47. การโกหกมีแต่นำพาความเจ็บปวดมาให้
มีอยู่วันหนึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 เรากำลังเตรียมถ่ายทำวิดีโอที่พี่น้องชายลูกาขับร้องเดี่ยว ส่วนผมก็ทำเรื่องการจัดไฟเวที ในตอนแรก ผมระมัดระวังมาก และสองสามช็อตแรกที่ถ่ายทำไปก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย ตอนที่เรากำลังใกล้จะถ่ายทำเสร็จ ผู้กำกับพูดว่าเขาต้องการลองถ่ายช็อตหนึ่งอีกครั้งให้แตกต่างเป็นสองแบบ ผมไม่ได้ให้ความสนใจ ดังนั้น ตอนที่พวกเราเริ่มเดินกล้อง ผมจึงยังมองอีกจอหนึ่งอยู่ และไม่ได้สังเกต จนลูกาได้เดินออกจากบริเวณที่ไฟส่องไปแล้ว ผมรีบปรับไฟตาม แต่ก็เร็วไม่พอ เป็นเหตุให้ศีรษะของลูกาเคลื่อนหลุดจากแสงไฟจากนั้นก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ช็อตนั้นจึงใช้ไม่ได้ โดยปกติแล้ว เมื่อมีปัญหาบนเวที พวกเราควรขอให้ผู้กำกับถ่ายซ่อมใหม่ทันที แต่ผมกลับได้แต่ถือวิทยุสื่อสารค้างไว้ กลัวที่จะพูด คำพูดติดอยู่ในลำคอและผมรู้สึกขัดแย้งจริงๆ ผมคิดถึงการที่ไม่ได้มีแค่ผู้กำกับที่อยู่ตรงนั้น แต่มีพี่น้องชายหญิงหลายคนอยู่ด้วยเช่นกัน หากผมบอกพวกเขาว่าผมได้ทำความผิดพลาดพื้นฐานแบบนั้นลงไป ทุกคนจะคิดกับผมอย่างไร? พวกเขาจะพูดว่าผมละเลยหน้าที่ของผมหรือเปล่า? นั่นคงน่าขายหน้าเหลือเกิน! แต่ถ้าผมไม่พูดอะไรเลย ผมก็จะไม่ได้ทำหน้าที่ของผม ถ้าภาพวิดีโอนั่นถูกนำไปใช้ในการตัดต่อ มันคงส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพของวิดีโอ ขณะที่ยังอิหลักอิเหลื่อว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ ผมก็ได้ยินผู้กำกับพูดว่า “ฉากนี้เรียบร้อย ถ่ายฉากต่อไปกันเถอะ” ผมเห็นว่าพี่น้องชายคนที่ทำการบันทึกภาพได้เปลี่ยนขาตั้งของเขาแล้วและกำลังรออยู่ ผมจึงเริ่มคิดให้เหตุผลกับตัวเองว่า “การถ่ายทำก็เสร็จหมดแล้ว ถ้าฉันพูดอะไรออกไปตอนนี้ ทุกคนก็จะต้องสลับเปลี่ยนอุปกรณ์ของพวกเขากลับคืน และจะเป็นความยุ่งยากขนานใหญ่ ฉันควรแค่ไม่พูดอะไร อย่างไรเสียมันก็แค่ช็อตแรกของสองช็อตนั่นเท่านั้นเอง และอาจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้ด้วยซ้ำ นอกจากนั้นแล้วหากผู้คนไม่เพ่งมองอย่างใกล้ชิด ก็อาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำไป” ผมคิดวนเวียนเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเก็บเงียบไว้ หลังการถ่ายทำ ผมรู้สึกถูกรังควานด้วยความรู้สึกผิด โดยคิดว่า “ไม่ใช่ว่าฉันตั้งใจหลอกลวงหรือ? ฉันสามารถหลอกผู้คนได้ แต่ฉันหลอกพระเจ้าได้หรือ?” ผมจึงไปหาผู้กำกับและบอกเขาถึงความผิดพลาดของตัวเอง เขาพูดว่า “เราถ่ายทำเสร็จแล้วและทุกคนก็เก็บข้าวของแล้ว มาบอกตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา? ทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้นเลย? ถ้าคุณบอกผมตอนนั้น ก็คงใช้เวลาถ่ายใหม่ไม่นาน” เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของผู้กำกับ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมและอยากตบหน้าตนเองนัก ทำไมมันยากนักกับการยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าผมทำผิด? ทำไมแค่ซื่อสัตย์จึงต้องใช้ความพยายามมากนัก? ด้วยความเจ็บปวด ผมจึงมาอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทำพลาดขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ และไม่มีความกล้าที่จะยอมรับต่อหน้าทุกคน เพราะข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์และดูแคลนข้าพระองค์ ตอนนี้ข้าพระองค์ถูกความรู้สึกผิดกัดกิน โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์รู้จักตนเองด้วยเถิด”
