บทที่ 112

ประโยคที่ว่า “คำพูดและความเป็นจริงดำเนินไปเคียงข้างกัน” เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา  จากคำพูดเหล่านี้ เราย่อมจะทำให้ทุกคนมองเห็นอุปนิสัยของเราได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน  ผู้คนคิดว่าการนี้ไม่อาจจะสัมฤทธิ์ได้ แต่สำหรับเราแล้ว มันง่ายดายและน่ายินดี และไม่ต้องใช้ความมานะพยายามใดๆ  ทันทีที่คำพูดของเราออกมาจากปากของเรา ทันทีนั้นก็มีข้อเท็จจริงที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้  นี่คืออุปนิสัยของเรา  เนื่องจากเราได้พูดบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน  มิฉะนั้น เราคงไม่พูด  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ คำว่า “ความรอด” ได้มีการพูดออกมาเพื่อผู้คนทั้งหมด แต่นี่ไม่ตรงกับเจตนาของเรา  ในอดีต เราพูดว่า “เราจะช่วยบรรดาผู้ที่ไม่รู้เท่าทันและผู้ที่เป็นผู้แสวงหาที่กระตือรือร้นให้รอดเสมอ”  ในที่นี้ มีการพูดคำว่า “ช่วยให้รอด” เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ทำการปรนนิบัติเรา และนั่นหมายความว่าเราจะให้การปฏิบัติพิเศษต่อคนปรนนิบัติเช่นนั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราจะลดบทลงโทษสำหรับผู้คนเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม คนปรนนิบัติเหล่านั้น ผู้ที่ตลบตะแลงและหลอกลวงจะอยู่ท่ามกลางเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง กล่าวคือ เราจะทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การลงโทษที่รุนแรง  (ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง แต่พวกเขาก็แตกต่างจากพวกที่ต้องถูกทำลายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ พวกเขาย่อมจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงชั่วนิรันดร์ และการลงโทษที่ผู้คนเหล่านั้นจะได้รับคือการลงโทษของปีศาจ ซึ่งก็คือซาตาน  นี่ยังเป็นความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เราหมายถึงด้วยเช่นกัน เมื่อเราพูดว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง)  แต่เราไม่ใช้คำพูดประเภทเหล่านี้เกี่ยวกับบรรดาบุตรหัวปีของเรา เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว เราพูดว่าเราจะนำบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับคืน และพูดว่าพวกเขาจะหวนคืนสู่ศิโยนอีกครั้ง  ดังนั้น เราจึงพูดเสมอว่าบรรดาบุตรหัวปีของเราคือผู้ได้รับเลือกและได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าของเรา  ตั้งแต่ดั้งเดิม บรรดาบุตรหัวปีของเราเป็นของเรา และพวกเขามาจากเรา ดังนั้นจึงพวกเขาจึงต้องกลับมาหาเราที่นี่  เมื่อเปรียบเทียบบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนกับบรรดาบุตรหัวปีแล้ว—นี่คือความแตกต่างระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง กล่าวคือ ถึงแม้ว่าบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนจะดีกว่าคนปรนนิบัติมากนัก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่เป็นของเราแต่อย่างใด  ยังสามารถพูดได้อีกด้วยว่าบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนได้รับเลือกเพิ่มเติมจากท่ามกลางมวลมนุษย์  ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นพลังงานของเราที่บรรดาบุตรหัวปีเสมอ และจากนั้นเราจะปล่อยให้บรรดาบุตรหัวปีของเราทำให้บรรดาบุตรและบรรดาผู้คนเหล่านี้ครบบริบูรณ์  