บทที่ 113
ปรีชาญาณของเราอยู่ภายในทุกการกระทำที่เราทำ แต่มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกปรีชาญาณนี้ได้แต่อย่างใดเลย มนุษย์สามารถเพียงเห็นการกระทำของเราและวจนะของเราเท่านั้น ไม่เห็นสง่าราศีของเราหรือการปรากฏของภาวะบุคคลของเรา เนื่องจากโดยพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว มนุษย์ขาดพร่องความสามารถนี้ ดังนั้น โดยปราศจากการที่เราทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่มนุษย์ บรรดาบุตรหัวปีของเรากับเราจะหวนคืนสู่ศิโยนและเปลี่ยนรูปสัณฐาน เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นปรีชาญาณของเราและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรา ปรีชาญาณและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรา ซึ่งบัดนี้มนุษย์มองเห็น เป็นแค่ส่วนเล็กส่วนหนึ่งของสง่าราศีของเรา—ไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึงเสียด้วยซ้ำ จากการนี้ สามารถเห็นได้ว่าปรีชาญาณของเราและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรานั้นไม่มีที่สิ้นสุด—ล้ำลึกอย่างมิอาจประเมินวัดได้—และโดยพื้นฐานเบื้องต้นแล้วจิตใจของมนุษย์ไร้ความสามารถที่จะพิจารณาหรือจับใจความสิ่งนั้นได้ การก่อสร้างราชอาณาจักรเป็นหน้าที่ของบรรดาบุตรหัวปี และนี่คืองานของเราเช่นกัน กล่าวคือ นั่นเป็นรายการหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา การก่อสร้างราชอาณาจักรไม่ใช่อย่างเดียวกับการก่อสร้างคริสตจักร เนื่องจากบรรดาบุตรหัวปีของเรากับเราภาวะบุคคลของเรากับราชอาณาจักร เช่นนั้นแล้วเมื่อบรรดาบุตรหัวปีของเรากับเราเข้าสู่ภูเขาศิโยน การก่อสร้างราชอาณาจักรย่อมจะได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การก่อสร้างราชอาณาจักรเป็นขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจ—เป็นขั้นตอนของการเข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณ (อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่เราได้ทำนับตั้งแต่การสร้างโลกนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของขั้นตอนนี้ ถึงแม้ว่าเราจะพูดว่านั่นเป็นขั้นตอนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นไม่ใช่หนึ่งขั้นตอนแต่อย่างใดเลย) ด้วยเหตุนี้ เราจึงใช้พวกคนปรนนิบัติทั้งหมดในงานปรนนิบัติของขั้นตอนนี้ และผลสืบเนื่องที่ตามมาก็คือ ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย ผู้คนจำนวนมากจะพ่ายถอยไป กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดนั้นทำการปรนนิบัติบรรดาบุตรหัวปี ใครก็ตามที่หยิบยื่นความใจดีมีเมตตาต่อพวกคนปรนนิบัติเหล่านี้จะตายโดยคำสาปแช่งของเรา (บรรดาคนปรนนิบัติทั้งหมดเป็นตัวแทนแผนร้ายของพญานาคใหญ่สีแดง และทั้งหมดเป็นสมุนของซาตาน ดังนั้นพวกที่หยิบยื่นความใจดีมีเมตตาจึงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพญานาคใหญ่สีแดงและเป็นของซาตาน) เรารักทั้งหมดที่เรารัก และรังเกียจเป้าของคำสาปแช่งและการเผาผลาญของเราทั้งหมดเป็นอย่างมาก พวกเจ้าก็สามารถทำการนี้ได้ด้วยหรือ? แน่นอนว่าเราจะไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่ยืนต้านเรา อีกทั้งเราจะไม่ละเว้นพวกเขาเลย! ในการทำกิจการแต่ละอย่าง เราจัดการเตรียมการบรรดาคนปรนนิบัติจำนวนมากเพื่อรับใช้เรา ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถเห็นได้ว่าตลอดทั่วทั้งประวัติศาสตร์นั้น การที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหมดได้ทำการปรนนิบัติ และการที่พวกเขาไม่ได้ดังใจเรา ไม่ได้มาจากเรานั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของขั้นตอนของวันนี้ (ถึงแม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะจงรักภักดีต่อเรา แต่ก็ไม่มีคนใดเลยที่เป็นของเรา ด้วยเหตุนี้ วิ่งวุ่นไปทั่วของพวกเขาจึงหมายที่จะสร้างรากฐานของขั้นตอนสุดท้ายนี้สำหรับเรา แต่ความพยายามทั้งหมดของพวกเขานั้นหาประโยชน์อันใดมิได้เลยเท่าที่คำนึงถึงเฉพาะตัวพวกเขาเอง) ดังนั้น ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะมีผู้คนจำนวนมากยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำที่พ่ายถอยไป (เหตุผลที่เราพูดว่า “จำนวนมาก” ก็คือว่า แผนการบริหารจัดการของเราได้ไปถึงบั้นปลายของมันแล้ว การก่อสร้างราชอาณาจักรของเราได้ประสบความสำเร็จ และบรรดาบุตรหัวปีได้นั่งลงบนบัลลังก์) ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะการปรากฏของบรรดาบุตรหัวปี เพราะบรรดาบุตรหัวปีได้ปรากฏ พญานาคใหญ่สีแดงจึงพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ที่จะทำความเสียหายและทำให้ทุกลู่ทางนั้นหมดสิ้นไป มันส่งวิญญาณชั่วทุกประเภทผู้ที่มาปรนนิบัติเรา ผู้ที่ได้แสดงเฉดสีที่แท้จริงของพวกเขาออกมาในช่วงเวลาปัจจุบัน และผู้ที่ได้พยายามที่จะทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงัก เหล่านี้ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งทั้งหลายของโลกฝ่ายวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงไม่เชื่อว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่พ่ายถอยไป กระนั้นเราก็รู้ว่าเราจะทำสิ่งใด เราเข้าใจการบริหารจัดการของเรา นี่คือเหตุผลที่ไม่ปล่อยให้มนุษย์แทรกแซง (สักวันจะมาถึงคราที่วิญญาณชั่วที่ถ่อยสถุลทุกประเภทจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกมัน และพวกมนุษย์ทั้งหมดก็จะเชื่อมั่นอย่างจริงใจ)
เรารักบรรดาบุตรหัวปีของเรา แต่พวกที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงและรักเราด้วยความจริงใจใหญ่หลวง เราไม่รักเอาเสียเลย ในข้อเท็จจริงแล้ว เรารังเกียจพวกเขามากยิ่งกว่าเดิมอีก (ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นของเรา และแม้ว่าพวกเขาจะสาธิตแสดงเจตนาที่ดีและพูดคำพูดอันน่ายินดี แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นกลอุบายของพญานาคใหญ่สีแดง และดังนั้นเราจึงเกลียดชังพวกเขาเข้ากระดูกดำ) นี่คืออุปนิสัยของเรา และนี่คือความชอบธรรมของเราในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกมันได้เลย เหตุใดความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งความชอบธรรมของเราจึงถูกเปิดเผยในที่นี้? จากการนี้ คนเราสามารถล่วงรู้ถึงอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งไม่ยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง เราสามารถรักบรรดาบุตรหัวปีของเราและรังเกียจพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่ใช่บรรดาบุตรหัวปีของเรา (ต่อให้พวกเขาเป็นผู้คนที่จงรักภักดี) นี่คืออุปนิสัยของเรา พวกเจ้าไม่สามารถเห็นได้หรือ? ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คน เราคือพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมปรานีเสมอ และเรารักทุกคนที่รักเรา การตีความนี้ไม่ใช่การหมิ่นประมาทเราหรอกหรือ? เราสามารถรักสัตว์และสัตว์ร้ายได้หรือไม่? เราสามารถรับซาตานเป็นบุตรหัวปีของเราและชื่นชมมันได้หรือไม่? เหลวไหลสิ้นดี! งานของเราดำเนินการเสร็จสิ้นกับบรรดาบุตรหัวปีของเรา และนอกจากบรรดาบุตรหัวปีของเราแล้ว เราไม่มีสิ่งอื่นใดให้รัก (บุตรทั้งหลายและประชากรคือส่วนเพิ่มเติม แต่ไม่สำคัญ) ผู้คนพูดว่าเราเคยทำงานที่ไร้ประโยชน์ไปมากมายเหลือเกิน แต่ในทรรศนะของเรานั้น ในข้อเท็จจริงแล้วงานนั้นมีคุณค่ามากที่สุด และมีความหมายมากที่สุด (การนี้ทั้งหมดทั้งสิ้นหมายถึงงานที่ได้ทำไปในช่วงระหว่างการจุติเป็นมนุษย์สองครั้ง เพราะเราต้องการเปิดเผยอิทธิฤทธิ์ของเรา เราต้องบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำให้งานของเราเสร็จสมบูรณ์) เหตุผลที่เราพูดว่าวิญญาณของเรามาทำงานด้วยตนเองโดยเฉพาะก็คือว่า งานของเรานั้นเสร็จสมบูรณ์ในเนื้อหนัง กล่าวคือ บรรดาบุตรหัวปีของเรากับเราเริ่มเข้าสู่การหยุดพัก สงครามกับซาตานในเนื้อหนังนั้นดุดันกว่าสงครามกับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณ พวกมนุษย์ทั้งหมดสามารถเห็นการนั้นได้ ดังนั้นแม้กระทั่งพงศ์พันธุ์ของซาตานก็สามารถเป็นพยานอันสวยงามต่อเราได้ และไม่เต็มใจที่จะจากไป นี่คือความหมายในตัวมันเองของการงานทำงานของเราในเนื้อหนัง โดยหลักแล้วมันเป็นไปเพื่อที่จะทำให้พงศ์พันธุ์ของมารลดเกียรติของตัวมารเอง นี่คือความอดสูอันทรงพลังที่สุดที่เกิดขึ้นกับซาตานผู้เป็นมาร ทรงพลังมากจนกระทั่งมันไม่มีที่ใดที่จะซ่อนเร้นความอดสูของมันได้ และขอร้องเพื่อความปรานีต่อหน้าเราซ้ำแล้วซ้ำอีก เราได้ชนะ เราได้มีชัยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้ฝ่าพ้นสวรรค์ชั้นที่สามและไปถึงภูเขาศิโยนเพื่อที่จะมีความผาสุกแบบครอบครัวร่วมกับบรรดาบุตรหัวปีของเรา เพื่อดื่มด่ำอยู่ในการจัดเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ตลอดกาล!