หลังจากนั้นผมก็ได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สมมุติว่าเจ้าต้องเลือกระหว่างถนนสองสาย สายหนึ่งคือถนนแห่งการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พูดความจริงและเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า แบ่งปันหัวใจของเจ้ากับผู้อื่น หรือยอมรับความผิดพลาดของเจ้าและบอกข้อเท็จจริงตามที่เป็นอยู่ แสดงให้ผู้อื่นเห็นความอัปลักษณ์อันเสื่อมทรามของเจ้าและนำความอับอายมาสู่ตัวเจ้า อีกสายหนึ่งคือถนนแห่งการมอบชีวิตของเจ้าอันเป็นการพลีชีพเพื่อพระเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เมื่อเจ้าตาย เจ้าจะเลือกแบบใด? บางคนอาจพูดว่า ‘ฉันเลือกที่จะสละชีวิตของฉันเพื่อพระเจ้า ฉันเต็มใจตายเพื่อพระองค์ เมื่อตายแล้ว ฉันจะได้รับบำเหน็จรางวัลของฉันและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์’ การสละชีวิตของคนเราเพื่อพระเจ้าสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยผู้ที่มีความแน่วแน่ด้วยแรงผลักที่ทรงพลังในครั้งเดียว แต่การปฏิบัติความจริงและการเป็นคนซื่อสัตย์จะทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยแรงผลักแบบนั้นกระนั้นหรือ? ต่อให้มีแรงผลักถึงสองครั้งก็ทำไม่ได้ เวลาทำอะไรสักอย่าง หากเจ้ามีเจตจำนง เจ้าย่อมสามารถทำสิ่งนั้นได้ดีด้วยแรงผลักครั้งเดียว แต่การพูดความจริงโดยไม่โกหกครั้งเดียวย่อมไม่ทำให้เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์อย่างถาวร การเป็นคนซื่อสัตย์เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า และนี่ก็พึงต้องผ่านประสบการณ์สักสิบหรือยี่สิบปี เจ้าต้องปลดเปลื้องอุปนิสัยของการโกหกและการตีสองหน้าที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของตนเสียก่อน เจ้าจึงจะทำได้ถึงมาตรฐานขั้นต่ำสุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ สำหรับทุกคนแล้วนี่ย่อมยากมิใช่หรือ? นี่คือความท้าทายอันใหญ่หลวง ตอนนี้พระเจ้าทรงต้องการทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อมและได้พวกเขาไว้ และทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและกระบวนการถลุง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเขาและทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เป็นผู้คนที่นบนอบพระเจ้า นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ด้วยการผลักครั้งเดียว นี่พึงต้องมีความเชื่อที่แท้จริง และคนเราต้องทนทุกข์กับบททดสอบและกระบวนการถลุงมากมายก่อนที่พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ผล หากตอนนี้พระเจ้าทรงขอให้เจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และพูดความจริง พูดบางสิ่งที่เกี่ยวพันกับข้อเท็จจริง กับอนาคตของเจ้าและชะตากรรมของเจ้า ซึ่งมีผลสืบเนื่องที่อาจจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า แล้วผู้อื่นก็ไม่คิดว่าเจ้าสูงส่งอีกต่อไป และเจ้ารู้สึกว่าความมีหน้ามีตาของเจ้าถูกทำลาย—ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น เจ้าจะตรงไปตรงมาและพูดความจริงได้หรือไม่? เจ้าจะยังคงซื่อสัตย์ได้หรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด ยากกว่าการสละชีวิตของเจ้ามากนัก เจ้าอาจจะพูดว่า ‘การให้ฉันพูดความจริงนั้นทำไม่ได้ ฉันยอมตายเพื่อพระเจ้าดีกว่าพูดความจริง ฉันไม่ได้ต้องการเป็นคนซื่อสัตย์เลย ฉันยอมตายดีกว่าให้ทุกคนดูแคลนและคิดว่าฉันเป็นแค่คนธรรมดาๆ’ นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนรักและทะนุถนอมสิ่งใดมากที่สุด? สิ่งที่ผู้คนรักและทะนุถนอมที่สุดคือสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา—สิ่งทั้งหลายที่มีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาคอยควบคุม ชีวิตเป็นเรื่องรองลงมา หากพวกเขาถูกสถานการณ์บังคับ พวกเขาก็จะรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อมอบชีวิตของตน แต่สถานะและความมีหน้ามีตาไม่ได้ปล่อยมือกันง่ายๆ สำหรับผู้คนที่เชื่อในพระเจ้านั้น การมอบชีวิตของตนไม่ได้สำคัญที่สุด พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนยอมรับความจริง และเป็นคนซื่อสัตย์อย่างแท้จริง กล่าวสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของตน เปิดกว้างและตีแผ่ตนเองต่อทุกคน