ขั้นตอนเหล่านี้คือขั้นตอนการทำงานในอนาคตของเรา  ตอนนี้ไม่เป็นประโยชน์ที่จะบอกพวกเจ้า ดังนั้นเราจึงแทบจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้กับบรรดาบุตรและบรรดาผู้คน แต่กับบรรดาบุตรหัวปีเท่านั้นที่เราพูดเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ และกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ  นี่คือวิธีที่เราพูดและทำงาน  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้—เรามีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว

เรากำลังต่อสู้โต้กลับมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าทุกๆ วัน และเรากำลังชำแหละพวกเจ้าแต่ละคนวันแล้ววันเล่า  เมื่อเราพูดไปถึงจุดหนึ่ง พวกเจ้าก็กลับไปเหมือนเก่า และพวกเจ้าแยกสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราออกจากเทวสภาพของเราอีกครั้ง  ที่จุดนี้ถึงเวลาที่ผู้คนจะได้รับการเปิดเผยแล้ว กล่าวคือ ผู้คนคิดว่าเรายังคงใช้ชีวิตในเนื้อหนังและเราไม่ใช่พระเจ้าเองแต่อย่างใด คิดว่าเรายังคงเป็นมนุษย์และพระเจ้ายังคงทรงเป็นพระเจ้า และคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสภาวะบุคคลที่เราเป็น  มวลมนุษย์นี้ช่างเสื่อมทรามจริงๆ!  เราได้พูดคำพูดไปมากมายแล้วก่อนหน้านี้ แต่พวกเจ้าได้ปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านั้นเสมือนว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีอยู่นานแล้ว และการนี้ทำให้เราเกิดความเกลียดชังพวกเจ้าที่สลักอยู่ในกระดูกของเรา!  การนี้ทำให้เราเกลียดพวกเจ้าอย่างแท้จริง!  เราผู้เป็นพระเจ้าผู้ครบบริบูรณ์เอง เราผู้ครอบครองทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ใครกล้าทำให้เราขุ่นเคืองโดยไม่คิดมาก?  ใครกล้าต้านทานเราในความคิดของพวกเขา?  หลังจากความวิบัติมหันตภัยของเราเริ่มต้นลงมา เราจะลงโทษพวกเจ้าทีละคน ไม่ปล่อยใครคนใด แต่จะลงโทษพวกเขาทุกคนอย่างรุนแรง  วิญญาณของเราทำงานในสภาวะบุคคล  นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ใช่พระเจ้าเอง แต่ในทางตรงกันข้าม มันหมายความว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เองมากขึ้นไปอีก  ผู้คนไม่รู้จักเรา—พวกเขาทั้งหมดต้านทานเราและมองไม่เห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเราจากคำพูดของเรา แต่พวกเขาพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างในคำพูดของเราที่พวกเขาสามารถใช้ต่อต้านเราและมองหาความผิดพลาดของเราแทน  เมื่อเราปรากฏพร้อมกับบรรดาบุตรหัวปีของเราในศิโยนในวันหนึ่ง เราจะเริ่มต้นจัดการสิ่งมีชีวิตต่ำช้าเหล่านี้  ในช่วงเวลานี้ เรากำลังทำงานนี้เป็นหลัก  เมื่อเราได้พูดมาถึงจุดหนึ่งๆ คนปรนนิบัติจำนวนมากมายจะได้ล่าถอยไปแล้ว และบรรดาบุตรหัวปีจะยังได้ทุกข์ทนกับความยากลำบากทุกประเภทแล้วด้วยเช่นกัน  เมื่องานสองขั้นตอนนี้ก้าวหน้า งานของเราระยะหนึ่งจะมาถึงบทอวสาน  ในขณะเดียวกัน เราจะพาบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับไปศิโยน  เหล่านี้คือขั้นตอนของงานของเรา