สำหรับบรรดาบุตรหัวปี เราได้จ่ายทุกราคาและรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ในความพยายามของเรา (มนุษย์ก็เพียงไม่รู้ทั้งหมดที่เราได้ทำ ทั้งหมดที่เราได้พูด ข้อเท็จจริงที่เราได้มองทะลุปรุโปร่งถึงวิญญาณชั่วทุกประเภท และข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้เนรเทศคนปรนนิบัติทุกประเภท—มันทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบรรดาบุตรหัวปี) แต่ภายในงานของเราส่วนมาก การจัดการเตรียมการของเราเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แน่นอนว่างานนั้นไม่ได้ถูกกระทำไปอย่างหูหนวกตาบอด ในวจนะของเราในแต่ละวัน พวกเจ้าควรจะสามารถมองเห็นวิธีการของงานของเราและขั้นตอนทั้งหลายของงานนั้น ในการกระทำของเราในแต่ละวัน พวกเจ้าควรเห็นปรีชาญาณของเราและหลักการของเราในการจัดการกับเรื่องราวทั้งหลาย ตามที่เราได้พูดแล้ว ซาตานได้ส่งพวกที่ทำงานปรนนิบัติให้เราเพื่อจุดประสงค์ในการทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงัก บรรดาปรนนิบัติเหล่านี้คือข้าวละมาน กระนั้นคำว่า “ข้าวสาลี” ก็ไม่ได้หมายถึงบรรดาบุตรหัวปี แต่หมายถึงบรรดาบุตรและผู้คนทั้งมวลที่ไม่ใช่บรรดาบุตรหัวปี “ข้าวสาลีจะเป็นข้าวสาลีเสมอ ข้าวละมานจะเป็นข้าวละมานเสมอ” นี่หมายความว่าธรรมชาติของพวกที่เป็นของซาตานไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น สรุปสั้นๆ พวกเขายังคงเป็นซาตาน “ข้าวสาลี” หมายถึงบรรดาบุตรและประชากร เพราะเราได้ปลูกฝังคุณสมบัติของเราไว้ในผู้คนเหล่านี้ก่อนการทรงสร้างโลก เราได้พูดแล้วว่าธรรมชาติของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นคือเหตุผลที่ข้าวสาลีจะเป็นข้าวสาลีเสมอ ดังนั้น เช่นนั้นแล้วสิ่งใดเล่าคือบรรดาบุตรหัวปี? บรรดาบุตรหัวปีมาจากเรา พวกเขาไม่ได้ถูกเราสร้างขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าข้าวสาลี (เพราะการพาดพิงถึงข้าวสาลีครั้งใดก็เชื่อมโยงกับคำว่า “การหว่านเพาะ” เสมอ และ “การหว่านเพาะ” หมายถึง “การสร้าง” ข้าวละมานทั้งหมดถูกซาตานหว่านเพาะอย่างลับๆ เพื่อรับบทเป็นพวกคนปรนนิบัติ) คนเราสามารถเพียงพูดได้ว่าบรรดาบุตรหัวปีคือการสำแดงอันครบบริบูรณ์และเอื้ออารีแห่งภาวะบุคคลของเรา ทองคำและเงินและอัญมณีควรเป็นตัวแทนของพวกเขา การนี้ไปแตะข้อเท็จจริงที่ว่า การมาของเราเป็นเหมือนการมาของขโมยคนหนึ่ง และเราได้มาเพื่อขโมยทองคำและเงินและอัญมณี (เพราะทองคำและเงินนี้และอัญมณีเหล่านี้แต่เดิมนั้นได้เป็นของเรา และเราต้องการนำพวกมันกลับไปยังบ้านของเรา) เมื่อบรรดาบุตรหัวปีกับเราหวนคืนสู่ศิโยนพร้อมกัน ทองคำนี้ เงินนี้ และอัญมณีเหล่านี้จะได้ถูกเราขโมยไปแล้ว ในช่วงระหว่างเวลานี้ จะมีอุปสรรคและการรบกวนของซาตาน และดังนั้นเราจึงจะเอาทองคำ เงิน และอัญมณีไป และเริ่มการสู้รบแบบชี้ขาดกับซาตาน (ตรงนี้ แน่นอนว่าเรามิใช่กำลังเล่าเรื่องราวอยู่ นี่คือเหตุการณ์หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นผู้คนจึงค่อนข้างไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการนั้น