นี่ทำง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าสละชีวิตของเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานชีวิตของเจ้าให้แก่เจ้าหรอกหรือ? ชีวิตของเจ้าจะมีประโยชน์อันใดต่อพระเจ้า? พระเจ้าไม่ต้องการสิ่งนั้น พระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้าพูดอย่างซื่อสัตย์ ให้เจ้าพูดว่าเจ้าเป็นคนเช่นไรและเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่? ถึงตรงนี้ การทำสิ่งเหล่านี้ย่อมลำบากยากเย็น และเจ้าอาจพูดว่า ‘ให้ฉันทำงานหนักเถิด ฉันย่อมจะมีเรี่ยวแรงที่จะทำ ให้ฉันพลีอุทิศทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฉัน ฉันย่อมจะทำได้ ฉันสามารถทอดทิ้งบิดามารดาและลูกๆ ของฉัน ชีวิตสมรสและอาชีพการงานของฉันได้โดยง่าย แต่การพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของฉัน การพูดอย่างซื่อสัตย์—นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันไม่สามารถทำได้’ อะไรคือสาเหตุที่เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้? สาเหตุก็คือว่าทันทีที่เจ้าทำ ผู้ใดก็ตามที่รู้จักเจ้าหรือคุ้นเคยกับเจ้า จะมองเจ้าต่างออกไป พวกเขาจะไม่ยอมรับนับถือเจ้าอีกต่อไป เจ้าจะเสียหน้าและรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ความซื่อสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของเจ้าก็จะไม่มีอีกต่อไป สถานะและเกียรติภูมิอันสูงส่งของเจ้าในหัวใจของผู้อื่นจะไม่มีอีกต่อไป นี่คือสาเหตุที่เจ้าจะไม่พูดความจริงในรูปการณ์แวดล้อมดังกล่าวไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อผู้คนเผชิญกับสิ่งนี้ จะมีการสู้รบในหัวใจของพวกเขา และเมื่อการสู้รบนั้นจบลง บางคนก็ฝ่าพ้นความลำบากยากเย็นของพวกเขาไปในท้ายที่สุด ขณะที่คนอื่นฝ่าไปไม่พ้นและยังคงถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา และสถานะ ความมีหน้ามีตา และสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง นี่คือความลำบากยากเย็นอย่างหนึ่งใช่หรือไม่? เพียงการกล่าวอย่างซื่อสัตย์และการพูดความจริงไม่ใช่การกระทำที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ทว่าวีรบุรุษผู้กล้าหาญมากมายเหลือเกิน ผู้คนมากมายเหลือเกินที่สาบานว่าจะอุทิศตน สละตน และทุ่มเทชีวิตของพวกเขาเพื่อพระเจ้า และอีกหลายคนเหลือเกินที่ได้กล่าวสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า พวกเขาพบว่าตนทำสิ่งนั้นไม่ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะของพระเจ้าบรรยายถึงสภาวะที่แท้จริงของผม ผมให้ความสำคัญกับหน้าตาและสถานะมากเกินไป ผมไม่อาจกล่าวยอมรับความผิดพลาดของตนเองได้แม้สักคำ เพราะกลัวจะดูไม่ดีต่อหน้าคนอื่น ผมกลัวว่าทุกคนจะพูดว่าผมไม่ทำงานของตนเองถ้าผมทำความผิดพลาดง่ายๆ แบบนี้ได้ ช่างน่าอายอะไรอย่างนี้ เพื่อปกป้องภาพลักษณ์และสถานะของผม ผมปิดบังความผิดพลาดของตนเอง โดยคิดว่า หากผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็จะไม่มีใครรู้ และพวกเขาก็คงจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ผมในเรื่องนี้ แล้วความภูมิใจและภาพลักษณ์ของผมก็จะยังคงอยู่ แม้ว่าผมรู้สึกผิดและไม่สบายใจ ผมก็ยังหาข้ออ้างเพื่อชูใจตนเองว่า “ก็แค่เทคเดียว พวกเขาอาจจะไม่ใช้มันด้วยซ้ำ” ผมไม่ได้กำลังโกหกตัวเองรวมถึงผู้อื่นอยู่หรอกหรือ? เมื่อคิดแบบนี้ ผมก็รู้สึกสำนึกผิดและเสียใจมากที่หลอกลวงพี่น้องชายหญิงของผมเพียงเพื่อจะรักษาหน้าตาและดำรงสถานะของตนเอง ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้ยอมรับผิดต่อความผิดพลาดเพราะข้าพระองค์ต้องการรักษาหน้าตาและดำรงสถานะ ข้าพระองค์รู้ว่านั่นไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนถูกมารนำทางให้หลงเจิ่น และไม่อาจหลบหนีจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้ ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์สามารถหลุดพ้นจากการจำกัดควบคุมและพันธะทั้งหลายของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนด้วยเถิด”