บรรดาบุตรหัวปีของเราคือส่วนที่ขาดไม่ได้ของราชอาณาจักรของเรา ซึ่งเห็นได้จากการนี้ว่าอันที่จริงแล้วสภาวะบุคคลของเราคือราชอาณาจักร—การเกิดของราชอาณาจักรของเราเกิดขึ้นหลังจากการเกิดของบรรดาบุตรหัวปีของเรา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราชอาณาจักรของเราได้ดำรงอยู่นับตั้งแต่เวลาแห่งการสร้างโลก และการได้รับบรรดาบุตรหัวปีของเรา (หมายถึงการนำบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับคืน) คือการฟื้นคืนราชอาณาจักรของเรา  จากการนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าบรรดาบุตรหัวปีมีความสำคัญอย่างยิ่ง  ราชอาณาจักรจะเกิดขึ้น ความเป็นจริงเกี่ยวกับการครอบครองในฤทธิ์เดชจะปรากฏขึ้น ชีวิตใหม่จะออกมา และยุคเก่าจะสามารถสิ้นสุดลงได้ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของยุคนั้นก็เมื่อบรรดาบุตรหัวปีของเราดำรงอยู่เท่านั้น  นี่คือแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะบรรดาบุตรหัวปีอยู่ในฐานะนี้ พวกเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างของโลก ความล่มสลายของซาตาน การเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของคนปรนนิบัติ และข้อเท็จจริงที่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงจะไม่มีพงศ์พันธุ์และจะลงสู่บึงไฟและกำมะถัน—ดังนั้น พวกผู้คนที่ใช้ฤทธิ์เดชและพวกผู้คนทั้งหมดที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงจึงทำการขัดขวาง ต้านทาน และทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า  ในขณะเดียวกัน เราก็ยกบรรดาบุตรหัวปีของเราสูงขึ้น เป็นพยานเพื่อพวกเขา และเผยพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะมีเพียงบรรดาผู้ที่มาจากเราเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นพยานเพื่อเราได้ พวกเขาเพียงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะใช้ชีวิตตามอย่างเรา และพวกเขาเพียงเท่านั้นที่มีรากฐานที่จะต่อสู้ในการสู้รบและได้รับชัยชนะอันงดงามเพื่อเรา  พวกที่แยกจากเราไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าเศษดินในมือของเรา—สิ่งที่ได้รับการสร้างขึ้น พวกเขาทุกๆ คน  พวกที่เป็นบุตรและผู้คนไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าพวกที่ดีกว่าที่ได้รับเลือกจากท่ามกลางสิ่งสร้างของการสร้างโลก แต่พวกเขาไม่ได้เป็นของเรา  ดังนั้นจึงมีความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างบรรดาบุตรหัวปีและบรรดาบุตร  บรรดาบุตรไม่มีคุณสมบัติที่จะเปรียบเทียบกับบรรดาบุตรหัวปีเลย—พวกเขาได้รับการควบคุมและปกครองโดยบรรดาบุตรหัวปี  ตอนนี้พวกเจ้าควรเข้าใจแจ่มแจ้งเกี่ยวกับการนี้แล้ว!  ทุกๆ คำที่เราพูดเป็นจริง และไม่เป็นเท็จแต่อย่างใด  ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงสภาวะบุคคลของเรา และนั่นเป็นถ้อยคำของเรา

เราได้พูดแล้วว่าเราไม่พูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า และไม่ได้ทำผิดพลาด นี่เพียงพอที่จะแสดงถึงบารมีของเรา  แต่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะแยกสิ่งดีออกจากสิ่งเลว และพวกเขาจะกลายเป็นได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่วก็เมื่อการตีสอนบังเกิดกับพวกเขาเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงกบฏและหัวแข็งอยู่  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงใช้การตีสอนเพื่อบดขยี้ตอบโต้มวลมนุษย์ทั้งหมด  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เนื่องจากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงมีบรรดาบุตรหัวปีมากมายที่มาจากเรา?  เราสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า ในกิจการของเราเอง เราพูดถึงพวกเขาในลักษณะใดก็ได้ที่เราปรารถนา  มนุษย์มีความสามารถทำอะไรกับเราได้บ้าง?  