และสามารถเพียงได้ยินการนั้นในฐานะเรื่องราวเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นพวกเจ้านี่เองที่จะมองเห็นจากวจนะของเราว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเราคือสิ่งใด และพวกเจ้าต้องไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว วิญญาณของเราจะออกห่างจากมนุษย์ทั้งปวง) ในวันนี้ การสู้รบนี้จบลงแล้วอย่างครบบริบูรณ์ และเราจะนำพาบรรดาบุตรหัวปีของเรา (อันเป็นการนำพาทองคำ เงิน และอัญมณีที่เป็นของเรา) กลับไปยังภูเขาศิโยนของเราพร้อมกับเรา เพราะความหายากของทองคำ เงิน และอัญมณี และเพราะความล้ำค่าของสิ่งเหล่านี้ ซาตานจึงพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ที่จะกระชากเอาสิ่งเหล่านี้ไป แต่เราพูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่าสิ่งที่มาจากเราต้องคืนสู่เรา ซึ่งความหมายของคำพูดนี้ได้ถูกพาดพิงไปแล้วข้างต้น การที่เราพูดว่าบรรดาบุตรหัวปีมาจากเราและเป็นของเรานั้น เป็นการกล่าวประกาศต่อซาตาน ไม่มีใครเลยที่เข้าใจการนี้ และนั่นคือเหตุการณ์หนึ่งของโลกฝ่ายวิญญาณโดยทั้งหมดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า บรรดาบุตรหัวปีเป็นของเรา ในวันนี้ เจ้าควรจะเข้าใจ! เราได้พูดว่าวจนะของเรามีจุดประสงค์และปรีชาญาณ แต่พวกเจ้าเพียงเข้าใจการนี้แต่ภายนอกเท่านั้น—ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่สามารถเห็นการนี้ในวิญญาณได้อย่างชัดเจน
เราพูดมากขึ้นทุกที และยิ่งเราพูดมากขึ้นเท่าใด วจนะของเราก็ยิ่งกลับกลายเป็นเข้มงวดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อไปถึงที่ระดับเฉพาะหนึ่ง เราจะใช้วจนะของเราเพื่อทำงานในผู้คนจนถึงระดับหนึ่ง เพื่อทำให้ผู้คนไม่เพียงเชื่อมั่นในหัวใจและด้วยวาจาเท่านั้น แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ เพื่อทำให้พวกเขาโฉบเฉี่ยวอยู่ระหว่างชีวิตและความตาย นี่เป็นวิธีการของงานของเราและเป็นวิธีที่งานของเราดำเนินหน้าไปในขั้นตอนทั้งหลายของมัน มันต้องเป็นเช่นนั้น มีเพียงเช่นนั้นเท่านั้น มันจึงจะสามารถทำให้ซาตานอดสูและทำให้บรรดาบุตรหัวปีมีความครบบริบูรณ์ (โดยการใช้ประโยชน์จากวจนะของเราเพื่อทำให้บรรดาบุตรหัวปีมีความเพียบพร้อมในท้ายที่สุด เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาหลุดพ้นจากเนื้อหนังและเข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณ) มนุษย์ไม่เข้าใจวิธีการและกระแสเสียงของวจนะของเรา ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างควรมาถึงพวกเจ้าทั้งปวงจากการอธิบายของเรา และพวกเจ้าทั้งหมดควรติดตามวจนะของเราเพื่อทำให้งานที่พวกเจ้าต้องทำนั้นเสร็จสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่เราได้ไว้วางใจมอบหมายแก่พวกเจ้า เจ้าต้องตระหนักรู้ในการนี้ และไม่ใช่เพียงจากโลกภายนอกเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ จากโลกฝ่ายวิญญาณ