จากนั้นผมก็อ่านอีกสองบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าที่ให้หนทางปฏิบัติบางประการแก่ผม พระเจ้าตรัสว่า “มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรสวรรค์ หากเจ้าไม่พยายามที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าไม่มีประสบการณ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ปฏิบัติในทิศทางนั้น หากเจ้าไม่เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเอง และไม่ตีแผ่ตัวเองออกมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเห็นชอบจากพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร เจ้าก็ต้องมีท่าทีที่ซื่อสัตย์ หากไม่มีท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเสมอ และล้มเหลวที่จะทำบางสิ่งให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทบทวนตนเอง ทำความรู้จักตนเอง และเปิดใจชำแหละตัวเจ้าเอง จากนั้นเจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมความจริง และเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป แทนที่จะทำตัวสุกเอาเผากิน หากเจ้าไม่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ และมองหาทางตอบสนองเนื้อหนังของเจ้าเองหรือความภาคภูมิใจของเจ้าเองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถทำงานได้ดีกระนั้นหรือ? เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีกระนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่สามารถ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์) “หากว่าเมื่อทำผิดพลาด เจ้าสามารถจัดการกับความผิดพลาดนั้นได้อย่างถูกต้อง และสามารถเปิดโอกาสให้ทุกคนพูดถึงความผิดพลาดดังกล่าวได้ ยอมให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นและใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ และเจ้าสามารถเปิดใจและชำแหละความผิดพลาดได้ ข้อคิดเห็นที่ทุกคนมีเกี่ยวกับเจ้าจะเป็นเช่นไร? พวกเขาจะพูดว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์เพราะเจ้าเปิดใจให้พระเจ้า ด้วยการกระทำและพฤติกรรมของเจ้า พวกเขาจะสามารถมองเห็นหัวใจของเจ้า แต่หากเจ้าพยายามอำพรางตัวเจ้าเองและหลอกลวงทุกคน ผู้คนก็จะมองข้ามตัวเจ้า และพูดว่าเจ้าเป็นคนเขลาและคนที่ขาดปัญญา หากเจ้าไม่พยายามเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง หากเจ้ายอมรับความผิดพลาดของเจ้าได้ ทุกคนย่อมจะพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์และมีปัญญา แล้วอะไรเล่าทำให้เจ้ามีปัญญา? ทุกคนทำความผิดพลาด ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่พยายามปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง และเจ้าจะไม่ถือสาความผิดพลาดของผู้อื่น—เจ้าจะเผชิญหน้าทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างถูกต้อง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา ซึ่งจะทำให้เจ้ามีปัญญา” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาดในครรลองการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องปกติ พวกเราไม่ควรปิดบังสิ่งเหล่านี้ แต่เราต้องพูดไปตามที่เป็น เป็นฝ่ายเริ่มที่จะยอมรับผิดต่อความผิดพลาดของตนเอง และเปิดใจกับผู้อื่นถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตน พวกเราไม่ควรห่วงกังวลเกี่ยวกับการรักษาหน้าตาและดำรงสถานะ แต่ควรเป็นคนซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าทรงเรียกร้องแทน นี่เป็นหนทางเดียวที่จะดำรงชีวิตที่มีบุคลิกและมีศักดิ์ศรี และได้มาซึ่งการเห็นชอบและพรจากพระเจ้า แต่ผมกลับใส่ใจมากเกินไปในสิ่งที่คนอื่นคิดกับผมขณะที่ผมกำลังทำหน้าที่ โดยต้องการดำรงสถานะและภาพลักษณ์เอาไว้ เนื่องจากการนี้ ผมจึงต้องการเสมอที่จะปิดบังความผิดพลาดใดก็ตามที่ผมทำ และกลัวว่าคนอื่นจะรู้เข้า ผมไม่มีความกล้าที่จะสารภาพความผิดทั้งที่รู้สึกผิด ผมไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิดถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับงานของคริสตจักรเพราะการนี้ ผมไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรในระหว่างที่กำลังทำหน้าที่ของตนเอง และไม่มีความซื่อสัตย์สักนิด ผมจะทำหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไรหากผมดำเนินต่อไปแบบนี้? เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกผิดมาก และอยากแก้ไขสภาวะในการปฏิบัติหน้าที่ของผม
