก็พยายามจะทำร้ายเธอ ฉันรีบเอาแขนโอบรัดตัวเขาเพื่อดึงเขาเอาไว้ เขาลากฉันกลับบ้านด้วยความเดือดดาลและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “แม่ต้องล้มเลิกความเชื่อนี้ ดูสิ่งที่พวกเขาพูดถึงคริสตจักรของแม่ทางออนไลน์สิ!” แล้วเขาก็ทวนซ้ำเรื่องโกหกสองสามเรื่องที่พรรคคอมมิวนิสต์ป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “พ่อ โทรหาโรงพยาบาลจิตเวชแล้วส่งแม่กลับเข้าไปที่นั่นที!” ฉันรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันไม่เคยคิดว่าลูกชายจะส่งแม่ของเขาเองเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเพียงเพื่องานของเขาเท่านั้น ช่างโหดเหี้ยม! ฉันได้ยินเสียงสามีโทรศัพท์หาสถาบันนั่น และได้ยินพวกเขาพูดกันทางโทรศัพท์ว่าทางนั้นเตียงเต็ม สามีฉันวางสายและพูดว่า “โทรตามตำรวจให้มาจับแม่ของลูกไปกันเถอะ” ลูกชายของฉันตอบว่า “จะให้แม่ถูกขังไว้ที่นั่นไม่ได้ เอาอย่างนี้ พวกเราขังแม่ไว้ในห้องมืดที่เคยใช้เลี้ยงกระต่ายนั่นดีไหม?” แล้วพวกเขาสองคนก็ออกแรงหิ้วฉันเข้าไปในห้องนั้น ล็อกประตูเหล็กแล้วจากไป การได้เห็นว่าสามีกับลูกชายถูกพรรคหลอกให้โหดร้ายกับฉันถึงเพียงนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ และฉันยิ่งเกลียดพรรคคอมมิวนิสต์อย่างสุดขั้วหัวใจเข้าไปใหญ่ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินแห่งความโสมมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้? มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาไว้แน่น กษัตริย์แห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนถึงทุกวันนี้ที่มันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้… เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พรรคจับกุมและข่มเหงคริสตชน แพร่ข่าวลือและเรื่องป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สารพัดชนิด และดึงสมาชิกครอบครัวของพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ครอบครัวฉันจึงถูกพรรคชักจูงให้เข้าใจผิดและคล้อยตามการใช้กำลังบังคับขู่เข็ญของทางพรรคเรื่องความเชื่อของฉัน ถึงขั้นพาฉันไปโรงพยาบาลจิตเวชที่ซึ่งฉันถูกทรมาน และคราวนี้ก็จับฉันขังอีก ครอบครัวที่มีความสุขสมบูรณ์กลับถูกลดทอนให้เป็นอย่างนี้ พรรคคือตัวการที่แท้จริง และฉันเกลียดมารตนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่นานนัก ลูกชายของฉันก็เอาเก้าอี้ตัวเตี้ยมานั่งอยู่ด้านนอกประตูเหล็กแล้วพูดว่า “แม่ แม่ควรเลิกเชื่อในพระเจ้า แม่ทำงานหนักมากตอนทำธุรกิจและการหาเงินส่งผมเรียนก็ไม่ง่าย ตอนนี้ผมทำงานแล้วและพอมีเงินอยู่บ้าง ผมออกเงินให้แม่ไปเที่ยวดีไหม?” พอเขาพูดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่านี่คือเล่ห์กลของซาตาน ฉันจึงบอกเขาว่า “ก่อนมาเป็นผู้เชื่อ แม่แค่อยากหาเงิน นั่นเป็นหนทางชีวิตที่ยากลำบากและเหนื่อยล้า ตอนนี้เมื่อแม่ได้พบพระเจ้าและเข้าใจความจริงบางอย่าง ชีวิตของแม่เป็นอิสระขึ้นและมีความสุขขึ้นมาก ทั้งสองคนปล่อยให้แม่เป็นตัวของตัวเองไม่ได้หรือ? ต่อให้ลูกไม่ยอมรับว่าแม่เป็นแม่และพ่อของลูกหย่ากับแม่ แม่ก็จะเชื่อต่อไป แม่แน่วแน่ในเส้นทางนี้” เขาไม่พูดตอบสักคำ เอาแต่เดินจากไป ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ทำให้ความเชื่อของฉันแกร่งขึ้น และฉันรู้สึกแน่วแน่และมีสันติสุขจริงๆ ฉันเริ่มร้องเพลงสรรเสริญเพลงนี้ ความว่า “พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หัวใจของข้าพระองค์เป็นของพระองค์ การกักขังสามารถเพียงควบคุมกายของข้าพระองค์ได้เท่านั้น นั่นไม่สามารถหยุดการก้าวเท้าของข้าพระองค์ในการติดตามพระองค์ได้ ความทุกข์อันเจ็บปวด ถนนที่ขรุขระ ด้วยการทรงนำแห่งพระวจนะของพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ปราศจากความกลัว ด้วยความรักของพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ก็อิ่มเอิบ” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, ทางเลือกที่ไม่ต้องเสียใจภายหลัง) ขณะที่ขับร้องเพลงสรรเสริญนี้ ฉันรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน แม้จะนั่งอยู่ในห้องที่เล็กและมืดจนมองไม่เห็นอะไรรอบตัวนั่น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกทุกข์ใจ เช้าวันรุ่งขึ้นนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะเปิดประตูให้ฉันออกมาและพูดว่า “แม่ คราวนี้พวกเราจะไม่ยุ่งกับแม่แล้ว แม่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” พอเขาพูดแบบนั้น ฉันก็รู้ว่าซาตานได้รับความอับอายและปราชัยแล้ว และฉันขอบคุณพระเจ้า
การก้าวผ่านการถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและถูกครอบครัวของฉันกดขี่ ช่วยให้ฉันมองเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจที่ต่อต้านพระเจ้าของพรรคอย่างถ่องแท้ พรรคจับกุมและข่มเหงผู้เชื่อและเผยแพร่ข่าวลือกับคำพูดเยี่ยงมารทุกรูปแบบเพื่อหลอกลวงผู้คน ทำให้ผู้เชื่อทนทุกข์กับการบังคับขู่เข็ญและการขัดขวางจากครอบครัวของตน พรรคคือจอมวางแผนที่ทำลายครอบครัวของคริสตชน สามีและลูกชายของฉันคล้อยตามพรรค ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญเรื่องความเชื่อของฉันเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง และถึงกับเอาฉันเข้าโรงพยาบาลโดยไม่คิดว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันมองเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าแก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้า และฉันจะไม่ยอมให้พวกเขาเหนี่ยวรั้งฉันไว้อีก ประสบการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรักพวกเรา และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงช่วยพวกเราให้รอดได้ เมื่อฉันทุกข์ใจและอับจนหนทางอย่างที่สุด พระเจ้าก็ใช้พระวจนะของพระองค์มาให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน ชูใจและหนุนใจฉัน และนำฉันผ่านวันเวลาอันยากลำบากนั้น บัดนี้ฉันมีประสบการณ์ด้วยตัวเองว่ามีเพียงความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จริงแท้ ฉันเต็มใจที่จะติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนให้ดี และฉันจะไม่มีวันเสียใจ