เรายังสามารถกล่าวได้เช่นนี้เช่นกันว่า ถึงแม้ว่าบรรดาบุตรหัวปีกับเราไม่ได้มีภาพลักษณ์หนึ่งเดียว แต่เรามีวิญญาณเดียวกัน ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงสามารถมีจิตใจหนึ่งเดียวกับเราในขณะที่พวกเขาให้ความร่วมมือกับเรา  เหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่มีภาพลักษณ์หนึ่งเดียวก็คือ เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดอาจมีความสามารถที่จะมองเห็นทุกๆ ส่วนของสภาวะบุคคลของเราด้วยความชัดเจนเหนือปกติได้  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบรรดาบุตรหัวปีของเราจึงมีสิทธิอำนาจร่วมกันกับเราเหนือชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งหมด  นี่คือหมายเหตุสุดท้ายของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา (“หมายเหตุสุดท้าย” ที่เราพูดถึงนี้หมายถึงว่าน้ำเสียงของเราอ่อนโยนและเราได้เริ่มต้นพูดกับบรรดาบุตรและผู้คนแล้ว)  ผู้คนส่วนใหญ่มีความกังขาเกี่ยวกับแง่มุมนี้ แต่ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องมีความกังขามากมายเช่นนั้นในตัวพวกเขา  เราจะตีแผ่มโนคติที่หลงผิดทั้งหมดของผู้คนทีละอย่าง เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกละอายโดยไม่มีที่ให้หลบซ่อน  เราเดินทางทั่วจักรวาลและไปจนถึงสุดปลายพิภพ และสังเกตโฉมหน้าทั้งหมดของจักรวาล  เราตรวจสอบบุคคลทุกๆ ประเภท—ไม่มีผู้ใดที่สามารถหลีกหนีจากมือของเราได้  เราเข้าร่วมในสิ่งทุกประเภท และไม่มีสิ่งใดที่เราไม่ปฏิบัติด้วยตัวเราเอง  ใครกล้าที่จะปฏิเสธฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรา?  ใครกล้าที่จะไม่ได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่วเกี่ยวกับเรา?  ใครกล้าที่จะไม่หมอบราบต่อหน้าเราอย่างครบบริบูรณ์?  ฟ้าสวรรค์ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงเพราะบรรดาบุตรหัวปีของเรา และที่ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินโลกทั้งหมดจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะเราและบรรดาบุตรหัวปีของเรา  ผู้คนทั้งหมดจะมาคุกเข่าต่อหน้าสภาวะบุคคลของเรา และทุกสรรพสิ่งจะมาอยู่ภายในการควบคุมของมือของเราอย่างแน่นอน—โดยไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย  ทุกๆ คนต้องได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่ว และทุกๆ วัตถุจะมาที่บ้านของเราและทำการปรนนิบัติเรา  นี่คือส่วนสุดท้ายของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา  จากนั้นเป็นต้นไป ข้อย่อยต่างๆ ทั้งหมดของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ซึ่งมีเป้าหมายที่ผู้คนที่แตกต่างกัน จะเริ่มต้นก่อเกิดผลลัพธ์ (เพราะประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราได้รับการประกาศต่อสาธารณะอย่างสมบูรณ์ และได้มีการจัดทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมสำหรับบุคคลทุกประเภทและทุกๆ สิ่งแล้ว  ผู้คนทั้งหมดจะอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขา และตัวตนที่แท้จริงของบุคคลทุกประเภทจะถูกตีแผ่เพราะประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา)  เช่นนั้นจะเป็นการมาถึงประกาศกฤษฎีกาบริหารที่แท้จริงและจริงแท้