หลังจากนั้นเมื่อผมทำผิดพลาดเป็นครั้งคราวในการถ่ายทำ และรู้สึกขัดแย้งว่าควรจะพูดบางอย่างหรือไม่ ผมก็รู้ตัวว่าตนเองแค่กำลังพยายามปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ในสายตาของคนอื่นอีกครั้ง ผมจะอธิษฐานต่อพระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงนำผมให้ปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เพื่อให้ผมสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองต่อหน้าทุกคนได้ เมื่อผมทำเช่นนั้น พี่น้องชายหญิงไม่ได้ติเตียนผม และสามารถรับมือกับความผิดพลาดของผมได้อย่างที่สมควรเป็น ผมรู้สึกมั่นคงขึ้นมาก และรู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานที่มาจากการปฏิบัติความจริง
อยู่มาวันหนึ่ง เรากำลังทำวิดีโอเดี่ยวอีกชิ้นหนึ่งกันอยู่ ก่อนที่เราจะเริ่มถ่าย ผู้กำกับถามว่าแสงต่างๆ พร้อมหรือยัง ผมคิดว่าตนเองได้ตรวจสอบแสงพวกนั้นแล้ว ผมจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมถ่ายครับ!” แต่หลังจากถ่ายเสร็จไปหนึ่งช็อต ผมก็พลันตระหนักว่าตัวเองลืมเปิดไฟไปสองดวง ผมตื่นตระหนก ผมต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล โดยคิดว่า “ผมได้ยืนยันกับทุกคนอย่างมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้วก่อนที่จะถ่าย ดังนั้นถ้าผมยอมรับว่ากำลังทำผิดพลาดอยู่ตอนนี้ พวกเขาจะคิดกับผมอย่างไร? พวกเขาจะเสียความเชื่อมั่นในตัวผมหรือไม่? การลืมเปิดไฟเป็นความผิดพลาดของพวกมือใหม่ชัดๆ ถ้าผมยอมรับ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก? พี่น้องชายหญิงจะคิดไหมว่าผมไม่เอาไหนที่ทำผิดพลาดในเรื่องง่ายๆ แบบนี้?” อารมณ์ขัดแย้งปลุกปล้ำกันอยู่ภายในตัวผม และผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงตะปู ผมต้องการยอมรับผิดต่อความผิดพลาดของตนเอง แต่เราถ่ายกันไปหลายช็อตแล้ว ถ้าตอนนี้ผมพูดออกไปว่ามีปัญหาเรื่องแสง ทุกคนจะวิจารณ์ผมหรือไม่ที่รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยพูดบางอย่างแทนที่จะพูดออกไปทันที? หลังการเค้นสมองอย่างหนัก ผมก็คิดหาทางออกได้ว่า ผมสามารถรอจนเราถ่ายกันเสร็จก็ได้ จากนั้นก็ไปคุยตามลำพังกับพี่น้องชายที่ตัดต่อวิดีโอ และขอให้เขาปรับแสงให้ แบบนั้น ผมก็จะไม่ต้องยอมรับความผิดพลาดของตนเองต่อหน้าทุกคน ทางออกนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของวิดีโอ และจะทำให้ผมได้รักษาหน้าและดำรงสถานะของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหลังจากที่พวกเราถ่ายทำเสร็จ ผมจึงไปหาพี่น้องชายที่ทำการตัดต่อ และพูดเหมือนไม่ร้ายแรงว่า “ผมมีปัญหาเรื่องไฟในช็อตแรก แต่ผมเปรียบเทียบกับช็อตอื่นๆ อย่างรอบคอบแล้ว และมันก็ไม่ได้แตกต่างกันชัดขนาดนั้น แค่ความสว่างไม่เท่ากันติดหน่อย ถ้าคุณช่วยปรับแก้ได้ก็จะเยี่ยมไปเลย” เขาเชื่อตามคำพูดผมและบอกว่าจะช่วยปรับแสงให้ ผมรู้สึกผิดทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกจากปากผมไป เพราะตามที่เป็นจริง แล้ว การที่แสงเปิดอยู่หรือไม่นั้น สร้างความแตกต่างอย่างมาก แต่ผมกลับพูดว่ามันแตกต่างกันเล็กน้อยมาก นี่ไม่ใช่ว่าผมแค่กำลังโกหกพี่น้องของผมอยู่อย่างหน้าตาเฉยหรอกหรือ? สุดท้ายก็จบลงตรงที่เขาใช้เวลาเกินกว่าสามชั่วโมงเพื่อปรับแสงช็อตนั้นให้ถูกต้อง ผู้กำกับส่งข้อความมาถามผมเป็นสิ่งแรกในเช้าวันรุ่งขึ้นว่า “เมื่อวานนี้คุณไม่ได้สังเกตหรือว่ามีปัญหาใหญ่มากในการจัดไฟ?” ผมไม่คาดคิดว่าผู้กำกับจะได้รู้เร็วขนาดนั้น และผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปชั่วอึดใจ ผมจึงหาข้ออ้างบางอย่างเพื่ออธิบายตัวเอง เขาพูดว่า “เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว คุณพบความผิดพลาดตรงนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย นี่ฉุดรั้งงานของเรา คุณจำเป็นต้องทบทวนสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้วจริงๆ” ผมรู้สึกผิดเหลือเกินตอนเขาพูดแบบนั้น ผมเกลียดที่ตัวผมได้ถูกความเสื่อมทรามควบคุมและผูกมัดไว้ และล้มเหลวในการปฏิบัติความจริงอีกครั้ง ผมคุกเข่าอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ให้ความสำคัญกับหน้าตาและสถานะมากเกินไป ครั้งนี้ ไม่เพียงข้าพระองค์ไม่ยอมพูดถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น แต่ข้าพระองค์พยายามเต็มที่เพื่อปิดบังความผิดพลาดนั้น ข้าพระองค์ช่างเลี้ยวลดนัก! ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ โปรดทรงนำและช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด”
จากนั้นผมก็อ่านบทตอนนี้จากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูพระคริสต์นั้นไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีความสัตย์จริงแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำล้วนมีเจตนาและเป้าหมายของพวกเขาเองปลอมปนอยู่ และทั้งหมดนั้นก็ซ่อนเร้นเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายของพวกเขาที่ไม่อาจเอ่ยถึงและไม่อาจพูดออกมาได้เอาไว้ ดังนั้นวาจาและการกระทำของศัตรูพระคริสต์จึงด่างพร้อยเหลือเกินและเต็มไปด้วยความเทียมเท็จอย่างยิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากเท่าใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าคำใดจริง คำใดเท็จ คำใดถูก และคำใดผิด นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ และความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็ซับซ้อนยิ่ง เต็มไปด้วยกลอุบายที่คิดคดและเล่ห์เหลี่ยมมากมาย สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีสิ่งใดตรงไปตรงมา พวกเขาไม่พูดว่าหนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ใช่คือใช่ และไม่ใช่คือไม่ใช่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพูดอ้อมค้อมในทุกเรื่องและตรึกตรองสิ่งต่างๆ อยู่ในใจหลายครั้ง ขบคิดถึงผลสืบเนื่อง ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียจากทุกแง่ทุกมุม จากนั้นพวกเขาก็ใช้ภาษาปรับเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาอยากพูด จนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดฟังดูชอบกลเอาการ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่คนพวกนี้พูดและถูกพวกเขาหลอกลวงและตบตาโดยง่าย และใครก็ตามที่พูดและสื่อสารกับคนพวกนี้ย่อมพบว่าเป็นประสบการณ์ที่เหน็ดเหนื่อยและตรากตรำ พวกเขาไม่เคยพูดว่าหนึ่งคือหนึ่งและสองคือสอง พวกเขาไม่เคยพูดว่าพวกเขากำลังคิดอะไร และพวกเขาไม่เคยอธิบายสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดล้วนมิอาจหยั่งได้ และเป้าหมายและเจตนาแห่งการกระทำของพวกเขานั้นซับซ้อนมาก ถ้าความจริงเผยตัวออกมา—ถ้าผู้อื่นจับได้ไล่ทันพวกเขา—พวกเขาก็จะรีบปรุงแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาอีกเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง คนแบบนี้มักจะโกหกอยู่เป็นนิจ และหลังจากโกหกแล้ว พวกเขาก็ต้องพูดโกหกอีกเพื่อรักษาเรื่องโกหกนั้นเอาไว้ พวกเขาหลอกลวงผู้อื่นเพื่อซ่อนเจตนาของตน แต่งเรื่องแก้ตัวและข้ออ้างสารพัดอย่างมาสนับสนุนเรื่องโกหกของตน เพื่อให้ผู้คนบอกได้ยากยิ่งว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง และผู้คนก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขากำลังพูดเรื่องจริง และยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขากำลังพูดเรื่องโกหก เวลาพวกเขาโกหก พวกเขาไม่ได้หน้าแดงหรือสะดุ้งสะเทือน ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องจริงก็ไม่ปาน นี่หมายความว่าพวกเขาพูดโกหกเป็นนิสัยมิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น บางครั้งดูอย่างผิวเผิน ศัตรูของพระคริสต์ก็เหมือนจะดีกับผู้อื่น คำนึงถึงผู้อื่น และพูดจาอบอุ่นซึ่งฟังดูมีเมตตาและชวนให้ตื้นตัน กระนั้นในยามที่พวกเขาพูดจาแบบนี้ กลับไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขาจริงใจหรือไม่ และต้องรอให้เกิดเรื่องในอีกไม่กี่วันต่อมาเสมอ จึงจะเผยให้เห็นว่าพวกเขาจริงใจหรือไม่ ศัตรูของพระคริสต์พูดจาโดยมีเจตนาและเป้าหมายบางอย่างอยู่ตลอดเวลา และไม่มีใครเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ผู้คนเช่นนี้โกหกเป็นนิสัยและไม่คำนึงถึงผลที่เรื่องโกหกของตนจะนำมาให้ ตราบใดที่เรื่องโกหกของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสามารถตบตาผู้อื่นได้ ตราบใดที่เรื่องโกหกทำให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ พวกเขาก็ไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาจะปกปิด โกหก ตบตาต่อไป หลักการและวิธีการที่คนพวกนี้ใช้วางตนและติดต่อเจรจากับชาวโลกคือการใช้เรื่องโกหกหลอกผู้คน พวกเขาตีสองหน้าและพูดจาให้เหมาะกับผู้ฟังของพวกเขา พวกเขาเล่นบทบาทตามที่สถานการณ์เรียกร้อง พวกเขาลื่นไหลและแนบเนียน ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยคำโกหก และพวกเขานั้นไว้ใจไม่ได้ ผู้ใดก็ตามที่ติดต่อกับพวกเขามาระยะหนึ่งย่อมถูกชักพาให้หลงเชื่อหรือรู้สึกไม่สบายใจ และไม่สามารถรับการจัดเตรียม ความช่วยเหลือ หรือความเจริญใจได้ ไม่ว่าคำพูดจากปากของคนเช่นนี้จะร้ายกาจหรือดี มีเหตุผลหรือไร้สาระ สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ หยาบหรือมีอารยะก็ตาม ในแก่นแท้แล้วล้วนเป็นเรื่องเทียมเท็จ เป็นคำพูดที่มีสิ่งปลอมปน และเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สี่: สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงธรรมชาติอันคดเคี้ยวและคดโกงของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ในคำพูดและการกระทำ พวกเราจะไม่ได้ยินความจริงสักคำเดียวจากพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองถูกเปิดโปง พวกเขาโกหกอย่างหน้าไม่อายเพื่อซุกซ่อนแรงจูงใจอันน่ารังเกียจไปเรื่อยๆ ศัตรูของพระคริสต์นั้นช่างชั่วร้าย ผมรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเพรียกพร้องผม ผมทำให้เกิดความผิดพลาดเพราะไม่ใส่ใจกับการตรวจสอบระหว่างการถ่ายทำ และไม่ยอมรับมัน เพราะผมกลัวว่าจะถูกพี่น้องชายหญิงของผมดูหมิ่น ผมเค้นสมองเพื่อหาวิธีปกปิด ผมไปคุยกับพี่น้องชายที่ทำการตัดต่อเป็นการส่วนตัวเพื่อให้เขาแก้ไขปัญหาและสร้างภาพลวงตา จงใจโกหกเขาว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่เห็นชัด จนเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมช่างคดเคี้ยวเหลือเกิน อุปนิสัยของผมชั่วเหมือนศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่หรือ? พระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ แต่ผมกลับตลบตะแลงมาก พระเจ้าจะไม่ทรงดูหมิ่นและรู้สึกขยะแขยงด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร? ผมจำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ได้ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:37) “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) พระเจ้าตรัสว่าคำโกหกมาจากคนชั่ว มาจากมาร และผู้ที่โกหกอยู่ตลอดคือมาร ที่ผมโกหกอยู่ตลอด จากนั้นก็โกหกเพิ่มเพื่อปกปิดคำโกหกแรกๆ ผมก็เป็นเหมือนซาตานไม่ใช่หรือ? สิ่งที่ผมพูดมีองค์ประกอบที่เป็นปีศาจ เป็นการหลอกลวง และเป็นการทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ที่ผมทำผิดพลาดในการถ่ายทำ แก้ไขได้ด้วยการยอมรับอย่างศื่อสัตย์ และหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นมากมาย แต่ทว่า เพื่อรักษาหน้าและดำรงสถานะ หลังจากครุ่นคิดอยู่ในใจ ผมก็ไม่อาจพูดไปอย่างซื่อสัตย์ ผมโกหกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดมัน หลอกลวงพี่น้องชายหญิงของผม และลงเอยด้วยการทำให้พี่น้องที่ตัดต่อใช้เวลากว่าสามชั่วโมง เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของผม ผมไม่ได้คำนึงถึงงานของคนอื่น หรืออาจจะมีผลสืบเนื่องอะไรถ้าฉากที่มีข้อผิดพลาดถูกใช้ในวิดีโอฉบับสมบูรณ์ ผมช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนัก ผมเห็นว่าผมได้ให้สายบังเหียนกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองและทุกสิ่งที่ผมทำกำลังทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น มันทำให้ผมสะอิดสะเอียนและพระเจ้าทรงรังเกียจ ผมเต็มไปด้วยความเสียใจและตำหนิตนเอง ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่าผมอยากหยุดสนใจเรื่องรักษาหน้าตาและดำรงสถานะ อยากเป็นคนเรียบง่าย เปิดเผยและซื่อสัตย์
ผมเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ในพระวจนะของพระเจ้า ผมได้พบเส้นทางปฏิบัติความจริงว่า ผมจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเปิดอก เปิดใจต่อพระเจ้า และไม่เสแสร้ง คดเคี้ยว หรือหลอกลวงเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ผมจำเป็นต้องเปิดอกต่อพี่น้องชายหญิงถึงความเสื่อมทราม จุดอ่อน และความผิดพลาด รวมถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์ของตน นั่นคือขั้นที่สำคัญที่สุดในการเข้าไปสู่ความจริง การบรรลุสิ่งนั้น คือทางเดียวที่จะค่อยๆ พ้นจากพันธนาการและการควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและใช้ชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง ผมไม่อาจกระทำการเนื่องจากการพยายามรักษาหน้าและดำรงสถานะต่อไปได้ ผมจำเป็นต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและการตรวจตราของพี่น้องชายหญิงของผม ผมจึงยอมรับกับทุกคนถึงความผิดพลาดและความเสื่อมทรามที่ได้เปิดเผยตนเองในกระบวนการนั้น ผมยังทำบางสิ่งเพื่อลงโทษตัวเอง เพื่อให้ให้แน่ใจว่าผมจะไม่ลืม ประสบการณ์นี้ทำให้ผมรู้ตัวถึงอุปนิสัยคดเคี้ยวของตัวผมเอง และผมสาบานไว้ว่าจะเปลี่ยนแปลง
มีวันหนึ่ง ระหว่างถ่ายทำกันอยู่ ผมละสายตาไปชั่วครู่เพื่อดูรายละเอียดบนจอของกล้องอีกตัวหนึ่ง และนักร้องก็เดินออกจากจุดที่มีแสง กว่าผมจะรู้ตัว เขาก็ร้องไปหลายท่อนแล้ว เรามีภาพวิดีโอที่นำไปใช้ไม่ได้กว่า 10 วินาทีเพราะปัญหาเรื่องแสง ผมคิดว่า “ฉันทำผิดพลาดแบบเดิมอีกได้อย่างไร? พักหลังๆ ฉันพลาดเยอะมาก คนจะคิดกันอย่างไรถ้าฉันยอมรับเรื่องนั้น? พวกเขาจะพูดว่าฉันไม่ทำหน้าที่อย่างเอาจริงเอาจังหรือเปล่า?” ขณะที่ผมคิดตัดสินใจที่จะพูดบางอย่างออกมา จู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าผมพยายามจะรักษาหน้าและดำรงสถานะของตนเองอีกแล้ว ผมจำได้ถึงความเสียหายที่ผมก่อให้กับงานของคริสตจักรในอดีตเพราะผมต้องการปกป้องตัวเองและไม่บอกความจริง ผมยังคิดด้วยว่าที่ผมพยายามซ่อนความผิดนั้นมันอัปยศขนาดไหน และนึกถึงความเจ็บปวดและเศร้าเสียใจทั้งหมดที่มาจากการโกหก ผมตระหนักว่าผมไม่สามารถหลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับคนอื่นได้ ตระหนักว่าผมต้องละทิ้งตนเองและปฏิบัติความจริง ผมจึงเลิกลังเล และบอกผู้กำกับถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มฝึกเป็นคนซื่อสัตย์ขณะปฏิบัติหน้าที่อย่างมีสติ ยอมรับความผิดพลาดโดยไม่รีรอ และไม่หมกมุ่นเรื่องสถานะและหน้าตา ผมสามารถปกป้องงานของคริสตจักรได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะต้องเผชิญกับการถูกพี่น้องชายหญิงของผมตำหนิและตักเตือนหลังจากยอมรับความผิดพลาด รวมถึงการเสียหน้าที่มาพร้อมกัน การปฏิบัติความจริงป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดของผมก่อความเสียหายให้กับงานของคริสตจักร นี่ทำให้ผมรู้สึกมั่นคงและมีสันติสุขเป็นพิเศษ ผมได้รับประสบการณ์จริงๆ ว่าการโกหกและหลอกลวงเพื่อปกป้องสถานะและความมีหน้าม่ตาของตนเองมันเจ็บปวดขนาดไหน การปฏิบัติความจริงและการเป็นคนซื่อสัตย์เป็นหนทางเดียวที่จะเป็นคนมีชื่อเสียงที่ดีและมีเกียรติ และใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยอยู่ในความสว่าง ขอบคุณพระเจ้า!