ตอนนี้ ตามขั้นตอนของงานของเรา เราพูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด และทุกคนต้องเอาใจใส่กับคำพูดของเราอย่างจริงจัง  ตลอดหลายยุคหลายสมัย วิสุทธิชนทุกคนได้พูดถึง “กรุงเยรูซาเลมใหม่” และทุกคนรู้การนี้ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้  เนื่องจากงานของวันนี้ได้ดำเนินมาถึงช่วงระยะนี้แล้ว เราจะเผยความหมายที่แท้จริงของคำนี้กับพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจเข้าใจคำนี้ได้  แต่การเผยของเรามีข้อจำกัด—ไม่สำคัญว่าเราจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร และไม่สำคัญว่าเราจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนอย่างไร พวกเจ้าไม่มีวันสามารถเข้าใจอย่างสมบูรณ์ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพาดพิงถึงความเป็นจริงของคำนี้ได้  ในอดีต กรุงเยรูซาเลมอ้างอิงถึงสถานที่ที่เราพักอาศัยบนแผ่นดินโลก นั่นคือ สถานที่ที่เราเดินและเคลื่อนที่  แต่คำว่า “ใหม่” เปลี่ยนคำนี้ และตอนนี้คำนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อน  ผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจคำนี้ได้เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้อ้างอิงถึงราชอาณาจักรของเรา ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือสภาวะบุคคลที่เราเป็น ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ และผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือโลกใหม่ที่จะมาถึงหลังจากที่เราทำลายโลกนี้แล้ว  ต่อให้จิตใจของบุคคลจะซับซ้อนและมีความสามารถที่จะจินตนาการที่มากมายเหลือเกิน พวกเขายังคงไม่สามารถจับใจความสิ่งใดๆ เกี่ยวกับคำนี้ได้  ตลอดหลายยุคหลายสมัย ผู้คนหวังตลอดมาว่าจะรู้หรือมองเห็นความหมายที่แท้จริงของคำนี้ แต่พวกเขาไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้ความปรารถนาของพวกเขาลุล่วงได้—พวกเขาทั้งหมดผิดหวังและตายไป เหลือทิ้งความทะเยอทะยานของพวกเขาไว้เบื้องหลัง เพราะเวลาของเรายังไม่มาถึง เราจึงไม่สามารถบอกผู้ใดได้โดยง่าย  เนื่องจากงานของเราได้เสร็จสิ้นมาถึงช่วงระยะนี้ เราจึงจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับพวกเจ้า  กรุงเยรูซาเลมใหม่รวมสี่สิ่งเหล่านี้เข้าไว้ทั้งหมด กล่าวคือ ความโกรธของเรา ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ราชอาณาจักรของเรา และพรอันไม่รู้จบที่เรามอบให้กับบรรดาบุตรหัวปีของเรา เหตุผลที่เราใช้คำว่า “ใหม่” นั้นเป็นเพราะสี่ส่วนนี้ซ่อนอยู่  เพราะไม่มีใครรู้ความโกรธของเรา ไม่มีใครรู้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ไม่มีใครเคยเห็นราชอาณาจักรของเรา และไม่มีผู้ใดเคยได้ชื่นชมพรของเรา คำว่า “ใหม่” จึงอ้างอิงถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่  ไม่มีใครสามารถเข้าใจสิ่งที่เราได้พูดไปได้อย่างสมบูรณ์ เพราะกรุงเยรูซาเลมใหม่ได้เคลื่อนลงมาสู่แผ่นดินโลก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับประสบการณ์กับความเป็นจริงของกรุงเยรูซาเลมใหม่ด้วยตัวเอง  ไม่สำคัญว่าเราจะพูดถึงกรุงเยรูซาเลมใหม่อย่างครบถ้วนเพียงใด ผู้คนจะไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์  ต่อให้คนบางคนจะเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้ก็เป็นเพียงคำพูดของพวกเขา จิตใจของพวกเขา และมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเท่านั้น  นี่คือแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือหนทางไปข้างหน้าหนทางเดียว และไม่มีผู้ใดสามารถหลุดพ้นจากแนวโน้มนี้ได้

ก่อนหน้า: บทที่ 111

ถัดไป: บทที่ 113

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger